The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by krairavee1970, 2021-06-28 02:46:31

จิต คือ พุทธะ

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

Keywords: พุทธวจนะ

จิต คือ พทุ ธะ

หลวงป่ ูดุลย์ อตุโล

สังเขปประวตั ิ

หลวงป่ ูดูลย์ อตุโล นบั เป็นศิษยอ์ าวโุ สรุ่นแรกสุดของหลวงป่ ูมนั่ ภูริทตฺโต พระอาจารยใ์ หญ่ฝ่ าย
อรัญญวาสีในยคุ ปัจจุบนั

พระเถระท่ีเป็นสหธรรมิก และมีอายรุ ุ่นเดียวกนั กบั หลวงป่ ูดูลย์ ไดแ้ ก่ หลวงป่ ูสิงห ขนฺตยาคโม
วดั ป่ าสาลวนั จ. นครราชสีมา และหลวงป่ ูขาว อนาลโย วดั ถ้ากลองเพล จ. หนองบวั ลาภู

ดว้ ยความปฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบของหลวงป่ ูดูลย์ ทา่ นจึงมีศิษยส์ าคญั ๆหลายองค์ ศิษยร์ ุ่นแรกๆกม็ ี
หลวงป่ ูฝ้ัน อาจาโร วดั ป่ าอุดมสมพร จ. สกลนคร หลวงป่ ูออ่ น ญาณสิริ วดั ป่ านิโครธาราม จ. อุดรธานี
หลวงป่ ูสาม อกิญฺจโน วดั ป่ าไตรวิเวก จ. สุรินทร์ และพระเทพสุธาจารย์ (หลวงป่ ูโชติ คุณสมฺปนฺโน) วดั วชิ
ราลงกรณ์ อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา

สาหรับศิษยอ์ าวโุ สของหลวงป่ ูดูลย์ ไดแ้ ก่ พระวสิ ุทธิธรรมรังสี (หลวงพอ่ เปลี่ยน โอภาโส) วดั ป่ า
โยธาประสิทธ์ิ จ. สุรินทร์ พระชินวงศาจารย์ วดั กระดึงทอง จ. บุรีรัมย์ หลวงพอ่ สุวจั น์ สุวโจ วดั ถ้าศรีแกว้
จ. สกลนคร และพระราชวรมุนี วดั บูรพาราม จ. สุรินทร์ เป็นตน้

หลวงป่ ูดูลย์ อตุโล เป็นพระอริยเจา้ ที่มีคุณธรรมล้าลึก ท่านเนน้ การปฏิบตั ิภาวนามากกวา่ การเทศนา
สัง่ สอนสาหรับพระสงฆแ์ ละญาติโยม ท่ีเขา้ ไปกราบนมสั การและขอฟังธรรมะ หลวงป่ ูมกั จะใหธ้ รรมะส้นั ๆ
แตม่ ีความล้าลึกสูงช้นั เสมอ ท่านจะเทศนเ์ รื่องจิตเพยี งอยา่ งเดียว โดยจะย้าใหเ้ ราพจิ ารณาจิตในจิตอยูเ่ สมอ

หลวงป่ ูดูลย์ อตุโล เกิดปี ชวด วนั ท่ี ๔ ตุลาคม ๒๔๓๑ ที่บา้ นปราสาท ต. เฉนียง อ. เมือง จ. สุรินทร์
ทา่ นเกิดในตระกลู "เกษมสินธุ์" เป็นบุตรคนหวั ปี ในจานวนพนี่ อ้ งท้งั หมด ๔ คน

เมื่ออายุ ๒๒ ปี หลวงป่ ูไดอ้ ุปสมบท ท่ีวดั จุมพลสุทธาวาส อ. เมือง จ. สุรินทร์ โดยมีท่านพระครู
วมิ ลศีลพรต (ทอง) เป็นพระอุปัชฌาย์ ในพรรษาที่ ๖ หลวงป่ ูไดเ้ ดินทางดว้ ยเทา้ ไปจงั หวดั อุบลราชธานี
พานกั อยทู่ ี่วดั สุทศั นาราม เพื่อเรียนปริยตั ิธรรม สอบไดน้ กั ธรรมช้นั ตรี แลว้ เรียนบาลีไวยากรณ์ตอ่ ถึงแปล
มูลกจั จายนไ์ ด้

หลวงป่ ูไดร้ ู้จกั ชอบพอกบั หลวงป่ ูสิงห์ ขนฺตยาคโม ซ่ึงต่อมาเป็นท่ีรู้จกั กนั ดีในนามของแม่ทพั ใหญ่
แห่งกองทพั ธรรม ในสายของหลวงป่ ูมน่ั ภูริทตฺโต ไดร้ ับมอบหมายใหเ้ ป็นหวั หนา้ ทาการเผยแผธ่ รรมะใน
สายพุทโธ จนแพร่หลายมาตราบเท่าทุกวนั น้ี

ในปี ที่ ๒ ท่ีหลวงป่ ูไปพานกั อยใู่ น จ. อุบลราชธานีน้นั หลวงป่ ูมน่ั ไดธ้ ุดงคม์ าพานกั อยู่ ณ วดั บูรพา
ในเมืองอุบลราชธานี หลวงป่ ูดูลย์ และหลวงป่ ูสิงห์ สองสหายผใู้ คร่ธรรม ไดไ้ ปกราบนมสั การและฟังธรรม
ของพระอาจารยใ์ หญ่ เกิดความอศั จรรยใ์ จ และศรัทธาเป็นท่ียงิ่ จึงตดั สินใจเลิกละการเรียนดา้ นปริยตั ิธรรม
แลว้ ออกธุดงคต์ ามหลวงป่ ูมนั่ ตอ่ ไป นบั เป็นศิษยห์ ลวงป่ ูมนั่ ในสมยั แรก และไดร้ ่วมเดินธุดงคต์ ามหลวงป่ ู
มนั่ ไปในท่ีต่างๆอยนู่ านปี

หลวงป่ ูดูลยเ์ ที่ยวธุดงคห์ าความวเิ วกตามป่ าเขานานถึง ๑๙ ปี จึงไดร้ ับคาส่ังจากผบู้ ญั ชาการคณะ
สงฆใ์ หห้ ลวงป่ ูเดินทางไปประจาอยจู่ งั หวดั สุรินทร์ เพอ่ื จดั การศึกษาดา้ นปริยตั ิธรรม และเผยแผข่ อ้ ปฏิบตั ิ

ทางกมั มฏั ฐานไปดว้ ยกนั หลวงป่ ูจึงไดไ้ ปพานกั อยปู่ ระจาที่ ท่ีวดั บูรพาราม อ. เมือง จ. สุรินทร์ มาต้งั แต่ พ.ศ.
๒๔๗๗ จวบจนบ้นั ปลายชีวิตของทา่ น

