บทที่ 5
สัญญาเช่าซื้อ ( Hire purchase )
จัดทำโดย
นางสาวอริสา ศิริวงษ์
รหัสนิสิต 631081361
นำเสนอ
อาจารย์วีณา สุวรรณโณ
รายวิชาเอกเทศสัญญา1 (0801211)
ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2564
หลักสูตรนิติศาสตร์ 4ปี ภาคเรียนปกติ
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
คำนำ
หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียน วิชาเอกเทศสัญญา1(0801211)
โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้จัดทำได้ฝึกการศึกษาค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ตหรือใน
google ให้มีประโยชน์และนำสิ่งที่ได้ มาสร้างเป็น E-BOOK เพื่อเก็บไว้เพื่อนำไป
ประกอบต่อการเรียนการสอนของตนเองและอาจารย์ต่อไป
ทั้งนี้เนื้อหาได้รวบรวมมาจากหนังสือแบบเรียนและจากหนังสือคู่มือการเรียนอีก
หลายเล่ม ขอขอบพระคุณ อาจารย์ วีณา สุวรรณโณ อย่างสูง ที่กรุณาให้คำแนะนำเพื่อ
แก้ไขให้ข้อเสนอแนะตลอดการทำงาน ผู้จัดทำหวังว่าหนังสือเล่มนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้ที่
นำไปใช้ให้เกิดผลตามความคาดหวัง
ผู้จัดทำ
นางสาวอริสา ศิริวงษ์
สารบัญ
เรื่อง หน้า
1. ข้อความเบื้องต้น 1-2
2. สาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อ 3-11
3. แบบของสัญญาเช่าซื้อ 12
4. สิทธิหน้าที่ของผู้ให้เช่าซื้อและผู้เช่าซื้อ 13-14
5. ความระงับของสัญญาเช่าซื้อ 15-20
6. อายุความ 21-22
7. สรุป 23
1. ข้อความเบื้องต้น
สัญญาเช่าซื้อ (Hire Purchase) เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของ
ประชาชนเป็นจำนวนมากซึ่งการทำสัญญาเช่าซื้อนั้นอาจมาเหตุหลาย
ประการ เช่น ผู้ซื้ออาจยังไม่มีเงินสดครบถ้วนเพียงพอที่จะสามารถซื้อ
ทรัพย์สินนั้นได้ในราคาเต็มจำนวน จึงอยากจะขอแบ่งผ่อนชำระเป็น
งวด หรือผู้ขายมีเจตนาที่อยากจะขายสินค้านั้น ๆ แต่หาผู้ซื้อที่จ่าย
เป็นเงินสดเต็มจำนวนค่อนข้างยากผู้ขายจึงยอมให้มีการส่งใช้เงินค่า
ทรัพย์สิน ๆ ออกเป็นงวด ๆ อันเป็นการแบ่งเบาภาระการส่งใช้เงินของ
ผู้ซื้อเราเรียกสัญญาที่มีลักษณะดังกล่าวว่า“ สัญญาเช่าซื้อ” ซึ่ง
ทรัพย์สินที่ประชาชนนิยมเข้าทำสัญญาเช่าซื้อกันนั้น ได้แก่ บ้าน
รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
สำหรับสัญญาเช่าซื้อนั้น ได้มีการบัญญัติเอาไว้ในบรรพ 3 ลักษณะ 5
ตั้งแต่มาตรา 572- 574 รวม 3 มาตรา อย่างไรก็ดี แม้ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะได้บัญญัติหลักกฎหมายอันเกี่ยวกับ
หน้าที่และความรับผิดของคู่สัญญาเอาไว้ก็ตาม แต่คู่สัญญาก็อาจ
ตกลงกันเอาไว้เป็นอย่างอื่นได้ตราบเท่าที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติอันเกี่ยว
กับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
อนึ่ง การทำสัญญาเช่าซื้อนั้น คู่สัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือเสมอ ไม่
ว่าหนังสือนั้นจะใช้แบบพิมพ์หรือเขียนเองทั้งฉบับ โดยไม่จำเป็นต้องไป
จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่อย่างใด หากไม่ได้ทำเป็นหนังสือ
สัญญาเช่าซื้อก็ตกเป็นโมฆะ ผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งจะยกความ
เสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมนั้นขึ้นกล่าวอ้างก็ได้ ซึ่งกฎหมายให้นำ
บทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับแก่กรณี
(1)
ความหมายของสัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อ คือ สัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินของตน
ออกให้ผู้อื่นเช่า เพื่อใช้สอยหรือเพื่อให้ได้รับประโยชน์ และให้คำมั่นว่า
จะขายทรัพย์นั้น หรือจะให้ทรัพย์สินที่เช่าตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ เมื่อ
ได้ใช้เงินจนครบตามที่ตกลงไว้โดยการชำระเป็นงวด ๆ จนครบตาม
ข้อตกลง สัญญาเช่าซื้อมิใช่สัญญาซื้อขายผ่อนส่ง แม้ว่าจะมีลักษณะ
คล้ายคลึงกันเรื่องชำระราคาเป็นงวด ๆ ก็ตาม เพราะการซื้อขาย
ผ่อนส่งนั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นของผู้ซื้อทันทีขณะทำสัญญา
ไม่ต้องรอให้ชำระราคาครบแต่ประการใด ส่วนเรื่องสัญญาเช่าซื้อ
เมื่อผู้เช่าบอกเลิกสัญญาบรรดาเงินที่ได้ชำระแล้ว ให้ริบเป็นของ
เจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครอบครอง
ทรัพย์สินที่เช่าซื้อได้
หลักเกณฑ์ที่สำคัญของสัญญาเช่าซื้อ คือ
1. ผู้ให้เช่าซื้อต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ใช้เช่า
2. ผู้ให้เช่าซื้อนำทรัพย์ของตนให้ผู้เช่าซื้อไปใช้ประโยชน์
3. ผู้ให้เช่าซื้อให้คำมั่นว่า จะขายทรัพย์สินนั้นแก่ผู้เช่าซื้อหรือให้
ทรัพย์สินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เช่าซื้อ
