สงครามฝิ่น
น า ง ส า ว ศิ ร ป ร ะ ภ า บั ว ฝ้ า ย ม 6 / 1 6 เ ล ข ที่ 2 5
สงครามฝ่ินครัง้ท่ี1
สงครามจีน-อังกฤษครั้งที่หนึ่ง หรือที่นิยมเรียกว่า สงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง
第一次鴉片戰爭(อังกฤษ: First Opium War/จีน :
) เป็นสงคราม
ระหว่างสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์และจีนราชวงศ์ชิง โดยมี
เป้าหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการค้าในจีน ในปี ค.ศ.
1842 สนธิสัญญานานกิง สนธิสัญญาฉบับแรกที่ชาวจีนเรียกว่า "สนธิสัญญา
อันไม่เป็นธรรม" ถูกบีบบังคับให้จ่ายค่าชดเชยให้กับอังกฤษ เปิดเมืองท่า
สนธิสัญญาห้าแห่ง และการยกเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษ ตลอดจนยุติระบบ
ผูกขาดการค้าในระบบกว่างโจว สงครามดังกล่าวเป็นจุดสิ้นสุดของนโยบาย
แยกตัวโดดเดี่ยวของจีน และเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์จีนฝิ่นเป็นยา
เสพติดที่ชาวจีนติดกันอย่างมากและติดกันมานาน ในรัชกาลจักรพรรดิยง
雍正เจิ้ง( ) เคยมีดำริที่จะทำการปราบปรามฝิ่นแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
道ชาวจีนส่วนใหญ่ยังติดฝิ่นเรื่อยมา จนถึงรัชสมัยของจักรพรรดิเต้ากวง (
光) ปีที่ 19 พระองค์มีเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าที่จะทำการปราบฝิ่น ทรงแต่ง
林則徐 兩廣總督ตั้งหลินเจ๋อสวี(
) เป็นผู้ว่าราชการเหลียงกว่าง ( ) หรือผู้
欽差ว่าราชการสองมณฑลกวางตุ้ง-กว่างซี และข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ (
大臣) เพื่อเป็นผู้นำในการกวาดล้างฝิ่นจากแผ่นดินจีน
เริ่มกระบวนการปราบปรามฝิ่น
หลินเจ๋อสวีเริ่มงานด้วยการห้ามค้าฝิ่นในมณฑลกวางตุ้ง และจับพ่อค้าฝิ่น
ชาวจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดไปคุมตัวในเรือนจำ ใครที่มีหลักฐานว่าค้า
ฝิ่นจะต้องถูกประหาร และตัดศีรษะเสียบประจาน เพื่อข่มขู่ชาวจีนอื่น ๆ ให้
เกรงกลัวจะได้ไม่กล้าค้าฝิ่นอีก นอกจากปราบปรามการค้าฝิ่นในหมู่ชาวจีน
หลินเจ๋อสวี ยังได้พยายามฟื้นฟูสุขภาพชาวจีนที่ติดฝิ่น โดยจัดโครงการ
รณรงค์การอดฝิ่น มีชาวจีนหลายคนที่อดฝิ่นได้สำเร็จ ทางการก็จะประกาศ
เกียรติคุณ เพื่อให้คนอื่น ๆ เอาเป็นแบบอย่างอันดีที่จะพยายามเลิกฝิ่นให้
ได้ จากนั้นหลินเจ๋อสวีก็สั่งห้ามเรือพ่อค้าต่างชาติที่บรรทุกฝิ่นเข้ามาใน
อาณาจักรจีน โดยห้ามเรือล่องเข้าแม่น้ำจูเจียงมาเป็นเด็ดขาด และประกาศ
ให้พ่อค้าต่างชาติที่มีฝิ่นในครอบครอง ต้องนำฝิ่นมาส่งมอบให้ทางการจีน
แต่พ่อค้าชาวต่างชาติไม่สนใจคำสั่งของหลินเจ๋อสวี ยังคงค้าฝิ่นต่อไป หลิน
เจ๋อสวีจึงสั่งปิดล้อมย่านการค้าของคนต่างชาติใน และบีบให้พ่อค้าต่างชาติ
ส่งฝิ่นให้ทางการจีน หลังจากปิดล้อมอยู่สองวัน พวกพ่อค้าต่างชาติก็ยอม
มอบฝิ่นออกมาในที่สุด ฝิ่นที่ยึดได้ครั้งนี้ หลินสั่งให้เอาฝิ่นทั้งหมดไป
ละลายกับกรดน้ำส้มกับเกลือและน้ำ เพื่อฆ่าฤทธิ์ของฝิ่น แล้วก็โยนทิ้งทะเล
ไปจนหมดสิ้น ผลจากการปราบปรามฝิ่นอย่างจริงจังของหลินเจ๋อสวี ทำให้
ชาวต่างชาติโดยเฉพาะพ่อค้าอังกฤษที่มีผลประโยชน์จากการค้าฝิ่นมหาศาล
ไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะฝิ่นที่หลินเจ๋อสวีทำลายไปมีจำนวนมหาศาลถึง
20,000 ลัง คิดเป็นน้ำหนักสองล้านปอนด์ครึ่ง และเนื่องจากฝิ่นเป็นสินค้าที่
มีค่าสูง จึงยังมีพ่อค้าต่างชาติทั้งชาวอังกฤษและโปรตุเกส ยังคงลอบค้าฝิ่น
แต่เปลี่ยนฐานการค้าจากตัวแผ่นดินใหญ่ในมณฑลกวางตุ้ง ไปอยู่ที่มาเก๊า
และเกาะฮ่องกง ซึ่งมีทำเลดีกว่าแทน
สงครามปะทุ
การกระทบกระทั่งระหว่างจีนกับอังกฤษยังคงมีต่อมา เมื่อชาวจีนถูก
กะลาสีเรือชาวอังกฤษฆ่าตายที่เกาลูน หลินเจ๋อสวีให้ทางอังกฤษส่งตัว
กะลาสีที่ก่อเหตุมารับโทษตามกฎหมายจีน แต่กัปตันเอลเลียตของ
อังกฤษปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ผลจากการกระทบกระทั่งกันครั้งนี้
ทำให้หลินเจ๋อสวีขับไล่ชาวอังกฤษทั้งหมดออกจากมาเก๊า แต่พ่อค้า
เหล่านี้ก็ไปตั้งหลักที่ฮ่องกงแทน กัปตันเอลเลียต ขอความช่วยเหลือ
ไปทางรัฐบาลอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษในยุคของสมเด็จพระราชินีนาถ
วิกตอเรีย ซึ่งเป็นยุคสมัยของการล่าอาณานิคม ถือเป็นเหตุในการ
ทำสงครามกับจีน โดยเริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2382 (ค.ศ. 1839)
โดยสั่งให้บริษัทอินเดียตะวันออก ซึ่งเป็นบริษัทการค้าของรัฐบาล
อังกฤษ
ซึ่งเป็นบริษัทการค้าของรัฐบาลอังกฤษ ส่งกองเรือไปช่วยที่
ฮ่องกง เมื่อกองเรือรบกองแรกมาถึงซึ่งประกอบไปด้วยเรือ
ปืนจำนวน 28 ลำ หลินเจ๋อสวีไม่เคยมีประสบการณ์กับการ
รบกับอาวุธที่ทันสมัยเช่นนี้ จึงถูกโจมตีจนกองเรือจีนพ่ายแพ้
อย่างรวดเร็ว หนำซ้ำพวกขุนพลของจีนที่สู้แพ้อังกฤษ ยังไม่
กล้ารายงานสถานการณ์ตามความเป็นจริง ทำให้หลินเจ๋อสวี
เข้าใจผิดว่ากองเรือของจีนเอาชนะกองทัพเรือสหราช
อาณาจักรได้ จึงถวายรายงานกับพระจักรพรรดิเต้ากวงว่า จีน
ได้รับชัยชนะ และยิ่งแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อพวกอังกฤษยิ่งขึ้น
ในที่สุด ในปี พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) ฝ่ายกองเรือรบ
อังกฤษก็บุกเข้าปากแม่น้ำจูเจียง และยึดเมืองกวางซูเอาไว้ได้
อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งเคลื่อนกองเรือรุกเข้ามาในแผ่นดินจีน
ขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังส่งกองเรือราชนาวีจำนวนหนึ่งไปยึด
เมืองท่าริมทะเลเอาไว้ด้วย ความทราบถึงพระจักรพรรดิเต้าก
วง จึงทรงตำหนิหลินเจ๋อสวีอย่างรุนแรง และปลดหลินเจ๋อสวี
จากตำแหน่งทั้งหมด เนรเทศไปยังซินเจียง และส่งแม่ทัพฉี
ซานมาแทน ฉีซานไม่สามารถต้านทานแสนยานุภาพของ
อังกฤษได้
ผลลัพธ์
ในปี พ.ศ. 2385 (ค.ศ. 1842) กองทัพอังกฤษบุกเข้ายึดเมืองนานกิง
ได้ จนกระทั่งในที่สุดจำเป็นต้องเจรจาสงบศึกกับอังกฤษ ที่เมืองนา
นกิงนั่นเอง และยอมเซ็นสนธิสัญญาที่เรียกว่าสนธิสัญญานานกิงในปี
เดียวกันนั้น เนื้อหาในสนธิสัญญาฉบับนี้ อังกฤษบังคับให้จีนเปิดเมือง
ท่าตามชายทะเลเพื่อค้าขายกับอังกฤษ รวมทั้งขอ
สิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือดินแดนจีน คนที่ถือสัญชาติอังกฤษ จะไม่
ต้องขึ้นศาลจีน รวมทั้งสิทธิใด ๆ ที่อังกฤษได้ ต่างชาติอื่น ๆ ก็ต้องได้
ด้วย แม้ว่าเนื้อหาของสนธิสัญญานี้ จีนต้องเสียเปรียบอังกฤษเป็นอย่าง
มาก แต่จีนก็จำต้องเซ็นสัญญาเพื่อยุติสงครามที่จีนเสียเปรียบ ต่อมาจีน
ก็สูญเสียเอกราชบนคาบสมุทร เกาลูนไปอีก ในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ.
2403 (ค.ศ. 1860) ตามสนธิสัญญาปักกิ่ง ในรัชกาลสมเด็จพระจักรพร
咸丰รดิเสียนเฟิง ( ) ปีที่ 10 และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 21 เมษายน
光緒帝พ.ศ. 2441 (ค.ศ. 1898) ตรงกับรัชกาลจักรพรรดิกวังซวี่ (
)
ปีที่ 24 สูญเสียพื้นที่เขตดินแดนใหม่ (New Territories) ให้กับสหราช
อาณาจักรในสัญญาเช่า 99 ปี นับแต่นั้น เซินเจิ้นและฮ่องกงก็ถูกแบ่ง
แยกการปกครองออกจากกัน และภายใน พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) คน
จีนกว่า 13 ล้านคน ยังคงติดฝิ่นอยู่ เศรษฐกิจของจีนถูกทำลายลงอย่าง
ย่อยยับจากการที่จีนต้องนำเข้าฝิ่นเป็นจำนวนมากมายมหาศาลและ
ราชวงศ์ชิงก็ตกอยู่ในภาวะแห่งการล่มสลาย