นบั ต้งั แตบ่ ดั น้นั มา แสงแห่งรัศมีของพระธรรม ท้งั ทางปริยตั ิและทางปฏิบตั ิ กเ็ ร่ิมฉายแสงรุ่งเรือง
ตลอดมาโดยหลวงป่ ูรับภาระท้งั ฝ่ ายคนั ถธุระ และวปิ ัสสนาธุระ บริหารงานพระศาสนาอยา่ งเตม็ กาลงั
สามารถ ในปฏิปทาส่วนตวั ของทา่ นน้นั ไมเ่ คยละทิ้งกิจธุดงค์ บาเพญ็ เพียรทางใจอยา่ งสม่าเสมอตลอดมา
พร้อมท้งั อบรมทางสมาธิภาวนาแก่ผสู้ นใจปฏิบตั ิท้งั คฤหสั ถแ์ ละบรรพชิต ดว้ ยเหตุท่ีหลวงป่ ูมีเมตตาธรรม
สูง จึงช่วยสงเคราะห์บุคคลทวั่ ไปไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางโดยไม่เลือกช้นั วรรณะ

หลวงป่ ูมีสุขภาพอนามยั ดีเป็ นเยยี่ ม แขง็ แรง วอ่ งไว ผิวพรรณผอ่ งใส มีเมตตาเป็นอารมณ์ สงบ
เสงี่ยม เยอื กเยน็ ทาใหผ้ ใู้ กลช้ ิด และผไู้ ดก้ ราบไหว้ เกิดความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอยา่ งสนิทใจ

หลวงป่ ูดูลย์ อตุโล พระอริยเจา้ ผปู้ ระเสริฐ ไดล้ ะเสียซ่ึงสงั ขารเมื่อวนั ท่ี ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๖
สิริรวมอายไุ ด้ ๙๖ ปี กบั ๒๖ วนั พระธาตุของทา่ นไดเ้ ก็บรักษาไวใ้ หส้ าธุชนไดส้ กั การะที่พพิ ธิ ภณั ฑ์
กมั มฏั ฐาน ในบริเวณวดั บูรพาราม อ. เมือง จ. สุรินทร์

จิต คือ พทุ ธะ

พระพุทธเจา้ ท้งั ปวงและสตั วโ์ ลกท้งั สิ้น ไมไ่ ดเ้ ป็นอะไรเลยนอกจากเป็นเพยี ง ‘จิตหน่ึง’ นอกจากจิต
หน่ึงแลว้ ไมไ่ ดม้ ีอะไรต้งั อยเู่ ลย จิตหน่ึงซ่ึงปราศจากการต้งั ตน้ น้ี เป็ นส่ิงซ่ึงไม่ได้เกดิ ขนึ้ และไม่อาจจะถูก
ทาลายได้เลย

มนั ไมใ่ ช่สิ่งของมีสีเขียวหรือสีเหลือง และไม่มีท้งั รูป ไมม่ ีท้งั การปรากฏ มนั ไมถ่ ูกนบั รวมอยใู่ น
บรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่มีการต้งั อยู่ หรือไมม่ ีการต้งั อยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นวา่ เป็นของใหม่หรือของเก่า มนั
ไมใ่ ช่ของยาว ของส้นั ของใหญ่ ของเล็ก

ท้งั น้ี เพราะมนั อยเู่ หนือขอบเขต เหนือการวดั เหนือการต้งั ชื่อ เหนือการทิง้ ร่องรอยไว้ หรือแมก้ าร
เปรียบเทียบท้งั หมดท้งั สิ้น

จิตหน่ึงน้ีเป็นส่ิงซ่ึงเราเห็นวา่ ตาตาเราอยแู่ ท้ ๆ แตจ่ งลองไปใชเ้ หตุผล (วา่ มนั เป็นอะไร เป็นตน้ ) กบั
มนั เขา้ ดูซิ เราจกั หล่นลงไปสู่ความผดิ พลาดทนั ที สิ่งน้ีมนั เป็นเหมือนกบั ของวา่ ง อนั ปราศจากขอบทุก ๆ
ดา้ น ซ่ึงไมอ่ าจหยง่ั หรือวดั ได้

จิตหน่ึงนีเ้ ท่าน้ัน เป็ นพุทธะ ไมม่ ีแตกตา่ งระหวา่ งพทุ ธะกบั สัตวโ์ ลกท้งั หลาย เพยี งแตว่ า่ สัตวโ์ ลก
ท้งั หลายไปยดึ มนั่ ต่อรูปธรรมตา่ ง ๆ เสีย และเพราะเหตุน้นั เขาจึงแสวงหาพทุ ธภาวะจากภายนอก การ
แสวงหาของสตั วเ์ หล่าน้นั นน่ั เองทาให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทาสิ่งน้ีเทา่ กบั การใชส้ ิ่งซ่ึงเป็นพุทธะให้
เที่ยวแสวงหาพทุ ธะ และการใชจ้ ิตให้เที่ยวจบั ฉวยจิต แมว้ า่ เขาเหล่าน้นั จะพยายามถึงสุดความสามารถของ
เขาอยตู่ ้งั กปั หน่ึงเตม็ ๆ เขากจ็ ะไมส่ ามารถลุถึงพทุ ธภาวะไดเ้ ลย

เขาไมร่ ู้วา่ ถ้าเขาเองเพยี งแต่หยดุ ความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการ
แสวงหาเสียเท่าน้ัน พุทธะกจ็ ะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะวา่ จิตน้ีก็คือพุทธะนนั่ เอง พทุ ธะก็คือสิ่งมีชีวติ
ท้งั หลายท้งั ปวงนนั่ เอง สิ่ง ๆ น้ีในเมื่อปรากฏอยทู่ ี่สามญั สตั ว์ จะเป็นสิ่งเล็กนอ้ ยก็หาไม่ เมื่อปรากฏอยทู่ ี่
พระพุทธเจา้ ท้งั หลายจะเป็นส่ิงใหญ่หลวงกห็ าไม่

สาหรับการบาเพญ็ ปารมิตาท้งั ๖ กด็ ี การบาเพญ็ ขอ้ วตั รปฏิบตั ิที่คลา้ ย ๆ กนั อีกเป็นจานวนมากก็ดี
หรือการไดบ้ ุญมากมายนบั ไมถ่ ว้ น เหมือนจานวนเมด็ ทรายในแมน่ ้าคงคาเลยกด็ ี เหล่าน้ีน้นั จงคิดดูเถิด ถา้ เรา
เป็นผสู้ มบูรณ์โดยสจั จะพ้ืนฐานในทุก ๆ กรณีอยแู่ ลว้ ซ่ึงเป็นจิตหน่ึง หรือเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั กบั พุทธะ
ท้งั หลายอยแู่ ลว้ เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรใหแ้ ก่สิ่งซ่ึงสมบูรณ์อยแู่ ลว้ น้นั ดว้ ยการบาเพญ็ วตั ร
ปฏิบตั ิตา่ ง ๆ ซ่ึงไร้ความหมายเหล่าน้นั ไม่ใช่หรือ เมื่อไรโอกาสอานวยใหท้ าก็ทามนั ไป และเมื่อโอกาสผา่ น
ไปแลว้ อยเู่ ฉย ๆ ก็แลว้ กนั

