1
ลงิ เจา้ ปัญญา
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้พยายามปลง
พระชนมพ์ ระองค์ ได้ตรัสอดตี นิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหน่ึงนานมาแล้ว พระโพธสิ ัตว์เกิดเป็นพญาลงิ มีรปู ร่างใหญ่โตสวยงาม มีพละกาลงั เท่าช้าง
อาศัยอยู่ที่ราวป่า คุ้งแม่น้าแห่งหนึ่ง ในแม่น้าน้ันมีจระเข้สองผัวเมียอาศัยอยู่ วันหน่ึง จระเข้ตัวเมียเห็น
ร่างกายของพญาลิงแล้วเกดิ แพท้ ้องอยากกนิ หัวใจลงิ ตวั น้ัน
"พีช่ ่วยนามนั มาให้นอ้ งหนอ่ ยนะจะ๊ "
สามีพูดว่า "น้องจ๋าเราเป็นสัตว์ในน้า ลิงเป็นสัตว์บนบก พี่จะจับลิงได้อย่างไรละจ๊ะ" เมียพูดด้วย
ความน้อยในว่า "พ่ีต้องหาวิธีจับมันมาให้ได้ มิเช่นน้ันน้องขอตายดีกว่า" สามีจึงพูดปลอบใจว่า "น้องจ๋า
อยา่ งเพิง่ ตายเลยจะ๊ พ่ีจะไปจบั มันมาเด๋ียวน้ลี ะจ๊ะ"
วา่ แล้วกไ็ ปหาพญาลงิ ท่ีกาลังลงมาด่ืมนา้ ทฝี่ ง่ั พอดี รอ้ งถามขึ้นวา่ "ท่านลิง ท่านกินแต่กล้วยทฝ่ี ัง่ น้ไี ม่
เบื่อรึไง ไม่คิดอยากจะข้ามไปกินผลไม้ฝ่ังโน้นบ้างหรือ" ลิงตอบว่า "ท่านจระเข้ แม่น้านี้กว้างใหญ่ไพศาล
เราจะข้ามไปได้อย่างไร" จระเข้ ได้ทีจึงเสนอตัวว่า " ถ้าท่านจะไปจริง ๆ ก็ขึ้นบนหลังของเราไปก็ได้ เรา
อาสาจะไปสง่ " ลงิ เชื่อคาพูดของมันจึงไดก้ ระโดดขน้ึ บนหลังจระเข้ไป
จระเขพ้ อพาลิงไปถงึ กลางแม่น้าก็มุดลงดาน้า ลิงร้องถามว่า "ท่านแกล้งเรา จะให้เราจมน้าตายรึไง"
จระเข้ตอบว่า "เรามไิ ด้คิดอาสาจะพาท่านไปฝ่งั โน้นจรงิ ๆ หรอก เมียเราแพท้ อ้ งอยากกินหวั ใจทา่ น เราจะพา
ทา่ นไปใหเ้ มียเรากินตา่ งหาก"
2
ลิงพูดข้ึนด้วยเล่ห์ว่า "เพ่ือนเอ๋ย ท่านบอกมาก็ดีแล้ว หากหัวใจอยู่ในท้องเราเม่ือกระโดดไปมาบน
ต้นไม้ หัวใจเราก็แหลกหมดนะสิ หัวใจไม่ได้อยู่กับเรา" จระเข้หลงกลถามไปว่า "แล้วท่านเอาหัวใจไปไว้ที่
ไหนละ" ลิงจึงชีไ้ ปทต่ี ้นมะเดื่อตน้ หนง่ึ ท่ีไมไ่ กลนกั มีผลสุกเป็นพวงอยู่ พร้อมกบั พูดวา่ "น่ันไง หัวใจของเรา
แขวนอยู่ที่ต้นมะเดื่อนั่นไง" จระเข้พูดว่า "หากท่านให้หัวใจแก่เรา เราจะไม่ฆ่าท่าน" ลิงพูดว่า "ถ้าเช่นน้ัน
ทา่ นพาเราไปท่นี ั้นสิ เราจะให้หวั ใจแก่ทา่ น"
จระเข้จงึ พาลิงไปสง่ ที่ตน้ มะเดื่อน้ัน ลิงกระโดดข้ึนต้นมะเด่อื ไปแลว้ พร้อมกบั พดู วา่ "เจา้ จระเขห้ นา้
