The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก กลุ่ม 4 ED 41103 สารัตถะพุทธปรัชญา ในพระไตรปิฎก ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีธรรมาโศกราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Krubank.kasom, 2023-08-19 01:14:34

หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก กลุ่ม 4

หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก กลุ่ม 4 ED 41103 สารัตถะพุทธปรัชญา ในพระไตรปิฎก ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีธรรมาโศกราช

หลักธรรม ลั สำ คัญในพระไตร คั ปิฎก เสนอ พระครูวินัย นั ธรวุฒิชัย ชั ชยวุฑฺโฑฺฒ,(เพ็ช พ็ รทองมา) ดร. รายวิชา ED41103 สัม สั มนาสารัต รั ถะในพระไตรปิฎก มหาวิทยาลัย ลั มหามกุฎกุ ราชวิทยาลัย ลั วิทยาเขตศรีธรรมโศกราช


สมาชิก โครงการที่เสร็จสิ้น สิ้ ไปแล้ว ล้ นางสาวอาภรณ์ศิ ณ์ ศิ ริ ปะติเต รหัส หั นัก นั ศึกษา 6620640432029 นางสาวภัท ภั ธิรา พุทธเจริญ รหัส หั นัก นั ศึกษา 6620640432021 นางสาวภรพณา สุขใส รหัส หั นัก นั ศึกษา 6620640432007 นายวีรชัย ปานการ ชั รหัส หั นัก นั ศึกษา 6620640432002 นางสาวพัตราภร พั ณ์ กง ณ์ ล้ำ เลิศ รหัส หั นัก นั ศึกษา 6620640432010


ความหมายของพระไตรปิฎก พระไตรปิฏก แปลว่า 3 คัม คั ภีร์ เมื่อ มื่ แยกเป็นคำ ๆ ว่า พระ + ไตร + ปิฏก คำ ว่า "พระ" เป็นคำ แสดงความเคารพหรือยกย่อง คำ ว่า "ไตร" แปลว่า สาม คำ ว่า "ปิฏก" แปลได้ 2 อย่าง คือ แปลว่า คัม คั ภีร์ หรือแปลว่า กระจาด ตะกร้า ร้ ดัง ดั นั้น นั้ พระไตรปิฏก จึงหมายถึง ถึ สิ่ง สิ่ ที่ร ที่ วบรวมคำ สั่ง สั่ สอนของพระพุทธเจ้า จ้ ไว้เ ว้ป็นหมวดหมู่ไม่ให้ก ห้ ระจัด จั กระจาย คล้า ล้ ยกระจาดหรือตะกร้า ร้ อัน อั เป็นภาชนะ ใส่ของนั้น นั้ เอง


พระสุตตัน ตั ตปิฏก พระอภิธรรมปิฏก พระธรรมวินัย นั 3 หมวด พระวินัย นัปิฏก คัมภีร์ ภีร์ ว่าด้วยวินัยหรือ ศีล ศี ของภิก ภิ ษุ ภิก ภิ ษุณี 8 เล่ม คัมภีร์ ภีร์ ว่าด้วยพระธรรมเทศนา ทั่ว ทั่ไป มีปมี ระวัติ และท้องเรื่อง ประกอบ เน้นความสำ คัญในสมาธิ คือการพัฒนาด้านจิตใจ 25 เล่ม คัมภีร์ ภีร์ ว่าด้วยหลักธรรม และ คำ อธิบ ธิ าย ที่เ ที่ป็นเนื้อหา วิชาการล้วนๆ ไม่มีปมี ระวัติ และท้องเรื่องประกอบ 12 เล่ม พ.ศ.2468 ในสมัย มั รัช รั กาลที่ 7 ได้โด้ปรดเกล้า ล้ ฯให้ตี ห้ตี พิม พิ พ์ใพ์ หม่เป็นพระไตรปิฎกฉบับ บั ที่ส ที่ มบูรณ์ เพื่อ พื่ อุทิ อุ ทิ ศถวายพระราชกุศ กุ ลแด่รัช รั กาลที่ 6 เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับ บั สยามรัฐ รั มีจำ นวนจบละ 45 เล่ม ซึ่งได้ถื ด้ อ ถื เป็นหลัก ลัในการจัด จั แบ่งเล่มพระไตรปิฎกในประเทศไทยสืบมาจนปัจจุบัน บั


หลัก ลั ธรรมสำ คัญ คั ในพระไตรปิฎก ด้า ด้ นการศึกษา ด้า ด้ นชีวิต ด้า ด้ นสัง สั คม ด้า ด้ นการประพฤติตน ด้า ด้ นเศรษฐกิจ หลัก ลั ธรรมที่ค ที่ วรรู้ อริยสัจ สั 4 ปฏิจจสมุปบาท ไตรลัก ลั ษณ์


หลัก ลั ธรรมที่เ ที่ กี่ย กี่ วข้อ ข้ ง 1. อริยสัจ 4 สั 2. ปฏิจจสมุปบาท 3. ไตรลักษ ลั ณ์ หลัก ลั ธรรมในพระไตรปฎก 1 ด้า ด้ นการศึกษา


1.อริยสัจ สั 4 อริยสัจ สั 4 คือ ความจริงอัน อัประเสริฐ 4 ประการ ที่พ ที่ ระสิทธัต ธั ถะทรงค้น ค้ พบก่อนตรัส รั รู้ เป็นพระพุทธเจ้า จ้