ถา้ เรายงั ไม่เห็นตระหนกั อยา่ งเดด็ ขาดลงไปวา่ จิตน้นั คือพุทธะก็ดี แลว้ เราไปยึดมน่ั ถือมน่ั ตอ่
รูปธรรมต่าง ๆ อยกู่ ด็ ี ต่อวตั รปฏิบตั ิตา่ ง ๆ อยกู่ ็ดี และตอ่ วธิ ีการบาเพญ็ บุญกศุ ลตา่ ง ๆ อยกู่ ็ดี แนวความคิด
ของเราก็ยงั คงผดิ พลาดอยู่ ไม่เขา้ ร่องเขา้ รอยกนั กบั ‘ทาง’ ทางโนน้ เสียเลย

จิตหน่ึงนีเ้ ท่าน้ันเป็ นพุทธะ ไม่มีพทุ ธะอ่ืนใดท่ีไหนอีก ไม่มีจิตอ่ืนใดท่ีไหนอีก มนั แจม่ จา้ และไร้

ตาหนิเช่นเดียวกบั ความวา่ ง คือ มนั ไม่มีรูปร่างและปรากฏการณ์ใด ๆ เลย การใชจ้ ิตของเราปรุงแต่งคิดฝัน
ไปตา่ ง ๆ น้นั เท่ากบั เราละทิง้ เน้ือหาอนั เป็นสาระเสีย แลว้ ไปผกู พนั ตวั เองอยกู่ บั รูปธรรมซ่ึงเป็ นเหมือนกบั
เปลือก พทุ ธะซ่ึงมีอยตู่ ลอดกาลน้นั ไม่ใช่พทุ ธะของความยดึ มนั่ ถือมนั่

การปฏิบตั ิปารมิตาท้งั ๖ และการบาเพญ็ ขอ้ วตั รปฏิบตั ิท่ีคลา้ ยคลึงกนั อีกเป็นจานวนนบั ไม่ถว้ น ดว้ ย
เจตนาที่จะไปเป็นพุทธะสักองคห์ น่ึงน้นั เป็นการปฏิบตั ิชนิดคืบหนา้ ทีละข้นั ๆ แตพ่ ทุ ธะซ่ึงมีอยตู่ ลอดกาล
ดงั กล่าวแลว้ น้นั หาใช่พทุ ธะท่ีลุถึงไดด้ ว้ ยการปฏิบตั ิเป็นข้นั ๆ เช่นน้นั ไม่ เรื่องมนั เพยี งแต่ ‘ต่ืน’ และ ‘ลืม
ตา’ ตอ่ จิตหน่ึงน้นั เทา่ น้นั และไม่มอี ะไรทจ่ี ะต้องบรรลถุ ึงอะไร น่ีแหละคือพุทธะท่ีแทจ้ ริง พทุ ธะและสตั ว์
โลกท้งั หลาย คือ ‘จิต’ จิตหน่ึงน้ีเท่าน้นั ไมม่ ีอะไรอ่ืนนอกไปจากน้ีอีกแลว้

จิตเป็ นเหมือนกบั ความว่าง ซ่ึงภายในน้นั ยอ่ มไมม่ ีความสับสนและความไมด่ ีตา่ ง ๆ ดงั จะเห็นไดใ้ น
เม่ือดวงอาทิตยผ์ า่ นไปในที่วา่ งน้นั ยอ่ มส่องแสงไปไดท้ ้งั สี่มุมโลก เพราะวา่ เมื่อพระอาทิตยข์ ้ึน ยอ่ มใหค้ วาม
สวา่ งทวั่ ท้งั พ้นื โลก ความวา่ งท่ีแทจ้ ริงน้นั มนั ก็ไมไ่ ดส้ วา่ งข้ึน และเม่ือพระอาทิตยต์ ก ความวา่ งก็ไม่ไดม้ ืดลง
ปรากฏการณ์ของความสวา่ ง และความมืดยอ่ มสบั เปลี่ยนซ่ึงกนั และกนั แตธ่ รรมชาติของความวา่ งน้นั ยงั คง
ไม่เปล่ียนแปลงอยนู่ นั่ เอง จิตของพทุ ธะและของสัตวโ์ ลกท้งั หลายก็เป็นเช่นน้นั

ถา้ เรามองดูพทุ ธะ วา่ เป็นผแู้ สดงออกซ่ึงความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธ์ิ ผอ่ งใส และรู้แจง้ ก็ดี หรือ
มองดูสตั วโ์ ลกท้งั หลายวา่ เป็นผแู้ สดงออกซ่ึงความปรากฏของส่ิงท่ีโง่เง่า มืดมน และมีอาการสลบไสลก็ดี
ความรู้สึกนึกคิดเหล่าน้ี อนั เป็นผลเกิดมาจากความคิดยึดมน่ั ต่อรูปธรรมน้นั จะกนั เราไวเ้ สียจากความรู้อนั
สูงสุด ถึงแมว้ า่ เราจะไดป้ ฏิบตั ิมาตลอดกี่กปั นบั ไม่ถว้ น ประดุจเมด็ ทรายในแม่น้าคงคาแลว้ กต็ าม มีแต่จิต
หน่ึงน้ีเท่าน้นั ไมม่ ีสิ่งอ่ืนใดแมแ้ ตอ่ นุภาคเดียวท่ีจะอิงอาศยั ได้ เพราะจิตน้นั เอง คือ พุทธะ

เมื่อพวกเราเป็ นเพียงนกั ศึกษาเร่ือง ‘ทาง’ ทางโนน้ ยงั ไม่ลืมตาตอ่ สิ่งซ่ึงเป็นสาระ กล่าวคือ ‘จิต’ น้ี
พวกเราจะปิ ดบงั จิตน้นั เสีย ด้วยความคดิ ปรุงแต่งของเราเอง พวกเราจะแสวงหาพทุ ธะนอกตัวเราเอง พวก

เราจะยงั คงยดึ มน่ั ถือม่ันต่อรูปธรรมท้งั หลาย ต่อการปฏบิ ตั เิ มาบุญต่าง ๆ และส่ิงอ่ืน ๆ ทานองน้ัน ท้งั หมดนี้

