รายงาน เรื่อง หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก จัดทำโดย นายวีรชัย ปานการ รหัสนักศึกษา 662064043002 นางสาวภรพณา สุขใส รหัสนักศึกษา 662064043007 นางสาวพัตราภรณ์กงล้ำเลิศ รหัสนักศึกษา 662064043010 นางสาวภัทธิรา พุทธเจริญ รหัสนักศึกษา 662064043021 นางสาวอาภรณ์ศิริปะติเต รหัสนักศึกษา 662064043029 เสนอ พระครูวินัยธรวุฒิชัย ชยวุฑฺโฒ,(เพ็ชรทองมา) ดร. รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาสัมมนาสารัตถะในพระไตรปิฎก รหัส ED41103 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีธรรมโศกราช
ก คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสารัตถะในพระไตรปิฎก รหัสวิชา ED 41103 ซึ่งเป็นรายวิชาพื้นฐานพระพุทธศาสนา ที่รวบรวมหลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ไว้ 5 ด้าน ได้แก่ หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านการศึกษา หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านชีวิต หลักธรรม สำคัญในพระไตรปิฎก ด้านสังคม หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านเศรษฐกิจ และหลักธรรมสำคัญใน พระไตรปิฎก ด้านการประพฤติตน ทางคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้ คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ และต้องการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเรื่องหลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก คณะผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก 1 หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านการศึกษา 2 หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านชีวิต 14 หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านสังคม 20 หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านเศรษฐกิจ 30 หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านการประพฤติตน 33 คำถาม เรื่อง หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก 41 อ้างอิง 43 ภาคผนวก 44 เอกสารการนำเสนอในรูปแบบ power point หลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา 45
1 หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า ไตรปิฎก แปลว่า ตะกร้า 3 ใบ พระไตรปิฎก มีเนื้อความทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑ ,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพราะเนื้อหา แบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ ๆ คือ 1. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยพระวินัยสิกขาบทต่าง ๆ ของภิกษุและภิกษุณี 2. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระสูตรซึ่งเป็นพระธรรมเทศนาของพระโคตมพุทธเจ้าและ พระอรหันตสาวก ที่แสดงแก่บุคคลต่างชั้นวรรณะและการศึกษา ต่างกรรมต่างวาระกัน มีทั้งที่เป็น ร้อยแก้วและร้อยกรอง 3. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยพระอภิธรรมหรือปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นธรรมะขั้นสูง อธิบายด้วยหลักวิชา ล้วนๆ โดยไม่อ้างอิงเหตุการณ์และบุคคล คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในยุคแรกเรียกว่าพระธรรมวินัย จนกระทั่งการสังคายนา ครั้ง 3 จึงแยกเนื้อที่เกี่ยวกับปรมัตถธรรมออกมาเป็นอีกหมวดหนึ่งเรียกว่าพระอภิธรรมปิฎก ในศาสนาพุทธยุคแรก แต่ละนิกายต่างมีคัมภีร์เป็นของตนเอง บางนิกายมี 5 ปิฎก บางนิกาย มี 7 ปิฎก แต่พระไตรปิฎกฉบับสมบูรณ์ที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบันมีเพียงพระไตรปิฎกภาษา บาลีของฝ่ายเถรวาทในปัจจุบันคำว่าพระไตรปิฎก ใช้หมายถึงคัมภีร์ในศาสนาพุทธโดยรวม ซึ่งมีอยู่ ทั้งสิ้น 3 สารบท ได้แก่ 1. พระไตรปิฎกภาษาบาลีใช้ในนิกายเถรวาท 2. พระไตรปิฎกภาษาจีน ใช้ในนิกายมหายาน 3. พระไตรปิฎกภาษาทิเบต ใช้ในศาสนาพุทธแบบทิเบต หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ประกอบด้วย 5 ด้าน 1. ด้านการศึกษา 2. ด้านชีวิต 3. ด้านสังคม 4. ด้านเศรษฐกิจ 5. ด้านการประพฤติตน
2 1. หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านการศึกษา 1.1 อริยสัจ 4 : อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ อันเป็นหลักคำสอนสำคัญของ พระพุทธศาสนา มีดังนี้ 1) ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็มี ความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ความทุกข์จึงเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทุกขณะ เราจึงไม่ควรประมาทและพร้อมที่จะ เผชิญหน้ากับความจริงของทุกข์นั้นๆ 1.1) ขันธ์ 5 คือ องค์ประกอบของชีวิตมี 5 ประการ - รูป คือ ส่วนประกอบของชีวิตเป็นร่างกาย รวมถึงพฤติกรรมทั้งหมดของ ร่างกาย - เวทนา คือ ความรู้สึกของกายและใจที่เกิดขึ้นต่อสิ่งที่รับรู้นั้นๆ (คือรู้ทางตาที่เกิดจากการได้ เห็น, รู้ทางหูที่เกิดจากการได้ยินได้ฟัง, รู้ทางจมูกที่เกิดจากได้กลิ่น, รู้ทางลิ้นที่เกิดจากการได้ลิ้มรส, รู้ทางกายที่ เกิดจากการได้สัมผัส, รู้ทางใจที่เกิดจากการได้คิด) มี 3 อย่าง คือ ความรู้สึกสบายกายและสบายใจ เรียกว่า สุขเวทนา ความรู้สึกไม่สบายกายและสบายใจ เรียกว่า ทุกข์เวทนา ความรู้สึกที่ไม่เป็นสุขและไม่เป็นทุกข์ เรียกว่า อุเบกขาเวทนา - สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ที่เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้สัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และนึกคิด - สังขาร คือ การที่จิตของคนเราคิดปรุงแต่งไปในทางที่ดี ทางที่ชั่ว หรือทางที่ไม่ดีและไม่ชั่ว (การคิดกลางๆ) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมทั้งทางดีและทางชั่ว หรือ เป็นแรงจูงใจหรือกระตุ้น ผลักดันให้คนเราทำกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง - วิญญาณ คือ การรับรู้อารมณ์ (ความรู้สึก)ของใจผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 การรับรู้อารมณ์ทางตา หรือ การเห็น เรียกว่า จักขุวิญญาณ การรับรู้อารมณ์ทางหู หรือ การได้ยิน เรียกว่า โสตวิญญาณ การรับรู้อารมณ์ทางจมูก หรือ การได้กลิ่น เรียกว่า ฆานวิญญาณ การรับรู้อารมณ์ทางลิ้น หรือ การลิ้มรส เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ การรับรู้อารมณ์ทางกาย หรือ การสัมผัสทางกาย เรียกว่า กายวิญญาณ การรับรู้อารมณ์ทางใจ หรือ การคิด เรียกว่า มโนวิญญาณ สรุป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า อายตนะภายในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส การนึกคิด (ธรรมารมณ์) เรียกว่า อายตนะภายนอกอายตนะ แปลว่า สิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดการรับรู้ เช่น ตาบอด จะมองไม่ เห็นรูป (สิ่งต่างๆ) เมื่อมองไม่เห็น ความรู้ที่เกิดการจากมองไม่เห็นก็จะไม่มี แต่ก็มีข้อดี คือ ความทุกข์ที่เกิดจาก ทางตาที่ได้เห็นก็จะไม่มี เป็นต้น ตา มองเห็นสิ่งที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ หู ได้ยินเสียงที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ
3 จมูกได้กลิ่นที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ ลิ้น ได้ลิ้มรสที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ กายได้สัมผัสสิ่งที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจและทางกาย ใจได้นึกคิดถึงสิ่งที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ ในทางตรงข้าม ตา มองเห็นสิ่งที่ดี เกิดความสุขทางใจ หู ได้ยินเสียงที่ดี เกิดความสุขทางใจ จมูกได้กลิ่นที่ดี เกิดความสุขทางใจ ลิ้น ได้ลิ้มรสที่ดี เกิดความสุขทางใจ กายได้สัมผัสสิ่งที่ดี เกิดความสุขทางใจและทางกาย ใจได้นึกคิดถึงสิ่งที่ดี เกิดความสุขทางใจ ฉะนั้น ความสุขและความทุกข์ของคนเรานั้นเกิดขึ้นที่กายและที่ใจ เมื่อมีการกระทำเกิดขึ้นหรือมี พฤติกรรมเกิดขึ้น และเมื่อการกระทำนั้นผ่านไปแล้ว บางทีก็ทำให้เกิดความสุขและความทุกข์ได้เช่น จดจำการ กระทำนั้นได้ และได้นึกคิดเกี่ยวกับการกระทำนั้น ทำให้เกิดความไม่พอใจ เกิดความแค้นใจ เกิดความ โศกเศร้าใจ เป็นต้น นี่เรียกว่า ความทุกข์ 2) สมุทัย (หลักธรรมที่ควรละ) สมุทัย คือ ความจริงที่ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งความทุกข์ เพราะ ความทุกข์หรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีสาเหตุเกิดจากอะไรบางอย่าง ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่ เหตุ หลักธรรมที่ควรละ เพื่อไม่ให้เกิดทุกข์ต่างๆ ที่ควรรู้ คือ 2.1) หลักกรรม (วิบัติ 4) อธิบายได้ ดังนี้ หลักกรรม หรือกฎแห่งกรรม เป็นคำสอนที่สำคัญ ของพุทธศาสนา มีใจความสั้นว่า หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วผลของกรรมมีทั้งผลชั้นใน และผลชั้นนอกผลชั้นใน หมายความว่า เมื่อใดเราทำดีเราก็เป็นคนดีเมื่อนั้น คือ ใจสงบ สะอาด ปลอดโปร่ง เมื่อใดทำชั่วก็เป็นคนชั่วเมื่อนั้น คือ จิตใจเต็มไปด้วยความโลภ ความมุ่งร้าย ความไม่สงบผ่องใส ผลชั้นนอก หมายถึง ความสุข ความทุกข์ ความเจริญ ความเสื่อม ซึ่งปัจจัยภายนอกตัวเราเป็นผู้กำหนด ทำให้ผลชั้นนอก ของกรรมไม่เป็นไปอย่างที่ควรเป็นสิ่งที่สนับสนุนให้กรรมดีให้ผล (ชั้นนอก) และขัดขวางการให้ผล (ชั้นนอก ของกรรมชั่ว เรียกว่า สมบัติสิ่งที่สนับสนุนให้กรรมชั่วให้ผล (ชั้นนอก) และขัดขวางการให้ผล (ชั้นนอก ของ กรรมดี เรียกว่า วิบัติ วิบัติ 4 คือ ความบกพร่อง 4 ประการ ดังนี้ - คติวิบัติ คือ เกิดอยู่ในภพ ถิ่น หรือประเทศที่ไม่เจริญ - อุปธวิบัติ คือ เกิดมามีร่างกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สง่างาม - กาลวิบัติ คือ เกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองมีทุกข์เข็ญ ยกย่องคนชั่ว บีบคั่นคนดี ไม่มี ศีลธรรม - ปโยควิบัติ คือ การทำงานไม่ครบถ้วนไม่ต่อเนื่อง ทำครึ่งๆกลางๆ ไม่ตรงกับความถนัดหรือ ความสามารถของตน
4 2.2) อกุศลกรรมบถ 10 หมายถึง ทางแห่งความชั่ว หรือ กรรมชั่วอันเป็นทางไปสู่ความเสื่อม และความทุกข์ การทำความชั่ว แบ่งได้ 3 ทาง 1) การทำความชั่วทางกาย มี 3 ประการ ดังนี้ - ป า ณ า ติ บ า ต คื อ ก า ร ฆ่ า สั ต ว์ ห รื อ ก า ร ท ำ ให้ ชี วิ ต สั ต ว์ โล ก ถึ งแ ก่ ค ว า ม ตาย - อทินนาทาน คือ การลักขโมยของผู้อื่น หรือ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้ รวมถึง การ ฉ้อโกง การยักยอก การหลอกลวง - กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในสามี ภรรยา บุตร ธิดาของผู้อื่น 2) การทำความชั่วทางวาจา มี 4 ประการ คือ - มุสาวาท คือ การพูดเท็จ พูดสิ่งที่ไม่จริงโดยที่ตนรู้ว่าไม่จริง รวมถึงการพูดกำกวมเพื่อ หลอกลวงผู้อื่น - ปิสุณาวาจา คือ การพูดส่อเสียด พูดกระทบกระเทียบเหน็บแนม เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บใจ การพูดส่อเสียดมักเกิดจากความอิจฉา - ผรุสาวาจา คือ การพูดคำหยาบ การพูดหยาบก่อให้เกิดความแตกร้าว ทำให้เรื่องเล็ก กลายเป็นเรื่องใหญ่ - สัมผัปปลาปะ คือ การพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีสาระ ไม่มีประโยชน์แก่ใครไม่ว่าตนเองหรือ ผู้อื่น 3) การทำความชั่วทางใจ มี 3 ประการ คือ - อภิชฌา คือ การคิดเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น โดยไม่นึกว่าของใครใครก็หวง แม้ยังมิได้ลง มือขโมยแต่ก็ทำให้จิตใจเสื่อม - พยาบาท คือ การคิดร้ายต่อผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นเจ็บปวด เสยหาย ประสงค์ร้าย ความคิดร้าย นั้นจะบั่นทอนความสามารถและความดีของตนเอง - มิจฉาทิฐิ คือ ความเห็นผิดจากคลองธรรม เช่น ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็น ต้น 2.3) อบายมุข 6 หมายถึง ทางแห่งความเสื่อม มี 6 ประการ 1) ติดสุราและของมึนเมา มีโทษดังนี้ - ทำให้เสียทรัพย์ - ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันและบางครั้งถึงกับฆ่ากัน - เป็นบ่อเกิดแห่งโรค เพราะทำให้เสียสุขภาพ บั่นทอนกำลังกาย - ทำให้เสียเกียรติยศและชื่อเสียง - ทำให้เป็นหน้าด้านไม่รู้จักอาย - บั่นทอนกำลังสติปัญญา 2) ชอบเที่ยวกลางคืน มีโทษดังนี้
5 - เป็นการไม่รักตัว เพราะทำให้ร่างกายและจิตใจไม่ปกติไม่อาจประกอบอาชีพการงานได้ ตามปกติ และต้องเสียเงินรักษาตัวโดยไม่จำเป็น - เป็ น ก า ร ไม่ รั ก ลู ก เมี ย ห รื อ ค ร อ บ ค รั ว เพ ร า ะ ท ำ ให้ ค ร อ บ ค รั ว ข า ด ค ว า ม อบอุ่น - เป็นการไม่รักษาทรัพย์สมบัติ เพราะเป็นการจ่ายเงินโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร มีแต่หมด ไป - เป็นที่ระแวงสงสัยของผู้อื่น ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในการทำงาน เช่น หัวหน้าจะไม่ไว้ใจ ว่าจะทำงานได้ดี หรือลูกน้องไม่เลื่อมใส - เป็นเป้าหมายให้เขาใส่ความได้ เพราะทำอะไรผิดเล็กน้อย คนก็จะหาว่าเพราะเที่ยวมาก จึง เป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่อาจมิใช่ก็ได้ - เป็นที่มาของความเดือดร้อนนานาชนิด เพราะเมื่อเที่ยวจนหมดเงิน อาจคิดการทุจริต หรือ อารมณ์เสียบ่อยๆ ทำให้ครอบครัวแตกแยก 3) ชอบเที่ยวดูการละเล่น มีโทษ คือ ทำให้ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่จะเล่น ไม่เป็นอันทำมาหากิจ เสียทั้งเวลา เสียงทั้งเงิน ทำให้คนเชื่อถือน้อยลง ถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาการเอางาน 4) ติดการพนัน มีโทษดังนี้ - เมื่อชนะย่อมก่อเวร คือ เมื่อเล่นได้ก็ย่อมมีคนอยากแก้มือเรียกร้องให้เล่นอีก -เมื่อแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ เพราะเมื่อเล่นเสีย จิตใจก็บังเกิดความเสียดายทรัพย์ - ทรัพย์สินย่อมเสียหาย เพราะเงินที่ได้มานั้นมักเก็บไว้ได้ไม่นาน เรียกเงินร้อน ต้องใช้จ่ายจน หมด -ไม่ใครเชื่อถือ เพราะผู้อื่นย่อมขาดความเชื่อถือในถ้อยคำ มักถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง - เพื่อนฝูงดูหมิ่น ไม่อยากคบค้าสมาคม เพราะกลัวจะเสียชื่อเสียงตามไปด้วย - ไม่มีใครอยากได้เป็นคู่ครอง เพราะกลัวครอบครัวไม่ราบรื่น และอาจละทิ้งครอบครัวได้ 5) คบคนชั่วเป็นมิตร มีโทษ คือทำให้เป็นคนชั่วตามไปด้วย ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน ตามไปด้วย 6) เกียจคร้านการงาน มีโทษ คือ ทำให้ชีวิตตกต่ำไม่เจริญก้าวหน้า มีแต่ความอยากลำบาก ขัดสนในชีวิต ประโยชน์ของการละเว้นอบายมุข - ไม่เสียทรัพย์ไปโดยเปล่าประโยชน์ - ไม่หมกมุ่นในสิ่งที่หาสาระมิได้ - ประกอบหน้าที่การงานได้เต็มที่ - ชีวิตไม่ตกต่ำ - เป็นที่รักและไว้วางใจของผู้อื่น - สามารถประกอบอาชีพหน้าที่การงานได้ด้วยความสุจริต
