The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เป็นการสรุปเรื่องอาณาจักรของสิ่งมีชีวิต 5 อาณาจักร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Thidarat Kulrat, 2023-02-18 15:22:10

อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต 5 อาณาจักร

เป็นการสรุปเรื่องอาณาจักรของสิ่งมีชีวิต 5 อาณาจักร

Keywords: อาณาจักรมอเนอรา,อาณาจักรโปรติสต้า,อาณาจักรฟังไจ,อาณาจักรพืช,อาณาจักรสัตว์

อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต 5 อาณาจักร


อาณาจักรมอเนอรา


กลุ่มที่ชอบความร้อนสูง (thermophile) ในน้ำ พุร้อน ณ อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตน สหรัฐอเมริกา มอเนอรา ( อังกฤษ : Monera )เป็นชื่ออาณาจักรของสิ่งมีชีวิต ประมาณว่ามีจำ นวนถึง 4 ล้านสปีชีส์ จำ แนก ได้เป็น 2 อาณาจักรย่อย คือ อาณาจักรย่อยอาร์เคียแบคทีเรียและอาณาจักรย่อยยูแบคทีเรีย ยูริอาร์เคียโอตา ซึ่งสร้างมีเทน และชอบความเค็มจัด ครีนาร์เคียโอตา ซึ่งชอบอุณหภูมิสูง และกรดจัดมาก อาร์เคียแบคทีเรียผนังเซลล์ไม่มีเปบทิโดไกลแคนอาจจะไม่นับว่าเป็นแบคทีเรีย ดำ รงชีวิตในแหล่งน้ำ พุร้อน ทะเลที่มีน้ำ เค็มจัด บริเวณที่มีความเป็นกรดสูง และบริเวณทะเลลึก แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มยูริอาร์เคียโอตา (Euryarchaeota, Eury = broad) คือพวกที่อยู่ในสภาพแวดล้อมช่วงกว้างกว่า ได้แก่ พวกมีทาโนเจน พวกฮาโลไฟล์ (ชอบความเค็มจัด) พวกเทอร์โมแอซิโดไฟล์ (themoacidophile) คืออยู่ได้ในที่มีอุณหภูมิสูงและกรดจัด เป็นพวกที่ไม่มีผนังเซลล์ เป็นแบคทีเรียที่มีสาร bacteriorhodopsin ซึ่งเป็นสารสีภายในเยื่อหุ้มเซลล์ทำ หน้าที่ดูดกลืน พลังงานแสง แบคทีเรียกลุ่มนี้สามารถสร้างแก๊สมีเทน (CH4) ได้ดำ รงชีวิตอยู่ในทะเลที่มีความเค็มมาก เช่น ทะเล dead sea กลุ่มครีนาร์เคียโอตา (Crenarchaeota, ชื่อกลุ่มมาจากคำ ว่า cren=น้ำ พุร้อน) คือพวกเทอร์โมไฟล์(ชอบอุณหภูมิสูง) ส่วนใหญ่ที่พบในบ่อน้ำ พุร้อนหรือปากปล่องภูเขาไฟใต้ทะเลลึก เป็นแบคทีเรียที่ดำ รงชีวิตอยู่ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงถึง ประมาณ 60-80 องศาเซลเซียสและมีสภาพเป็นกรดที่มีค่า pH ประมาณ 2-4 ใช้พลังงานในการดำ รงชีวิตจากการออกซิไดส์ กำ มะถันในแหล่งน้ำ ร้อนที่อาศัยอยู่ เช่น บ่อน้ำ พุร้อน ในอุทยานแห่งชาติเยลโลสโตน มอเนอรา กลุ่มที่ชอบความเค็ม (halophile)