เป็ นอนั ตราย ไม่ใช่หนทางอนั นาไปสู่ความรู้อนั สูงสุดน้ันแต่อย่างใดเลย
เน้ือแทแ้ ห่งส่ิงสูงสุดส่ิงน้ี โดยภายในแลว้ ยอ่ มเหมือนกบั ทอ่ นไมห้ รือกอ้ นหิน คือภายในน้นั

ปราศจากการเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแลว้ ยอ่ มเหมือนกบั ความวา่ ง กล่าวคือ ปราศจากขอบเขตหรือส่ิง
กีดขวางใด ๆ ส่ิงน้ีมนั ไมใ่ ช่เป็นฝ่ ายนามธรรมหรือฝ่ ายรูปธรรม มนั ไมม่ ีที่ต้งั เฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่
อาจจะหายไปไดเ้ ลย

จิตน้ีไมใ่ ช่จิตซ่ึงเป็นความคิดปรุงแตง่ มนั เป็นสิ่งซ่ึงอยตู่ า่ งหาก ปราศจากการเกี่ยวขอ้ งกบั รูปธรรม
โดยสิ้นเชิง ฉะน้นั พระพทุ ธเจา้ ท้งั หลายและสตั วโ์ ลกท้งั ปวงกเ็ ป็นเช่นน้นั ถา้ พวกเราเพยี งแต่สามารถปลด
เปล้ืองตนเองออกเสียจากความคิดปรุงแต่งเทา่ น้นั พวกเราจะประสบความสาเร็จทุกอยา่ ง

หลกั ธรรมทแ่ี ท้จริงกค็ ือ ‘จิต’ น่ันเอง ซึ่งถ้านอกไปจากน้ันแล้ว มันกไ็ ม่มหี ลกั ธรรมใด ๆ เลย จิตนน่ั
แหละคือหลกั ธรรม ซ่ึงถา้ นอกไปจากน้นั แลว้ ก็ไมใ่ ช่จิต แต่จิตน้นั โดยตวั มนั เองก็ไมใ่ ช่จิต แต่ถึงกระน้นั มนั

ก็ยงั ไมใ่ ช่ มิใช่จิต การที่จะกล่าววา่ จิตน้นั ไม่ใช่จิต ดงั น้ีนนั่ แหละ ยอ่ มหมายความถึงส่ิงบางส่ิงซ่ึงมีอยจู่ ริง ส่ิง
น้ีมนั อยเู่ หนือคาพดู ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียใหห้ มดสิ้น เมื่อน้นั เราอาจกล่าวไดว้ า่ คลองแห่ง
คาพูดก็ไดถ้ ูกตดั ขาดไปแลว้ ‘พฤติของจิต’ ก็ถูกเพกิ ถอนข้ึนสิ้นเชิงแลว้

จิตน้ีคือพทุ ธโยนิอนั บริสุทธ์ิ ซ่ึงมีประจาอยแู่ ลว้ ในคนทุกคน สตั วซ์ ่ึงมีความรู้สึกนึกคิด
กระดุกกระดิกไดท้ ้งั หมดก็ดี พระพทุ ธเจา้ พร้อมท้งั พระโพธิสัตวท์ ้งั หลายท้งั ปวงกด็ ี ลว้ นแต่เป็นของแห่ง
ธรรมชาติอนั หน่ึงน้ีเท่าน้นั ไม่มีแตกต่างกนั เลย ความแตกต่างท้งั หลายเกิดข้ึนจากเราคิดผดิ ๆ เท่าน้นั ยอ่ มนา
เราไปสู่การก่อสร้างกรรมท้งั หลายท้งั ปวงทุกชนิดไม่มีหยดุ

ธรรมชาตแิ ห่งความเป็ นพุทธะด้งั เดมิ ของเราน้ัน โดยความจริงอนั สูงสุดแลว้ เป็ นสิ่งซ่ึงไม่มี
ความหมายแห่งความเป็ นตวั ตนแมแ้ ต่สกั ปรมาณูเดียว สิ่งน้นั กค็ ือ ‘ความว่าง’ เป็นสิ่งซ่ึงมีอยใู่ นที่ทุกแห่ง
สงบเงียบ และไมม่ ีอะไรเจือปน มนั เป็นสนั ติสุขท่ีรุ่งเรืองและเร้นลบั และก็หมดกนั เพียงเท่าน้นั เอง

จงเขา้ ไปสู่ส่ิง ๆ น้ีไดล้ ึกซ้ึง โดยการลืมตาตอ่ สิ่งน้ีดว้ ยตวั เราเอง ส่ิงซ่ึงอยตู่ รงหนา้ เราน้ีแหละ คือส่ิง
ๆ น้นั ในอตั ราท่ีเตม็ ท่ีท้งั หมดท้งั สิ้น และสมบูรณ์ถึงท่ีสุดแลว้ ไมม่ ีอะไรนอกไปจากน้ีอีกแลว้

จิตก็คือพทุ ธะ (ส่ิงสูงสุด) มนั ยอ่ มรวมสิ่งทุกสิ่งเขา้ ไวใ้ นตวั มนั ท้งั หมด นบั ต้งั แตพ่ ระพุทธเจา้ ที่ตรัส
รู้แลว้ ท้งั หลายเป็นท่ีสุดในเบ้ืองสูง ลงไปจนกระทง่ั ถึงสตั วป์ ระเภทที่ต่าตอ้ ยที่สุด ซ่ึงเป็นสตั วเ์ ล้ือยคลานอยู่
ดว้ ยอกและแมลงตา่ ง ๆ เป็นท่ีสุดในเบ้ืองต่า สิ่งเหล่าน้ีทุกส่ิงน้นั ยอ่ มมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากนั หมด
และทุก ๆ ส่ิงมีเน้ือหาเป็นอนั เดียวกนั กบั จิตหน่ึงน้นั ดงั น้นั สัตวท์ ้งั หลายท้งั ปวงไดเ้ ป็นสิ่งท่ีมีเน้ือหาเป็นอนั
เดียวกนั กบั พทุ ธะอยแู่ ลว้ ตลอดเวลา

ถา้ พวกเราเพียงแตส่ ามารถทาความเขา้ ใจในจิตของเราเองน้ีใหส้ าเร็จ แลว้ คน้ พบธรรมชาติอนั
แทจ้ ริงของเราเองได้ ดว้ ยความเขา้ ใจอนั น้นั เท่าน้นั มนั กจ็ ะเป็นที่แน่นอนวา่ ไม่มีอะไรที่พวกเราจาเป็ น
จะตอ้ งแสวงหาแมแ้ ต่อยา่ งใดเลย

จิตของเราน้นั ถา้ เราทาความสงบอยจู่ ริง ๆ เวน้ ขาดจากการคิดนึกซ่ึงเป็นการเคล่ือนไหวของจิต
แมแ้ ต่นอ้ ยที่สุดเสียใหไ้ ดจ้ ริง ๆ ตวั แทข้ องมนั ก็จะปรากฏออกมาเป็ นความวา่ ง แลว้ เรากจ็ ะไดพ้ บวา่ มนั เป็น