6 3. นิโรธ (หลักธรรมที่ทำให้บรรลุ) นิโรธ คือ ความดับทุกข์หรือดับปัญหาต่างๆ พุทธ ศาสนามีหลักคำสอนเกี่ยวกับเรื่องความสุขมากมาย จุดหมายสูงสุด คือ นิพพาน เป็นบรมสุขที่สูงสุด แบ่ง ออกเป็น 3.1) สามิสสุข คือ ความสุขทางกายที่เกิดจากวัตถุภายนอก เรียกว่า กามสุข คือความสุขที่ เกิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ทำให้เกิดความพอใจ เป็นความสุขของคนทั่วไป ที่เกิดจากการ กระทำความดีในด้านต่างๆ ที่สำคัญได้แก่ - ความสุขที่เกิดจากการมีทรัพย์ เรียกว่า อัตถิสุข - ความสุขที่เกิดการใช้จ่ายทรัพย์ เรียกว่า โภคสุข - ความสุขที่เกิดจากการไม่มีหนี้สิน เรียกว่า อนณสุข - ความสุขที่เกิดจากการประพฤติในสิ่งที่สุจริต เรียกว่า อนวัชชสุข สามิสสุข เป็นความสุขที่ไม่แน่นอน เพราะความทุกข์อาจเกิดขึ้นได้เสมอถ้าประมาท 3.2) นิรามิสสุข คือ ความสุขที่ไม่อิงอาศัยวัตถุภายนอก เรียกว่า ความสุขทางใจ ความสุข ประเภทนี้มีตั้งแต่ขั้นต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด คือ นิพพาน นิรามิสสุข ขั้นต่ำ คือ การได้รับอบอุ่นจากพ่อแม่ ความ ไม่มีศัตรู ไม่มีผู้เกลียดชัง มีผู้ให้ความรักใคร่ นับถือ ยกย่องสรรเสริญ ไม่คิดร้ายต่อใคร ไม่มีความวิตกกังวล ไม่ หวาดระแวง ไม่คิดฟุ้งซ่าน นิรามิสสุขขั้นกลาง คือ ความอิ่มใจที่ได้เสียสละ การมีจิตใจที่สงบ นิรามิสสุขขั้น สูงสุด คือ นิพพาน 4. มรรค (หลักธรรมที่ควรเจริญ หรือทำให้เกิดขึ้น) มรรค คือ ข้อปฏิบัติที่ทำให้พ้นจากความ ทุกข์หรือปัญหาต่างๆ ได้แก่ 4.1) บุพพนิมิตของมัชฌิมาปฏิปทา บุพพนิมิต แปลว่า สิ่งที่เป็นเครื่องหมายให้รู้ หมายถึง สิ่งที่บ่งบอกล่วงหน้าก่อนที่อริยมรรคมีองค์ 8 จะเกิดขึ้นในตัวของผู้ปฏิบัติ บุพพนิมิตของมัชฌิมาปฏิปทา มี 7 ประการ - การมีกัลยาณมิตร คือการมีเพื่อนที่ดีที่แนะนำประโยชน์ เรียกว่า กัลยาณมิตตตา - ความถึงพร้อมด้วยศีล คือ การมีวินัย มีระเบียบในชีวิตของตนและการอยู่ร่วมกันในสังคม เรียกว่า สีลสัมปทา - ความถึงพร้อมด้วยฉันทะ คือ ความพอใจใฝ่รักในปัญญา ในจริยธรรม ใฝ่รู้ในความจริงและ ใฝ่ในความดี เรียกว่า ฉันทสัมปทา - ความถึงพร้อมด้วยการที่จะฝึกฝนพัฒนาตน คือ การรู้จักฝึกฝนพัฒนาตน เรียกว่า อัตต สัมปทา - ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิคือ การยึดถือ เชื่อถือในหลักการและมีความเห็นความ เข้าใจ พื้นฐานที่มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามเหตุผล เรียกว่า ทิฏฐิสัมปทา - ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท คือ มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เห็นคุณค่าของ กาลเวลา เห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่กระตุ้นเตือนให้เร่งรัดการค้นหาให้เข้าถึงความจริงหรือในการทำชีวิต ที่ดีงามให้สำเร็จ เรียกว่า อัปปมาทสัมปทา
7 - การรู้จักใช้ความคิดที่ถูกวิธี คิดเป็น คิดอย่างมีระเบียบ รู้จักคิดพิจารณา เพื่อนำมาใช้พัฒนา ตนให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป เรียกว่า โยนิโสมนสิการ 4.2) สติปัฏฐาน 4 หมายถึง ข้อปฏิบัติที่เป็นที่ตั้งแห่งสติ หรือการตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่ง ต่างๆให้รู้เท่าทัน ทำให้มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ และทำให้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต แบ่งออกเป็น 4 ประการ - กายานุปัสสนา หมายถึง การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย เพื่อให้รู้เท่าทันและเข้าใจตาม ความเป็นจริงว่ากายนี้ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่ของเรา เราบังคับไม่ได้ ต้องมีแก่ เจ็บ ตาย ไปตาม กาลเวลา - เวทนานุปัสสนา หมายถึง การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา คือ ความสุข ความทุกข์ หรือ ความเฉยๆ ที่เกิดขึ้นในขณะใดขณะหนึ่งอย่างรู้เท่าทันว่ามันเป็นอย่างไร - จิตตานุปัสสนา หมายถึง การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต เพื่อให้รู้เท่าทันถึงสภาพหรืออาการ ของจิตว่า จิตใจขณะนั้นเป็นอย่างไร มีความขุ่นมัว หอหู่ ฟุ้งซ่าน เกียจคร้าน หรือขยัน - ธัมมานุปัสสนา หมายถึง การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ซึ่งเกิด ขึ้นกับใจ ว่าเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยอะไรบ้าง และจะดับไปด้วยวิธีใด 4.3) ดรุณธรรม 6 หมายถึง ธรรมที่เป็นหนทางแห่งความสำเร็จ ความเจริญก้าวหน้าแห่ง ชีวิต มี 6 ประการ - รักษาสุขภาพดีมิให้มีโรคทั้งจิตและกาย เพราะโรคภัยไข้เจ็บเป็นอุปสรรคที่คอยขัดขวาง ไม่ให้ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงต้องหมั่นบริหารกายให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์และบริหารจิตให้มี สุขภาพจิตที่ดี เรียกว่า อโรคยะ - มีระเบียบวินัย ไม่ก่อเวรภัยแก่ผู้อื่นและสังคม รู้จักให้อภัย ไม่อาฆาตพยาบาท เรียกว่า ศีล - ได้คนดีเป็นแบบอย่าง คือ คนมีปัญญา มีคุณธรรม (บัณฑิตหรือสัตบุรุษ)และยึดถือปฏิบัติ ตามจะช่วยสนับสนุนเกื้อกูลให้การดำเนินชีวิตเจริญก้าวหน้า เรียกว่า พุทธานุมัติ - ตั้งใจเรียนรู้ให้จริง โดยการศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้ให้มาก ให้เชี่ยวชาญ เรียกว่า สุตะ - ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม โดยการดำรงมั่นอยู่ในสุจริต เรียกว่า ธรรมานุวัฒิ - มีความขยันหมั่นเพียร การมีกำลังไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้เฉื่อยชา เรียกว่า วิริยะ 4.4 กุลจิรัฏฐิติธรรม 4 หมายถึง ข้อปฏิบัติสำหรับรักษาวงศ์ตระกูลให้ดำรงอยู่ได้นาน มี 4 ประการ - การแสวงหาพัสดุที่หายไป หมายถึง สิ่งของที่จำเป็นในครอบครัว เช่น ปัจจัย 4 เมื่อหายไป หรือหมดไป จะต้องช่วยกันจัดหามาทดแทนสิ่งที่หายหรือหมดไป - การบูรณะซ่อมแซมพัสดุที่เก่าชำรุด หมายถึง สิ่งของที่จำเป็นเมื่อเกิดชำรุดเสียหายจะต้อง รู้จักซ่อมแซมให้ใช้การได้ เช่น ที่อยู่อาศัย อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆภายในบ้าน เป็นต้น
8 - การรู้จักประมาณในการใช้จ่าย หมายถึง การรู้จักประหยัด รู้จักกินรู้จักใช้ ไม่ใช้จ่ายเกิน ฐานะของตนเอง ไม่ก่อหนี้สินให้กับครอบครัว - การตั้งคนมีศีลธรรมเป็นพ่อบ้านแม่เรือน หมายถึง การมีหัวหน้าครอบครัวที่เป็นคนดีมี ศีลธรรม ประกอบอาชีพสุจริต มีความขยันหมั่นเพียรในการทำงาน ก็สามารถสืบทอดต่อวงศ์ตระกูลให้เจริญยั่งยืนต่อไปได้ 4.5) กุศลกรรมบถ 10 หมายถึง ทางแห่งการทำความดี หรือกรรมดีที่ควรประพฤติปฏิบัติ มี 3 ทาง 1) ทางกาย เรียกว่า กายกรรม มี 3 อย่าง - เว้นจากการฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์โดยวิธีการต่างๆ - เว้นจากการลักทรัพย์ คือ ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้โดยวิธีการต่าง - เว้นจากประพฤติผิดในสามี ภรรยา บุตร ธิดาของผู้อื่น ต้องรู้จักเคารพสิทธิของกันและกัน 2) ทางวาจา เรียกว่า วจีกรรม มี 4 ประการ - เว้นจากการพูดเท็จ คือ การพูดในสิ่งที่เป็นจริง - เว้นจากการพูดส่อเสียด คือ การพูดที่ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ ให้คนเห็นอก เห็นใจกันและกัน - เว้นจากการพูดคำหยาบ คือ การพูดที่สุภาพ ไพเราะนุ่มนวลต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง - เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือ การพูดมีสาระประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น 3) ทางใจ เรียกว่า มโนกรรม มี 3 ประการ - ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น คือ การไม่เพ่งเล็งที่จะเอาทรัพย์ของคนอื่นในทางทุจริต - ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือ การไม่ผูกใจเจ็บ ไม่จองเวร ไม่คิดอาฆาตล้างแค้น - ไม่เห็นผิดจากคลองธรรม คือ การมีความเห็นถูกต้องตามเหตุตามผล เช่น เห็นว่ามารดา บิดาเป็นผู้มีพระคุณจริง กฎแห่งกรรมมีจริง เป็นต้น 4.6) มงคล 38 มงคล คือ สิ่งที่ทำให้ชีวิตโชคดี หมายถึง ธรรมที่นำความสุขและความเจริญ มาให้แก่ผู้ปฏิบัติ มีดังนี้ 1) การประพฤติธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การปฏิบัติธรรม หมายถึง การปฏิบัติตนให้ อยู่ในกรอบของความถูกต้องและความดีงาม เพื่อความสงบสุขและความเจริญของคนในสังคม ได้แก่ เบญจธรรม 5 - เมตตากรุณา คือ การมีความรักใคร่เพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือเท่าที่ตนทำได้ - สัมมาอาชีวะ คือการประกอบอาชีพที่สุจริต - กามสังวร คือ การยินดีเฉพาะในคู่ครองของตน - สัจจะ คือ การพูดแต่ความจริง - สติสัมปชัญญะ คือ การมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เบญจศีล 5
9 - เว้นจากการทำลายชีวิตสัตว์ - เว้นจากการลักทรัพย์โดยวิธีการต่างๆ - เว้นจากการประพฤติผิดในสามี ภรรยา บุตร ธิดาของผู้อื่น - เว้นจากการพูดเท็จ - เว้นจากการน้ำเมาและสิ่งเสพติดทั้งหลาย 2) การงดเว้นจากความชั่ว หมายถึง การไม่กระทำสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง เดือดร้อน มีผลเป็นทุกข์ทั้งทางกาย วาจาและใจ ต้นตอสำคัญแห่งความชั่วทั้งหลาย หากละเว้นได้ก็จะเป็น การละเว้นความชั่วได้หลายอย่าง โดยอกุศลกรรมบถ 10 ต้นตอแห่งความชั่ว เรียกว่า อกุศลมูล มี 3 ประการ -โลภะ คือ ความอยากได้โดยมิชอบ หรือความอยากได้เกินพอดี เรียกว่า ความโลภ - โทสะ คือ ความโกรธแค้น พยาบาท อิจฉาริษยา คิดแต่อยากให้ผู้อื่นประสบเคราะห์กรรม ประสบความหายนะ เรียกว่า ความโกรธ - โมหะ คือ ความไม่รู้เหตุรู้ผล ขาดปัญญาในการพิจารณา เรียกว่า ความหลง 3) เว้นจากการดื่มน้ำเมา หมายถึง การไม่เข้าไปข้องแวะหรือไม่หวนกลับไปหาสุราและของ มึนเมา สิ่งเสพติดทุกชนิด ไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม เพราะ - ทำให้เสียทรัพย์ - ทำให้เกิดโรคหลายอย่าง - ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท - ทำให้ขาดความละอาย - ทำให้เสียชื่อเสียง - ทำให้สติปัญญาเสื่อมถอยลง การดื่มน้ำเมานั้นทำให้เกิดความสุขได้บ้างสำหรับคนที่ติดแต่เป็นความสุขหลอกๆ บนความทุกข์ น้ำเมาทำให้เพลิดเพลินได้ แต่เป็นการเพลิดเพลินในเรื่องเศร้า ดังนั้นจึงไม่ควรแก้ปัญหาใดๆ ด้วยน้ำเมา เพราะเมื่อดื่มน้ำเมาแล้วจะให้ขาดสติ ขาดความยั้งคิด เป็นหนทางที่ จะนำไปสู่การทำความชั่ว 1.2 ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่แสดงกฎของธรรมชาติ ถึงความเป็นเหตุเป็นผล และความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน จนเป็นผล ให้เกิดทุกข์ และแสดงเหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นดับลงไป โดยทุกข์ที่ว่านี้ คือทุกข์ชนิดที่ดับหรือทำลายลงไปได้ นั่นก็ คือ อุปาทานทุกข์ โดยหลักการของปฏิจจสมุปบาท นั้นตั้งอยู่บนหลักการของวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง เพียงแต่ สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้นั้น เป็นเรื่องของจิตที่ละเอียดลึกซึ้ง อันจะจับต้องไม่ได้ หรือสัมผัสให้เห็นเป็น รูปธรรมไม่ได้ (นามธรรม) แต่จะบังเกิดผลได้แก่ผู้รู้ที่เข้าใจและปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น (ปัจจัตตัง) จึงเป็นที่ เคลือบแคลงแก่ปุถุชนทั่วไป ที่นิยมจับต้องสิ่งอันเป็นวัตถุนิยมซึ่งทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้น
10 สืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้ง ปวงนี้ จึงมีด้านบนนี่ เป็นเทศนาที่เรียกว่า อนุโลมเทศนา และหากพิจาณาย้อนกลับจะเรียกว่า ปฏิโลมเทศนา พอเราๆ ท่านๆ ที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา อ่านหลักธรรมด้านบนนี้แล้ว คงจะงงๆ ว่าแล้วมันคืออะไร มีแต่ คำศัพท์ยากๆ ยากที่จะเข้าใจทั้งนั้นเลย อะไรคือสฬายตนะ อะไรคือผัสสะ … ดังนั้นเลยจะขออธิบายแบบง่ายๆ ดังนี้ อาสวะ ก่อนจะพูดถึง แต่ละขั้นตอนของวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้น ต้องพูดถึงที่มาของสิ่งเหล่านี้ก่อน นั่นก็คือ “อาสวะ” อาสวะ แปล ตามรูปศัพท์ว่า สิ่งที่ไหลซ่านไปทั่ว หรือ อีกนัยหนึ่งว่า สิ่งที่หมักหมม หรือหมักดอง หมายความว่า เป็นสิ่งที่หมักดองสันดาน คอยมอมพื้นจิตใจ และ เป็นสิ่งที่ไหลซ่าน ไปอาบย้อมจิตใจ เมื่อ ประสบอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าคนจะรับรู้อะไรทางอายตนะใด หรือจะคิดนึกสิ่งใด อาสวะเหล่านี้ ก็เที่ยวกำ ซาบซ่านไปแสดงอิทธิพล ย้อมมอมมัวสิ่งที่รับรู้เข้ามา และ ความนึกคิดนั้นๆ แทนที่จะเป็นอารมณ์ของจิตและ ปัญญาล้วนๆ กลับเสมือนเป็นอารมณ์ของอาสวะไปหมด ทำให้ไม่ได้ความรู้ ความคิดที่บริสุทธิ์ และเป็นเหตุก่อ ทุกข์ ก่อปัญหาเรื่อยไป โดยอาสวะนั้น เป็นที่มาแห่งพฤติกรรมของมนุษย์ปุถุชนทุกคน เป็นตัวการที่ทำให้มนุษย์หลงผิด มองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวตนของตน อันเป็นอวิชชาขั้นพื้นฐานที่สุด แล้วบังคับบัญชาให้นึกคิดปรุงแต่ง แสดง พฤติกรรม และกระทำการต่างๆ ตามอำนาจของมันโดยไม่รู้ตัว เป็นขั้นเริ่มต้นวงจรปฏิจจสมุปบาท คือ เมื่ออา สวะเกิดขึ้น อวิชชาก็เกิด แล้วอวิชชาก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ในภาวะที่แสดงพฤติกรรมถูกบังคับบัญชา ด้วย สังขาร ที่เป็นแรงขับไร้สำนึกทั้งสิ้น กามาสวะ คือ ความใฝ่การสนองความต้องการทางประสาททั้ง 5 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ภวาสวะ คือ ความใฝ่หรือห่วงในความมีอยู่คงอยู่ของตัวตน ตลอดจนการที่ตัวตนจะได้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ และ การที่จะดำรงคงอยู่ในภาวะที่อยากเป็นนั้นยั่งยืนตลอดไป