โพรทีโอแบคทีเรีย (Proteobacteria) คือ กลุ่มยูแบคทีเรียแกรมลบ (Gram-Negative Bacteria) ที่พบมาก ที่สุดและมีกระบวนการเมทาบอลิซึมที่หลากหลายที่สุด บางชนิดสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงเช่นเดียวกับพืช บาง ชนิดสามารถอาศัยซัลเฟอร์ (Sulfur) หรือไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfide) ในกระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสง อย่างเช่น เพอเพิลซัลเฟอร์แบคทีเรีย (Purple Sulfur Bacteria) บางชนิดสามารถตรึงก๊าซ ไนโตรเจนจากในอากาศลงสู่ดิน ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช คลาไมเดีย (Chlamydia) คือ กลุ่มยูแบคทีเรียแกรมลบที่อาศัยอยู่ได้เฉพาะในเซลล์ของสัตว์ ดำ รงชีวิตเป็นปรสิต มี รูปร่างทรงกลม ไม่สามารถเคลื่อนที่ ผนังเซลล์ไม่มีเพปทิโดไกลแคน อีกทั้ง ยังเป็นเชื้อก่อโรคที่สำ คัญ เช่น โรค ริดสีดวงตา ตาแดง และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของมนุษย์อย่างโรคโกโนเรีย (Gonorrhea) หรือหนองใน สไปโรคีท (Spirochete) คือ กลุ่มยูแบคทีเรียแกรมลบที่มีรูปทรงเกลียวและยืดหยุ่น มีความยาวประมาณ 25 มิลลิเมตร ดำ รงชีวิตอิสระ บางชนิดเป็นสาเหตุของโรคซิฟิลิสและโรคฉี่หนู แบคทีเรียแกรมบวก (Gram-Positive Bacteria) คือ กลุ่มยูแบคทีเรียแกรมบวกที่อาศัยอยู่ทั่วไปทั้งในดินและ อากาศ เป็นกลุ่มของแบคทีเรียที่มีความหลากหลายอย่างมาก บางชนิดสามารถผลิตกรดแลกติกได้ อย่างเช่น แลค โตบาซิลลัส (Lactobacillus sp.) ที่ถูกนำ มาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมากมาย ทั้งการผลิตเนย ผักดอง และโย เกิร์ต บางชนิดถูกนำ มาใช้ในการผลิตยาปฏิชีวนะ เช่น ยาสเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) และยาเตตราไซ คลีน (Tetracycline) บางชนิดก่อให้เกิดโรค เช่น วัณโรค โรคปอดบวม และโรคเรื้อน เป็นต้น ไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria) คือ กลุ่มของยูแบคทีเรียหรือสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำ เงินที่สามารถสังเคราะห์ ด้วยแสงและสร้างอาหารเองได้ เนื่องจากมีรงค์วัตถุอย่างคลอโรฟิลล์เอ แคโรทีนอยด์ และโฟโคบิลินอยู่ภายในเยื่อ หุ้มเซลล์ อาณาจักรย่อยยูแบคทีเรีย (Subkingdom Eubacteria) คือ กลุ่มแบคทีเรียที่ส่วนใหญ่มีสารเพปทิโดไกลแคนในผนังเซลล์ สามารถดำ รงชีวิตอยู่ได้ทั้งในดิน แหล่งน้ำ ธารน้ำ แข็ง ในอากาศ หรือแม้แต่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น จึงเป็นกลุ่มของ แบคทีเรียที่มีความหลากหลายสูงและมีบทบาทหน้าที่สำ คัญต่อระบบนิเวศอย่างมาก โดยแบคทีเรียในอาณาจักรย่อยนี้สามารถ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ไซยาโนแบคทีเรียในทะเลสาบเล็กๆของฟินแลนด์ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำ เงิน


อาณาจักร โปรติสต้า


สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้อาจมีเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์เป็นเซลล์ชนิดยูคาริโอต (Eukaryote) คือมีเยื่อหุ้มนิวเคลียส แต่เซลล์เหล่านั้นยังไม่รวมตัวกันเป็นเนื้อเยื่อและมีลักษณะของพืชและสัตว์รวมกัน เช่น มีการเคลื่อนที่ได้อันเป็น ลักษณะของสัตว์มีการสังเคราะห์ด้วยแสงโดยใช้คลอโรฟิลล์เช่นเดียวกับพืช โปรติสต้า กลุ่มสิ่งมีชีวิตพวก protist เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็กมากมองดูด้วยตาเปล่าไม่เห็นโพรโทซัวอาจอยู่เป็นเซลล์เดี่ยวๆ เช่น ยูกลีนา อะมีบา พารามีเซียม หรืออยู่รวมกันเป็นโคโลนีโพรโทซัวมีรูปร่างแตกต่างกันมากมาย มีการเคลื่อนที่โดยใช้อวัยวะต่างกันจำ แนกโพรโทซัวออกตามอวัยวะในการเคลื่อนที่ คือ โพรโทซัว (Protozoa) 1. กลุ่มแฟลเจลลาตา (Flagellata) เป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยแฟลเจลลัม (flagellum) เช่น ยูกลีนาซึ่งอาศัยหากินอย่างอิสระในน้ำ ทริพาโนโซมา (Trypanosoma) เป็นโพรโทซัวที่มีแฟลเจลลาอาศัยอยู่ในเลือด ทำ ให้คนเป็นโรคเหงาหลับ (African sleeping sickness) Trypanosoma sp. Trichonympa 2. กลุ่มซิลิอาตา (ciliata) เป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยซิเลีย (cilia) ซึ่งเป็นขนสั้น ๆ มีจำ นวนมาก อาจเรียกโพรโทซัวพวกนี้ว่า ซิลิเอต (ciliates) ตัวอย่างเช่น พารามีเซียม (Paramecium) รูปร่างคล้าย รองเท้าแตะ ซิลิเอตโดยทั่วไปมีนิวเคลียส 2 ชนิด คือ นิวเคลียสขนาดใหญ่ (macronucleus) ทำ หน้าที่ ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ นอกจากการสืบพันธุ์ และนิวเคลียสขนาดเล็ก (micronucleus) ทำ หน้าที่ ควบคุมการสืบพันธุ์ 3. กลุ่มซาร์โกดินาหรือไรโซโพดา (Sarcodina or Rhizopoda) เป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยขาเทียม หรือซูโดโพเดียม (pseudopodium) ที่เกิดจากการไหลของไซโทพลาซึมเข้าไปข้างใดข้างหนึ่งของเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ทางด้านนั้นจะปูดออกทำ ให้ตัวมันเคลื่อนที่ตามทิศทางที่ขาเทียมได้ปูดออกไปพบทั้งในน้ำ จืด น้ำ เค็ม ได้แก่ อะมีบา พวกอยู่ในทะเลมักมีเปลือก (test) หุ้ม 4. กลุ่มสปอโรซัว (Sporozoa) เป็นโพรโทซัวที่ไม่มีโครงสร้างในการเคลื่อนที่ส่วนใหญ่เป็น โพรโทซัวที่เป็นปรสิต เช่น พลาสโมเดียม (Plasmodium) ทำ ให้เกิดโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องเป็นพาหะ เชื้อมาลาเรียที่สำ คัญที่พบในประเทศไทย มี อยู่ 2 ชนิด คือ Plasmodium falciparum ทำ ให้เกิดโรคมาลาเรียขึ้นสมองมีอาการรุนแรงกว่าและมีการจับไข้ทุกวันส่วนอีก ชนิดหนึ่งคือ Plasmodium vivax เกิดโรคมาลาเรียลงตับมีการจับใช้ทุก 2 วัน Plasmodium falciparum ที่อยู่ในระบบหมุนเวียนเลือด