โง่ หัวใจสตั ว์ตัวไหนจะอยู่บนยอดไม้ เจ้าใหญ่แต่ตัวเสยี เปล่า หามีปัญญาไม่" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า "เราไม่
ตอ้ งการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า และผลขนนุ ท่ีทา่ นเหน็ ฝ่ังสมุทรโนน้ ผลมะเดอ่ื ของเราตน้ นีด้ กี ว่าร่างกายของ
ทา่ นใหญโ่ ตเสียเปลา่ แต่ปัญญาไม่สมกับร่างกายเลย จระเข้..ถูกเราลวงแล้วนัดนเี้ จ้าจงไปตามสบายเถิด"
จระเข้พอทราบวา่ หลงกลลิงแลว้ ก็เป็นทกุ ขเ์ สยี ใจซมึ เซาเหมอื นกับเสียพนนั มุดกลับยงั ถิ่นทอ่ี ยขู่ อง
ตนตามเดิม
3
หนูกดั ผ้า
ในสมัยหน่ึง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภพราหมณ์ชาวเมืองผู้หน่ึง
ซึ่งเปน็ ผู้ถอื มงคลต่นื ข่าว ไมเ่ ล่อื มใสในพระรัตนตรยั เป็นมิจฉาทฎิ ฐิ มีโภคทรพั ยม์ าก เรอื่ งมีอยวู่ ่า...
วันหนึ่ง หนูได้กัดผ้านุ่งคู่หน่ึงของพราหมณ์ ท่ีเก็บไว้ในหีบ เขาคดิ ว่า " ความพินาศอย่างใหญ่หลวง
จกั มแี กค่ รอบครัวของเราและผ้ทู ี่นุ่งผ้าคนู่ ี้ " จึงใหล้ ูกชายใช้ท่อนไม้คอนผา้ ไปทิง้ ท่ีป่าชา้ ผีดบิ
เช้าตรู่ของวันนั้น พระพุทธองค์ได้ตรวจดูเวไนยสัตว์ เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของพราหมณ์
พอ่ ลกู คูน่ ้ี จึงไดเ้ สด็จไปเหมือนนายพรานตามรอยเน้อื ไดป้ ระทับยนื อยูท่ ่ีประตูปา่ ชา้ ผีดบิ ทรงเปล่งพระพุทธ
รังษี ๖ ประการอยู่ ฝา่ ยลกู ชายของพราหมณ์ เดนิ คอนผา้ เข้าประตปู า่ ช้าผดี บิ มา เม่ือพระพุทธองค์ตรสั ถาม จึง
เล่าเรื่องนั้นให้ฟัง พระพุทธองค์จึงตรัสให้ท้ิงผ้าน้ันเสีย พอมานพนั้นทิ้งผ้าแล้ว พระองค์ก็ทรงถือเอาผ้านั้น
ต่อหน้ามานพน่ันเอง ทั้งๆที่ถูกมานพนั้นห้ามอยู่ว่า " อย่าจับ อย่าจับ ผ้าน้ันเป็นอวมงคล " ก็ทรงถือผ้าน้ัน
เสด็จกลบั วัดเวฬุวนั ไป
มานพรบี กลับไปบ้านบอกเรื่องน้ันแก่บิดา พราหมณ์พอได้ฟังลูกชายเลา่ เร่ืองจบ ก็ตกใจด้วยเกรงว่า
" ความพินาศจักมีแก่พระพุทธเจ้าและพระวิหาร ผู้คนก็จะครหานินทาได้ เราต้องหาผา้ ผืนใหม่ไปถวายแลก
ผ้าคู่นั้นนากลับไปทิ้งเสีย " จึงชวนลูกชายและคนรับใช้นาผ้าใหม่ไปวัดเวฬุวัน ขอถวายผ้าใหม่แลกกับผ้าคู่
น้ันคืนมา
พระพุทธองคต์ รสั วา่
" พราหมณ์ พวกเรามนี ามวา่ บรรพชติ ผา้ เกา่ ๆทเี่ ขาทง้ิ แล้วหรอื ตกอย่ใู นทเ่ี ช่นนน้ั ยอ่ มควรแก่พวกเรา ทา่ น