11 ทิฏฐาสวะ คือ ความเห็น ความเชื่อถือ ความเข้าใจ ทฤษฎี แนวความคิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่สั่งสมอ บรมมา และยึดถือเชิดชูไว้ อวิชชาสวะ คือ ความหลง ความไม่เข้าใจ คือ ความไม่ตระหนักรู้และไม่กำหนดรู้ความเป็นมาเป็นไป เหตุ ผล ความหมาย คุณค่า วัตถุประสงค์ ตลอดจนความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ หรือ เหตุการณ์ทั้งหลาย ตาม สภาวะโดยธรรมชาติของมันเอง ความหลงผิดว่ามีตัวตนที่เข้าไปทำ และถูกกระทำกับสิ่งต่างๆ ไม่มองเห็น ความสัมพันธ์ทั้งหลายในรูปของกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย พูดสั้นๆ ว่า ไม่เห็นตามที่มันเป็น แต่รู้เห็นตามที่คิด ว่ามันเป็น หรือคิดให้มันเป็นต่อไปเรามาดูกันในรายละเอียดว่า ในแต่ละขั้นตอนของวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง อวิชชา (Ignorance Lack of Knowledge) ความไม่รู้ ไม่รู้ตามเป็นจริง การไม่ใช้ปัญญา และเพราะไม่รู้ความจริง ไม่เห็นความจริง ไม่รู้ข้อเท็จจริง ไม่เข้าใจชัดเจน หรือไม่ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาในขณะที่ประสบสถานการณ์นั้นๆ จึงคิดปรุงแต่งไปต่างๆ เดา เอาบ้าง คิดวาดภาพเอาเองต่างๆ ฟุ้งเฟ้อวุ่นวายไปบ้าง นึกเห็นมั่นหมายไปตามความเชื่อ ความหวาดระแวง หรือแนวนิสัยของตนที่ได้สั่งสมไว้บ้าง ตลอดจนตั้งใจ คิดมุ่งหมายว่าจะเอาอย่างไร ๆ จะพูดจะทำอะไรๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น สังขาร (Volitional Activities) ความคิดปรุงแต่ง เจตน์จำนง จิตนิสัย และทุกสิ่งที่จิตได้สั่งสมอบรมไว้ เมื่อมีเจตนาคิดมุ่งหมายตั้งใจ หรือ ใจเลือกที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งใด หรือ รู้รับอะไรๆ จึงจะเกิด มีวิญญาณ คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้คิดต่อเรื่องนั้นๆ สิ่งนั้นๆ โดยเฉพาะเจตนาจักจูงนำจิตนำวิญญาณให้คิด ให้รับรู้ไปในเรื่องที่มันต้องการปรุง แต่งเรื่องไปไม่รู้จักจบสิ้น และพร้อมกันนั้น มันก็จะปรุงแต่งสภาพพื้นเพของจิต หรือ ของวิญญาณนั้น ให้ กลายเป็นจิตที่ดีงามหรือชั่วร้าย มีคุณธรรม ไร้คุณธรรม หรือ มีคุณสมบัติต่างๆ ตามแต่เจตนาที่ดี หรือ ชั่วนั้นๆ ด้วย วิญญาณ (Consciousness) ความรู้ต่อโลกภายนอก ต่อเรื่องราวในจิตใจ สภาพพื้นจิต เมื่อมีวิญญาณที่รู้เห็น ได้ยิน เป็นต้น ก็ต้องมีรูปธรรมนามธรรมต่างๆ ที่เป็นตัวร่วมงานร่วมอาศัยกัน ของวิญญาณนั้น เช่น อวัยวะที่เกี่ยวข้อง เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย ต่างก็ต้องทำงานร่วมไปด้วยตามหน้าที่ ยิ่งกว่านั้น วิญญาณขณะนั้นถูกปรุงแต่งให้เป็นอย่างไร นามธรรมรูปธรรมทั้งหลายที่แสดงตัวออกมาร่วมงานใน ขณะนั้นๆ ก็จะมีแต่จำพวกที่เป็นทำนองนั้น หรือ พลอยมีคุณสมบัติอย่างนั้นไปด้วย เช่นเมื่อวิญญาณ ประกอบด้วยสังขารจำพวกโกรธ เป็นตัวปรุงแต่ง สัญญาที่ออกโรงด้วย ก็จะเป็นสัญญาเกี่ยวกับ ถ้อยคำหยาบ คาย คำด่า ตลอดจนมีดพร้าอาวุธเป็นต้น รูปธรรม เช่น หน้าตาก็จะบูดบึ้ง กล้ามเนื้อเขม็งเครียด เลือดไหลฉีด แรง เวทนาก็บีบคั้น เป็นทุกข์ เป็นต้น เมื่อวิญญาณเป็นไปในสภาพอย่างใดซ้ำบ่อย นามธรรมและรูปธรรม ที่ เกิดดับสืบต่อก็จะก่อเป็นลักษณะกายใจจำเพาะตัวที่เรียกว่าบุคลิกภาพอย่างนั้น นามรูป (Animated Organism) องคาพยพ ส่วนประกอบของชีวิต ทั้งกายและใจ
12 เมื่อนามรูปตื่นตัวทำงานพร้อมอยู่ในรูปแบบ ลักษณะ หรือ ทิศทาง อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น มันต้อง อาศัยบริการของอายตนะใดๆ เป็นสื่อป้อนความรู้หรือเป็นช่องทางดำเนินพฤติกรรม อายตนะนั้นๆ ก็จะถูก ปลุกเร้าให้พร้อมในการทำหน้าที่ สฬายตนะ (The Six Sense Bases) สื่อแห่งการรับรู้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่ออายตนะต่างๆ มี ผัสสะ การรับรู้รับอารมณ์ด้านต่างๆ เหล่านั้นจึงมีได้ เมื่ออายตนะใดทำหน้าที่ ก็ มีผัสสะคือการรับรู้รับอารมณ์ โดยอาศัยอายตนะนั้นได้ ผัสสะ (Contact) การรับรู้ การติดต่อกับโลกภายนอก การประสบอารมณ์ เมื่อมีการรับรู้อารมณ์นั้นแล้ว ก็ต้องมีความรู้สึกที่เป็นเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่สุขสบาย ก็ทุกข์ ไม่ สบาย หรือ ไม่ก็เฉยๆ เวทนา (Feeling) การรู้สึกสุข ทุกข์ สบาย ไม่สบาย หรือเฉยๆ เมื่อรับรู้อารมณ์ใด ได้ความสุขสบายชื่นใจ ก็ชอบใจ ติดใจ อยากได้อารมณ์นั้น เกิดเป็นกามตัณหา อยากคงอยู่ อยากเข้าอยู่ในภาวะที่จะได้ครอบครองเสวยสุขเวทนาจากอารมณ์นั้น เกิดเป็นภวตัณหา เมื่อรับรู้ อารมณ์ใด เกิดความทุกข์บีบคั้นไม่สบาย ก็เกลียดชัง ขัดใจ อยากพรากอยากพ้น อยากกำจัด ทำให้สูญหายไป เกิดเป็นวิภวตัณหา ถ้ารู้สึกเฉยๆ ก็เรื่อยๆ ซึมๆ เพลินๆ อยู่ในโมหะ และติดอยากได้สุข เวทนาอ่อนๆ พร้อมที่ จะขยายออกเป็นความอยากได้สุขเวทนาต่อไป ตัณหา (Craving) ความอยาก คือ อยากได้ อยากเป็น อยากคงอยู่ต่อไป อยากเลี่ยง หรือ ทำลาย เมื่อความอยากนั้นแรงขึ้น ก็กลายเป็นยึดติด เหมือนจับถือค้างอยู่ในใจ วางไม่ลง เกิดมีท่าทีขึ้นมา อย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งนั้น ถ้าชอบ ก็เอาตัวตนเข้าไปผูกติดเหมือนดังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมัน ใจคล้อยตาม มันไป อะไรเกี่ยวกับมันเป็นเห็นดีเห็นงามไปหมด อะไรกระทบมันเป็นกระทบถึงเราด้วย ถ้าชัง ก็เกิดความรู้สึก ปะทะกระทบเหมือนดังเป็นตัวปรปักษ์คู่กรณีกับตน อะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้น บุคคลนั้น หรือ ภาวะนั้น ให้รู้สึก กระทบกระแทกขัดผลักผละอยู่เรื่อย ไม่เห็นดีไม่เห็นงาม มันขยับเขยื้อนทำอะไร เป็นดังกระทำต่อเราไปหมด พร้อมกันนี้ ท่าทีไม่ว่าในทางชอบหรือในทางชังก็ตาม ย่อมเป็นเครื่องเสริมย้ำและเป็นไปด้วยกันกับความยึดติด ถือมั่นเชิดชูคุณค่าความสำคัญของสิ่งต่อไปนี้ คือ สิ่งปรนเปรออำนวยความสุขที่จะถูกได้ หรือ ถูกขัด ถูกแย่ง (กาม) ความเห็น ความเข้าใจ เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเกี่ยวกับโลกและชีวิต (ทิฏฐิ) ระบบแบบ แผน ข้อปฏิบัติ พิธีกรรม วิธีการต่างๆ ที่จะให้บรรลุผลสำเร็จทั้งในทางที่จะได้และที่จะเลี่ยงพ้น (ศีลวัตร) และ ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนที่จะได้ หรือ ที่ถูกปะทะขัดขวาง (อัตตวาท)
13 อุปาทาน (Attachment, Clinging) ความยึดติดถือมั่น ความผูกพันถือค้างไว้ในใจ การถือรวมเข้ากับตัว เมื่อมีความยึดถือ มีท่าทีต่อสิ่ง บุคคล หรือภาวะอันใดอันหนึ่ง อย่างหนึ่งอย่างใด คนก็สร้างภพหรือ ภาวะชีวิตของเขาขึ้นตามความยึดถือ หรือ ท่าทีอย่างนั้น ทั้งในด้านกระบวนพฤติกรรมทั้งหมด (กรรมภพ) เริ่ม แต่ระบบความคิด หรือ นิสัยของความคิดออกมา และในด้านบุคลิกภาพ ทั้งรูปและนามธรรมที่เป็นลักษณะ หรือภาวะแห่งชีวิตของเขาในเวลานั้น (อุปัตติภพ) เช่น กระบวนพฤติกรรม และบุคลิกภาพของคนอยากร่ำรวย คนชอบอำนาจ คนชอบเด่นดัง คนชอบสวยงาม คนชอบโก้เก๋ คนเกลียดสังคม เป็นต้น ภพ (Process of Becoming) ภาวะชีวิตที่เป็นอยู่ เป็นไป บุคลิกภาพ กระบวนพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล เมื่อเกิดมีภพ ที่จะเข้าอยู่เข้าครอบครองเฉพาะตัวแล้ว ก็ปรากฏตัวตน เป็นความรู้สึกตระหนักอัน ชัดเจน ที่เข้าอยู่ครอบครองหรือสอดสวมรับเอาภพ หรือ ภาวะชีวิตนั้น โดยมีอาการถือหรือออกรับว่าเป็น เจ้าของภพ เป็นผู้เสวยผล เป็นผู้กระทำ เป็นผู้รับการกระทบกระแทก เป็นผู้ชนะ ผู้แพ้ เป็นผู้ได้ ผู้เสีย เป็นต้น อยู่ในภพนั้น ชาติ (Birth) การเกิดมีตัวที่คอยออกรู้ออกรับเป็นผู้อยู่ในภาวะชีวิตนั้น เป็นเจ้าของบทบาท ความเป็นอยู่เป็นไป เมื่อเกิดมีตัวตน เข้าอยู่ครอบครอง หรือ ภาวะชีวิตนั้นแล้ว การที่จะได้ประสบความเป็นไป ทั้งในทาง เสื่อมถอยด้อยลงในภพนั้น การถูกกระแทกระเทือนและการที่จะสูญเสียหลุดหล่นออกไปจากภพนั้นด้วย โดยเฉพาะ ที่ต้องถูกคุกคามห่วงกังวลเกี่ยวกับความเสื่อมสูญจากภพนั้น และ การที่จะต้องคอยรักษาภพนั้นอยู่ ตลอดเวลา ความลดด้อยถอยเสื่อมสูญเสีย และการคอยถูกคุกคามเหล่านี้ ล้วนนำ โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น คือ ความทุกข์มาให้ได้ตลอดทุกเวลา ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส (Decay and Death) การประสบความเสื่อม ความไม่มั่นคง ความสูญเสียจบสิ้นแห่งการที่ตัวได้อยู่ ครอบครองภาวะชีวิต นั้นๆ ความเศร้าเสียใจ เหี่ยวแห้งใจ คร่ำครวญ หวนไห้ เจ็บปวดรวดร้าว น้อยใจ สิ้นหวัง คับแค้นใจ คือ อาการ หรือรูปต่างๆของความทุกข์ อันเป็นของเสียมีพิษที่คั่งค้างหมักหมม กดดันอั้นอยู่ภายใน ซึ่งคอยจะระบาย ออกมา เป็นทั้งปัญหา และ ปมก่อปัญหาต่อๆไป สรุป ภาวะที่เป็นอวิชชา ก็คือ การไม่มองเห็นไตรลักษณ์ โดยเฉพาะความเป็นอนัตตา ตามแนวปฏิจจสมุป บาท คือ ไม่รู้ตระหนักว่า สภาพที่ถือกันว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา นั้น เป็นเพียงกระแสแห่งรูปธรรม นามธรรม ส่วนย่อยต่างๆ มากมาย ที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นเหตุเป็นปัจจัยสืบต่อกัน โดยอาการเกิดสลายๆ ทำ ให้กระแสนั้นอยู่ในภาวะที่กำลังแปรรูปอยู่ตลอดเวลาหรือ พูดให้ง่ายขึ้นว่า บุคคลก็คือผลรวมแห่งความรู้สึกนึก คิด ความปรารถนา ความเคยชิน ความโน้มเอียง ทัศนคติ ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อถือ ความคิดเห็น
14 ความรู้สึกในคุณค่าต่างๆ ทั้งหมดในขณะนั้นๆ เป็นผลมาจากการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม การศึกษาอบรม และ ปฏิกิริยาต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นภายใน และ ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย อันกำลังดำเนินไปอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่ ตระหนักรู้เช่นนี้ จึงยึดถือเอาสิ่งเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นตัวตนของตน ในขณะหนึ่งๆ เมื่อยึดถือสิ่งเหล่านี้ เป็นตัวตน ก็คือถูกสิ่งเหล่านั้นหลอกเอา จึงเท่ากับตกอยู่ในอำนาจของมัน ถูกมันชักจูงบังคับเอาให้เห็นว่า ตัวตนนั้นเป็นไปต่างๆ พร้อมทั้งความเข้าใจว่า ตนเองกำลังทำการต่างๆ ตามความต้องการของตน เป็นต้น 1.3 ไตรลักษณ์ แปลว่า "ลักษณะ ๓ อย่าง" หมายถึงสามัญลักษณะ หรือลักษณะที่เสมอกัน หรือ ข้อกำหนด หรือสิ่งที่มีประจาอยู่ในตัวของสังขารทั้งปวงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้๓ อย่าง ได้แก่ ๑. อนิจจตา (อนิจจลักษณะ)-อาการไม่เที่ยง อาการไม่คงที่อาการไม่ยั่งยืน อาการที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและ สลายไป อาการที่แสดงถึงความเป็นสิ่งไม่เที่ยงของขันธ์. ๒. ทุกขตา (ทุกขลักษณะ)-อาการเป็นทุกข์ อาการที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว อาการที่กดดัน อาการฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทาให้ คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ อาการที่ไม่สมบูรณ์มีความบกพร่องอยู่ในตัวอาการที่แสดงถึงความเป็นทุกข์ ของขันธ์ ๓. อนัตตตา (อนัตตลักษณะ)-อาการของอนัตตา อาการของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อาการที่ไม่มีตัวตน อาการที่ แสดงถึงความไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอานาจควบคุมของใคร อาการที่แสดงถึงไม่มีตัวตนที่ แท้จริงของมันเอง อาการที่แสดงถึงความไม่มีอานาจแท้จริงในตัวเลย อาการที่แสดงถึงความด้อย สมรรถภาพโดยสิ้นเชิงไม่มีอานาจกาลังอะไรต้องอาศัยพึงพิงสิ่งอื่นๆมากมายจึงมีขึ้นได้. สิ่งทั้งปวงจะตกอยู่ในอานาจของไตรลักษณ์“ตถาคต (พระพุทธเจ้า) ทั้งหลายจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุ(หลัก) นั้นก็ยังคงมีอยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยามว่า ๑. สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง...... ๒. สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์...... ๓. ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา.... 2. หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านชีวิต 2.1 อิทธิบาท 4 อิทธิบาท หรือ อิทธิบาท 4 เป็นศัพท์ในพระพุทธศาสนา หมายถึง ฐานหรือหนทางสู่ความสำเร็จ หรือ คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ คุณเครื่องสำเร็จสมประสงค์ ทางแห่งความสำเร็จ คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จ แห่งผลที่มุ่งหมาย มี ๔ ประการ คือ • ฉันทะ (ความพอใจ) คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ ได้ผลดียิ่งๆขึ้นไป
15 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีการความคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญ อิทธิบาท อันประกอบด้วย ฉันทสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ ว่าฉันทะของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ใน ภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่าง ก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรม จิตใจให้สว่างอยู่. [1] • วิริยะ (ความเพียร) คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย ภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ว่า วิถานะยะของเราจักไม่ย่อหย่อน เกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ... ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้ สว่างอยู่ • จิตตะ (ความคิด) คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อยใจให้ ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป ภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ว่า จิตของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ... ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่. [3] • วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง) คือ หมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และ ตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น ภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ ว่า วิมังสาของเราจักไม่ย่อหย่อน เกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไป ภายนอก และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังและ เบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉัน นั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด เบื้องบน ก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอ มีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่
16 2.2 โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการ หมายถึง การทำในใจให้ดีละเอียดถี่ถ้วน กล่าวคือ การพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับความไม่ประมาทหรือ "อัปมาท" ซึ่งเป็นแหล่งรวมแห่งธรรมฝ่ายดีหรือ "กุศลธรรม" ทั้งปวง ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๔๖๔ หน้า ๑๒๙ นอกจากนั้น ยังจัดเป็นธรรมะข้อหนึ่งในกลุ่มธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญด้วยปัญญา และเป็นธรรมะมี อุปการะมากแก่มนุษย์ดังพรรณาในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ข้อ ๒๖๘-๙ หน้า ๓๓๒ การใช้ความคิดถูกวิธี คือ การกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึง ต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดยอุบายวิธี ให้ เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย เช่น • คิดจากเหตุไปหาผล • คิดจากผลไปหาเหตุ • คิดแบบ แยกแยะองค์ประกอบ • คิดแบบ มองเป็นองค์รวม • คิดแบบเห็น ความสัมพันธ์ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ • คิดเห็น องค์ประกอบที่มาทำให้เจริญ • คิดเห็น องค์ประกอบที่มาทำให้เสื่อม • คิดเน้น เฉพาะจุดที่ทำให้เกิด • คิดเน้น สิ่งที่มาตัดขาดให้ดับ • คิดเทียบเคียง อะไรเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้