1) มีคลอโรฟิลล์เอและซี รวมทั้งรงควัตถุบีตาแคโรทีน (b-carotene) แซนโทฟิลล์ (xanthophyll) และฟิวโคแซนทีน (fucoxanthrin) 2) ผนังเซลล์ประกอบด้วยซิลิก าเซลลูโลส บางชนิดมีไคทิน 3) อาหารสะสมเป็นน้ำ ตาลคริสโซลามินารินและน้ำ มัน 4) มักเป็นเซลล์เดียวที่มีลักษณะสมมาตรและผนังเซลล์ยังมีลวดลาย พบทั้งน้ำ จืดและน้ำ เค็ม 5) ซากของไดอะตอมที่ตายทับถมมาก ๆ อยู่ใต้ทะเลเรียก diatomaceous earth มีทั้งแร่ธาตุและน้ำ มัน นำ มาใช้ ประโยชน์เป็นฉนวนและเครื่องกรอง ใช้ในการทำ ยาขัดต่าง ๆ เช่น ยาขัดรถ ยาสีฟันใช้ในการทำ เครื่องสำ อาง เป็นต้น สาหร่าย 1) มีคลอโรฟิลล์เอ คลอโรฟิลล์ซี และรงควัตถุสีน้ำ ตาลฟิวโคแซนทิน (fucoxanthrin) มาก 2) ส่วนใหญ่พบในน้ำ เค็มและน้ำ กร่อย 3) มักมีขนาดใหญ่ประกอบด้วยเซลล์จำ นวนมากรวมกันเป็นส่วนที่คล้ายราก (holdfast) คล้ายลำ ต้น (stipe) และคล้าย ใบ (blade) 4) ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลสและกรดแอลจินิก (alginic acid) หรือแอลจีน (algin) 5) อาหารสะสมเป็นพวกน้ำ ตาลแมนนิทอล (manitol) และลามินาริน (laminarin) 6) กรดแอลจินิกนำ มาสกัดเป็นสารประกอบแอลจิน ใช้ทำ วุ้นและสารที่ทำ ให้เกิดการคงตัว (thickening and stabilizing agent) ในยาสีฟัน ไอศกรีม โลชั่นต่าง ๆ ทำ ยา ทำ สี ทำ ปุ๋ย เพราะมีไอโอดีนและโพแทสเซียมมาก แบ่งเป็นกลุ่มสำ คัญ ๆ ดังนี้ กลุ่มสาหร่ายสีเขียว คือ สาหร่ายที่มีคลอโรพลาสต์ในเซลล์ เป็นสาหร่ายกลุ่มใหญ่ที่สุด พบตามบ่อ บึง คูน้ำ และในน้ำ ทะเล มีทั้งเป็นเซลล์เดียว เช่น Chlamydomonas, Chlorococcum, Chlorella, Closterium, Cosmarium ส่วนพวกที่อยู่เป็น กลุ่ม เช่น Volvox, Scenedesmus, Pediastrum ชนิดที่อยู่กันเป็นสาย ได้แก่ Ulothrix, Spirogyra, Cladophora สาหร่ายสีเขียวมีลักษณะสำ คัญคือ 1) มีคลอโรฟิลล์เอและบี และรงควัตถุอื่น ๆ เช่น แคโรทีน แซนโทฟิลล์ (xanthophyll) 2) มีแฟลเจลลา 1 หรือ 2 หรือ 8 เส้นขนาดเท่ากันและอยู่ด้านหน้าของเซลล์ 3) ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลสเป็นส่วนใหญ่ 4) อาหารสะสมในเซลล์ คือ แป้ง กลุ่มสาหร่ายสีเขียว สาหร่ายสีเขียวพวกคลอเรลลา (Chlorella) ซีนเดสมัส (Scenedesmus) มีโปรตีนสูงจึงนำ มาสกัดเอาโปรตีน เพื่อนำ ไปทำ อาหารสัตว์ส่วนสไปโร่ใจราชาวอีสานเรียกว่าเทาน้ำ นำ เอาไปทำ อาหารรับประทาน*** กลุ่มสาหร่ายสีน้ำ ตาลแกมเหลือง ได้แก่ พวกไดอะตอม (diatom) มีลักษณะสำ คัญ คือ ไดอะตอมชนิดต่างๆ diatomaceous earth กลุ่มสาหร่ายสีน้ำ ตาล ซึ่งส่วนใหญ่พบในน้ำ เค็ม สาหร่ายสีน้ำ ตาลมีลักษณะเด่น ดังนี้