1.อริยสัจ สั 4 1.ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มนุษย์ทุ ย์ ทุ กคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใผู้ หญ่ ต่างก็มีความทุกข์ด้ ข์ ว ด้ ยกัน กั ทั้ง ทั้ นั้น นั้ ความทุกข์จึ ข์จึ งเกิดขึ้นกับ กัใครก็ได้ การมีอยู่ของทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายล้ว ล้ นเป็นทุกข์ ความโศกเศร้า ร้ ความโกรธ ความริษยา ความวิตกกัง กั วล ความกลัว ลั ความผิด ผิ หวัง วั ความยึด ยึ มั่น มั่ ถือ ถื มั่น มั่ หรือยึด ยึ ติดในขัน ขั ธ์ ๕ ล้ว ล้ นเป็นทุกข์


1.อริยสัจ 4 สั 2. สมุทัย ทั คือความจริงที่ว่ ที่ ว่ าด้ว ด้ ยเหตุเกิดแห่งความทุกข์ เพราะ ความทุกข์ห ข์ รือปัญหาต่างๆ ที่เ ที่ กิดขึ้น มีสาเหตุเกิดจาก อะไรบางอย่างไม่ได้เ ด้ กิดขึ้นลอยๆโดยไม่มีสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเปลวเพลิงแห่งตัณ ตั หา ความโกรธ อิจฉา ริษยา ความโศกเศร้า ร้ ความกลัว ลั


1.อริยสัจ 4 สั 3. นิโนิ รธ คือ ความดับ ดั ทุกข์ห ข์ รือดับ ดัปัญหาต่างๆ การเข้า ข้ใจความจริงของชีวิตนำ ไปสู่การดับ ดั ความโศกเศร้า ร้ ทั้ง ทั้ มวล จะนำ ไปสู่ความสงบและความเบิก บิ บาน


1.อริยสัจ 4 สั 4. มรรค คือ ข้อ ข้ปฏิบัติ บัติ ที่ทำ ที่ ทำ ให้พ้ ห้ น พ้ จากความทุกข์ห ข์ รือ ปัญหาต่างๆ (วิธีการแก้ปัก้ปั ญหาของทุกข์)ข์ อัน อัได้แ ด้ ก่ มรรค 8 ซึ่งได้รั ด้ บ รั การหล่อเลี้ยงในการดำ รงชีวิต อย่างมีสติ นำ ไปสู่สมาธิและปัญญาซึ่งจะปลดปล่อย ให้พ้ ห้ น พ้ จากความทุกข์ทั้ ข์ ทั้ ง ทั้ปวง


2.ไตรลักษ ลั ณ์ ไตรลัก ลั ษณ์ แปลว่า "ลัก ลั ษณะ 3 อย่าง" หมายถึง ถึ สามัญ มั ลัก ลั ษณะ หรือลัก ลั ษณะที่เ ที่ สมอกัน กั หรือข้อ ข้ กำ หนด หรือสิ่ง สิ่ ที่มี ที่ มี ประจำ อยู่ในตัว ตั ของสัง สั ขารทั้ง ทั้ปวงเป็นธรรมที่ พระพุทธเจ้า จ้ได้ต ด้ รัส รั รู้ 3 อย่าง


2.ไตรลักษ ลั ณ์ 1. อนิจ นิ จตา (อนิจ นิ จลัก ลั ษณะ) อาการไม่เที่ย ที่ ง อาการไม่คงที่ อาการไม่ยั่งยืน อาการที่เ ที่ กิด กิ ขึ้น ขึ้ แล้วเสื่อ สื่ มและสลายไป อาการที่ แสดงถึง ถึ ความเป็นสิ่ง สิ่ไม่เที่ย ที่ งของขัน ขั ธ์


2.ไตรลักษ ลั ณ์ 2. ทุกขตา (ทุกขลัก ลั ษณะ) อาการเป็นทุกข์ อาการที่ถูที่ถู กบีบ บี คั้น คั้ ด้ว ด้ ยการเกิดขึ้น และสลายตัว ตั อาการที่กที่ดดัน ดั อาการฝืนและขัด ขั แย้ง ย้ อยู่ในตัว ตั เพราะปัจจัย จั ที่ปที่รุงแต่งให้มี ห้ มี สภาพเป็นอย่างนั้น นั้ เปลี่ยลี่นแปลงไป จะทำ ให้ค ห้ งอยู่ในสภาพนั้น นั้ไม่ได้ อาการที่ไที่ม่สมบูรณ์ มีความ บกพร่องอยู่ในตัว ตั อาการที่แที่สดงถึง ถึ ความเป็นทุกข์ข ข์ องขัน ขั ธ์


2.ไตรลักษ ลั ณ์ 3. อนัต นั ตา (อนัต นั ตลัก ลั ษณะ) สิ่ง สิ่ ที่ไที่ ม่ใช่ตัว ตั ตน อาการที่ไที่ ม่มีตัว ตั ตน อาการที่ แสดงถึง ถึ ความไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ใน อำ นาจควบคุมของใคร สภาพการไม่มีตัว ตั ตนที่ไที่ ม่ เที่ย ที่ งแท้แ ท้ น่นอน


