The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยแรงจูงใจการออกกำลังกาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

รายงานการวิจัยแรงจูงใจการออกกำลังกาย

รายงานการวิจัยแรงจูงใจการออกกำลังกาย

ตารางที่ 7 แสดงภาพรวมค่าเฉล่ยี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และระดบั ความสาคัญของรปู แบบ

การดาเนนิ ชวี ติ แรงจูงใจ และการตดั สนิ ใจออกกาลังกายของบคุ ลากร

สังกดั สานกั งานศึกษาธกิ ารจังหวัดลาปาง

คา่ เฉลยี่ สว่ นเบี่ยงเบน ระดบั

รายการ (μ) มาตรฐาน ความสาคญั

(σ)

ดา้ นรูปแบบการดาเนนิ ชวี ิต

การแสดงออกด้านพฤตกิ รรม 3.35 1.187 ปานกลาง

การแสดงออกดา้ นความคดิ 3.96 0.849 มาก

ด้านแรงจงู ใจ

แรงจูงใจภายใน 4.03 0.732 มาก

แรงจงู ใจภายนอก 3.46 0.830 ปานกลาง

ดา้ นการตดั สินใจออกกาลังกาย 4.23 0.748 มาก

จากตารางที่ 7 พบว่า ภาพรวมของระดับความสาคัญของรูปแบบการดาเนินชีวิต แรงจูงใจ
และการตดั สินใจออกกาลังกายของบุคลากรสังกัดสานักงานศึกษาธิการจังหวัดลาปาง ท้ัง 3 ด้านอยู่
ในระดับปานกลาง ถงึ ระดับมาก โดยทด่ี ้านการตดั สินใจออกกาลังกายมีค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุดเท่ากับ 4.23
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.748 รองลงมาด้านด้านแรงจูงใจภายใน มีค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุดเท่ากับ 4.03
ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.732 และด้านรูปแบบการดาเนินชีวิต การแสดงออกด้าน
พฤติกรรม มคี ่าเฉล่ยี น้อยทส่ี ดุ เทา่ กับ 3.35 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเท่ากบั 1.187 ตามลาดับ


ตอนที่ 3 การวเิ คราะหผลกระทบรูปแบบการดาเนนิ ชีวิต แรงจูงใจ ที่มีตอ่ การตัดสนิ ใจ
ออกกาลังกายของบุคลากรสังกัดสานักงานศึกษาธกิ ารจงั หวดั ลาปาง

ตารางที่ 8 ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยวธิ ี Enter

ตวั แปรอสิ ระ ผลการปฏบิ ัตงิ าน t p-value
B S.E Beta
6.173 0.000
ค่าคงที่ (a) 1.710 0.330 -
3.589 0.000**
รูปแบบการดาเนนิ ชวี ติ 2.042 0.000**
5.187 0.000**
การแสดงออกด้านพฤตกิ รรม 0.220 0.076 0.298 1.516 0.000**

การแสดงออกดา้ นความคิด 0.231 0.113 0.359

แรงจงู ใจภายใน 0.389 0.075 0.345

แรงจูงใจภายนอก 0.196 0.129 0.329
F = 59.593 p-value = 0.000 AdjR2 = 0.493

* มีนยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05

** มนี ัยสาคัญทางสถติ ิที่ระดบั 0.01

จากตารางที่ 8 ผลการวิเคราะหก์ ารถดถอยพหุคณู ด้วยวธิ ี Enter ผลการทดสอบการถดถอย

พหุคุณโดยวิธี Enter พบว่า แรงจูงใจภายในมีผลต่อการตัดสินใจออกกาลังกายมากท่ีสุด โดยมีค่า B
เท่ากับ 0.389 ค่า S.E เท่ากับ 0.075 ค่า Beta เท่ากับ 0.345 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ

0.01 เน่ืองจากบุคลากรออกกาลังเพอ่ื การมีสุขภาพทแ่ี ข็งแรง ออกกาลังกายเพ่ือรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
และออกกาลังกายเพอ่ื ผ่อนคลายความเครียดในชวี ติ ประจาวัน

รองลงมาคือ รูปแบบการดาเนินชีวิตด้านการแสดงออกด้านความคิด โดยมีค่า B เท่ากับ

0.231 ค่า S.E เท่ากับ 0.113 ค่า Beta เท่ากับ 0.359 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01
เน่ืองจากบคุ ลากรคดิ ว่าการออกกาลังกายเป็นประจาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานมาก

ข้ึน บุคลากร ศธจ.ลาปาง ควรให้ความสาคัญต่อการออกกาลังกาย และคิดว่าการออกกาลังกายจะ
สง่ ผลถงึ สุขภาพกายและจติ ทด่ี ี

รูปแบบการดาเนินชีวิตด้านการแสดงออกด้านพฤติกรรม โดยมีค่า B เท่ากับ 0.220

ค่า S.E เท่ากับ 0.076 ค่า Beta เท่ากับ 0.298 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เนื่องจาก
บุคลากรนยิ มออกกาลงั กายที่เน้นพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต บุคลากรให้เวลากับการออกกาลังกาย

ในวนั หยดุ และบคุ ลากรออกกาลงั กายอย่างสม่าเสมอ
ด้านแรงจูงใจภายนอก โดยมีค่า B เท่ากับ 0.196 ค่า S.E เท่ากับ 0.129 ค่า Beta เท่ากับ

0.329 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เน่ืองจากบุคลากรเชื่อในคาแนะนาของแพทย์

ผู้เช่ียวชาญด้านโภชนาการ ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว และต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านอาหาร
เสริมสขุ ภาพ


ตัวแปรอิสระท้ัง 4 สามารถทานายผลการตัดสินใจการออกกาลังกายได้ร้อยละ 49.30
(AdjR2 = 0.493) แปลผลไดว้ า่ อาจมปี จั จัยอ่ืนอกี ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจออกกาลังกายของบุคลากร
สงั กดั สานกั งานศึกษาธกิ ารจังหวัดลาปาง ซง่ึ จะศึกษาเพิม่ เตมิ ต่อไป

ผลการทดสอบสมมตฐิ าน
H 1 : รปู แบบการดาเนินชีวติ มีผลต่อการตัดสนิ ใจออกกาลงั กาย
ผลการทดสอบสมมติฐานที่ 1 พบว่า รูปแบบการดาเนินชีวิตด้านการแสดงออกด้านพฤติกรรม

มีผลต่อการตัดสินใจออกกาลังกาย โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิ การถดถอย 0.298 ค่า t เท่ากับ 3.598
และค่า p-value เท่ากับ 0.000 ซ่ึงสนับสนุนสมมุติฐาน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01
ด้านการแสดงออกด้านความคิดมีผลต่อการตัดสินใจออกกาลังกาย โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิการถดถอย
0.359 ค่า t เท่ากับ 2.042 และค่า p-value เท่ากับ 0.000 ซ่ึงสนับสนุนสมมุติฐาน อย่างมี
นัยสาคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ 0.01