1) มีคลอโรฟิลล์เอและดี แคโรทีน แซนโทฟิลล์ ไฟโครีทริน (phycoerythrin) 2) ส่วนใหญ่อยู่ในทะเล 3) ผนังเซลล์ ประกอบด้วย เซลลูโลส เพกทิน 4) มีรูปร่าง 2 แบบ คือ เป็นแผ่นแบน เช่น Porphyra หรือจีฉ่าย และพวกมีสายแตกแขนงเช่น Polysiphonia 5) ประโยชน์ใช้เป็นอาหารโดยตรง เช่น Porphyra (จีฉ่าย) ใช้สกัดทำ วันซึ่งได้จากสาหร่ายผมนาง (Gracilaria) ใช้ใน อุตสาหกรรมการทําเครื่องสำ อางเป็นส่วนผสมยาขัดรองเท้าครีมโกนหนวด กลุ่มสาหร่ายสีแดง ซึ่งมีอยู่ในน้ำ เค็มเป็นส่วนใหญ่ มีลักษณะเด่นดังนี้ จีฉ่าย (Porphyra) นำ มาตาแห้ง แล้วนำ ไปทำ แกงจืดสาหร่าย สาหร่ายผมนาง (Gracilaria) เซลลูโลส


อาณาจักร ฟังไจ


สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรฟังไจเป็นเซลล์ยูคาริโอต สร้างอาหารเองไม่ได้ (Heterotroph) ส่วนใหญ่ดำ รงชีวิตแบบภาวะ ย่อยสลาย (Saprophytism) โดยการปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตแล้วดูดซึมเข้าไป อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi) เห็ดที่มีบทบาทเป็นผู้ย่อยสลายในระบบนิเวศ ฟังไจวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษที่มีแฟลเจลลา ถึงแม้ฟังไจส่วนใหญ่จะไม่มีแฟลเจลลา วิวัฒนาการ ของฟังไจที่เก่าแก่หรือมีวิวัฒนาการต่ำ ที่สุดคือ ไคทิด (chytrids) ซากดึกดำ บรรพ์ของฟังๆจที่มีอายุเก่า แก่ที่สุดประมาณ 460 ล้านปี (ในยุคออร์โดวิเชียน) และยังพบซากดึกดำ บรรพ์ของพืชที่มีท่อลำ เลียงใน ปลายยุคซิลูเรียนที่มีหลักฐานของไมคอร์ไรซา (Mycorrhiza) อยู่แสดงว่าฟังไจมีความสัมพันธ์แบบ ซิมไบโอติก (Symbiotic) อยู่กับพืชมาตั้งแต่พืชมีท่อลำ เลียงได้วิวัฒนาการขึ้นมาอยู่บนบก ปัจจุบันพบ ฟังไจแพร่กระจายอยู่ทั่วไปมีประมาณ 100,000 ชนิด ลักษณะรูปร่างและการดำ รงชีวิตของฟังไจ ลักษณะของฟังใจส่วนใหญ่ ประกอบด้วยหลายเซลล์เรียงต่อกันเป็นเส้นใย เรียกว่า ไฮฟา (hypha) กลุ่มของเส้นใย เรียกว่า ไมซีเลียม (Mycelium) ทำ หน้าที่ยึดเกาะอาหารและส่งเอนไซม์ไปย่อยสลาย อาหารภายนอกเซลล์และดูดซึมสารอาหารที่ย่อยได้เข้าสู่เซลล์ไมซีเลียมของฟังใจ เส้นใยไม่มีผนังกัน (Non Septate Hypha หรือ Coenocytic Hypha) เส้นใยมีลักษณะเป็นท่อทะลุถึงกันหมดโดยไม่มีผนัง (Septum) กั้นซึ่งเกิดจากการแบ่งนิวเคลียสโดยไม่แบ่งไซโทพลาซึม ทำ ให้ไซโทพลาซึมและนิวเคลียสติดต่อกันได้หมด เส้นใยแบบที่มีผนังกั้น (Septate Hypha) มีผนังกั้นแบ่งแต่ละเซลล์ โดยภายในเซลล์อาจมีนิวเคลียสอันเดียว หรือมี นิวเคลียสหลายอันในแต่ละเซลล์ ผนังที่กั้นระหว่างเซลล์เป็นผนังที่ไม่สมบูรณ์ เพราะมีรูอยู่ที่ผนัง อาจมีรูเดียวหรือหลายรูที่ ผนัง ทำ ให้ไรโบโซม ไมโทคอนเดรีย หรือนิวเคลียสไหลจากเซลล์หนึ่งไปอีกเซลล์หนึ่งได้ เส้นใยของรา แบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1. 2. เส้นใยของฟังไจ อาจแบ่งเป็น 2 ชนิดตามหน้าที่ คือ เส้นใยที่ยึดเกาะอาหารมีหน้าที่ดูดซึมอาหารที่ย่อยแล้ว และเส้นใยที่ยื่นไปในอากาศ (Fruiting Body) ทำ หน้าที่สร้างสปอร์เพื่อสืบพันธุ์ ฟังไจมีการสืบพันธุ์โดยการสร้างสปอร์ทั้งแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ เหมาะสม และแบบไม่อาศัยเพศ (Asexual Reproduction) โดยการแตกหน่อการสร้างสปอร์หรือการหลุดจากกันเป็นท่อน ๆ ส่วนใหญ่ดำ รงชีวิตแบบผู้ย่อยสลาย บางชนิดดำ รงชีวิตเป็นปรสิต บางชนิดดำ รงชีวิตร่วมกับสาหร่าย Puffball Truffle