3.ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่แ ที่ สดงกฎของธรรมชาติ ถึง ถึ ความเป็นเหตุเป็นผล และความเกี่ย กี่ วเนื่อ นื่ งสัม สั พัน พั ธ์กั ธ์ น กั จนเป็นผลให้เ ห้ กิดทุกข์ และ แสดงเหตุที่ทำ ที่ ทำ ให้ทุ ห้ ทุ กข์นั้ ข์ นั้ น นั้ ดับ ดั ลงไป เช่น ทุกข์เ ข์ กิดขึ้นเพราะ มีปัจจัย จั 12 เรื่อ รื่ งเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่อ นื่ งกัน กั มาตามลำ ดับ ดัโดยทุกข์ ที่ว่ ที่ ว่ านี้ คือทุกข์ช ข์ นิด นิ ที่ดั ที่ บ ดั หรือทำ ลายลงไปได้ นั่น นั่ ก็คือ อุป อุ าทานทุกข์ นั่น นั่ เอง วงจรกระบวนธรรมของการเกิดขึ้นและดับ ดัไปรแห่งทุกข์


3.ปฏิจจสมุปบาท อวิชชา คือ ความไม่รู้ ไม่รู้ต รู้ ามเป็นจริง การไม่ใช้ปัช้ปั ญญาพินิ พิ จ นิ พิจ พิ ารณาในขณะที่ป ที่ ระสบสถานการณ์นั้ ณ์ นั้ น นั้ ๆ จึงคิด ปรุงแต่งไปต่างๆ เดาเอาบ้า บ้ ง คิดวาดภาพเอาเอง ต่างๆ ฟุ้งเฟ้อวุ่นวายไปบ้า บ้ ง นึก นึ เห็นมั่น มั่ หมาย ไปตามความเชื่อ ความหวาดระแวง หรือแนวนิสั นิ ย สั ของตนที่ไที่ ด้สั่ ด้ ง สั่ สมไว้บ้ ว้ า บ้ ง


3.ปฏิจจสมุปบาท สัง สั ขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง เจตน์จำ น์จำ นง จิตนิสั นิ ย สั และทุกสิ่ง สิ่ ที่จิ ที่ จิ ตได้สั่ ด้ ง สั่ สมอบรมไว้ เมื่อ มื่ มีเจตนาคิดมุ่งหมายตั้ง ตั้ใจ หรือ ใจเลือกที่จ ที่ ะเกี่ย กี่ วข้อ ข้ งกับ กั สิ่ง สิ่ ใด หรือ รู้รั รู้ บ รั อะไรๆ จึงจะเกิด มีวิญญาณ คือ เห็น ได้ยิ ด้ น ยิ ได้ก ด้ ลิ่น ลิ่ รู้ร รู้ ส รู้สั รู้ ม สั ผัส ผั รู้คิ รู้คิ ดต่อเรื่อ รื่ งนั้น นั้ ๆ สิ่ง สิ่ นั้น นั้ ๆ โดยเฉพาะเจตนาจัก จั จูงนำ จิตนำ วิญญาณให้คิ ห้คิ ด ให้รั ห้ บ รั รู้ไรู้ปในเรื่อ รื่ งที่มั ที่ น มั ต้อ ต้ งการปรุงแต่ง


3.ปฏิจจสมุปบาท วิญญาณ คือ ความรู้ต่ รู้ ต่ อโลกภายนอก ต่อเรื่อรื่งราวในจิตใจ สภาพพื้น พื้ จิตใจ วิญญาณขณะนั้น นั้ ถูกปรุงแต่งให้เ ห้ป็นอย่างไร นามธรรมรูปธรรม ทั้ง ทั้ หลายที่แที่สดงตัว ตั ออกมาร่วมงานในขณะนั้น นั้ ๆ ก็จะมีทำ นองเดียวกัน กั หรือ พลอยมีคุณสมบัติ บัติ อย่างนั้น นั้ไปด้ว ด้ ย เช่นเมื่อมื่วิญญาณ ประกอบ ด้ว ด้ ยสัง สั ขารจำ พวกโกรธ เป็นตัว ตัปรุงแต่ง สัญ สั ญาที่อที่อกโรงด้ว ด้ ย ก็จะ เป็นสัญ สั ญาเกี่ยกี่วกับ กั ถ้อ ถ้ ยคำ หยาบคาย คำ ด่า รูปธรรม เช่น หน้า น้ ตาก็ จะบูดบึ้ง บึ้ กล้า ล้ มเนื้อ นื้ เขม็ง เวทนาก็บีบ บี คั้น คั้ เป็นทุกข์ เป็นต้น ต้ เมื่อมื่วิญญาณเป็นไปในสภาพอย่างใดซ้ำ บ่อย ก็จะเป็นลัก ลั ษณะกายใจ จำ เพาะตัว ตั ที่เที่รียกว่าบุคลิกภาพอย่างนั้น นั้


3.ปฏิจจสมุปบาท นามรูป คือ องคาพยพ ส่วนประกอบของชีวิต ทั้ง ทั้ กายและใจ เมื่อ มื่ นามรูปตื่นตัว ตั ทำ งานพร้อ ร้ มอยู่ในรูปแบบ ลัก ลั ษณะ หรือ ทิศทาง อย่างใดอย่างหนึ่ง นึ่ นั้น นั้ มัน มั ต้อ ต้ งอาศัย ศั บริการของอายตนะใดๆ เป็นสื่อ สื่ ป้อนความรู้ห รู้ รือเป็นช่องทางดำ เนิน นิ พฤติกรรม อายตนะนั้น นั้ ๆ ก็จะถูกปลุก ลุ เร้า ร้ให้พ ห้ ร้อ ร้ ม ในการทำ หน้า น้ ที่