H 2 : แรงจูงใจภายในสง่ ผลต่อการตดั สินใจออกกาลงั กายมากกว่าแรงจูงใจภายนอก
ผลการทดสอบสมมติฐานท่ี 1 พบว่าแรงจูงใจภายในส่งผลต่อการตัดสินใจออกกาลังกายมากกว่า
แรงจูงใจภายนอก โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิ การถดถอย 0.345 ค่า t เท่ากับ 5.187 และ ค่า p-value
เทา่ กบั 0.000 ซึ่งสนับสนนุ สมมตุ ฐิ าน อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั 0.01


บทที่ 5

สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

การวิจัย เรื่อง รูปแบบการดาเนินชีวิตและแรงจูงใจของบุคลากรสังกัดสานักงาน
ศกึ ษาธิการจงั หวัดลาปางที่ส่งผลต่อการตัดสินใจออกกาลังกาย มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษารูปแบบการ
ดาเนนิ ชีวิต ศึกษาแรงจูงใจท่ีส่งผลต่อการตัดสินใจออกกาลังกาย ผลจากการวิจัยในคร้ังน้ีจะนาไปใช้
ประกอบการวางแผนด้านการบรหิ ารงานบุคคลและการพัฒนาบุคลากรต่อไป กาหนดกลุ่มประชากร
ได้แก่ บุคลากรสังกัดสานักงานศึกษาธิการจังหวัดลาปาง เคร่ืองมือท่ีใช้ในงานวิจัย ได้แก่
แบบสอบถามด้านรูปแบบการดาเนินชีวิต แรงจูงใจในการออกกาลังกาย โดยทาการเก็บข้อมูลด้วย
ตนเอง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D) และ
การวเิ คราะห์การถดถอยพหคุ ูณ แบบ Enter

สรุปผลการวจิ ัย

ตอนท่ี 1 การวเิ คราะหส์ ภาพทั่วไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม
พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามท้ังหมด 40 คน เป็นเพศหญิงมากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ
72.50 เพศชายร้อยละ 27.50 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 30-40 ปี คิดเป็นร้อย
ละ 35.00 และอายุ 50 ปีขน้ึ ไป คิดเป็นร้อยละ 35.00 เท่ากัน ซึ่งรวมแล้วคิดเป็นร้อยละ 70.00
และปฏิบัติงานในกลุ่มงานด้านวิชาการมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 45.00 รองลงมา ได้แก่ กลุ่มงาน
ดา้ นบริหาร บริหารทว่ั ไป ร้อยละ 32.50 และดา้ นบรหิ ารงานบคุ คล ร้อยละ 22.50 ตามลาดบั
ตอนท่ี 2 รูปแบบการดาเนินชวี ิต แรงจูงใจ ความตอ้ งการออกกาลงั กาย

1. รปู แบบการดาเนินชีวติ มีรปู แบบการดาเนนิ ชีวติ ในการออกกาลงั กาย ดังน้ี
1.1. การแสดงออกด้านพฤติกรรม โดยให้เวลากับการออกกาลังกาย ใน

วันหยดุ ( = 3.47) ทาเปน็ ประจาสมา่ เสมอ 30 นาที/วัน สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน ( = 3.40)
หลังจากเลิกงาน ( = 3.20) ตามลาดับ บุคลากรถือว่ากิจกรรมการออกกาลังกายเป็นงานอดิเรก
( = 3.17) โดยนิยมออกกาลังกายท่ีเน้นพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจและปอด เช่น การเดิน
เร็ว การป่ันจักรยาน การว่ิง การเล่นกีฬาต่างๆ ซ่ึงทาให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงข้ึน ( = 3.62)
มากกว่า นิยมออกกาลังกายทเ่ี น้นเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเน้ือ เช่น วิดพ้ืน ซิทอัพ การใช้
แรงตา้ นกับอปุ กรณต์ า่ งๆ การเดินขนึ้ ลงบันได ซ่งึ ชว่ ยรกั ษามวลกล้ามเน้ือและเพ่ิมการเผาผลาญขั้นต่า
ให้กบั รา่ งกาย ( = 3.27)

สรปุ บุคลากรสว่ นมากมีพฤติกรรมออกกาลังกายในวันหยุด นิยมออกกาลัง
กายทเี่ น้นพฒั นาระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจและปอด เช่น การเดินเร็ว การปั่นจักรยาน การว่ิง การ
เลน่ กีฬาตา่ งๆ ซึ่งทาใหอ้ ตั ราการเตน้ ของหวั ใจสงู ข้นึ


1.2. การแสดงออกด้านความคิด คิดว่าการออกกาลังกายเป็นประจา จะ

สง่ ผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานมากข้ึน ( = 4.22) และจะส่งผลถึงสุขภาพกายและจิตที่ดี

( = 3.17) บคุ ลากรจึงชอบศกึ ษาความรู้เกี่ยวกับวธิ กี ารออกกาลังกาย ( = 3.55) ติดตามข่าวสาร

ด้านการออกกาลังกายเป็นประจา ( = 3.45) บุคลากรคิดว่า บุคลากรสังกัดสานักงานศึกษาธิการ

จังหวัดลาปางควรให้ความสาคัญต่อการออกกาลังกาย ( = 4.20) และหน่วยงานควรส่งเสริมการ

ออกกาลงั กายในหนว่ ยงาน ( = 4.17)
สรปุ บคุ ลากรคดิ ว่าการออกกาลังกายเป็นประจาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพ

ในการปฏิบัติงานมากขึ้น ชอบศึกษาความรู้เก่ียวกับวิธีการออกกาลังกาย และคิดว่าบุคลากรใน
หน่วยงานควรใหค้ วามสาคญั ตอ่ การออกกาลังกาย

2. แรงจงู ใจในการออกกาลังกาย มแี รงจงู ใจด้านการออกกาลงั กาย ดงั น้ี
2.1. แรงจูงใจภายใน มีวัตถุประสงค์ออกกาลังกายเพื่อการมีสุขภาพ

แข็งแรงมากท่ีสุด ( = 4.37) เพ่ือรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ( = 4.20) เพื่อผ่อนคลายความเครียดใน

ชีวิตประจาวัน ( = 4.17) เพ่ือลดน้าหนัก ( = 3.97) เพ่ือความสนุกสนาน ( = 3.87) และ

เพ่ือสรา้ งสังคม ตอ้ งการพบปะผูค้ น ( = 3.65) ตามลาดับ
สรปุ แรงจงู ใจภายในของบคุ ลากรในการออกกาลังกาย 3 ลาดับแรก ได้แก่

เพอ่ื การมสี ขุ ภาพแขง็ แรง เพอ่ื รักษาโรคภัยไขเ้ จบ็ และเพอ่ื ผอ่ นคลายความเครยี ดในชวี ติ ประจาวนั
2.2. แรงจูงใจภายนอก มีวัตถุประสงค์ออกกาลังกายเพราะเชื่อใน

คาแนะนาของแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการมากท่ีสุด ( = 3.92) ได้รับการสนับสนุนจาก

ครอบครัว ( = 3.70) ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารเสริมสุขภาพ ( = 3.40) ได้รับคาชักชวน

จากเพื่อน คนรู้จัก ( = 3.40) ช่ืนชอบนักกีฬา ดารา บล็อกเกอร์หรือบุคคลบนโลกออนไลน์ ( =