*ไฟลัมไซโกไมโคตา (Phylum Zygomycota) ลักษณะเด่นของราในไฟลัมนี้คือไฮฟาไม่มี ผนังกั้น (Coenocytic Hypha) แต่จะพบผนังกั้นในระยะที่จะสร้างเซลล์สืบพันธุ์จึงเห็นนิวเคลียส จำ นวนมากผนังเซลล์เป็นสารไคทิน *ไฟลัมแอสโคไมโคตา (Phylum Ascomycota) เป็นฟังไจที่มีจำ นวนชนิดมากที่สุดมีรูป ร่างทั้งแบบเซลล์เดียวและหลายเซลล์ลักษณะของเส้นใยมีผนังกั้น (Septate Hypha)แต่มีรู ทะลุถึงกันทำ ให้ไซโทพลาซึมและนิวเคลียสไหลถึงกันได้ ผนังเซลล์ประกอบด้วยสารไคทิน อาจเรียกราพวกนี้ว่า ราถุง (sac fungi)เพราะสปอร์ที่ใช้ในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศที่เรียก ว่า แอสโคสปอร์ (Ascospore) เกิดอยู่ในถุงแอสคัส (ascus)ซึ่งแอสคัสจะมีแอสโคสปอร์ ประมาณ 4 หรือ 8 แอสโคสปอร์และจะรวมกันอยู่ในโครงสร้างที่มีเส้นใยเรียกว่า แอสโค คาร์ป (ascocarp)ซึ่งเป็นฟรุตติงบอดีมีรูปร่างหลายแบบอาจเป็นรูปถ้วยรูปกลม ความหลากหลายของฟังไจ *ไฟลัมไคทริดิโอไมโคตา(Phylum Chytridiomycota) สมาชิกในไฟลัมนี้เรียกว่า ไคทริด (Chytrid)หรือราน้ำ เป็นฟังไจ กลุ่มแรกที่มีวิวัฒนาการมาจากโพรทิสต์ที่มีแฟลเจลลัมส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำ ทั้งน้ำ จืดและน้ำ เค็ม บางชนิดอาศัยในดินชื้นแฉะ โดยส่วนใหญ่จะไม่มีการสร้างเส้นใย และเส้นใยไม่มีผนังกั้น (Coenocytic Hypha) มีการสร้าง sporangium และมีไรซอยด์ ทำ หน้าที่ดูดอาหาร ผนังเซลล์ของฟังไจกลุ่มนี้ประกอบด้วย สารโคทิน สปอร์และแกมีตมีแฟลเจลลัม 1 เส้นที่เรียกว่า ซูโอสปอร์ (Zoospore) ช่วยในการเคลื่อนที่ อาหารสะสมเป็นไกลโคเจน สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ ไคทริดที่ถ่ายผ่าน กล้องจุลทรรศน์ชนิดต่างๆ SEM Pilobolus crystallinus TEM Morel Yeast *โฟลัมเบสิดิโอไมโคตา (Phylum Basidiomycota) ฟังไจกลุ่มนี้มีวิวัฒนาการสูงสุด ซึ่งทำ หน้าที่เป็นผู้ย่อยอินทรียสารที่มี ประสิทธิภาพของระบบนิเวศมีลักษณะสำ คัญคือมีเส้นใยที่มีผนังกั้นสมบูรณ์มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยสร้างสปอร์ที่เรียกว่า เบสิดิโอสปอร์ (basidiospore) จำ นวน 4 สปอร์ อยู่ข้างนอกเบสิเดียม (ฺBasidium)เห็ดที่มีวิวัฒนาการสูงสุด จะสร้างเบสิเดีย มบนโครงสร้างพิเศษหรือฟรุตติงบอดี (Fruiting Body) ที่เรียกว่าเบสิดิโอคาร์ป (Basidiocarp) หรือดอกเห็ด ได้แก่ เห็ด ชนิดต่าง ๆ จำ แนกเห็ดโดยใช้ลักษณะของเบสิเดียมเป็นเกณฑ์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ -พวกที่มีเบสิเดียมเป็นสายสั้น ๆ ประกอบด้วยเซลล์ 4 เซลล์ โดยแต่ละเซลล์จะสร้าง 1 เบสิดิโอสปอร์ เช่น Puccinia granninis และ Ustilago maydis -พวกที่มีเบสิเดียมคล้ายกระบอง (Club-Shaped Basidium) มีเบสิดิโอสปอร์ 4 อันติดอยู่บนสเตริกมา (Sterigma) มีเบสิดิ โอคาร์ปหรือดอกเห็ดเด่นชัด จำ แนกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ เห็ดที่มีครีบ (Gill) มีเบสิเดียมเรียงเป็นระเบียบอยู่ที่ครีบ เช่น เห็ดโคน เห็ดฟาง อีกกลุ่มหนึ่งคือ เห็ดที่ไม่มีครีบมีเบสิเดียมอยู่ตรงกลางเบสิดิโอคาร์ป เช่น เห็ดเผาะ