4. ผู้เช่าจะต้องชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดๆ เท่านั้นเท่านี้ จนครบตามที่
ตกลงกัน
5. สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ถือว่าเป็นโมฆะ
(2)
2. สาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อ
มาตรา 572 วรรคแรก บัญญัติว่า “ อันว่าเช่าซื้อนั้นคือสัญญาซึ่ง
เจ้าของทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือ
ว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงิน
เป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว ... ” ดังนั้น สัญญาเช่าซื้อ คือ สัญญา
ซึ่งเจ้าของทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น
หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้
เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวเป็นการตอบแทนเมื่อผู้เช่าซื้อชำระ
ราคาเช่าซื้อครบงวดทั้งหมดแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อก็จะ
ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เช่าซื้อ
ตัวอย่าง
นายมั้ง มาสอนหนังสือในระดับปริญญาตรี ที่จังหวัดยะลา
นายมั้งจึงได้ทำการเช่าซื้อรถยนต์จากนายซัน ผู้ให้เช่าซื้อ
โดยชำระราคาค่าเช่าซื้อกันเป็นงวด ๆ ละ 10,000 บาท เป็นระยะเวลา
5 ปี เมื่อนายมั้งชำระราคาค่าเช่าซื้อครบงวดทั้งหมดแล้วรถยนต์คัน
ดังกล่าว ก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายมั้ง ดังนี้ เป็นสัญญาเช่าซื้อ
สังหาริมทรัพย์
(3)
สาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อ มีดังนี้
1) สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาสองฝ่าย
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาสองฝ่าย คือ“ ผู้เช่าซื้อ”
และ“ ผู้ให้เช่าซื้อ” ซึ่งสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นนิติกรรมสัญญาอย่าง
หนึ่ง การทำสัญญาเช่าซื้อจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นอกจาก
จะต้องพิจารณาถึงหลักทั่วไปภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 4 ว่าด้วยนิติกรรมแล้วนั้น บุคคลที่เข้า
ทำสัญญานั้นก็จะต้องมีสภาพบุคคลและมีความสามารถตาม
กฎหมาย อันส่งผลให้สัญญาเช่าซื้อที่เกิดขึ้นนั้นก่อให้เกิดผลทาง
กฎหมาย ทั้งผลในทางหนี้และผลในทางทรัพย์จนกว่าบุคคลที่
กฎหมายกำหนดเอาไว้จะใช้สิทธิบอกล้างสัญญาภายในกำหนด
ระยะเวลา
นอกจากนั้นนั้น การแสดงเจตนาเข้าทำสัญญาเช่าซื้อระหว่างคู่
สัญญาก็จะต้องไม่เกิดจากการถูกข่มขู่ กลฉ้อฉล ความสำคัญ
ผิด ไม่ว่าจะเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่ง
นิติกรรม หรือสำคัญในตัวบุคคลหรือตัวทรัพย์สิน หากสัญญา
เช่าซื้อมีวัตถุประสงค์เป็นการพันวิสัย เป็นการฝ่าฝืนข้อต้องห้าม
ชัดแจ้งโดยกฎหมาย สัญญาดังกล่าวก็ตกเป็นโมฆะ อนึ่งหากคู่
สัญญาประสงค์ที่จะเลิกสัญญาก็จะต้องนำเอาบทบัญญัติว่าด้วย
การเลิกสัญญาตามบรรพ 2 ว่าด้วย หนี้ (มาตรา 386-394) มาใช้
บังคับแก่กรณีด้วย เว้นแต่จะได้มีการบัญญัติเอาไว้เป็นการ
เฉพาะในเอกเทศสัญญานั้น ๆ
(4)
คำพิพากษาฎีกาที่ 568/2541
รถยนต์ที่จำเลยเช่าซื้อจากโจทก์เป็นรถยนต์เก่า แต่มีสภาพพอใช้
ได้และจำเลยได้ตรวจดูสภาพรถยนต์ที่เช่าซื้อแล้วและจำเลยได้รับ
มอบรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่ได้ตกลงทำสัญญา
เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้กรณีจึงไม่ใช่เป็นการสำคัญผิดในตัว
ทรัพย์สินที่ซื้อขายกันไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อตกเป็นโมฆะส่วนการที่
จำเลยมาตรวจสอบภายหลังพบว่าหมายเลขตัวถังและหมายเลข
เครื่องยนต์มีการปลอมแปลงไม่ตรงกับหมายเลขทะเบียนตามใบ
อนุญาตทะเบียนรถยนต์คันที่เช่าซื้อเป็นเพียงความสำคัญผิดใน
คุณสมบัติของทรัพย์สินซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญอันทำให้
นิติกรรมการเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวเป็นโมฆยะตามมาตรา 157 เมื่อ
จำเลยไม่ได้แสดงเจตนาบอกล้างโมฆยะกรรมดังกล่าวแก่โจทก์
สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังคงใช้บังคับได้หาตกเป็น
โมฆะไม่ดังนั้นเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วจำเลยผู้เช่าซื้อจึง
มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้โจทก์ในสภาพใช้การได้ดี
(5)
2) สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินออกให้เช่าและให้
คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่
ผู้เช่า
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่น
ว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า
ซึ่งคำว่า “ ตกเป็นสิทธิ” หมายถึง เมื่อผู้เช่าซื้อได้ชำระเงินให้แก่ผู้เช่า