3.17) และทาตามคา่ นิยมของสังคม (in trend) ( = 3.17) ตามลาดับ
สรุป แรงจูงใจภายนอกของบุคลากรในการออกกาลังกาย 3 ลาดับแรก

ไดแ้ ก่ เชอื่ ในคาแนะนาของแพทย์ ผเู้ ชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว และ
ลดค่าใชจ้ า่ ยด้านอาหารเสรมิ สขุ ภาพรวมทง้ั ไดร้ บั คาชกั ชวนจากเพอ่ื น คนร้จู กั

3.ความต้องการออกกาลงั กาย
2.2. ดา้ นวชิ าการ ต้องการคาแนะนาในการออกกาลังกายที่ถูกวิธีมากที่สุด

( = 4.07) และต้องการความรู้ ขอ้ มลู ขา่ วสารด้านการออกกาลงั กาย ( = 4.05)
2.3. ด้านการปฏิบัติ ต้องการรูปแบบการออกกาลังกายเน้นพัฒนาระบบ

ไหลเวยี นโลหติ หวั ใจและปอด มากท่สี ุด ( = 4.22) รองลงมา ได้แก่ ออกกาลงั กายท่ีเน้นเสริมสร้าง

ความแข็งแรงใหก้ บั กลา้ มเนอ้ื ( = 3.97) การออกกาลังกายกลางแจ้ง ( = 3.45) ตามลาดับ
สรุป บุคลากรมีความต้องการคาแนะนาในการออกกาลังกายที่ถูกวิธี ใน

รูปแบบท่ีเน้นพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจและปอด เช่น การเดินเร็ว การป่ันจักรยาน การว่ิง
การเลน่ กีฬาต่างๆ ซ่งึ ทาให้อัตราการเตน้ ของหัวใจสูงข้นึ


2.4. ปัญหา/อุปสรรค ทที่ าให้ไมส่ ามารถออกกาลงั กายได้ตามตอ้ งการ
1) การทางานทต่ี ่อเน่ืองตลอดท้ังวันจนไม่สามารถจัดสรรเวลาในการ

ออกกาลังกายในแตล่ ะสัปดาห์ได้
2) มภี าระงานจานวนมาก
3) สถานการณก์ ารแพร่ระบาดของเชอื้ ไวรสั โคโรน่า(Covid-19)
4) ภาระงาน/สังคม
5) ไม่มแี รงจงู ใจ
6) สภาพแวดล้อมไมเ่ ออื้ อานวย

อภิปรายผลการวิจยั

จากสรุปผลการวิจัย เรื่องรูปแบบการดาเนินชีวิตและแรงจูงใจของบุคลากรสังกัด
สานักงานศกึ ษาธิการจงั หวัดลาปางทม่ี ผี ลตอ่ การตดั สินใจออกกาลังกาย ผู้วิจัยขออภปิ รายผล ดงั นี้

ผลการวจิ ัยพบว่า โดยภาพรวมบุคลากรสานกั งานศกึ ษาธิการจงั หวัดลาปางมีทัศนคติท่ีดี
ต่อการออกกาลังกาย ดังรายละเอียดความคิดเห็นในแต่ละข้อคาถามมีค่าเฉลี่ยมากกว่า 3.00 ทุก
รายการ ซ่ึงแปลความหมายได้ว่าบุคลากรเห็นคุณประโยชน์ของการออกกาลังกาย รับทราบปัญหา
และอุปสรรคที่ไม่สามารถออกกาลังกายได้ตามต้องการ สามารถเลือกรูปแบบการดาเนินชีวิตให้
เหมาะสมกับตนเอง ดงั น้ี

1. รูปแบบการดาเนินชีวติ ในการออกกาลงั กาย
บุคลากรใหเ้ วลากับการออกกาลังกายในวันหยุด ( = 3.47) นิยมออกกาลังกายท่ีเน้น
พัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจและปอด เช่น การเดินเร็ว การป่ันจักรยาน การว่ิง การเล่นกีฬา
ต่างๆ ซ่งึ ทาใหอ้ ตั ราการเตน้ ของหัวใจสูงขึ้น ( = 3.62)
ทงั้ นีบ้ ริบทการทางานของสานกั งานศึกษาธิการจังหวัดลาปางมรี ะบบการบริหารงานเชิง
ยุทธศาสตร์ที่มุ่งบูรณาการงานด้านการศึกษาระดับจังหวัด โดยการขับเคล่ือนกลยุทธ์ โครงสร้าง
กระบวนการและคน ใหบ้ รรลเุ ป้าหมายตามทีก่ ระทรวงศกึ ษาธกิ ารกาหนด ส่งผลให้บุคลากรมีปริมาณ
ภาระงานจานวนมาก ภายใตส้ ถานการณ์ทมี่ คี วามไมแ่ นน่ อน ซ่ึงอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการบรรลุ
เป้าหมาย ขณะเดียวกันบุคลากรได้รับผลกระทบท่ีไม่พึงประสงค์จากการทางานท่ีเกิดกับสุขภาพท้ัง
ทางร่างกายและคุณภาพชีวิต จึงได้ดาเนินการประเมินความเส่ียง (Risk Assessment) ระดับตนเอง
จากการวิเคราะห์ความถ่ี โอกาสท่ีจะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยง ผลกระทบ ขนาดของผลกระทบต่อ
ร่างกายจิตใจ และดาเนินการบริหารความเส่ียง (Risk Management) โดยตระหนักรู้ว่าไม่สามารถ
หลีกเล่ียงความเส่ียงโดยการหยุดงาน หรือปรับลดปริมาณภาระงานในหน้าท่ีลงได้ หากแต่ให้ความ
เส่ยี งปรากฎอยู่ในระดบั ทสี่ ามารถยอมรับไดโ้ ดยใชก้ ารออกกาลงั กายเป็นตัวควบคุมความเสี่ยง ให้การ
ออกกาลังกายในวันหยุดเป็นงานอดิเรกอย่างหน่ึง รับรู้ถึงประโยชน์ของการกระทา (Perceived
benefits of action) โดยการไตร่ตรองไว้ก่อน แม้จะรู้ว่าหลักการออกกาลังกายท่ีดีคือต้องทาเป็น
ประจาสม่าเสมอ 30 นาที/วนั สปั ดาหล์ ะอย่างนอ้ ย 3 วนั ( = 3.40) เลอื กรูปแบบหรือวิธีการออก


กาลังกายท่เี นน้ พัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจและปอด เช่น การเดินเร็ว การป่ันจักรยาน การว่ิง
การเล่นกีฬาตา่ งๆ ซ่งึ ช่วยเสรมิ สรา้ งความแขง็ แรงไดท้ ้งั ร่างกายและการผ่อนคลายอารมณ์ จิตใจ ทั้งนี้
บุคลากรรับรู้ถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ท่ีเป็นประโยชน์ภายในและ
ประโยชน์ภายนอก ตามทฤษฎีคุณคา่ แห่งความคาดหวงั ของเพนเดอร์ ทีไ่ ด้อธบิ ายว่า ประโยชน์ภายใน
เป็นผลประโยชนท์ ี่เกดิ ข้ึนกับร่างกายและความรู้สึกของบุคคลเน่ืองจากการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริม
สุขภาพมาในระยะเวลาหนึ่ง ได้แก่ร่างกายมีการเตรียมพร้อมเพิ่มข้ึน ลดความรู้สึกเหน่ือยล้า แต่
ในขณะที่ประโยชน์ภายนอกเป็นผลประโยชน์ที่บุคคลได้รับในช่วงแรก ๆ ได้แก่ การปฏิสัมพันธ์ใน
สังคม (social interaction) ความสุขใจ ดังน้ันประโยชน์ภายนอกจึงเป็นแรงจูงใจสนับสนุนให้
บคุ ลากรเร่ิมปฏิบตั พิ ฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ แต่ในขณะที่ประโยชน์ภายในเป็นพลังจูงใจให้บุคลากร
ปฏบิ ตั อิ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง

บุคลากรคิดวา่ การออกกาลังกายเป็นประจาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน

มากข้ึน ( = 4.22) การออกกาลังกายจะส่งประโยชน์ถึงสุขภาพกายและจิตท่ีดี ( = 3.17) และ

ชอบศึกษาความรู้เกี่ยวกับวิธีการออกกาลังกาย ( = 3.55) แสดงให้เห็นว่าบุคลากรมีทัศนคติด้าน
บวกเก่ียวกับสภาพแวดล้อมในการทางาน มีทัศนคติด้านความพึงพอใจในการทางาน (Job
Satisfaction) ซ่ึงถือเป็นส่วนหนึ่งของความพึงพอใจในชีวิต ทัศนคติด้านการมีส่วนร่วมในงาน (Job
Involvement) มีการรับรู้เกี่ยวกับความสามารถในการทางาน ระมัดระวัง ทุ่มเทท้ังเวลา กาลังกาย
และกาลังใจให้กับการทางานเต็มท่ี ทัศนคติด้านความผูกพันกับองค์กร (Organizational
Commitment) มีส่วนร่วมในการทางานอย่างเต็มกาลังความสามารถและศักยภาพท่ีมีอยู่ ซ่ึงแม้
บคุ ลากรจะไดร้ ับผลกระทบเชิงลบจากการทางาน แต่ด้วยบุคลากรมีทัศนคติต่องานในเชิงบวกจึงเป็น
สิ่งชี้วัดว่าบุคลากรมีพฤติกรรมในเชิงสร้างสรรค์ พร้อมแสวงหาทัศนคติท่ีตรงกันเม่ือมีความไม่
สอดคล้องเกดิ ข้ึน และจะสร้างแรงจูงใจขึ้นมาเพื่อทาให้กลับสู่ภาวะความสมดุล โดยทาให้ทัศคติและ
พฤติกรรมมีความสอดคล้องกัน สิ่งเหล่านี้สามารถทาได้โดยการเปลี่ยนแปลงทัศนคติหรือพฤติกรรม
หรือหาเหตุผลมาประกอบ จากผลการวิจัยข้างตน้ แม้สภาพการทางานจะส่งผลเชิงลบต่อสุขภาพและ
ประสิทธิภาพการทางานท่ีถดถอยลง แต่บุคลากรยังมีแรงจูงใจ โดยคิดว่าการได้ออกกาลังกายเป็น

ประจาจะส่งผลต่อประสิทธภิ าพในการปฏิบัติงานมากขึ้น ( = 4.22) และจะส่งประโยชน์ถึงสุขภาพ
กายและจิตทีด่ ี

บคุ ลากรสังกดั สานักงานศึกษาธกิ ารจงั หวัดลาปางเห็นว่าเพื่อนร่วมงานในองค์กรควรให้

ความสาคัญต่อการออกกาลงั กาย ( = 4.20) และองคก์ รควรสง่ เสริมการออกกาลงั กายในหนว่ ยงาน

( = 4.17) ด้วยเช่นกัน ซ่ึงเป็นแนวคิดเรื่ององค์กรแห่งความสุข ซึ่งเป็นรูปแบบการบริหารองค์กร
สมัยใหม่ที่เป็นการบริหารแบบองค์รวม (Holistic Management) ท่ีเน้นการเติบโตอย่างย่ังยืน
(Sustainable Growth) เน้นการเพิ่มผลผลิต (High Performance Organization) ขณะเดียวกันก็
เน้นการปรับตัวเพ่ือให้อยู่รอดพ้นจากวิกฤต ได้ผลผลิตทั้งงานและบุคลากรที่มีความสุของค์รวมท่ี
เรียกว่า องค์กรสุขภาวะ (Healthy Organization) โดยองค์กรมีกระบวนการพัฒนาคนอย่างมีเป้าหมาย
และยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร มีองค์ประกอบ 2 ด้าน ได้แก่ การพัฒนา
บุคลากรให้เป็นคนทางานมีความสุข (Happy People) และการพัฒนาองค์กรให้เป็นที่ทางานน่าอยู่
(Happy Home)


ผลจากวจิ ยั นี้ อาจกลา่ วไดว้ า่ บุคลากรสังกดั สานกั งานศึกษาธกิ ารจังหวดั ลาปางมีทัศนคติ
ต่อรูปแบบการดาเนินชีวิตในเชิงบวก ใช้กิจกรรมการออกกาลังกายเพ่ือสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการ
ทางานและสุขภาพ โดยการดูแลสุขภาพตนเอง (Happy Body) จัดการกับอารมณ์ของตนเอง
(Happy Relax) รักและดูแลองค์กร (Happy Society) และเป็นผู้รักการเรียนรู้และเป็นมืออาชีพใน

งานของตนเอง (Happy Brain) โดยมีการศึกษาความรู้เกี่ยวกับวิธีการออกกาลังกาย ( = 3.55)
เพ่อื พัฒนาตนเองและเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความมั่นคงก้าวหนา้ ในหน้าท่กี ารงาน

2. แรงจูงใจในการออกกาลงั กาย
แรงจูงใจภายในท่ีส่งผลให้บุคลากรออกกาลังกาย ได้แก่ เพื่อการมีสุขภาพแข็งแรง

( = 4.37) เพ่ือรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ( = 4.20) และเพ่ือผ่อนคลายความเครียดในชีวิตประจาวัน

( = 4.17) ส่วนแรงจูงใจภายนอก ได้แก่ เชื่อในคาแนะนาของแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ

( = 3.92) ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว ( = 3.70) ลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารเสริมสุขภาพ

และได้รับคาชักชวนจากเพื่อน คนรู้จัก ( = 3.40)
พื้นฐานความเช่ือของมนุษย์ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล

ซ่ึงมีความแตกต่างกัน ส่งผลกระทบต่อวิธีคิดและการแสดงออกของบุคลากรในพฤติกรรมส่งเสริม
สุขภาพ (health-promotion behavior) สอดคล้องกับแนวคิดพื้นฐานของแบบจาลองการส่งเสริม
สุขภาพของเพนเดอร์ ซ่ึงอธิบายว่า บุคคลมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพอย่างอัตโนมัติ โดยไม่สนใจ
รายละเอยี ดหรือส่ิงแวดล้อมรอบตัวมากนัก แต่เกิดจากการรับรู้และไตรตรองถึงประโยชน์ อุปสรรค
และอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับการออกกาลังกาย โดยบุคลากรตระหนักว่าการออกกาลังกายเป็น
พฤติกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพดีข้ึน คงไว้ซึ่งความสามารถในการทาหน้าที่ของร่างกายอย่าง
สมบูรณ์ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกๆ ด้านตลอดช่วงชีวิต เป็นแบบแผนการดาเนินชีวิตที่มีความสุข
ซ่งึ ประกอบไปดว้ ย 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) ความรับผิดชอบต่อสขุ ภาพ 2) การออกกาลังกาย 3 โภชนาการ
4 สัมพันธภาพกับบุคคลอ่ืน 5) การพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ และ 6) การจัดการกับความเครียด
และเป็นการสร้างความสุขที่ย่ังยืนและคงความสมดุลของโลก 3 ใบที่ทับซ้อนกัน ได้แก่ 1) ความสุข
ของตนเอง 2) ความสุขของครอบครัว และ 3) ความสุขขององค์กร/สังคม ซึ่งเป็นแนวความคิด
ความสุข 8 ประการ (Happy8) สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสริมสุขภาวะ (สสส.)

เมื่อพิจารณาถึงลักษณะท่ัวไปของบุคลากรสานักงานศึกษาธิการจังหวัดลาปาง ด้าน
ปัจจัยส่วนบุคคล (personal factors) พบว่า ปัจจัยด้านชีวภาพ (personal biologic factors)
บคุ ลากรในภาพรวมมลี ักษณะทางด้านรา่ งกายในวยั ทางาน โดยมีอายุเฉล่ีย 49 ปี มีความสามารถใน
การออกกาลังกาย มีความแข็งแรง ความว่องไว และมีความสมดุลของร่างกาย ปัจจัยด้านจิตใจ
(personal phychologic factors) แม้บุคลากรจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการทางาน แต่ยังมี
ทัศนคติในเชิงบวก ประกอบด้วย ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง แรงจูงใจของตนเอง ระดับ
ความสามารถ การรบั รูภ้ าวะสขุ ภาพ และการให้คาจากัดความของสุขภาพ ดังน้นั แรงจงู ใจภายในของ
บุคลากรสานักงานศึกษาธิการจังหวัดลาปางที่มีผลต่อการตัดสินใจออกกาลังกาย ลาดับแรกคือการ

แสดงความรับผดิ ชอบต่อตนเอง โดยการทาใหต้ นเองมีสขุ ภาพแขง็ แรง ( = 4.37) ไมใ่ ห้เปน็ ภาระ


ของผ้อู น่ื ทั้งการดแู ลตนเองและการใหท้ างานแทน เม่อื มีความเจ็บป่วยก็ใช้กิจกรรมการออกกาลังกาย

เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ( = 4.20) ร่วมด้วย รวมท้ังเพื่อผ่อนคลายความเครียดในชีวิตประจาวัน

( = 4.17) ซงึ่ ผลจากการได้ผ่อนคลาย คือจิตใจได้รับการฟ้ืนฟู และได้รับความสนุกสนานจากการ
ออกกาลังกาย เช่น การเดินเร็ว การป่ันจักรยาน การวิ่ง การเล่นกีฬาประเภทต่างๆ ตามความถนัด
ความชอบ ซึ่งเป็นปัจจัยดา้ นสังคมวัฒนธรรม (personal sociocultural factors) และไม่ได้คาดหวัง
ว่าจะใช้กจิ กรรมน้เี พ่ือสร้างสังคม หรือพบปะผู้คนมากนัก

ขณะที่การ รับรู้และ อารมณ์ท่ีมีผลต่อการตัดสิน ใจออกกาลังกาย จากปัจจัยภายนอก
บคุ ลากรได้ไตร่ตรองและรับรู้ประโยชน์ของการกระทา (perceived benefits of action) โดยเช่ือใน

คาแนะนาของแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ( = 3.92) เพ่ือผลต่อสุขภาพเป็นที่ตั้ง สามารถ
อธิบายได้ด้วยทฤษฎีคุณค่าแห่งความคาดหวัง ซ่ึงเป็นแนวคิดพ้ืนฐานของแบบจาลองการส่งเสริม
สุขภาพของเพนเดอร์ โดยประโยชน์ที่ได้รับ ประกอบด้วย 1) ประโยชน์ภายใน และ 2) ประโยชน์
ภายนอก ในช่วงแรกของการออกกาลังกายจะได้รับประโยชน์ภายนอกก่อน ได้แก่ ความสนุกสนาน
ได้รางวัลจากการออกกาลังกาย หรือการปฏิสัมพันธ์ในสังคม (social interaction) ได้รับการสนับสนุน

จากครอบครัว ( = 3.70) ได้รับคาชักชวนจากเพ่ือน คนรู้จัก ( = 3.40) เป็นแรงจูงใจสนับสนุน
ให้เริ่มสร้างพฤติกรรมออกกาลังกาย เมื่อได้ออกกาลังกายมาในระยะเวลาหนึ่ง จะเกิดประโยชน์
ภายในเป็นผลประโยชน์ท่ีเกิดขึ้นกับร่างกายและความรู้สึกส่วนบุคคล ร่างกายมีการเตรียมพร้อม
เพิ่มขึ้น แข็งแรงเพ่ิมขึ้น ลดความรู้สึกเหน่ือยล้า ประโยชน์ภายในจึงเป็นแรงจูงใจให้บุคลากรแสดง
พฤติกรรมออกกาลังกายอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารเสริมสุขภาพ

( = 3.40)
3. ความตอ้ งการออกกาลงั กาย
ความตอ้ งการออกกาลงั กายของบคุ ลากรสานกั งานศึกษาธิการจังหวัดลาปาง เป็นความ

ต้องการท่ีเกิดจากการรับรู้และไตร่ตรองถึงประโยชน์ อุปสรรคและอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับการออก
กาลังกาย โดยไม่สนใจรายละเอียดหรือส่ิงแวดล้อมรอบตัวมากนัก รับรู้อุปสรรคในการกระทา
(perceived barriers of action) แต่มคี วามพร้อมในการกระทา

ในด้านวิชาการ บุคลากรต้องการคาแนะนาในการออกกาลังกายที่ถูกวิธีมากที่สุด

( = 4.07) และต้องการความรู้ ข้อมูลข่าวสารด้านการออกกาลังกาย ( = 4.05) โดยรับรู้ระดับ
ความสามารถของตนเอง (perceived self-efficacy) สามารถประเมินความสามารถของตนได้ว่า
ออกกาลงั กายหรือทางานได้ในระดับใด ซ่งึ แสดงให้เห็นว่าบุคลากรจะตัดสินความสามารถของตนเอง
จากความคาดหวังในผลลัพธ์ เป็นการตัดสินท่ีอยู่บนพ้ืนฐานของการพิจารณาผลลัพธ์ท่ีอาจจะเกิดข้ึน
จาก 1) การกระทาของตนเองที่บรรลุผลสาเร็จ (performance accomplishments) เป็นพื้นฐาน
ประสบการณต์ รงทผ่ี า่ นมา เปน็ แหล่งขอ้ มูลทาใหเ้ กิดการรับรู้ความสามารถของตนเอง 2) การได้เห็น
ประสบการณ์ของบุคคลอื่น (vicarious experience) แล้วทาให้บุคคลเกิดการเปรียบเทียบและเกิด
การรับรู้ว่าตนเองก็สามารถปฏิบัติได้เช่นกัน 3) การชักจูงด้วยคาพูดจากบุคคลอื่น (verbal persuasion)
ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเสนอแนะ หรือการสอน และ 4) ภาวะอารมณ์ของตนเอง (physiologic
states) ในเบอื้ งตน้ บุคลากรสามารถประเมนิ ภาวะทางดา้ นอารมณ์ของตนเอง เช่น ความวติ กกังวลต่อ
สขุ ภาพ ความกลัวตอ่ โรค เปน็ ตน้