เองมใิ ช่แตจ่ ะเพิง่ เป็นคนมีความเช่อื อยา่ งนใี้ นบดั นเี้ ท่านน้ั แมใ้ นคร้งั กอ่ นก็เคยมคี วามเชือ่ อย่างนีเ้ หมอื นกนั "
4
ได้ตรสั อดีตนทิ านมาสาธกแล้ว ตรสั พระคาถาวา่
" ผใู้ ดถอนทฏิ ฐเิ ร่ืองมงคล อบุ าต ความฝนั และลักษณะได้แลว้
ผนู้ ัน้ ลว่ งพ้น ส่ิงอันเป็นมงคลและโทษท้ังปวง ครอบงากเิ ลสเป็นคู่ ๆ
และโยคะทัง้ ๒ ประการไดแ้ ลว้ ไมก่ ลบั มาเกิดอกี "
5
สุนัขจิ้งจอกอยากเป็นผู้นา
ในสมัยหนึ่ง พระพทุ ธเจา้ ประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมอื งราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทตั ผู้แสดงท่าทาง
อย่างพระองค์ ไดต้ รสั อดีตนทิ านมาสาธกวา่ ...
กาลคร้งั หน่งึ นานมาแลว้ พระโพธิสัตว์เกิดเปน็ ราชสีห์ อาศยั อยูใ่ นถ้าทองในปา่ หิมพานต์ วันหนงึ่
ออกจากถ้าทองไปหาอาหาร ได้กระบือใหญต่ วั หนึ่ง กินเนอ้ื แลว้ ไปด่ืมน้าทส่ี ระแหง่ หนึ่ง
ในขณะท่ีเดินกลับถ้า ได้พบสุนัขจ้ิงจอกตัวหนึ่งในระหว่างทาง สุนัขจิ้งจอกจึงขออาสาเป็นผู้รับใช้
ราชสีห์ด้วยความกลัวตาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสุนัขจ้ิงจอกก็ได้กินเนื้อเดนราชสีห์อย่างอิ่มหนาสาราญ มันมี
หน้าทีข่ ้ึนยอดเขาไปดูสตั ว์ที่จะเปน็ อาหาร แลว้ กลับลงมาบอกพระยาราชสีห์วา่
" ขา้ พเจ้า อยากกนิ เนื้ออยา่ งโนน้ นายทา่ น จงแผดเสยี งเถดิ " พระยาราชสีหก์ ็จะไปจับสตั วต์ วั นน้ั มา
เปน็ อาหาร ไมว่ า่ จะเป็นเนอ้ื นานาชนิดหรอื แมก้ ระท่งั ช้าง
คร้ันเวลาผ่านไปหลายปี สุนัขจิ้งจอก ชักกาเริบเกิดความคิดว่า " แม้ตัวเรา ก็เป็นสัตว์ มี ๔ เท้า
เหมือนกัน เหตุใด จะให้ผ้อู ื่นเลีย้ งอยู่ทุกวันเลา่ นับแต่น้ีเป็นต้นไป เราจะฆ่าช้างเป็นอาหารกินเนื้อเอง แม้แต่
ราชสีห์ก็เพราะอาศัยเราบอกว่านายขอรับ เชิญท่านแผดเสียงเถิด เท่าน้ัน ก็จึงฆา่ สัตว์ต่างๆได้ ต่อแต่น้ี เราจะ
ให้ราชสีห์พูดกับเราบ้าง " ได้เข้าไปหาราชสีห์แล้วบอกเร่ืองน้ัน แม้ถูกพระยาราชสีห์พูดเยาะเย้ยว่า
" เปน็ ไปไมไ่ ด้ "
6
ก็ตามคงเซ้าซี้อยู่นั่นเอง พระยาราชสีห์เม่ือไม่อาจห้ามมันได้ ก็รับคาให้สุนัขจ้ิงจอกนอนในที่นอน
ของตน แลว้ ไปคอยดูช้างตกมันท่ีเชิงเขา พบแล้วก็กลับเข้ามาบอกสุนัขจ้ิงจอกว่า " จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสยี ง