17 “ต้องการแยกแยะได้” ในทางพระพุทธศาสนาได้แบ่งโยนิโสมนสิการทั้งหมด10อย่างด้วยกัน คือ 1.วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย (Inquiry) หรือวิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา คือการคิดวิเคราะห์ การ พิจารณาว่า สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี วิธีคิดแบบนี้อธิบายว่าสมมุติว่าทอดไข่เจียว ถ้ามีน้ำมันผลเป็นเช่นไร ไม่มีน้ำมันผลเป็นเช่นไร ใส่เกลือผลเป็นเช่นไร(เค็ม) ไม่ใส่เกลือผลเป็นเช่นไร ไฟแรงผลเป็นเช่นไร(ไหม้เร็วไหม้ง่าย) ไฟไม่แรงผลเป็นเช่นไร 2.วิธีคิดแบบแยกส่วน (Analysis)หรือวิธีคิดแบบธาตุววัตถาน เป็นการคิดแบบสังเคราะห์ คือการคิด แบบแยกแยะองค์ประกอบ เช่นการพิจารณาว่า ร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุทั้ง4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ วิธีคิดแบบนี้อธิบายว่า รถยนต์ถ้าเราเอามาแยกส่วนเป็นชิ้น ก็จะเห็นว่ามีอะไรเป็นองค์ประกอบบ้าง เป็นการศึกษาและเทียบเคียงองค์ประกอบ ว่ามีลักษณะอย่างไร ทำด้วยอะไร แตกต่างกันอย่างไร มี หน้าที่อย่างไรเพื่อเข้าใจองค์ประกอบต่างๆให้ชัดเจน 3.วิธีคิดแบบสามัญญลักษณะ (The Three Characteristic)หรือคิดแบบศึกษาปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติ คือการพิจารณาว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่แปรเปลี่ยน ดับไป วิธี คิดแบบนี้อธิบายว่าสมมุติว่าวางปลาทอดไว้ ปลาจะค่อยๆเน่าในที่สุด หรือเมื่อสังเกตธรรมชาติ จะเห็น ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงเป็นหน้าร้อน หน้าฝน หน้าหนาว ผู้คนจะเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นวัยรุ่นเป็น ผู้ใหญ่เป็นคนแก่ เป็นต้น 4.วิธีคิดแบบอริยสัจ (The Four Noble Truths)คือวิธีการคิดแบบแก้ปัญหา แบบหาสาเหตุแห่ง ปัญหา โดยหาวิธีแก้ที่ต้นเหตุ เพื่อเข้าถึงการแก้ปัญหา คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค 5.วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์(Principle and Rational) คือการศึกษาเป้าหมายและวิธีการ ว่า วิธีการถูกต้องต่อการที่จะทำให้เป้าหมายบรรลุผลหรือไม่. อธิบายว่าอรรถหมายถึงหัวข้อธรรม ประโยชน์ เป้าหมาย ผล เช่น อิทธิบาท มรรค โพชฌงค์ ทิฏฐธัมมิกกัตถประโยชน์ เป็นต้น , ธรรม หมายถึงข้อปฏิบัติ วิธีการ หลักการ เหตุหรือปัจจัย เช่น ฉันทะ สัมมาทิฏฐิ สติ อุฏฐานสัมปทา เป็นต้น 6.วิธีคิดแบบพิจารณ าคุณ โทษและทางออก (Reward and Punishment Approach and Avoidance)หรือการพิจารณาข้อดี(อายโกศล) ข้อเสีย(อปายโกศล) และอุบายการใช้ประโยชน์จาก ข้อดี ข้อเสียนั้น(อุปายโกศล) วิธีคิดแบบนี้อธิบายว่าข้อดีของคนตัวใหญ่คือมีกำลังมาก ข้อเสียคือ น้ำหนักเยอะไม่คล่องตัว ข้อดีของคนตัวเล็กคือคล่องแคล่ว ข้อเสียของคนตัวเล็กคือมีกำลังน้อย การใช้ ประโยชน์เวลานำมาแข่งขันกีฬาก็ให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่เหมาะสม ในทุกสิ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียใน ตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ในคุณลักษณะตรงข้ามกันให้นำจุดแข็งของด้านนั้นเพื่อเอาชนะจุดอ่อนของอีก ด้าน เช่นเอาข้อดีของสั้นเอาชนะข้อเสียของยาวเป็นต้น และในข้อเสียบ้างครั้งก็ใช้ประโยชน์ได้ เช่น พิษงูก็ยังนำไปทำเซรุ่มได้ ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่มีสิ่งใดไร้ประโยชน์ มีเพียงสิ่งที่ไม่อยู่ในที่ๆเหมาะสมกับ ตัวเองเท่านั้น 7.วิธีคิดแบบคุณค่าแท้คุณค่าเทียม (Real Value and Unreal Value)หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิธี คิดแบบปัจจเวกขณวิธี คือการพิจารณาว่าอะไรคือแก่น อะไรคือเปลือก อะไรคือสิ่งประดับ อะไรคือ กาฝาก
18 8.วิธีคิดแบบเร้าคุณธรรม (Virture and stimulation)หรือวิธีคิดแบบอุปปาทกมนสิการ แปลว่าการ คิดอย่างสร้างสรรค์ คือการคิดสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นในสิ่งต่างๆ การคิดบวก วิธีคิดแบบนี้อธิบายว่า ปากกาด้ามหนึ่งใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ใช้เป็นตะเกียบได้หรือเปล่า หรือนำมาเป็นแกนกังหันลม กระดาษ(คิดพลิกแพลง) แนวคิดนี้นำไปดัดแปลงเป็นอะไรร่วมกับอะไรได้บ้างหรือใช้กับอะไรได้บ้าง เช่น พระอานนท์เห็นคันนาชาวมคธแล้วนำมาออกแบบเป็นขัณฑ์ของจีวร (คิดประยุกษ์) หรือ สถานการณ์แบบนี้ควรนำหลักธรรมใดมาใช้ในการดำเนินชีวิตดี รวมถึงการคิดหาข้อบกพร่องหรือ ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และหาวิธีแก้ไข เพื่อพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และคิดในแง่บวก เช่น เกิด อุบัติเหตุแขนเจ็บ ก็คิดในแง่ดีว่าดีกว่าหัวเจ็บ อาจตายได้ เป็นต้น หรือวันนี้เราสามารถทำอะไรให้เกิด ประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นได้บ้าง เราสามารถทำอะไรให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่นให้ยิ่งขึ้นไป อีกได้บ้าง 9.วิธีคิดแบบปัจจุบัน (Present Thought)เป็นกระบวนการคิดที่จะค้นหาความจริงจากประสบการณ์ ตรงผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ผ่านการมีสติในปัจจุบันจนเกิดความรู้ จริงขึ้น เช่นอาหารนี้อร่อยหรือไม่อร่อยก็ต้องชิมดู ซึ่งแตกต่างจากโยนิโสมนสิการข้ออื่นที่เน้น กระบวนการคิด ส่วนโยนิโสมนสิการข้อนี้เน้นประสบการณ์ตรง ซึ่งทำให้เกิดความสมบูรณ์ ในข้ออื่น จะเกี่ยวข้องกับอดีตอนาคตผ่านการพิจารณาเหตุปัจจัย แต่ข้อนี้จะเน้นอยู่กับปัจจุบัน ทำให้เกิดความ สมบูรณ์ในกระบวนการพิจารณาอย่างรอบด้านครบถ้วน 10.วิธีคิดแบบวิภัชชวาที(Well-Rounded Thought)หรือการคิดแบบแยกแยะเทียบเคียงประเด็น คือการคิดแบบองค์รวมโดยไม่เหมารวม คือการพิจารณาสิ่งต่างๆเป็นกรณีๆไป หรือการคิดแบบ เทียบเคียงความจริงเฉพาะหน้า คือการพิจารณาถึงความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้นั่นเอง เป็นการ พิจารณาความเข้ากันได้หรือเข้ากันไม่ได้ของข้อมูล วิธีคิดแบบนี้อธิบายว่าสมมุติเกิดการฆาตกรรมขึ้น ฝ่ายสืบสวนและฝ่ายนิติวิทยาศาสตร์ ค้นพบหลักฐานที่มีความจริง ถ้ามีข้อสันนิษฐานอะไรที่ไม่ตรงกับ หลักฐานที่มีย่อมใช้ไม่ได้ เมื่อเจอความจริงสองอย่างที่ขัดแย้งกันก็ต้องพิจารณาว่าอันไหนที่จริงหรือ จริงทั้งคู่แต่มีอะไรถึงขัดแย้งกัน หรือควรสืบสวนใหม่หมดเพื่อได้คำตอบที่ถูกต้องชัดเจน ไม่มีความจริง ใดขัดแย้งกัน, เปรียบได้กับความจริงของโลก ที่เราแบ่งการเข้าใจความจริงของโลกเป็นกลุ่มย่อยๆ และเมื่อนำความจริงทั้งหมดมารวมกันก็จะได้ความจริงของสรรพสิ่งที่สมบูรณ์ในที่สุด เมื่อข้อความรู้ใน ความจริงขัดแย้ง ก็เข้าไปศึกษาว่าควรแก้ไขหรือตัดออก ซึ่งอาจเกิดความรู้ความเข้าใจในความจริงๆ ใหม่ได้ เป็นการเข้าใจอดีต เข้าใจปัจจุบัน เข้าใจอนาคต เป็นการเข้าใจความจริงทุกสรรพสิ่งใน ภาพรวมทั้งหมด เปรียบได้กับเกมโซโดกุ ที่ตัวเลขต้องไม่ขัดแย้งกัน
19
20 2.3 ภาวนา 4 ภาวนา 4 คือ (การเจริญ, การทำให้เป็นให้มีขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒนา : cultivation; training; development) 1. กายภาวนา (การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลาย ภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงาม ให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญ, การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ : physical development) 2. สีลภาวนา (การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่ เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี เกื้อกูลแก่กัน : moral development) 3. จิตภาวนา (การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็งมั่นคงเจริญงอกงามด้วยคุณธรรม ทั้งหลาย เช่น มีเมตตากรุณา ขยันหมั่นเพียร อดทนมีสมาธิ และสดชื่น เบิกบาน เป็นสุขผ่องใส เป็นต้น : cultivation of the heart; emotional development) 4. ปัญญาภาวนา (การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็น จริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ ทำตนให้บริสุทธิ์จากกิเลสและปลอด พ้นจากความทุกข์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยปัญญา : cultivation of wisdom; intellectual development) 3. หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านสังคม สังคหวัตถุ 4 เป็นหลักธรรมที่ก่อให้เกิดความสามัคคีอีกหลักหนึ่ง ที่กล่าวไว้ในพระพุทธศาสนาในแง่ ของการมีมิตรสหาย หรือบริหารที่ดีจริง พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ถึงความสำคัญของการมีมิตรสหายที่ดีไว้ใน อุปัฑฒสูตรว่า “ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว มีด้วยกัน 4 ประการ คือ 1. ทาน คือ การให้ การแบ่งปัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเสียสละ การช่วยเหลือด้วยทุน การแบ่งปันสิ่งของแก่ผู้อื่นที่สมควรให้ ตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจและศิลปะวิทยาการ รวมไปถึงการให้อภัย แก่ผู้อื่นทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะการช่วยเหลือสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน การให้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1.1 อามิสทาน คือ การให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น การให้ วัตถุทานมีอยู่ 10 อย่าง ได้แก่
21 1.1.1 ข้าว หมายถึง อาหาร 1.1.2 น้ำดื่ม เช่น น้ำหวาน บ่อน้ำ ถังน้ำ 1.1.3 ผ้า เช่น ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว 1.1.4 ยานพาหนะ เครื่องอุปกรณ์การไป เช่น ร่ม รองเท้า ถนน สะพาน 1.1.5 ดอกไม้ ต้นไม้ดอก ต้นไม้ใบ 1.1.6 ของหอม เครื่องกำจัดกลิ่นชั่ว 1.1.7 เครื่องตบแต่ง เช่น ธงทิวและเครื่องย้อมเครื่องทา 1.1.8 ที่นอน ที่อยู่ เช่น เสื่อ หมอน มุ้ง 1.1.9 ที่พัก เครื่องรับรอง ศาลา ม้านั่ง 1.1.10 ประทีป ธูป เครื่องแสงสว่าง ทานวัตถุ 10 อย่างนี้ เป็นเกณฑ์พิจารณาในขั้นแรกว่าของที่ควร 1.2 ธรรมทาน คือ การสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน เช่น ให้วิชาความรู้ ให้คำแนะนำสั่งสอน ในทางที่ดี ให้คำตักเตือนเมื่อหลงทางผิด และที่ทำให้ง่ายที่สุดคือการให้หนังสือธรรมะเป็นทาน ในบรรดาการ ให้ทั้งหลาย ไม่ว่าเป็นข้าวน้ำ วัตถุสิ่งของ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการให้ธรรมเป็นทานว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ที่สุด และเป็นสุดยอดแห่งการให้ทานทั้งปวง ธรรมทานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การให้ความรู้ทางโลกและ การให้ความรู้ทางธรรม การให้ความรู้ทางโลก คือ การสั่งสอนให้เกิดความรู้ความสามารถในทางศิลปวิทยาเพื่อ ไปประกอบสัมมาอาชีพในการเลี้ยงชีพ เรียกว่า วิทยาทาน ส่วนการให้ความรู้ทางธรรมนั้น จัดเป็นธรรมทาน โดยแท้เพราะว่าการให้ธรรมเป็นทานเปรียบเสมือนเป็นการให้ขุมทรัพย์ หรือให้ประทีปที่ให้แสงสว่างที่จะเป็น เครื่องส่องทางในชีวิต ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้องดีงามนำไปสู่ความสุข ความเจริญ เมื่อยังเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏ ย่อมไม่เป็นผู้ที่ตกต่ำ ย่อมมีชีวิตที่ดีงามเกิดในสุคติภพ เมื่อสั่งสมบารมีแก่กล้าแล้วย่อมละกิเลส ได้โดยสิ้นเชิง เรียกว่า ธรรมทาน 1.3 อภัยทาน คือ การให้อภัยแก่คนหรือสัตว์ (พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย เล่ม 9 ข้อ 3 : 618) การปล่อยวางความผูกโกรธให้หมดไปจากใจ การให้ที่ไม่มีภัย การให้ความปลอดภัย (สถาบันบันลือธรรม , ม.ป.ป. : 19) ความไม่มีภัยแก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ถือโทษโกรธเคืองในการล่วงเกินของคนอื่น ไม่มีเวรผูกเวรกับผู้ หนึ่งใด การให้อภัยเป็นการยอมรับตัวตนภายในที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน ว่าเหมือนกันหรือแตกต่างกัน อย่างไร การให้อภัยเป็นการให้ทานที่ไม่ต้องลงทุนอะไร และเป็นการให้ที่ง่ายแสนง่ายแต่ก็ทำได้ยากเนื่องจากมี กิเลสอยู่ในใจต้องอาศัยการขัดเกลาจากการปฏิบัติธรรมอยู่บ่อยๆ จนกิเลสเบาบางเกิดความแจ่มแจ้งในพระสัจ ธรรมจนสามารถให้อภัยแก่ทุกสิ่งทุกอย่างได้ (ปิยโสภณ, ม.ป.ป. : 7) 2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคาย ก้าวร้าวพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะการพูดเป็นบันไดขั้นแรกที่ จะสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น วิธีการที่จะพูดให้เป็นปิยวาจานั้น จะต้องพูดโดยยึดถือหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