อาณาจักรพืช


พืชเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์แบบยูคาริโอต เป็นพวกที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้ และสร้างสารอินทรีย์จากสารอนินทรีย์ได้ พืชมี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มสาหร่ายสีเขียวพวกคาโรไฟซีน (charophycean) หรือพวกคาโรไฟต์ (charophyte) หรือสาหร่ายไฟ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพืชมากที่สุด การมีเนื้อเยื่อเจริญที่ปลาย (apical meristem) พืชจะต้องมีการปรับตัวทางด้านโครงสร้างคือ รากและลำ ต้น โดยการยืดตัวยาวออกและแตกกิ่งก้านของราก และลำ ต้นให้มากที่สุด เพื่อให้ไปสัมผัสกับแหล่งปัจจัยที่ต้องการคือ คาร์บอนไดออกไซด์ แสง น้ำ และแร่ธาตุ การที่พืชจะเพิ่มความยาวของรากและลำ ต้นได้ โดยการแบ่งเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญที่ปลายยอด,ปลายกิ่ง,ปลายรากแล้วมีการเจริญเปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อต่างๆรวมทั้งเอพิเดอร์มิสที่ปกคลมป้องกันพืช อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae) อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae) พืชให้ประโยชน์กับมนุษย์อย่างมากมายนับตั้งแต่ให้อากาศบริสุทธิ์สำ หรับหายใจ ให้เงาอันร่มเย็น เป็นตัวทำ ให้เกิดต้นน้ำ ลำ ธาร เป็นอาหาร เป็น เครื่องนุ่งห่ม เป็นยารักษาโรค ฯลฯ แต่พืชบางชนิดก็ให้โทษ เช่น แย่งอากาศหายใจในตอนกลางคืน บางชนิดจับแมลงกินเป็นอาหาร บางชนิดเป็นยาเสพ ติด สภาพแวดล้อมที่พืชขึ้นแตกต่างกันมากมายปัจจุบันรู้จักพืชประมาณ 300,000 สปีชีส์ ซึ่งรวมทั้งพืชน้ำ พืชบก เป็นต้น ป่ามอสส์ ลักษณะที่มีเฉพาะในพืชบก พืชส่วนใหญ่มีโครงสร้างที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ เรียกว่า แกมีแทนเจียม(gametangium)ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีหลายเซลล์ แกมีแทนเจียมของพืชมีชั้นของเซลล์ ที่เป็นหมัน (sterile cell) ล้อมรอบและป้องกันเซลล์สืบพันธุ์(เซลล์ไข่และสเปิร์ม)ไว้ ไข่ที่ถูกปฏิสนธิเจริญเป็นเอ็มบริโอที่มีหลายเซลล์ และอยู่ใน แกมี แทนเจียมเพศเมีย เอ็มบริโอจึงได้รับการปกป้องในขณะที่กำ ลังเจริญ มีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ (alternation of generation) พืชมีช่วงชีวิตที่เป็นระยะแกมีโทไฟต์(gametophyte) สลับกับช่วงชีวิตระยะสปอโรไฟต์ (sporophyte) แกมีโทไฟต์ เป็นระยะที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์หรือแกมีต(gamete)คือ ไข่และสเปิร์มที่มีโครโมโซมชุดเดียว(n)เมื่อเกิดการปฏิสนธิระหว่างไข่กับ สเปิร์มจะได้ไซโกต(zygote)ที่มีโครโมโซมเป็นดิพลอยด์(2n)หลังจากนั้นไซโกตแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสกลายเป็นเอ็มบริโอและต้นอ่อน ซึ่งเป็นระยะสปอ โรไฟต์ เมื่อสปอโรไฟต์เจริญเต็มที่จะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเพื่อสร้างสปอร์(spore)ที่มีโครโมโซมแฮพลอยด์(n)สปอร์แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเพื่อเจริญ เป็นระยะแกมีโทไฟต์อีก ระยะแกมีโทไฟต์จึงมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์อีกสลับกันไป มีสปอร์ที่มีผนังหุ้มเกิดอยู่ในสปอแรนเจียม ระยะสปอโรไฟต์ของพืชมีอวัยวะสปอแรนเจียม (sporangium) เป็นโครงสร้างที่สร้างสปอร์ภายในสปอแรนเจียมส ปอร์มาเทอร์เซลล์ (Spore mother cell) จะแบ่งไมโอซิสได้สปอร์ที่มีโครโมโซม n ส่วนเนื้อเยื่อของสปอแรนเจียมก็ช่วยป้องกันสปอร์ที่กำลังพัฒนาจนกว่าจะ ปลิวไปในอากาศ การมีสปอแรนเจียมจึงเป็นการปรับตัวของพืชบก มีแกมีแทนเจียมที่มีหลายเซลล์ (multicellular gametangium) ระยะแกมีโทไฟต์ของพืชพวกไบรโอไฟต์ (bryophyte) เทอริโดไฟต์ (pteridophyte) และจิมโนสเปิร์ม (gymnosperm) สร้างแกมีตอยู่ในอวัยวะแกมีแทนเจียม โดยแกมีแทนเจียมเพศเมียเรียกว่า อาร์ดีโกเนียม (archegonium) มีรูปร่างคล้าย คนโท ทำ หน้าที่สร้างไข่ ส่วนแกมีแทนเจียมเพศผู้เรียกว่า แอนเทอริเดียม (antheridium) สร้างสเปิร์มซึ่งจะปล่อยออกสู่ภายนอก เมื่อเจริญเต็มที่แล้วสเปิร์ม ของพืชพวกไบรโอไฟต์ เทอริโอไฟต์ และจิมโนสเปิร์มบางชนิดมีแฟลเจลลาใช้ว่ายน้ำ ได้ จึงว่ายไปหาไข่และปฏิสนธิกับไข่ในอาร์คีโกเนียม ไข่ที่ถูกปฏิสนธิ เจริญเป็นไซโกตแล้วพัฒนาไปเป็นเอ็มบริโอ การปรับตัวด้านอื่น ๆ ของพืชบก การปรับตัวเพื่อสงวนรักษาน้ำ ไว้เนื้อเยื่อเอพิเดอร์มิสของใบและส่วนอื่นในลำ ต้นที่สัมผัสอากาศจะมีคิวทิน (cutin) ที่เป็นไขปกคลุมอยู่เป็นชั้นคิวติเคิล (cuticle) เป็นการป้องกันการสูญเสียน้ำ แล้ว ยังป้องกันการเข้าทำ ลายของจุลินทรีย์อีกด้วย การปรับตัวในการลำ เลียง พืชบกยกเว้นไบรโอไฟต์ มีราก ลำ ต้น และใบที่แท้จริง และมีเนื้อเยื่อลำ เลียงคือ ไซเล็ม (xylem) ลำ เลียงน้ำ และแร่ธาตุขึ้นมา ทางราก กับโฟลเอ็ม (phloem) ลำ เลียงอาหารไปทั่วต้นพืช