เถิด "
สุนัขจงิ้ จอก ออกจากถา้ ทอง สลัดกาย มองทศิ ท้งั ๔ หอนข้นึ สามคาบ วงิ่ กระโดดเข้างับชา้ งหวงั ท่ี
กา้ นคอชา้ ง กลับพลาดไปตกทใ่ี กล้เทา้ ชา้ ง ช้างจงึ ยกเท้าขวาขน้ึ ไปเหยียบหัวจิ้งจอก จนหวั กะโหลกแตกเปน็
จนุ แลว้ เอาเทา้ คลงึ รา่ งของมนั ทาเป็นกองไวแ้ ลว้ เยยี่ วรดข้างบน รอ้ งกมั ปนาทเข้าป่าไป
พญาราชสหี ์เหน็ เช่นนน้ั แลว้ จงึ กลา่ วคาถาน้วี ่า
" มนั สมองของเจา้ ทะลักออกมา กระหม่อมของเจา้ กถ็ ูกทาลาย
ซโี่ ครงของเจ้า ก็หกั หมดแลว้ วันน้ี เจา้ ชา่ งรงุ่ โรจนเ์ หลอื เกนิ "
7
บวชเพราะผมหงอก
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการเสด็จออกผนวชของ
พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลคร้ังหนึ่งนานมาแล้ว ในกรุงมิถิลา วิเทหรัฐ มีพระราชาผู้ทรงธรรมพระองค์หน่ึงพระนามว่า
มฆเทวะ พระองค์ได้ตรัสกับนายช่างกัลบก(ช่างตัดผม)ว่า " นายช่าง หากวันใดท่านเห็นผมหงอกบนศีรษะ
เรา จงบอกเราด้วย "
ต่อมาวันหน่ึง นายช่างกัลบกพบผมหงอกเส้นหน่ึงบนศีรษะของพระราชา จึงได้ทูลให้ทรงทราบ
พระราชาจงึ สั่งใหถ้ อนออกมาวางไว้ที่ฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์
ในสมัยน้ัน พระราชายังมีพระชนมายุเหลืออยู่อีก ๘๔,๐๐๐ ปี ถึงกระน้ันพระองค์ก็ถึงความสลด
พระทัยว่า ความตายใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงวิตกจนพระเสโทเปียกชุ่มไปทั่วพระวรกาย ได้ตัดสิน
พระทัยออกบรรพชาในวันน้ัน จึงทรงประทานบ้านหลังโตแก่นายช่างกัลบก และมอบราชสมบัติแก่
พระโอรสพระองค์ใหญ่
พวกอามาตย์ ได้ทูลถามถึงสาเหตุท่ีพระองค์สละราชสมบัติ พระองค์จึงตรัสบอกสาเหตุที่สละราช
สมบัตอิ อกบวชเพราะผมหงอกบนศีรษะ แล้วได้ตรสั คาถาแกอ่ ามาตย์ท้ังหลายว่า
" เมอื่ วยั ลว่ งลบั ไป ผมบนศีรษะของเรากห็ งอก
เทวทูตกป็ รากฎชัด บัดนี้ เปน็ เวลาทเ่ี ราควรจะบวช "
ครนั้ ตรัสแล้ว กส็ ละราชสมบัตบิ วชเป็นฤาษีในวันน้นั เอง ประทับอยู่ในสวนมะม่วงตราบจนสวรรคต
8
สะใภ้เศรษฐี
ในสมัยหน่ึง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภนางสุชาดาน้องสาวของนาง
วิสาขาซึ่งเป็นลูกสะใภ้ของทา่ นอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เรือ่ งมีอย่วู ่า...