ซื้อครบถ้วนแล้วให้ทรัพย์สินตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้เช่าซื้อ หรือผู้เช่า
ซื้ออาจสั่งให้โอนแก่ผู้ใด ก็ย่อมเป็นสิทธิของผู้เช่าซื้อ ทั้งนี้ เมื่อสัญญา
เช่าซื้อมีวัตถุประสงค์ที่จะมุ่งโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าหากผู้
เช่าซื้อชำระราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อครบถ้วนแล้ว ดังนั้นในสัญญาเช่า
ซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อจึงต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่ง
สัญญาเช่าซื้อ
คำพิพากษาฎีกาที่ 3718/2525
การให้เช่าซื้อเป็นธุรกิจหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในธุรกิจการนำเอาสินค้ามา
ให้ลูกค้าทำการเช่าซื้อได้โดยทำสัญญาเช่าซื้อกันไว้ล่วงหน้าให้มีผล
บังคับกันได้ค้าอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด
แม้โจทก์จะไม่มีสินค้าของตนเองก็อาจในเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์
แล้วมิใช่ว่าเมื่อไม่มีสินค้าของตนเองแล้วจะประกอบธุรกิจการค้า
ประเภทนี้ไม่ได้
(6)
คำพิพากษาฎีกาที่ 491/2546
สัญญาให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งแม้จะมีข้อตกลงให้ผู้เช่ามีสิทธิ
ซื้อทรัพย์สินที่เช่าเมื่อสัญญาเช่าแบบลิสซิ่งสิ้นสุดลงแล้วก็เป็น
เพียงคำมั่นจะขายทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้เช่าถ้าผู้เช่าไม่ใช้สิทธิก็
ต้องคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้ให้เช่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไม่ได้ตกเป็น
ของผู้เช่าทันทีจึงแตกต่างจากสัญญาเช่าซื้อในสาระสำคัญตาม
มาตรา 572 ซึ่งหากผู้เช่าชำระค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมตกเป็นของผู้เช่าซื้อทันทีสัญญาให้เช่า
ทรัพย์สินแบบลิสซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาเช่าทรัพย์อย่างหนึ่งตาม
นัยแห่งมาตรา 4 วรรคสอง โดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้
เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งตามประมวลรัษฎากรฯ มิได้กำหนดไว้ว่าจะต้อง
ปิดอากรแสตมป์
ดังนั้น สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นสัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินออกให้เช่า
และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตก
เป็นสิทธิแก่ผู้เช่า
ข้อสังเกต
สัญญาให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่ง (Leasing) ถือเป็นเรื่องใหม่
เนื่องจากไม่มีบทมาตราใดกำหนดนิยามหรือหลักเกณฑ์เอาไว้
เป็นการเฉพาะ นักกฎหมายบางท่านเห็นว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อบาง
ท่านเห็นว่าเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ ส่วนแนวคำพิพากษาฎีกานั้น
มองว่าเป็นสัญญาเช่าทรัพย์โดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้
เคียงอย่างยิ่ง
(7)
คำพิพากษาฎีกาที่ 735/2548
สัญญามีข้อความและรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เช่า ระยะ
เวลาการเช่าค่าเช่าที่ผู้เช่าตกลงชำระเป็นรายเดือน หน้าที่ของผู้เช่า
การสูญหายและเสียหายของทรัพย์สินที่เช่า การผิดสัญญา สิทธิใน
การยกเลิกสัญญาของผู้ให้เช่า อันเป็นลักษณะของการเช่าทรัพย์
โดยไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าคู่สัญญาได้ตกลงซื้อหรือเช่าซื้อ
ทรัพย์สินที่เช่า และไม่ปรากฏว่าค่าเช่าที่ชำระให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของ
ราคาทรัพย์สินที่เช่า แม้ตามสัญญาข้อ 6 จะให้ผู้เช่ามีสิทธิเลือกซื้อ
ทรัพย์สินที่เช่า ก็เป็นเพียงคำมั่นจะขายทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้เช่า
หากประสงค์จะซื้อในอนาคต คู่สัญญามิได้มีเจตนาที่จะโอน
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าให้แก่กันมาตั้งแต่เริ่มแรกดังสัญญาเช่า
ซื้อ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเช่าทรัพย์
ตัวอย่าง
นายบอย ผู้เช่าซื้อรถยนต์ แต่ยังชำระเงินค่าเช่าซื้อไม่ครบเมื่อมี
บุคคลใดมาทำละเมิดแก่รถยนต์ที่เช่าซื้อจนเกิดเสียหายและขาด
ประโยชน์การใช้ ย่อมถือว่านายบอย ผู้เช่าซื้อเป็นผู้เสียหายมีสิทธิ
ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลผู้ทำละเมิดนั้นได้
(8)
3) สัญญาเช่าซื้อมีทรัพย์สินเป็นวัตถุแห่งสัญญา
สำหรับวัตถุแห่งสัญญาซื้อคือทรัพย์สินซึ่งหมายความรวมทั้ง
ทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ เช่น
ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และหากพิจารณา คำว่า “
ทรัพย์สิน” ตามสัญญาซื้อขายในบทมาตรา 456 แล้วอาจแบ่ง
ทรัพย์สินออกได้เป็นอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์พิเศษ และ