ส่ิงท่ีปราศจากรูป มนั ไม่ไดก้ ินเน้ือที่อะไร ๆ ที่ไหน ๆ แมแ้ ตจ่ ุดเดียว มนั ไมไ่ ดต้ กลงสู่การบญั ญตั ิวา่ เป็นพวก
ที่มีความเป็นอยู่ หรือวา่ ไม่มีความเป็นอยแู่ มแ้ ต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่ส่ิงน้ีเป็นส่ิงที่เรารู้สึกไมไ่ ดโ้ ดย
ทางอายตนะ เพราะจิตซ่ึงเป็ นธรรมชาติท่ีแทข้ องคนเราน้นั มนั เป็นครรภห์ รือเป็นกาเนิด ซ่ึงไมไ่ ดม้ ีใครทาให้
เกิดข้ึน และไมอ่ าจจะถูกทาลายไดเ้ ลย

ในการทาปฏิกิริยาตอบสนองตอ่ สิ่งแวดลอ้ มต่าง ๆ น้นั มนั เปลี่ยนรูปของมนั เองออกมาเป็ น
ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ เพ่ือสะดวกในการพดู เราพดู ถึงจิตในฐานะที่เป็นตวั สติปัญญา แต่ในขณะที่มนั ไม่ไดท้ า

การตอบสนองต่อสิ่งแวดลอ้ ม คือไม่ไดเ้ ป็ นตวั สติปัญญาท่ีคิดนึก หรือสร้างส่ิงตา่ ง ๆ ข้ึนมาน้นั มนั เป็นส่ิงท่ี
ไมอ่ าจถูกกล่าวถึงในการที่จะบญั ญตั ิวา่ มนั เป็ นความมีอยู่ หรือไมใ่ ช่ความมีอยู่

ยง่ิ ไปกวา่ น้นั อีก แมใ้ นขณะท่ีมนั ทาหนา้ ที่สร้างสิ่งตา่ ง ๆ ข้ึนมา ในฐานะท่ีตอบสนองต่อกฎแห่ง
ความเป็นเหตุและผลของกนั และกนั น้นั มนั กย็ งั เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไมไ่ ดโ้ ดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

และมโนทวาร อยนู่ นั่ เอง ถา้ เราทราบความเป็นจริงขอ้ น้ี เราทาความสงบเงียบสนิทอยใู่ นภาวะแห่งความไม่มี
อะไรในขณะน้นั พวกเรากาลงั เดินอยแู่ ลว้ ในทางแห่งพระพุทธเจา้ ท้งั หลายโดยแทจ้ ริง ดงั น้นั เราควรเจริญ

จิตให้หยดุ อย่บู นความไม่มีอะไรเลยท้งั สิ้น
มูลธาตุท้งั ๕ ซ่ึงประกอบกนั ข้ึนเป็นวญิ ญาณน้นั มนั เป็ นของวา่ งเปล่า แตล่ ะมูลธาตุท้งั ๔ ของรูป

กายน้นั ไมใ่ ช่เป็นส่ิงซ่ึงประกอบกนั ข้ึนเป็ นตวั ของเรา จิตจริงแทน้ ้นั ไม่มีรูปร่าง และไม่มีอาการมา ไม่มี
อาการไป ธรรมชาติเดิมแทข้ องเราน้นั เป็นส่ิง ๆ หน่ึง ซ่ึงไม่มีการต้งั ตน้ ข้ึนท่ีการเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่
การตาย แตเ่ ป็นของส่ิงเดียวรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใด ๆ ในส่วนลึกจริง ๆ ของมนั ท้งั หมด

จิตของเรากบั สิ่งต่าง ๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่น้ันเป็ นส่ิง ๆ เดียวกนั ถา้ เราสามารถทาความเขา้ ใจไดต้ าม
น้ีจริง ๆ เราจะไดล้ ุถึงความรู้แจง้ เห็นแจง้ ไดโ้ ดยแวบเดียวในขณะน้นั และเราเป็ นผทู้ ่ีไมต่ อ้ งขอ้ งเก่ียวในโลก
ท้งั สามอีกตอ่ ไป เราจะเป็นผูอ้ ยเู่ หนือโลก จะไม่มีการโนม้ เอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแมแ้ ต่นิดเดียว เราจะเป็น
แต่ตวั ของเราเองเทา่ น้นั ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง และเป็นสิ่ง ๆ เดียวกบั สิ่งสูงสุดสิ่งน้นั และ
เราจะไดล้ ุถึงภาวะแห่งความท่ีไม่มีอะไรปรุงแต่งไดอ้ ีกตอ่ ไป ฉะน้นั น้ีแหละคือหลกั ธรรมะท่ีเป็นหลกั มูล
ฐานอยใู่ นท่ีนี่

‘สัมมาสัมโพธิ’ เป็นช่ือของการเห็นแจง้ ชดั วา่ ไม่มีธรรมใดเลยที่ไมเ่ ป็นโมฆะ ถา้ เราเขา้ ใจความจริง
ขอ้ น้ีแลว้ ของหลอกลวงท้งั หลายจะมีประโยชนอ์ ะไรแก่เรา

ปรัชญาก็คือความรู้แจง้ ความรู้แจง้ คือจิตตน้ กาเนิดด้งั เดิมซ่ึงปราศจากรูป ถา้ เราสามารถทาความ
เขา้ ใจได้ ผกู้ ระทาและส่ิงที่ถูกกระทาคือจิตและวตั ถุ เป็นของสิ่งเดียวกนั นน่ั แหละ จะนาเราไปสู่ความเขา้ ใจ
อนั ลึกซ้ึง และลึกลบั เหนือคาพดู และโดยความเขา้ ใจอนั น้ีเอง พวกเราจะไดล้ ืมตาตอ่ สัจธรรมท่ีแทจ้ ริงดว้ ย
ตวั เราเอง

สัจธรรมท่ีแทจ้ ริงของเราน้นั มนั ไม่ไดห้ ายไปจากเรา แมใ้ นขณะที่เรากาลงั หลงผดิ อยดู่ ว้ ยอวชิ ชา
และไม่ไดร้ ับกลบั มาในขณะท่ีเรามีการตรัสรู้ มนั เป็นธรรมชาติแห่งภูตตถตา ในธรรมชาติน้ีไมม่ ีท้งั อวชิ ชา
ไมม่ ีท้งั สัมมาทิฏฐิ มนั เตม็ อยใู่ นความวา่ ง และเป็นเน้ือหาอนั แทจ้ ริงของจิตหน่ึงน้นั เมื่อเป็นดงั น้นั แลว้
อารมณ์ตา่ ง ๆ ที่จิตของเราไดส้ ร้างข้ึน ท้งั ฝ่ ายนามธรรมและฝ่ ายรูปธรรม จะเป็นสิ่งซ่ึงอยภู่ ายนอกของความ
วา่ งน้นั ไดอ้ ยา่ งไร

