เตรียมอุดมศึกษาภาคใต้
ง30101 การดำรงชีวิตและครอบครัว1
นางสาวปัณณพร ชูช่วย เลขที่30
มัธยมศึกษาปีที่4/2
เสนอ
คุณครูวธัญญู ทองเหลือ
ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา2564
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้
1
โครงการสอน
รหัส ง30101 รายวชิ า การดำรงชีวติ และครอบครัว1
จำนวน 0.5 หนวยการเรยี น เวลาเรยี น 1 ชว่ั โมง/สปั ดาห
ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปการศกึ ษา 2564
กลุมสาระการการเรียนรกู ารงานอาชพี
โรงเรยี นเตรียมอดุ มศึกษาภาคใต
………………………………………………………………………………………………………………………………
คำอธบิ ายรายวิชา
ศึกษาวิธีการทำงานตามแนวทฤษฎีใหม การปลกู พืชและการเลี้ยงสัตวมีความสำคญั ตอ การดำรงชีวติ ฝกทักษะ
การทำงาน สรา งจิตสำนกึ ในการอนุรักษพลังงานและสิ่งแวดลอ ม โดยนำเครือ่ ง มอื เคร่อื งใชไฟฟา อปุ กรณอำนวยความ
สะดวกที่ใชในชีวิตประจำวัน ตองรูจักการใช การติดตั้ง บำรุงรักษาและซอมแซม ตลอดการดำเนินงานทางธุรกิจได
หลากหลายตามความเหมาะสม โดยมีจดุ ประสงคใ นการทำงานรว มกัน เพ่อื ใหบ รรลจุ ุดมุงหมายท่ีไดต ้งั ไว
โดยใชทกั ษะกระบวนการทำงานทักษะการจัดการทักษะกระบวนการแกปญหา ทักษะการทำงานรวมกันทักษะ
การแสวงหาความรูอ ธิบายวิธีการทำงานเกษตร งานชา ง และงานธรุ กจิ อยางมีความคดิ สรา งสรรคในการทำงานมีทักษะ
ในใชเ ทคโนโลยใี นอาชพี ทถ่ี นดั และสนใจ
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค มคี วามคิดสรางสรรค มีคณุ ธรรม และลักษณะนสิ ัยในการทำงาน มีจิตสำนกึ ในการ
ใชพลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดลอมอยางคุมคาและยั่งยืนมีความคิดสรางสรรคมีคุณธรรมและลกั ษณะนิสัยในการ
ทำงานมีเจตคติที่ดีตออาชีพใชเทคโนโลยีอยางเหมาะสมกับอาชีพมีคุณลักษณะที่ดีตออาชีพและสมรรถนะสำคัญของ
ผูเรียนมีความสามารถในการคิดความสามารถในการแกปญหาความสามารถในการใชทักษะชีวิตความสามารถในการ
สอ่ื สารและความสามารถในการใชเทคโนโลยี
ตวั ชี้วัด
ง1.1 ม.4/1 , ม.4/3 , ม.4/5 , ม.4/7
รวมท้ังสน้ิ 4 ชวี้ ัด
ง30101 การดำรงชวี ติ ฯ 1 ม.4
2
โครงการสอน
ง30101 การดำรงชวี ติ และครอบครวั 1 เวลา 20 คาบ 0.5 หนว ยกิต
ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 4
ภาคเรยี นท่ี 2 ปก ารศกึ ษา 2564 อัตราสว นคะแนน 80:20
นำ้ หนักคะแนน
มาตรฐาน การวดั /
การเรยี นรู ประเมินผล
สัปดา หที่
ห นวยท่ี
จำนวนคาบ
ราย ุจด
กลางภาค
ปลายภาค
รวม
ชื่อหนวย สาระการเรียนรู
1 1 ทฤษฎใี หม ง1.1 1. พนื้ ที่ทฤษฎใี หมโ รงเรยี น 5 17 12 - 29 -สงั เกต
- ม.4/1 อธิบาย เตรียมอุดมศกึ ษาภาคใต -รายงานตนเอง
5 วธิ ีการทำงานเพอ่ื 30 : 30 : 30 : 10 -ปฏิบตั ิจรงิ
การดำรงชีวิต 2. หญาแฝก -สอบถามเพื่อน
6 2 ธุรกิจยุกต -แบบบนั ทึก
- ปจจบุ นั 3. ถา นไบโอชาร
8 4. จลุ ินทรยี สงั เคราะหแ สง 3 13 8 - 21 -สังเกต
5. Ling - แอปเพ่ือการ
9 เกษตรดิจิทลั -สัมภาษณ
10 3 อาชีพ ง1.1 6. ประเภทธรุ กจิ -ปฏบิ ัตจิ ริง
- การเกษตร 4/5 มที ักษะใน 7. ระบบธุรกิจ -แบบบันทึก
16 การแสวงหาความรู 8. ธุรกิจออนไลน
เพื่อการดำรงชีวิต 8 30 20 - 50
สอบกลางภาค 8 22 - 15 37 -สังเกต
ง1.1 9. การปลกู พชื -รายงานตนเอง
4/3 มีทกั ษะการ 10. การปฏิบัตดิ แู ลรกั ษาพชื -สัมภาษณ
จดั การในการ 11. การขยายพันธพุ ืช -ปฏิบตั ิจรงิ
ทำงาน 12. การจัดการผลผลติ -สอบถามเพอื่ น
-แบบบนั ทกึ
13. การเล้ียงสัตว
14. ประเภทของสตั วเลยี้ ง
15. อาชีพการเลี้ยงสตั ว
16. สัตวอนรุ กั ษ
ง30101 การดำรงชวี ิตฯ 1 ม.4
3
น้ำหนักคะแนน
มาตรฐาน การวัด/
การเรียนรู ประเมินผล
สัปดา หท่ีช่อื หนวย
ห นวย ่ที
จำนวนคาบ
ราย ุจด
กลางภาค
ปลายภาค
รวม
สาระการเรยี นรู
17 4 งานชา ง ง 1.1 17. เคร่ืองมอื ชาง 2 8 - 5 13 -สงั เกต
- พ้นื ฐาน 4/7 ใชพ ลังงาน 18. การติดตงั้ อุปกรณ -ปฏิบัตจิ ริง
19 ทรัพยากร ในการ -สอบถามเพือ่ น
ทำงานอยา งคุมคา -แบบบันทกึ
20 และย่ังยนื เพ่อื การ -ตรวจขอสอบ
อนรุ ักษสงิ่ แวดลอ ม
10 30 - 20 50
สอบปลายภาค
20 60 20 20 100
รวมตลอดภาคเรียน
ภาระงาน ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปการศกึ ษา 2564
ลำดบั ภาระงาน ส่งั สง
ท่ี
1. สง สมดุ Recycle งานเกษตร ครั้งที่ 1 1-5 พ.ย.64 15-19 พ.ย.64
2. ทฤษฎใี หม 8-12 พ.ย.64 15-19 พ.ย.64
3. หญา แฝก 22-26 พ.ย.64 29 พ.ย.-2 ธ.ค.64
4. ถานไบโอชาร 6-10 ธ.ค.64 13-17 ธ.ค.64
5. จลุ ินทรียสังเคราะหแสง 13-17 ธ.ค.64 20-24 ธ.ค.64
6. วดั พ้ืนท่ีดวยโปรแกรม ลิง 20-24 ธ.ค.64 27-31 ธ.ค.64
7. ออกแบบสินคาออนไลน 3-7 ม.ค.65 10-14 ม.ค.65
8. ปก ชำควบแนน 10-14 ม.ค.65 17-21 ม.ค.65
9. รายงานสตั วหนา เดียว 24-28 ม.ค.65 31 ม.ค.-4 ก.พ.65
10. ทำความสะอาดอุปกรณ/ไฟฟา/เครอ่ื งเรือน 31 ม.ค.-4 ก.พ.65 7 ก.พ.-11 ก.พ.65
11. สง สมดุ Recycle งานเกษตร คร้งั ที่ 2 หลังสอบปลายภาค
ง30101 การดำรงชีวิตฯ 1 ม.4
4
มาตรการแกไขคุณลักษณะ ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4
ลำดับที่ ผดิ สญั ญา บทลงโทษ
1. เขา หองเรยี นสาย/พูดคยุ ขณะครูสอน/เลน โทรศพั ท ด่มื น้ำบอระเพด็ /บอระเพ็ดเกล็ดหิมะ
2. สง งานชา 1 วัน กวาดหอ งเกษตร
3. สง งานชา 2 วนั กวาดและถูหองเกษตร
4. สงงานชา 3 วัน กวาดและถหู องเกษตรช้ันบนชั้นลาง
5. สง งานชา 4 วัน กวาดและถูหอ งเกษตรช้นั บนชน้ั ลางและบริเวรตวั อาคาร
6. สงงานชา 5 วัน ตดิ ร.
7. การแก ร. ปฏบิ ัติขอ ที่ 2-5 ครบทุกขอ
8. สอบไมผา นกลางภาคและปลายภาค กำจดั วชั พืชในบอน้ำคะแนนละ 1 เมตร 2 เมตร ปลายภาค
เปาหมายการพัฒนาการเรยี นรขู องนกั เรยี น
ง30101 รายวิชา การดำรงชวี ติ และครอบครัว1
กลุม สาระการเรยี นรูก ารงานอาชีพ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4
รหสั วิชา/รายวิชา เปา หมายดา นความรู รอ ยละ
1. มผี ลสัมฤทธผ์ิ านเกณฑข ั้นตำ่ (1) ไมนอยกวา 100
ง30101 2. มีผลสัมฤทธิ์ในรับดี (เกรด 3 ขึ้นไป) ไมนอยกวา 92
การดำรงชีวติ และ 3. เรยี นมีผลสัมฤทธคิ์ วรปรับปรงุ (0,ร,ม,.ส) ไมเ กิน 0
รอยละ
ครอบครัว1 เปาหมายดานการอา น คดิ วเิ คราะห อา น-เขยี น 95
1. ผูเรยี นผา นการประเมินการอาน คดิ วิเคราะห และเขยี นในระดับดี(ระดับ 2 และ3 )ไมต ำ่ กวา รอ ยละ
95
เปาหมายดานคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค
1. ผูเรยี นผานการประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค ในระดับด(ี ระดับ 2 และ 3 ) ไมต่ำกวา
หมายเหตุ Prin หรอื จดบันทึกลงในสมุด Recycle เกษตรตัง้ แตห่ นา้ แรกให้พอดีกบั หน้าสมุด หา้ มพับอยา่ งเด็ดขาด
ลงช่อื ....................................................