สังหาริมทรัพย์โดยมีรายละเอียดดังนี้
-อสังหาริมทรัพย์ หมายถึง ที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมี
ลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น และ
หมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อันติดอยู่
กับที่ดินหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้นด้วย
-สังหาริมทรัพย์พิเศษ หมายถึง สังหาริมทรัพย์บางอย่างซึ่งหาก
ทำสัญญาซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ เรียกว่า“ สังหาริมทรัพย์พิเศษ” ซึ่งคำว่า
สังหาริมทรัพย์พิเศษนี้เป็นการเรียกชื่อกันเองของนักกฎหมาย ไม่ใช่
ถ้อยคำที่บัญญัติเอาไว้ในประมวลกฎหมายแต่อย่างใด
สังหาริมทรัพย์พิเศษ ได้แก่ เรือมีระวางตั้งแต่ห้าต้นขึ้นไปแพและสัตว์
พาหนะ
-สังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์สินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์
จะมีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างก็ได้ และหมายความรวมถึงสิทธิอันเกี่ยว
กับทรัพย์สินนั้นด้วยตามมาตรา 140 เช่น รถยนต์ โทรทัศน์
โทรศัพท์มือถือ ทองคำรูปพรรณ พระเครื่อง เงินโบราณ สุนัขเป็นต้น
(9)
4) เป็นสัญญาที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้
คราวแก่ผู้ให้เช่าซื้อ ซึ่งจะจ่ายกันเป็นงวด ๆ โดยไม่จำต้อง
กำหนดการผ่อนชำระเป็นรายเดือน รายวัน หรือรายสัปดาห์ แต่
อย่างใด และเมื่อชำระค่าเช่าซื้อครบตามงวดที่ตกลงกันครบถ้วน
แล้ว ผู้เช่าซื้อก็ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น
ทั้งนี้การส่งใช้เงินเป็นงวด ๆ เช่นนี้ย่อมเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าค่า
เช่าตามปกติธรรมดากฎหมายจึงไม่เรียกว่าค่าเช่า แต่เรียกว่าการ
ใช้เงิน
โดยสรุป สัญญาเช่าซื้อ หมายถึง สัญญาซึ่งเจ้าของทรัพย์สินออก
ให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้น
ตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าโดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้น
เท่านี้คราวอันส่งผลให้คู่สัญญาเช่าทรัพย์ต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้
ซึ่งกันและกันบุคคลที่เข้าทำสัญญานั้นก็จะต้องมีสภาพบุคคลและมี
ความสามารถตามกฎหมายสำหรับวัตถุแห่งสัญญาเช่าซื้อคือ
ทรัพย์สิน ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์สังหาริมทรัพย์พิเศษและ
สังหาริมทรัพย์เมื่อผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินค่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้
ในสัญญาแล้วกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อย่อมตกเป็นสิทธิแก่ผู้
เช่าซื้อโดยผลของกฎหมาย
(10)
แต่หากสัญญาที่ได้ตกลงกันนั้นไม่มีองค์ประกอบครบถ้วนตามที่
อธิบายมาก่อนหน้า นี้ก็ไม่ถือเป็นสัญญาเช่าซื้อแต่อย่างใด เช่น
เอกสารมีข้อความว่าหนังสือสัญญาขายรถยนต์และซื้อขายกันใน
ราคาสุทธิ 30,000 บาท ชำระเงินงวดแรกแล้วจำนวนหนึ่งส่วนที่
เหลือผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ละเดือนจนกว่าจะครบ หากผู้ซื้อค้างชำระ
เงินถึง 3 งวด ฝ่ายผู้ขายจะยึดรถคืน ย่อมถือได้ว่าเป็นการซื้อขาย
รถยนต์โดยผ่อนชำระราคาเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการเช่าซื้อแต่อย่างใด แม้
จะมีข้อความว่าถ้าผู้ซื้อค้างชำระเงินถึง 3 งวด ฝ่ายผู้ขายจะขอยึดรถ
คืนก็เป็นแต่เพียงการตกลงกันไว้ล่วงหน้าถึงสิทธิของผู้ขายในเมื่อผู้
ซื้อผิดสัญญาไม่ชำระราคาเท่านั้น หาทำให้สัญญานี้กลายเป็นสัญญา
เช่าซื้อไปไม่
ข้อสังเกต
ได้อธิบายเอาไว้ในสัญญาเช่าทรัพย์สินแล้วว่า ในสัญญาเช่าทรัพย์
นั้นถือเอา “ คุณสมบัติของผู้เช่า” เป็นสาระสำคัญของสัญญา
เนื่องจากผู้ให้เช่าจะต้องคำนึงถึงคุณสมบัติของผู้เช่าเป็นสำคัญใน
การไว้วางใจให้เป็นบุคคลผู้ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์รวมถึงการดูแล
ทรัพย์สินที่เช่าสิทธิของผู้เช่าจึงเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้เช่าตาย
สัญญาเช่าทรัพย์จึงระงับ ไม่ตกทอดไปยังทายาท แต่สิทธิสำหรับ
สัญญาเช่าซื้อนั้น วัตถุประสงค์แห่งสัญญาไม่ได้มุ่งไปที่การได้ใช้หรือ
ได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่า แต่เป็นสัญญาเช่าที่มีคำมั่นว่าจะ
ขายทรัพย์โดยมีเงื่อนไขการชำระเงินกันเป็นครั้งคราวรวมอยู่ด้วย
หากผู้เช่าซื้อชำระเงินแก่ผู้ให้เช่าซื้อครบถ้วนตามเงื่อนไข ก็จะได้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ดังนั้น ในสัญญาเช่าซื้อ หากผู้เช่าซื้อถึงแก่
ความตาย สัญญาเช่าซื้อไม่ระงับ ทายาทสืบสิทธิของผู้เช่าซื้อได้
(11)
3. แบบของสัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อจะต้องทำเป็นหนังสือ จะทำด้วยวาจาไม่ได้ มิฉะนั้น