โดยหลกั มูลฐานแลว้ ความวา่ งน้นั เป็นสิ่งซ่ึงปราศจากมิติต่าง ๆ แห่งการกินเน้ือที่ คือปราศจากกิเลส
ปราศจากกรรม ปราศจากอวชิ ชา และปราศจากสมั มาทิฏฐิ พวกเราตอ้ งทาความเขา้ ใจอยา่ งกระจา่ งแจง้ วา่
โดยแทจ้ ริงแลว้ ไมม่ ีอะไรเลย ไม่มีมนุษยส์ ามญั ไมม่ ีพทุ ธะท้งั หลาย เพราะวา่ ในความวา่ งน้ี ไม่มีอะไรบรรจุ
อยแู่ มเ้ ทา่ เส้นขนท่ีเลก็ ท่ีสุด อนั จะเป็ นส่ิงซ่ึงจะมองเห็นไดโ้ ดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเน้ือท่ีเลย มนั ไม่
ตอ้ งอาศยั อะไร และไม่ติดเน่ืองอยกู่ บั ส่ิงใด มนั เป็นความงามท่ีไร้ตาหนิ เป็นส่ิงซ่ึงมีอยูไ่ ดโ้ ดยตวั มนั เอง และ
เป็นส่ิงสูงสุดท่ีไม่มีอะไรสร้างข้ึน มนั เป็นเพชรพลอยที่อยเู่ หนือการตีคา่ ท้งั ปวงเสียจริง ๆ

เราต้องแยกรูปถอดด้วยวชิ ชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละใช้ หนีก้ ็หมด พ้นเหตุเกดิ ส่ิงมีชีวติ
และไมม่ ีชีวติ ในจกั รวาล มีนบั ไมถ่ ว้ นรวมแลว้ มีรูปกบั นาม สองอยา่ งเท่าน้นั นามเดิมก็คือความวา่ งของ

จกั รวาลเขา้ คูก่ นั เป็นเหตุเกิดตวั อวชิ ชา เกิดเหตุก่อ ท่ีใดมีรูปท่ีน้นั ตอ้ งมีนาม ที่ใดมีนามท่ีน้นั ตอ้ งมีรูป รูป
นามรวมกนั เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา ใหเ้ ปลี่ยนแปลงตลอดกาล และเกิดกาลเวลาข้ึน คือรูปยอ่ มมีความดึงดูดซ่ึง
กนั และกนั จึงเป็นเหตุให้รูปเคล่ือนไหว และหมุนรอบตวั เองตามปัจจยั รูปเคลื่อนไหวได้ ตอ้ งมีนาม ความ
วา่ งคน่ั ระหวา่ งรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้

เมื่อสภาวธรรมเป็ นอยา่ งน้ี สรรพสิ่งของวตั ถุสสารมีชีวติ และไม่มีชีวติ จึงตอ้ งเปล่ียนแปลงเป็นไตร
ลกั ษณ์ เกิด ดบั สืบต่อทุกขณะจิต ไมม่ ีวนั หยดุ นิ่งใหค้ งทนเป็นปัจจุบนั ทุกยามได้

จิตวิญญาณก็เกิดมาจากรูปนามของจกั รวาล เพราะเป็นมายาหลอกลวงแลว้ เปล่ียนแปลงใหค้ นหลง
จากรูปนามไม่มีชีวิต เปล่ียนมาเป็นรูปนามมีชีวติ จากรูปนามมีชีวติ มาเป็นรูปนามมีชีวติ ที่มีจิตวญิ ญาณ แลว้
จิตวิญญาณก็เปล่ียนแปลงแยกออกจากกนั ไป คงเหลือแตน่ ามวา่ งท่ีปราศจากรูป น้ีเป็นจุดสุดยอดของการ
หลอกลวงของรูปนาม

ตน้ เหตุเกิดรูปนามของจกั รวาล เป็นเหตุเกิดรูปนามพภิ พต่าง ๆ ตลอดดวงดาวอนั นบั ไมถ่ ว้ น เพราะ
ไม่มีท่ีสิ้นสุด รูปนามพภิ พต่าง ๆ เป็นเหตุใหเ้ กิดรูปนามพชื รูปนามพชื เป็นเหตุใหเ้ กิดรูปนามสตั ว์
เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกนั วา่ เป็นสิ่งมีชีวติ

ความจริงรูปนามจะมีชีวติ หรือไมม่ ีชีวติ มนั ก็เคล่ือนไหวได้ เพราะมีรูปกบั นามเป็นเหตุเป็นผลให้

เกิดปฏิกิริยาอยใู่ นตวั ใหเ้ คลื่อนไหวตลอดกาลและเปล่ียนแปลง เพราะมองดว้ ยตาเน้ือไม่เห็น จึงเรียกกนั วา่
เป็นสิ่งไมม่ ีชีวติ

เม่ือรูปนามของพืชเปล่ียนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดต้งั ตน้ ชีวติ ของสตั ว์ และเป็นเหตุให้เกิดจิต
วญิ ญาณ การแสดงเคลื่อนไหวเป็นเหตุให้เกิดกรรม

สตั วช์ าติแรกมีแต่สร้างกรรมชว่ั สตั วก์ ินสตั ว์ และความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุปัจจยั ภายนอก
ภายในท่ีมากระทบ กรรมท่ีสัตวแ์ สดงมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อยา่ ง ไปกระทบกบั รูป เสียง กล่ิน รส สัมผสั
๕ อยา่ ง แลว้ กเ็ ขา้ มาประทบั บรรจุ บนั ทึก ถ่ายภาพ ติดอยกู่ บั รูปปรมาณู ซ่ึงเป็นสุขมุ รูป แฝงอยใู่ นความวา่ ง
เราไม่สามารถมองเห็นดว้ ยตาได้ ที่แฝงอยใู่ นความวา่ งคน่ั ระหวา่ งตา หู จมูก ลิ้น กายน้นั ไวไ้ ดห้ มดสิ้น

เม่ือสตั วช์ าติแรกเกิดน้ีไดต้ ายลง มีกรรมชว่ั อยา่ งเดียวเป็นเหตุใหส้ ตั วต์ อ้ งเกิดอีก เพอื่ ใหส้ ตั วต์ อ้ งใช้
หน้ีเกิด กรรมชว่ั ท่ีไดท้ าไว้ แตส่ ัตวเ์ กิดข้ึนมาแลว้ หายอมใชห้ น้ีเกิดกนั ไม่ มนั กลบั เพ่ิมหน้ีใหเ้ ป็ นเหตุเกิด
ทวคี ูณจนปัจจุบนั ชาติน้ี