22 2.1 เว้นจากการพูดเท็จ การพูดเท็จ คือ การพูดเรื่องที่ไม่เป็นความจริง พูดไม่ตรงตามที่เห็นมา ด้วยตาได้ยินมาด้วยหู มีความมุ่งหมายทางวาจาโดยตรง แต่การใช้สิ่งที่แทนคำพูด แทนวาจา ก็จัดเป็นการพูด เท็จได้เช่นกัน ก. การใช้กิริยาท่าทางแทนคำพูดทำให้คนเข้าใจผิด ข. การเขียนหนังสือ การสร้างเอกสาร รายงานอันเป็นเท็จ ค. การทำเครื่องหมายให้คนอื่นหลงเชื่อและเข้าใจผิด ง. การสร้างหลักฐานปลอม จ. การทำบุ้ยใบ้ให้คนอื่นหลงเชื่อและเข้าใจผิด 2.2 เว้นจากการพูดส่อเสียด การพูดส่อเสียด คือ การพูดเรื่องจริงที่ให้ร้ายคนอื่น พูดเสียดสี พาดพิงให้คนอื่นเจ็บแค้นแทงใจดำ พูดจาเหน็บแนม กระทบกระเทียบถากถาง เย้ยหยันให้คนอื่นได้รับความ เสียหาย เสียใจ คับแค้นใจ ขุ่นเคืองใจ เหล่านี้เป็นต้นคือลักษณะของการพูดส่อเสียด 2.3 เว้นจากการพูดคำหยาบ การพูดคำหยาบ คือ การด่า การแช่ง ด้วยความไม่พอใจ เนื่องด้วย ความโกรธเคืองเพราะสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คำหยาบเป็นคำที่คนอื่นฟังแล้วเก็บไปคิดแล้วเกิดความทุกข์ ทรมานใจ 2.4 เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ การพูดเพ้อเจ้อ คือ การพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางเป็นไป ได้ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง แต่ก็ฝืนพูดออกไปให้คนอื่นเชื่อ เหมือนกับโฆษณาชวนเชื่อที่พูดเกินความเป็นจริง ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า การพูดเพ้อเจ้อ 3. อัตถจริยา คือ การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น เป็นการำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย แรงกายขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่นในกิจกรรมต่างๆ บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์รวมทั้งการแก้ปัญหาในด้านต่างๆ อัตถจริยาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 3.1 การทำตนให้เป็นประโยชน์ คือ การทำตนให้มีคุณค่าในสังคมที่ตนอาศัยอยู่ 3.2 การทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ เมื่อทำตนให้เป็นประโยชน์แล้วจะต้องบำเพ็ญตนให้เป็น ประโยชน์แก่ผู้อื่น ด้วยความเกื้อกูล มีน้ำใจไมตรีต่อกัน บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นและสังคมตาม ความสามารถ 4. สมานัตตา คือ การวางตนสม่ำเสมอ ทำตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้ ให้ความเสมอภาค ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่าง สม่ำเสมอ ไม่ถือตัว ไม่หยิ่งจองหอง เป็นการวางตนให้สมกับฐานะของตน สมานัตตาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท (พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย เล่ม 11 ข้อ 210 : 171) ดังนี้ 4.1 การวางตนให้เหมาะสมกับฐานะที่ตนอยู่ในสังคม ตนอยู่ในฐานะอะไรก็วางตนให้เหมาะสมที่ ตนมีอยู่และทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เช่น เป็นพ่อ แม่ ก็ประพฤติตนให้เหมาะสมกับฐานะความเป็นพ่อเป็น แม่ เป็นครูเป็นอาจารย์ก็ทำตัวให้เหมาะสมกับฐานะของความเป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นต้น 4.2 การปฏิบัติตนอย่างเสมอต้นเสมอปลายต่อผู้อื่น ให้ความเสมอภาค ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ร่วมสุข ร่วมทุกข์ ร่วมรับรู้ปัญหาและร่วมแก้ไขปัญหาเพื่อประโยชน์ของสังคม
23 การวางตนให้สม่ำเสมอเพื่อให้เกิดความเสมอภาค เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสังคมสงเคราะห์ เนื่องจากจะได้สงเคราะห์ผู้อื่นตามความเป็นจริงไม่ลำเอียงในการสงเคราะห์ช่วยเหลือจะทำให้การสงเคราะห์ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้อื่นได้อย่างแท้จริง พระพุทธองค์ตรัสว่า กรให้ทาน การพูดจาไพเราะ การประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ในโลกนี้ การ เป็นผู้มีตนสม่ำเสมอในธรรมทั้งหลายตามสมควร คือ สังคหวัตถุธรรม ซึ่งเป็นธรรมเครื่องสงเคราะห์โลก ประดุจ สลักเพลาควบคุมรถที่แล่นไปอยู่ไว้ได้ ถ้าสังคหวัตถุธรรมไม่มีแล้ว มารดา บิดา ก็จะไม่สงเคราะห์บุตรให้คู่ควร แก่การบูชา (พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย เล่ม 21 ข้อ 32 : 51) สังคหวัตถุ 4 ประการ ถือเป็นหลักธรรมที่มี ความสำคัญเป็นอย่างมากในการสังคมสงเคราะห์ พรหมวิหาร 4 เป็นธรรมในการกำกับความประพฤติ ให้มีชีวิตที่งดงาม ประเสริฐและบริสุทธิ์ ปฏิบัติ ตนต่อมนุษย์และสัตว์โดยชอบ มี 4 ประการ คือ 1. เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่ มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า ใช้เพื่อให้รู้จักมองแง่ดีหรือส่วนที่ดีของผู้อื่น ประโยชน์ในการนำเมตตามาประยุกต์ใช้ในการ ดำเนินชีวิตคำว่า เมตตานั้น หมายถึงความปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตใจอันแผ่ไมตรีและคิดทำ ประโยชน์ ประสบความสำเร็จทุกๆด้านที่พวกเขาปรารถนามีความเจริญรุ่งเรือง ไร้อุปสรรคในการดำเนินชีวิต แก่บุคคลอื่น ดังที่ ไชยวัฒน์ กปิลกาญจน์ กล่าวไว้ว่า “เมตตานี้ เป็นธรรมที่เมื่อยังไม่เกิดก็ควรให้เกิดขึ้น ที่ เกิดขึ้นแล้วก็ควรทำให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป” ความรักที่เกิดจากเมตตานั้นย่อมก่อให้เกิดความเสียสละแบ่งปันหรือ กรบริจาคสิ่งของต่างๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จากบุคคลเหล่านั้น แต่ตรงกันข้ามหากความเมตตาเจือไป ด้วยตัณหา ซึ่งเป็นข้าศึกใกล้ของเมตตาดังที่กล่าวมาแล้วย่อมหวังผลตอบแทนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเมตตาที่มี ตัณหาเข้ามาเจือปนเช่นนี้ย่อมเป็นสาเหตุนำไปสู่ความทุกข์ ความเสียใจหากไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนา ความเศร้า โศก ความเดือดร้อนย่อมเกิดจากสิ่งที่รักที่ตนปรารถนา เมื่อไม่ได้สิ่งนั้นแล้วย่อมก่อทุกข์ 2. กรุณา คือ ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อน ของปวงสัตว์ กล่าวคือ เมื่อเพื่อนร่วมงานประสบผิดหวัง ทำให้มีความสงสารหวั่นใจ และคิดหาทางช่วยให้เขา พ้นทุกข์นั้น ซึ่งความสงสารจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเปิดใจกว้างรับฟังปัญหาของคนอื่น ในทางพระพุทธศาสนานั้น เรื่องกรุณาเป็นคุณธรรมที่ได้รับการยกย่องเพราะผู้ใดปฏิบัติแล้วย่อมเป็นที่รักของบุคคลที่ได้รับการช่วยเหลือ และผู้ที่ได้พบเห็นหรือรับรู้ เมื่อได้แสดงความปรารถนาดีและช่วยเหลือสงเคราะห์แก่บุคคลที่ที่ได้รับทุกข์หรือ ประสบปัญหาให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ และเขาสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้เท่าที่จะเป็นไปได้ 3. มุทิตา คือ ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง ประกอบด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบาน อยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป ซึ่งเป็น หลักธรรมที่ต้องใช้ส่งเสริมให้คนทำงานมีโอกาสพัฒนาความรู้ความสามารถจนได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นและได้ ทำงานแสดงความสามารถเต็มที่และพลอยชื่นชมยินดีในความก้าวหน้าของคนร่วมงาน ทำให้เพื่อนร่วมงาน ทุ่มเททำงานให้ประสบความสำเร็จ เพราะว่ามุทิตาจะทำลายความริษยาในใจ ถ้าหัวหน้างานมีจิตริษยาต่อ เพื่อนเสียแล้วจะรับรู้ความริษยานั้นและจะไม่ทุ่มเททำงานให้
24 4. อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมี จิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตาชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อัน ควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวาง เฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขา ควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน จะเห็นได้ว่า พรหมวิหาร 4 คือ ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ของพรหมธรรมประจำใจอันประเสริฐหลักความ ประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์ หรือธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักและกำกับความประพฤติ จึงจะชื่อว่าดำเนินชีวิตหมด จดและปฏิบัติต่อมนุษย์สัตว์ทั้งหลายโดยชอบประกอบด้วย เมตตา ความรักใคร่ กรุณา ความสงสารมุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุขและอุเบกขา วางตัวเป็นกลางและเป็นหลักธรรมสำหรับมนุษย์ผู้มีจิตใจ ประเสริฐทุกคน เป็นธรรมอันเป็นหลักปฏิบัติสำหรับท่านผู้ใหญ่ เป็นธรรมสำหรับบิดามารดา เป็นสัญลักษณ์ ของพระพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมที่มีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานของคนในสังคม กล่าวคือ พรหมวิหารมีคุณค่ากับการทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ เพราะว่าพรหมวิหารคือหลักธรรมสำคัญที่ทุกคนใน สังคมไทยใช้เป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ต่อกัน ทำให้พ่อแม่ลูกในสังคมไทยกระทำหน้าที่ต่อกันอย่างเหมาะสม กับสถานการณ์และถูกต้องตามหลักจริยธรรมและกฎหมายบ้านเมือง และมีคุณค่าในการทำหน้าที่ต่อกันได้ อย่างราบรื่นมีความสุขและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้การถ่ายทอดความรู้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล นอกจากนี้ พรหมวิหารยังทำให้การทำงานต่างๆราบรื่นและผู้ทำงานต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีความสุข และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในการทำงานของตนและของคนอื่นเพื่อประโยชน์สูงสุด หลักสาราณียธรรม 6 (วิ.ป. (ไทย) 8/274/368) (สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต, 2559) เป็น หลักธรรมที่ช่วยให้เกิดความสามัคคีกัน 6 ประการ เป็นหลักธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง เป็นหลักธรรม ที่จะเสริมสร้างความรู้สึกที่ดีให้เกิดขึ้นต่อกันและกันอยู่เสมอในยามที่ระลึกถึงกัน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการ เสริมสร้างความสามัคคีมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้เกิดขึ้นด้วย สาราณียธรรม ทั้ง 6 ข้อ ดังนี้ 1. เมตตากายกรรม ควรแสดงออกทางกายด้วยความเมตตา ด้วยกิริยาอาการที่สุภาพเรียบร้อย อ่อนโยน แสดงไมตรีและความหวังดีต่อกัน มีการช่วยเหลือมีการให้ความร่วมมือ เคารพในสิทธิและเสรีภาพ ของผู้อื่น ให้ความสำคัญแก่สมาชิกทุกคนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เพศ หรืออายุ เพราะถือว่าสมาชิกทุกคนมี ความเสมอภาคทางด้านสังคม ไม่ควรให้ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมมาเป็นเครื่องกำหนดให้บุคคล หนึ่งเหนือกว่าบุคคลหนึ่ง ควรคิดว่าคนทุกคนเท่าเทียมกัน ในฐานะของความเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีคุณค่าและ มีความสำคัญเท่าเทียมกันโดยไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือถูกกลั่นแกล้ง 2. เมตตาวจีกรรม ควรแสดงออกทางวาจาด้วยความเมตตา ด้วยคำพูดที่สุภาพน้ำเสียงที่ไพเราะชวน ฟังบอกถึงความหวังดีแก่กัน ช่วยบอกแจ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ สั่งสอนหรือแนะนำตักเตือนกันด้วยความหวังดี แสดงความเคารพนับถือกัน ใช้เหตุผลในการเจรจากันโดยใช้ปัญญา ไม่แสดงอาการโกรธกริ้ว ไม่ใช้อารมณ์ใน การแก้ปัญหา ทะเลาะโจมตีด่าว่ากัน พูดด้วยความหวังดีต่อกันและมุ่งประโยชน์ต่อส่วนรวม
25 3. เมตตามโนกรรม ควรแสดงออกทางใจด้วยความเมตตา โดยตั้งจิตปรารถนาดีต่อกัน นึกคิดแต่ในสิ่ง ที่จะก่อประโยชน์ให้แก่กันและกัน ไม่คิดเบียดเบียนมุ่งร้ายผู้อื่น ตั้งจิตปรารถนาดี คิดทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อ ส่วนรวม มองกันในแง่ดี มีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแสดงความรักและไมตรีอย่างจริงใจโดยไม่มีอบายซ่อนเร้น ไม่มี ลักษณะที่เรียกว่าจุดร่วมสงวนจุดต่าง แต่เป็นแบบว่ายอมรับจุดต่างและอยู่ด้วยจุดร่วม คือ แม้จะมีความ แตกต่างโดยผิวพรรณ เชื้อชาติ สิทธิศาสนา และสติปัญญา ก็รับรู้และยอมรับกันตามเป็นจริง ไม่ถือเป็นเหตุที่ จะแบ่งแยกรังเกียจเดียดฉันท์กัน 4. สาธารณโภคีจะต้องแบ่งปันในสิ่งของที่ได้มาโดยชอบธรรม มีความสุขในการให้ แม้เป็นของ เล็กน้อยก็ไม่หวงนำเฉลี่ยแบ่งปันให้ได้ใช้สอยบริโภคทั่วกัน มีการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม มิใช่ช่องว่าง ระหว่างชนชั้นมากนัก 5. ศีลสามัญญตา ควรมีความประพฤติ รักษาระเบียบวินัย มีความสุจริตทางกาย วา จา ที่จะ กลมกลืนเข้ากันได้ มีความประพฤติดีงามต่อกัน ถูกต้องตามระเบียบวินัยของบ้านเมือง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ ก่อความเดือดร้อนแก่สังคม จะต้องประพฤติตนในข้อปฏิบัติเดียวกัน ปฏิบัติตามกฎหมาย เชื่อและยึดถือเคารพ ในสิ่งเดียวกันของสังคม ไม่ทำตัวเป็นแกะดำในวงสังคม มีความเสมอภาคส่วนบุคคล ขจัดการเอารัดเอาเปรียบ ระหว่างสมาชิกในสังคม ทุกคนจะต้องอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขโดยการยึดมั่นในระเบียบวินัย กฎเกณฑ์กติกา สังคมจะต้องร่วมกันรักษา ผดุงความยุติธรรมเคารพกฎระเบียบค่านิยมของสังคม 6. ทิฏฐิสามัญญตา จะต้องมีความเชื่อมั่นยึดมั่นถือในหลักการ อุดมการณ์ และอุดมคติที่ร่วมกันหรือ สอดคล้องไปกันได้ ยอมรับนับถือความคิดเห็นของกันและกัน ทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออกซึ่งการเป็นเจ้าของ อำนาจอธิปไตย จะเห็นได้ว่า สาราณียธรรม 6 เป็นหลักธรรมสำหรับสร้างความสามัคคีปรองดองในการแสดงออกถึง หน้าที่และความสัมพันธ์ของคนในรัฐควรปฏิบัติต่อกันในสังคม เพื่อความสามัคคี อยู่ร่วมกันในสังคมมี ความเห็นใจกัน และมีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันต่อหน้าและลับหลัง ทำให้เกิดความระลึกถึงกันสร้างสรรค์ให้เกิด ความรัก ความเคารพ การสงเคราะห์ อนุเคราะห์กัน ไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกัน เสริมสร้างให้เกิดความ สามัคคีในสังคม ก็จะทำให้มีความมั่นคงและเป็นเอกภาพได้ ทำให้เกิดความรักใคร่ ปรองดองกัน ทำให้เกิด ความเคารพ มีสัมมาคารวะต่อกัน ทำให้เกิดการสงเคราะห์ ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน ทำให้เกิดความไม่วิวาท บาดหมางกัน ทำให้เกิดความพร้อมเพรียง สมัครสมานสามัคคีกัน และทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทิศ 6 จัดว่าเป็นอารยะ คือ ระเบียบแบบแผนอันประเสริฐ เพราะเป็นการทำหน้าที่ของตนได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมกับสถานะที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นๆ ซึ่งพระพุทะเจ้าทรงจำแนกไว้ 6 ทิศ ได้แก่ 1. ปรัตถิมทัศ ทิศเบื้องบน คือ ทิศตะวันออก ได้แก่ มารดาบิดา เพราะทำอุปการะแก่เรามาก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างบุตร-ธิดา กับบิดามาดาหน้าที่ของบุตรโดยสรุป คือ เลี้ยงดูพ่อแม่ประพฤติตน เป็นคนดีตามคำสอนของท่าน ดำรงวงศ์ตระกูล และเมื่อท่านเสียชีวิตไปแล้วทำบุญอุทิศให้ท่านในส่วนของพ่อ แม่ท่านย่อมอนุเคราะห์บุตร-ธิดา โดยการสอนให้เป็นคนดี ให้ศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้มีวิชาความรู้ สามารถที่จะ
26 ทำมาหากินเลี้ยงชีพได้ เมื่อเห็นว่าลูกสามารถที่จะเลี้ยงตนและครอบครัวได้แล้วให้แต่งงาน และมอบทรัพย์ให้ เพื่อเป็นทุนในการทำมาหากินและสร้างความมั่นคงแก่ชีวิต พระคุณอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นเริ่มตั้งแต่การให้อันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างใน ชีวิตนั่นคือการให้ชีวิต เพราะฉะนั้นลูกควรคำนึงอยู่เสมอว่าลมหายใจที่ตนมีทุกวันนี้พ่อแม่เป็นคนให้มา ลูกที่ กล้าทำลายชีวิตของผู้ให้กำเนิดตนจึงเป็นบาปอย่างมหันต์ ไม่เพียงแต่ให้ชีวิตเท่านั้น ท่านต้องดูแลเลี้ยงดูผู้ที่ตน ให้กำเนิดมาด้วยความรักความปรารถนาดีอย่างไม่มีความรักของผู้ใดเสมอเหมือน ซึ่งแม้บางครั้งลูกจะไม่เคย มองเห็นความรักของท่านก็ตาม พ่อแม่จะหมดห่วงก็ต่อเมื่อลูกนั้นมีหน้าที่การงานที่มั่นคง สามารถเลี้ยงตนและ ครอบครัวได้ แม้ลูกหลายคนจะไม่สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ตนให้มีความสุขเหมือนกับที่ท่านเลี้ยงตนมา ท่านก็ไม่ เคยทวงบุญคุณท่านด้วยการประพฤติตนเป็นคนดีและเลี้ยงดูท่านให้มีความสุขจึงได้ชื่อว่าเป็นลูกที่สมบูรณ์ ควร แก่การยกย่องว่าเป็นคนดี หน้าที่ที่พ่อแม่และลูกพึงทำต่อกันนี้ไม่ต้องให้ใครมาบังคับให้ทำ แต่เป็นการทำตาม จิตที่สำนึก ทำดีเพราะเห็นค่าของความดี และครอบครัวที่ดีนั้นย่อมเป็นฐานที่ดีของสังคม ผู้ใดไม่อาจทำหน้าที่ ของพ่อแม่ได้ เช่น นำลูกไปทิ้งเพราะไม่อาจเลี้ยงดูได้ ผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด ส่วนผู้ให้กำเนิดบุตรและเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนบุตรด้วยจิตใจที่เสียสละบริสุทธิ์ มีสุขในเวลาที่เห็นลูกสุขสบาย และเป็นทุกข์ในเวลาที่เห็นลูก ลำบากเดือดร้อน ผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ 2. ทักษิณทิศ ทิศเบื้องขวา คือ ทิศใต้ ได้แก่ ครูอาจารย์ เพราะเป็นทักขิไณยบุคคล ควรบูชาคุณ ความสัมพันธ์ระหว่างครู อาจารย์ กับศิษย์หน้าที่ของศิษย์โดยสรุป คือ มีความเคารพครูอาจารย์ รับใช้ช่วยเหลือท่าน เชื่อฟังและตั้งใจเรียน ส่วนครูอาจารย์ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์โดยการสอนให้ศิษย์มีความรู้ดี และเป็นคนดี ยกย่องชมเชย และเมื่อเรียนจบแล้วไม่ทอดทิ้ง คอยส่งเสริมศิษย์ให้ได้รับความสะดวกสบาย ครูอาจารย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่คนที่สองของศิษย์ เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดในวิทยาการต่างๆ แก่ ศิษย์ อาจกล่าวได้ว่า ครูอาจารย์นั้นมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) ครูอาจารย์ที่สอนตามหน้าที่ 2) ครูอาจารย์ที่ สอนมากกว่าหน้าที่ บรรดาครูอาจารย์ทั้ง 2 ประเภทนี้ ครูอาจารย์ประเภทแรกท่านมรหน้าที่สอนสอนศิษย์ให้ มีความรู้เหมือนกับที่ท่านมีความรู้เพราะได้เรียนรู้มาจากครูบาอาจารย์ของท่าน ครูอาจารย์ประเภทนี้มักถูก เรียกว่า “เรือจ้าง” คือมีหน้าที่พาศิษย์ให้ถึงฝั่งแห่งความรู้แลกกับค่าจ้างสอนที่ได้รับตอบแทนจากสถานศึกษา นั้นๆ อย่างไรก็ตามอาชีพครูอาจารย์เป็นอาชีพที่มีเกียรติ เพราะมีคุณูปการต่อศิษย์ในฐานะเป็นผู้ให้ความรู้ ศิษย์ที่ลืมบุญคุณของครูอาจารย์ หรือประพฤติเสียหายต่อครูอาจารย์ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนอกตัญญู แม้จะเก่ง อย่างไรก็ไร้เกียรติ ส่วนครูอาจารย์ประเภทที่สองท่านจะสอนด้วยความรักความปรารถนาดีต่อศิษย์ ไม่คำนึงถึง ค่าตอบแทนเป็นที่ตั้ง หวังเพียงให้ศิษย์เป็นคนดีมีความรู้และประสบความสำเร็จในชีวิตท่านก็พอใจแล้ว ครู อาจารย์ประเภทนี้มีจิตวิญญาณเป็นครูสูง หลายๆท่านเคี่ยวเข็ญศิษย์จนทำให้ศิษย์ไม่พอใจก็มี แต่ครูอาจารย์ ประเภทนี้เป็นที่ประสบความสำเร็จในการสอนให้ศิษย์นั้นเป็นคนดีและมีความรู้ เพราะคนเรามักจะมีสติและ สำนึกตนได้เมื่อได้รับการตักเตือนให้สำนึกด้วยความจริงใจและจริงจัง อาจารย์ที่ดีจะได้รับการนับถือจากศิษย์ ว่าเป็นอาจารย์ตลอดไป ไม่ใช่เป็นได้เพียงผู้สอนเท่านั้น พอหมดหน้าที่ก็ไม่มีความสัมพันธ์ในฐานะครูอาจารย์ กับศิษย์ แม้ศิษย์ก็เช่นเดียวกัน คือศิษย์ที่ดีนั้นจะอยู่ในใจของอาจารย์ตลอดไป ไม่ใช่สักแต่ว่าผู้มาเรียนเอา
27 ความรู้เท่านั้น เรียนจบแล้วก็ไม่มีความสัมพันธ์กัน อย่างนี้ไม่ควรเรียกว่าศิษย์ ดังนั้นจะเห็นว่าแก่นแท้ของความ เป็นครูอาจารย์และศิษย์นี้เกิดขึ้นจากคุณลักษณะโดยธรรมชาติ ครูที่เป็นครูของโลก คือ พระพุทธเจ้า พระองค์ ไม่ได้ทรงศึกษาเล่าเรียนวิชาชีพมาเพื่อเป็นครู แต่เป็นการศึกษาและปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงแล้วนำ ความรู้นั้นมาสอนคนอื่นให้รู้ตามเพื่อความพ้นทุกข์ ซึ่งการสอนให้ผู้อื่นถึงฝั่งแห่งความสิ้นทุกข์ได้นี้เป็นการสอน ที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีตำราเรียนในมหาวิทยาลัยใดๆ แต่เกิดจากความบริสุทธิ์แห่งพระปัญญาและพระกรุณาคุณอัน ยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์ผู้ยังจมอยู่ในความทุกข์ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงได้ชื่อว่า “ทรงเป็นครูของเทวดาและ มนุษย์ทั้งหลาย” 3. ปัจฉิมทิศ ทิศเบื้องหลัง คือ ทิศตะวันตก ได้แก่ บุตรภรรยา เพราะติดตามเป็นกำลังสนับสนุน ความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา หน้าที่ของสามีและภรรยาโดยสรุปคือ ให้เกียรติโดยการไม่ นอกใจ ยกย่อง ไม่ดูหมิ่น ให้มีบทบาทในหน้าที่การงาน (งานบ้าน) และให้เครื่องแต่งตัว เพราะผู้หญิงเป็นเพศที่ รักความสวยงาม ส่วนภรรยาก็ขยันทำงาน ให้เกียรติสามีโดยการไม่นอกใจ ดีต่อญาติพี่น้องและคนที่นับถือกัน ของสามี และรักษาทรัพย์ของครอบครัว การใช้ชีวิตบทพิสูจน์แห่งการเข้าใจกัน ความมีน้ำใจเสียสละและความอดทนต่อกัน ฉะนั้นจะไม่ แปลกใจที่ชีวิตคู่ของหลายๆคนไปไม่รอดเพราะความไม่เข้าใจกันและหมดความอดทนต่อกัน กล่าวคือ การใช้ ชีวิตโสดเป็นรูปแบบที่มีความสะดวกสบายในแง่ของความมีอิสระ สนใจหรือต้องการเรื่องใดตนเองก็สามารถทำ ตามความต้องการนั้นได้ แต่ชีวิตคู่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นความเข้าใจและเป็นความต้องการของคนสองคนที่ ต้องหลอมรวมกันให้ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องยอมให้กับอีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม เพื่อให้เรื่องนั้นๆ สามารถดำเนินไปได้ แม้ฝ่ายที่ยอมนั้นจะไม่เห็นด้วยก็ตาม คู่ครองชีวิตที่มีความสุขและสามารถใช้ชีวิตคู่ให้ เป็นไปด้วยดีได้นั้นต้องเป็นคู่ครองมีความเสมอเหมือนกันทั้งเรื่องของทัศนคติและพฤติกรรม ซึ่งเรื่องนี้ พระพุทธศาสนาจำแนกไว้ 4 ประการ คือ 1) ศรัทธา 2) ศีล 3) การเสียสละ 4) ปัญญา หากคุณสมบัติทั้ง 4 ประการนี้แตกต่างกัน ย่อมทำให้มีความยากลำบากในการอยู่ร่วมกันจนถึงอาจหย่าร้างไปในที่สุด หรือแม้จะอยู่ ด้วยกันก็ไม่มีความสุข ต่างกันมากก็มีความยากลำบากมาก ต่างกันน้อยก็มีความยากลำบากน้อย ไม่มีความ ต่างกันก็ไม่มีความลำบากเพราะการปรับตัวเข้าหากัน หากจะมีความลำบากก็เป็นเรื่องอื่น และอาจกล่าวได้ว่า ชีวิตคู่ที่มีความสุขคือชีวิตที่ใช้ความอดทนต่อกันและปรับตัวเข้าหากันน้อยที่สุด ส่วนชีวิตคู่ที่ไร้ความสุขคือชีวิต ที่ต้องอดทนกันและปรับตัวเข้าหากันมาก บรรดาองค์ธรรมทั้ง 4 ประการนี้ พฤติกรรมทางกายคือการให้เกียรติ กันโดยไม่นอกใจกันและทัศนคติคือความเห็นตรง/ไม่ตรงกันนี้มีความสำคัญมาก เป็นตัวชี้วัดของการอยู่ร่วมกัน ว่าไปรอดหรือไม่รอด มีความสุขหรือไม่มีความสุข คุณค่าความเป็นผู้ปกครองหรือผู้นำครอบครัวจะสมบูรณ์เมื่อ มีบุตร-ธิดาเป็นทายาทสืบสกุล ชีวิตคู่ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่หากเป็นศิลปะแห่งการอยู่ร่วมกัน 4. อุตตรทิศ ทิศเบื้องซ้าย คือ ทิศเหนือ ได้แก่ มิตรสหาย เพราะเป็นผู้ช่วยให้ข้ามพ้นอุปสรรคภัย อันตราย และเป็นกำลังสนับสนุนให้บรรลุความสำเร็จ ความสัมพันธ์ระหว่างมิตรหน้าที่ของมิตรโดยสรุปเป็นการสงเคราะห์กัน โดยการแบ่งปัน พูดดี ไม่ หลอกลวงกัน ประพฤติประโยชน์ต่อผู้อื่น และเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย เป็นที่พึ่งของมิตรผู้ประมาทแล้วและ นับถือญาติพี่น้องของมิตร
28 มิตรคือผู้มีความเยื่อใยต่อกัน ปรารถนาดีต่อกัน โดยความเป็นมิตรนั้นเริ่มต้นจากการคบหากัน ซึ่ง การคบนี้บางคนก็ตั้งใจเลือกคบเพราะเห็นว่าเป็นคนที่น่าคบ บางคนเริ่มจากการที่ต้องมีความเกี่ยวข้องกันบาง ประการ เป็นไปด้วยความไม่ตั้งใจ แต่ความจริงใจต่อกันจะช่วยสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น ส่วนการคบเพราะ เห็นแก่ประโยชน์ไม่จัดอยู่ในคุณสมบัติของการเป็นมิตร คำว่า “มิตร” มีความหมายมากเกินกว่าที่จะใช้ “จริยธรรม” มาเป็นกรอบกำหนดคุณค่า เพราะมิตรที่ดีของคนที่คบด้วยนั้นอาจเป็นคนที่ยอมรับละเมิด ประพฤติผิดจริยธรรมบางอย่าง (ที่ไม่ใช่การเบียดเบียนผู้อื่น) เพื่อทำประโยชน์แก่มิตร เช่น ยอมปกปิดความลับ ของเพื่อนเพื่อป้องกันมิตรกล่าวให้คำใจง่ายๆ ก็คือมิตรที่ดีอาจไม่ใช่คนที่ดีสำหรับคนอื่น ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่ ตัดสินจากเกณฑ์ของจริยธรรม แต่ตัดสินจากน้ำใจและความรักที่มีต่อมิตรภาพจะมีความยั่งยืนหากรู้จักรักษาไว้ ด้วยความเข้าใจกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ปรารถนาดีต่อกัน ไม่เป็นผู้รับฝ่ายเดียว ต้องรู้จักการเป็นผู้ให้ด้วยสามารถรับ เพื่อนได้ทุกอย่าง เห็นมิตรประมาทก็ต้องกล้าตักเตือน ต้องรู้จักระวังคำพูด ไม่ยึดประโยชน์เป็นที่ตั้ง ซื่อสัตว์ และมีความมั่นคงต่อกัน หากคนคบกันมีลักษณะตรงกันข้ามจากคุณสมบัติที่กล่าวมานี้ก็จัดว่าเป็นมิตรเทียม คือ สักว่าแต่ได้คบกันเท่านั้น เหมือนจะเป็นมิตรแต่ไม่ใช่ มิตรกับเพื่อนมีความเหมือนและแตกต่างกัน คือมิตรเป็นเพื่อนก็ได้ ไม่ใช่เพื่อนก็ได้ แต่เพื่อนหมาย เอาคนอยู่ในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน มิตรภาพของเพื่อนเกิดจากความใกล้ชิดกัน คลุกคลีกัน เห็นนิสัย ของกัน ปัจจัยอื่นๆที่ช่วยส่งเสริมความเป็นมิตรและเพื่อนให้แน่นแฟ้น เช่น เชื้อชาติ ถิ่นอาศัย เป็นต้น ความ เป็นมิตรนี้อาจซื้อได้ด้วยเงิน ไม่ใช่การจัดตั้งขึ้น แต่เป็นโดยธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันและเห็นน้ำใจกัน และ จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาอธิบายลักษณะของกัลยาณมิตรในมิติของอาจารย์กับศิษย์ คืออาจารย์ที่มีคุณสมบัติ ของผู้เป็นมิตรที่ดีนั้นต้องเป็นคนน่ารัก หนักแน่น น่ายกย่องสรรเสริญ กล้าว่ากล่าวตักเตือน อดทนต่อคำพูดที่ ตนไม่พอใจได้ สอนเรื่องที่ยากหรือลึกซึ้งได้ และไม่แนะนำหรือชักชวนในเรื่องเสียหาย หากพิจารณาจากเรื่องที่ กล่าวมานี้ ความเป็นกัลยาณมิตรมีคุณลักษณะทางจริยธรรมมากกว่าความเป็นมิตรธรรมดา คือนอกจากจะมี ความดีเป็นที่ตั้งแล้วยังต้องมีความสามารถอีกด้วย 5. เหฏฐิมทิศ ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ คนรับใช้และคนงาน เพราะเป็นผู้ช่วยทำการงานต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับลูกน้อง หน้าที่ของนายโดยสรุปเป็นการให้ คือให้ทำงานที่เหมาะสม ให้รางวัล และให้กำลังใจ ส่วนลูกน้องต้องเป็นคนขยันขันแข็ง พัฒนาตนอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ และเคารพยกย่อง นาย ความสัมพันธ์ของคู่นายกับลูกน้องนี้ค่อนข้างมีความเป็นอริยวินัยน้อยกว่าคู่อื่นๆ เพราะโดยมาก เป็นความเกี่ยวข้องกันตามหน้าที่หรือผลประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งนายและลูกน้องจะไม่มีคุณความ ดีให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นคุณค่าเสียทีเดียว เพราะนายที่ดีย่อมเป็นที่รักและเคารพของลูกน้อง และลูกน้องที่ดีย่อม เป็นที่รักและเอ็นดูของนายเช่นกัน ลูกน้องเก่งคือมีความขยันขันแข็งในหน้าที่การงานที่รับผิดชอบ มีความ รับผิดชอบสูง ไม่ทำงานให้เสียหาย มีความกระตือรือร้น หมั่นพัฒนาตนและงานอยู่เสมอ เจ้านายย่อมพอใจ ลูกน้องที่สนองงานเก่ง สามารถคิดงานต่อจากนานได้และทำงานคล่อง ส่วนลูกน้องที่ดีคือมีความซื่อสัตย์สุจริต ต่อนาย ไม่ทำงานเพราะเห็นแก่เงิน แต่ทำงนเพื่อนาย เคารพและรักนาย เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ยกตนข่ม
29 ท่าน วางตนเสมอต้นเสมอปลาย ได้ดีแล้วไม่ลืมนายที่มีพระคุณต่อตน โดยสรุปนายที่มีลูกน้องเก่งจะทำให้ องค์กรมีความก้าวหน้า หากมีลูกน้องดีก็จะเป็นศักดิ์ศรีแก่องค์กร นายที่เก่งและดีย่อมมีภาวะผู้นำสูง นายที่บริหารเก่งย่อมเป็นคนมีวิสัยทัศน์ คาดการณ์เก่ง เข้าใจ สภาพปัญหา รู้จักใช้บทเรียนในอดีตให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานในปัจจุบันและอนาคต มีความคิด ก้าวหน้าสร้างสรรค์ ตัดสินใจเร็วและถูกต้องแม่นยำ เป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและตัดสินใจ ของลูกน้อง ซึ่งจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและไม่เหนื่อยกับงานบริหารมากเหมือนกับนายที่มอบหมายหรือ กระจายงานไม่เก่ง หมั่นพัฒนาศักยภาพการทำงานของลูกน้องอยู่เสมอเพื่อสร้างทีมงานที่มีคุณภาพ ส่วนนายดี คือนายที่มีศีลธรรมและคุณธรรม ซึ่งจะสร้างภาพลักษณะที่ดี ทำให้ลูกน้องเคารพยำเกรงและรักใคร่มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นเหมือนกับความรู้สึกตนเอง ซึ่งจะทำให้เข้าใจความต้องการของ ลูกน้อง คุณสมบัติเหล่านี้เป็นพระคุณ ส่วนพระเดชนายก็ต้องมีเหมือนกัน คือต้องเป็นตรงไปตรงมา มีความ กล้าหาญเด็กขาด ไม่มีอคติกับลูกน้อง ดีก็ยกย่อง ไม่ดีก็ว่ากล่าวตักเตือนจนถึงลงโทษ ทำได้อย่างนี้จะทำให้เป็น ที่รักและยำเกรงของลูกน้อง 6. อุปริมทิศ ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์ เพราะเป็นผู้สูงด้วยคุณธรรมและเป็นผู้นำทางจิตใจ ความสัมพันธ์ระหว่างนักบวชกับชาวบ้าน หน้าที่ของชาวบ้านโดยสรุปคือ คิด พูด ทำด้วยเมตตา และอุปถัมภ์บำรุงนักบวช (พระสงฆ์) ส่วนนักบวชก็มีน้ำใจอนุเคราะห์ สอนให้ชาวบ้านละชั่ว ทำดี โดยทั่วไปแล้วหากไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือคนรักใคร่ชอบพอกัน การแบ่งปันหรือช่วยเหลือผู้อื่นจะมี น้อยมาก ยกเว้นการให้เกี่ยวกับงานกุศล พระสงฆ์เป็นบุคคลสาธารณะ มีอุปการะต่อชาวบ้านในฐานะเป็นผู้นำ จิตวิญญาณ สั่งสอนชาวบ้านเพราะต้องการให้เขาเหล่านั้นได้เข้าใจหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง งานของ พระสงฆ์เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งทานสามารถทำประโยชน์ ส่วนรวมได้ดีกว่าชาวบ้าน เพราะมีเวลาให้กับส่วนรวมมากกว่าชาวบ้าน ตัดปัญหาเรื่องการทำมาหากินออกไป ได้ เพราะมีชาวบ้านให้ความอุปถัมภ์บำรุงข้าวปลาอาหาร ดังนั้นพระสงฆ์จึงได้รับความเคารพนับถือ เป็นที่พึ่ง ทางจิตใจของชาวบ้าน หากทำตรงกันข้ามจากนี้ก็จะไม่ได้ความเคารพนับถือ และจะถูกมองว่าเอาเปรียบสังคม สภาพการณ์เช่นนี้มองแบบผิวเผินจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ตอบแทนกันแต่ความจริงแล้วก็เป็นเรื่อง ของผลประโยชน์เหมือนกัน เพราะต่างฝ่ายต่างได้อาศัยกัน เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องการถือเอาเงินเป็นที่ตั้งเท่านั้นเอง แต่เป็นเรื่องของการแนะนำสั่งสอนกับการถวายข้าวปลาอาหารตอบแทนและความต้องการบุญของชาวนา บทบาทพระสงฆ์ในปัจจุบันเปลี่ยนไปตามสภาพสังคมและความต้องการของชาวบ้าน พระสงฆ์ส่วน หนึ่งเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เช่น จัดตั้งสหกรณ์ชุมชน ,การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป้องกันป่าถูกทำลาย ปลูกป่าทดแทน สร้างป่าให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน, การอนุรักษ์และส่งเสริม วัฒนธรรม เช่น การทำบุญตามฮีต 12, การจัดการศึกษาสงเคราะห์แก่ลูกหลานของชาวบ้าน ซึ่งเหมาะสมและ สอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่วนชาวบ้านเองก็ควรได้ตระหนักว่าตรงเองเป็นพุทธบริษัท ไม่ใช่มองว่าการสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของพระสงฆ์เท่านั้น ซึ่งบางเรื่องพระสงฆ์ก็ไม่สะดวกที่จะทำ เองเพราะเกี่ยวข้องกับกฎหมายและพระวินัย ชาวบ้านก็ควรได้อาสาพระสงฆ์ช่วยแก้ไขปัญหาและส่งเสริม กิจการคณะสงฆ์แทนพระสงฆ์ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อพระพุทธศาสนา สังคมและประเทศชาติ