จะเป็นโมฆะเสียเปล่า ทำให้ไม่มีผลตามกฎหมายที่จะผูกพัน ผู้เช่า
ซื้อกับผู้ให้เช่าซื้อได้ การทำสัญญาเป็นหนังสือนั้น จะทำกันเองก็ได้
ไม่จำเป็นต้องทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้เช่าซื้อจะเขียนสัญญาเอง
หรือจะใช้แบบพิมพ์ที่มีไว้กรอก ข้อความลงไปก็ได้ หรือจะให้ใคร
เขียนหรือพิมพ์ให้ทั้งฉบับก็ได้ แต่สัญญานั้นจะต้องลงลายมือชื่อ
ของผู้เช่าซื้อ และผู้ให้เช่าซื้อ ทั้งสองฝ่ายหากมีลายมือชื่อของคู่
สัญญาแต่เพียงฝ่ายใด้ฝ่ายหนึ่ง เอกสารนั้นหาใช่สัญญาเช่าซื้อไม่
การทำเป็นหนังสือ
การทำเป็นหนังสือ หมายถึง การทำสัญญาขึ้นเป็นลายลักษณ์
อักษร มีสาระสำคัญต่างๆ อันเป็นองค์ประกอบของสัญญาเช่าซื้อ
ครบถ้วน และในหนังสือสัญญาเช่าซื้อนั้นจะต้องมีการลงลายมือ
ชื่อของคู่สัญญา กล่าวคือ ลายมือชื่อของทั้งผู้เช่าซื้อและผู้ให้เช่า
ซื้อ
ตัวอย่าง
นายเวฟ เช่าซื้อรถยนต์จาก นายริส ผู้ให้เช่า โดยชำระราคาค่า
เช่าซื้อกันเป็นงวด งวดละ 15,000 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี ดังนี้
สัญญาเช่าซื้อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวนั้นก็จะต้องทำเป็นหนังสือ
กล่าวคือ ทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร และในหนังสือสัญญานั้นจะ
ต้องมีการลงลายมือชื่อของทั้งนายเวฟ ผู้เช่าซื้อ และนายริส ผู้ให้
เช่าซื้อ
(12)
4. สิทธิหน้าที่ของผู้ให้เช่าซื้อและผู้เช่าซื้อ
หน้าที่ของผู้ให้เช่าซื้อ
1.ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อให้แก่ผู้เช่าซื้อ
2.เมื่อผู้เช่าซื้อส่งเงินครบตามจำนวนที่ตกลงในสัญญา แล้วผู้ให้
เช่าต้องจัดการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้เช่าซื้อ
3.รับผิดในความชำรุดบกพร่อง
สิทธิของผู้ให้เช่าซื้อ
1.ผู้เช่าซื้อกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสพคัญผ้ให้เช่าซื้อบอก
เลิกสัญญาได้
2.ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองคร้ังติดกัน
3.ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินอันเป็นคราวสุด คืองวดสุดท้าย
หน้าที่ผิดของผู้เช่าซื้อ
นำหลักเรื่องของหน้าที่ของผู้เช่าทรัพย์มาใช้บังคับ โดยใช้
ป.พ.พ.มาตรา4 มาใช้บังคับ เพราะเป็นกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง
สิทธิของผู้เช่าซื้อ
1.ผู้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามความพอใจ โดยไม่ต้อง
พิจารณาว่าผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาหรือไม่
2.วิธีบอกเลิกสัญญานั้น ทำได้โดยการส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อ
3.สิทธิบอกเลิกสัญญาเป็นสิทธิตามกฎหมาย ไม่ต้องระบุในสัญญา
(13)
คำพิพากษาฎีกาที่ 3849/2552
สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าและสัญญาซื้อขาย
จึงสามารถนำบทบัญญัติในลักษณะเช่าทรัพย์และลักษณะซื้อขาย
มาใช้บังคับได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกัน การที่โจทก์อ้างว่าที่ดินที่เช่าซื้อ
มีขนาดถึง 69 ตารางวา เพิ่มมากขึ้น 42 ตารางวา หรือมากกว่า 1.5
เท่าของเนื้อที่ดินที่เช่าซื้อ โจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิบอกปัดไม่
รับไว้ก็ได้ หากการจำนวนนั้นเกินกว่าร้อยละห้าแห่งเนื้อที่ทั้งหมดอัน
ได้ระบุไว้ ดังนั้น เมื่อเนื้อที่ดินจำนวนเกินกว่าร้อยละ 5 แห่งเนื้อที่
ทั้งหมดที่ระบุไว้ในสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิบอกปัดเสียและเลิกสัญญา
กับจำเลยได้
ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าซื้อเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าและสัญญา
ซื้อขาย ในส่วนของสิทธิหน้าที่ และความรับผิดของผู้เช่าและผู้ให้เช่า
นั้นจึงสามารถนำบทบัญญัติในลักษณะเช่าทรัพย์และลักษณะซื้อ
ขายมาใช้บังคับได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกัน เช่น การรับมอบทรัพย์สิน
ตามสัญญาเช่าซื้อ การชำระค่าเช่าซื้อ การดูแลและสงวนทรัพย์สิน
ตามสัญญาเช่าซื้อ การซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่าซื้อ การใช้ทรัพย์สิน
ตามปกติประเพณีนิยมหรือตามสัญญาเช่าซื้อ การโอนกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินเมื่อผู้เช่าซื้อชำระราคาครบถ้วน เป็นต้น
(14)
5. ความระงับของสัญญาเช่าซื้อ
ความระงับของสัญญาเช่าซื้ออาจเกิดขึ้นได้หลายกรณีเช่นเมื่อผู้
เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเมื่อผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาและการระงับ
สัญญาด้วยเหตุอื่น ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
5.1) สัญญาเช่าซื้อระงับเมื่อผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา
มาตรา 573 บัญญัติว่า “ ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลา
หนึ่งก็ได้ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้
จ่ายของตนเอง” ดังนั้น ในสัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อสามารถบอกเลิก
สัญญาในเวลาใด ๆ ก็ได้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อกลับ
คืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ โดยผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการ
คืนทรัพย์นั้นด้วย
ตัวอย่าง
นางสาวแอน ได้ทำการเช่าซื้อบ้านจาก นางสาวป๊อป ผู้ให้เช่า
โดยชำระราคาค่าเช่าซื้อกันเป็นงวดๆ งวดละ 30,000 บาท เป็น
เวลา 30 ปี ภายหลังจากที่เช่าไปได้ 5 ปี นางสาวแอน ไม่สามารถส่ง
จำนวนเงินงวดได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ดังนี้
นางสาวแอน ผู้เช่าซื้อ จะต้องส่งมอบทรัพย์สิน(บ้าน) กลับคืนให้แก่
นางสาวป๊อป ผู้ให้เช่าซื้อ
(15)
5.2) สัญญาเช่าซื้อระงับเมื่อผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา
มาตรา 574 บัญญัติว่า “ ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด
ๆ กันหรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ เจ้าของ
ทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้
มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของ
ทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย
อนึ่ง ในกรณีกระทำผิดสัญญาเพราะผิดนัดไม่ใช้เงินซึ่งเป็น
คราวที่สุดนั้น ท่านว่าเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะริบบรรดาเงินที่
ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อนและกลับเข้าครองทรัพย์สินได้ต่อเมื่อระยะ
เวลาใช้เงินได้พ้นกำหนดไปอีกงวดหนึ่ง”
สำหรับบทมาตรา 574 นั้นเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระ
เงินค่าเช่าซื้อ ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็นสองกรณีโดยมาตรา 574
วรรคแรกเป็นกรณีการผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อสองคราว
ติดๆกัน เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเสียก็ได้
และบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วก่อนนั้นก็ให้ริบเป็นของเจ้าของ
ทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สิน
นั้นได้ด้วย
คำพิพากษาฎีกาที่ 716/2525
ผู้เช่าซื้อผิดสัญญา เมื่อมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วผู้ให้เช่าซื้อ
ย่อมมีสิทธิรับเงินค่าเช่าซื้อที่รับไว้แล้วทั้งหมด กับมีสิทธิเรียก
ร้องค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้ทรัพย์ของผู้
ให้เช่าซื้อตลอดระยะเวลาที่ผู้ซื้อครอบครองทรัพย์ดังกล่าวอยู่
(16)
ส่วนกรณีตามมาตรา 574 วรรคสองนั้นเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัด
ไม่ใช้เงินซึ่งเป็นคราวที่สุดหรืองวดสุดท้ายเจ้าของทรัพย์สินชอบที่
จะริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อนและกลับเข้าครองทรัพย์สินได้
เมื่อระยะเวลาใช้เงินได้พ้นกำหนดไปอีกงวดหนึ่ง
นอกจากนี้ หากผู้เช่าซื้อได้กระทำผิดสัญญาในข้อตกลงที่เป็นส่วน
สำคัญในสัญญาเช่าซื้อ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
ซึ่งข้อตกลงที่เป็นส่วนสำคัญในสัญญาเช่าซื้อนั้นจะต้องพิจารณา
เป็นเรื่อง ๆ ไป เช่น ตกลงกันเรื่องการใช้และการดูแลรักษาทรัพย์สิน
ที่เช่า ตกลงกันว่าห้ามแก้ไข ดัดแปลง หรือต่อเติมทรัพย์สินที่เช่าซื้อ
ตกลงกันเรื่องการเช่าซื้อช่วง ตกลงกันเรื่องการผิดนัดการชำระค่า
เช่าซื้อ ตกลงกันเรื่องการชำระภาษีโรงเรือน (หากมี) ตกลงกันเรื่อง
การประกันภัยทรัพย์สินที่เช่า เป็นต้น ทั้งนี้หากผู้เช่าซื้อได้กระทำ
ผิดในข้อตกลงที่เป็นส่วนสำคัญของสัญญาเช่าทรัพย์ บรรดาเงินที่
ได้ใช้มาแล้วก่อนนั้นก็ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของ
ทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย
(17)
คำพิพากษาฎีกาที่ 162/2546
สัญญาเช่าซื้อที่ให้โจทก์ได้รับเช่าซื้อค้างชำระก่อนเลิกสัญญาจนครบ
ถ้วนแก่เจ้าของจนถึงวันที่โจทก์ได้รับรถยนต์คืนหรือวันบอกเลิกสัญญา
เช่าซื้อนั้นเป็นข้อสัญญาที่กำหนดความรับผิดในความเสียหาย
เนื่องจากการไม่ชำระหนี้ไว้ล่วงหน้ามีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ
ซึ่งถ้ากำหนดไว้สูงเกินส่วนศาลอาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้
ตามมาตรา 383 วรรคหนึ่ง แต่จะพิพากษาไม่ให้ค่าเสียหายส่วนนี้เสีย
เลยไม่ได้ เพราะไม่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตราใดที่ให้อำนาจศาลที่จะงดเบี้ยปรับเสียทั้งหมด
การทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์
สำหรับการทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์นั้น มี
ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์
และจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561 โดยอาศัย
อำนาจตามความในมาตรา 35 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้
บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้
บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ประกอบมาตรา 3 มาตรา 4 และมาตรา 5
แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนด
ธุรกิจที่ควบคุมสัญญาและลักษณะของสัญญา พ.ศ. 2522 โดยมีการ
กำหนดให้สัญญาเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุม
สัญญา ดังนั้น หากเป็นการทำธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถ
จักรยานยนต์ หากมีกรณีที่จะต้องบอกเลิกสัญญาก็จะต้องบังคับไป
ตามประกาศข้างต้นนี้ ไม่นำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มา
ใช้บังคับแต่ประการใด
(18)
สำหรับสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผู้ประกอบ
ธุรกิจทำกับผู้บริโภคนั้นจะต้องมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถ
เห็นและอ่านได้ชัดเจน มีขนาดตัวอักษรไม่เล็กกว่า 2 มิลลิเมตร โดย
มีจำนวนไม่เกิน 11 ตัวอักษรใน 1 นิ้ว และต้องใช้ข้อสัญญาที่มีสาระ
สำคัญและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
ก.ยี่ห้อ รุ่น หมายเลขเครื่องยนต์และหมายเลขตัวถัง สภาพของ
รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ว่าเป็นรถใหม่หรือรถใช้แล้ว และระยะ
ทางที่ได้ใช้แล้วโดยให้มีหน่วยเป็นกิโลเมตรหรือไมล์รวมทั้งภาระ
ผูกพันของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ (ถ้ามี)
ข. ราคาเงินสด จำนวนเงินจอง จำนวนเงินดาวน์ ราคาเงินสด
ส่วนที่เหลือ อัตราดอกเบี้ยคงที่ต่อปีในการคำนวณผลตอบแทนให้
ระบุอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี จำนวนงวดที่ผ่อนชำระ เป็นต้น
ค. วิธีคำนวณจำนวนเงินค่าเช่าซื้อ จำนวนค่าเช่าซื้อ จำนวน
ดอกเบี้ยที่ชำระและจำนวนค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระในแต่ละงวด
จ. ตารางแสดงภาระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อสำหรับผู้เช่าซื้อแต่ละ
ราย โดยให้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนงวดค่าเช่าซื้อที่ต้อง
ชำระ วัน เดือน ปี ที่ชำระเงินค่างวดเช่าซื้อ จำนวนเงินค่าเช่าซื้อที่
ชำระในแต่ละงวด โดยแยกเป็นเงินต้น
จ. อัตราค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่า
เช่าซื้อที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประกาศกำหนดตาม
กฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้ โดยให้ระบุวิธีการคิดคำนวณค่า
ธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อในแต่ละ
รายการไว้ในเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่าซื้อ
(19)
5.3) สัญญาเช่าซื้อระงับด้วยเหตุอื่นๆ
นอกจากสัญญาเช่าซื้อจะสามารถระงับลงไปด้วยเมื่อผู้เช่าซื้อ
บอกเลิกสัญญา หรือเมื่อผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาแล้วนั้น
สัญญาเช่าซื้อยังสามารถระงับลงไปเมื่อวัตถุแห่งสัญญาเช่าซื้อนั้น
สูญหาย ทั้งนี้ เป็นไปตามบทมาตรา 567 ซึ่งบัญญัติว่า“ ถ้า
ทรัพย์สินซึ่งให้เช่าสูญหายไปทั้งหมดไซร้ท่านว่าสัญญาเช่าก็ย่อม
ระงับไปด้วย” ดังนั้น เมื่อทรัพย์สินตามสัญญาเช่าซื้อสูญหายไป
ทั้งหมด สัญญาเช่าซื้อก็ระงับไปด้วย
คำพิพากษาฎีกาที่ 4593/2531
เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายสัญญาเช่าซื้อย่อมระงับไปตั้งแต่วัน
ที่รถยนต์สูญหายตามมาตรา 567 ผู้ให้เช่าซื้อจะฟ้องเรียกค่าเช่า
ซื้อที่ยังค้างชำระอยู่ตั้งแต่วันที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปหาได้ไม่
เมื่อสัญญาเช่าซื้อกำหนดให้ผู้เช่าซื้อชำระเงินค่าเช่าซื้อจนครบใน
กรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกโจรภัย แม้ผู้เช่าซื้อไม่ต้องชำระค่าเช่า
ซื้อนับ แต่วันที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายก็ถือได้ว่าผู้เช่าซื้อได้ตกลง
ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไว้ด้วย ซึ่งศาลมีอำนาจกำหนดให้
ตามที่เห็นสมควร
คำพิพากษาฎีกาที่ 3111/2539
เมื่อทรัพย์ที่เช่าซื้อสูญหายสัญญาเช่าซื้อย่อมระงับไปตาม
มาตรา 567 ดังนั้นเมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายสัญญาเช่าซื้อย่อม
ระงับตั้งแต่วันที่รถยนต์สูญหายตามมาตรา 567 ผู้เช่าซื้อไม่ต้อง
รับผิดชำระค่าเช่าซื้อต่อไป
(20)
6. อายุความ
การใช้สิทธิเรียกร้องหรือการบังคับชำระหนี้ด้วยการฟ้องร้องเพื่อ
ให้ศาลบังคับให้ต้องกระทำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