นางสุชาดาสาคัญตนว่าเป็นลกู สาวของตระกูลใหญ่ จึงไม่ยอมก้มหัวให้กับใคร ๆ ในครอบครัวสามี
แม้กระท่ังปู่และย่า เที่ยวดุด่าเฆี่ยนตีทาสรับใช้ในเรือนของสามีอยู่เป็นประจา ต่อมาวันหน่ึง พระพุทธเจ้า
พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆเ์ ขา้ ไปฉันท่ีบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ขณะท่ีกาลังแสดงธรรมอยู่นั่นเอง ได้
ยินเสยี งเอะอะโวยวาย จึงตรสั ถามทา่ นเศรษฐี เม่อื เศรษฐีกราบทลู ใหท้ รงทราบแลว้ พระองค์จงึ รบั สัง่ ให้เรยี ก
นางมาเข้าเฝ้า และตรัสถามนางว่า " สุชาดา ภรรยามี ๗ จาพวก เธอเป็นภรรยาจาพวกไหน " นางสุชาดาไม่
ทราบจงึ กราบทูลวา่ " ขา้ พระองค์ไม่ทราบวา่ พระองค์ตรสั หมายถึงอะไร โปรดอธบิ ายดว้ ยเถิดพระเจ้าข้า "
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแสดงภรรยา ๗ จาพวกว่า " สุชาดา ภรรยาจาพวกที่ ๑ มีจิตคิดประทุษร้ายสามี
มิได้ประพฤติส่ิงที่เป็นประโยชน์เก้ือกูลแก่สามี รักใคร่ในชายอื่น ดูหม่ินล่วงเกินสามี ขวนขวายเพ่ือจะฆ่า
สามี นเ่ี รยี กว่า วธกาภรยิ า ภรรยาเสมอื นดังเพชฌฆาต
ภรรยาจาพวกท่ี ๒ สามีได้ทรัพย์มามอบให้ภรรยาเก็บรกั ษาไว้ แต่ภรรยาไม่รู้จักเกบ็ รกั ษา ปรารถนา
แต่จะใชท้ รพั ย์นั้นให้หมดไป น่ีเรยี กว่า โจรีภริยา ภรรยาเสมือนดังโจร
ภรรยาจาพวกท่ี ๓ เกียจคร้านทางาน กินจุ มักโกรธ มักดุด่า กดข่ีคนใช้ นี่เรียกว่า อัยยาภริยา ภรรยา
เสมอื นดังเจ้านาย
9
ภรรยาจาพวกท่ี ๔ โอบอ้อมอารี ทาแต่ส่ิงท่ีเป็นประโยชน์เก้ือกูลทุกเม่ือ ตามรักษาสามีเหมือนแม่
รักษาลูก รกั ษาทรพั ย์ทส่ี ามีหามาไดไ้ ว้ นเี่ รยี กวา่ มาตาภรยิ า ภรรยาเสมือนดงั มารดา
ภรรยาจาพวกที่ ๕ มีความเคารพสามี มีความละอายใจ ทาตามความพอใจสามี คล้ายน้องสาวเคารพ
พช่ี าย น่เี รยี กวา่ ภคนิ ีภรรยา ภรรยาเสมอื นดังน้องสาว
ภรรยาจาพวกที่ ๖ เห็นหน้าสามีย่อมร่าเริงยินดี คล้ายกับเพ่ือนรักมาเยี่ยมเยือนบ้าน รักษาชื่อเสียง
วงศต์ ระกูล มศี ีลมวี ตั รปฏบิ ัตติ อ่ สามี นเ่ี รยี กวา่ สขีภริยา ภรรยาเสมอื นดงั เพอ่ื น
ภรรยาจาพวกที่ ๗ เป็นคนท่ีไม่มีความขึงโกรธ ถึงจะถกู คุกคามก็ไม่มีจิตคิดประทุษรา้ ย อดกล้นั ต่อ
สามี เอาใจสามเี ก่ง น่ีเรียกว่า ทาสภี รยิ า ภรรยาเสมอื นดังทาส