ในด้านการปฏิบัติ บคุ ลากรตอ้ งการรปู แบบการออกกาลงั กายเนน้ พฒั นาระบบไหลเวียน

โลหติ หัวใจและปอดมากท่ีสุด ( = 4.22) รองลงมา ได้แก่ ออกกาลังกายที่เน้นเสริมสร้างความแข็งแรง

ให้กับกล้ามเน้ือ ( = 3.97) การออกกาลงั กายกลางแจ้ง ( = 3.45) ตามลาดับ
การออกกาลังกายเป็นส่วนหน่ึงของกิจกรรมการเคลื่อนไหวออกกาลังกาย และการ

เคล่อื นไหวออกกาลังกายประกอบด้วยกิจกรรมหลายรูปแบบ เช่น กิจกรรมในงานอาชีพ กิจกรรมใน
ชวี ิตประจาวนั การแขง่ ขนั กฬี า กิจกรรมการพักผ่อนหยอ่ นใจ การออกกาลังกายมีสว่ นประกอบหลักท่ี
สาคญั คือการเคลอ่ื นไหวสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายซ้าๆ อย่างมีแบบแผน และต้องมีจุดมุ่งหมายอย่างใด
อย่างหนง่ึ เช่น เพื่อสมรรถภาพของร่างกาย เสริมสร้างสขุ ภาพ ความสนุกสนาน เพื่อสังคม การศึกษา
น้ีอ้างอิงคาจากัดความของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขว่าหมายถึง การใช้แรงกล้ามเน้ือและ
ร่างกายเคลื่อนไหวเพ่ือให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพดี โดยจะใช้กิจกรรมใดเป็นส่ือก็ได้ เช่น การ
บริหาร เดินเรว็ วงิ่ เหยาะ หรือการฝกึ กฬี าท่ีมไิ ด้มงุ่ ที่การแข่งขัน บุคลากรมีความต้องการรูปแบบการ
ออกกาลังกายที่เน้นพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจและปอด เพื่อสุขภาพท่ีแข็งแรง (health –
related fitness) สามารถปฏิบัติงาน/กิจกรรมในชีวิตประจาวันได้อย่างยาวนาน ไม่อ่อนเพลียง่าย
และยงั ทาไดด้ ที ่ีสดุ เท่าท่รี า่ งกายเอ้ืออานวย สุขภาพที่แข็งแรง ประกอบด้วย ความทนทานของระบบ
หายใจและไหลเวยี นโลหติ ความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือ ความทนทานของกลา้ มเนอื้ ความอ่อนตัวและ
สดั สว่ นรา่ งกาย ซง่ึ ต้องคานงึ ถึงความถี่ของการออกกาลังกายต่อสัปดาห์ ความแรงของการออกกาลัง
กายทส่ี อดคล้องกับสภาพร่างกาย และความนานของการออกกาลังกายทคี่ ิดจากเวลาเป็นนาที

สรุปแลว้ บคุ ลากรสานักงานศึกษาธกิ ารจงั หวดั ลาปาง
4. บุคลากรให้เวลากับการออกกาลังกายในวันหยุด นิยมออกกาลังกายที่เน้นพัฒนา
ระบบไหลเวยี นโลหติ หวั ใจและปอด เช่น การเดินเร็ว การปั่นจักรยาน การว่ิง การเล่นกีฬาต่างๆ ซึ่ง
ทาใหอ้ ัตราการเตน้ ของหัวใจสงู ขน้ึ
5. แรงจูงใจภายในท่ีส่งผลให้บุคลากรออกกาลังกาย ได้แก่ เพื่อการมีสุขภาพแข็งแรง
เพ่อื รักษาโรคภยั ไข้เจบ็ และเพอ่ื ผ่อนคลายความเครียดในชวี ติ ประจาวนั สว่ นแรงจูงใจภายนอก ได้แก่
เช่ือในคาแนะนาของแพทย์ ผู้เช่ียวชาญด้านโภชนาการ ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว ลด
คา่ ใช้จา่ ยดา้ นอาหารเสริมสุขภาพและได้รบั คาชักชวนจากเพ่ือน คนรู้จกั
6. ตอ้ งการคาแนะนาในการออกกาลังกายรูปแบบการออกกาลังกายเน้นพัฒนาระบบ
ไหลเวียนโลหิต หัวใจและปอดท่ีถูกวิธี และรับรู้ระดับความสามารถของตนเอง (perceived self-
efficacy) สามารถประเมินความสามารถของตนได้ว่าออกกาลังกายหรือทางานได้ในระดับใดใน
เบ้ืองตน้
ผลการวิจัยในครงั้ น้ี แสดงใหเ้ ห็นถึงรูปแบบพฤติกรรมของบคุ ลากรในการออกกาลังกาย
ทสี่ ะท้อนให้ทราบถงึ ความตอ้ งการออกกาลงั กายในพ้นื ทส่ี านักงานซง่ึ จะเป็นประโยชนต์ ่อการแผนการ
พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของบุคลากรควบค่ไู ปกบั พัฒนาประสทิ ธิภาพงาน/เปา้ หมายองคก์ ร นอกจากน้ีการ
วจิ ยั ในครง้ั น้ี ยังสะทอ้ นให้เหน็ ถึงทัศนคติของบุคลากรทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับสภาพแวดลอ้ มในการทางาน ดังนี้
4. ทัศนคติด้านความพึงพอใจในงาน (Job Satisfaction) บุคลากรมีความพึงพอใจใน
งานสูงและมที ัศนคตใิ นทางบวกต่องานทีท่ า หรือเรียกว่ามขี วญั และกาลังใจ (Morale)


5. ทัศนคติด้านการมีส่วนร่วมในงาน (Job Involvement) บุคลากรมีอัตราการรับรู้
เกีย่ วกับความสามารถในการทางานวา่ มีความสาคญั และมีคณุ ค่า ผู้ท่ีมีระดับของการมีส่วนร่วมในงาน
สูงจะมีความระมัดระวังเก่ียวกับงานท่ีทาสูง โดยจะทุ่มเทท้ังเวลา กาลังกายและกาลังใจให้กับ
การทางานอย่างเต็มท่ี การมีส่วนร่วมในงาน (Job involvement) และการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
(Organizational Commitment) บุคลากรกลุ่มน้ีมีความเส่ียงได้รับผลกระทบจากการทางาน และ
อาจส่งผลตอ่ คณุ ภาพงานในอนาคต