ไฟลัมไลโคไฟตา (Phylum Lycophyta)มีเส้นใบ 1 เส้นที่ไม่แตกแขนง เป็นใบที่แท้จริง เรียงตัวกันเป็นเกลียวรอบต้นหรือรอบกิ่ง ทั้งราก และกิ่งมีการแตกแขนงแบบไดโคโตมัส (dichotomous) พัฒนาการของแผ่นใบมาจากเนื้อเยื่อเจริญที่มีตำ แหน่งอยู่บริเวณโคนใบ สร้างสปอร์เดียว เช่น จีนัสไลโคโพเดียม (Lycopodium) (ยกเว้นพืชจีนัสซีแลกจิเนลลา(Selaginella) และจีนัสไอโซอีเทส(Isoetes)) การปฏิสนธิยังอาศัยน้ำ เป็นตัว กลางให้สเปิร์มเคลื่นที่เข้าผสมกับเซลล์ไข่ ตามสายวิวัฒนาการของพืชบกแบ่งพืชบกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มใบรโอไฟต์ (bryophytes) เทอริโดไฟต์ (pteridophytes) จิมใน สเปิร์ม (gymnosperms) และแองจิโอสเปิร์ม (angiosperms) ไบรโอไฟต์ส่วนใหญ่คือ พวกมอสส์ (mosses) ซึ่งไม่มีท่อลำ เลียง (nonvascular) อีก 3 กลุ่มใหญ่ที่เหลือมีท่อลำ เลียงจึงเรียกว่า กลุ่มพืชมีท่อลำ เลียง (vascular plant) ซึ่งมีพวกเฟินและเทอริโดไฟต์อื่น ๆ เป็นพวกพืชไม่มีเมล็ด ส่วนจิมโนสเปิร์มและแองจิโอสเปิร์ม จัดเป็นพืชมีเมล็ด ความหลากหลายของพืช มอสส์ พืชไม่มีท่อลำ เลียง (Nonvascular plants) หรือพวกไบรโอไฟต์ (Bryophytes) พวกพืชไม่มีท่อลำ เลียงจะมีระยะแกมีโทไฟต์เป็นระยะเด่นเห็นอยู่ทั่วไป แต่ระยะสปอโรไฟต์มีขนาดเล็กกว่าและมีเพียงช่วงหนึ่งของวัฏจักร ชีวิตและเจริญอยู่บนต้นแกมีโทไฟต์ พบเห็นได้ทั่วไปพืชไม่มีท่อลำ เลียงพบอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นสูง จะยึดกับดินมีไรซอยด์(rhizoid) ทำ หน้าที่ยึดเกาะดูดนำ และธาตุอาหารสปอโรไฟต์ (sporophyte)เจริญบนแกมีโทไฟต์ตลอดชีวิต ไบรโอไฟต์ประกอบด้วย 3 ไฟลัม ไฟลัมเฮพาโทไฟตา (Phylum Hepatophyta) ได้แก่ ลิเวอร์เวิร์ท (liverwort) ไฟลัมเอนโทเซอโรไฟตา (Phylum Anthocerophyta) ได้แก่ พวกฮอร์นเวิร์ท (hornwort) ไฟลัมไบรโอไฟตา (Phylum Bryophyta) ได้แก่ มอสส์ชนิดต่าง ๆ พืชมีท่อลำ เลียงที่ไม่มีเมล็ดหรือเทอริโดไฟต์ (Pteridophytes)พืชมีท่อลำ เลียงที่ไม่มีเมล็ดหรือเทอริโดไฟต์ในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ไฟลัม ใบแบบไลโคฟิลล์ ซีแลกจิเนลลา ไลโคโพเดียม ไอโซอีเทส ไฟลัมเทอโรไฟตา (Phylum Pterophyta) ประกอบด้วย -หวายทะนอย (whisk fern, Psilotum) มีลักษณะคล้ายซากดึกดำ บรรพ์ (fossil) ของพืชคือไม่มีรากและใบที่แท้จริงแต่ ความจริงเป็นเพราะเกิดวิวัฒนาการครั้งที่สองหรือเกิดวิวัฒนาการภายหลังจึงทำ ให้ไม่มีรากและใบที่แท้จริง -หญ้าถอดปล้องหรืออีควิเซตัม (Equisetum sp.) เป็นพวกที่มีรากลำ ต้นและใบที่แท้จริงลำ ต้นมีทั้งอยู่ใต้ดิน (rhizome) และ ตั้งตรงขึ้นเหนือดิน -เฟิน (Ferns) เป็นพืชที่มีรากลำ ต้นและใบที่แท้จริง เฟินเป็นสมาชิกในไฟลัมเทอโรไฟตามีจำ นวนมากถึง 12,000 ชนิด ขึ้นอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน ลักษณะใบอ่อนม้วนของเฟิน พืชเมล็ดเปลือย(Gymnosperm)หมายถึง พืชที่ไม่มีดอก ไม่มีรังไข่เมื่อออวุลกลายเป็นเมล็ดจึงไม่มีผลหุ้มเมล็ด แบ่งออกเป็น 4 ไฟลัม ไฟลัมไซแคโดไฟตา (Phylum Cycadophyta)พบได้ตั้งแต่บริเวณป่าชายเลน บริเวณเกาะที่มีภูเขาหินปูน ป่าเต็งรัง ป่า เบญจพรรณ และป่าดิบเขา ซึ่งมีรูปร่างลำ ต้นคล้ายกับต้นปาล์มขนาดเล็ก เติบโตช้า ใบจึงแตกต่างกับต้นสน อีกทั้งไม่มีกิ่งก้าน ใบแตกออกบริเวณยอด ใบคล้ายทางมะพร้าว ไฟลัมกิงโกไฟตา (Phylum Ginkgophyta)ลักษณะทั่วไปของพืชในไฟลัมนี้ คือ มีลำ ต้นขนาดใหญ่ มีใบเดี่ยวคล้ายพัดสีเขียว และจะเปลี่ยนเป็นสี เหลืองทองในฤดูใบไม้ร่วง ลำ ต้นขนาดใหญ่คล้ายพืชดอกใบเป็นแผ่นกว้างคล้ายพัดมีรอยเว้าตรงกลางจึงเห็นเป็น 2 หยัก ต้นแป๊ะก๊วย ใบและออวุล โคนเพศผู้ male cone เมล็ด