(นายวธัญู ทองเหลือ)
ง30101 การดำรงชวี ติ ฯ 1 ม.4
เกษตรทฤษฎใี หม่ เป็นแนวพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธเิ บศรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช
มหาราชบรมนาถบพิตร เกย่ี วกบั การจดั พนื ้ ทีด่ ินเพ่ือการอยอู่ าศยั และมีชีวิตอยา่ งยง่ั ยนื โดยมแี บ่งพนื ้ ที่เป็น
สว่ น ๆ ได้แก่ พนื ้ ทนี่ า้ พนื ้ ท่ดี นิ เพอื่ เป็นท่นี าปลกู ข้าว พนื ้ ท่ดี ินสาหรับปลกู พืชไร่นานาพนั ธ์ุ และทีส่ าหรบั อยู่
อาศยั และเลยี ้ งสตั ว์ ในอตั ราสว่ น 30:30:30:10 เป็นหลกั การในการบริหารการจดั การท่ีดินและนา้ เพือ่
การเกษตรในทด่ี นิ ขนาดเล็กให้เกิดประสิทธภิ าพสงู สดุ
ดงั นี ้
1. มีการบริหารและจดั แบง่ ทดี่ ินแปลงเลก็ ออกเป็นสดั ส่วนท่ีชดั เจน เพื่อประโยชน์สงู สดุ ของเกษตรกร ซึง่ ไม่
เคยมีใครคิดมาก่อน
2. มีการคานวณโดยหลกั วิชาการ เกย่ี วกบั ปริมาณนา้ ทจ่ี ะกักเกบ็ ให้พอเพียง ตอ่ การเพาะปลกู ได้ตลอดปี
3. มีการวางแผนทีส่ มบรู ณ์แบบ สาหรับเกษตรกรรายย่อย 3 ขนั้ ตอน เพือ่ ให้พอเพียงสาหรับเลีย้ งตนเองและ
เพอื่ เป็นรายได้
การแบง่ พนื ้ ท่ีทากนิ ตามหลกั เกษตรทฤษฎใี หม่
-ให้ขดุ สระเกบ็ กกั นา้ เพื่อใช้เลีย้ งสตั ว์นา้ และปลกู พชื ในฤดแู ล้ง 30%
-ให้ปลกู ไม้ผล ไม้ยืนต้น พชื ผกั พชื ไร่ พชื สมนุ ไพร ฯลฯ เพอ่ื ใช้เป็นอาหารประจาวนั 30%
-ให้ปลกู ข้าวในฤดฝู น เพือ่ ใช้เป็นอาหารประจาวนั ในครัวเรือนให้พอเพียงตลอดปี 30%
-ใช้เป็นทอ่ี ยูอ่ าศยั เลีย้ งสตั ว์ และโรงเรือนอื่น ๆ 10%
แหลง่ ทม่ี า : https://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎใี หม่
ถ่านไบโอชาร์
ถ่านชีวภาพ หรือ ไบโอชาร์ (Biochar) คอื วสั ดทุ ี่อดุ มด้วยคาร์บอน ผลิตจากชวี มวล หรือสารอนิ ทรีย์ที่
ย่อยสลายได้จากธรรมชาติ หรือวสั ดเุ หลอื ใช้จากการเกษตร เช่น ใบไม้ ก่ิงไม้ หญ้า ฟางข้าว เหง้ามนั
สาํ ปะหลงั ซงั และต้นข้าวโพด มลู สตั ว์ กากตะกอนของเสีย เป็นต้น แม้กระทงั่ มลู สตั ว์นาํ มาผา่ น
กระบวนการเผาไหม้ท่มี กี ารควบคมุ อณุ หภมู แิ ละอากาศหรือจาํ กดั อากาศให้เข้าไปเผาไหม้น้อยทสี่ ดุ ซึ่ง
กระบวนการเผาไหม้นี ้เรียกว่า “การแยกสลายด้วยความร้อนหรือกระบวนการไพโรไลซิส” ในสภาวะทไ่ี มม่ ี
ออกซิเจนหรือมอี อกซิเจนน้อยมาก มงี านวิจยั ทไ่ี ด้ศึกษาการใช้ประโยชนข์ องถ่านชีวภาพมหี ลายด้าน เชน่
การปรบั ปรุงดนิ และช่วยเพ่มิ ปริมาณและคณุ ภาพของผลผลติ ทางการเกษตร รวมถึงลดระยะเวลาการปลกู
ได้อีกด้วย แล้วแตช่ นิดของพชื ทป่ี ลกู มงี านวจิ ยั ทีน่ ําถ่านชวี ภาพไปใช้กบั พชื ทางการเกษตร ใช้เป็นวสั ดปุ ลกู
ร่วมกับวสั ดอุ น่ื เพ่อื ผลติ ผลผลติ ทางการเกษตร การลดการดดู ซบั สารเคมีทใ่ี ช้กําจดั วชั พืชและศตั รูพชื และ
โลหะหนกั ทอ่ี ย่ใู นดนิ และนํา้ ของพืชที่ปลกู โดยถ่านชวี ภาพจะตรึงสารเคมกี ลมุ่ นไี ้ ว้ ทาํ ให้ลดผลกระทบต่อ
พืชที่ปลกู จากสารเคมแี ละโลหะหนกั ท่ปี นเปือ้ น ใช้ดดู ซบั นาํ ้ มนั ปิโตรเลียม ใช้เป็นตวั เร่ง ในปฏกิ ริยาใน
กระบวนการผลิตไบโอดีเซละและไบโอแก๊ส ใช้เป็นวสั ดเุ พอ่ื ผลติ ชนิ ้ สว่ นอเิ ลก็ โทรนกิ ส์ ผลติ กราฟีน เป็นต้น
ถ่านชวี ภาพถูกนาํ มาใช้มาเป็นเวลาหลายพนั ปีมาแล้ว โดยชมุ ชนพนื ้ เมอื งในแถบล่มุ นาํ ้ อะเมซอนของทวปี
อเมริกาใต้ ได้ใช้เศษพชื จากพนื ้ ท่ีเพาะปลกู และมลู สตั ว์ เผาให้กลายเป็นถ่านชวี ภาพ ซงึ่ เรียกชอ่ื ตามภาษา
ท้องถิน่ วา่ Terra Preta มคี วามหมายว่าโลกดํา (black earth) หมายถึง สีของดินบริเวณนนั้ มีสคี ลํา้ จน
เกือบดาํ เนื่องจากดินดงั กล่าวมีปริมาณธาตอุ าหารหรืออินทรียวตั ถุในดินสงู กว่า พนื ้ ท่ีท่ีไมใ่ สถ่ ่านชีวภาพ
ปัจจบุ นั พบวา่ พนื ้ ทีท่ เ่ี คยมกี ารใช้ถ่านชีวภาพในพนื ้ ทเ่ี กษตรกรรม ในหลายพนื ้ ท่ขี องอเมริกา ยุโรปและ
เอเชีย เช่น เอกวาดอร์และเปรูในอเมริกาใต้ เบนนิ และไลบีเรียในแอฟริกาตะวนั ตกและทุง่ หญ้าสะวนั นาใน
แอฟริกาใต้ จีนและออสเตรเรีย เป็นต้น อีกทงั้ มงี านวจิ ยั จาํ นวนมากทเ่ี กี่ยวกับการผลิตและการประยุกต์ใช้
งานถา่ นชีวภาพ
ถ่านชีวภาพ หรือ ไบโอชาร์ (Biochar) คอื วสั ดทุ ่ีอดุ มด้วยคาร์บอน ผลติ จากชวี มวล หรือสารอินทรีย์ที่
ยอ่ ยสลายได้จากธรรมชาติ หรือวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เชน่ ใบไม้ ก่งิ ไม้ หญ้า ฟางข้าว เหง้ามัน
สาํ ปะหลงั ซงั และต้นข้าวโพด มูลสัตว์ กากตะกอนของเสีย เป็นต้น แม้กระทง่ั มูลสตั ว์นาํ มาผ่าน
กระบวนการเผาไหม้ท่ีมีการควบคมุ อณุ หภูมิและอากาศหรือจํากัดอากาศให้เข้าไปเผาไหม้น้อยท่ีสดุ ซ่งึ
กระบวนการเผาไหม้นี ้เรียกว่า “การแยกสลายด้วยความร้อนหรือกระบวนการไพโรไลซิส” ในสภาวะทไ่ี ม่มี
ออกซเิ จนหรือมอี อกซิเจนน้อยมาก ซ่งึ มสี องวธิ ีหลกั ๆ คือ
• การแยกสลายด้วยความร้อนอย่างช้า (Slow Pyrolysis) อณุ หภูมิเฉล่ียประมาณ 300-600 องศา
เซลเซยี ส แตจ่ ะใช้เวลาเป็นชวั่ โมง หากใช้อณุ หภมู ิเฉลีย่ ในการเผาไหม้ประมาณ 500 องศา
เซลเซียส จะได้ผลผลิตของถา่ นชวี ภาพมากกวา่ 20-50% ทเ่ี หลือเป็นแก๊สที่จดุ ตดิ ไฟได้และมี
ของเหลวบางสว่ นที่ควบแนน่ ได้
• การแยกสลายด้วยความร้อนอย่างเร็ว (Fast Pyrolysis) อณุ หภูมิเฉล่ียประมาณ 700 องศา
เซลเซียส ใช้เวลาเป็นวนิ าที ผลผลติ ทไี่ ด้จะเป็นนาํ ้ มนั ชีวภาพ (Bio-oil) แก๊สสงั เคราะห์ (Syngas)
และถา่ นชวี ภาพ (Biochar)
ความแตกต่างระหว่าง ถ่านชวี ภาพ (biochar) และถ่าน (char) ถ่านทใ่ี ช้เป็นเชอื ้ เพลงิ กรองนาํ ้ ดบั กลน่ิ
ใช้อณุ หภูมสิ งู กว่า 700 องศาเซลเซียส ขณะทีถ่ า่ นชีวภาพใช้อณุ หภูมิตํา่ กว่า ทาํ ให้ถา่ นชีวภาพมสี ารที่เป็น
ประโยชนก์ บั พืช มอี าหารของกลมุ่ ส่งิ มชี วี ติ ขนาดเล็ก สามารถกักเกบ็ คาร์บอนลงในดินและช่วยปรบั ปรุง
สภาพทางกายภาพของดนิ และมีสมบตั อิ ีกหลายอย่างท่ีทาํ ให้ถ่านชีวภาพถูกนาํ มาใช้ในหลายด้าน
ความแตกต่างระหว่างถ่านชวี ภาพและป๋ ยุ หมกั ถา่ นชีวภาพมลี กั ษณะเป็นรูโพรง เมอื่ นําถ่านมาผสมกบั
ป๋ ยุ หมกั หรือป๋ ยุ คอก รูโพรงนเี ้ม่อื อยูใ่ นดินจะชว่ ยเก็บธาตอุ าหารจากป๋ ยุ และเป็นท่อี ยขู่ องจุลนิ ทรีย์ ช่วย
ปลดปลอ่ ยธาตอุ าหารให้แก่พชื ได้นาน อกี ทงั้ ยงั มีงานวิจยั ที่สนบั สนุนวา่ ทาํ ให้ลดระยะเวลาในการหมกั และ
ลดการปลดปล่อยไนโตรเจน ทําให้ป๋ ยุ หมกั ท่ผี สมถ่านชีวภาพจะมีปริมาณไนโตรเจนมากกวา่ ชว่ ยให้ลด
ปริมาณการใช้ป๋ ยุ ลงได้
มีงานวจิ ยั ท่ไี ด้ศึกษาการใช้ประโยชนข์ องถา่ นชวี ภาพมีหลายด้าน เช่น
• นําไปปรับปรุงดินเพ่อื ปลกู พืช
o การปรับปรุงดนิ และชว่ ยเพ่ิมปริมาณและคณุ ภาพของผลผลติ ทางการเกษตร รวมถึงลด
ระยะเวลาการปลกู ได้อกี ด้วย แล้วแตช่ นดิ ของพชื ท่ีปลกู มงี านวิจยั ที่นาํ ถา่ นชวี ภาพไปใช้
กบั พชื ทางการเกษตร เชน่ พืชไร่เช่น ปลกู ข้าว ข้าวโพด ถว่ั เหลอื ง ไม้ดอกไม้
ประดบั รวมถึงพชื สวน ผกั สวนครัว และกาแฟ เป็นต้น
o ใช้เป็นวสั ดปุ ลกู ร่วมกบั วสั ดอุ ืน่ เพ่ือผลิตผลผลติ ทางการเกษตร
o วสั ดเุ พาะต้นกล้า ช่วยทําให้เตบิ โตได้ดี เชน่ ไบโอชาร์เปลอื กกาแฟใช้เพาะต้นกล้วย ไบ
โอชาร์แกลบใช้เพาะผกั ผกั สลดั เป็นต้น
o ดนิ ปลกู ผสมไบโอชาร์ ชว่ ยลดเวลาผลผลิต เชน่ กระเจ๊ียบ ดอกแค เป็นต้น
o ชว่ ยลดต้นทุนการทําเกษตร โดยใช้เพียงดนิ ปลกู ผสมไบโอชาร์ตามสตู รแมโ่ จ้ สามารถใช้
ผลิตผลผลิตเกษตร เช่น ผกั สลดั ผกั สว่ นครัว โดยที่ไม่ต้องเตมิ ป๋ ยุ เพิ่มเตมิ ทาํ ให้ชว่ ยลด
ต้นทนุ การผลิตสาํ หรบั เกษตรกร
• การดดู ซบั แก๊สและลดกล่นิ
o ลดกลนิ่ และแก๊สเรือนกระจกของการหมกั ป๋ ยุ และช่วยตรึงไนโตรเจน ทําให้ป๋ ยุ หมกั มี
ปริมาณไนโตรเจนเพิ่มขนึ ้ และลดระยะเวลาการหมกั
o ดดู ซบั กลนิ่ และแก๊สจากมลู สตั ว์ในฟาร์ม รวมถงึ ระบบบาํ บดั นาํ ้ เสียในฟาร์ม
• การดดู ซบั แร่ธาตทุ ป่ี นเปือ้ นไปในแหล่งนาํ ้
o ฟอสเฟต
o ไนเตรท
• การดดู ซบั สารเคมีและโลหะหนกั
o การลดการดดู ซบั สารเคมีท่ใี ช้กาํ จดั วชั พืชและศตั รูพชื และลดการดดู ซบั โลหะหนกั ทอี่ ยูใ่ น
ดินและนาํ ้ ของพชื ท่ีปลกู โดยถ่านชวี ภาพจะตรึงสารเคมแี ละโลหะหนกั กลมุ่ นไี ้ ว้ ทาํ ให้ลด
ผลกระทบตอ่ พชื ท่ีปลกู จากสารเคมีและโลหะหนกั ทีป่ นเปือ้ น โดยเฉพาะพืชผกั สวนครัว
และพชื สมนุ ไพร
o การบําบดั นาํ ้ เสียหรือแหล่งนาํ ้ ทม่ี กี ารปนเปือ้ นโลหะหนกั และสารเคมี
o ใช้ดดู ซบั นาํ ้ มนั ปิโตรเลียม
• ตวั เร่งปฏกิ ริยา
o การผลิตไบโอดเี ซล
o การผลิตไบโอแก๊สจากนาํ ้ เสยี บาํ บดั นาํ ้ เสีย
• ลดนาํ ้ หนกั ของวสั ดุ
o ใช้เป็นสว่ นผสมอิฐและปนู ซเี มนตเ์ พือ่ ชว่ ยลดนหนกั
• อิเลก็ ทรอนกิ ส์
o ใช้เป็นวสั ดเุ พื่อผลติ ชนิ ้ ส่วนอิเลก็ โทรนกิ ส์
o ผลิตกราฟีน
อ้างอิง
ธนศษิ ฏ์ วงศศ์ ริ ิอํานวย.การผลิตถา่ นชีวภาพและแนวทางการใช้ประโยชน์.[ออนไลน์].2562
แหลง่ ท่มี า: https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=1072 [24 พฤศจกิ ายน 2564]
นางสาวปัณณพร ชชู ว่ ย ม.4/2 เลขท่3ี 0
หญ้าแฝก
หญ้าแฝก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Chrysopogon zizanioides) เป็นพชื ที่มีระบบรากลกึ และแผ่กระจายลงไปใน
ดินตรงๆ เป็นพชื ทม่ี ีอายุได้หลายปี ขนึ ้ เป็นกอแน่น มใี บเป็นรูปขอบขนานแคบปลายขอบแหลม ยาว 35-80
เซนติเมตร มสี ว่ นกว้าง 5-9 มิลลิเมตร สามารถขยายพนั ธ์ุทไ่ี ด้ผลรวดเร็ว โดยการแตกหนอ่ จากลาต้นใต้ดิน
ในบางโอกาสสามารถแตกแขนงและรากออกในส่วนของก้านช่อดอกได้ เมอ่ื หญ้าแฝกโน้มลงดนิ ทาให้มีการ
เจริญเติบโตเป็นกอหญ้าแฝกใหมไ่ ด้ หญ้าแฝกมีอยู่ในโลกประมาณ 11-12 ชนดิ แตใ่ นประเทศไทยพบว่ามี
อย่เู พยี ง 2 ชนดิ คอื หญ้าแฝกหอมและหญ้าแฝกดอน ในธรรมชาติเราจะพบหญ้าแฝกทงั้ 2 ชนิดนไี ้ ด้ทวั่ ไป
เพราะขนึ ้ ได้ดใี นสภาพพนื ้ ทที่ งั้ ทลี่ ่มุ และท่ดี อนในดนิ สภาพต่างๆจากความสงู ใกล้กบั ระดบั นา้ ทะเลไปจนถึง
ระดบั ประมาณ 800 เมตรและถนิ่ กาเนิดดงั้ เดิมของพชื ชนดิ นีส้ นั นษิ ฐานวา่ อยูใ่ นประเทศอนิ เดยี
หญ้าแฝกหอม ใบมคี วามกว้างประมาณ 0.6-1.2 เซนติเมตรและยาวประมาณ 45-100 เซนตเิ มตร ใบเป็น
สีเขยี วเข้ม หลงั ใบโค้งปลายแบน เนอื ้ ใบคอ่ นข้างเนียน มไี ขเคลอื บทาให้ดมู นั สว่ นท้องใบจะออกเป็นสีขาว
ซดี กวา่ หลงั ใบ
หญ้าแฝกดอน ใบมีความกว้างประมาณ 0.4-0.8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 35-80 เซนตเิ มตร ใบเป็นสี
เขยี วซีด หลงั ใบพบั เป็นสนั สามเหลยี่ ม เนอื ้ ใบหยาบสากมือ มไี ขเคลือบน้อยทาให้ดกู ร้าน สว่ นท้องใบจะ
เป็นสเี ดียวกบั หลงั ใบ แต่จะมีสีซีดกว่า
หญ้าแฝกหอม หญ้าแฝกดอน
ประโยชน์ของหญ้าแฝก
1.หญ้าแฝกหอมเป็นพืชท่ีสะสมนา้ มันหอมไว้ในส่วนของราก คนไทยสมยั กอ่ นจึงใช้รากของหญ้าแฝกเป็น
เครื่องหอมสาหรบั อบเสือ้ ผ้า แก้กล่นิ อบั ในต้เู สือ้ ผ้า ใช้ขบั ไลแ่ มลง ด้วยการใช้รากแห้งนามาแขวนในตู้
เสือ้ ผ้า และยงั ใช้ผสมกบั นา้ มนั ให้เกดิ กลน่ิ หอม หรือนาไปผลติ เป็นเคร่ืองสาอางตอ่ ไป
2.คณุ สมบตั ิของหญ้าแฝก เนื่องจากภายในของรากหญ้าแฝกมีลกั ษณะเหมือนกับรากของพืชนา้ มนั จึง
สามารถทนต่อนา้ ทว่ มขงั ได้เป็นอยา่ งดี จึงนามาใช้ปลกู เพอื่ การอนรุ กั ษ์ดนิ และนา้ สิ่งแวดล้อมและระบบ
นิเวศน์เพ่ือชว่ ยแก้ปัญหาและปอ้ งกนั การพงั ทลายของดิน เพือ่ ป้องกนั ความเสยี หายของชนั้ บนั ไดดนิ หรือ
คนั คคู ลองรบั นา้ รอบเขา เพ่อื ปอ้ งกนั รักษาการกัดเซาะของนา้ จากแมน่ า้ บริเวณคอสะพาน เพอื่ ป้องกัน
ตะกอนดินลงส่ทู างนา้ ปลกู เพ่ือแก้ปัญหาดินดาน ฟืน้ ฟูดนิ เพอ่ื ควบคมุ มลพิษ รกั ษาสภาพแวดล้อม หรือใช้
ปลกู เป็นแถวตามแนวระดบั ขวางความลาดเท เป็นต้น
3.สว่ นประโยชน์ของหญ้าแฝกหอมอืน่ ๆ เชน่ การนามาเย็บเป็นตบั เพื่อใช้มงุ หลงั คา ใช้ในคอกสตั ว์ รอง
นอนให้เล้าสตั ว์เลีย้ ง ใบใช้เป็นอาหารเลีย้ งสตั ว์ ใช้เพาะเห็ด ทาเป็นป๋ ยุ หมกั และพชื คลมุ ดนิ หรือใช้ราก
นามาทาพดั สาหรบั พดั ให้ความเย็นและให้กลิน่ หอมเยน็ และใช้ในงานหตั ถกรรมตา่ ง ๆ ทาเชอื ก หมวก
ตะกร้า เคร่ืองประดบั เคร่ืองตกแต่งบ้าน ของใช้สานกั งาน ไม้อดั งานประดษิ ฐ์ งานจกั สาร ฯลฯ
เมอื่ วนั ที่ 25 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2536 IECA ได้มีมตถิ วายรางวลั The International Merit Award แด่
พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในฐานะท่ีทรงเป็นแบบอยา่ งในการนาหญ้าแฝกมา
ใช้อนุรกั ษ์ดนิ และนา้ และเมอ่ื วนั ที่ 30 ตลุ าคม พ.ศ. 2536 ผู้เช่ียวชาญเร่ืองหญ้าแฝกเพ่อื การอนรุ ักษ์ดิน
และนา้ แหง่ ธนาคารโลก ได้นาคณะเข้าเฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาททลู เกล้าทลู กระหม่อม ถวายแผน่ เกียรติ
บตั รเป็นภาพรากหญ้าแฝก ชุบสาริด ซง่ึ เป็นรางวลั สดดุ ีพระเกียรติคณุ (award of recognition) ในฐานะที่
ทรงมงุ่ มน่ั ในการพฒั นาและสง่ เสริมการใช้หญ้าแฝกในประเทศไทย ได้รับการตีพิมพเ์ ผยแพร่ไปทว่ั โลก
อ้างอิง
เวบ็ ไซตเ์ มดไทย(MedThai). พนั ธ์หุ ญ้าแฝก[ออนไลน์]. 2560.
แหล่งท่ีมา http://charoensinhos.go.th/2017/04/ [17 พฤศจกิ ายน 2564]
นางสาวปัณณพร ชชู ่วย ม.4/2 เลขท่ี30
ปักชำควบแน่น ตน้ ทองอุไร
กำรขยำยพนั ธุ์พืชผกั พ้ืนบำ้ นแบบควบแน่นอย่ำงมปี ระสิทธิภำพ เป็นวธิ ีกำรที่สำมำรถลดเวลำตน้ ทุนและกำร
ดูแลรักษำ สำมำรถกำหนดปริมำณของผลผลิตใหต้ รงกบั ควำมตอ้ งกำรของตลำดและกำรบริโภคไดอ้ ย่ำง
แม่นยำ เกษตรกรสำมำรถใชว้ ธิ ีน้ีอนุรักษพ์ นั ธุ์พืชไดก้ บั พชื ผกั และผลไม้ 30 กวำ่ ตวั อย่ำง สำมำรถขยำยไดท้ ี
ละมำกๆเม่อื เกิดน้ำท่วม หรือลมพดั ตน้ แม่พนั ธุ์เสียหำย
วัสดุอุปกรณ์
-ยอดพนั ธุ์ ควำมแก่ออ่ น 40-60%
-น้ำสะอำด
-แกว้ พลำสติก ขนำดบรรจุ 6-10 ออนซ์ หรือภำชนะที่ใหญ่กว่ำ ดูตำมขนำดของยอดหรือกง่ิ พนั ธุ์
- ยำงวงเส้นเล็ก มอื เชือก
- กรรไกรแต่งก่ิง และกรรไกรอเนกประสงค์
วิธีทำ
- เกบ็ ดินจำกบริเวณท่มี อี นิ ทรีวตั ถุนอ้ ย ทำดนิ ให้ร่วนซุย
- พรมน้ำคลุกเคลำ้ ใหเ้ ขำ้ กนั แลว้ ป้ันดู พอตดิ มือ กำพอเป็นกอ้ น
- นำดนิ ใส่ให้เตม็ แกว้ พลำสติกหรือภำชนะกระถำงทีจ่ ะใช้ กดดินใหแ้ น่นระดบั 80%
- ใชไ้ มแ้ หลมหรือกรรไกรเสียบตรงกลำงภำชนะท่จี ะใส่ดนิ ใหล้ กึ ไมเ่ กิน 3 ใน 4 ส่วนของแกว้
- ใชก้ รรไกรคมตดั ยอดพชื พนั ธุต์ ำมทตี่ อ้ งกำร ตดั ให้ยำวประมำณ 12-18 เซนติเมตร ขอ้ สำคญั อยำ่ ใหแ้ ผลที่
ตดั เปลือกฉีก จะออกรำกไม่ดี
- นำยอดพนั เสียบลงในรูทีเ่ ตรียมไวใ้ ห้สุด
- ใชน้ ้ิวหัวแม่มอื กดดินรอบกิง่ ให้แน่นอยำ่ ใหห้ ลวมหำกหลวมจะออกรำกยำก
- นำถงุ พลำสตกิ ครอบลงแลว้ รดั ดว้ ยยำงวงจำนวน 2 เสน้ แลว้ ดงึ กน้ ถงุ ใหย้ ำงไปรบั อยูท่ ขี่ อบปำกแกว้
- นำไปเก็บไวใ้ นทร่ี ่ม หลงั จำกน้นั 15-20 วนั ใหต้ รวจดรู ำก พบรกั ให้ปลอ่ ยจนรำกมีสีน้ำตำลค่อยกลบั ถุง
1
2
34
56
กำรกลับถงุ มวี ิธีดงั นี้
1. ใหน้ ำถุงออกจำกแกว้ ชว่ งเยน็ เพือ่ ป้องกนั ควำมร้อน
2. นำถุงออกแลว้ นำแกว้ ควบแน่นทีอ่ อกรำกแกว้ ใส่กบั ลงไปในถุง
3. ท้ิงไวใ้ นร่มประมำณ 5-7 วนั ค่อยนำแกว้ ออกจำกถุง เพื่อให้กงิ่ พนั ธุป์ รบั ตวั เขำ้ กบั สภำพแวดลอ้ ม
4. หลงั จำกน้นั นำแกว้ ทอ่ี อกจำกถุงพกั ตวั ไวใ้ นร่ม 7-10 วนั คอ่ ยนำไปเพำะในกระถำง หรือนำไปปลูก
ไดเ้ ลย
ขอขอบคุณขอ้ มลู
วิธีกำรขยำยพนั ธุ์พืช ดว้ ยกำรปักชำแบบควบแน่น
โดยแนวคิดของนำยเฉลมิ พรี ี
จำกศนู ยเ์ รียนรูโ้ ครงกำรอนั เน่ืองมำจำกพระรำชดำริ
บำ้ นวดั ใหม่ ตำบลบงึ สำมคั คี อำเภอบึงสำมคั คี จงั หวดั กำแพงเพชร
อ้ำงอิง
ฅนกลำ้ คืนถิ่น.กำรปักชำแบบควบแน่น[ออนไลน์].2562
แหลง่ ท่ีมำ: https://bit.ly/31yhWv7 [7 ธนั วำคม 2564]
นำงสำวปัณณพร ชชู ่วย ม.4/2 เลขท่ี 30
Ling-แอปเพอ่ื การเกษตรดิจทิ ัล
1.ติดต้งั แอพลเิ คช่ัน
2.วัดพนื้ ที่ ระยะทางจากบ้านนกั เรียนมาโรงเรียนเตรียมอดุ มศึกษาภาคใต้(โดยวัดเส้นทางจริง)
[ บ้านเลขท่ี 185 หมู่ 10 ตาบลท่าเรือ อาเภอเมอื งนครศรีธรรมราช จงั หวดั นครศรีธรรมราช]
3.แคปหน้าจอพร้อมอธิบายการใช้งานให้เข้าใจ
3.1 กดเข้า Application กดคาว่าวัดท่ี และวิธีทาตามรูปต่อไปน้ี
3.2 Application จะแสดงแผนท่ที างดาวเทยี มให้กดป่ มุ ตรงกลางที่มมุ ขวาบนเพอื่ เลื่อนพกิ ดั มาท่ที ี่เราอย่แู ละ
กดป่ มุ เครื่องหมายบวก
3.3 เม่ือปักหมุดจุดแรกแล้วให้เลือ่ นตัวลงิ ให้ตรงกับจดุ ปักหมดุ ที่ 2 ตามทต่ี ้องการแล้วกดป่ มุ บวกทาแบบเดิม
จนไปถึงโรงเรียนเตรียมอดุ มศึกษาภาคใต้
3.4 เม่ือถึงโรงเรียนเตรียมอุดมศกึ ษาภาคใต้ให้กดป่ มุ เครื่องหมาย ถกู บริเวณขวามือล่างแอปพลเิ คชั่นจะขนึ้
ให้บนั ทกึ ให้ต้ังช่ือแปลงแล้วกดบนั ทึก
3.5 หลงั จากเราบนั ทึกเสร็จแล้ว เราสามารถดแู ปลงที่เราบันทกึ ได้โดยกดป่ มุ มมุ ขวาล่างที่เขยี นคาว่าฉัน แล้ว
กดที่แปลงเราจะเจอ แปลงของฉันทีเ่ ราบันทกึ ไว้ ซึ่งเราสามารถแชร์ให้ผ้อู ่นื ดูได้
อ้างองิ
แผนที่วนั น้ี.คมู่ อื การใชแ้ อป Ling[ออนไลน]์ .2563
แหลง่ ทีม่ า: https://www.facebook.com/555559257885482/posts/2873696059405112/ [18 ธนั วาคม 2564]
นางสาวปัณณพร ชชู ่วย เลขที่30 ม.4/2
ประเภทและจรรยาบรรณของธรุ กจิ
ประเภทของธรุ กจิ
ประเภทของธรุ กจิ สามารถแบ่งไดห้ ลกั ๆ คอื แบบบุคคลธรรมดา ไดแ้ ก่ กจิ การเจา้ ของคนเดยี ว หา้ งหนุ้ สว่ นสามญั และ
แบบนิตบิ ุคคล เชน่ หา้ งหนุ้ สว่ นจากดั บรษิ ทั จากดั
1. ประเภทของธุรกิจแบบบุคคลธรรมดา
1.1 กจิ การเจา้ ของคนเดยี ว
ธรุ กจิ ทม่ี เี จา้ ของคนเดยี ว มลู ค่าของกจิ การไม่สูงมาก มกี ารจดทะเบยี นการคา้ แบบบุคคลธรรมดา การตดั สนิ ใจตา่ งๆ
รวมทงั้ เรอ่ื งกาไรหรอื ขาดทุนกม็ ผี ลต่อเจา้ ของกจิ การเพยี งคนเดยี ว ตวั อยา่ งเช่น เจา้ ของรา้ นชาทเ่ี ราเหน็ ไดท้ วั่ ๆ ไป
1.2 หา้ งหนุ้ ส่วนสามญั
ลกั ษณะธรุ กจิ คล้ายกบั กจิ การเจา้ ของคนเดยี ว เพยี งแต่มผี รู้ ว่ มธรุ กจิ ตงั้ แต่ 2 คนขน้ึ ไป มสี ทิ ธใิ ์ นการตดั สนิ ใจ ผลจาก
กาไร และการขาดทนุ เทา่ ๆ กนั ซง่ึ หา้ งหนุ้ สว่ นสามญั จะต่างกบั หา้ งหนุ้ สว่ นสามญั นิตบิ ุคคลตรงทไ่ี มไ่ ดจ้ ดทะเบยี น ทาให้
มสี ถานะเป็นคณะบุคคลนนั่ เอง
2. ประเภทของธุรกิจแบบนิติบุคคล
2.1 หา้ งหนุ้ ส่วนสามญั ทจี่ ดทะเบยี นและหา้ งหนุ้ สว่ นจากดั
ลกั ษณะธุรกจิ คลา้ ยกบั หา้ งหนุ้ ส่วนสามญั คอื มผี รู้ ว่ มธุรกจิ ตงั้ แต่ 2 คนขน้ึ ไป เพยี งแตม่ ีการจดทะเบยี นเป็นนติ ิ
บคุ คล ความแตกตา่ งคอื หนุ้ สว่ นมคี วามรบั ผดิ ชอบแตกตา่ งกนั คอื แบบรบั ผดิ ชอบในหนสี้ นิ แบบจากดั โดยรบั ผดิ ชอบ
ไมเ่ กนิ เงนิ ทไ่ี ดล้ งทนุ แตไ่ ม่มกี ารสทิ ธกิ ารตดั สนิ ใจในกจิ การ ส่วนแบบรบั ผดิ ชอบในหน้ีสนิ ไม่จากดั โดยรบั ผดิ ชอบใน
หนี้สนิ ไมจ่ ากดั จานวน แต่มสี ทิ ธใิ นการตดั สนิ ใจตา่ งๆ
2.2 บรษิ ทั จากดั
ธรุ กจิ ทม่ี ผี ูร้ ่วมดาเนนิ งานตงั้ แต่ 3 คนขน้ึ ไป ถอื หนุ้ ในจานวนเทา่ ๆ กนั ซง่ึ เรยี กวา่ “ผถู้ อื หนุ้ ” ซง่ึ รบั ผดิ ชอบหน้สี นิ
ร่วมกนั ไม่เกนิ จานวนเงนิ ทลี่ งทุน บรษิ ทั จากดั ต้องจดทะเบยี นเป็นนติ บิ ุคคล ธรุ กจิ ประเภทนี้เหมาะกบั กจิ การทม่ี รี ายได้
หรอื มูลคา่ สูง มคี วามเป็นสากลเพราะมกี ารจดั ตงั้ คณะกรรมการบรษิ ทั ขน้ึ มาบรหิ ารและตดั สนิ ใจการดาเนนิ งานตา่ งๆ
2.3 บรษิ ทั มหาชนจากดั
บรษิ ทั จากดั ทนี่ าหนุ้ ออกจาหน่ายใหบ้ ุคคลทวั่ ไปซอ้ื และร่วมเป็นหุน้ สว่ นของบรษิ ทั ไดต้ ามสดั สว่ นทซ่ี อ้ื ซ่งึ หนุ้ ดงั กล่าว
สามารถขายต่อใหผ้ ูอ้ น่ื ไดต้ ามราคาหนุ้ ในตลาดหลกั ทรพั ย์ แตเ่ ดมิ บรษิ ทั มหาชนจากดั ต้องมผี ูถ้ อื หนุ้ อยา่ งนอ้ ย 100 คน
แต่ปัจจุบนั ต้องมผี ูถ้ อื หนุ้ ไมน่ ้อยกว่า 15 คน
2.4 องคก์ รธุรกจิ จดั ตงั้ หรอื จดทะเบยี นภายใต้กฎหมายเฉพาะ
องค์กรธรุ กจิ จดั ตงั้ มผี ถู้ อื หนุ้ ตงั้ แต่ 15 คนขน้ึ ไป หนุ้ แต่ละหนุ้ มมี ลู ค่าเท่ากนั การชาระคา่ หนุ้ คอื ชาระครงั้ เดยี วเตม็
จานวน และกรรมการของบรษิ ทั ไม่นอ้ ยกวา่ 5 คน โดยลกั ษณะของธรุ กจิ มดี งั นี้ ธรุ กจิ การเกษตร คอื การทาไร่ ทาสวน
ปศุสตั ว์ ธุรกจิ อุตสาหกรรม ทงั้ ในครวั เรอื น และอตุ สาหกรรมโรงงาน ธรุ กจิ เหมอื งแร่ ธุรกจิ การพาณชิ ย์ ธุรกจิ การ
กอ่ สรา้ ง ธุรกจิ การเงนิ ธุรกจิ การใหบ้ รกิ าร ธรุ กจิ อาหาร ธุรกจิ อน่ื ๆ เช่น ผปู้ ระกอบอาชพี อสิ ระ อยา่ งแพทย์ วศิ วกร
สถาปนิก เป็นตน้
การทาธรุ กจิ ไม่วา่ จะประเภทไหนกต็ าม การจดทะเบยี นการคา้ จะทาใหด้ าเนนิ ธุรกจิ ไดอ้ ยา่ งถกู ต้องตามกฎหมาย ทงั้ ยงั
ชว่ ยใหธ้ ุรกจิ มคี วามน่าเช่อื ถอื คู่คา้ สนใจลงทนุ มากขน้ึ เพราะดมู หี ลกั ประกนั มากกว่าธุรกจิ ทไี่ ดไ้ มไ่ ดจ้ ดทะเบยี นทาง
การคา้ ใดๆ
จรรยาบรรณของธุรกิจ
บรษิ ทั ไดก้ าหนดหลกั ปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั จรรยาบรรณของคณะกรรมการ ฝ่ายบรหิ าร และพนักงาน เพ่อื ใหผ้ เู้ กย่ี วขอ้ งยดึ ถอื
เป็นแนวทางในการปฏบิ ตั หิ น้าทต่ี ามภารกจิ ของบรษิ ทั ดว้ ยความซ่อื สตั ย์ สจุ รติ และเทย่ี งธรรมทงั้ การปฏบิ ตั ติ อ่
บรษิ ทั และผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี ทกุ กลมุ่ รวมทงั้ การกาหนดระบบตดิ ตามใหม้ กี ารปฏบิ ตั ติ ามแนวทางดงั กลา่ วเป็นประจา
(1) จรรยาบรรณวา่ ด้วยความรบั ผิดชอบต่อผถู้ อื หนุ้
บรษิ ทั มงุ่ มนั่ ทจ่ี ะรบั ผดิ ชอบและสรา้ งความพงึ พอใจสงู สุดใหก้ บั ผูถ้ อื หนุ้ โดยคานึงถงึ การเจรญิ เตบิ โตของบรษิ ทั อย่าง
ยงั่ ยนื และใหผ้ ลตอบแทนทเ่ี หมาะสมอย่างตอ่ เน่ือง รวมทงั้ จะดาเนนิ การอยา่ งโปรง่ ใส มรี ะบบบญั ชที เ่ี ชอ่ื ถอื ได้ และ
เพ่อื ใหเ้ ป็นไปตามหลกั การดงั กลา่ ว บรษิ ทั จงึ ยดึ ถอื อยา่ งเคร่งครดั ตามแนวทางปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี
1.1การเจรญิ เตบิ โตของบรษิ ทั อยา่ งยงั่ ยนื ปฏบิ ตั หิ น้าทด่ี ว้ ยความซ่อื สตั ย์สุจรติ และเป็นธรรมตอ่ ผถู้ อื หนุ้ ทกุ ราย
เพ่อื ประโยชน์สงู สดุ โดยรวม
1.2บรหิ ารจดั การบรษิ ทั โดยนาความรู้ และทกั ษะการบรหิ ารมาประยุกต์ใชอ้ ย่างเตม็ ความสามารถทุกกรณี รวมทงั้
การตดั สนิ ใจดาเนินการใดๆ ดว้ ยความระมดั ระวงั และรอบคอบ
1.3ไม่ดาเนินการใดๆ ในลกั ษณะทอ่ี าจก่อใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ ทางผลประโยชนต์ ่อบรษิ ทั
(2) จรรยาบรรณวา่ ด้วยความสมั พนั ธ์กบั ลูกค้าและประชาชน
บรษิ ทั มคี วามมงุ่ มนั่ ในการสรา้ งความพงึ พอใจและความมนั่ ใจใหก้ บั ลกู คา้ และประชาชนวา่ จะไดร้ บั ผลติ ภณั ฑ์และ
บรกิ ารทด่ี ี มคี ุณภาพในระดบั ราคาทเ่ี หมาะสม รวมทงั้ รกั ษาสมั พนั ธภาพทดี่ ใี หย้ งั่ ยนื โดยมกี ารกาหนดแนวทางปฏบิ ตั ิ
ไวด้ งั ต่อไปน้ี
2.1มงุ่ มนั่ ในการสรา้ งความพงึ พอใจและความมนั่ ใจใหก้ บั ลกู คา้ ใหไ้ ดร้ บั ผลติ ภณั ฑ์และบรกิ ารทดี่ ี มคี ุณภาพ ใน
ระดบั ราคาทเี่ หมาะสม โดยยกระดบั มาตรฐานใหส้ ูงขน้ึ อย่างตอ่ เน่ืองและจรงิ จงั
2.2เปิดเผยขา่ วสารขอ้ มูลเก่ยี วกบั ผลติ ภณั ฑแ์ ละบรกิ ารอยา่ งครบถ้วน ถกู ตอ้ ง ทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ และไม่บดิ เบอื น
ขอ้ เทจ็ จรงิ รวมทงั้ รกั ษาสมั พนั ธภาพทดี่ ใี หย้ งั่ ยนื
2.3ใหก้ ารรบั ประกนั ผลติ ภณั ฑ์และบรกิ ารภายใตเ้ งอ่ื นไขเวลาทเี่ หมาะสม
2.4จดั ทาระบบเพอ่ื ใหล้ กู คา้ และประชาชนสามารถรอ้ งเรยี นเกย่ี วกบั ผลติ ภณั ฑแ์ ละบรกิ าร และดาเนนิ การอย่างดี
ทสี่ ดุ เพอ่ื ใหล้ กู คา้ และประชาชนไดร้ บั การตอบสนองอย่างรวดเรว็
2.5ไมค่ า้ กาไรเกนิ ควรเม่อื เปรยี บเทยี บกบั คณุ ภาพของผลติ ภัณฑ์หรอื บรกิ ารในชนิดหรอื ประเภทเดยี วกนั และไม่
กาหนดเง่อื นไขการคา้ ทไี่ ม่เป็นธรรมตอ่ ลูกคา้
2.6ปฏบิ ตั ติ ามเง่อื นไขตา่ งๆ ทม่ี ตี อ่ ลูกคา้ และประชาชนอยา่ งเครง่ ครดั หากไมส่ ามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ ตอ้ งรบี แจง้ ให้
ลกู คา้ และประชาชนทราบลว่ งหนา้ เพ่อื ร่วมกนั พจิ ารณาและหาแนวทางแกไ้ ข
2.7รกั ษาความลบั ของลูกคา้ อยา่ งจรงิ จงั และสมา่ เสมอ รวมถงึ ไม่นาขอ้ มูลมาใชเ้ พ่อื ประโยชน์ของตนเองและผูท้ ี่
เก่ยี วขอ้ ง
(3) จรรยาบรรณวา่ ด้วยความสมั พนั ธ์กบั คูค่ ้า คู่แข่งทางการค้า และเจ้าหนี้การคา้
บรษิ ทั คานงึ ถงึ ความเสมอภาคและความซอ่ื สตั ย์ในการดาเนินธรุ กจิ และผลประโยชน์รว่ มกนั กบั คู่คา้ โดยค่คู า้ ของ
บรษิ ทั พงึ ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายและกตกิ าตา่ งๆ อย่างเคร่งครดั และมจี รรยาบรรณทด่ี ใี นการดาเนนิ ธรุ กจิ ในสว่ นของ
ธรุ กจิ ทเี่ ป็นการแข่งขนั บรษิ ทั จะยดึ ถอื กตกิ าของการแข่งขนั ทดี่ ี และบรษิ ทั จะยดึ ถอื แนวทางการปฏบิ ตั ทิ ด่ี ี และเป็น
ธรรมในการกยู้ มื เงนิ จากเจา้ หนแ้ี ละการชาระคนื ดงั นนั้ เพอ่ื ใหเ้ ป็นไปตามหลกั การดงั กลา่ ว บรษิ ทั จงึ ไดก้ าหนด
แนวทางปฏบิ ตั ไิ วด้ งั ต่อไปน้ี
3.1ความสมั พนั ธก์ บั คคู่ า้
• ไมเ่ รยี ก ไมร่ บั หรอื จ่ายผลประโยชน์ใดๆ ทไี่ ม่สจุ รติ ในการคา้ กบั คู่คา้
• ปฏบิ ตั ติ ามเงอ่ื นไขต่างๆ ทม่ี ตี ่อคู่คา้ อย่างเครง่ ครดั
• กรณที ไี่ ม่สามารถปฏบิ ตั ติ ามเงอ่ื นไขได้ จะรีบแจง้ ใหค้ ่คู า้ ทราบลว่ งหน้าเพ่อื
ร่วมกนั พจิ ารณาหาแนวทางแกไ้ ขปัญหา โดยใชห้ ลกั ของความสมเหตสุ มผล
3.2ความสมั พนั ธก์ บั คูแ่ ข่งทางการคา้
• ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามกรอบกตกิ าของการแขง่ ขนั ทด่ี ี
• ไม่ทาลายชอ่ื เสยี งของคู่แขง่ ทางการคา้ ดว้ ยการกล่าวหาใหร้ า้ ยโดยปราศจาก
ความจรงิ
• ความสมั พนั ธก์ บั เจา้ หน้ีทางการคา้
• รกั ษาและปฏบิ ตั ติ ามเง่อื นไขทมี่ ตี ่อเจา้ หนีโ้ ดยเครง่ ครดั ทงั้ ในแง่การชาระ
คนื การดูแลหลกั ทรพั ย์ค้าประกนั และเงอ่ื นไขอน่ื ๆ รวมทงั้ ไม่ใชเ้ งนิ ทนุ ทไี่ ดจ้ ากการ
กูย้ มื เงนิ ไปในทางทขี่ ดั กบั วตั ถุประสงค์ในขอ้ ตกลงทท่ี ากบั ผูใ้ หก้ ยู้ มื เงนิ
• รายงานฐานะทางการเงนิ ของบรษิ ทั แก่เจา้ หนดี้ ว้ ยความซ่อื สตั ย์
• รายงานเจา้ หน้ลี ่วงหน้าหากไมส่ ามารถปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ผูกพนั ในสญั ญาและรว่ มกนั
หาแนวทางแก้ไขปัญหาดงั กลา่ ว
(4) จรรยาบรรณวา่ ด้วยการเสริมสร้างวฒั นธรรมและบรรยากาศการทางานท่ีดี
บรษิ ทั ถอื ว่าพนักงานเป็นปัจจยั หนึ่งสูค่ วามสาเรจ็ จงึ มงุ่ มนั่ ในการพฒั นาเสรมิ สรา้ งวฒั นธรรมและบรรยากาศการ
ทางานทดี่ ี สง่ เสรมิ การทางานเป็นทมี เพ่อื สรา้ งความมนั่ ใจใหพ้ นกั งานบรษิ ทั มกี ารกาหนดแนวทางปฏิบตั ไิ วด้ งั นี้
4.1ใหผ้ ลตอบแทนทเ่ี ป็นธรรมแก่พนกั งาน ในรปู แบบของเงนิ เดอื นหรอื เงนิ โบนัส
4.2ดูแลรกั ษาสภาพแวดล้อมการทางานใหม้ คี วามปลอดภยั ต่อชวี ติ และทรพั ย์สนิ ของพนกั งานอยเู่ สมอ
4.3การแตง่ ตงั้ และโยกยา้ ย รวมถงึ การใหร้ างวลั และการลงโทษพนักงาน ต้องกระทาดว้ ยความเสมอภาค สุจรติ
ใจ และตงั้ อยูบ่ นพน้ื ฐานของความรู้ ความสามารถ ความเหมาะสม และการกระทา/การปฏบิ ตั ติ นของพนกั งานนนั้ ๆ
4.4ใหค้ วามสาคญั ต่อการพฒั นา การถ่ายทอดความรู้ และความสามารถของพนกั งาน โดยใหโ้ อกาสพนกั งาน
อย่างทวั่ ถงึ
และสมา่ เสมอ
4.5รบั ฟังขอ้ คดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะจากพนกั งานทกุ ระดบั อยา่ งเท่าเทยี มและเสมอภาค
4.6ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายและขอ้ บงั คบั ต่างๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั พนักงานอยา่ งเคร่งครดั
4.7บรหิ ารงานโดยหลกี เลย่ี งการกระทาใดๆ ทไ่ี ม่เป็นธรรม ซ่งึ อาจมผี ลกระทบตอ่ ความมนั่ คงในหนา้ ทก่ี ารงาน
ของพนกั งาน
(5) จรรยาบรรณวา่ ด้วยความรบั ผิดชอบต่อสงั คมและส่ิงแวดล้อม
บรษิ ทั ตระหนกั และหว่ งใยถงึ ความปลอดภยั ของสงั คมและคุณภาพชวี ติ ของประชาชนรวมถงึ ใหค้ วามสาคญั ในเร่อื งการ
อนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ และสง่ เสรมิ การใชพ้ ลงั งานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยกาหนดแนวทางปฏบิ ตั ไิ วด้ งั นี้
5.1บรษิ ทั จะคานึงถงึ ทางเลอื กในการใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาติ ใหม้ ผี ลกระทบตอ่ ความเสยี หายของ
สงั คม สงิ่ แวดล้อม และคุณภาพชวี ติ ของประชาชนนอ้ ยทสี่ ดุ
5.2คนื กาไรส่วนหนึ่งเพอ่ื กจิ กรรมทมี่ สี ว่ นสรา้ งสรรค์สงั คมและสง่ิ แวดล้อมอยา่ งสมา่ เสมอ
5.3ปลูกฝังจติ สานึกในเรอ่ื งความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมและสง่ิ แวดล้อมใหเ้ กดิ ขน้ึ ในหมู่พนกั งานทกุ ระดบั อยา่ ง
ตอ่ เน่อื ง
5.4ใหค้ วามสาคญั ในการทาธรุ กรรมกบั ค่คู า้ ทมี่ เี จตจานงเดยี วกนั กบั บรษิ ทั ในเร่อื งความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมและ
สง่ิ แวดลอ้ ม
5.5บรษิ ทั ถอื เป็นนโยบายหลกั ในการอนุรกั ษพ์ ลงั งานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เพ่อื ประโยชนต์ ่อชนรุ่นหลงั
5.6ปฏบิ ตั แิ ละใหค้ วามร่วมมอื ในการควบคุมใหม้ กี ารปฏบิ ตั อิ ยา่ งเครง่ ครดั ตามเจตนารมณข์ องกฎหมายและ
กฎระเบยี บทอี่ อกโดยหน่วยงานกากบั ดูแล
5.7บรษิ ทั ถอื เป็นหน้าทแี่ ละเป็นนโยบายหลกั ในการใหค้ วามสาคญั กับกจิ กรรมของชมุ ชนและสงั คมโดยม่งุ เน้นให้
เกดิ การพฒั นาอย่างสรา้ งสรรค์ และการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ รวมทงั้ สนับสนุนการศกึ ษาแก่เยาวชน และ
สนบั สนุนกจิ กรรมสาธารณประโยชนแ์ กช่ ุมชนทดี่ อ้ ยโอกาสใหเ้ ป็นชมุ ชนทเี่ ขม้ แขง็ พงึ่ พาตนเองได้
5.8บรษิ ทั ยดึ มนั่ ในระบอบประชาธปิ ไตย และสง่ เสรมิ ใหบ้ คุ ลากรไปใชส้ ทิ ธเิ ลอื กตงั้ ตามรฐั ธรรมนูญทงั้ นี้ บรษิ ทั ไม่มี
นโยบายทจี่ ะใหก้ ารสนับสนุนทางการเงนิ ไมว่ า่ โดยทางตรงหรอื ทางออ้ มแก่นักการเมอื งใดๆ เพอ่ื ผลประโยชนข์ อง
นักการเมอื งหรอื พรรคการเมอื งนนั้ ๆ
ทงั้ นี้ บรษิ ทั ไดม้ กี ารประกาศและแจง้ ใหพ้ นักงานทุกคนรบั ทราบและยดึ ปฏบิ ตั อิ ย่างเคร่งครดั รวมถงึ ใหม้ กี ารปฏบิ ตั ติ าม
แนวทางดงั กลา่ ว
อ้างอิง
Finance-Rumour.ประเภทของธรุ กจิ [ออนไลน์].2564
แหล่งทม่ี า: https://www.finance-rumour.com/business/business-types/ [24 ธนั วาคม 2564]
นางสาวปัณณพร ชูช่วย เลขท3่ี 0 ม.4/2
ACNE-AID
LIQUID CLEANSER
สบู่เหลวล้างหน้าสูตรอ่อนโยน
สำหรับผิวมันและผิวผสม
ที่มีแนวโน้มแพ้ง่าย
100 มล.
ราคา 197 บาท
ผลงานปักชา และ จลุ นิ ทรีย์สังเคราะห์แสง
ผลงานปักชา
ผลงานจุลนิ ทรีย์สงั เคราะห์แสง
นางสาวปัณณพร ชชู ่วย ม.4/2เลขท่ี30
ธาตุอาหารท่จี าเป็ นสาหรับพชื
จะพดู ถึงแร่ธาตุท่ีอย่ใู นดินที่เป็นอาหารท่จี าเป็นตอ่ การเจริญเตบิ โตของพชื แล้วละก็ หลายคนอาจจะนึกถึงแค่ไนโตรเจน
(N) ฟอสฟอรัส(P) และโพแทสเซียม(K) แต่จริง ๆ แล้วยงั มีธาตอุ าหารอกี มากมายหลายชนดิ ท่ีอยู่ในดนิ ซง่ึ จาเป็นอย่าง
ยิ่งสาหรบั การเจริญเตบิ โตของพืช เปรียบเสมอื นคนเราท่ีต้องได้รบั สารอาหารให้ครบ 5 หม่แู ล้ว แต่ก็ยงั คงต้องการวติ ามนิ
และแร่ธาตตุ ่าง ๆ มาซอ่ มแซมส่วนทสี่ ึกหรอของร่างกาย
ธาตอุ าหารพชื มีความสาคญั ตอ่ การเจริญเติบโตของพืชมาก นอกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นา้ และออกซเิ จน
แล้ว ก็ยงั มีธาตอุ าหารในดินอีก 14 ธาตุ ในวนั นผี ้ มจะมาพูดถงึ ธาตุอาหารตา่ ง ๆ ที่จาเป็นต่อการเจริญเตบิ โตของพืช
โดยแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ คอื
• ธาตอุ าหารหลกั
• ธาตอุ าหารรอง
• ธาตุอาหารเสริม
ธาตอุ าหารหลักประกอบด้วย
1.ไนโตรเจน (N)
เป็นสว่ นท่ีช่วยในการเจริญเตบิ โตของพชื ทงั้ ยงั เป็นอาหารหลกั ของพชื ช่วยทาให้พชื ใบเขียวตงั้ ตวั ได้ โดยไนโตรเจน
ยงั เป็นสว่ นหนึง่ ของเซลลพ์ ชื เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโปรตีน ไนโตรเจนยงั มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างอาหารและ
สร้างพลงั งานให้กบั พชื อกี ด้วย
ไนโตรเจนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างคลอโรฟิลล์ ซ่ึงคลอโรฟิลลอ์ ยู่ในสว่ นท่เี ป็นสเี ขยี วของพชื ทที่ าหน้าทส่ี งั เคราะห์
แสง ชว่ ยให้พืชเจริญเตบิ โตอย่างรวดเร็ว ไนโตรเจนมกั อยู่ในป๋ ยุ หมักและพชื ตระกูลถั่ว ซงึ่ เราควรปลกู พืชตระกลู ถั่วแล้วไถ
กลบเพ่อื เพ่ิมไนโตรเจนให้กบั ดิน
2.ฟอสฟอรัส (P)
ฟอสฟอรัสก็มสี ว่ นสาคญั ที่ช่วยในการสงั เคราะหแ์ สง มีสว่ นช่วยในการผลติ แปง้ และนา้ ตาล ฟอสฟอรสั มีสว่ นชว่ ยใน
การเปลยี่ นพลงั งานแสงอาทิตย์เป็นพลงั งานทางเคมใี นพืช ช่วยผลิตอาหาร มีสว่ นช่วยในการเจริฐเติบโต กระต้นุ การออก
ดอกและการเจริญเตบิ โตของราก
ฟอสฟอรสั ก็จะมอี ยู่ในป๋ ยุ หมกั เศษอาหารและกระดกู ป่นเช่นกัน จะเห็นได้ว่าฟอสฟอรัสกม็ ีส่วนสาคญั ไมแ่ พ้ธาตุ
อาหารใด ๆ เลย
3.โพแทสเซียม (K)
โพแทสเซยี มจะมีอยใู่ นดินชนั้ ล่าง จะถูกดูดซมึ โดยรากพืช มีส่วนช่วยในการสร้างโปรตีน ทาให้ผลมคี ณุ ภาพ ลดโรค
พชื โพแทสเซยี มเป็นแร่ธาตุที่อยู่ในดนิ วตั ถอุ ินทรีย์และป๋ ยุ อินทรีย์
ธาตอุ าหารรอง ประกอบด้วย 3 ธาตดุ งั ต่อไปนี้
1.แคลเซียม (Ca)
ช่วยในการแบ่งเซลล์ ผสมเกสร การงอกของเมล็ด มสี ่วนสาคญั ต่อโครงสร้างของเซลลพ์ ชื ชว่ ยในการลาเลียงอาหาร
แคลเซียมชว่ ยในการปรับสมดุลทงั้ กรดและด่างของพชื
2.แมกนีเซียม (Mg)
เป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิลล์ ช่วยในการสงั เคราะห์กรดอะมโิ น วติ ามนิ ไขมนั และนา้ ตาล ช่วยในการสงั เคราะห์
แสง นอกจากนีย้ งั ชว่ ยกระต้นุ การทางานของเอนไซมท์ ่ีจาเป็นต่อการเจริญเตบิ โต
3.กำมะถนั (S)
เป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโน วิตามนิ และโปรตนี ช่วนสร้างคลอโรฟิลล์ ชว่ ยเพมิ่ การเจริญเติบโตของรากและ
เมลด็ พชื ทาให้พืชแข็งแรงและทนต่อความเย็น
ธาตอุ าหารเสริม แบ่งออกเป็ น 8 ธาตดุ ังต่อไปนี้
1.โบรอน (B)
ช่วยในการสร้างสารอาหารและควบคุมสารอาหารที่จาเป็นต่อการพฒั นาการเจริญเตบิ โตของเมล็ดพนั ธ์ุ ชว่ ยในการ
ออกดอก ผสมเกสร ช่วยในการติดผลและย้ายนา้ ตาลมาสผู่ ล
2.ทองแดง (Cu)
ช่วยในการเจริญเติบโตของระบบสืบพนั ธ์พุ ชื ช่วยในการเผาผลาญอาหารของรากพืชและเป็นประโยชน์ต่อการใช้
โปรตีนของพชื การสงั เคราะห์คลอโรฟิลล์และกระต้นุ การทางานของเอนไซม์
3.คลอรีน (CI)
พบในดิน ช่วนกระต้นุ การย่อยอาหารสาหรับพชื มีบทบาทสาคัญเก่ียวกบั ฮอร์โมนพืช
4.เหล็ก (Fe)
จาเป็นตอ่ การสร้างคลอโรฟิลล์ การสงั เคราะห์คลอโรฟิลลแ์ ละสงั เคราะหแ์ สง
5.แมงกำนีส (Mn)
ชว่ ยในการทางานของเอนไซม์ มสี ่วนประกอบของคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละการยอ่ ยไนโตรเจน
6.โมลิบดีนมั (Mo)
ช่วยในการดึงไนโตรเจนออกมาใช้งานและช่วยในการสงั เคราะห์โปรตีน พบธาตุชนิดนใี ้ นดนิ
7.สงั กะสี (Zn)
ช่วยสงั เคราะห์ฮอร์โมนออกซิน คลอโรฟิลลแ์ ละแป้ง ควบคุมการยอ่ ยนา้ ตาลของพชื เป็นสว่ นหน่งึ ในการทางานขอ
เอนไซมท์ มี่ ีสว่ นในการควบคมุ การเจริญเตบิ โตของพชื และจาเป็นต่อการเปล่ียนสภาพของคาร์โบไฮเดรต
8.นิกเกิล (Ni)
เป็นธาตุอาหารทาสาคญั ตอ่ เอนไซม์ ทาหน้าทปี่ ลดปล่อยไนโตรเจนให้อยู่ในรูปท่ีจะนาไปใช้ได้ และยงั ชว่ ยใน
กระบวนการงอกของเมล็ดอกี ด้วย
ลักษณะการขาดธาตุอาหารของพืช
ทีนเี ้รามาดกู นั ดีกว่าว่าสาเหตทุ ่ที าให้พืชผดิ ปกติในพืช จะมาจาก 2 สาเหตุหลกั ๆ คือ
1. สภาพแวดล้อมผดิ ปกติ เช่นแดดจัดมาก นา้ ขงั นาน อากาศหนาวจัด ก็จาทาให้พชื ที่เราปลกู มคี วามผิดปกติ
ได้ หรืออาจมีการเข้าทาลายของโรคและแมลง ซ่ึงเราก็ต้องดสู าเหตุของความผดิ ปกติให้ดี
2. สาเหตมุ าจากพืชขาดธาตอุ าหารที่จาเป็นคอื เราปลกู พชื โดยไม่เติมอินทรีย์วตั ถลุ งไปในดนิ เลย เหตุเพราะ
ธาตุอาหารเหลา่ นีจ้ ะถูกดูดออกไปโดยผลผลิตรุ่นแล้วรุ่นเลา่ วิธีสงั เกตคุ ือในปีแรก ๆ ผลผลติ จะได้เยอะ แต่
ในปีต่อ ๆ ไปผลผลิตจะค่อย ๆ ลดจานวนลง โดยอาการขาดธาตุอาหารจะมลี กั ษณะดงั นี ้
• ถ้าพืชขาดไนโตรเจน ใบพชื จะเหลืองจากส่วนปลายใบเข้ามา
• ถ้าพืชขาดฟอสฟอรสั ใบแก่หรือใบลา่ งจะมสี ีมว่ งแซมเขียวอ่อน
• ถ้าพืชขาดโพแทสเซยี ม ขอบใบแกจ่ ะมสี ีเหลืองและจะได้ผลขนาดเลก็ ถ้าเป็นข้าวก็อาจเมลด็ ลีบได้
• นอกจากพืชจะต้องการธาตุอาหารหลกั แล้ว ธาตอุ าหารเสริมและรองก็ขาดไมไ่ ด้เช่นเดียวกัน
o ถ้าขาดธาตแุ คลเซียม จะมอี าหารใบหงกิ ใบใหม้ ผลแตกหรือก้นผลเน่าได้
o ถ้าขาดธาตุแมกนีเซียม ใบแกจ่ ะเหลอื งและร่วงหลน่ เร็ว
o ถ้าขาดธาตกุ ามะถนั ใบทงั้ บนและล่างจะมีสีเหลืองซีด ยอดผลจะชงกั การเจริญเตบิ โต
o และธาตุอาหารเสริมอกี 8 ธาตุทถ่ี ้าขาดกจ็ ะทาให้ใบออ่ น สซี ีด เจริฐเติบโตช้าและได้ผลผลิต
น้อย
วธิ แี ก้เม่อื ดนิ ขาดธาตุอาหาร
วิธีแก้คือ เพ่มิ อินทรีย์วตั ถุและป๋ ยุ คอกลงปรุงดินกอ่ นปลกู ในแตล่ ะรอบ และฉดี พ่นป๋ ุยอินทรียน์ า้ ทางใบพชื เพื่อช่วยใน
การเจริญเตบิ โต
สาหรับการทาเกษตรอนิ ทรีย์แล้ว ธาตุอาหารเหล่านมี ้ อี ยู่อย่างมากมาย ไมว่ ่าจะเป็นพชื ตระกูลถั่ว ป๋ ุยหมกั ป๋ ยุ อินทรีย์
ป๋ ยุ พชื สด นา้ หมกั ชีวภาพ นา้ หมกั จากปลาหรือหอยเชอรี่ มลู ไส้เดือน เศษวตั ถุอนิ ทรียท์ ่หี าได้ตามท้องถนิ่ ฯ ซง่ึ มีอยู่
มากมายนบั ไม่ถ้วน
เพราะฉะนนั ้ แม้วา่ ธาตอุ าหารเหลา่ นีจ้ ะมีอยูใ่ นดนิ แต่ถ้าเราไม่เพม่ิ เตมิ ธาตอุ าหารลงดินหรือบารุงดนิ ก็จะทาให้พชื
เราปลกู ขาดธาตอุ าหารท่ีจาเป็นเหลา่ นไี ้ ด้
โดยสาเหตทุ ่ีจะทาให้ธาตอุ าหารเหล่านหี ้ ายไปจากดนิ คอื เวลาเราปลกู พชื พืชกจ็ ะดูดธาตอุ าหารเหลา่ นไี ้ ปสะสมใน
สว่ นตา่ ง ๆ เชน่ ยอด ดอก ผล ลาต้น ใบ ฯ พอถงึ เวลาเก็บเกี่ยว ธาตอุ าหารทสี่ ะสมอยู่กบั พืชก็จะถูกนาออกไป หรือ
แม้กระทง่ั ธาตุอาหารที่ละลายนา้ ได้กจ็ ะถกู ชะล้างออกไปด้วย ไนโตรเจนบางส่วนอาจสญู หายระเหยออกไปเมือ่ อยู่ใน
รูปแบบของแก๊ส ฟอสฟอรสั และโพแทสเซียมบางส่วนจะถกู ดนิ ตรึงไว้ทาให้พืชดูดไปใช้งานได้น้อย
แต่เรากส็ ามารถให้ป๋ ุยทางใบได้ เพอื่ ช่วยให้พชื สามารถดูดธาตุอาหารได้โดยตรงและได้มากกว่าดูดซึมทางรากอีก
ด้วย จะช่วยให้พชื ฟืน้ ตวั จากการขาดธาตอุ าหารได้รวดเร็วยิง่ ขนึ ้ อีกด้วย
สรุปเราควรปรบั ปรุงบารุงดินหลงั การเพาะปลกู ในแต่ละรอบ เพ่อื เพ่ิมเติมธาตอุ าหารทจี่ าเป็นลงไปในดิน และฉดี พน่ ป๋ ุย
นา้ ทางใบเพอ่ื ชว่ ยให้พืชได้รับสารอาหารโดยตรงและเร็วยงิ่ ขนึ ้ กว่าเดิม
อ้างองิ
Opsmoac.go.th.ธาตอุ าหารทีจ่ าเป็นสาหรับพชื [ออนไลน์].2563
แหลง่ ที่มา: https://www.opsmoac.go.th/angthong-article_prov-preview-421891791858 [21 มกราคม 2565]
นางสาวปัณณพร ชูชว่ ย เลขท3่ี 0 ม.4/2
การปลูกผักสวนครัว
ผักกาดขาว
ภาชนะที่นามาปลกู . ดินที่นามาปลกู
กระถาง ดินร่วน
วธิ กี ารปลูก
-หวา่ นลงแปลงปลกู ใช้เมลด็ พนั ธ์หุ ว่านลงในแปลงแล้วโรยทบั ด้วยป๋ ุยหมกั หรือป๋ ยุ คอกหนา 1 cm
- คลมุ ด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง รดนา้ ให้ชุ่ม แล้วรดนา้ เช้าเย็น
- บ่กล้าอายุได้ 15 ถึง 20 วนั ให้ถอนแยก ให้แตล่ ะต้นห่างกัน 30 ถงึ 35 cm
การดูแล
- รดนา้ วนั ละ 2 ครัง้ อยา่ ให้ขาดนา้ ผกั กาดขาวควรได้รบั แสงแดดตลอดทงั้ วนั ใส่ป๋ ยุ หมกั หรือป๋ ยุ คอก หลงั การถอนแยก
และทุก10 วนั จนถึงอายเุ ก็บเกี่ยว
การป้องกนั และจากดั ศัตรูพชื
- ถ้ามีหนอนหรือเพียบมารบกวนให้ใช้ใบสะเดาหรือเมล็ดสะเดาบด 1 กิโลกรัม ข่าแก่ 1 กโิ ลกรมั ตะไคร้หอม 1 กิโลกรัม
สรรพคณุ กนั แล้วตาให้ละเอียด แชน่ า้ 20 ลิตร หมกั ไว้ 1 คนื ลองเอานา้ ยาผสมนา้ 1 ต่อ 20 ฉีดพ่นช่วงเย็นทกุ ๆ 3 วนั ควร
จะผสมสบู่ 10 กรัมลงไปด้วย เพอ่ื ช่วยให้นา้ ยาจบั ใบ
การเก็บเก่ยี ว
- เมื่ออายุ 40-50 วนั ก็เก็บเกีย่ วไปขายหรือกินได้
อ้างองิ
Decor.mthai.com.วธิ ีปลูกผกั กาดขาวไวก้ นิ เองในบา้ น[ออนไลน์].2560
แหล่งท่มี า: https://decor.mthai.com/garden/10884.html [29 มกราคม 2565]
นางสาวปัณณพร ชชู ่วย เลขท่ี30 ม.4/2
การเลยี้ งสัตว์ในประเทศไทย
ดว้ ยความท่สี ังคมไทยมีวิถชี ีวติ อยคู่ กู่ บั การเกษตรมาอย่างยาวนาน แมใ้ นปัจจบุ นั จะมีความทนั สมยั ใด ๆ เขา้ มาแตบ่ รรดา
สัตว์เศรษฐกจิ ท้งั หลายกย็ งั คงเป็นปัจจยั สาคญั ในการสรา้ งรายไดใ้ ห้กบั ผเู้ ล้ยี ง รวมถงึ สรา้ งระบบเศรษฐกจิ ใหม้ คี วาม
แขง็ แกร่งดว้ ย ซ่ึงหากวา่ กนั ตามตรงสัตวใ์ นเชิงเศรษฐกจิ ของบา้ นเราก็มีตวั เลอื กอยเู่ ยอะพอสมควร ไมว่ า่ จะเป็นการบริโภค
ภายในประเทศและส่งออกตา่ งประเทศก็ตาม ลองมาไลเ่ รียงทาความรู้จกั กบั สตั วเ์ หลา่ น้ีไปพรอ้ มกนั เพือ่ โอกาสในการ
พฒั นาท่ียง่ั ยนื มากยงิ่ ข้นึ กวา่ เดิม
ความสาคัญของสัตว์เศรษฐกจิ
อยา่ งที่กล่าวเอาไวใ้ นเบ้ืองตน้ วา่ ความสาคญั ของสัตวเ์ ศรษฐกิจหลกั ๆ แลว้ คือการสรา้ งรายไดใ้ ห้กบั ผูเ้ ล้ยี งรวมถงึ เป็นอีก
ปัจจยั สาคญั ที่จะช่วยให้ระบบเศรษฐกจิ ภายในประเทศเติบโตข้ึนได้ ด้วยพ้ืนทส่ี ่วนใหญ่ของประเทศไทยจดั ว่ามคี วามอดุ ม
สมบรู ณจ์ งึ สามารถเล้ยี งสตั วเ์ ศรษฐกิจเหล่าน้ีไดอ้ ยา่ งสบาย แต่เพอ่ื ให้เกิดความเขา้ ใจท่ตี รงกนั จึงขอแบง่ ความสาคญั ของ
สตั วเ์ ศรษฐกิจเอาไว้ 5 ดา้ นใหญ่ ๆ ดงั น้ี
1. แรงงานทีไ่ ดจ้ ากสตั ว์
ตอ้ งทาความเขา้ ใจกอ่ นวา่ สตั วเ์ ศรษฐกิจ ไมไ่ ดห้ มายถงึ การนาเอาเน้ือ หรืออวยั วะตา่ ง ๆ ของพวกมนั มาใชส้ ร้างรายไดเ้ พยี ง
อย่างเดียว แต่เกษตรกรจานวนมากยงั ใชแ้ รงงานจากสตั วเ์ หล่าน้ีในการสร้างผลผลติ เพือ่ ใหต้ นเองเกิดรายไดม้ ากข้นึ กว่าเดมิ
ดว้ ย เชน่ การใชค้ วายหรือกระบอื ในการทานา แมใ้ นปัจจุบนั จะมีเคร่ืองมืออนั แสนทนั สมยั เอาไวช้ ่วยประหยดั ตน้ ทุนและ
แรงงานมากข้ึน แต่แรงงานจากสัตวก์ ็ยงั เป็นตวั ชว่ ยให้เกิดการสรา้ งรายไดท้ ดี่ ีไมเ่ ปลี่ยน
2. รายไดโ้ ดยตรงจากสตั ว์
ความสาคญั ในดา้ นน้ีถอื ว่าชดั เจนและตรงประเด็นมากทีส่ ุด นน่ั คอื เกษตรกรหรือผเู้ ล้ียงสามารถสร้างรายไดจ้ ากสัตว์
เศรษฐกิจไดแ้ บบตรง ๆ ตวั อธิบายแบบเขา้ ใจง่ายคือ สามารถนาสตั วเ์ หลา่ น้นั มาทาเงินใหก้ บั ตนเองไดท้ นั ทเี มอ่ื เตบิ โตเต็มที่
เช่น เน้ือสัตว,์ ขนสตั ว,์ กระดกู สตั ว์ ฯลฯ แต่ท้งั น้ีตวั ของผูเ้ ล้ียงเองอาจไมไ่ ดเ้ ป็นคนนาไปแปรรูป เพียงแค่ส่งตอ่ ให้กบั
โรงงานหรือบริษทั ที่จะรบั ช่วงตอ่ เป็นการสรา้ งรายไดแ้ ละเพ่มิ การเติบโตของเศรษฐกิจไดเ้ ป็นอย่างดี
3. ชว่ ยให้ธรรมชาตเิ กดิ ความสมดลุ
จริง ๆ แลว้ สตั วท์ ุกชนิดลว้ นถกู สร้างข้ึนมาเพือ่ ให้โลกใบน้ีเกิดความสมบูรณท์ ้งั สิ้น ดงั น้นั ความสาคญั ของสัตวเ์ ศรษฐกจิ อีก
อย่างกค็ อื ชว่ ยให้ธรรมชาตยิ งั คงอยไู่ ดอ้ ย่างเป็นปกติ ตวั อย่างทชี่ ดั เจนมาก ๆ ในการชว่ ยใหค้ วามสมดลุ ของธรรมชาติ เช่น
มูลสตั วท์ ใี่ ชเ้ ป็นป๋ ุยในการปลกู พชื ผกั เป็นตน้ ตรงน้ีเองจะเห็นไดว้ า่ สิ่งทไ่ี ดจ้ ากสตั วเ์ หลา่ น้ีไมใ่ ชแ่ ค่ตวั พวกมนั เพียงอยา่ ง
เดียว แต่ของเสียตา่ ง ๆ ยงั สร้างประโยชน์เพอ่ื ให้ธรรมชาติมีความอดุ มสมบรู ณ์ ชว่ ยใหโ้ ลกใบน้ียงั คงอย่อู าศยั ไดอ้ ยา่ ง
ปลอดภยั
สัตว์เศรษฐกิจ หมายถึงอะไร
เม่ือเขา้ ใจถงึ ความสาคญั ของสตั วเ์ ศรษฐกจิ กนั แลว้ คราวน้ีอยากอธิบายในส่วนของความหมายเพอ่ื ใหร้ ูจ้ กั กนั อย่างชดั เจน
มากย่ิงข้ึน สัตวเ์ ศรษฐกิจ หมายถึง บรรดาสตั วท์ ้งั หลายที่เกิดข้นึ ท้งั ตามธรรมชาติและถกู มนุษยเ์ ล้ยี งดู ซ่ึงปริมาณของสัตว์
เหลา่ น้ีมจี านวนเยอะจนมีการนาเอามาสร้างรายไดใ้ หก้ บั ตนเองและยกระดบั เศรษฐกจิ ของประเทศให้ดยี ิง่ ข้นึ ปกตแิ ลว้ ใน
ทกุ ๆ ประเทศเองก็จะมีสัตวเ์ ศรษฐกจิ ท่ีใชบ้ ริโภคท้งั ในประเทศและส่งออกไปยงั ประเทศอน่ื ๆ เพ่ือสรา้ งรายไดใ้ ห้มาก
ยงิ่ ข้ึนกวา่ เดมิ
สาหรบั ประเทศไทยของเราต้งั แตอ่ ดีตจนถึงปัจจบุ นั เองก็มกี ารใชง้ านสัตวเ์ ศรษฐกจิ เหลา่ น้ีเพอื่ สรา้ งรายไดร้ วมถงึ ประโยชน์
ดา้ นอ่นื ๆ มาอยา่ งยาวนานมาก ๆ ซ่ึงถา้ พูดถึงสัตวเ์ หล่าน้ีมกั นึกถงึ สัตวท์ ว่ั ๆ ไปท่ีพบเหน็ ว่าถกู นาเอาอวยั วะต่าง ๆ มาแปร
รูปเพอื่ ใชป้ ระโยชน์ เชน่ เน้ือหม,ู เน้ือไก,่ เน้ือปลา แตใ่ นความเป็นจริงเมือ่ โลกพฒั นามากข้นึ จะสงั เกตวา่ หน่วยงานที่
เกี่ยวขอ้ งเองกพ็ ยายามทจ่ี ะสรา้ งประเภทของสัตวเ์ ศรษฐกจิ ใหม้ ากข้ึนกวา่ เดมิ เพื่อเป็นการกระจายรายได้ รวมถึงการใชส้ ัตว์
ป่ ามาแปรสภาพใหเ้ กิดรายไดเ้ ขา้ ประเทศเพม่ิ ข้ึนดว้ ย แตท่ ้งั น้ีในกรณีท่ีใชส้ ตั วป์ ่ าเองจะมีการกาหนดปริมาณและความ
เหมาะสมในการล่าเอาไวอ้ ย่างชดั เจน เพ่อื ป้องกนั ไม่ใหส้ ัตวเ์ หล่าน้นั สูญพนั ธุ์
ดงั น้นั ดว้ ยความที่หลายฝ่ายเป็นกงั วลใจว่าสตั วป์ ่ าทอ่ี ดตี เคยอาศยั อยูใ่ นป่ าจะโดนไลล่ า่ จนไมส่ ามารถผสมพนั ธุไ์ ดท้ นั จึงมี
นโยบายใหส้ ามารถนาสตั วบ์ างชนิดมาเล้ยี งเพือ่ เป็นสัตวเ์ ศรษฐกจิ โดยตรงได้ แต่กต็ อ้ งอยภู่ ายใตก้ ฎหมายท่ีกาหนดเอาไว้
เชน่ กนั ไม่ใชว่ า่ จะเลอื กเล้ยี งอยา่ งไรก็ได้
สัตว์เศรษฐกจิ มีอะไรบ้าง
จากการกล่าวถงึ 2 หวั ขอ้ ใหญ่ ๆ ท้งั เร่ืองความสาคญั และสัตวเ์ ศรษฐกิจ หมายถึงอะไร คราวน้ีกม็ าพูดกนั ถึง
เรื่องของประเภทสัตวเ์ หล่าน้ีท่ชี ่วยสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ประเทศไทยมาอยา่ งยาวนาน รวมถงึ คนไทยเองกไ็ ดอ้ ่มิ
ทอ้ งจากการบริโภคสัตวเ์ หล่าน้ี
1. กล่มุ สัตว์เคยี้ วเออ้ื ง
สตั วก์ ลุม่ แรกเช่ือว่าเป็นกลมุ่ ท่ีทุกคนคนุ้ เคยกนั ดีทส่ี ุดหากพูดถึงสตั วเ์ ศรษฐกจิ เพราะลกั ษณะทเ่ี ดน่ ชดั ของ
พวกมนั คือจะเนน้ การกนิ หญา้ และทาปากเค้ียวส่ิงต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยกลมุ่ สัตวเ์ ค้ียวเอ้อื งน้ีมหี ลายชนิด
เชน่
• โค หรือ ววั มีท้งั โคเน้ือและโคนม ซ่ึงการนาไปสร้างรายไดก้ ็ย่อมตา่ งกนั ออกไป โดยโคนมจะใช้
น้านมในการทารายได้ ส่วนโคเน้ือแน่นอนวา่ ตอ้ งใชเ้ น้ือของพวกมนั เป็นรายไดห้ ลกั ใหก้ บั
เกษตรกร
• กระบือ หรือ ควาย ซ่ึงปกติสายพนั ธุใ์ นบา้ นเราจะเรียกวา่ ควายปลกั ซ่ึงเนน้ การใชแ้ รงงานเป็นหลกั
จนกวา่ จะใชแ้ รงไม่ไหวจึงนาไปแปรรูปต่อ กบั อกี สายพนั ธุ์ท่ีไทยนาเขา้ มาอยา่ ง ควายนมหรือควาย
น้า ผลผลิตท่ไี ดจ้ ากพวกมนั คอื น้านมเป็นหลกั ในการสร้างเศรษฐกิจให้กบั ประเทศ
• แพะ หลายคนอาจไม่รูว้ า่ จริง ๆ แลว้ สัตวเ์ ศรษฐกจิ อีกชนิดทีค่ นไทยเล้ยี งกนั คือ แพะ ซ่ึงปกติจะเล้ียง
ทางแถบภาคใตเ้ ป็นส่วนใหญ่ แต่ดว้ ยพนั ธุพ์ ้ืนเมอื งของเราให้น้านมน้อย ภาครฐั จงึ มีการนาเขา้ แพะ
สายพนั ธุต์ า่ งประเทศเพ่อื ใหไ้ ดน้ ้านมเยอะข้ึน
• แกะ จะคลา้ ยกนั กบั แกะคือ เล้ียงกนั เยอะในแถบภาคใต้ ทวา่ กย็ งั ไมค่ ่อยให้ผลผลติ อย่างที่ควร
เป็นมากนกั แมม้ ีการนาเขา้ มาจากตา่ งประเทศในบางสายพนั ธุ์ จึงอาจนบั ว่าเป็นสตั วเ์ ศรษฐกจิ ที่
เมืองไทยยงั ตอ้ งพฒั นาต่อไป
2. กล่มุ สัตว์กระเพาะเดยี
ถอื ว่าเป็นสัตวเ์ ศรษฐกิจทมี่ คี วามสาคญั กบั ประเทศไทยอยา่ งมาก เน่ืองจากนาส่วนต่าง ๆ ของพวกมนั มาใช้
งานเพอื่ สรา้ งรายไดค้ อ่ นขา้ งหลากหลาย ซ่ึงสัตวก์ ลมุ่ น้ีไม่จาเป็นตอ้ งแยกประเภทให้เสียเวลา เพราะจริง ๆ
แลว้ ก็คือ สุกร หรือ หมู ที่ทกุ คนคนุ้ เคยเป็นอยา่ งดี ในอดตี ถา้ เป็นหมพู นั ธุ์พ้นื เมอื งของไทยจริง ๆ แลว้ จะมี
ขนาดเลก็ แมว้ ่าแต่ละคร้งั จะออกลูกไดเ้ ยอะ และทนตอ่ สภาพอากาศแตเ่ วลานาไปขายจริง ๆ กลบั ไม่ค่อยได้
ราคามากนกั จึงมีการนาเขา้ สายพนั ธุต์ า่ งประเทศมาผสม
ซ่ึงผลทอี่ อกมากย็ งั ไม่ตา่ งจากเดมิ มากนกั ภาครัฐจงึ มีการทดลองนาเอาหมูสายพนั ธุต์ ่างประเทศมาเล้ียงแบบ
จริงจงั ดู ปรากฏวา่ มกี ารเตบิ โตทด่ี ี ใหเ้ น้ือเยอะ สรา้ งรายไดใ้ ห้กบั ผเู้ ล้ียง จึงทาให้หมสู ายพนั ธุ์เหล่าน้นั ไดร้ บั
ความนิยมไปโดยปริยาย ซ่ึงสายพนั ธุ์ตา่ งประเทศท่กี ลายเป็นสตั วเ์ ศรษฐกจิ ในประเทศไทยของเราหลกั ๆ
แลว้ จะมอี ยู่ 3 สายพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ ดรู ็อกเจอร์ซี, ลาร์จไวต์ และ แลนดเ์ รซ
3. กล่มุ สัตว์ปี ก
ส่วนใหญ่แลว้ สตั วเ์ ศรษฐกจิ ก็ถือเป็นกล่มุ ทสี่ รา้ งรายไดใ้ หก้ บั ผูเ้ ล้ียงและยกระดบั เศรษฐกิจใหก้ บั ประเทศได้
เป็นอยา่ งดี เน่ืองจากไดร้ ับความนิยมในการนาไปบริโภค ท้งั น้ีในเมืองไทยสามารถแบง่ ประเภทสัตวป์ ี กยอด
นิยมในการเล้ยี งไดด้ งั น้ี
• ไก่ สตั วป์ ี กยอดนิยมท่มี ีตน้ ทนุ ไมส่ ูงมากนกั อกี ท้งั ยงั สามารถทานไดท้ กุ เพศ ทกุ วยั ทกุ ศาสนา จงึ ทา
ใหไ้ กก่ ลายเป็นสตั วเ์ ศรษฐกิจเบอร์ตน้ ๆ ท่ีสรา้ งรายไดอ้ ย่างตอ่ เน่ือง ท้งั น้ีกม็ ีการแบง่ ประเภทของ
ไกอ่ อกมา เช่น ไกเ่ น้ือ จะใหเ้ น้ือเป็นหลกั ไม่คอ่ ยออกไข่, ไก่ไข่ จะออกไข่ตลอดเป็นรายไดห้ ลกั
ใหก้ บั ผเู้ ล้ยี ง
• เป็ด สตั วท์ อ้ งถน่ิ ท่ีอยูก่ บั คนไทยมาอยา่ งยาวนาน แตจ่ ริง ๆ แลว้ เป็ดสายพนั ธุ์ของไทยโตชา้ และให้
เน้ือไมค่ ่อยดนี กั จงึ มกี ารนาเขา้ เป็ด 2 ประเภท เขา้ มาเป็นสตั วส์ าหรับสร้างรายไดใ้ ห้กบั ผูเ้ ล้ียงแทน
หลกั ๆ คอื เป็ดเน้ือทจี่ ะใหเ้ น้ือสาหรบั บริโภค เติบโตในสภาพอากาศบา้ นเราไดเ้ ป็นอยา่ งดี ขณะที่
อีกกล่มุ เป็นเป็ดไข่ ทใี่ หผ้ ลผลิตเป็นไข่ ออกเป็นประจา มีความมนั และเปลือกหนากวา่ ไขไ่ ก่ จึงทา
ใหม้ ีราคาสูงกว่า
• ห่าน แมใ้ นเมอื งไทยอาจยงั ไมค่ อ่ ยนิยมบริโภคมากนักแตก่ ถ็ ือวา่ เป็นสัตวเ์ ศรษฐกจิ กลุ่มเล็ก ๆ ทย่ี งั
พอสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ผูเ้ ล้ียงในระดบั หน่ึง
• นกกระทา สัตวอ์ ีกชนิดทอี่ าจไมไ่ ดน้ ิยมมากนกั แตก่ ็ถือว่าสร้างอาชีพใหก้ บั เกษตรกรไดพ้ อสมควร
ปกติแลว้ มกั จะเล้ยี งเพอ่ื เอาไข่เป็นหลกั แต่ในปัจจุบนั เองก็มีบา้ งท่จี ะนาเน้ือมาบริโภค
• ไก่งวง ไกป่ ระเภทหน่ึงท่ีจะมเี น้ือหา จริง ๆ แลว้ ทางฝงั่ ตรุ กีหรือยโุ รปจะนิยมทาน ทว่าเมอื งไทยเรา
เองก็ยงั พอมีเล้ียงและนาไปบริโภคหรือขายกนั บา้ ง แมไ้ มแ่ พร่หลายนกั แต่กย็ งั พอทารายไดใ้ นระดบั
หน่ึง
4. กล่มุ สัตว์น้า
ปิ ดทา้ ยกนั ดว้ ยสัตวเ์ ศรษฐกิจที่ตอ้ งอาศยั น้าในการเล้ียงดู นน่ั คอื กลุ่มสัตวน์ ้าทม่ี คี วามหลากหลายมาก ๆ
ไมใ่ ช่แค่ปลาเพียงอย่างเดียว ท้งั น้ียงั ถกู แบง่ ออกเป็นน้าจืดกบั น้าเคม็ อกี ดว้ ย ซ่ึงถา้ เป็นกลุ่มสตั วน์ ้าจืดจะนิยม
เล้ียงกนั ทางภาคกลาง แตถ่ า้ เป็นน้าเค็มจะมีท้งั การจบั จากทะเลและการเล้ยี งริมทะเลตามแถบจงั หวดั ชายฝงั่
นนั่ เอง โดยขอแยกให้เห็นภาพดงั น้ี
• สตั วน์ ้าจืด มหี ลายชนิดท่เี ป็นสตั วเ์ ศรษฐกจิ เชน่ ปลานิล, ปลาดุก, ปลาสลิด, กงุ้ กลุ าดา, ปลาสวาย,
ปลาช่อน, ปลาตะเพียนขาว, ปลาแรด รวมถงึ กบ ก็จดั เป็นกลุ่มสตั วเ์ ศรษฐกจิ ท่สี รา้ งรายไดก้ นั
พอสมควร
• สตั วน์ ้าเคม็ อยา่ งที่กล่าวไปวา่ มที ้งั การเล้ียงและการออกไปจับในทอ้ งทะเล ซ่ึงสตั วท์ ไ่ี ดร้ ับความ
นิยม เชน่ กงุ้ ทะเล, หมึกทะเลสายพนั ธุ์ต่าง ๆ, ปลาท,ู ปลาเก๋า, ปลากะพง, หอยแครง หอยแมลงภู่
และอ่นื ๆ อกี หลากหลายชนิดข้ึนอย่กู บั การเลือกทาประมงของแต่ละทอ้ งถน่ิ
จากขอ้ มลู ท้งั หมดที่กลา่ วมาน้ีจะเหน็ ว่าเมอื งไทยของเรายงั จาเป็นตอ้ งพ่งึ พาสตั วต์ า่ ง ๆ ในการหาเล้ยี งชีพ
สรา้ งรายได้ รวมถึงยกระดบั เศรษฐกิจใหด้ ีย่งิ ข้ึนกว่าเดิม จงึ สรุปไดว้ ่าถอื เป็นความโชคดีอย่างหน่ึงทพี่ ้ืนที่จดุ
ตา่ ง ๆ ในเมืองไทยมคี วามเหมาะสมกบั การเล้ียงสัตวเ์ ศรษฐกิจหลากหลายชนิด ไม่ตอ้ งนาเขา้ ให้เสียเงินแพง
ๆ ในทางกลบั กนั ยงั สามารถสรา้ งเงินใหก้ บั ผูค้ นและสรา้ งเศรษฐกิจให้เจริญเตบิ โต มเี งินเล้ยี งครอบครวั ได้
อยา่ งสบายใจ อาชีพทีย่ งั คงเป็นเสาหลกั ใหเ้ มอื งไทยเร่ือยมาแมเ้ วลาจะผา่ นมานานแค่ไหนกต็ าม
อ้างอิง
สานกั งานพฒั นาการวจิ ยั การเกษตร(องคก์ ารมหาชาติ). การเล้ียงสตั วใ์ นประเทศไทยพนั ธุ์[ออนไลน]์ .2562
แหลง่ ท่มี า: https://www.arda.or.th/knowledge_detail.php?id=39 [6 กมุ ภาพนั ธ์ 2565]
นางสาวปัณณพร ชชู ว่ ย ม.4/2 เลขท่ี 30
ประเภทของสัตวเ์ ลย้ี งในประเทศไทย
หมวดหมู่ของสตั ว์เล้ียงท่จี ำแนกตามแนวทางสตั วศาสตร์ของสตั ว์
1. การจดั หมวดหมู่ทางสัตวศาสตรข์ องสัตวก์ ระเพาะรวม สัตว์กระเพาะรวมมอี ยดู่ ้วยกันหลายชนิด โดยทว่ั ไปสตั ว์
กระเพาะรวมจะมีกระเพาะอยู่ 4 กระเพาะ และกินอาหารโดยการเค้ียวอยา่ งหยาบ ๆ แลว้ กลืนลงกระเพาะที่ 1 อาหารจะมี
การหมกั ระยะหนง่ึ จากนน้ั สตั วจ์ ะขยอกอาหารออกมาเคี้ยวให้ละเอยี ดอีกครั้งหน่งึ ก่อนทีจ่ ะกลนื กลบั เข้าไปผ่านกระบวนการ
ยอ่ ยและดดู ซึมในกระเพาะท่ี 2, 3 และ 4 ตามลำดบั
2. การจดั หมวดหมทู่ างสัตวศาสตร์ของสตั ว์กระเพาะเดี่ยว สตั ว์กระเพาะเด่ยี วตา่ งจากสตั ว์กระเพาะรวมตรงท่มี ีกระเพาะ
เพยี งหน่งึ กระเพาะเท่าน้ัน กนิ อาหารโดยการเค้ยี วใหล้ ะเอยี ดก่อนกลนื ลงกระเพาะ อาหารจะถกู ย่อยทก่ี ระเพาะและดดู ซึมที่
ลำไส้เล็ก สัตวก์ ระเพาะเด่ยี วจะไม่สามารถยอ่ ยอาหารทมี่ เี ส้นใยสงู ๆ ได้ ซ่งึ ผดิ จากสัตวก์ ระเพาะรวมท่ีสามารถยอ่ ยอาหารทม่ี ี
เสน้ ใยสูง ๆ ได้
3. การจัดหมวดหม่ทู างสตั วศาสตร์ของสัตว์ปีก สัตวป์ กี มีความแตกตา่ งจากสตั วเ์ คี้ยวเออ้ื งและสตั ว์กระเพาะเดี่ยว
ชนดิ อื่น ๆ ตรงที่สตั วป์ กี ไม่มีฟนั สำหรบั บดเคีย้ วอาหาร กนิ อาหารได้โดยการทำใหอ้ าหารอ่อนและเปียกภายในปากแลว้ กลนื ลง
ส่กู ระเพาะแรกทีเ่ รียกวา่ กระเพาะพกั (crop) อาหารจะถูกบดยอ่ ยในกระเพาะบดที่เรียกว่า ก๋นึ (gizzard) ก่อนทจี่ ะดดู ซึมไปใช้
ต่อไป
การแบง่ ประเภทของสัตว์เพื่อจัดหมวดหมตู่ ามทรพั ยากรสัตว์ หรือตามผลผลิตทีใ่ ห้ หรอื ตามระบบสรีระ เชน่ ระบบโครงร่าง
ระบบการยอ่ ยอาหาร เป็นตน้ เพอื่ ให้สามารถทราบถึงคณุ สมบตั ิ ความสามารถในการให้ผลผลติ แหล่งทอี่ ยู่ จุดประสงค์ในการ
เล้ียงของมนษุ ย์ ระบบสรรี ะทม่ี คี วามคล้ายคลึงกันและพฤตกิ รรมการกนิ อาหารสตั ว์เลยี้ งที่มีอย่ใู นโลกน้ีหลายประเภทและ
หลายพนั ธุ์ ซ่ึง ดำรง กติ ติชยั ศรี และคนอนื่ ๆ (2546) ไดแ้ บง่ ประเภทของสตั วเ์ ล้ยี ง ไว้ดงั นี้
สตั ว์เลยี ้ งมอี ยู่ด้วยกันหลายประเภท ซึ่งแตล่ ะประเภทกม็ ีความแตกต่างกันไปทงั้ ด้านการกนิ อาหาร แหล่งทอี่ ยูอ่ าศยั และ
พฤติกรรม เราสามารถแบง่ ประเภทของสตั ว์ได้ดงั นี ้
1.1 แบง่ ตามจุดประสงค์ของมนุษยท์ จี่ ะนำมาใช้ประโยชน์
1.1.1 สตั ว์ปา่ (wild animals) ไดแ้ ก่ กวาง ชา้ ง แรด อเี กง้ นกปา่ เสอื สงิ โต งู ไกป่ ่า ผึง้ เต่า เป็นต้น
1.1.2 สัตว์เล้ยี งในฟาร์ม (farm animals) ไดแ้ ก่ โค กระบอื แพะ แกะ สกุ ร ม้า ลา ลอ่ เปด็ ไก่ หา่ น ไกง่ วง เป็นต้น
1.2 แบง่ ตามวตั ถุประสงค์ (purpose animals) ของการเลย้ี ง
1.2.1 เพอ่ื เป็นสตั วเ์ ศรษฐกจิ (economic animals) ได้แก่ โคเน้อื โคนม กระบอื สกุ ร ไกเ่ นอ้ื ไกไ่ ข่ เปด็ เปน็ ต้น
1.2.2 เพื่อเป็นสตั วเ์ ศรษฐกจิ ทางเลือกใหม่ (new alternative economic animals) ได้แก่ นกกระจอกเทศ อูฐ จระเข้ กวาง
วัวแดง ผ้งึ สุกรป่า จ้งิ หรีด เปน็ ต้น