30 มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสติปัญญา ซึ่งอาศัยสัญชาตญาณในการอยู่รวมกัน หากิน สืบพันธุ์ และเนื่องจาก มนุษย์มีระยะเวลาในการเลี้ยงดูกันค่อนข้างนาน ดังนั้น จึงสร้างความสัมพันธ์กันจากระดับครอบครัวเป็น เบื้องต้น ความมีสติปัญญาของมนุษย์ทำให้มนุษย์เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต รู้จักคิดแก้ปัญหาและพัฒนาความ เป็นอยู่ให้ดีขึ้น การอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะจำเป็นต้องอาศัยกฎระเบียบเป็นสิ่งควบคุมเพ่อให้เกิดความเรียบร้อย และนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ กฎระเบียบบางอย่างใช้เพื่อบังคับและมีบทลงโทษเพื่อให้เป็น ตัวอย่างของผู้อื่น กฎระเบียบบางอย่างมีไว้เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานเท่านั้น ไม่มีการลงโทษ เพราะไม่มี ความเสียหายที่ทำให้เสียชื่อเสียง กฎระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่ดีเป็นปัจจัยแห่งความยั่งยืนต้องมีรากฐาน มากความถูกต้อง ซึ่งพระพุทธศาสนา เรียกว่า อริยวินัย 4.หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ด้านเศรษฐกิจ ปาปณิกธรรม 3 ประการ ปาปณิกธรรม คือ องค์คุณของพ่อค้า หรือ คุณสมบัติของพ่อค้าที่ดี คือพ่อค้าที่จะประสบ ความสำเร็จในการค้าขายหรือประกอบธุรกิจ ต้องมีองค์คุณ 3 ประการนี้ คือ 1. จักขุมา จักขุมา ตาดี คือ ต้องดูของเป็น รู้จักสินค้า รู้จักคุณภาพของสินค้า สามารถคำนวณราคา กะทุนเก็ง กำไรได้แม่นยำ วางแผนได้ว่า เมื่อซื้อสินค้านั้น ๆ ไปขายต่อ จะต้องซื้อในราคาเท่าไหร่ แล้วเอาไปขายในราคา เท่าไหร่ จึงจะมีกำไร ไม่ขาดทุน 2. วิธูโร วิธูโร จัดเจนธุรกิจ คือ มีความสามารถในการทำธุรกิจ มองตลาดออก รู้ความเคลื่อนไหวของตลาด รู้ ความต้องการของลูกค้าในช่วงเวลานั้น ๆ รู้จักกลุ่มเป้าหมาย รู้จักแหล่งซื้อขาย มีความสามารถในการจัดซื้อจัด จำหน่าย รู้ใจลูกค้า เอาใจลูกค้าเป็น เป็นต้น
31 3. นิสสยสัมปันโน นิสสยสัมปันโน พร้อมด้วยแหล่งทุนเป็นที่อาศัย คือ มีแหล่งทุนใหญ่ เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของแหล่งทุน ใหญ่ ๆ สามารถหาเงินมาลงทุนและดำเนินกิจการได้โดยง่าย หมายเหตุ. จาก Secret Magazine (Thailand) ทิฏฐธัมมิกัตถะ 4 หลักทิฏฐธัมมิกัตถะ หมายถึง เป็นข้อปฏิบัติสำคัญ ที่ทำให้เกิดผล คือ ความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ ทำให้มีทรัพย์สินเงินทอง พึ่งตนเองได้ เรียกว่า ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ปัจจุบัน เคล็ดลับความไม่ จนคือ จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรม 4 ประการ หรือ เรียกว่า หัวใจเศรษฐี โดยมีคำย่อคือ อุ อา กะ สะ ดังนี้ หมายเหตุ. จาก https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/54400 1 อุฏฐานะสัมปทา(อุ) หมายถึง การถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร รู้จักใช้ปัญญา ไตร่ตรอง พิจารณาหาวิธีการที่แยบคายในการทำงาน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักคิด รู้จักทำ รู้จักดำเนินการด้านเศรษฐกิจ ทำการงานประกอบอาชีพให้ได้ผลดี 2 อารักขสัมปทา(อา) หมายถึง การถึงพร้อมด้วยการรักษา สามารถปกป้องคุ้มครองรักษา ทรัพย์สินที่หามาได้ ไม่ให้สูญหายพินาศไปด้วยภัยต่างๆ 3 กัลยาณมิตตตา(กะ) หมายถึง การรู้จักคบคนดีหรือมีกัลยาณมิตร ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบ สำคัญที่ช่วยให้เจริญก้าวหน้าในวงการอาชีพนั้นๆ ทำให้รู้เห็นช่องทางและโอกาสต่างๆ ในการงาน ทันต่อ เหตุการณ์
32 ตลอดจนรู้จักปฏิบัติต่อทรัพย์ของตนอย่างถูกต้อง ไม่ถูกมิตรชั่วชักจูงไปในทางอบายมุข ซึ่งจะทำให้ทรัพย์สินไม่ เพิ่มพูนหรือมีแต่จะหดหายไป .4 สมชีวิตา(สะ) หมายถึง ความเป็นอยู่พอดีหรือความเป็นอยู่สมดุล คือเลี้ยงชีพแต่พอดี ไม่ให้ฟุ่มเฟือย ไม่ให้ฝืดเคืองให้รายได้เหนือรายจ่าย มีเหลือเก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น โภควิภาค 4 การแบ่งโภคะเป็น 4 ส่วน หลักการแบ่งทรัพย์โดยจัดสรร เป็น 1. เอเกน โภเค ภฺุเชยฺย 1 ส่วน เพื่อใช้บริโภคเลี้ยงตนเองให้เป็นสุข เลี้ยงดู ครอบครัวและคนที่อยู่ในความรับผิดชอบให้เป็นสุข และใช้ทำความดีบำเพ็ญประโยชน์แต่สาธารณะ เป็นต้น 2. – 3. ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเย 2 ส่วน เพื่อจัดสรรไว้สำหรับลงทุนประกอบกิจการงาน อาชีพ เพื่อให้มีทรัพย์เพิ่มพูน 4. จตุตฺถฺจ นิธาเปยฺย อีก 1 ส่วน เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น เช่น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น เปรียบเทียบหลักโภควิภาค ๔ กับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๓ ด้าน คือ ด้านหลักการ พบว่าทั้งหลักโภควิภาคและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีส่วนที่คล้ายคลึงกันคือเป็นการจำแนกทรัพย์เป็นส่วนๆ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิตขั้นพื้นฐาน ด้านวิธีการมีส่วนที่แตกต่างกันคือวิธีโภควิภาคต้องนำหลักธรรม หลายประการมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องเหมาะสม ส่วนวิธีการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกำหนดพื้นที่ใช้ สอยอย่างชัดเจนแล้วดำเนินการตามนั้น และ ด้านเป้าหมายมีส่วนที่คล้ายคลึงกันคือมุ่งให้เกิดคุณค่าต่อการ ดำรงชีวิตที่มั่นคง ให้รู้เท่าทันและเป็นอิสระ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าโภควิภาค ๔ กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมี วิธีการค่อนข้างต่างกัน แต่หลักการและเป้าหมายมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน หมายเหตุ. จาก “ศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบโภควิภาค ๔ กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง,” โดยพระครูสิริ ปริยัติธํารง (พิสิฐ ชุตินฺธโร), 2555 , วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 25
33 หมายเหตุ. จาก “ศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบโภควิภาค ๔ กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง,” โดยพระครูสิริ ปริยัติธํารง (พิสิฐ ชุตินฺธโร), 2555 , วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 94 5. หลักธรรมสำคัญในประไตรปิฎกด้านการประพฤติตน 5.1เบญจศีล ศีล 5 หรือ เบญจศีล ความประพฤติชอบทางกายและวาจา, การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย, การ รักษาปกติตามระเบียบวินัย, ข้อปฏิบัติในการเว้นจากความชั่ว, การควบคุมตนให้ตั้งอยู่ในความไม่ เบียดเบียน 1. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการปลงชีวิต, เว้นจากการฆ่าการประทุษร้ายกัน 2. อทินฺนาทานา เวรมณี เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้, เว้นจากการลักโกง ละเมิดกรรมสิทธิ์ ทำลายทรัพย์สิน 3. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม, เว้นจากการล่วงละเมิดสิ่งที่ผู้อื่นรักใคร่ หวงแหน 4. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง 5. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี เว้นจากน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความ ประมาท, เว้นจากสิ่งเสพติดให้โทษ ศีล 5 ข้อนี้ ในบาลีชั้นเดิมส่วนมากเรียกว่า สิกขาบท 5 ข้อปฏิบัติในการฝึกตน บ้าง ธรรม 5 บ้าง เมื่อปฏิบัติได้ตามนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีศีล คือเป็นเบื้องต้นที่จัดว่าเป็นผู้มีศีล คำว่า เบญจศีล ที่มาใน พระไตรปิฎก ปรากฏในคัมภีร์ชั้นอปทาน และพุทธวงส์ ต่อมาในสมัยหลัง มีชื่อเรียกเพิ่มขึ้นว่าเป็น นิจศีล ศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นประจำ ธรรมของมนุษย์หรือธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ 5.2 เบญจธรรม เบญจธรรม หรือ เบญจกัลยาณธรรม ธรรม 5, ธรรมอันดีงามห้าอย่าง, คุณธรรมห้าประการ คู่กับ เบญจศีล เป็นธรรมเกื้อกูลแก่การรักษาเบญจศีล ผู้รักษาเบญจศีลควรมีไว้ประจำใจ
34 1. เมตตาและกรุณา ความรักใคร่ปรารถนาให้มีความสุขความเจริญ และความสงสารคิดช่วย ให้พ้นทุกข์ คู่กับศีลข้อที่ 1 2. สัมมาอาชีวะ การหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต คู่กับศีลข้อที่ 2 3. กามสังวร ความสังวรในกาม, ความสำรวมระวังรู้จักยับยั้งควบคุมตนในทางกามารมณ์ ไม่ให้หลงใหลในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส คู่กับศีลข้อที่ 3 4. สัจจะ ความสัตย์ ความซื่อตรง คู่กับศีลข้อที่ 4 5. สติสัมปชัญญะ ระลึกได้และรู้ตัวอยู่เสมอ คือ ฝึกตนให้เป็นคนรู้จักยั้งคิด รู้สึกตัวเสมอว่า สิ่งใดควรทำ และไม่ควรทำ ระวังมิให้เป็นคนมัวเมาประมาท คู่กับศีลข้อที่ 5 ข้อ 2 บางแห่งเป็น ทาน การแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ข้อ 3 บางแห่งเป็น สทารสันโดษ ความพอใจด้วยภรรยาตน ข้อ 5 บางแห่งเป็น อัปปมาทะ ความไม่ประมาท เบญจธรรมนี้ ท่านผูกเป็นหมวดธรรมขึ้นภายหลัง จึงมีแปลกกันไปบ้าง เมื่อว่าโดยที่มา หัวข้อเหล่านี้ส่วนใหญ่ประมวลได้จากความท่อนท้ายของกุศลกรรมบถข้อต้นๆ 5.3 สัปปุริสธรรม 7 ธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ, คุณสมบัติของคนดี, ธรรมของผู้ดี 1. ธัมมัญญุตา ความรู้จักธรรม รู้หลัก หรือ รู้จักเหตุ คือ รู้หลักความจริง รู้หลักการ รู้หลักเกณฑ์ รู้กฎ แห่งธรรมดา รู้กฎเกณฑ์แห่งเหตุผล และรู้หลักการที่จะทำให้เกิดผล เช่น ภิกษุรู้ว่าหลักธรรมข้อนั้นๆ คืออะไร มีอะไรบ้าง พระมหากษัตริย์ทรงทราบว่าหลักการปกครองตามราชประเพณีเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง รู้ว่าจะต้อง กระทำเหตุอันนี้ๆ หรือกระทำตามหลักการข้อนี้ๆ จึงจะให้เกิดผลที่ต้องการอันนั้นๆ เป็นต้น 2. อัตถัญญุตา ความรู้จักอรรถ รู้ความมุ่งหมาย หรือ รู้จักผล คือ รู้ความหมาย รู้ความมุ่งหมาย รู้ ประโยชน์ที่ประสงค์ รู้จักผลที่จะเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการกระทำหรือความเป็นไปตามหลัก เช่น รู้ว่าหลักธรรม หรือภาษิตข้อนั้นๆ มีความหมายว่าอย่างไร หลักนั้นๆ มีความมุ่งหมายอย่างไร กำหนดไว้หรือพึงปฏิบัติเพื่อ ประสงค์ประโยชน์อะไร การที่ตนกระทำอยู่มีความมุ่งหมายอย่างไร เมื่อทำไปแล้วจะบังเกิดผลอะไรบ้างดังนี้ เป็นต้น 3. อัตตัญญุตา ความรู้จักตน คือ รู้ว่า เรานั้น ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลังความรู้ ความสามารถ ความ ถนัด และคุณธรรม เป็นต้น บัดนี้ เท่าไร อย่างไร แล้วประพฤติให้เหมาะสม และรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงต่อไป 4. มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณ คือ ความพอดี เช่น ภิกษุรู้จักประมาณในการรับและบริโภคปัจจัยสี่ คฤหัสถ์รู้จักประมาณในการใช้จ่ายโภคทรัพย์ พระมหากษัตริย์รู้จักประมาณในการลงทัณฑอาชญาและในการ เก็บภาษี เป็นต้น 5. กาลัญญุตา ความรู้จักกาล คือ รู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการประกอบกิจ กระทำหน้าที่การงาน เช่น ให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอเวลา ให้เหมาะเวลา เป็นต้น 6. ปริสัญญุตา ความรู้จักบริษัท คือ รู้จักชุมชน และรู้จักที่ประชุม รู้กิริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆ ว่า ชุมชนนี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำกิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ ชุมชนนี้ควรสงเคราะห์อย่างนี้ เป็นต้น
35 7. ปุคคลัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา ความรู้จักบุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น ใครๆ ยิ่งหรือหย่อนอย่างไร และรู้ที่จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นๆ ด้วยดี ว่าควร จะคบหรือไม่ จะใช้จะตำหนิ ยกย่อง และแนะนำสั่งสอนอย่างไร เป็นต้น 4.สุจริต 3 หมายถึง ความประพฤติดี, ประพฤติชอบ 1. กายสุจริต ความประพฤติชอบด้วยกาย มี 3 คือ งดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับ ปาณาติบาต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร 2. วจีสุจริต ความประพฤติชอบด้วยวาจา มี 4 คือ งดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับ มุสาวาท ปิสุณ วาจา ผรุสวาจา และ สัมผัปปลาปะ 3. มโนสุจริต ความประพฤติชอบด้วยใจ มี 3 คือ อนภิชฌา อพยาบาท และ สัมมาทิฏฐิ ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖ 5. อธิปไตย 3 หมายถึง ความเป็นใหญ่, ภาวะที่ถือเอาเป็นใหญ่ 1. อัตตาธิปไตย ความมีตนเป็นใหญ่, ถือตนเป็นใหญ่, กระทำการด้วยปรารภตนเป็นประมาณ 2. โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่, ถือโลกเป็นใหญ่, กระทำการด้วยปรารภ นิยมของโลกเป็น ประมาณ 3. ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญ่, ถือธรรมเป็นใหญ่, กระทำการด้วยปรารภความถูกต้อง เป็น จริง สมควรตามธรรม เป็นประมาณ ผู้เป็นอัตตาธิปก พึงใช้สติให้มาก; ผู้เป็นโลกาธิปก พึงมีปัญญาครองตนและรู้พินิจ; ผู้เป็นธรรมาธิปก พึงประพฤติให้ถูกหลักธรรม; ผู้เป็นหัวหน้าหมู่ เป็นนักปกครอง พึงถือธรรมาธิปไตย 6.อัตถะ หรือ อรรถ 3 (1) หมายถึง ประโยชน์, ผลที่มุ่งหมาย, จุดหมาย, ความหมาย 1. ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ปัจจุบัน, ประโยชน์ในโลกนี้, ประโยชน์ขั้นต้น 2. สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์เบื้องหน้า, ประโยชน์ในภพหน้า, ประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไป 3. ปรมัตถะ ประโยชน์สูงสุด, จุดหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน 7.อัตถะ หรือ อรรถ 3 (2) หมายถึง ประโยชน์, ผลที่มุ่งหมาย 1. อัตตัตถะ ประโยชน์ตน 2. ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น 3. อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