ดงั น้นั ดว้ ยอานาจกรรมชว่ั ท่ีพวกสัตวต์ ิดอยใู่ นสุขมุ รูป ๕ กอง ตลอดเพศผเู้ มีย เป็นสุขมุ รูปท่ีติดอยู่
ใน ๕ กองน้นั กเ็ กิดหมุนรวมกนั เขา้ เป็นรูปปรมาณูกลม คงรูปอยไู่ ดด้ ว้ ยการหมุนรอบตวั เอง มิหยดุ นิ่ง เป็น
คูหาใหจ้ ิตไดอ้ าศยั อยใู่ นขา้ งใน เรียกวา่ ‘รูปวญิ ญาณ’ หรือจะเรียกวา่ ‘รูปถอด’ ก็ได้ เพราะถอดมาจากนาม
วา่ ง ภาวะคนั่ รูปหยาบนนั่ เอง ซ่ึงเป็นสุขมุ รูปแฝงอยใู่ นความวา่ ง รูปวญิ ญาณจึงมีชีวติ อยู่ คงทนอยยู่ นื นาน
กวา่ รูปหยาบ มีกรรมชวั่ คอยรักษาใหห้ มุนคงรูปอยู่ ไมม่ ีเทพเจา้ องคใ์ ดฆา่ ใหต้ ายได้ นอกจากนิพพานเท่าน้นั
รูปวญิ ญาณจึงจะสลาย

เร่ืองการแสดงกรรมของสตั วท์ ่ีประทบั ติดอยใู่ นสุขมุ รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองน้นั รวมกนั เขา้ เรียกวา่
‘จิต’ จึงมี ‘สานกั งานของจิต’ ติดอยใู่ นวิญญาณ ๕ กอง รวมเป็นท่ีทางานของจิตกลาง และกต็ ิดตอ่ กบั ตา หู

จมูก ลิ้น กายภายนอก ซ่ึงเป็นส่ือติดต่อของจิต ดงั น้นั ‘จิต’ กบั ‘วญิ ญาณ’ จึงไม่เหมือนกนั จิตเป็ นตัวรู้นึกคิด
ส่วนวญิ ญาณเป็ นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็ นยานพาหนะพาจิตไปเกดิ หรือจะไปไหน ๆ กไ็ ด้ เป็นชีวิต...
รูปสุขมุ รูปท่ีถอดมาจากรูปหยาบ มีรูปเพศผเู้ มีย รูปตา หู จมูก ลิ้น กาย อยใู่ นวญิ ญาณไว้ ไดเ้ ป็นเหตุเกิดสืบ
ต่อภพชาติต่อไป

เม่ือสัตวต์ าย ชีวติ ร่างกายหยาบของภพชาติน้นั ๆ ก็หมดไปตามอายขุ ยั ชีวติ ร่างกายหยาบของภพภูมิ
ชาติน้นั ๆ ส่วนชีวติ แท้ รูปปรมาณู วญิ ญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะตอ้ งไปเกิดตามภพภูมิตา่ ง ๆ ตามเหตุ
ปัจจยั มนั เป็นวฏั ฏะ หมุนเวียนเปลี่ยนไป โดยชีวติ แทร้ ูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตวั เองน้ีเอง เป็นเหตุให้
จิตเกิดดบั สืบต่อคอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แลว้ จิตกเ็ ปล่ียนแปลง
ไปตามเหตุปัจจยั ท่ีมากระทบ จะดีหรือชว่ั กส็ ะสมเขา้ ไวเ้ ป็ นทุนเหตุเกิด เหตุดบั หรือปรุงแตง่ ตอ่ ไป จนกวา่
กรรมชว่ั เหตุเกิดจะหมดไป ชีวติ รูปถอดหรือวญิ ญาณก็จะหยดุ การหมุน รูปสุขมุ รูปวญิ ญาณซ่ึงเกิดมาจาก
กรรมชวั่ สืบตอ่ มาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกนั ไป คงรูปอยไู่ ม่ได้ มนั กก็ ระจายไป ส่วน
กิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยกู่ บั วญิ ญาณ มนั กก็ ระจายไปกบั รูปปรมาณู คงเหลือแตค่ วามวา่ งที่คนั่ ช่องวา่ งของ
รูปปรมาณูทุก ๆ ช่อง ฉะน้นั โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างน้ันจึงบริสุทธ์ิและสว่าง รวมเข้ากบั ความว่าง

บริสุทธ์ิ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็ นหน่ึง เรียกว่านิพพาน
เมื่อสมเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ พระองคส์ ร้างชีวิตพระพุทธศาสนา ใหก้ ่อเกิดเป็นชีวติ อยา่ ง

บริบูรณ์ดงั พระประสงคแ์ ลว้ พระพทุ ธองคจ์ ึงไดล้ ะวภิ วตณั หาน้นั เสด็จสู่อนุปาทิเสสนิพพาน คือเป็นผหู้ มด
สิ้นทุกตณั หา เป็นผดู้ บั รอบ โดยลกั ษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระพทุ ธองคก์ ็คือ ลาดบั แรก กท็ รง
เจริญฌานดิ่งสนิทเขา้ ไปจนถึงสญั ญาเวทยิตนิโรธ หมายความวา่ เขา้ ไปดบั ลึกสุดอยเู่ หนืออรูปฌาน

ในวาระแรกน้นั พระองคย์ งั ไมไ่ ดด้ บั ขนั ธ์ต่าง ๆ ใหส้ ิ้นสนิทเป็นเด็ดขาดแต่อยา่ งใด ยงั เพยี งเขา้ ไป
เพื่อทรงกระบวนการแห่งการสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นคร้ังสุดทา้ ยแห่งชีวติ พูดง่าย ๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์
ไดส้ ร้าง ไดพ้ ากเพียรก่อเป็นทาง เป็นแบบอยา่ งไว้ เป็นคร้ังสุดทา้ ยเสียหน่อย ซ่ึงเรียกไดว้ า่ สิ่งอนั เกิดมาจากที่
พระองคไ์ ดย้ อมอยกู่ บั ธุลีทุกข์ อนั เป็ นธุลีทุกขท์ ่ีมนุษยธ์ รรมดาผมู้ ีจิตหยาบเกินกวา่ จะสมั ผสั มนั วา่ เป็นทุกข์