6. ทัศนคติดา้ นความผกู พนั กบั องคก์ รหรือความจงรักภักดีต่อองค์กร (Organizational
Commitment) บุคลากรมคี วามต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการทางานให้องค์กร ต้องการรักษาความ
เป็นสมาชกิ ขององค์กร มีความรู้สกึ เปน็ สว่ นหนึง่ และเขา้ มาเกย่ี วข้องกบั เป้าหมายขององคก์ ร

ทศั นคตติ อ่ งานในเชิงบวกจะช่วยบ่งชถี้ งึ พฤตกิ รรมในเชงิ สร้างสรรค์ที่จะมขี น้ึ ซง่ึ ตรงข้าม
กบั ทศั นคติตอ่ งานในเชิงลบจะทาให้เห็นพฤติกรรมในเชิงลบได้เช่นกัน พฤติกรรมท้ังเชิงบวกและเชิง
ลบล้วนมีผลกระทบโดยตรงต่อการดาเนินงานขององค์กรท้ังส้ิน ดังน้ัน ผลการศึกษารูปแบบการ
ดาเนินชีวิตและแรงจูงใจของบุคลากรที่มีผลต่อการตัดสินใจออกกาลังกาย มีประโยชน์ต่อในการ
ตดั สินใจทั้งในดา้ นการปอ้ งกันและแก้ปญั หาอันเกดิ จากสภาพแวดล้อมในการทางาน ดังนี้

1. เป็นการตรวจสอบและทราบถึงสภาพ ความต้องการ ระดับความพึงพอใจและ

ทัศนคติของบคุ ลากรวา่ มคี วามรู้สกึ อย่างไรต่อการบริหารองค์กร (Monitoring Attitudes)

2. มปี ระโยชนใ์ นด้านการสือ่ สารระหว่างฝา่ ยต่างๆ ในองค์กร (The Flow of Communication)

ทาใหท้ ราบว่าบคุ ลากรตอ้ งการอะไร คิดอย่างไร มีความต้องการฝึกอบรมหรอื ไม่ เป็นต้น

3. เป็นเครื่องมือช่วยฝา่ ยบรหิ ารในดา้ นการวางแผนและจดั การดา้ นทรัพยากรมนุษย์

และการ วางแผนโครงการใหมๆ่


บรรณานกุ รม

กรมอนามยั . (2543). ค่มู ือส่งเสรมิ การออกกาลังกายสาหรับเจ้าหนา้ ทีส่ าธารณสขุ .
กระทรวงสาธารณสุข. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

กรมอนามัย. (2546). ออกกาลงั กายแบบสะสม. กระทรวงสาธารณสขุ . กรุงเทพมหานคร :
ออนไลน์ : สืบค้นเมอ่ื วนั ท่ี 20 กนั ยายน 2564, จาก http://anamai.moph.go.th.

บุญชม ศรสี ะอาด. (2553). การวจิ ัยเบื้องตน้ . พิมพ์คร้งั ท่ี 8. กรุงเทพฯ : สุวรี ยิ าสาส์น.

สานักงานกองทนุ สนบั สนุนการสรา้ งเสริมสขุ ภาพ. (2556). มาสร้างองคกรแห่งความสุขกนั เถอะ.
ศูนย์องคก์ รสุขภาวะ, ออนไลน์ : สืบคน้ เมอ่ื วนั ท่ี 20 กนั ยายน 2564,
จาก http://www.happy8workplace.com.

สานักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ. (2563). แผนยทุ ธศาสตรสานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
ปีงบประมาณ พ.ศ.2563 – 2565. กรงุ เทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธกิ าร.

Burton, J. (2010). WHO healthy workplace framework and model : Background
and supporting literatureand practice : Word Health Organization,
Retrieved 20 September 2021 , form http://www.who.int/occupational_
health/healthy_workplace_framework.pdf.

Cronbach, L.J. (1951). Coefficient alpha and the internal structure of tests.
Psychometrika, 16 (3), 297-334.

Likert, R (1970). A Technique for the Measurement of Attitude. In G.F. Summer
(ED). Attitudes measurement. New York : Rand Mcnally. Brace & World.

Pender, N. J., Murdaugh, C., & Parsons, M. A. (2006). Health promotion in nursing
practice (4th ed.). New Jersey: Upper Saddle River.


แบบตรวจสอบคุณภาพของการศกึ ษา
การหาคา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ งของวตั ถุประสงค์
(Index of Item Objective Congruence: IOC)


ตารางวเิ คราะหค์ วามคิดเห็นของผู้ทรงคุณวฒุ ิ

ประมาณคา่ ความคดิ เหน็ ของผูท้ รงคณุ วุฒิ

รายการขอความคดิ เหน็ คนท่ี คา่
IOC
1. รปู แบบการดาเนนิ ชีวติ 12 3 แปลผล
1.1 การแสดงออกดา้ นพฤติกรรม 1.0
1.0 ใชไ้ ด้
1) ท่านออกกาลังกายสมา่ เสมอ (30 นาที/วัน +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
+1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
สปั ดาหล์ ะอยา่ งน้อย 3 วัน) +1 +1 1.0 ใช้ได้
+1 +1 ใช้ได้
2) ทา่ นให้เวลากบั การออกกาลงั กายหลงั เลิกงาน +1 +1 +1 0.06
ใชไ้ ด้
3) ทา่ นใหเ้ วลากับการออกกาลงั กายในวันหยดุ +1 +1 +1 1.0
1.0 ใช้ได้
4) งานอดิเรกของท่านคือการออกกาลงั กาย +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
+1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
5) ท่านนิยมออกกาลงั กายทีเ่ นน้ พัฒนาระบบ +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
+1 +1 1.0 ใช้ได้
ไหลเวยี นโลหิต หวั ใจ และปอด การเคล่ือนไหวรา่ งกายท่ี +1 +1 ใช้ได้
+1 +1
ตอ่ เน่อื ง เชน่ การเดินเร็ว การป่ันจักรยาน การวง่ิ การวา่ ย