สุชาดา ภรรยา ๓ จาพวกแรกตอ้ งตกนรก สว่ นภรรยา ๔ จาพวกหลงั ไปเกดิ ในเทวโลกชั้นนิมมานรดี
ภรรยา ๗ จาพวกนี้ เธอจะเปน็ จาพวกไหน "
เม่ือพระพุทธองค์เทศนาเร่ืองภรรยา ๗ จาพวกจบเท่านั้น นางสุชาดาได้เป็นพระโสดาปัตติผลทันที
จึงกราบทูลว่า " ข้าพระองค์ขอเป็นทาสีภริยา ภรรยาเสมือนดังทาส พระเจ้าข้า" ถวายบังคมขอขมา
พระพุทธเจา้ แล้วก็ไป
เม่ือกลับถึงวัดเชตวันพวกภิกษุพากันสนทนาถึงนางสุชาดาที่เป็นหญิงสะใภ้ผู้ดุร้าย พอได้ฟังธรรม
ของพระพทุ ธองคแ์ ลว้ กลบั เปน็ หญงิ เรียบรอ้ ยไปได้
พระพทุ ธเจ้าเพอื่ คลายความสงสัยของพวกภิกษุได้ตรัสอดตี นทิ านมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัต เมืองพาราณสี
พอเจริญวัยได้ไปศึกษาศิลปะที่เมืองตักกสิลา เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วก็ได้ข้ึนครองราชย์สืบมา
พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรม แต่พระมารดาเป็นผู้มักโกรธดุร้าย ชอบด่าข้าทาสบริวารอยู่เสมอ
พระองคค์ ดิ หาวิธจี ะตกั เตือนพระมารดาแตก่ ็ยงั หาไม่ได้
วันหน่ึง พระองค์เสด็จไปสวนหลวงพร้อมด้วยพระมารดา มีบรวิ ารแวดล้อมไปด้วยคณะใหญ่ พวก
ข้าทาสบริวารพอได้ยินเสียงนกตอ้ ยตวี ิดร้องก็พากันปิดหูพร้อมกบั บน่ ว่า " เจ้านกบ้า เสียงไม่ไพเราะก็ยังรอ้ ง
อยู่ได้ ไม่อยากฟัง" ลาดับนั้นได้ยินเสียงนกดุเหว่ารอ้ งสาเนียงไพเราะก็พากันชื่นชมว่า " เสยี งเจ้าช่างไพเราะ
จริงๆ ร้องต่อไปเร่ือยๆ อย่าได้หยุดนะ" พระองค์คิดว่าได้โอกาสตักเตือนพระมารดาแล้ว จึงตรัสเป็นพระ
คาถาว่า
10
" ธรรมดาสัตวท์ ัง้ หลายทส่ี มบูรณว์ รรณะ มีเสยี งอนั ไพเราะ น่ารกั นา่ ชม
แตพ่ ดู จาหยาบกระด้าง ย่อมไม่เปน็ ที่รกั ของใครๆ ทั้งในโลกนแ้ี ละโลกหน้า
พระองค์กไ็ ด้เหน็ มิใชห่ รือวา่ นกดุเหว่าสีดาตวั นมี้ ีสไี มส่ วย ลายพรอ้ ยไปทง้ั ตัว
แตเ่ ปน็ ทีร่ กั ของสัตว์ท้งั หลายจานวนมาก เพราะรอ้ งดว้ ยเสยี งอันไพเราะ
เพราะฉะน้ัน บุคคลควรพดู คาอันสละสลวย คิดก่อนพดู พดู พอประมาณไม่ฟุ้งซ่าน
ถ้อยคาของผูท้ ีแ่ สดงเปน็ อรรถเปน็ ธรรม เปน็ ถอ้ ยคาอันไพเราะ เปน็ ถ้อยคาท่ีเป็นภาษติ "
พระมารดาได้สดับแลว้ ก็กลับได้สติ จาเดิมแต่วันน้ันมาก็กลายเป็นคนเพียบพร้อมด้วยมารยาทอันดี
งามไม่ดดุ า่ ว่ารา้ ยใครๆ ครองชวี ติ โดยธรรมเสดจ็ ไปตามยถากรรม