และกระบวนการกระทาจิตตนใหถ้ ึงซ่ึงสญั ญาเวทยติ นิโรธน้ีน้นั เป็นกระบวนการท่ีพระอนุตตร
สมั มาสัมพุทธเจา้ พระผเู้ ป็ นยอดแห่งศาสดาในโลกเทา่ น้นั ที่ทรงคน้ พบ ทรงนามาตีแผเ่ ผยแจง้ ออกสู่สตั ว์
โลกใหพ้ ึงปฏิบตั ิตาม เมื่อทรงส่ิงซ่ึงสุดทา้ ยน้ีแลว้ จึงไดถ้ อยกลบั มาสู่ภาวะตน้ คือปฐมฌาน แลว้ จึงไดต้ ดั สิน
พระทยั สุดทา้ ยเสดจ็ ดบั ขนั ธ์ต่าง ๆ ไปทีละขนั ธ์ วญิ ญาณขนั ธ์ในชีวติ และร่างกายน้นั ไดด้ บั ไปเสียต้งั แต่ก่อน
จะเขา้ สู่ปฐมฌานนานแลว้ เพราะตอ้ งดบั สงั ขารขนั ธ์และสังขารธรรมช้นั แรกเสียก่อน วญิ ญาณขนั ธ์จึงไดด้ บั
ดงั น้นั จึงไมม่ ีเช้ือใดเหลืออยแู่ ห่งวญิ ญาณขนั ธ์ท่ีหยาบน้นั พระองคเ์ ร่ิมดบั สังขารขนั ธ์หรือสงั ขารธรรม
ช้นั ใน อนั จะส่งผลใหก้ ่อเกิดวภิ วตณั หาไดแ้ ลว้ ช้นั หน่ึงเสียก่อน จึงไดเ้ ล่ือนข้ึนสู่ทุติยฌาน แลว้ จึงดบั สญั ญา

ขนั ธ์เลื่อนข้ึนสู่ตติยฌาน เมื่อพระองคด์ บั สงั ขารขนั ธ์หรือสงั ขารธรรมช้นั ในสุดอีกที กเ็ ป็นอนั เลื่อนข้ึนสู่
จตุตถฌาน คงมีแตเ่ วทนาขนั ธ์สุดทา้ ยแห่งชีวติ นน่ั คือลกั ษณาการแห่งช้นั สุดทา้ ยของการจะดบั สิ้นไม่เหลือ

เม่ือพระองคด์ บั สังขารขนั ธ์หรือสงั ขารธรรมใหญ่สุดทา้ ยท่ีมีอยทู่ ้งั สิ้นแลว้ กม็ าดบั เวทนาขนั ธ์ อนั
เป็นจิตขนั ธ์ หรือนามขนั ธ์ท่ีมีจิตส่วนใน คือภวงั คจิตเสียก่อน แลว้ จึงไดอ้ อกจากจตุตถฌาน พร้อมกบั มาดบั
จิตขนั ธ์หรือนามขนั ธ์สุดทา้ ยจริง ๆ ของพระองคเ์ สียลงเพียงน้นั

นี่ พระองคเ์ ขา้ สู่นิพพานอยูต่ รงน้ี นนั่ คือพระองคด์ บั เวทนาขนั ธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวถิ ีจิตอนั เป็ น
ปรกติของมนุษย์ ครบพร้อมท้งั สติและสมั ปชญั ญะ ไมไ่ ดถ้ ูกภาวะอ่ืนใดครอบงา เป็นภาวะจงใจ ไมถ่ ูกภาวะ
ใดครอบคลุมอาพรางใหห้ ลงใหลใด ๆ ท้งั สิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอยา่ งบริบูรณ์

เมื่อเวทนาขนั ธ์สุดทา้ ยแท้ ๆ จริง ๆ ไดถ้ ูกทาลายลงอยา่ งสนิท จึงเป็นผบู้ ริสุทธ์ิ หมดสิ้นแลว้ ซ่ึง
สังขารธรรม และหมดเช้ือจิตขนั ธ์หรือนามขนั ธ์ท้งั ปวงใด ๆ ในพระองคท์ ่าน ไม่มีเหลือ คงทิง้ แตร่ ูปขนั ธ์อนั
จะมีชีวติ น้นั ไมไ่ ดแ้ น่ เพราะรูปไมใ่ ช่ชีวติ หากสิ้นนามเสียแลว้ กค็ ือแท่ง ก็คือกอ้ นวตั ถุหน่ึงน้นั เท่าน้นั เอง

นน่ั แล คือ ลาดบั ฌาน ท่ีพระอนุรุทธเถระเจา้ ไดน้ าฌานจิตเขา้ ไปดู เป็นวธิ ีการดบั โดยแท้ ดบั โดยตรง
โดยพระองคเ์ ป็นผดู้ บั เองเสียดว้ ย

คาสอนของพทุ ธะท้งั หมดในวฏั ฏ์นี้ กค็ ือการเพาะให้พทุ ธจิตน้ันผลอิ อกมาให้เราปรากฏเหน็ เท่า

น้ันเอง เพยี งแตเ่ ราทาใหม้ นั วา่ งจากความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ซ่ึงลว้ นแต่นาไปสู่การเกิดและการดบั อยตู่ ลอด

กาล และนาไปสู่ความทุกขเ์ ดือดร้อนใจของสัตวโ์ ลก และโลกอ่ืนไปจริง ๆ เท่าน้นั เราก็ไม่มีความจาเป็ นที่
จะตอ้ งมีวธิ ิปฏิบตั ิเพื่อการตรัสรู้และหาทางออกท้งั หลายท้งั สิ้นเลย

คาสอนของพทุ ธะท้งั หมดมีวตั ถุประสงคข์ อ้ น้ีเพียงขอ้ เดียว คือพาพวกเราขา้ มข้ึนใหพ้ น้ เสียจากภูมิ
แห่งความคิด บดั น้ีถา้ รีดความคิด หรือหยดุ ความคิดของเราไดส้ าเร็จแลว้ ประโยชน์อะไรดว้ ยธรรมท้งั หลาย
ที่พุทธะไดส้ อนไว้ มนั หมายถึงสามารถปฏิบตั ิจนหยดุ คิดของความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ เสียได้ ไมม่ ีอะไร

สามารถปรุงใหจ้ ิตคิดไปตามอานาจกิเลสตณั หาไดอ้ ีกต่อไป เป็นจิตทวี่ ่างจากสิ่งปรุงแต่งและความคดิ ท้งั

ปวง นั่นแหละเป็ นตวั ธรรม หรือพุทธะ หรือธรรมชาติเดิมแทอ้ ยใู่ นความเป็นเช่นน้นั เพราะเราน้นั ถา้ เรา
สามารถทาความเขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ึงแลว้ คาพดู ของมนุษยไ์ ม่สามารถหวา่ นลอ้ ม หรือเปิ ดเผยมนั ได้ ความตรัสรู้

คือความไม่มอี ะไรให้ระลกึ ถึง ผ้ถู ึงได้กไ็ ม่พูดแล้ว ไม่พูดว่าเขารู้อะไร เพราะสิ่งนีม้ ันอยู่เหนือคาพูด


Click to View FlipBook Version