3.ปฏิจจสมุปบาท สฬายตนะ คือ สื่อแ สื่ ห่งการรับ รั รู้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่ออายตนะ มื่ ต่างๆ มี ผัสสะ การ ผั รับ รั รู้รั รู้ บ รั อารมณ์ด้ ณ์ าน ด้ ต่างๆ เหล่านั้น นั้ จึงมีได้ เมื่ออายตนะใด มื่ ทำ หน้า น้ ที่ ก็มีผัสสะ ผั คือการรับ รั รู้ รับอารม รั ณ์ โดยอา ณ์ ศัยอายตนะ ศั นั้นไนั้ ด้


3.ปฏิจจสมุปบาท ผัส ผั สะ คือ การรับ รั รู้ การติดต่อกับ กัโลกภายนอก การประสบอารมณ์เ ณ์ มื่อ มื่ มีการรับ รั รู้อ รู้ ารมณ์นั้ ณ์ นั้ น นั้ แล้ว ล้ ก็ต้อ ต้ งมีความรู้สึ รู้สึ กที่เ ที่ ป็นเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง นึ่ ไม่สุขสบาย ก็ทุกข์ ไม่สบาย หรือ ไม่ก็เฉยๆ


3.ปฏิจจสมุปบาท เวทนา คือ การรู้สึ รู้สึ กสุข ทุกข์ สบาย ไม่สบาย หรือเฉยๆ เมื่อมื่รับ รั รู้อ รู้ ารมณ์ใณ์ ด ได้ค ด้ วามสุขสบายชื่นใจ ก็ชอบใจ ติดใจ อยากได้อ ด้ ารมณ์นั้ ณ์ นั้ น นั้ เกิดเป็นกามตัณ ตั หา อยากคงอยู่ อยากเข้า ข้ อยู่ในภาวะที่จที่ะได้ ครอบครองเสวยสุขเวทนาจากอารมณ์นั้ ณ์ นั้ น นั้ เกิดเป็นภวตัณ ตั หา เมื่อมื่รับ รั รู้อ รู้ ารมณ์ใณ์ ด เกิดความทุกข์บี ข์ บ บี คั้น คั้ไม่สบาย ก็เกลียดชัง ชั ขัด ขัใจ อยากพรากอยากพ้น พ้ อยากกำ จัด จั ทำ ให้สู ห้ สูญหายไป เกิดเป็นวิภวตัณ ตั หา ถ้า ถ้ รู้สึ รู้สึ กเฉยๆ ก็เรื่อรื่ยๆ ซึมๆ เพลินๆ อยู่ในโมหะ และติดอยากได้สุ ด้ สุ ข เวทนาอ่อนๆ พร้อ ร้ มที่จที่ะขยายออกเป็นความอยากได้สุ ด้ สุ ขเวทนาต่อไป


3.ปฏิจจสมุปบาท ตัณ ตั หา คือ ความอยาก คือ อยากได้ อยากเป็น อยากคงอยู่ต่อไป อยากเลี่ย ลี่ ง หรือ ทำ ลายเมื่อ มื่ ความอยากนั้น นั้ แรงขึ้น ก็กลายเป็นยึด ยึ ติด ถ้า ถ้ ชอบ ก็เอาตัว ตั ตนเข้า ข้ไปผูกติด เหมือนดัง ดั เป็นอัน อั หนึ่ง นึ่ อัน อั เดียวกับ กั มัน มั ถ้า ถ้ ชัง ชั ก็เกิดความ รู้สึ รู้สึ กปะทะกระทบเหมือนดัง ดั เป็นตัว ตัปรปักษ์คู่ ษ์ คู่ กรณีกับ กั ตน อะไรเกี่ย กี่ วกับ กั สิ่ง สิ่ นั้น นั้ บุคคลนั้น นั้ หรือ ภาวะนั้น นั้ ให้รู้ ห้ รู้ สึ รู้สึ กกระทบกระแทกไปหมด


3.ปฏิจจสมุปบาท อุป อุ าทาน คือ ความยึด ยึ ติดถือ ถื มั่น มั่ ความผูกพัน พั ถือ ถื ค้า ค้ งไว้ใว้ นใจ การถือ ถื รวมเข้า ข้ กับ กั ตัว ตั เมื่อมื่มีความยึด ยึ ถือ ถื มีท่าทีต่อสิ่งสิ่บุคคล หรือภาวะอัน อัใด คนก็สร้า ร้ งภพหรือ ภาวะชีวิตของเขาขึ้นตาม ความยึด ยึ ถือ ถื หรือ ท่าทีอย่างนั้น นั้ ทั้ง ทั้ในด้า ด้ นพฤติกรรมทั้ง ทั้ หมด ตั้ง ตั้ แต่ระบบความคิด หรือ นิสั นิ ย สั ของความคิด บุคลิกภาพ ทั้ง ทั้ รูป และนามธรรมที่เที่ป็นลัก ลั ษณะหรือภาวะแห่งชีวิตของเขาในเวลา เช่น กระบวนพฤติกรรม และบุคลิกภาพของคนอยากร่ำ รวย คนชอบอำ นาจ คนชอบเด่นดัง ดั คนชอบสวยงาม คนชอบโก้เ ก้ ก๋ คนเกลียดสัง สั คม เป็นต้น ต้