ด้วย สำหรับระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดนี้ เราเรียกว่า “ อายุ
ความ” ซึ่งอายุความ (Prescription) จะมีระยะเวลาสั้นหรือยาว
นั้นก็คงแล้วแต่ประเภทของการใช้สิทธิเรียกร้อง หากไม่ได้ใช้สิทธิ
เรียกร้องภายในกำหนด ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดสิทธิเรียกร้อง
นั้นก็เป็นอันขาดอายุความ ในบางกรณีกฎหมายไม่ได้กำหนดอายุ
ความเอาไว้เป็นการเฉพาะ ก็ให้ใช้อายุความทั่วไปคือสิบปีตาม
มาตรา 193/30 ซึ่งบัญญัติว่า “ อายุความนั้นถ้าประมวลกฎหมาย
หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติเอาไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”
คำพิพากษาฎีกาที่ 1685/2519
ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาแล้วไม่คืนรถในสภาพเรียบร้อยต้องใช้ค่าเสีย
หายตามสัญญาซึ่งมีอายุความ 10 ปี
คำพิพากษาฎีกาที่ 2791/2540
เมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงโจทก์มีสิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์ตลอด
ระยะเวลาที่ยังไม่ได้รับทรัพย์คืนและค่าเสื่อมราคารวมถึงค่าเสีย
หายในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาต้องใช้อายุความ 10 ปีตาม
มาตรา 193/30
(21)
คำพิพากษาฎีกาที่ 2658/2545
การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเป็นค่าเสื่อมราคาหรือค่าขาดราคาของ
รถยนต์ที่ประมูลขายได้ราคาน้อยกว่าราคาเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อต้องรับ
ผิดตามสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นผลมาจากการเลิกสัญญาซึ่งไม่มี
กฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปีตาม
มาตรา 193/30
ดังนั้น การใช้สิทธิเรียกร้องหรือการบังคับชำระหนี้ด้วยการฟ้องร้อง
เพื่อให้ศาลบังคับให้ต้องกระทำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
เรียกว่า “ อายุความ” หากไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนดระยะ
เวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นก็เป็นอันขาดอายุความ อัน
ส่งผลให้เจ้าหนี้ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องหรือทวงถามให้ลูกหนี้ชำระหนี้
ได้ หากเจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้สามารถยกเอา
อายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้
(22)
7.สรุป
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาสองฝ่ายคือ“ ผู้เช่าซื้อ”
และ“ ผู้ให้เช่าซื้อ” ซึ่งสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นนิติกรรมสัญญา
อย่างหนึ่งกล่าวคือสัญญาเช่าซื้อคือสัญญาที่เจ้าของทรัพย์สิน
ออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้
ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซึ่งคำว่า“ ตกเป็นสิทธิ” หมาย
ถึงเมื่อผู้เช่าซื้อได้ชำระเงินให้แก่ผู้เช่าซื้อครบถ้วนแล้วให้
ทรัพย์สินตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้เช่าซื้อหรือผู้เช่าอาจสั่งให้โอนแก่
ผู้ใดก็ย่อมเป็นสิทธิของผู้เช่าซื้อดังนั้นในสัญญาเช่าซื้อผู้ให้เช่าจึง
ต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งสัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อมิใช่สัญญาซื้อขายผ่อนส่งแม้ว่าจะมีลักษณะ
คล้ายคลึงกันเรื่องชำระราคาเป็นงวดๆ ก็ตามเพราะการซื้อขาย
ผ่อนส่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นของผู้ซื้อทันทีขณะทำสัญญา
ไม่ต้องรอให้ชำระราคาครบแต่ประการใดส่วนเรื่องสัญญาเช่าซื้อ
เมื่อผู้เช่าบอกเลิกสัญญาบรรดาเงินที่ได้ชำระแล้วให้ริบเป็น
เจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครอบ
ครองทรัพย์สินที่เช่าได้
ท้ายที่สุดสัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวน
เท่านั้นเท่านี้คราวแก่ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งจะจ่ายกันเป็นงวด ๆ และเมื่อ
ชำระค่าเช่าซื้อครบตามงวดที่ตกลงกันครบถ้วนแล้วผู้เช่าซื้อ
ก็ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นอนึ่งการส่งใช้เงินเป็นงวด ๆ เช่นนี้
ย่อมเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าค่าเช่าปกติธรรมดากฎหมายจึงไม่
เรียกว่าค่าเช่า แต่เรียกว่าการใช้เงิน
(23)
บรรณานุกรม
ธีรยุทธ ปักษา. (2564). คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ. กรุงเทพมหานคร. สำนักพิมพ์นิติธรรม.
จรัล เล็งวิทยา. (2562). ความหมายสัญญาเช่าซื้อ. สืบค้น 9 ก.ค. 64. จาก
https://www.terrabkk.com/articles/48609/%E0%B8%AA%E0%B8%
B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%
88%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD