The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

โครงงานป้าสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ

E-book โครงงานผ้ามัดย้อม

ชื่อเรื่อง ป้าสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ ชื่อผู้จัดทํา นางสาวอวิกา พงษ์วัน นางสาวชนันภรณ์ ไพรเตี้ย นางสาวรุ่งตะวัน สาสีมา ครูที่ปรึกษา นางสาวราตรีสีงาม นางสาวประสานศรีดวงแก้ว นางสาวพรเพ็ญ ปริญาณ ปีการศึกษา 2566 สถานศึกษา โรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยา บทคัดย่อ การจัดทําโครงงาน “ป้าสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 2) เพื่อศึกษาวิธีการ และขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ และ 3) เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับ การมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนโรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยา จํานวน 450 คน กลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้านกระมัลพัฒนา จํานวน 20 คน และประชาชนทั่วไป เครื่องมือที่ใช้ ในการศึกษา ได้แก่แบบสัมภาษณ์แบบสอบถาม และแบบประเมินความพึงพอใจในการถ่ายทอดความรู้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการพรรณนาโวหาร ผลการศึกษาพบว่า 1. ผลการศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ พบว่า ขั้นตอนการ เตรียมสีจากดินภูเขาไฟ เพื่อสกัดเป็นสีลาวา โดยขุดดินขึ้นมาตากแดดให้แห้ง จากนั้นนําไปตําให้ละเอียด และนําไปแช่น้ํา 1 คืน เมื่อครบกําหนดระยะเวลา ให้คนหรือกวนน้ําดินให้เข้ากัน จากนั้นตักน้ําดินไปต้ม ในอุณหภูมิ50-70 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 30 นาทีจากนั้นตักน้ําดินที่ต้มแล้วไปพักในกะละมังเพื่อ เตรียมเป็นน้ําย้อมเย็น 2. ผลการศึกษาวิธีการและขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ พบว่า 2.1 ขั้นตอนการเตรียมสีจากดินภูเขาไฟ 2.2 ขั้นตอนการเตรียมผ้าก่อนย้อม นําผ้าที่จะทําการมัดย้อมไปแช่น้ําประจุบวก 2.3 นําผ้าที่แช่น้ําประจุกบวกเสร็จแล้วมาทําการมัดตามลวดลายต่าง ๆ 2.4 จากนั้นนําผ้าที่ย้อมเย็นไปต้มในน้ําดินที่อุณหภูมิ50-70 องศาเซลเซียส 2.5 เมื่อล้างผ้าเสร็จแล้วให้นํามาแช่ในน้ําสารส้มไว้30 นาที2.6 จากนั้นนําผ้าไปปั่นให้หมาด นํามาแกะอุปกรณ์การมัดออก และนําไปตากให้แห้ง ก็จะ ได้ผ้ามัดย้อมลวดลายต่างๆ 3. จากการสอบถามความพึงพอใจของผู้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่อง การมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ พบว่า นักเรียนที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ


โดยส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในประเด็นการเตรียมตัวและความพร้อมของวิทยากร รองลงมา คือ ความสามารถในการอธิบายเนื้อหาได้ชัดเจนและใช้ภาษาที่เหมาะสมและเข้าใจง่าย และการถ่ายทอด ความรู้ของวิทยากร อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.36 4.31 และ 4.23 ตามลําดับ


กิตติกรรมประกาศ การจัดทําโครงงานสังคมศึกษา เรื่อง “ป้าสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวา ขุนหาญ” สําเร็จลุล่วง ได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูล ความรู้จากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ขอบพระคุณ นางกัญณภัทร จันทะมั่น ประธานกลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาขุนหาญ บ้านกระมัล พัฒนา ตําบลโพธิ์วงศ์อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ และคณะ ที่ให้ความอนุเคราะห์บรรยายให้ความรู้และสอนวิธีการต่าง ๆ จนผู้จัดทําโครงงานสามารถเข้าใจ ปฏิบัติได้และถ่ายทอดแก่ผู้อื่นได้ขอบพระคุณ ผู้บริหารโรงเรียน คุณครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และคุณครูโรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยาทุกท่าน ที่ได้ให้คําแนะนําและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลใน การจัดทําโครงงานให้ถูกต้องสมบูรณ์ขอขอบคุณน้อง ๆ นักเรียนโรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยาทุกคนที่ให้ความสนใจ และตั้งใจเรียนรู้ปฏิบัติตามคําแนะนําในการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ ท้ายที่สุดขอขอบพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ผู้ปกครอง ที่เป็นกําลังใจ ให้โอกาสทางการศึกษา อันมีค่ายิ่ง คณะผู้จัดทําโครงงาน


สารบัญ บทที่หน้า บทคัดย่อ....................................................................................... ก กิตติกรรมประกาศ.............................................................................. ค สารบัญ......................................................................................... ง สารบรรณตาราง............................................................................... จ สารบัญภาพ.................................................................................... ฉ บทที่1 บทนํา...................................................................................... 1 ที่มาและความสําคัญของโครงงาน..................................................... 1 วัตถุประสงค์ของโครงงาน.............................................................. 3 ขอบเขตของการทําโครงงาน........................................................... 3 นิยามศัพท์เฉพาะ...................................................................... 4 ประโยชน์ที่ได้รับ....................................................................... 5 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง........................................................................... 6 ภูมิปัญญา.............................................................................. 6 การสกัดสี.............................................................................. 8 การมัดย้อม............................................................................ 9 ไม้มงคล 9 ชนิด........................................................................ 13 ดินภูเขาไฟ............................................................................. 16 ประวัติกลุ่มแม่บ้าน..................................................................... 18 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง..................................................................... 19 3 วิธีดําเนินงาน............................................................................. 21 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง............................................................ 21 เครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล................................................ 22 ขั้นตอนและวิธีดําเนินงาน.............................................................. 23 แผนการปฏิบัติงาน........................................................................ 24 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................ 27 4 ผลการดําเนินโครงงาน................................................................... 28 ตอนที่1 ผลการศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ....... 28 ตอนที่2 ผลการศึกษาวิธีการและขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ....... 29


สารบัญ (ต่อ) บทที่หน้า ตอนที่3 ความพึงพอใจของผู้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจาก ดินภูเขาไฟ....................................................................... 33 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ..................................................... 41 สรุปผลการศึกษา.......................................................................... 41 อภิปรายผล...................................................................................................................... 42 ข้อเสนอแนะ ............................................................................ 42 บรรณานุกรม................................................................................... 43 ภาคผนวก...................................................................................... 44 ก เครื่องมือที่ใช้ในการทําโครงงาน .......................................................... 45 ข รายชื่อกลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวา.......................................................... 47 ค ตัวอย่างคลิปวิดีโอการถ่ายทอดความรู้เรื่องการมัดย้อมผ้า................................. 48


สารบัญตาราง ตารางที่หน้า 3.1 แสดงแผนการปฏิบัติงาน....................................................................................................... 24 4.1 แสดงร้อยละข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม………………………………………………………... 39 4.2 แสดงแสดงค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของผู้รับข้อมูลภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ……………….……………………………….…………………………………………………… 40


สารบัญภาพ ภาพที่หน้า 4.1 รับฟังการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับแหล่งกําเนิดของสีที่นํามาย้อมผ้า…………………………… 30 4.2 ไม้มงคล 9 ชนิด สําหรับสกัดสีและดินภูเขาไฟต้นกําเนิดสีลาวา……………………………………. 30 4.3 ฝึกปฏิบัติการมัดผ้า (ชิ้นงานทดลอง) ก่อนที่จะนําไปย้อม................................... 30 4.4 บ่อดินสําหรับนําขึ้นมาสกัดเป็นสีลาวา………………………………………………………………………. 31 4.5 ขั้นตอนการเตรียมน้ําดินสีลาวาก่อนจะนําไปต้มเพื่อนําไปย้อมเย็นและย้อมร้อน………………. 31 4.6 ขั้นตอนการย้อมร้อน………………………………………………………….……………………………………. 32 4.7 ขั้นตอนการล้างน้ําและนําไปปั่นให้หมาด................................................... 32 4.8 ผลงานจากการเรียนรู้และทดลองมัดย้อมผ้าสีลาวา………………………………………………………. 32 4.9 ปฏิบัติหน้าที่เป็นวิทยากรให้กับนักเรียน……………………………………………………………………… 33 4.10 ฐานให้ความรู้ที่1 บ่อดินศรีลาวา……………………………………….……………………………………. 33 4.11 ฐานให้ความรู้ที่2 การหมักดิน............................................................ 34 4.12 ฐานให้ความรู้ที่3 การเตรียมน้ําย้อมร้อนและเย็น……………………………………………………… 34 4.13 ฐานให้ความรู้ที่4 การมัดลายเสื้อ……………………………………………………………………………. 34 4.14 ฐานให้ความรู้ที่5 การแช่น้ําประจุบวก…………………………………………………………………….. 35 4.15 ฐานให้ความรู้ที่6 การย้อมเย็น........................................................... 35 4.16 ความรู้ที่7 การย้อมร้อน…………………………………………………………………………………………. 35 4.17 ล้างน้ําทําความสะอาด…………………………………………………………………………………………….. 36 4.18 นําผ้าที่ผ่านการบล็อคสีครบ 20 นาทีแล้วนําไปปั่นแห้ง................................... 36 4.19 แกะอุปกรณ์ที่มัดผ้าจะได้ผ้าตามลายที่เรามัดไว้………………………………………………………….. 36 4.20 ภาพเผยแพร่ความรู้ผ่าน Facebook เพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน………………………………………………………………………………………………………………… 37 4.21 กิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจาก ดินภูเขาไฟผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย (Facebook, line, YouTube) โดยทําคลิปวิดีโอเผยแพร่ผา่นแอพพลิเคชั่น Canva ………………………………………………………………………………………………….. 38


1 บทที่ 1 บทน า 1.1 ที่มาและความส าคัญของโครงงาน ผ้ามัดย้อมเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชนชาติและได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนมีความสําคัญใน อุตสาหกรรมสิ่งทอระดับประเทศเนื่องจากผ้ามัดย้อมเป็นสินค้าที่มีศักยภาพที่จะนํามาพัฒนาเพื่อส่งออกทั้ง ภาครัฐและเอกชนจึงเริ่มที่จะให้ความสนใจที่จะศึกษาหาแนวทางในการพัฒนาผ้ามัดย้อมให้ได้ตามความ ต้องการของตลาดทั้งภายในและนอกประเทศ ทั้งนี้ ผ้ามัดย้อมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากการทําผ้ามัดย้อมจะเกิดจากวิธีการขั้นตอนและสีของการย้อม ทําให้เกิดลวดลายรูปแบบที่แตกต่าง กันออกไปทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ดํารงเอกลักษณ์ในรูปแบบและ สีสัน คือ เส้นใยฝูาฝูายที่เป็นวัสดุจากธรรมชาติรูปแบบ กระบวนการและลวดลายล้วนมาจากสีของธรรมชาติ ลวดลายเป็นเอกลักษณ์ของผ้ามัดย้อมที่ได้ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นแต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของความง่ายนี้ อาจจะยังไม่ถูกใจคนไทยหรือทําให้คนไทยเกิดความภาคภูมิใจ แต่กลับไปถูกใจชาวต่างชาติมากกว่า (ชนก นาถ มะ ยูโซ๊ะ, 2555) การถ่ายทอดด้านความรู้สึก ความภาคภูมิใจหรือรสนิยมเพื่อสานต่อจากคนรุ่นหลังจึง เป็นเรื่องยากในปัจจุบันและประกอบกับการได้รับอารายธรรมที่หลากหลายกระแสโลกาภิวัตน์ทําให้ผู้คน หลงลืมภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีค่า โดยเฉพาะผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติก็อาจจะเลือนหายไปในที่สุด นอกจากนี้กระบวนการผลิตผ้ามัด ย้อมจากสีธรรมชาตินั้นจะต้องออกแบบลวดลายผ้ามัดย้อมให้มีคุณสมบัติเหมือนผ้าสังเคราะห์รวมทั้งเฉดสีที่ ต่างจากธรรมชาติแต่ยังคงได้เอกลักษณ์ของความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความคงทนของสี แต่ละชนิดนอกจากนี้ผ้าที่ย้อมสีจากธรรมชาติที่เกิดการตกสีกลับพบว่ามีความสวยงามเพิ่มขึ้นหรือมีลวดลาย ที่เป็นเอกลักษณ์ผู้คนสมัยก่อนการย้อมเสร็จพอตัดเป็นเสื้อแล้วนําไปแช่น้ําจากนั้นใช้ไม้ทุบจนนุ่มฟูเป็นใย นวลยิ่งเก่ายิ่งสวยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนจะสลับสีอ่อนสีแก่ไว้ตรงไหนความสวยงามมีเสน่ห์ ของผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติอยู่ที่แต่ละชิ้นจะไม่ช้ํากันเพราะมีชิ้นเดียวในโลกแต่ละสีที่ได้เกิดจากภูมิปัญญา พื้นบ้านและคุณประโยชน์ของพืชพรรณที่อยู่รอบตัวอาจจะใช้ต้นไม้หายากบ้างหรือก็หมดไปแล้ว สีธรรมชาติ บ า ง สี ไ ม่ เ พี ย ง แ ต่ ใ ห้ ค ว า ม ส ว ย ง า ม เ ท่ า นั้ น แ ต่ ยั ง ช่ ว ย รั ก ษ า คุ ณ ภ า พ ข อ ง เ ส้ น ใ ย อี ก ด้ ว ย (ชนกนาถ มะยูโซ๊ะ, 2555) สีที่ได้จากการย้อมผ้าจะได้จากสีของพืชชนิดต่างๆเช่น ใบทุเรียน สะเดา เพกา เป็นต้น


2 ในปัจจุบันการจัดการเรียนรู้ได้รับการเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงอย่างมากเนื่องจากพัฒนาการทาง เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ด้วยการนําเทคโนโลยีมาช่วยในกระบวนการเรียนรู้และการสอน เราได้พบกับแนวโน้มการเรียนรู้ที่นําเอาการเปิดเผยข้อมูลและการแบ่งปันความรู้ผ่านอินเทอร์เน็ตและ แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยในการให้คําแนะนําเรียนรู้แบบปรับให้ เหมาะสมและบุคลากรทางการศึกษาเป็นตัวแทนในการส่งเสริมและกํากับกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนให้ เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเทคนิคและแนวคิดการเรียนรู้ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ เรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ (Active Learning) การเรียนรู้ที่นักเรียนเป็นตัวกลางและมีส่วนร่วมในกระบวนการ เรียนรู้มากขึ้น โดยมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนคิดเปิดโลกและแก้ปัญหาเอง โดยไม่ใช่แค่การฟังคาบเรียน อย่างเดียว การเรียนรู้แบบอัตโนมัติ (Self-directed Learning): นักเรียนได้รับความรับผิดชอบใน กระบวนการเรียนรู้ของตนเอง และเป็นผู้รับรู้ว่าต้องเรียนอะไร วิธีการในการเรียนและเวลาที่เหมาะสมใน การเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนรู้ (Information and Communication Technology, ICT): การใช้เทคโนโลยีในกระบวนการเรียนรู้ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และแอปพลิเคชันที่ เกี่ยวข้องในการเรียนรู้และการฝึกฝน การเรียนรู้แบบประสบการณ์ (Experiential Learning): การเรียนรู้ที่ มุ่งเน้นการสัมผัสประสบการณ์จริง การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน ซึ่งช่วยให้นักเรียนเกิด ความเข้าใจและความรู้ที่ลึกซึ้งมากขึ้น การเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning) นักเรียนมีโอกาส ทํางานรู้ร่วมกับผู้อื่นในกลุ่ม ซึ่งช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการแก้ไขปัญหาในรูปแบบที่เปิด กว้างขึ้น การให้ความสําคัญในกระบวนการและสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ (Process and Product Oriented) การให้ความสําคัญในขั้นตอนการเรียนรู้และผลลัพธ์ของกระบวนการเรียนรู้ โดยไม่เน้นเฉพาะผลลัพธ์เท่านั้น การให้ความสําคัญในการพัฒนาทักษะและความรู้ใหม่ (21st Century Skills): การเน้นพัฒนาทักษะที่ เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การสื่อสาร ความสามารถในการทํางานร่วมกัน และการเรียนรู้ ตลอดชีวิต เพื่อให้นักเรียนพร้อมที่จะเผชิญกับอุตสาหกรรมและสังคมในยุคปัจจุบัน โรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยา เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งที่ 2 ของอําเภอขุนหาญ ได้ประกาศตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2522 สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ด้วยความร่วมมือของข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนในเขตตําบลไพรและตําบลใกล้เคียง โดยการนําของพระครูวิภัชธรรมคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัด อรุณสว่าง (บ้านกราม) มีพื้นที่ 32 ไร่ 2 งาน 48 ตารางวา โอนย้ายมาสังกัดองค์การบริหารส่วน จังหวัดศรีสะเกษกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกระทรวงมหาดไทย ในปี พ.ศ. 2551 เป็นโรงเรียนที่อยู่ใน ชุมชนครอบคลุมและรองรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อ จาก 4 ตําบล ได้แก่ ตําบลไพร ตําบลโพธิ์วงศ์ ตําบลภูฝูาย และตําบลกระหวัน อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ และในการจัดการเรียนรู้หรือทํากิจกรรมต่าง ๆ ของ


3 โรงเรียนได้ขอความร่วมมือช่วยเหลือจากชุมชนมาโดยตลอดโดยเฉพาะในส่วนของการเป็นแหล่งเรียนรู้ทาง ภูมิปัญญาท้องถิ่นและแหล่งเรียนรู้ทางวิชาการต่างๆ ชุมชนตําบลโพธิ์วงศ์เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีทรัพยากรทาง ธรรมชาติที่สามารถนํามาสร้างมูลค่าเพิ่มโดยวิธีการนําดินภูเขาไฟมาสกัดเป็นสีธรรมชาติใช้สําหรับย้อมผ้า เป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่นให้กับนักเรียน ชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนใจ จากการที่คณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมโรงเรียนไพรธรรมคุณ วิทยา ได้นํานักเรียนไปศึกษาเรียนรู้แหล่งเรียนรู้ในชุมชน กลุ่มทอผ้าสิริลาวา บ้านกระมัลพัฒนา ตําบลโพธิ์ วงศ์ อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียน 2 กิโลเมตร ทําให้ได้รับทราบถึงเปูาหมายและ แนวคิดของกลุ่มแม่บ้านที่ต้องการให้มีเยาวชนรุ่นลูกหลานได้สานต่อภูมิปัญญาไว้ไม่ให้สูญหาย นอกจากรับ ฟังการบรรยายแล้วยังได้ลงมือปฏิบัติทดลองทําผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติดินภูเขาไฟ มีขั้นตอนกระบวนการ ที่ชัดเจนและน่าสนใจ ตลอดจนมีชิ้นงานให้เห็นเป็นประจักษ์ ผู้จัดทําโครงงานรู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจในผลงาน ของตนเอง และมีแนวคิดที่จะศึกษาเรียนรู้ในรายละเอียดมากขึ้น จึงได้จัดทําโครงงาน “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” ขึ้น 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 1.2.2 เพื่อศึกษาวิธีการและขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 1.2.3 เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 1.3 ขอบเขตของการท าโครงงาน 1.3.1 ขอบเขตด้านกลุ่มเปูาหมาย 1.3.1.1 กลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้านกระมัลพัฒนา จํานวน 20 คน 1.3.1.2 นักเรียนโรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยา จํานวน 450 คน 1.3.1.3 ประชาชนทั่วไป 1.3.2 ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาคือการศึกษาภูมิปัญญาวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ การออกแบบการมัดย้อมลวดลายต่าง ๆ ขั้นตอนและวิธีการย้อม ตลอดจนการรวบรวมข้อมูลจัดทําคลิปวิดีโอ เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ


4 1.3.3 ระยะเวลาในการดําเนินการ ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 1.3.4 ขอบเขตด้านสถานที่ สถานที่ทําการศึกษาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญากลุ่มแม่บ้านสิริลาวา บ้านกระมัลพัฒนา ตําบล โพธิ์วงศ์อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ความเชื่อ ที่นําไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาของมนุษย์ หรือ ภูมิปัญญา คือ พื้นความรู้ของปวงชนในสังคมนั้น ๆ และปวงชนในสังคมยอมรับรู้ เชื่อถือ เข้าใจ ร่วมกัน เรียกว่า ภูมิปัญญา โดยเฉพาะภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตของชุมชนผ่าน กระบวนการศึกษา สังเกตคิดวิเคราะห์จนเกิดปัญญา และตกผลึกมาเป็นองค์ความรู้ที่ประกอบกันขึ้นมาจาก ความรู้จนเกิดการ ยอมรับ ถ่ายทอด และพัฒนาไปสู่คนรุ่นใหม่จนถึงปัจจุบัน ภูมิปัญญาสําหรับโครงงานนี้ หมายถึง ภูมิปัญญาการสกัดสีย้อมผ้าจากดินภูเขาไฟ วิธีการออกแบบลวดลายการมัดย้อมผ้า และ กระบวนการย้อมผ้าจากสีธรรมชาติดินภูเขาไฟ สืบสาน หมายถึง การสานต่อความรู้ ทักษะ ที่ได้รับการสั่งสอนผ่านประสบการณ์ความรู้จากปราชญ์ ชาวบ้านสู่ลูกหลานรุ่นหลังที่พร้อมจะเรียนและและเผยแพร่ ถ่ายทอดภูมิปัญญาความรู้สืบต่อไป สีธรรมชาติหมายถึง สีที่สกัดได้จากวัตถุดิบที่มาจากพืช สัตว์ และแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นจาก กระบวนการตามธรรมชาติแหล่งวัตถุดิบของสีธรรมชาติสามารถหาได้จากต้นไม้ใบไม้และจากบางส่วนของ สัตว์หลายชนิดสามารถให้สีสันตามที่เราต้องการและด้วยกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกันทําให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มี ความสวยงามและสีสันที่หลากหลาย ในโครงงานนี้สีธรรมชาติ หมายถึง สีย้อมผ้าจากดินภูเขาไฟ ซึ่งเป็น ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในท้องถิ่นบ้านกระมัลพัฒนา ตําบลโพธิ์วงศ์ อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ น้ําประจุบวก หมายถึง สารช่วยสีติดหรือสารช่วยย้อม สารจะทําหน้าที่ช่วยให้การยึดติดเส้นใยกับสี ย้อมให้ดีขึ้น เป็นสารสกัดมาจากธรรมชาติ เช่น สกัดมาจากพืชที่มียาง ยางไม้ ยางกล้วย เป็นต้น ผ้ามัดย้อมลาวา หมายถึง ผลิตภัณฑ์หรือเสื้อผ้าที่ผ่านกระบวนการออกแบบมัดลวดลายต่าง ๆ โดยมี วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการมัดเพื่อไม่ให้สีแทรกซึมเข้าไปได้ในส่วนที่ต้องการเก็บสีพื้นเดิมไว้ จากนั้นนําไปย้อม


5 ในน้ําสีที่ได้จากทําธรรมชาติดินภูเขาไฟที่ผ่านกระบวนการหมักจนตกตะกอน แล้วนํามาต้มเพื่อให้ได้สีที่ เข้มข้น เรียกว่า สีลาวา 1.5 ประโยชน์ที่ได้รับจากการท าโครงงาน ประโยชน์ที่ได้รับจากการทําโครงงานสังคมศึกษา เรื่อง “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัด ย้อมลาวาขุนหาญ” 1.5.1 ได้เรียนรู้ภูมิปัญญาวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 1.5.2 ได้เรียนรู้วิธีการและขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 1.5.3 ได้ผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าจากสีย้อมผ้าสีธรรมชาติดินภูเขาไฟที่เรียกว่า ลาวา ที่มีสีสันสวยงาม 1.5.4 ได้นําความรู้ที่ได้จากการศึกษาไปใช้ในชีวิตประจําวันและต่อยอดสู่การประกอบอาชีพใน อนาคต ตลอดจนสามารถเผยแพร่ถ่ายความรู้แก่ผู้สนใจต่อไป 1.5.5 เห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น สู่การเพิ่มมูลค่าภูมิปัญญาไทย


6 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง การจัดทําโครงงานสังคมศึกษา เรื่อง “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 2) เพื่อศึกษาวิธีการ และขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ และ 3) เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการ มัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ (ผ่านการจัดทําคลิปวิดีโอ) กลุ่มเปูาหมายคือ นักเรียนโรงเรียนไพร ธรรมคุณวิทยา จํานวน 450 คน กลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้านกระมัลพัฒนา จํานวน 20 คน และ ประชาชนทั่วไป เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินความพึง พอใจในการถ่ายทอดความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการพรรณนาโวหาร คณะ ผู้จัดทําได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ภูมิปัญญา 2. การสกัดสี 3. การมัดย้อม 4. ไม้มงคล 9 ชนิด 5. ดินภูเขาไฟ 6. ประวัติกลุ่มแม่บ้าน 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. ภูมิปัญญา 1.1 ความหมายของภูมิปัญญา ภูมิปัญญา (Wisdom) เป็นความรู้ ความสามารถ ความเชื่อ ที่นําไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไข ปัญหาของมนุษย์ หรือ ภูมิปัญญา คือ พื้นความรู้ของปวงชนในสังคมนั้น ๆ และปวงชนในสังคมยอมรับรู้ เชื่อถือ เข้าใจ ร่วมกัน เรียกว่า ภูมิปัญญา โดยเฉพาะภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ใน ชีวิตของชุมชนผ่านกระบวนการศึกษา สังเกตคิดวิเคราะห์จนเกิดปัญญา และตกผลึกมาเป็นองค์ความรู้ที่ ประกอบกันขึ้นมาจากความรู้จนเกิดการ ยอมรับ ถ่ายทอด และพัฒนาไปสู่คนรุ่นใหม่จนถึงปัจจุบันทั้งนี้ภูมิ ปัญญาการมัดย้อมเป็นศิลปะการมัดย้อมเป็นศิลปะบนผืนผ้าที่มีความโดดเด่นอย่างมาก ลายจุดบนพื้นสีเป็น วิธีการมัด ผูกหรือเย็บรูดบนผืนผ้าที่ทอแล้วเป็นจุดเล็ก ๆ ด้วยเส้นด้ายแล้วนําไปย้อมหรือแต้มด้วยสีที่


7 ต้องการ ทําให้เกิดเป็นวงหรือเหลี่ยมเล็ก ๆ สีขาวหรือตามสีพื้นผ้านิยมทําเป็นลวดลายธรรมชาติ เช่น ลายก้น หอย ลายหัวใจ ลายดอกไม้ ลายหินอ่อน ลายริ้ว เป็นต้น สําหรับการย้อมสีธรรมชาติจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ของชุมชน มีการย้อมผ้าเป็นภูมิปัญญาในการแต่งแต้มสีให้กับเส้นใยผ้าสีขาว เพื่อให้ได้ผ้าที่มีสีสันและคงทน ทําให้มีการสืบทอดกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งชุมชนมีแหล่งดินภูเขาไฟและมีการสืบสานและถ่ายทอด การย้อมให้กับคนรุ่นหลังจึงมีการย้อมสีจากดินภูเขาไฟ ลวดลายจากการมัดย้อมเกิดจากการ ผูก มัด เย็บ หนีบ ที่ผู้ย้อมไม่ต้องการให้เกิดสีที่จะย้อมในครั้งนั้น โดยใช้วัสดุต่าง เช่น ยางรัด เชือก ก้อนหิน เชือกฝาง ไม้ ไอติมมาเป็นวัสดุช่วยในการกัดสีร่วมกับการม้วน พับ จับ จีบ ขยํา ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ของลายที่แตกต่างกัน ออกไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการในการออกแบบลวดลายจากการมัดย้อมเกิดจากการ ผูก มัด เย็บ หนีบ หรือ การ สกัดสี ในส่วนใดส่วนหนึ่งของผ้าที่ผู้ย้อมไม่ต้องการให้เกิดสีที่จะย้อมในครั้งนั้น โดยใช้วัสดุต่าง เช่น ยางรัด เชือก เหรียญ เชือกฝาง ไม้หนีบ ด้าย หรือถุงพลาสติก มาเป็น วัสดุช่วยในการกัดสีร่วมกับการม้วน พับ จับ จีบ ขยํา หรือการเย็บผ้า ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ของลายที่แตกต่างกันออกไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการในการออกแบบสี และการผสมผสานเทคนิคต่างเข้าไปด้วยกันของผู้ย้อม (ลัดดา บุตรเลียง, 2559) สีและการผสมผสานเทคนิค ต่างเข้าไปด้วยกัน ลวดลายจากการมัดย้อมเกิดจากการผูก มัด เย็บ หนีบ หรือ การสกัดสีในส่วนใดส่วนหนึ่งของ ผ้าที่ผู้ย้อมไม่ต้องการให้เกิดสีที่จะย้อมในครั้งนั้นโดยใช้วัสดุต่าง เช่น ยางรัด เชือก เหรียญ เชือกฝาง ไม้หนีบ ด้าย หรือถุงพลาสติกมาเป็นวัสดุช่วยในการกัดสีร่วมกับการม้วน พับ จับ จีบ ขยํา หรือการเย็บผ้าซึ่งจะให้ ผลลัพธ์ของลายที่แตกต่างกันออกไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการในการออกแบบสีและการผสมผสานเทคนิคต่างเข้า ไปด้วยกันของผู้ย้อม (ลัดดา บุตรเลียง, 2559) ชุติมา งามพิพัฒน์ (2562) ได้ศึกษาการออกแบบลวดลายด้วยเทคนิคการมัดย้อมที่ทําให้เกิด ลวดลายโดยการออกแบบลวดลายพื้นฐานเทคนิคการมัด การพับ และการม้วน ด้วยวิธีการย้อมสีจากวัสดุ ธรรมชาติ สีน้ําเงินจากคราม สีเหลืองจากขมิ้น และสีชมพูจากฝาง ณิชกานต์ทับประโคน และอาทิตยา ใคร่นุ่น (2556) การออกแบบลวดลายเสื้อมัดย้อมด้วยสี ธรรมชาติจาก แก่นฝาง ใบเพกา ใบแก้ว และขมิ้น. สืบค้นจาก: http://www.dspace.bru.ac.th


8 1.2 การสกัดสี นันทิพย์ หาสิน และฉัตรดาว ไชยหล่อ (2559) อธิบายว่าการสกัดสีธรรมชาติสามารถทําได้2 วิธี โดยวิธีแรกคือการสกัดสีโดยการต้มหรือการสกัดสีแบบร้อนโดยใช้ความร้อนในการละลายสีและ สารประกอบอื่น ๆ เพื่อสกัดสีวิธีที่สองคือการสกัดสีโดยการหมักหรือการสกัดสีแบบเย็นโดยการหมักพืชที่ให้ สีเพื่อให้สกัดสารให้สีละลายน้ํา นิยมใช้กับการย้อมครามวัสดุการให้สีธรรมชาติส่วนใหญ่จะได้จากพรรณไม้ นานาชนิด ซึ่งได้จากส่วนต่าง ๆ ของพืช วิธีการสกัดสีดินลาวาภูเขาไฟ ขุดดินภูเขาไฟขึ้นมาจากใต้ผิวดิน ความลึกประมาณ 20 เซนติเมตร นําดินไปตากให้แห้งสนิท ทุบดินด้วยฆ้อนให้ละเอียดพอประมาณ เก็บเศษ ซากใบไม้ รากพืช รากหญ้า หรือสิ่งที่เจือปนออกร่อนดินด้วยตาข่ายในลอนสีฟูา เอาส่วนที่ละเอียดใส่เครื่อง บดให้ละเอียดเก็บผงสีดินภูเขาไฟสําเร็จรูปสําหรับการย้อมเป็นลําดับต่อไป การสกัดสีธรรมชาติสีธรรมชาติเป็นสีที่ได้จากพืช สัตว์ และแร่ธาตุต่าง ๆ สามารถนํามาย้อมได้ทั้งแบบย้อม ร้อนและแบบย้อมเย็น สีธรรมชาติเป็นสีที่ต้องอาศัยสารช่วยในการกระตุ้นช่วยให้สีออกเร็วและให้สีติดแนบ กับเส้นไหม ทําให้สีไม่ตกเวลาซัก (วิษณุ ดาทอง,2553) ข้อดีของสีธรรมชาติ - ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภค - น้ําทิ้งจากกระบวนการผลิตไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม - วัตถุดิบหาได้ง่ายในชุมชนไม่ต้องใช้สีเคมีที่มีนําเข้าจากต่างประเทศ - การย้อมสีธรรมชาติสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นตามประสบการณ์ สามารถถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลังเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น - การย้อมสีธรรมชาติมีความหลากหลายตามชนิดอายุและส่วนของพืชที่ใช้ตลอดจนชนิดของสาร กระตุ้นหรือขั้นตอนการย้อม - การย้อมสีธรรมชาติทําให้เห็นคุณค่าและรู้จักใช้ประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ ข้อจ ากัดของสีธรรมชาติ - ปริมาณสารสีในวัตถุดิบย้อมสีมีน้อยทําให้ย้อมได้สีไม่เข้มหรือต้องใช้วัตถุดิบปริมาณมาก - ปัญหาด้านการผลิตคือไม่สามารถผลิตได้ในประมาณมากและไม่สามารถผลิตสีตามที่ต้องการ - สีซีดจางและมีความคงทนต่อแสงต่ํา


9 - คุณภาพการย้อมสีธรรมชาติขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการซึ่งควบคุมได้ยากการย้อมสีให้สี เหมือนเดิมจึงทําได้ยาก ในการย้อมสีธรรมชาติถ้าไม่มีวิธีการและจิตสํานึกในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ย่อมจะกลายเป็นการทําลายสิ่งแวดล้อมได้ 1.3 การมัดย้อม อุปกรณ์ในการทําผ้ามัดย้อมจะประกอบด้วยผ้าภาชนะที่ใช้ในการมัดย้อม วัสดุกั้นสี สีที่ใช้ใน การย้อม และ อุปกรณ์อื่น โดยผ้าที่ใช้ในการมัดย้อมเป็นผ้าที่ทอจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝูาย ผ้าลินิน และผ้าไหม ซึ่งจะต้องนําไปซักน้ําเปล่าต้มในน้ําเดือดหรือแช่แล้วซักในน้ําสบู่อ่อน ๆ ก่อน เพื่อชําระสิ่ง สกปรกหรือเคมีที่เคลือบบนผิวผ้าออกเสียก่อน ผ้านั้นจึงจะสามารถนํามาย้อมแล้วติดสีได้ดีส่วนผ้าที่ทอจาก เส้นใยสังเคราะห์จะนํามาย้อมแล้วไม่ได้สีที่ดีนัก เนื่องจากเส้นใยไม่ดูดซับสี ยกเว้นเส้นใยสังเคราะห์จากเส้น ใยพืช เช่น ผ้าเรยอน ซึ่งสามารถนํามาย้อมได้สีที่ดีบางครั้งอาจจะนําผ้าที่จะย้อมไปทําการฟอกสีให้ผ้าเป็นสี ขาวที่สุดก่อน โดยการนํามาไปชุบในน้ํายาเคมีสําหรับฟอกสีผ้าก่อนได้ส่วนภาชนะที่ใช้ในการมัดย้อมควรจะ เป็นภาชนะที่มีขนาดใหญ่ที่สามารถจุ่มผ้าลงย้อมทั้งผืนที่ต้องการอาจใช้เป็นภาชนะโลหะเคลือบสแตน เลสหรือพลาสติกตามแต่วิธีของผู้ย้อมว่าจะใช้การย้อมร้อนหรือย้อมเย็น นอกจากนี้วัสดุกั้นสีเช่น เชือกต่าง ๆ ด้าย ยางวง ถุงพลาสติก ไม้หนีบ ลูกปัด หมุดไม้ ก้อนกรวด หรือวัสดุอื่น ๆ ตามแต่การออกแบบลวดลาย ของผู้ย้อม นอกจากนี้ยังมีขั้นตอนการเตรียมตัวทําปฏิกิริยา ตัวทําปฏิกิริยาคือวัตถุดิบที่จะมาช่วยเพิ่มและเปลี่ยน สีสันให้ได้สีที่หลากหลายขึ้นจากเดิม ซึ่งแต่ละตัวจะทําให้ผ้าที่ย้อมเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ เช่น สีเข้มขึ้น หรือจาง ลงหรือเปลี่ยนเป็นสีอื่น ๆ แต่ก็อยู่ในโทนสีเดิมขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสารดังกล่าว ดังนี้ 1. น้ําสารส้ม ได้จากการนําสารส้มที่เป็นก้อนมาแกว่งให้ละลายกับน้ําจากนั้นกรองหรือตักน้ําสารส้ม มาใช้น้ําสารส้มจะใสและไม่มีกลิ่น 2. น้ําสนิม ได้จากการนําเศษเหล็ก ตะปู หรือ สังกะสีที่เป็นสนิมนําลงไปแช่น้ําทิ้งไว้กลางแดดเป็นเวลา อย่างน้อย 1 เดือนหมั่นตรวจดูและเติมน้ําให้เต็มเสมอเพราะเมื่อนําน้ําไปตั้งกลางแดดน้ําจะระเหยกลายเป็น ไอจึงต้องเติมน้ําอยู่เสมอ เมื่อจะใช้ให้กรองเอาเฉพาะน้ําแช่เหล็กและต้องระวังเศษเหล็กจะผสมมากับน้ํา เพราะอาจจะเกิดอันตรายได้น้ําสนิมจะมีสีขุ่นดําและมีกลิ่นค่อนข้างเหม็น ปริมาณใช้น้ําสนิมครึ่งขวดลิตรต่อ น้ํา 1 ถัง (ประมาณ 15 - 20 ลิตร) สําหรับเทคนิคการมัดย้อม เสาวนิตย์ กาญจนรัตน์ (2557) ได้ศึกษาถึงหลักการสําคัญในการมัดย้อมผ้า ในงานวิจัย เรื่อง การออกแบบลวดลายหัตถกรรมผ้ามัดย้อมด้วยสีเคมีและสีธรรมชาติพบว่า หลักการสําคัญ ในการทํามัดย้อมคือส่วนที่ถูกมัดคือส่วนที่ไม่ต้องการให้สีติด ส่วนที่เหลือหรือส่วนที่ไม่ได้มัดคือส่วนที่ต้องการ ให้สีติด การมัดเป็นการกันสีไม่ให้สีติดนั้นเอง ลักษณะที่สําคัญของการมัดมี ดังนี้


10 1. ความแน่นของการมัด กรณีแรกคือการมัดมากเกินไปจนไม่เหลือพื้นที่ให้สีแทรกซึมเข้าไปได้เลย ผลที่ได้คือ ได้สีขาวของเนื้อผ้าเดิม อาจมีสีย้อมแทรกซึมเข้ามาได้เล็กน้อยซึ่งจะทําให้เกิดลวดลายขึ้นน้อย กรณีที่สองคือการมัดน้อยเกินไปมีเหลือพื้นที่ให้สีย้อมติดเกือบเต็มผืน การมัดแบบนี้จะเกิดลายน้อย เช่นเดียวกันโดยมีสีย้อมตลอดทั้งผืนแต่แทบไม่มีลวดลายเลย กรณีที่สามคือมัดเหมือนกันแต่มัดไม่แน่น การ มัดแบบนี้เท่ากับไม่ได้มัดเพราะหากมัดไม่แน่นสีก็จะแทรกซึมผ่านเข้าไปได้ทั่วทั้งผืน 2. การใช้อุปกรณ์ช่วยในการหนีบผ้าแล้วมัดเพื่อให้เกิดความแน่นและเกิดลวดลายตามแม่แบบที่ใช้ หนีบ ดังนั้น ลายสวยเพียงใดขึ้นอยู่กับการออกแบบแม่แบบที่จะใช้หนีบด้วย 3. ความสม่ําเสมอของสีย้อม สีย้อมที่ติดผ้าจะสม่ําเสมอได้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิความร้อนขณะนําผ้า ลงย้อม และการกลับผ้าไปมา การขย้ําผ้าเกือบตลอดเวลาของการย้อม 1.00 - 1.30 ชั่วโมง ก่อนที่จะแช่ผ้า ไว้นอกจากนี้การประดิษฐ์ลวดลายผ้ามัดย้อมขึ้นอยู่กับจินตนาการและการสังเกตของแต่ละบุคคล ซึ่งการมัด แต่ละครั้งหรือแต่ละคน ลายผ้าที่ได้จะไม่เหมือนกันแต่ก็สามารถปรับปรุงหรือออกแบบให้ ใกล้เคียง หรือ คล้ายกันได้ซึ่งการมัดลายแบบพื้นฐานมีอยู่ด้วยหลายแบบ ดังนี้ (ชนกนาถ มะยูโซ๊ะ, 2555) 1. การพับแล้วมัด วิธีนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดเนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายต่อการออกแบบลวดลาย เนื่องจากลายที่ได้จะมีความสมมาตรทําได้โดยการพับผ้าเป็นรูปต่าง ๆ แล้วมัดด้วยยางหรือเชือกผลที่ได้จะได้ ลวดลายที่มีลักษณะลายด้านซ้ายและลายด้านขวาจะมีความใกล้เคียงกันแต่จะมีสีอ่อนด้านหนึ่งและสีเข้มด้าน หนึ่ง เนื่องจากว่าหากด้านใดโดนพับไว้ด้านในสีก็จะซึมเข้าไปน้อยผลที่ได้ก็คือจะมีสีจางกว่านั่นเอง 2. การห่อแล้วมัด เป็นการนําการใช้ผ้าห่อวัตถุต่าง ๆ ไว้แล้วใช้ยางหรือเชือกมามัดด้วยวิธีต่าง ๆ ก่อนแล้วจึงห่อด้วยวัสดุอื่น เช่น ถุงพลาสติกที่เจาะรูลายที่เกิดขึ้นจะเป็นลายเล็กหรือลายใหญ่จะขึ้นอยู่วัสดุที่ นํามาใช้และลักษณะของการใช้วัสดุซึ่งจะทําให้เกิดความสวยงามแตกต่างกันไป 3. การขยําแล้วมัด หรือรวบผ้าเป็นกระจุกอย่างไม่ตั้งใจแล้วมัดด้วยยางหรือเชือกจะได้ลวดลาย หรือลวดลายโดยบังเอิญที่เกิดความสวยงามและไม่สามารถทําแบบนี้ขึ้นได้อีกเพราะเป็นลวดลายที่เกิดจาก ความบังเอิญและเราไม่สามารถควบคุมการทับซ้อนของผ้าได้ 4. การพับแล้วหนีบ เป็นการพับผ้าเป็นรูปแบบต่าง ๆ แล้วใช้ไม้หรือที่หนีบผ้ามาหนีบหรือไม้ ไอศกรีมหรือไม้ไผ่ บาง ๆ หนีบไว้ทั้ง 2 ข้าง โดยรูปที่ได้จะเป็นรูปดอกไม้หรือรูปสี่เหลี่ยม เป็นต้น วัสดุ / อุปกรณ์ ส าหรับการมัดย้อมประกอบด้วย เส้นไหมหรือผ้าที่จะนํามาย้อม,น้ําประปา,สารส้ม,กะละมังพลาสติก,ตาข่ายในลอนสีฟูา,ผ้าสําหรับ กรองละเอียด,ห่วงย้อม,หม้อย้อม (สแตนเลส),เตาแก๊ส เครื่องซักผ้า และปืนยิงอุณภูมิ


11 วิธีการย้อม การเตรียมเส้นไหม ละลายสารส้ม 15 กรัม ในน้ําฝน 10 ลิตร ต้มที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นํา เส้นไหมที่ผ่านกระบวนการฟอกแล้ว จํานวน 500 กรัม ลงต้มในสารละลายสารส้มเป็นเวลา 30 นาที นําข้น จากหม้อต้ม บิดให้หมาด กระตุกให้เส้นไหมแตกกระจายเป็นเส้นไม่ติดกันเตรียมไว้สําหรับขั้นตอนการย้อม ตวงน้ําใส่หม้อ (น้ําประปาหรือน้ําฝน) ปริมาณ 20 ลิตร ต้มให้อุ่นที่อุณภูมิ 60 องศาเซลเซียส โดยประมาณ (ตรวจสอบโดยการใช้ปืนยิงอุณหภูมิ) ละลายสีผงดินภูเขาไฟด้วยน้ําอุ่นที่เตรียมไว้ในหม้อย้อม คนให้เป็นเนื้อเดียวกันประมาณ 10 นาที ควบคุมอุณหภูมิให้ได้ที่ 60 องศาเซลเซียส ตักน้ําสีย้อมออกจาก หม้อย้อมประมาณ 1/2 ของหม้อย้อมลงในกะละมังพลาสติกนําเส้นไหมหรือผ้าที่เตรียมไว้ในขั้นที่ 1 ลงย้อม ด้วยมือขยําเส้นไหมหรือผ้าให้สีเข้าไปเกาะได้สม่ําเสมอ ถ้าเป็นเส้นไหมให้บิดและนํามากระตุกให้เส้นไหมแตก กระจายตัว เพื่อให้สีเข้าโดนอากาศแล้วนําลงไปจุ่มสีในกะละมังแล้วขยําทําเหมือนเดิมจํานวน 5 ครั้ง นําน้ําสี ที่เหลือในกะละมังเทลงในหม้อสีย้อม จากนั้นนําเส้นไหมในขั้นตอนการขยํา ลงไปย้อมในหม้อต้มน้ําดินคน เป็นระยะ โดยใช้เวลาในการย้อม 50 นาที ขั้นตอนและวิธีการการย้อมเส้นฝ้าย 1. ล้างกาวออกด้วยการต้มน้ําล้างจํานวนปริมาณ 40 ลิตร ต่อไฟที่อุณภูมิ 70-80 องศาเซลเซียส ใช้ เวลาล้างนานถึง 30 นาที โดยมีส่วนผสม ดังนี้ - โซดาไฟ 2 ช้อนโต๊ะ - หัวสบู่-ซันไลต์ 2 ช้อนโต๊ะ - ต้มน้ําจํานวนปริมาณ 40 ลิตร โดยใช้ไฟที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส 2. แช่ประจุบวก 1 แก้วเล็กด้วยน้ําอุ่น 20 ลิตร และควรใช้กะละมังพลาสติกในการแช่ประจุบวก เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดี โดยใช้ระยะเวลาในการแช่ประจุบวกเป็นเวลาประมาณ 30 นาที 3. หมักดินและเล่นดินกับเส้นฝูายเพื่อให้เส้นฝูายกับเนื้อดินได้สีที่ติดกัน โดยหมักดินให้ทั่วถึง ใช้ระยะเวลาในการหมักดินเล่นดินประมาณ 20 นาที ก่อนขึ้นต้มไฟในอุณภูมิที่ 50-70 องศา เซลเซียส (โดยน้ําที่ใช้หมักดินใช้น้ําจํานวนปริมาณ 40 ลิตร และสารส้มจํานวนปริมาณ 2 ขีด เป็นส่วนผสมในการหมักดิน เพื่อให้เส้นฝูายกับเนื้อดินได้สีที่ติดกันและมีประสิทธิภาพดีขึ้น) 4. ตั้งหม้อต้มน้ําดินตามอัตราส่วนโดยใช้เวลาในการต้มประมาณ 40 นาที โดยใช้อัตราส่วน ดังนี้ - ดินลาวา จํานวน 2 ถัง และน้ําดื่มสะอาด จํานวนปริมาณ 40 ลิตร - กรองเอาน้ําดินลาวา 40 ลิตร แล้วจึงนําสารส้ม จํานวนปริมาณ 3 ขีด และน้ํายางไม้ จํานวนปริมาณ 10 ลิตร มาละลายในน้ําร้อนรวมกับน้ําที่ต้มดินลาวาไว้แล้วจํานวนปริมาณ 40


12 ลิตรมารวมเข้าด้วยกัน 5. ยกเส้นฝูายขึ้นลงโดยทิ้งระยะห่างให้ได้เวลาประมาณ 30 นาที 6. นําเส้นฝูายที่ต้มกับน้ําดินลาวาแล้วมาล้างน้ําสะอาด 4 ครั้ง โดยให้ล้างน้ําเปล่าสะอาดปกติ ครั้งที่ 1-3 และล้างน้ําครั้งที่ 4 ให้เติมน้ํายาซันไลต์ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วจึงล้างเส้นฝูาย ให้หมดฟองเพื่อให้ได้เส้นฝูายที่มีประสิทธิภาพ 7. เตรียมน้ําโดยใส่สารส้มประมาณ 4 ขีด แช่ทิ้งไว้ในน้ําดินเป็นเวลา 30 นาที (เวลาเอาเส้นลงต้องพร้อมกัน) 8. ปั่นเส้นฝูายให้หมาดๆ เตรียมน้ําอุ่นที่อุณภูมิ 50 องศาเซลเซียส ลงน้ํายา นุ่ม ลื่น (โดยใช้สารที่ให้ความนุ่มลื่นของเส้นฝูายจํานวนปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) 9. บล็อคสีเก็บงานโดยใช้เส้นไหมจํานวน 1 กิโลกรัมต่อน้ํายา 2 ขวด 10. ตากแดดในร่มให้แห้ง การย้อมเส้นฝ้าย เส้นทอให้ได้สีที่มีความเข้มขึ้น 1. ตวงดินลาวา 4 ถัง มีจํานวนเท่ากับ 60 กิโลกรัม – ต่อน้ํา 40 ลิตร (หม้อก๋วยเตี๋ยว) 2. ใช้ตาข่ายสีเขียว พับเป็น 2 ชั้น ไว้กรอง 3. นําน้ําดินลาวา 2 ถัง หมักเส้นฝูายไว้ 1 คืน หรือหมักทิ้งไว้ 4 ชั่วโมงขึ้นไป 4. ก่อนทําต้องแช่น้ําดินลาวาไว้ 1 คืน หรือ 4 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อเอาไว้หมักเส้นฝูาย คนให้เข้ากัน ให้สม่ําเสมอทั่วกันก่อนนําขึ้นมาต้มด้วยไฟที่อุณหภูมิ 50-70 องศาเซลเซียส วิธีล้างกาวออกจากเส้นไหม 1. เตรียมน้ําฝนหรือน้ําถัง ตั้งไฟที่อุณภูมิ 80 องศาเซลเซียสจํานวนปริมาณน้ํา 40 ลิตร 2. ใส่หัวสบู่ + โซดาแอด์ อย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ ในหม้อต้มน้ําดิน 3. นําเส้นฝูายลงไปต้มไฟที่อุณภูมิ 80 องศาเซลเซียส 4. หมั่นกลับเส้นฝูายให้บ่อยโดยใช้เวลาในการกลับเส้นฝูายให้ได้เวลานานถึง 30 นาที 5. แล้วจึงนําไปตากให้แห้ง-หรือปั่นเครื่องให้หมาด วิธีแช่ประจุบวก 1. เตรียมน้ําฝนและน้ําถังจํานวนปริมาณ 40 ลิตร 2. เตรียมน้ําอุ่นจํานวนปริมาณ 20 ลิตร 3. แช่เส้นฝูาย และเส้นไหมเป็นเวลา 30 นาที ขึ้นไป 4. นําเส้นฝูาย และเส้นไหมไปปั่นให้แห้งหมาด ๆ หรือปั่นเครื่องให้หมาด


13 วิธีการย้อมผ้าให้ได้สีที่คงทนไม่จืดง่าย 1. น้ําที่ใช้ย้อมต้องเป็นน้ําถังดื่มสะอาด หรือน้ําฝนที่สังกะสีไม่มีสนิม 2. อยากให้สีผ้าติดสวย ต้องล้างกาวให้สะอาด 3. การย้อม ยกลงจากหม้อ ต้องทิ้งระยะห่าง 30 นาที - 1 ชั่วโมง 4. การเคลือบยางไม้ ต้องทิ้งระยะห่างให้สีติดดีก่อนนําไปล้าง 5. การลงสารให้เส้นฝูาย และเส้นไหมนุ่มลื่นต้องใช้น้ําถังสะอาดหรือน้ําฝนเท่านั้น 6. น้ํายาซักผ้าให้ใช้ยาสระผมเด็กอ่อนเท่านั้นจึงจะทําให้เนื้อผ้าสวยและมีประสิทธิภาพที่ดีและ ยาวนาน 1.4 ไม้มงคล 9 ชนิด 1. ต้นคูณ ต้นคูณ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ราชพฤกษ์” มีความหมายว่า ต้นไม้ของพระราชา เป็นไม้ มงคล ศักดิ์สิทธิ์ที่คนโบราณเคารพนับถือ นิยมใช้ทําเป็นน้ําพุทธมนต์ในพิธีกรรมสําคัญต่าง ๆ เพื่อความเป็น สิริมงคลจัดเป็นพรรณไม้ขนาดกลาง มีลักษณะลําต้นสีน้ําตาลแกมเทา ใบของต้นคูณ มีลักษณะใบออกเป็น ช่อ สีเขียวมัน โดยใน 1 ช่อ จะมีความยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ใบย่อยมีรูปทรงไข่ ลักษณะเป็นปูอม มี ประมาณ 3-6 คู่ กว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 9-15 เซนติเมตร โคนใบมนสอบไปทาง ส่วนปลายของใบ เนื้อใบเกลี้ยง มีเส้นแขนงถี่และโค้งตามรูปของใบต้นคูณจะออกดอกเป็นช่อ ดอกต้นคูณถือ เป็นไฮไลท์สําคัญ เนื่องจากมีสีเหลืองสวยงาม ช่อดอกยาวประมาณ 20-45 เซนติเมตร กลีบดอกรูปขอบ ขนาน มี 5 กลีบ โดยกลีบดอกจะยาวกว่ากลีบรองประมาณ 2-3 เท่า ก้านเกสรตัวผู้มี 10 ก้าน อับเรณูโค้งงอ ขึ้นเกิดขึ้นทั่วไปในดินที่มีการถ่ายเทน้ําได้ดี นอกจากจะพบในประเทศไทยของเราแล้ว ยังสามารถพบเจอได้ ทั่วไปในประเทศศรีลังกา อินเดีย และพม่า ไปจนถึงตอนใต้ของปากีสถาน ซึ่งเป็นพืชเมืองในแถบเอเชียทาง ตอนใต้ ใช้ส่วนเปลือก-และดอกของต้นคูณในการย้อมสีไหม 2. ต้นยอ ต้นยอเป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้เพื่อรับประทาน และยังสามารถปลูกเพื่อไว้ประดับบ้านอีกด้วยนั้นก็ เพราะรูปทรงของใบและลูก ที่เมื่อมาอยู่รวมกันแล้ว ทําให้สวนหลังบ้านของคุณมีความแปลก และสวยงาม ซึ่งทุกคนรู้ไหมว่า ต้นยอ มีชื่อเสียงด้านไม้มงคล ที่ปลูกแล้วจะทําให้ชีวิตของเรานั้นดีขึ้นจัดเป็นไม้ต้นขนาด เล็กที่มีความสูงประมาณ 2-6 เมตร และมีการแตกกิ่งก้านไม่มาก เปลือกของลําต้นมีสีน้ําตาลอมเทา แล้วก็มี การแตกเป็นสะเก็ดก่อนจะหลุด กิ่งอ่อน ๆ จะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมดอกจะมีกลิ่นหอม การออกดอกจะ


14 ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกของใบ ดอกมีขนาดค่อนข้างเล็กลักษณะเป็นรูปดอกเข็ม กลีบดอกมีสีขาวจํานวน 5 กลีบ โคนของกลีบจะเป็นรูปท่อแบบเชื่อมติดกัน ใช้ส่วนแกนสีเหลืองในการย้อมสีไหม 3. ต้นสักทอง ต้นสักหรือสักทองเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งจะผลัดใบในฤดูร้อน นิยมนําเนื้อไม้มาแปรรูปเป็น เฟอร์นิเจอร์หรือสร้างบ้าน ความเชื่อหากนํามาปลูกจะช่วยเสริมโชค เสริมดวงชะตา ทําให้ชีวิตมีความเป็นสิริ มงคล คําว่า “สัก” ยังมีคําพ้องกับคําว่า “ศักดิ์” หมายถึง ยศถาบรรดาศักดิ์หรือศักดิ์ศรีต้นสักหรือสักทอง เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งจะผลัดใบในฤดูร้อน บริเวณลําต้นเปลือกแตกหรือเรียบ ส่วนใหญ่แล้วจะแตกเป็น ร่องตื้นตามความยาวของลําต้น โดยเปลือกมีความหนาประมาณ 0.3-1.7 เซนติเมตร และด้วยความที่เนื้อไม้ มีสีเหลืองทอง ไปจนถึงสีน้ําตาลแก่ จึงถูกเรียกว่า สักทอง ลักษณะเป็นใบเดี่ยว ใบมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ออก ตรงข้ามกันเป็นคู่ โคนใบมนปลายใบแหลม มีความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร ส่วนความกว้างใกล้เคียง กับความยาว ใบของต้นอ่อนจะใหญ่มากกว่าใบแก่ส่วนสีของใบคือสีเขียวเข้มใบมีขนสาก หากนํามาขยี้จะมีสี แดงเหมือนเลือด ใช้ส่วนใบ-เปลือก-ในการย้อมสีไหม 4. ต้นไผ่สีสุก ไผ่สีสุกเป็นไม้ยืนต้นขึ้นเป็นกอหนาแน่น มีลําสูงใหญ่ บริเวณข้อกิ่งคล้ายหนามกิ่งและแขนงมี หนามแหลมคม ลักษณะลําต้นกลวงลําต้นมีสีเขียวสดผิวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อ ซึ่งส่วนมากไผ่อายุราว 30 ปี จึงจะมีดอกสักหนหนึ่ง หน่อมีขนาดใหญ่ มีกาบสีเหลืองห่อหุ้ม ขนที่หน่อเป็นสีน้ําตาลมีน้ําหนักประมาณ 2-5 กก. คติความเชื่อคนโบราณนิยมปลูกไผ่สีสุกไว้ทางทิศตะวันออก (บูรพา) ถือกันเป็นเคล็ดจากชื่อที่เรียก ขานกันเอาว่าเป็นสิริมงคลแก่ตน ผู้เป็นเจ้าของและครอบครัวคือ สีสุก เป็นมงคลนามเพื่อให้เกิดความสุข ความเจริญ มีความสุขกายสบายใจทุกอย่าง ใช้ส่วนต้นในการย้อมสีไหม 5. ต้นพะยูง ต้นพะยูงจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบช่วงสั้น ๆ มีลักษณะคล้ายกับต้นประดู่ โดยมีความสูงของต้นได้ถึง 25 เมตร เมื่อโตเต็มที่ลําต้นจะมีลักษณะเปลาตรง มีเรือนยอดเป็นรูปทรงกลมหรื อรูปไข่ทึบ เปลือกต้นเรียบเป็นสีเทา และล่อนเป็นแผ่นบาง ๆ ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีน้ําตาลแกมสีเหลือง เนื้อไม้เป็นสีแดงอมม่วงถึงแดงเลือดหมูแก่ เนื้อละเอียด มีความแข็งแรงทนทาน มีแก่นหอมร้อนและมีรสขม ฝาดเล็กน้อย การขยายพันธุ์ที่นิยมทํากันก็คือ การนําเมล็ดมาเพาะให้เป็นต้นกล้า ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและนิยม กันมาก สําหรับวิธีการขยายพันธุ์โดยวิธีอื่น ๆ ก็สามารถทําได้โดยการนําเหง้ามาปักชํา สามารถขึ้นได้ในดิน ทุกชนิด ทนแล้งได้ดี ต้นพะยูงเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกําเนิดในประเทศเมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ใน


15 ประเทศไทยพบขึ้นกระจัดกระจายทั่วไปตามปุาเบญจพรรณชื้น ปุาดิบแล้ง ปุาราบ ปุาโปร่ง และขึ้น ประปรายทั่วไปทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ําทะเลประมาณ 100-300 เมตร ใช้ส่วนเปลือกในการย้อมสีไหม 6. ต้นกล้วยน้ําว้า ต้นกล้วยเป็นไม้ผล ลําต้นเกิดจากกาบหุ้มซ้อนกันสูงประมาณ 2–5 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวเกิด กระจายตรงส่วนปลายของลําต้นเวียนสลับซ้ายขวาต่างระนาบกัน ก้านใบยาว แผ่นใบกว้าง เส้นของใบขนาน กัน ปลายใบมน มีติ่ง ผิวใบเรียบลื่น ใบมีสีเขียวด้านล่างมีไขนวลหรือแปูงปกคลุม เส้นและขอบใบเรียบ ขนาดและความยาวของใบขึ้นอยู่กับแต่ละพันธุ์ ดอกเป็นดอกห้อยลงมายาวประมาณ 60–130 ซม. เรียกว่า หัวปลี ตามช่อจะมีกาบหุ้มสีแดงเป็นรูปกลมรี ยาว 15–30 ซม. ช่อดอกเมื่อเจริญก็จะกลายเป็นผล ผลจะ ประกอบกันเป็นหวีกล้วย หวีละประมาณ 10-20 ผล และ 7–8 หวีรวมกันเป็นเครือ ขนาดและสีของกล้วยมี ลักษณะแตกต่างกันออกไปตามชนิดของพันธุ์ บางชนิดมีผลสีเขียว, เหลือง, แดง แต่ละต้นให้ผลครั้งเดียว เท่านั้น เมล็ด มีลักษณะกลมขรุขระ เปลือกหุ้มเมล็ดมีสีดํา หนาเหนียว เนื้อในเมล็ดมีสีขาว ใช้ส่วนต้นในการย้อมสีไหม 7. ต้นขนุน ต้นขนุนเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลําต้นสูงประมาณ 8–15 เมตรมียางขาวทั้งต้น ใบ กลมรี ยาว 7–15 ซม. ก้านใบยาว 1-2.5 ซม. เนื้อใบเหนียวและหนา ดอกออกเป็นช่อ ช่อดอกตัวเมียและตัว ผู้จะอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกตัวผู้จะออกที่ปลายกิ่ง เป็นแท่งยาวประมาณ 2.5 ซม. ช่อดอกตัวเมียเป็นแท่ง กลมยาวออกจากลําต้น กิ่งก้านขนาดใหญ่ ผลเป็นผลรวม ผลกลมและยาวขนาดใหญ่ หนักหลายกิโลกรัม เมล็ดกลมรี เนื้อหุ้มเมล็ดสีเหลือง ถ้าสุกมีกลิ่นหอมตามความเชื่อในว่า การปลูกต้นขนุนในบริเวณบ้านจะ หนุนเนือง มีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน มีบุญบารมี คนเกื้อหนุน ถ้าเป็นพ่อค้า จะมีคนอุดหนุนจุนเจือเป็นอย่างดี และผลของขนุนก็เป็นผลไม้ที่รสชาติอร่อย ใช้ส่วนเปลือก-และส่วนแกนสีเหลืองในการย้อมสีไหม 8. ต้นลิ้นฟูา-น้ําตาล (ใบมังคุด) ต้นลิ้นฟูามีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เพกา” ลิ้นฟูาหรือเพกา จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่นิยม นํามาใช้ประโยชน์ในด้านของการรักษาโรค อีกทั้งยังนิยมนําฝักอ่อนหรือยอดอ่อนมารับประทานคู่กับน้ําพริก เนื่องจากมีรสชาติของความกรอบนุ่มอร่อยและมีรสขมเล็กน้อย โดยลิ้นฟูาหรือเพกาเป็นพืชดั้งเดิม ที่สามารถ พบเจอได้ในทวีปเอเชีย เช่น อินเดีย พม่า มาเลเซียลาว และประเทศไทยของเราเอง เป็นต้น สําหรับใน ประเทศไทยของเราสามารถพบการแพร่กระจายได้ในช่วงทุกภาคหรือในทุกจังหวัด จัดเป็นพืชในวงแคหาง


16 ด่าง ไม้ยืนต้นชนิดผลัดใบและไม่ผลัดใบ ความเชื่อ คนสมัยโบราณมีความเชื่อว่าห้ามปลูกต้นเพกาไว้บริเวณ บ้านเพราะฝักเพกามีรูปร่างคล้ายดาบหรือปลายหอก อาจนํามาซึ่งความเดือดร้อนและเลือดตกยางออกแก่ เจ้าของบ้านได้ ใช้ส่วนใบสีน้ําตาลในการย้อมสีไหม 9. ต้นประดู่-น้ําตาลเปลี่ยนสี ต้นประดู่ที่มีความหมายและความเชื่อสอดคล้องกับความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และ ความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันซึ่งสิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ของความร่วมมือร่วมใจกันสืบไป จึงเป็น ต้นไม้ที่เลือกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งกองทัพเรือ และยังเป็นต้นไม้มงคลที่มีผู้นิยมปลูกไว้บริเวณเคหสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านที่มีบริเวณกว้างมีญาติพี่น้องอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ เพื่อหวังให้สมาชิกทุกคน มีความสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันประดู่เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีลําต้นสูง ประมาณ 25 เมตร ใบจะออกรวมกันเป็นช่อ ลักษณะของใบเป็นรูปมนรี ปลายใบแหลม ถ้าขึ้นในที่แล้งจะ ผลัดใบก่อนออกดอก ดอกออกเป็นช่อมีสีเหลืองสดลักษณะคล้ายดอกถั่ว โคนกลีบเลี้ยงกลีบดอกติดกันเป็น กรวยโค้งเล็กน้อย กลีบดอกมี 5 กลีบ มีขนาดดอกเล็ก ขณะดอกย่อยบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5- 1 ซม. ดอกบานไม่พร้อมกัน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกที่ใกล้โรยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมน้ําตาล ฤดูดอกบาน อยู่ในช่วง เดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 1.5 ดินภูเขาไฟ ดินแร่ภูเขาไฟซึ่งเป็น “ลาวา” จากการระเบิดของภูเขาไฟที่หลอมละลายหินและแร่ต่างๆ ใต้พื้น พิภพ ระเบิดพวยพุ่งสู่ชั้น บรรยากาศและค่อยๆลดอุณหภูมิเย็นตัวลงเกิดรูพรุนมหาศาลจากการระเหยของ ก๊าซและไอน้ํา ลาวาหรือหินแร่ภูเขาไฟเหล่านี้ประกอบไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต ของ พืช สัตว์ จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บนพื้นโลก และยังมีแร่ธาตุที่ชื่อว่า “ซิลิก้า” มากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ที่ช่วยทําให้ผนังเซลล์พืชแข็งแรงจนโรคแมลงศัตรูพืชไม่สามารถกัดเจาะหรือทําลายได้โดยง่ายการ นําหินแร่ภูเขาไฟมาใช้ในการเกษตรเชิงสารปรับปรุงดินเพื่อการเพาะปลูกและเพื่อลดการใช้ปุ๋ยและยาฆ่า แมลงจึงเป็นที่น่าจับตาและสร้างความสนใจให้แก่เกษตรกรในกลุ่มปลอด สารพิษและเกษตรอินทรีย์กันอย่าง แพร่หลายในปัจจุบัน ดินแร่ภูเขาไฟ (volcanic mineral) หรือในทางสากลเรียกว่า ซีโอไลท์ (Zeolite) ประกอบด้วย แร่ธาตุเช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม กํามะถัน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โบรอน โมลิบดินั่ม ซิลิก้า ฯลฯ ซึ่งเป็นสารอาหารที่สําคัญสําหรับพืช และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในภาคการเกษตร นับว่าเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้นหลังจากที่มีนักวิชาการให้ความสําคัญนํามาเผยแพร่ทดสอบวิจัยในการ เพาะปลูกพืชเพื่อสร้างความสมบูรณ์แข็งแรงให้แก่ พืช โดยอาศัยคุณสมบัติที่พิเศษจากสารปรับปรุงดินทั่ว ๆ


17 ไป เนื่องด้วยเป็นหินที่ผ่านการหลอมละลาย (magma) ในระดับอุณหภูมิ 980-1,200 องศาเซลเซียสภายใต้ พื้นผิวโลกซึ่งมีแรงอัดแรงต้านมหาศาลเหมือนสถานะของกาต้มน้ําจนเดือดและ ถูกปิดฝาจนเกิดการระบาย ถ่ายเทไปยังจุดที่เปราะบางระเบิดเกิดเป็นลาวาหรือหินแร่ภูเขาไฟที่มีองค์ประกอบของแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ซิ ลิเกต, ออกไซด์, ซัลเฟอร์ รวมถึงก๊าซและไอน้ําที่ค่อยคลายแรงดันและเย็นตัวลงเปรียบเหมือนกับข้าวโพดคั่ว ซึ่งพร้อมต่อการผุพังเปื่อยยุ่ยสลายออกมาเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งคน สัตว์ พืชและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ อาศัยอยู่บนผืนโลก หนึ่งในองค์ประกอบของหินแร่ภูเขาไฟเหล่านี้มีแร่ธาตุตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ซิลิก้า (Silica) ซึ่งมีมากถึง 60-70 เป็นเซ็นต์ และเป็นซิลิก้าชนิดที่ละลายน้ําได้แตกต่างจากซิลิก้าที่อยู่ในดิน หิน ทรายทั่วไปที่ยังไม่ผ่าน ความร้อนหรือการหลอมละลายเหมือนลาวาภูเขาไฟ แร่ธาตุซิลิก้าตัวนี้มีบทบาทสําคัญต่อการทําให้เซลล์ของ พืชและสัตว์มีความคงทนแข็งแรงมากกว่ายิ่งขึ้น ซึ่งทําหน้าที่คล้าย ๆ กับผนังคอนกรีตห่อหุ้มปกปูองเซลล์ ช่วยทําให้ศัตรูหรือโรคต่าง ๆ เข้าทําลายได้ยากจึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความสําคัญมากขึ้นในการนํามาใช้ใน การทําเกษตรกรรมแบบปลอดภัยหรือไร้สารพิษดินที่ได้จากการผุพังของหินภูเขาไฟเป็นดินที่มีความอุดม สมบูรณ์ดีกว่าดินจากหินชนิดอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะหินภูเขาไฟมีแร่ธาตุที่เป็นปุ๋ยอยู่หลายชนิด เช่น ปุ๋ยฟอสเฟต ไนเตรท และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จําเป็นแก่ต้นไม้อย่างพร้อมมูล นอกจากนี้ดินที่ได้จากหินภูเขาไฟมีคุณสมบัติดี พิเศษกว่าดินชนิดอื่น ๆ คือ ร่วน ซุย และอุ้มน้ําได้ดีจะเห็นว่าบทบาทและประโยชน์ของหินแร่ภูเขาไฟในภาค เกษตรจะมีคุณประการ อย่างยิ่งต่อเกษตรกรและผู้บริโภค เพราะช่วยทําให้ดินเพาะปลูกมีความอุดมสมบูรณ์ เติมเต็มแร่ ธาตุสารอาหารที่จําเป็นและยังมีแร่ธาตุซิลิก้า (Sio2) ที่สามารถละลายน้ําซึ่งพืชสามารถดูดกินขึ้น ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ สะสมในเซลล์ช่วยให้เกิดความแข็งแรงมีภูมิคุ้มกันต่อโรคแมลงศัตรูพืชลดการนําเข้า สารพิษจากต่างประเทศช่วยลดการใช้สารพิษในกระบวนการผลิตส่งผลให้ผลิตผลที่ออกมาจากฟาร์มไม่มี สารพิษตกค้างและส่งต่อความปลอดภัยไปยังสุขภาพของผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่ในดินมีปริมาณแคลเซียมและ โซเดียมอยู่ในระดับต่ําถึงต่ํามากแมกนีเซียมอยู่ในระดับต่ํามากถึงสูง ปริมาณแมงกานีสและสังกะสีที่เป็น ประโยชน์ส่วนใหญ่มีค่าสูงถึงสูงมากความเหมาะสมของดินสําหรับการนําดินมาต้มเอาน้ําดินเพื่อเอาไปย้อมสี เส้นฝูาย พบว่า ดินลาวามีความเหมาะสมดีมากสําหรับการนําดินมาต้มเอาน้ําดินเพื่อเอาไปย้อมสีเส้นฝูาย เพราะดินลาวาเป็นดินลึกมีการระบายน้ําดี ปริมาณธาตุอาหารอยู่ในระดับดี ดังนั้น ในการนําดินลาวามาต้มเอาน้ําดินเพื่อเอาไปย้อมสีเส้นฝูายดังกล่าวเพื่อให้เส้นฝูายและเส้น ทอได้สีที่เข้มขึ้นควรใช้ดินลาวาที่มีปริมาณธาตุอาหารอยู่ในระดับดีที่เหมาะสมที่สอดคล้องตามความต้องการ ของการย้อมเส้นฝูายเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ


18 1.6 ประวัติกลุ่มแม่บ้าน จุดเริ่มต้นของกลุ่มศรีลาวา เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2559 มีสมาชิกกลุ่มช่วงเริ่มต้นเพียง 7 คน พร้อมกี่ ทอผ้าจํานวน 1 หลังต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2562 ทางกลุ่มได้ทําการขยับขยายจนมีสมาชิกเพิ่ม พร้อมได้ระดมทุน ในการเพิ่มจํานวนกี่ทอผ้าเพิ่มมาอีกเป็น 14 หลัง ช่วงหลังด้วยเหตุเศรษฐกิจไม่ดีทางกลุ่มนําสินค้าเกษตรไป จําหน่ายในงานช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการได้เห็นกลุ่มนิคมซอย 9 อําเภอขุขันธ์ กําลังขายผ้าทอและการทํา ผ้าเพื่อขายสินค้าจึงเกิดเป็นความสนใจให้กับชุมชนได้มีอาชีพและมีรายได้เสริมจึงไปเรียนกับกลุ่มนิคมซอย 9 เพื่อนําความรู้ดังกล่าวมาเป็นทักษะเพิ่มเติมให้กับกลุ่มจึงเป็นที่มาของ "กลุ่มผ้าสิริลาวา"สมาชิกกลุ่มแม่บ้าน 1. นางกัญณภัทร จันทะมั่น ประธาน 2. นางชนิดดาภา โยธร รองประธาน 3. นางวัฒนา โยธร รองประธาน 4. นางศิริญา ศิลปะศร เลขานุการ 5. น.ส.จันทรา ศรีปราชญ์ ผุ้ช่วยเลขานุการ 6. นางสนิท ฟุมิโถ เหรัญญิก 7. นางกอน จอมรัตน์ ผู้ช่วยเหรัญญิก 8. นางอรุณี โกรดประโคน ประชาสัมพันธ์ 9. นางใสว ศรีชัย ผู้ช่วยประชาสัมพันธ์ 10. นางเอี่ยม คําโท ปฏิคม 11. นางนิตยา สมแก้ว สมาชิก 12. นางเมา จันทะมั่น สมาชิก 13. นางจําเนียร สามารถ สมาชิก 14. นางนันทินี ภาสดา สมาชิก 15. นางมะลิวัน กุลเกษ สมาชิก 16. น.ส.นรินทร์ สมแพง สมาชิก 17. นางมังคุด จันทะมั่น สมาชิก 18. นางสอัด ศรีชัย สมาชิก 19. นางทัด จันทะมั่น สมาชิก


19 20. นางนิช เหรียญทอง สมาชิก 1.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พอหทัย ซุ่นสั้น บทความวิจัยนี้ได้ศึกษาการออกแบบลายผ้ามัดย้อมและพัฒนาแบบ ผลิตภัณฑ์ของ ที่ระลึกเพื่อสร้างอัตลักษณ์เพื่อประเมินความเป็นอัตลักษณ์และความพึงพอใจเกี่ยวกับลวดลายและผลิตภัณฑ์ ของที่ระลึกฯ และเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้การออกแบบลายผ้ามัดย้อมและพัฒนาแบบผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวตําบลภูเขาทอง การดําเนินงานวิจัยเป็นแบบผสมผสานโดยเก็บข้อมูลเชิง คุณภาพใช้วิธีการจัดสนทนากลุ่มย่อยจากกลุ่มประชากรตัวแทนจากสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ จํานวน 20 คน และเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ โดยการเลือกใช้เครื่องมือแบบสอบถามความพึงพอใจวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ สถิติโดยมีกลุ่มตัวอย่างประชากรที่อาศัยในอําเภอสุคิริน จํานวน 100 คน ตามขนาดกลุ่มตัวอย่างของทาโร ยามาเน คิดเป็น 10 % ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุมชนภูเขาทองมี จุดเด่นเฉพาะคือ เป็นที่ตั้งเหมืองทองโต๊ะโม๊ะ เป็นต้นกําเนิดนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา มีต้นฤาษีนางครวนจํานวนมากบริเวณหน้าเหมืองทอง 2) ได้ แนวความคิดเพื่อออกแบบลวดลาย ผ้ามัดย้อมจํานวน 3 รูปแบบ ได้แก่ แนวคิดชะเลียงร่อนทอง นางครวนห น้าถ้ําและเพชรพระอุมานําลวดลายผ้ามัดย้อมผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกจํานวน 5 ชุดผลิตภัณฑ์ คือ 1) เสื้อยืดมัดย้อม 2) กระเป๋าใส่แล็ปท็อปฯ 3) กระเป๋าทรงสามเหลี่ยม 4) กระเป๋าทรงสี่เหลี่ยม 5) ผ้าคลุมไหล่ 3) มีระดับการประเมินความเป็นอัตลักษณ์การออกแบบลวดลายผ้ามัดย้อม ลวดลายที่ 1) ชะเลียงร่อนทอง ตรงตามเปูาหมายมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.54 ลวดลายผ้ามัดย้อม ตรงตามเปูาหมายมากที่สุด และมีระดับพึง พอใจต่อผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกของกลุ่ม ที่ได้จาก ลวดลายที่ 1) ชะเลียงร่อนทอง เป็นลําดับที่ 1 มีค่าเฉลี่ย 4.57 พึงพอใจมากที่สุด นางสาวณิชกานต์ ทับประโคน และนางสาวอาทิตยา ใคร่นุ่น 2562 งานวิจัยนี้ได้ศึกษาเรื่องการ มัดย้อมเสื้อยืดผ้าฝูายด้วยสีธรรมชาติจากแก่นฝาง ใบเพกา ใบแก้ว และขมิ้น ด้วย 4 เทคนิค ได้แก่ การมัด การพับ การม้วน และการขยําและศึกษาความพึงพอใจของเสื้อมัดย้อมด้วยสีธรรมชาติจากแก่นฝาง ใบเพกา ใบแก้ว และขมิ้นด้านความเหมาะสมของลวดลายและสีมีการวางลวดลายที่เหมาะสมลวดลายมีความทันสมัย และใช้งานได้จริงและสรุปความพึงพอใจ โดยรวมกลุ่มตัวอย่างวิธีการใช้แบบสุ่มของกลุ่มผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ การออกแบบลวดลายเสื้อมัดย้อมด้วยสีธรรมจากแก่นฝาง ใบเพกา ใบแก้ว และขมิ้น ภายในมหาวิทยาลัย ราชภัฏบุรีรัมย์ จํานวน 150 คน เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน คือ แบบสอบถาม แบบประเมินความพึงพอใจ และผลิตภัณฑ์การออกแบบลวดลายเสื้อมัดย้อมด้วยสีธรรมชาติจากแก่นฝาง ใบเพกา ใบแก้ว และขมิ้น


20 จํานวน 12 แบบ ได้แก่ แบบที่ 1 ใช้เทคนิคการม้วน แบบที่ 2 ใช้เทคนิคการมัดและการขยํา แบบที่ 3 ใช้ เทคนิคการมัด การพับ และการขยํา แบบที่ 5 ใช้เทคนิคการมัด แบบที่ 6 ใช้เทคนิคการม้วน แบบที่ 7 ใช้ เทคนิคการมัด แบบที่ 8 ใช้เทคนิคการมัดและการขยํา แบบที่ 9, 10, 11 และ 12) ใช้เทคนิคมัดโดย วิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) จากการประเมินความพึง พอใจโดยรวมต่อผลิตภัณฑ์การออกแบบลวดลายเสื้อมัดย้อมด้วยสีธรรมชาติจาก แก่นฝาง ใบเพกา ใบแก้ว และขมิ้น พบว่าผลิตภัณฑ์การออกแบบลวดลายเสื้อมัดย้อมด้วยสีธรรมชาติจากแก่นฝาง ใบเพกา ใบแก้ว และขมิ้น ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ แบบที่ 6 มีความเหมาะสมของลวดลายและสี คะแนนความพึง พอใจมี ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.54 อยู่ในระดับ ดีมาก และ แบบที่ 8 มีความเหมาะสมของลวดลายและสี คะแนนความพึง พอใจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.52 อยู่ในระดับ ดีมาก ส่วนแบบที่มีค่าเฉลี่ยมากเป็นอันดับสอง คือ แบบที่ 12 มีการ วางลวดลายที่เหมาะสมคะแนนความพึงพอใจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.51 อยู่ในระดับดีมาก ส่วนผลิตภัณฑ์แบบที่มี ความพึงพอใจน้อยที่สุด คือแบบที่ 4 มีการวางลวดลายที่ไม่เหมาะสม คะแนนความพึงพอใจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.28 นายณัฎฐนันท์ ปัญใจแก้ว การวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาเรื่องผลิตภัณฑ์การมัดย้อมผ้าภูมิปัญญาและ วิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากใบต้นสักของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้ามัดย้อมอภิรดี ของเทศบาลตําบลแม่ปู คา อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกโดย เจาะจงเลือกประธานและผู้ก่อตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้ามัดย้อมอภิรดีและสมาชิกจํานวน 15 คน จากผล การศึกษาพบว่า มีผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ชุดสตรี ชุดเด็ก ผ้าพันคอ หมวก กระเป๋า และผ้ากันเปื้อน เทคนิคการมัด ในรูปแบบการพับแล้วมัด การห่อแล้วมัด การขยําแล้วมัด และการพับแล้วหนีบ เพื่อสร้างลวดลายของผ้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์มัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากใบต้นสักที่มีการปลูกเป็นจํานวนมากในชุมชนใช้วิธีการสกัดสี ย้อมผ้าธรรมชาติโดยการต้มหรือการย้อมร้อนการออกแบบลวดลายผ้าเป็นสีเขียวที่มีสีเข้มหรือสีอ่อนขึ้นอยู่ กับปริมาณเวลาในการต้มถ้าจํานวนมากขึ้นหรือต้มโดยใช้เวลามากขึ้นจะทําให้ได้สีที่มีความเข้มมากขึ้นและ เพิ่มประสิทธิภาพของสีธรรมชาติจากใบต้นสักกับน้ําด่างน้ําขี้เถ้าทําให้สีติดกับผ้าดีขึ้นและเพิ่มความคงทน ให้กับสี


21 บทที่3 วิธีการด าเนินงาน การจัดทําโครงงานสังคมศึกษา เรื่อง “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 2) เพื่อศึกษาวิธีการ และขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ และ 3) เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการ มัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ โดยมีวิธีการดําเนินงานตามขั้นตอน ต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มเปูาหมาย 2. เครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 3. ขั้นตอนและวิธีการดําเนินงาน 4. แผนการปฏิบัติงาน 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาจัดทําโครงงาน “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุน หาญ” ในโรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยา และสําหรับเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการมัดย้อมผ้าสี ธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ ได้แก่ 1.1.1 กลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้านกระมัลพัฒนา จํานวน 20 คน 1.1.2 นักเรียนโรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยา จํานวน 450 คน 1.1.3 ประชาชนทั่วไป 1.2 กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเปูาหมายสําหรับใช้ในการศึกษาจัดทําโครงงาน “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” ได้แก่ 1.2.1 นักเรียนโรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยา จํานวน 27 คน 1.2.2 กลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้านกระมัลพัฒนา จํานวน 20 คน 1.2.3 ประชาชนทั่วไป การจัดทําโครงงานสังคมศึกษา เรื่อง “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” กําหนดเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้


22 1. แบบสอบถาม เป็นแบบสอบถามสําหรับศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจาก ดินภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟของนักเรียนโรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยา ในระหว่างเดือนพฤษภาคม 2566 ถึงเดือนกรกฎาคม 2566 โดยสอบถามจากกลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้าน กระมัลพัฒนา จํานวน 20 คน 2. แบบสัมภาษณ์ สําหรับเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟจากกลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้าน กระมัลพัฒนา จํานวน 20 คน 3. แบบสอบถามความพึงพอใจ สําหรับสอบถามนักเรียน กลุ่มแม่บ้าน และประชาชนทั่วไป ผู้รับ ข้อมูลภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการการมัดย้อมผ้าสี ธรรมชาติจากดินภูเขาไฟผ่านการจัดทําคลิปวิดีโอร่วมกับกลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้านกระมัลพัฒนา 2. เครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการจัดทําโครงงานประกอบด้วย 2.1 แบบสอบถาม เป็นแบบสอบถามสําหรับศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติ จากดินภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการการมัดย้อม ผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟของนักเรียนโรงเรียนไพร ธรรมคุณวิทยา 2.2 แบบสัมภาษณ์สําหรับเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการการมัดย้อม ผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟจากกลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้าน กระมัลพัฒนา 2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจ สําหรับสอบถามนักเรียน กลุ่มแม่บ้าน และประชาชนทั่วไป ผู้รับ ข้อมูลภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการการมัดย้อม ผ้าสี ธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ แบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ระดับความพึงพอใจจากผลที่ให้ความรู้โครงงานสังคมศึกษา เรื่อง “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” เป็นแบบระดับความพึงพอใจประมาณค่า 5 ระดับคือ 5 4 3 2 1 ตามลําดับ ตอนที่ 3 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ


23 3. ขั้นตอนและวิธีการด าเนินงาน 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการการมัดย้อม ผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟเพื่อเป็นกรอบแนวคิดในการทํา โครงงานสร้างแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบสํารวจความพึงพอใจ 3.2 ประชุมวางแผน ศึกษาข้อมูล ปรึกษาหารือกรอบแนวคิดในการจัดทําโครงงาน 3.2 เขียนเค้าโครงโครงงาน กําหนดกิจกรรม กําหนดปฏิทินการปฏิบัติงาน กําหนดกลุ่มเปูาหมาย 3.3 ประชาสัมพันธ์โครงงานผ่านการจัดทําคลิปวิดีโอลงโซเชียล 3.4 ดําเนินกิจกรรมตามแผนการดําเนินงาน 3.5 สรุปและรายงานผลการดําเนินงาน


24 4. แผนการปฏิบัติงาน ตารางที่ 3.1 แสดงแผนการปฏิบัติงาน วัน/เดือน/ปี กิจกรรม ผลการด าเนินงาน สถานที่ 10 พ.ค. 2565 ประชุม ปรึกษาหารือ กําหนด ประเด็นการจัดทําโครงงาน - ประเด็นการจัดทําโครงงาน เรื่อง “ปูาสอนหลาน สืบ สานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อม ลาวาขุนหาญ” - แบ่งหน้าที่คณะทํางาน ศึกษาประเด็นหลักเพื่อ กําหนดชื่อเรื่องโครงงาน - ได้ชื่อเรื่องในการจัดทํา ห้องห้องอาเซียน ศึกษา 12 พ.ค. 2565 - ประชุมรายงานความคืบหน้า ในการสืบค้นข้อมูล และ ดําเนินการเขียนเค้าโครงของ โครงงาน โครงงาน “ปูาสอนหลาน สืบ สานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อม ลาวาขุนหาญ” - ได้เค้าโครงงาน อาเซียนศึกษา 13 พ.ค. 2565 - สืบค้นข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ ภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อม ผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟและ ขั้นตอนวิธีการการมัดย้อมผ้าสี ธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ - ได้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ ภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสี ย้อมผ้าธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการ การมัดย้อม ผ้าสีธรรมชาติ จากดินภูเขาไฟ เพื่อเป็น แนวทางในการ ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ นักเรียนในโรงเรียนและ ประชาชนทั่วไป - จัดพิมพ์เอกสารเพื่อเป็น ข้อมูลสารสนเทศ - อินเตอร์เน็ต


25 ตารางที่ 3.1 แสดงแผนการปฏิบัติงาน (ต่อ) วัน/เดือน/ปี กิจกรรม ผลการด าเนินงาน สถานที่ 17 พ.ค. 2566 – 10 มิ.ย. 2566 - ปฏิบัติหน้าที่เรียนรู้สืบค้นหา ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง ภูมิ ปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้า ธรรมชาติจากดินภูเขาไฟและ ขั้นตอนวิธีการการมัดย้อมผ้าสี ธรรมชาติจากดินภูเขาไฟจาก กลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้าน กระมัลพัฒนา - ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวิธีการ สกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการการ มัดย้อมสีธรรมชาติจากดินภูเขา ไฟผ่านสื่อโซเชียลหลังกิจกรรม เสร็จสิ้น - คณะผู้จัดทําโครงงานได้รับ ทราบข้อมูลเกี่ยวกับภูมิ ปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อม ผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ และขั้นตอนวิธีการการมัด ย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟ - ศูนย์แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญากลุ่ม แม่บ้านทอผ้าสิริ ลาวาบ้านกระมัล พัฒนา - เผยแพร่ความรู้ ผ่านสื่อโซเชียล 18-30 มิ.ย. 2566 - เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถามเพื่อสืบค้นหา ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิปัญญาและ วิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติ จากดินภูเขาไฟและขั้นตอน วิธีการการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติ จากดินภูเขาไฟ - เก็บรวบรวมข้อมูลสัมภาษณ์ จากกลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวา บ้านกระมัลพัฒนา - คณะผู้จัดทําโครงงานเก็บ รวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถาม - สรุปข้อมูลความพึงพอใจ นักเรียนผลจากการที่ได้รับ ความรู้เกี่ยวกับวิธีการสกัดสี ย้อมผ้าธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟและขั้นตอนวิธีการ การมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติ จากดินภูเขาไฟห้องอาเซียน


26 ตารางที่ 3.1 แสดงแผนการปฏิบัติงาน (ต่อ) วัน/เดือน/ปี กิจกรรม ผลการด าเนินงาน สถานที่ 1 ก.ค. 2566 ปฏิบัติหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อศึกษา หาความรู้วิธีการและขั้นตอนการ มัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟจากกลุ่มแม่บ้านทอผ้า สิริลาวาบ้านกระมัลพัฒนา ตําบลโพธิ์วงศ์อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ได้เรียนรู้วิธีการและขั้นตอน การมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติ จากดินภูเขาไฟจากกลุ่ม แม่บ้านทอผ้าสิริลาวาบ้าน กระมัลพัฒนา ตําบลโพธิ์วงศ์ อําเภอขุนหาญ จังหวัด ศรีสะเกษ แหล่งเรียนรู้ภูมิ ปัญญาการมัดย้อม ย้อมผ้าสีลาวาบ้าน กระมัลพัฒนา ตําบลโพธิ์วงศ์ อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ 5 ก.ค. 2566 จัดทําคลิปวิดีโอให้ความรู้ เกี่ยวกับวิธีการและขั้นตอนการ มัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟด้วยการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ผ่านช่องทาง Facebook และโซเชียลอื่นๆ - กลุ่มเปูาหมายในการรับ ข้อมูลข่าวสารที่เป็น ประโยชน์กว้างมากขึ้น Facebook คณะ ผู้จัดทําโครงงาน และสื่อโซเชียล มีเดียต่าง ๆ 10-14 ก.ค. 2566 - ประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ ของคณะผู้จัดทําโครงงาน - รวบรวมข้อมูล - วิเคราะห์ข้อมูล - สรุปรายงานผล รายงานผลการดําเนิน โครงงาน “ปูาสอนหลาน สืบ สานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อม ลาวาขุนหาญ” ห้องอาเซียนศึกษา


27 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการจัดทําโครงงานสังคมศึกษา เรื่อง “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 5.1 ค่าร้อยละ (Percentage) ใช้วิเคราะห์สถานภาพของผู้ตอบแบบประเมินใช้สูตร ดังนี้ (สมบัติ ท้ายเรือคํา, 2553 : 123) เมื่อ p แทน ค่าร้อยละ F แทน จํานวนของสิ่งที่ต้องการเปรียบเทียบ N แทน จํานวนเต็มของสิ่งที่ต้องการเปรียบเทียบ 5.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สําเร็จรูป ̅ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มเปูาหมาย แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน จํานวนกลุ่มเปูาหมาย 5.3 ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน (Stand Deviation) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สําเร็จรูป √ ( ) ( ) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกําลังสอง ( ) แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกําลังสอง แทน จํานวนกลุ่มตัวอย่าง


28 บทที่ 4 ผลการด าเนินโครงงาน การจัดทําโครงงานสังคมศึกษา เรื่อง “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 2) เพื่อศึกษาวิธีการ และขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ และ 3) เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการ มัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ (ผ่านการจัดทําคลิปวิดีโอ) คณะผู้จัดทําโครงงานได้รายงานผล การศึกษา ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการศึกษาภูมิปัญญาวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ คณะผู้จัดทําโครงงานได้ทําการศึกษาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้า ธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ ขั้นตอนการเตรียมสีจากดินภูเขาไฟ เพื่อสกัดเป็นสีลาวา โดยขุดดินขึ้นมาตากแดดให้แห้ง จากนั้น นําไปตําให้ละเอียด และนําไปแช่น้ํา 1 คืน เมื่อครบกําหนดระยะเวลา ให้คนหรือกวนน้ําดินให้เข้ากัน จากนั้น ตักน้ําดินไปต้มในอุณหภูมิ 50-70 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 30 นาที จากนั้นตักน้ําดินที่ต้มแล้วไปพักใน กะละมังเพื่อเตรียมเป็นน้ําย้อมเย็น การศึกษาเรียนรู้เรื่องการมัดย้อมผ้าจากสีธรรมชาติจะทําให้เราได้เรียนรู้และทราบถึงวิธีขั้นตอนใน การย้อมเส้นทอ เส้นฝูายให้ได้สีที่มีความเข้มขึ้นและสามารถสร้างมูลค่าจากวัสดุธรรมชาติสามารถสร้าง รายได้ให้กับเราได้รวมทั้งได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับไม้มงคลทั้ง 9 ชนิดที่สามารถนําส่วนต่าง ๆ ของไม้มงคลทั้ง 9 ชนิดมาต้มเอาสีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมาย้อมสีผ้าไหม ผ้าฝูายได้เองอีกด้วย และดินภูเขาไฟที่นํามาย้อมสี ผ้าไหม ผ้าฝูายจะมีสีที่แตกต่างจากดินอื่น คือจะมีสีแดงและสีส้มอิฐ ดินภูเขาไฟลาวานอกจากจะปลูกทุเรียน สวยอย่างเดียวไม่พอยังสามารถเอามาย้อมผ้าไหม ผ้าฝูายให้ได้สีที่สวยงามและเกิดมูลค่า นอกจากจะมีผ้า แล้ว เราสามารถนํากระเป๋าผ้าด้ายดิบ หมวก ที่คาดผม มาย้อมสีลาวา ย้อมสีเขียว ที่ได้มาจากวัสดุธรรมชาติ คือ ใบไม้สีเขียว ได้แก่ ใบขี้เหล็ก ใบสะเดา ใบมังคุด ใบทุเรียน ใบขนุน ใบคูณ ใบสัก ใบเพกา ประดู่ จําพวก นี้ เป็นใบที่มีรสเปรี้ยว ขม ฝาดและมียาง ซึ่งถือว่าเป็นไม้มงคลทั้ง 9 ชนิดทําให้สีติดเนื้อผ้าได้ดียิ่งขึ้นและยัง สามารถเผยแพร่ความรู้และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นเรื่องการมัดย้อมผ้าจากสีธรรมชาติดินภูเขาไฟให้แก่ผู้ที่ สนใจและผู้ที่ต้องการจะศึกษาได้อย่างถูกต้อง


29 ตอนที่ 2 ผลการศึกษาวิธีการและขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ คณะผู้จัดทําโครงการได้ทําการศึกษาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการมัดย้อมผ้าจากสีธรรมชาติดินภูเขาไฟ วิธีขั้นตอนการย้อมสีผ้าไหม ผ้าฝูายแนวปฏิบัติต่าง ๆ เมื่อได้ข้อมูลแล้ว จึงได้รวบรวม สรุปเป็นความรู้และนํา ความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติและนําไปเผยแพร่ความรู้ 2.1 วิธีการมัดย้อม และลงมือปฏิบัติการมัดย้อมตามขั้นตอนดังนี้ 1. ขั้นตอนการเตรียมสีจากดินภูเขาไฟ เพื่อสกัดเป็นสีลาวา โดยขุดดินขึ้นมาตากแดดให้ แห้ง จากนั้นนําไปตําให้ละเอียด และนําไปแช่น้ํา 1 คืน เมื่อครบกําหนดระยะเวลา ให้คนหรือกวนน้ําดินให้ เข้ากัน จากนั้นตักน้ําดินไปต้มในอุณหภูมิ 50-70 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 30 นาที จากนั้นตักน้ําดินที่ต้มแล้ว ไปพักในกะละมังเพื่อเตรียมเป็นน้ําย้อมเย็น 2. ขั้นตอนการเตรียมผ้าก่อนย้อม นําผ้าที่จะทําการมัดย้อมไปแช่น้ําประจุบวก ใช้เวลา 30 นาที 3. นําผ้าที่แช่น้ําประจุกบวกเสร็จแล้วมาทําการมัดตามลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายก้นหอย ลายหินอ่อน ลายดอกไม้ เป็นต้น 4. จากนั้นนําผ้าที่มัดแล้วไปย้อมเย็นในกะละมังที่ได้เตรียมน้ําดินไว้แล้ว โดยใช้มือบีบ เพื่อให้น้ําสีดินซึมเข้าเนื้อผ้าให้มากที่สุดประมาณ 5-10 ครั้ง จากนั้นแช่น้ําย้อมเย็นไว้ 20 นาที 5. จากนั้นนําผ้าที่ย้อมเย็นไปต้มในน้ําดินที่อุณหภูมิ 50-70 องศาเซลเซียส เพื่อย้อมร้อน ใช้ เวลา 40 นาที โดยจะต้องคนผ้าเป็นระยะ ๆ 6. เมื่อผ้ามัดย้อมผ่านการย้อมร้อนครบตามระยะเวลากําหนดแล้ว ให้นําผ้าขึ้นจากหม้อเพื่อ นําไปล้างน้ําสะอาด จํานวน 3 น้ํา น้ําที่ 4 เติมน้ํายาล้างจาน 2 ช้อน ล้างให้ฟองหมดประมาณ 9-10น้ํา 7. เมื่อล้างผ้าเสร็จแล้วให้นํามาแช่ในน้ําสารส้มไว้ 30 นาที 8. จากนั้นนําผ้าไปปั่นให้หมาด นํามาแกะอุปกรณ์การมัดออก และนําไปตากให้แห้ง ก็จะได้ ผ้ามัดย้อมลวดลายต่างๆ จากการเรียนรู้ศึกษาดูงานและลงมือปฏิบัติ ทําให้เข้าใจกระบวนการมัดย้อมมากขึ้นและสามารถที่ จะเผยแพร่ความรู้หรือส่งต่อความรู้คนที่สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้ที่กลุ่มทอผ้าสิริลาวา โดยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ของกลุ่มแม่บ้านในการเป็นผู้ช่วยให้การแนะนําวิธีการ ขั้นตอน การมัด การย้อม จนได้เป็นชิ้นงานออกมา


30 2.2 วิธีขั้นตอนการย้อมสีผ้าไหม ผ้าฝ้ายแนวปฏิบัติต่าง ๆ รวบรวมข้อมูลและสรุปเป็นองค์ ความรู้ ภาพที่ 4.1 รับฟังการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับแหล่งกําเนิดของสีที่นํามาย้อมผ้า ภาพที่ 4.2 ไม้มงคล 9 ชนิด สําหรับสกัดสีและดินภูเขาไฟต้นกําเนิดสีลาวา ภาพที่ 4.3 ฝึกปฏิบัติการมัดผ้า (ชิ้นงานทดลอง) ก่อนที่จะนําไปย้อม


31 ภาพที่ 4.4 บ่อดินสําหรับนําขึ้นมาสกัดเป็นสีลาวา ภาพที่ 4.5 ขั้นตอนการเตรียมน้ําดินสีลาวาก่อนจะนําไปต้มเพื่อนําไปย้อมเย็นและย้อมร้อน


32 ภาพที่ 4.6 ขั้นตอนการย้อมร้อน ภาพที่ 4.7 ขั้นตอนการล้างน้ําและนําไปปั่นให้หมาด ภาพที่ 4.8 ผลงานจากการเรียนรู้และทดลองมัดย้อมผ้าสีลาวา


33 ตอนที่ 3 การเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ คณะผู้จัดทําโครงงานได้ทําการศึกษาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวิธีการมัดย้อม การสกัดสีดินภูเขาไฟ เมื่อได้ข้อมูลแล้ว จึงได้รวบรวม สรุปเป็นความรู้ นําไปเผยแพร่ความรู้ในการเป็นวิทยากรพี่เลี้ยง และเผยแพร่ ความรู้เป็นคลิปวิดีโอเผยแพร่ผ่านช่องทาง youtube, line และ facebook และข้อมูลเป็นสาธารณะให้ทุก คนได้เห็นข้อมูลและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการมัดย้อม 3.1 เป็นวิทยากรพี่เลี้ยง ภาพที่ 4.9 ปฏิบัติหน้าที่เป็นวิทยากรให้กับนักเรียน ภาพที่ 4.10 ฐานให้ความรู้ที่ 1 บ่อดินศรีลาวา


34 ภาพที่ 4.11 ฐานให้ความรู้ที่ 2 การหมักดิน ภาพที่ 4.12 ฐานให้ความรู้ที่ 3 การเตรียมน้ําย้อมร้อนและเย็น ภาrที่ 4.13 ฐานให้ความรู้ที่ 4 การมัดลายเสื้อ


35 ภาพที่ 4.14 ฐานให้ความรู้ที่ 5 การแช่น้ําประจุบวก ภาพที่ 4.15 ฐานให้ความรู้ที่ 6 การย้อมเย็น ภาพที่ 4.16 ฐานให้ความรู้ที่ 7 การย้อมร้อน


36 ภาพที่4.17 ล้างน้ําทําความสะอาด ภาพที่4.18 นําผ้าที่ผ่านการบล็อคสีครบ 20 นาทีแล้วนําไปปั่นแห้ง


37 ภาพที่ 4.19 แกะอุปกรณ์ที่มัดผ้าจะได้ผ้าตามลายที่เรามัดไว้ 3.2 จัดท าคลิปวิดีโอเผยแพร่ความรู้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย (Facebook, line, YouTube) โดยท า คลิปวิดีโอเผยแพร่ผ่านแอพลิเคชัน Canva คณะผู้จัดท าได้ถ่ายทอดวิธีการท าผ้ามัดย้อม ภาพที่ 4.20 ภาพเผยแพร่ความรู้ผ่าน Facebook เพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อ สาธารณชน


38 ภาพที่ 4.21 กิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจาก ดินภูเขาไฟผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย (Facebook, line, YouTube) โดยทําคลิปวิดีโอเผยแพร่ผ่านแอพลิ เคชั่น Canva


39 4. ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้รับข้อมูล ตารางที่ 4.1 แสดงร้อยละข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ข้อมูลทั่วไป จ านวน ร้อยละ เพศ ชาย หญิง 6 21 22.22 77.78 รวม 27 100 จากตารางที่ 4.1 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามความพึงพอใจเป็นเพศชาย จํานวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 22.22 เพศหญิง จํานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 77.78


40 ตารางที่ 4.2 แสดงค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของผู้รับข้อมูลภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติ จากดินภูเขาไฟ ข้อ ที่ รายการ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ความหมาย 1 การเตรียมตัวและความพร้อมของวิทยากร 4.36 0.65 มาก 2 ความสามารถในการอธิบายเนื้อหาได้ชัดเจน 4.31 0.72 มาก 3 ใช้ภาษาที่เหมาะสมและเข้าใจง่าย 4.23 0.64 มาก 4 การตอบคําถามของวิทยากร 4.12 0.75 มาก 5 การถ่ายทอดความรู้ของวิทยากร 4.23 0.75 มาก 6 สถานที่สะอาดและมีความเหมาะสม ในการทํากิจกรรม 4.12 0.85 มาก 7 วัสดุอุปกรณ์ในการปฏิบัติมีความพร้อม 4.04 0.72 มาก 8 ระยะเวลาในการปฏิบัติมีความเหมาะสม 3.71 0.68 มาก 9 ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการมัดย้อมก่อนมา เรียนรู้ 3.38 1.27 ปานกลาง 10 ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการมัดย้อมหลังมา เรียนรู้ 3.92 0.55 มาก 11 ท่านสามารถถ่ายทอดและเผยแพร่ความรู้ที่ได้ เรียนรู้ให้คนอื่นได้ 3.56 0.64 มาก รวม 4.08 0.79 มาก จากตารางที่ 4.2 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ย 4.08 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจในประเด็นการเตรียมตัว และความพร้อมของวิทยากร รองลงมา คือ ความสามารถในการอธิบายเนื้อหาได้ชัดเจนและใช้ภาษาที่ เหมาะสมและเข้าใจง่าย และการถ่ายทอดความรู้ของวิทยากร อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.36 4.31 และ 4.23 ตามลําดับ


41 บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย และขอเสนอแนะ การจัดทําโครงงานสังคมศึกษา เรื่อง “ปูาสอนหลาน สืบสานภูมิปัญญา ผ้ามัดย้อมลาวาขุนหาญ” มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ 2) เพื่อศึกษาวิธีการ และขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ และ 3) เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการ มัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ (ผ่านการจัดทําคลิปวิดีโอ) กลุ่มเปูาหมายคือ นักเรียนโรงเรียนไพร ธรรมคุณวิทยา จํานวน 450 คน กลุ่มแม่บ้านทอผ้าสิริลาวา บ้านกระมัลพัฒนา จํานวน 20 คน และ ประชาชนทั่วไป เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินความพึง พอใจในการถ่ายทอดความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการพรรณนาโวหาร 1. สรุปผลการศึกษา 2. อภิปรายผล 3. ขอเสนอแนะ สรุปผลการศึกษาพบว่า 1. ผลจากการศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้าธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ พบว่า สีที่ได้จาก การสกัดสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟสามารถนํามาย้อมได้ทั้งแบบย้อมร้อนและแบบย้อมเย็นสีธรรมชาติเป็นสี ที่ต้องอาศัยสารช่วยในการกระตุ้นช่วยให้สีออกเร็วและให้สีติดแนบกับเส้นไหมทําให้สีไม่ตกเวลาซัก ใช้น้ํา ประจุบวกเป็นสารช่วยสีติด 2. ผลการศึกษาวิธีการและขั้นตอนการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ พบว่า การย้อมโดยใช้ สารช่วยสีติด (Mordant dyeing) การย้อมด้วยวิธีนี้เป็นการย้อมแบบใช้สารช่วยสีติด หรือสารช่วยย้อมสาร จะทําหน้าที่ช่วยให้การยึดติดเส้นใยกับสีย้อมได้ดีขึ้นโดยเมื่อแช่หรือต้มเส้นใย น้ําประจุบวกจะเกิดปฏิกิริยาสี ย้อมจะซึมเข้าไปทําให้สีที่ได้จากการย้อมมีความคงทนไม่ตกสีหรือซีดง่าย นอกจากนี้ยังมี น้ําสารส้ม น้ําสีสนิม เป็นต้น 3. จากการสอบถามความพึงพอใจของผู้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจาก ดินภูเขาไฟ พบว่า นักเรียนที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ โดยส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในประเด็นการเตรียมตัวและความพร้อมของวิทยากร รองลงมา คือ ความสามารถในการอธิบายเนื้อหาได้ชัดเจนและใช้ภาษาที่เหมาะสมและเข้าใจง่าย และการถ่ายทอดความรู้ ของวิทยากร อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.36 4.31 และ 4.23 ตามลําดับ


42 อภิปรายผล ความพึงพอใจของผู้ตอบแบบสอบถามในเรื่องการศึกษาภูมิปัญญาและวิธีการสกัดสีย้อมผ้า ธรรมชาติจากดินภูเขาไฟจากการสอบถามความพึงพอใจของผู้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการมัดย้อมผ้าสี ธรรมชาติจากดินภูเขาไฟ พบว่า นักเรียนที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติจากดิน ภูเขาไฟ โดยส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในประเด็นการเตรียมตัวและความพร้อมของวิทยากร รองลงมา คือ ความสามารถในการอธิบายเนื้อหาได้ชัดเจนและใช้ภาษาที่เหมาะสมและเข้าใจง่าย และการถ่ายทอดความรู้ ของวิทยากร อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.36 4.31 และ 4.23 ตามลําดับ ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการออกแบบลวดลายใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ําแบบเดิม และสร้างลวดลายเฉพาะให้เป็นเอกลักษณ์ ของชุมชน โดยเทคนิควิธีการย้อมสีธรรมชาติจากพืชชนิดอื่น ๆ ที่มีจํานวนมากในชุมชน เพื่อเพิ่มมูลค่าของ การมัดย้อมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 2. วิธีการผลิตผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟสีลาวาให้มีสีเข้มหรืออ่อนขึ้นอยู่กับปริมาณเวลา ในการต้มถ้าจํานวนมากขึ้นหรือต้มโดยใช้เวลามากขึ้นจะทําให้ได้สีที่มีความเข้มมากขึ้น 3. เทคนิควิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของสีธรรมชาติจากดินภูเขาไฟสีลาวากับน้ําประจุบวกและสารส้ม ทําให้สีติดกับผ้าดีขึ้นและเพิ่มความคงทนให้กับสี 4. การสร้างหรืออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยเฉพาะการย้อมสีผ้าจากธรรมชาติให้คงอยู่อย่างยั่งยืน นั้น ควรจัดกิจกรรมเพื่อปลุกจิตสํานึกให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงคุณค่าแก่นสาระและความสําคัญของภูมิ ปัญญาท้องถิ่นหรือส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมตามประเพณีและวัฒนธรรมต่าง ๆ สร้างจิตสํานึกของ ความเป็นคนท้องถิ่นนั้น ๆ ที่จะต้องร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นร่วมกันรวมทั้ง สนับสนุนให้มีการเผยแพร่องค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อแสดงสภาพชีวิตและความเป็นมาของการผลิตผ้า ย้อมสีธรรมชาติของชุมชนอันจะสร้างความรู้และความภูมิใจในชุมชนท้องถิ่นด้วย


Click to View FlipBook Version