3.ปฏิจจสมุปบาท ภพ คือ ภาวะชีวิตที่เที่ป็นอยู่ เป็นไป บุคลิกภาพ กระบวน พฤติกรรมทั้ง ทั้ หมดของบุคคล เมื่อมื่เกิดมีภพ ที่จที่ะเข้า ข้ อยู่เข้า ข้ ครอบครองเฉพาะตัว ตั แล้ว ล้ ก็ปรากฏตัว ตั ตน เป็นความรู้สึ รู้สึ กตระหนัก นั อัน อั ชัด ชั เจนโดยมีอาการถือ ถื หรือ ออกรับ รั ว่าเป็นเจ้า จ้ ของภพ เป็นผู้เ ผู้ สวยผล เป็นผู้ก ผู้ ระทำ เป็นผู้รั ผู้ บ รั การกระทบกระแทก เป็นผู้ช ผู้ นะ ผู้แ ผู้ พ้ เป็นผู้ไผู้ ด้ ผู้เ ผู้ สีย เป็นต้น ต้ อยู่ในภพนั้น นั้


3.ปฏิจจสมุปบาท ชาติ คือ การเกิดมีตัว ตั ที่ค ที่ อยออกรู้อ รู้ อกรับ รั เป็นผู้อ ผู้ ยู่ในภาวะ ชีวิตนั้น นั้ เป็นเจ้า จ้ ของบทบาท ความเป็นอยู่เป็นไป เมื่อ มื่ เกิดมีตัว ตั ตน เข้า ข้ อยู่ครอบครอง หรือ ภาวะชีวิต นั้น นั้ แล้ว ล้ การที่จ ที่ ะได้ปด้ ระสบความเป็นไป ทั้ง ทั้ในทาง เสื่อ สื่ มถอยด้อ ด้ ยลง ในภพนั้น นั้ เป็นความกัง กั วล ที่ทำ ที่ ทำ ให้เ ห้ กิด ความทุกข์ม ข์ าให้ไห้ ด้ต ด้ ลอดทุกเวลา


3.ปฏิจจสมุปบาท ชรน มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส นั อุป อุ ายาส คือ การประสบความเสื่อสื่ม ความไม่มั่น มั่ คง ความสูญเสียจบสิ้น แห่งการที่ตัที่ว ตัได้อ ด้ ยู่ ครอบครองภาวะชีวิตนั้น นั้ ๆ ความเศร้า ร้ เสียใจ สิ้นหวัง วั คับ คั แค้น ค้ใจ ต่างๆ คือ อาการหรือรูปของความ ทุกข์ อัน อั เป็นของเสียมีพิษ พิ ที่คั่ที่ง คั่ ค้า ค้ งหมัก มั หมม กดดัน ดั อั้น อั้ อยู่ ภายใน ซึ่งคอยจะระบายออกมา เป็นทั้ง ทั้ปัญหา และ ปมก่อปัญหาต่อๆไป ชาติ(การเกิด)ชรา ( ความถดถอย)มรณะ(การดับดั)มีโสกะ(เสียใจ)ปริเทวะ (คร่ำ ครวญ)ทุกข์ (ความไม่สบายกาย) โทมนัสนั(ความไม่สบายใจ)อุปอุ ายาส (ความเครียด)


หลัก ลั ธรรมที่เ ที่ กี่ย กี่ วข้อ ข้ ง หลัก ลั ธรรมในพระไตรปฎก 2 ด้าน ด้ ชีวิต 1. อิทธิบาท 4 2. โยนิโนิ สมนสิการ 3. ภาวนา 4


ดูกรภิกษุทั้ง ทั้ หลาย เราได้มี ด้มี การความคิดอย่างนี้ว่ นี้ว่ า ภิกษุในธรรมวินัย นั นี้ ย่อมเจริญ อิทธิบาท อัน อัประกอบด้ว ด้ ย ฉัน ฉั ทสมาธิและปธานสัง สั ขาร ดัง ดั นี้ ว่าฉัน ฉั ทะของเราจัก จัไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้อ ต้ งประคอง เกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก และเธอมีความสำ คัญ คั ในเบื้อ บื้ งหลัง ลั และเบื้อ บื้ งหน้า น้ อยู่ว่า เบื้อ บื้ งหน้า น้ ฉัน ฉัใด เบื้อ บื้ งหลัง ลั ก็ฉัน ฉั นั้น นั้ เบื้อ บื้ งหลัง ลั ฉัน ฉัใด เบื้อ บื้ งหน้า น้ ก็ฉัน ฉั นั้น นั้ เบื้อ บื้ งล่างฉัน ฉัใด เบื้อ บื้ งบนก็ฉัน ฉั นั้น นั้ เบื้อ บื้ งบนฉัน ฉัใด เบื้อ บื้ งล่างก็ฉัน ฉั นั้น นั้ กลางวัน วั ฉัน ฉัใด กลางคืนก็ฉัน ฉั นั้น นั้ กลางคืนฉัน ฉัใด กลางวัน วั ก็ฉัน ฉั นั้น นั้ เธอมีใจ เปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้ม หุ้ ห่อ อบรม จิตใจให้ส ห้ ว่างอยู่ 1. อิทธิบาท 4 ที่ม ที่ า : พระไตรปิฎกฉบับ บั หลวง เล่มที่ 19 หน้า 277 ข้อที่ 1137


1. อิทธิบาท 4 อิทธิบาท 4 หมายถึง ฐานหรือหนทาง สู่ความสำ เร็จ วิริยะ ความเพียร ฉัน ฉั ทะ ความพอใจ จิตตะ ความคิด วิมัง มั สา ความไตร่ตรอง


1.อิทธิบาท 4 กับ กั ชีวิต


2. โยนิโสมน นิ สิการ หมายถึง ถึ การทำ ในใจให้ดี ห้ดี ละเอียดถี่ถ้ ถี่ ว ถ้ น กล่าวคือ การพิจ พิ ารณาอย่าง รอบคอบถี่ถ้ ถี่ ว ถ้ น ทางพุทธศาสนาถือ ถื ว่ามีคุณค่าเท่ากับ กั ความไม่ประมาทหรือ "อัปอั มาท" ซึ่งเป็นแหล่งรวม แห่งธรรมฝ่ายดีหรือ "กุศ กุ ลธรรม" ทั้ง ทั้ปวง ดัง ดัปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม 19 สัง สั ยุต ยุ ตนิก นิ าย มหาวารวรรค ข้อ ข้ 464 หน้า น้ 129 นอกจากนั้น นั้ ยัง ยั จัด จั เป็นธรรมะข้อ ข้ หนึ่ง นึ่ในกลุ่ม ลุ่ ธรรม ที่เ ที่ ป็นไปเพื่อ พื่ ความเจริญด้ว ด้ ยปัญญา และเป็นธรรมะมีอุป อุ การะมากแก่มนุษย์ดั ย์ ง ดั พรรณา ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 อัง อั คุตตรนิก นิ าย จตุกกนิบ นิ าต ข้อ ข้ 268-9 หน้า น้ 332


2.โยนิโสมน นิ สิการ กับ กั ชีวิต 1.คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย จั 2.คิดแบบแยกส่วน 3.คิดแบบสามัญ มั ญลัก ลั ษณะ 4. คิดแบบอริยสัจ สั 5.คิดแบบอรรถธรรมสัม สั พัน พั ธ์ 6.คิดแบบพิจ พิ ารณาคุณโทษและทางออก 7.คิดแบบคุณค่าแท้คุ ท้ คุ ณค่าเทียม 8.คิดแบบเร้า ร้ คุณธรรม 9.คิดแบบปัจจุบัน บั 10.วิธีคิดแบบวิภัช ภั ชวาที


3. ภาวนา 4 ภาวนา 4 คือ การเจริญ, การทำ ให้เ ห้ป็นให้มี ห้ มี ขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒ พั นา 1. 2. 3. 4. การเจริญศีล พัฒ พั นาความประพฤติ การฝึกอบรมศีล ให้ตั้ ห้ ตั้ ง ตั้ อยู่ในระเบีย บี บวินัย นั กายภาวนา สีลภาวนา การเจริญกาย พัฒ พั นากาย การฝึกอบรมกาย จิตภาวนา การเจริญจิต พัฒ พั นาจิต การฝึกอบรมจิตใจ ให้เ ห้ ข้ม ข้ แข็งมั่น มั่ คงเจริญงอกงาม การเจริญปัญญา พัฒ พั นาปัญญา การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้ ห้ รู้ เ รู้ ข้า ข้ใจสิ่ง สิ่ ทั้ง ทั้ หลายตามเป็นจริง ปัญญาภาวนา


หลัก ลั ธรรมที่เ ที่ กี่ย กี่ วข้อ ข้ ง หลัก ลั ธรรมในพระไตรปฎก 3 ด้า ด้ นสัง สั คม 1.สัง สั คหวัต วั ถุ 4 2.พรหมวิหาร 4 3.สาราณียธรรม 6


1. ทาน คือ การให้ การแบ่งปัน ความเอื้อเฟื้อ เผื่อ ผื่แผ่ ความเสียสละ การให้แ ห้ บ่งออกเป็น 3 ประเภท ดัง ดั นี้ 1.1 อามิสทาน 1.2 ธรรมทาน 1.3 อภัย ภั ทาน 1.สังคห สั วัต วั ถุ 4 เป็นหลัก ลั ธรรมที่ก่ ที่ ก่ อให้เ ห้ กิดความสามัค มั คีอีกหลัก ลั หนึ่ง นึ่ ที่ก ที่ ล่าวไว้ใว้ นพระพุทธศาสนาในแง่ของการมีมิตรสหาย หรือบริหารที่ดี ที่ ดี จริง พระพุทธเจ้า จ้ได้ต ด้ รัส รั รู้ถึ รู้ ง ถึ ความสำ คัญ คั ของการมีมิตรสหายที่ดี ที่ ดีไว้ใว้ น อุปั อุ ปั ฑฒสูตร ว่า ความเป็นผู้มี ผู้มี มิตรดี มีสหายดี มีเพื่อ พื่ นดี นี้เ นี้ป็นพรหมจรรย์ทั้ ย์ ทั้ ง ทั้ สิ้นทีเดียว ประกอบด้ว ด้ ย