น้า การเล่นกฬี าตา่ งๆ ซ่ึงทาให้อัตราการเต้นของหวั ใจสงู ขึน้

6) ทา่ นนยิ มออกกาลงั กายท่ีเน้นเสรมิ สรา้ งความ 0

แขง็ แรงให้กับกล้ามเนอ้ื การใชน้ ้าหนักตวั เป็นแรงตา้ น เช่น

วิดพ้ืน ซทิ อัพ การใช้แรงตา้ นจากยางยืด การใชแ้ รงต้านกับ

อุปกรณต์ า่ งๆ เช่น ขวดนา้ ผนังบา้ น เสา ขอบโต๊ะ-เกา้ อ้ี

ทีม่ น่ั คง การเดินขึ้นลงบันได การยกน้าหนกั หรอื เลน่ เวทซงึ่

ชว่ ยรักษามวลกล้ามเน้อื และเพิ่มการเผาผลาญขัน้ ต่าให้กบั

ร่างกาย

1.2 การแสดงออกด้านความคิด

1) ท่านตดิ ตามข่าวสารดา้ นการออกกาลงั กาย +1

เปน็ ประจา

2) ทา่ นชอบศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวิธีการ +1

ออกกาลังกาย

3) ทา่ นคิดวา่ การออกกาลังกายจะส่งผลถงึ +1

สขุ ภาพกายและจิตที่ดี

4) ทา่ นคิดวา่ การออกกาลงั กายเป็นประจาจะ +1

สง่ ผลตอ่ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานมากขนึ้

5) ท่านคิดว่า ศธจ.ลาปาง ควรส่งเสริมการ +1

ออกกาลงั กายในหน่วยงาน

6) ทา่ นคดิ วา่ บคุ ลากร ศธจ.ลาปาง ควรให้ +1

ความสาคัญตอ่ การออกกาลังกาย


ประมาณ แปลผล
คา่ ความ
รายการขอความคิดเห็น คิดเหน็ ของ คา่ แปลผล รายการขอ
ผ้ทู รงคุณวุ IOC 3 ความ
2. แรงจูงใจการออกกาลงั กาย ฒิคนที่ คิดเห็น
2.1 แรงจงู ใจภายใน 2
1) เพื่อการมีสขุ ภาพแขง็ แรง 1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
2) เพื่อลดนา้ หนัก +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
3) เพ่ือความสนุกสนาน +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
4) เพื่อรักษาโรคภัยไขเ้ จบ็ +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
5) เพื่อผ่อนคลายความเครียดใน +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
+1 +1
ชวี ิตประจาวัน +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
6) เพื่อสรา้ งสังคม ตอ้ งการพบปะผคู้ น
+1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
2.2 แรงจงู ใจภายนอก +1
1) เชอื่ ในคาแนะนาของแพทย์ ผู้เช่ียวชาญ +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
+1
ด้านโภชนา +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
2) ชื่นชอบ นกั กีฬา ดารา บล็อกเกอรห์ รอื +1 +1 1.0 ใช้ได้
+1
บคุ คลบนโลกออนไลน์ +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
3) ทาตามค่านิยมของสงั คม +1 +1 1.0 ใช้ได้
4) ตอ้ งการลดคา่ ใช้จา่ ยดา้ นอาหารเสรมิ +1
+1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
สขุ ภาพ +1 1.0 ใชไ้ ด้
5) ไดร้ บั การชักชวนจากเพื่อน คนรูจ้ ัก +1
6) ได้รบั การสนับสนนุ จากครอบครวั +1 1.0 ใช้ได้
+1
3. ความต้องการออกกาลงั กาย
3.1 ด้านวชิ าการ +1
1) ตอ้ งการความรู้ ขอ้ มูลข่าวสารด้านการ

ออกกาลังกาย
2) ตอ้ งการคาแนะนาในการออกกาลงั กายท่ี

ถกู วิธี
3.2 ดา้ นการปฏิบัติ
1) การออกกาลังกายทีเ่ น้นพฒั นาระบบ

ไหลเวยี นโลหิต หวั ใจ และปอด การเคลอ่ื นไหว
รา่ งกายท่ตี ่อเน่ืองแบบแอโรบคิ เชน่ เดิน เดนิ เร็ว
วิ่งเหยาะ เต้นแอโรบิค


ประมาณ แปลผล

ค่าความ คา่ รายการขอ
IOC ความ
คิดเห็นของ แปลผล คิดเหน็
2
รายการขอความคดิ เห็น ผทู้ รงคณุ วุ +1 3
+1
ฒิคนท่ี 0
+1
1

2) การออกกาลังกายทเี่ น้นเสรมิ สร้างความ +1 1.0 ใช้ได้

แข็งแรงใหก้ ล้ามเน้ือ การใช้น้าหนักตัวเป็นแรงตา้ น

เชน่ ออกกาลังกายดว้ ยบันได วดิ พ้ืน สควอท เวท/

ดมั เบล อปุ กรณย์ างยืด

3) การออกกาลงั กายกลางแจง้ เช่น เปตอง +1 +1 0.06 ใช้ได้

เทเบลิ เทนนิส แบดมินตัน +1 1.0 ใช้ได้
0.93
4) อ่ืนๆ (โปรดระบุ) +1

รวม


ประวตั ยิ ่อผ้ศู ึกษา


ชื่อ – นามสกลุ นางสาวกาญจนี ฟคู าใบ
วนั เดือน ปีเกิด 14 มีนาคม 2516
ท่ีอยปู่ ัจจุบนั 39/3 ถนนมนตรี ตาบลสบต๋ยุ อาเภอเมือง จงั หวัดลาปาง

ประวัติการศึกษา ศศ.บ.(การสื่อสารมวลชน) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
พ.ศ. 2538 บธ.บ.(การตลาด) มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช
พ.ศ. 2551 กศ.ม. (บรหิ ารการศึกษา) มหาวิทยาลัยพะเยา
พ.ศ. 2559

ประวัติการทางาน นกั ประชาสมั พนั ธ์ปฏิบัติการ
พ.ศ. 2551-2554 สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาบรุ ีรัมย์ เขต 3

พ.ศ. 2554-2559 นักทรพั ยากรบุคลากรปฏิบัตกิ าร - ชานาญการ
สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2
พ.ศ. 2559-2560
นักทรัพยากรบคุ ลากร ชานาญการ
พ.ศ. 2560-2564 สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
นักทรัพยากรบคุ ลากร ชานาญการ
ปจั จบุ ัน
สานกั งานศึกษาธกิ ารจงั หวัดลาปาง
นักทรัพยากรบคุ ลากรชานาญการ รกั ษาราชการในตาแหน่ง

นักทรพั ยากรบุคลากรชานาญการพเิ ศษ ปฏิบัตหิ น้าทผี่ ู้อานวยการ
กลุ่มบริหารงานบคุ คล สานักงานศกึ ษาธิการจังหวดั ลาปาง


ช่อื – นามสกลุ นางสาวกนกรัตน์ ภัทรสุทธิผล
วนั เดือน ปีเกิด 14 กนั ยายน 2563
ทอี่ ยูป่ ัจจุบัน 446/33 หมู่ 3 ตาบลชมพู อาเภอเมือง จังหวัดลาปาง

ประวตั ิการศึกษา ประถมศกึ ษาตอนปลายโรงเรียนอัสสัมชัญลาปาง
พ.ศ. 2542 มัธยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรียนอสั สัมชญั ลาปาง
พ.ศ. 2548 ปรญิ ญาตรี บรหิ ารธรุ กจิ บัณฑิต
พ.ศ. 2552 สาขาวิชาการจดั การระบบสารสนเทศทางคอมพวิ เตอร์
มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนาลาปาง
พ.ศ. 2564 ปริญญาโท การจดั การมหาบัณฑิต
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏลาปาง
ประวัตกิ ารทางาน
พ.ศ. 2553 ประชาสัมพนั ธ์ สถานสงเคราะหเ์ ดก็ บ้านเวยี งพงิ ค์
จงั หวดั เชียงใหม่
พ.ศ. 2554-2558 เจา้ หน้าท่ีทะเบียนประวัตอิ ิเลก็ ทรอนกิ ส์
สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
พ.ศ. 2559-ปัจจุบนั นักทรัพยากรบุคคลชานาญการ
สานกั งานศึกษาธิการจงั หวดั ลาปาง


Click to View FlipBook Version