36 8. พรหมวิหาร 4 ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ, ธรรมประจำใจอันประเสริฐ, หลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์, ธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและกำกับความประพฤติ จึงจะชื่อว่าดำเนินชีวิตหมดจด และปฏิบัติตนต่อมนุษย์ สัตว์ทั้งหลายโดยชอบ 1. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่ มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า 2. กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อน ของปวงสัตว์ 3. มุทิตา ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่ เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป 4. อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิต เรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อัน ควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จัก วางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน 9.อธิษฐาน หรือ อธิษฐานธรรม 4 ธรรมเป็นที่มั่น, ธรรมอันเป็นฐานที่มั่นคงของบุคคล, ธรรมที่ควรใช้เป็นที่ประดิษฐานตน เพื่อให้ สามารถยึดเอาผลสำเร็จสูงสุดอันเป็นที่หมายไว้ได้ โดยไม่เกิดความสำคัญตนผิด และไม่เกิดสิ่งมัวหมอง หมักหมมทับถมตน, บางทีแปลว่า ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ 1. ปัญญา ความรู้ชัด คือ หยั่งรู้ในเหตุผล พิจารณาให้เข้าใจในสภาวะของสิ่งทั้งหลายจนเข้าถึง ความจริง 2. สัจจะ ความจริง คือ ดำรงมั่นในความจริงที่รู้ชัดด้วยปัญญา เริ่มแต่จริงวาจาจนถึงปรมัตถสัจจะ 3. จาคะ ความสละ คือ สละสิ่งอันเคยชิน ข้อที่เคยยึดถือไว้ และสิ่งทั้งหลายอันผิดพลาดจากความ จริงเสียได้ เริ่มแต่สละอามิสจนถึงสละกิเลส 4. อุปสมะ ความสงบ คือ ระงับโทษข้อขัดข้องมัวหมองวุ่นวายอันเกิดจากกิเลสทั้งหลายแล้ว ทำ จิตใจให้สงบได้ ทั้ง 4 ข้อนี้ พึงปฏิบัติตามกระทู้ดังนี้ 1. ปญฺญํ นปฺปมชฺเชยฺย ไม่พึงประมาทปัญญา คือ ไม่ละเลยการใช้ปัญญา 2. สจฺจํ อนุรกฺเขยฺย พึงอนุรักษ์สัจจะ 3. จาคํ อนุพฺรูเหยฺย พึงเพิ่มพูนจาคะ 4. สนฺตึ สิกฺเขยฺย พึงศึกษาสันติ
37 10. พละ 4 ธรรมอันเป็นกำลัง, ธรรมอันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่หวั่นต่อภัยทุกอย่าง 1. ปัญญาพละ กำลังปัญญา 2. วิริยพละ กำลังความเพียร 3. อนวัชชพละ กำลังสุจริต หรือ กำลังความบริสุทธิ์, ตามศัพท์แปลว่า กำลังการกระทำที่ไม่มีโทษ คือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมบริสุทธิ์ เช่นมีความประพฤติและหน้าที่การงานสุจริต ไม่มีข้อบกพร่อง เสียหาย พูดจริง มีเหตุผล มุ่งดี ไม่รุกรานให้ร้ายใคร ทำการด้วยเจตนาบริสุทธิ์ 4. สังคหพละ กำลังการสงเคราะห์ คือ การยึดเหนี่ยวน้ำใจคนและประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี สงเคราะห์ด้วยสังคหวัตถุ 4 คือ 4.1 ทาน การให้ปัน โดยปกติหมายถึง ช่วยเหลือในด้านทุนหรือปัจจัยเครื่องยังชีพ ตลอดจนเผื่อ แผ่กันด้วยไมตรี อย่างเลิศหมายถึงธรรมทาน คือ แนะนำสั่งสอนให้ความรู้ความเข้าใจ จนเขารู้จักพึ่งตนเอง ได้ 4.2 เปยยวัชชนะ พูดจับใจ, ปิยวาจา คือ พูดด้วยน้ำใจหวังดี มุ่งให้เป็นประโยชน์และรู้จักพูดให้ เป็นผลดี ทำให้เกิดความเชื่อถือ สนิทสนม และเคารพนับถือกันอย่างเลิศหมายถึง หมั่นแสดงธรรม คอย ช่วยชี้แจงแนะนำหลักความจริง ความถูกต้องดีงาม แก่ผู้ที่ต้องการ 4.3 อัตถจริยา บำเพ็ญประโยชน์ คือ ช่วยเหลือรับใช้ ทำงานสร้างสรรค์ ประพฤติการที่เป็น ประโยชน์ อย่างเลิศหมายถึง ช่วยเหลือส่งเสริมคนให้มีความเชื่อถือถูกต้อง (สัทธาสัมปทา) ให้ประพฤติดี งาม (สีลสัมปทา) ให้มีความเสียสละ (จาคสัมปทา) และให้มีปัญญา (ปัญญาสัมปทา) 4.4 สมานัตตตา มีตนเสมอ คือ เสมอภาค ไม่เอาเปรียบ ไม่ถือสูงต่ำ ร่วมสุข ร่วมทุกข์ด้วย อย่าง เลิศหมายถึง มีความเสมอกันโดยธรรม เช่น พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน เป็นต้น 11. เวสารัชชกรณธรรม 5 ธรรมทำความกล้าหาญ, คุณธรรมที่ทำให้เกิดความแกล้วกล้า 1. ศรัทธา ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทำ 2. ศีล ความประพฤติถูกต้องดีงาม ไม่ผิดระเบียบวินัย ไม่ผิดศีลธรรม 3. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก 4. วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร คือ การที่ได้เริ่มลงมือทำความเพียรพยายามในกิจการนั้นๆ อยู่ แล้วอย่างมั่นคงจริงจัง 5. ปัญญา ความรอบรู้ เข้าใจซึ้งในเหตุผล ดี ชั่ว ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น รู้คิด รู้วินิจฉัย และรู้ที่จะจัดการ
38 12. ศีล 8 ทั้งอาชีวะ หรือ อาชีวัฏฐมกศีล อาชีวัฏฐมกศีล แปลว่า ศีลมีอาชีวะเป็นอันดับที่ 8 ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเรียกไว้อีกชื่อหนึ่งว่า อาทิ พรหมจริยกะศีลโดยอธิบายว่าเพราะเป็นเบื้องต้นของมรรคพรหมจรรย์ซึ่งผู้ปฏิบัติพึงรักษาให้บริสุทธิ์ใน เบื้องต้น สมด้วยพุทธดำรัสว่า "ปุพฺเพ ว โข ปนสฺส กายกมฺมํ วจีกมฺมํ อาชีโว สุปริสุทฺโธ โหติ" แปลว่า ด้วย ว่า กายกรรม (3) วจีกรรม (4) อาชีวะ (1) ของเขาผู้นั้น บริสุทธิด้วยดี ตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว อาชีวัฏฐมก ศีลนิยมแพร่หลายในประเทศพม่า ในประเทศไทยไม่สู้นิยม เป็นศีลตามแนวอริยมรรคมีองค์ 8 และกุศล กรรมบถ 10 อาชีวัฏฐมกศีล คือศีลมีอาชีพเป็นที่ 8 คือ 1. เว้นจากการฆ่าสัตว์ 2. เว้นจากการลักทรัพย์ 3. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม 4. เว้นจากการพูดเท็จ 5. เว้นจากการพูดคำหยาบ 6. เว้นจากการพูดส่อเสียด 7. เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ 8. เว้นจากอาชีพที่ผิด 13. สัปปุริสธรรม 8 ธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ, คุณสมบัติของคนดี 1. สัทธัมมสมันนาคโต ประกอบด้วยสัทธรรม 7 ประการ คือ ก. มีศรัทธา ข. มีหิริ ค. มีโอตตัปปะ ง. เป็นพหูสูต จ. มีความเพียรอันปรารภแล้ว ฉ. มีสติมั่นคง ช. มีปัญญา 2. สัปปุริสภัตตี ภักดีสัตบุรุษ คือ คบหาสมณพราหมณ์ ท่านผู้ประกอบด้วยสัทธรรม 7 ประการ ข้างต้น เป็นมิตรสหาย 3. สัปปุริสจินตี คิดอย่างสัตบุรุษ คือ จะคิดสิ่งใด ก็ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น 4. สัปปุริสมันตี ปรึกษาอย่างสัตบุรุษ คือ จะปรึกษาการใด ก็ไม่ปรึกษาเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น 5. สัปปุริสวาโจ พูดอย่างสัตบุรุษ คือ พูดแต่คำที่ถูกต้องตามวจีสุจริต 4 6. สัปปุริสกัมมันโต (ทำอย่างสัตบุรุษ คือ ทำการที่ถูกต้องตามกายสุจริต 4 7. สัปปุริสทิฏฐิ (มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ คือ มีสัมมาทิฏฐิ เช่นว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
39 8. สัปปุริสทานัง เทติ ให้ทานอย่างสัตบุรุษ คือ ให้ตามหลักสัปปุริสทาน เช่น ให้โดยเอื้อเฟื้อทั้งแต่ ของที่ตัวให้ทั้งแก่ผู้รับทาน ให้ของบริสุทธิ์ ให้โดยเข้าใจถึงผลที่จะมีตามมา เป็นต้น บางทีเรียกว่า สัปปุริสธรรม 7 เพราะนับเฉพาะสัทธรรม 7 ในข้อ 1 14. กุศลกรรมบถ 10 ทางแห่งกุศลกรรม, ทางทำความดี, กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่สุคติ ว่าโดยหัวข้อย่อ ดังนี้ ก. กายกรรม 3 การกระทำทางกาย 1. ปาณาติปาตา เวรมณี* เว้นจากปลงชีวิต *เวรมณี แปลว่า เจตนาที่ทำให้เว้น หรือ เจตนาที่ตรงข้าม เมื่อจะแปลให้เต็มความ จึงควรแปลว่า การกระทำที่ว่างจากการคิดเบียดเบียน หรือ การทำดีที่ตรงข้ามกับการเบียดเบียนชีวิต ดังนี้เป็นต้น 2. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้โดยอาการขโมย 3. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม ข. วจีกรรม 4 การกระทำทางวาจา 4. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ 5. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด 6. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ 7. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ค. มโนกรรม 3 การกระทำทางใจ 8. อนภิชฌา ความไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขา 9. อพยาบาท ความไม่คิดร้ายผู้อื่น 10. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ถูกต้องตามคลองธรรม 15. นาถกรณธรรม 10 ธรรมอันกระทำที่พึ่ง, ธรรมสร้างที่พึ่ง, คุณธรรมที่ทำให้ตนเป็นที่พึ่งของตนได้ 1. ศีล ความประพฤติดีงามสุจริต รักษาระเบียบวินัย มีอาชีวะบริสุทธิ์ 2. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก มีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้ง 3. กัลยาณมิตตตา ความมีกัลยาณมิตร, การคบคนดี ได้ที่ปรึกษา และผู้แนะนำสั่งสอนที่ดี 4. โสวจัสสตา ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย รับฟังเหตุผล 5. กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความเอาใจใส่ช่วยขวนขวายในกิจใหญ่น้อยทุกอย่างของเพื่อนร่วมหมู่คณะ รู้จักพิจารณาไตร่ตรอง สามารถจัดทำให้สำเร็จเรียบร้อย 6. ธัมมกามตา ความเป็นผู้ใคร่ธรรม คือ รักธรรม ใฝ่ความรู้ใฝ่ความจริง รู้จักพูดรู้จักฟัง ทำให้เกิด ความพอใจ น่าร่วมปรึกษาสนทนา ชอบศึกษา ยินดีปรีดาในหลักธรรมหลักวินัยที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป 7. วิริยารัมภะ ความขยันหมั่นเพียร คือ เพียรละความชั่ว ประกอบความดีมีใจแกล้วกล้า บากบั่น ก้าวหน้า ไม่ย่อท้อ ไม่ทอดทิ้งธุระ
40 8. สันตุฏฐี ความสันโดษ คือ ยินดี มีความสุขความพอใจด้วยปัจจัย 4 ที่หามาได้ด้วยความเพียรอัน ชอบธรรมของตน 9. สติ ความมีสติ รู้จักกำหนดจดจำ ระลึกการที่ทำคำที่พูดไว้ได้ ไม่มีความประมาท 10. ปัญญา ความมีปัญญาหยั่งรู้เหตุผล รู้จักคิดพิจารณา เข้าใจภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็น จริง นาถกรณธรรมนี้ ท่านเรียกว่าเป็น พหุการธรรม หรือ ธรรมมีอุปการะมาก เพราะเป็นกำลังหนุนใน การบำเพ็ญคุณธรรมต่างๆ ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่างกว้างขวางไพบูลย์
41 คำถาม เรื่อง หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก 1. ฝึกตนให้เป็นคนรู้จักยั้งคิด รู้สึกตัวเสมอ ไม่ประมาทเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตนตามหลักเบญจธรรมในข้อใด ก.เมตตาและกรุณา ข.สัมมาอาชีวะ ค.กามสังวร ง.สติสัมปชัญญะ 2. สัปปุริสธรรม 7 ในข้อ ปุคคลัญญุตา สามารถนำมาใช้ในการปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างไร ก. รู้หลักการที่จะทำให้เกิดผล ข. รู้จักความแตกต่างของบุคคล ค. รู้จักตนเอง ความสามารถและความถนัดของตนเอง ง.รู้จักประมาณ รู้จักความพอดี 3. เราจะสามารถรู้ “ทุกขอริยสัจ” ได้อย่างไร ก. กระทบผัสสะ ข. อ่านอาการเวทนาในใจ ค. มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ง. มีสมาธิ จิตตั้งมั่น 4. สิ่งใดทำให้เกิด’ สฬายตนะ’ ในหลักธรรม ปฏิจจสมุปบาท ก. ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ข. อุปาทาน ค. ผัสสะ ง. นามรูป 5.หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาใดช่วยสร้างทักษะในการจัดการงานให้ประสบผลสำเร็จ* ก. พรหมวิหาร 4 ข. สังคหวัตถุ 4 ค. อิทธิบาท 4 ง. อริยสัจ 4 6. คำว่า“โยนิโสมนสิการ” มีความหมายตรงกับข้อใด ก. การเจริญปัญญา ข. การประเมินคุณค่ำ ค. การคิดและมองปัญหาตามจริง ง. การคิดที่ผ่านกระบวนการฝึกจิตอย่างดี
42 7. “คุณครูทุกคนในโรงเรียนต่างพลอยยินดีที่ครูอัตราจ้างสอบผ่านครูผู้ช่วย” ข้อความนี้แสดงว่าคุณครูมีธรรมะ ข้อใดตามพรหมวิหาร 4 ก. เมตตา ข. กรุณา ค. มุทิตา ง. อุเบกขา 8. “เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในโรงเรียน ครูและบุคลากรก็เข้าไปช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยไม่เอาเปรียบซึ่งกันและ กัน” ข้อความนี้แสดงว่าคุณครูมีธรรมะข้อใดตามสังคหวัตถุ 4 ก. สมานัตตา ข. อัตถจริย ค. ปิยวาจา ง. ทาน 9. ฝึกตนให้เป็นคนรู้จักยั้งคิด รู้สึกตัวเสมอ ไม่ประมาทเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตนตามหลักเบญจธรรมในข้อใด ก.เมตตาและกรุณา ข.สัมมาอาชีวะ ค.กามสังวร ง.สติสัมปชัญญะ 10. สัปปุริสธรรม 7 ในข้อ ปุคคลัญญุตา สามารถนำมาใช้ในการปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างไร ก. รู้หลักการที่จะทำให้เกิดผล ข. รู้จักความแตกต่างของบุคคล ค. รู้จักตนเอง ความสามารถและความถนัดของตนเอง ง.รู้จักประมาณ รู้จักความพอดี
43 อ้างอิง ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๔๘). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ ๒, แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน. ISBN 9749588339. นาย มนัส อรุณโรจนพรรณ, โรงเรียนพนัสพิทยาคาร, หนังสือ พระพุทธศาสนา,วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2546 พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) : Yonisomanasikàra (S.V.2–30; A.I.11–31; It.9.) พระครูสิริปริยัติธำรง, ศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบโภควิภาค ๔ กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง: (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย,2555),หน้า 5 พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช). (๒๕๔๘). พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด. กรุงเทพฯ : วัดราชโอรสาราม. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม".พิมพ์ครั้งที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๓๕, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖ วารสารพุทธมัคค์ ศูนย์วิจัยธรรมศึกษา สำนักเรียนวัดอาวุธวิกสิตาราม ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคมธันวาคม 2564) หน้า199 เสถียร โพธินันทะ, ประวัติพระไตรปิฎกฉบับจีนพากย์, มรดกธรรมของเสถียร โพธินันทะ, 2548, หน้า 82-3
44 ภาคผนวก เอกสารการนำเสนอในรูปแบบ power point หลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา
45
46
47