2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้ว ด้ ยถ้อ ถ้ ยคำ ที่ไที่พเราะอ่อน หวาน พูดด้ว ด้ ยความจริงใจ ยึด ยึ ถือ ถืหลัก ลั เกณฑ์ ดัง ดั ต่อไปนี้ 2.1 เว้น ว้ จากการพูดเท็จ 2.2 เว้น ว้ จากการพูดส่อเสียด 2.3 เว้น ว้ จากการพูดคำ หยาบ 2.4 เว้น ว้ จากการพูดเพ้อ พ้ เจ้อ จ้ 1.สังคห สั วัต วั ถุ 4 3. อัต อั ถจริยา คือ การประพฤติสิ่ง สิ่ ที่เ ที่ ป็นประโยชน์ แก่บุคคลอื่น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดัง ดั นี้ 3.1 การทำ ตนให้เ ห้ป็นประโยชน์ 3.2 การทำ ในสิ่ง สิ่ ที่เ ที่ ป็นประโยชน์


4. สมานัต นั ตา คือ การวางตนสม่ำ เสมอ ทำ ตัว ตัให้เ ห้ ข้า ข้ กับ กั ผู้ อื่นได้ ให้ค ห้ วามเสมอภาค แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดัง ดั นี้ 4.1 การวางตนให้เ ห้ หมาะสมกับ กั ฐานะ ที่ต ที่ นอยู่ในสัง สั คม 4.2 การปฏิบัติ บัติ ตนอย่างเสมอต้น ต้ เสมอปลายต่อผู้อื่ ผู้อื่ น 1.สัง สั คหวัต วั ถุ 4


เป็นธรรมในการกำ กับ กั ความประพฤติ ให้มี ห้ มี ชีวิตที่ง ที่ ดงาม ประเสริฐและบริสุทธิ์ ปฏิบัติ บัติ ตนต่อมนุษย์แ ย์ ละสัต สั ว์โว์ ดยชอบ มี 4 ประการ คือ 1. เมตตา คือ ความรัก รั ความหวัง วั ดีที่ป ที่ รารถนาให้ผู้ ห้ ผู้ อื่ ผู้อื่ นมีความสุข 2. กรุณา คือ ความสงสารเห็นใจ ปรารถนาให้ผู้ ห้ ผู้ อื่ ผู้อื่ นพ้น พ้ ทุกข์ ใช้เ ช้ มื่อ มื่ มองจุดด้อ ด้ ยของคนอื่น 3. มุทิตา คือ ความรู้สึ รู้สึ กพลอยชื่นชมยิน ยิ ดีเมื่อ มื่ ผู้อื่ ผู้อื่ นได้ดี ด้ดี มีสุข 4. อุเ อุ บกขา คือ ความรู้สึ รู้สึ กวางเฉยเป็นกลางไม่ลำ เอียงเข้า ข้ ข้า ข้ งคนใดคนหนึ่ง นึ่ 2.พรหมวิหาร 4


3.สาราณียธรรม 6 เป็นหลัก ลั ธรรมที่ช่ ที่ ช่ วยให้เ ห้ กิดความสามัค มั คี 1.เมตตา กายกรรม 2.เมตตา วจีกรรม 3.เมตตา มโนกรรม 4.สาธารณโภคี 5.ศีล สามัญ มั ญตา 6.ทิฏฐิ สามัญ มั ญตา ควรแสดงออกทางกายด้ว ด้ ยความเมตตา กิริยาอาการที่สุ ที่ สุ ภาพเรียบร้อ ร้ ย อ่อนโยน ควรแสดงออกทางวาจาด้ว ด้ ยความเมตตา ด้ว ด้ ยคำ พูดที่สุ ที่ สุ ภาพน้ำ เสียงที่ไที่ พเราะ ชวนฟังบอกถึง ถึ ความหวัง วั ดีแก่กัน กั ช่วยบอกแจ้ง จ้ สิ่ง สิ่ ที่เ ที่ ป็นประโยชน์ ควรแสดงออกทางใจด้ว ด้ ยความเมตตา โดยตั้ง ตั้ จิตปรารถนาดีต่อกัน กั ไม่คิด เบีย บี ดเบีย บี นมุ่งร้า ร้ ยผู้อื่ ผู้อื่ น จะต้อ ต้ งแบ่งปันในสิ่ง สิ่ ของที่ไที่ ด้ม ด้ าโดยชอบธรรม มีความสุขในการให้ ควรมีความประพฤติ รัก รั ษาระเบีย บี บ วินัย นั มีความสุจริตทางกาย วา จา มีความประพฤติดีงามต่อกัน กั จะต้อ ต้ งมีความเชื่อมั่น มั่ ยึด ยึ มั่น มั่ ถือ ถืในหลัก ลั การ อุด อุ มการณ์ และอุด อุ มคติที่ร่ ที่ ร่ วมกัน กั ยอมรับ รั นับ นั ถือ ถื ความคิดเห็นของกัน กั และกัน กั


หลัก ลั ธรรมที่เ ที่ กี่ย กี่ วข้อ ข้ ง ปาปณิกธรรม 3 ทิฏฐธัม ธั มิกัต กั ถะ 4 โภควิภาค 4 1. 2. 3. หลัก ลั ธรรมในพระไตรปฎก 4 ด้านเศรษฐ ด้ กิจ


เปิดชีวิตผู้ห ผู้ ญิงตัว ตั เล็ก ๆ ที่สู้ ที่ สู้ ชี สู้ชี วิต จากผู้ห ผู้ ญิงธรรมดา สู้เ สู้ เม่ค้า ค้ ออนไลน์ พัน พั ล้า ล้ น


1.ปาปณิกธรรม 3 ปาปณิกธรรม คือ องค์คุ ค์ คุ ณของพ่อค้า ค้ หรือ คุณสมบัติ บัติ ของพ่อค้า ค้ ที่ดี ที่ ดี คือพ่อค้า ค้ ที่จ ที่ ะประสบความสำ เร็จ ในการค้า ค้ ขายหรือประกอบธุรกิจ ต้อ ต้ งมีองค์คุ ค์ คุ ณ 3 ประการนี้


1.ปาปณิกธรรม 3 1. จัก จั ขุมา จัก จั ขุมา ตาดี คือ ต้อ ต้ งดูของเป็น รู้จั รู้ ก จั สินค้า ค้ รู้จั รู้ ก จั คุณภาพของสินค้า ค้ สามารถคำ นวณราคา กะทุนเก็งกำ ไรได้แ ด้ ม่นยำ วางแผนได้ว่ ด้ว่ า เมื่อ มื่ ซื้อสินค้า ค้ นั้น นั้ ๆ ไปขายต่อ จะต้อ ต้ งซื้อในราคาเท่าไหร่ แล้ว ล้ เอาไปขายในราคา เท่าไหร่ จึงจะมีกำ ไร ไม่ขาดทุน


2. วิธูโร วิธูโร จัด จั เจนธุรกิจ คือ มีความสามารถในการทำ ธุรกิจ มองตลาดออก รู้ค รู้ วามเคลื่อ ลื่ นไหวของตลาด รู้ค รู้ วามต้อ ต้ งการของลูกค้า ค้ในช่วงเวลานั้น นั้ ๆ รู้จั รู้ ก จั กลุ่ม ลุ่ เป้าหมาย รู้จั รู้ ก จั แหล่ง ซื้อขาย มีความสามารถในการจัด จั ซื้อจัด จั จำ หน่าย รู้ใรู้ จลูกค้า ค้ เอาใจลูกค้า ค้ เป็น เป็นต้น ต้ 1.ปาปณิกธรรม 3


3. นิส นิ สยสัม สัปันโน นิส นิ สยสัม สัปันโน พร้อ ร้ มด้ว ด้ ยแหล่งทุนเป็นที่อ ที่ าศัย ศั คือ มีแหล่งทุนใหญ่ เป็นที่ไที่ ว้เ ว้ นื้อ นื้ เชื่อใจของแหล่ง ทุนใหญ่ ๆ สามารถหาเงินมาลงทุนและ ดำ เนิน นิ กิจการได้โด้ ดยง่าย 1.ปาปณิกธรรม 3


ใครๆก็อยากเป็นเศรษฐี ที่พร้อ ร้ มด้ว ด้ ยทรัพ รั ย์สิ ย์ สิ น เงิน ทอง มีความสุข มั่ง มั่ คั่ง คั่ หลัก ลั ธรรมที่เที่ราสามารถนำ ไปใช้เ ช้ พื่อ พื่ เป็น เศรษฐีกัน กั ไม่เเนะนำ ให้ท่ ห้ ท่ อง เเต่เเนะนำ ให้ทำ ห้ ทำ ตามนะคะ


หลัก ลั ทิฏฐธัม ธั มิกัต กั ถะ หมายถึง ถึ เป็นข้อ ข้ปฏิบัติ บัติ สำ คัญ คั ที่ทำ ที่ ทำ ให้เ ห้ กิดผล คือ ความมั่น มั่ คงทางเศรษฐกิจ ทำ ให้มี ห้ มี ทรัพ รั ย์สิ ย์สิ นเงินทอง พึ่ง พึ่ ตนเองได้ เรียกว่า ธรรมที่เ ที่ ป็นไปเพื่อ พื่ประโยชน์ปัน์ปั จจุบัน บั เคล็ดลับ ลั ความไม่จน จะต้อ ต้ งปฏิบัติ บัติ ตามหลัก ลั ธรรม 4 ประการ หรือ เรียกว่า หัว หัใจเศรษฐี โดยมีคำ ย่อคือ อุ อา กะ สะ ดัง ดั นี้ 2.ทิฏฐธัม ธั มิกัตถะ 4 กั


1 อุฏอุ ฐานะสัม สัปทา(อุ)อุ การถึง ถึ พร้อมด้วยความขยันหมั่น มั่ เพียร 3 กัล กั ยาณมิตตตา(กะ) การรู้จั รู้ จั กคบคนดีห ดี รือมีกั มี ล กั ยาณมิต มิ ร 2 อารัก รั ขสัม สัปทา(อา) การถึง ถึ พร้อมด้วยการรักษา 4 สมชีวิตา(สะ) ความเป็นอยู่พอดีห ดี รือความเป็นอยู่สมดุล 2.ทิฏฐธัม ธั มิกัตถะ 4 กั


Click to View FlipBook Version