ไฟลัมโคนิเฟอโรไฟตา (Phylum Coniferophyta) เป็นพืชเมล็ดเปลือยที่มีความหลากหลายมากที่สุด มีลักษณะสำ คัญคือ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ รูปทรงของลำ ต้นและใบคล้ายพีระมิด ใบมีขนาดเล็กคล้ายเข็มอยู่เป็นกลุ่มบนกิ่งสั้น ๆ ลำ ต้นมีการแตกกิ่งก้านได้มาก การผสมระหว่างโคนเพศผู้กับโคนเพศเมียก่อนงอกไปเป็นเมล็ด ไฟลัมนีโทไฟตา (Phylum Gnetophyta) นีโทไฟต์เป็นพืชที่มีลักษณะพัฒนากว่าพืชเมล็ดเปลือยกลุ่มอื่นๆคือ มีเซลล์ ลำ เลียงน้ำ เรียกว่า เวสเซลอีลีเมนต์ (vessel element) อยู่ในไซเล็ม เมล็ดสน (Gymnosperm) ป่าสน เมล็ดสน มั่วอึ่ง มะเมื่อย ปีศาลทะเลทราย พืชดอก (Angiosperm) คือพืชมีดอกมีรังไข่เมื่อออวุลกลายเป็นเมล็ดจึงมีผลหุ้มเมล็ด ได้แก่ ไฟลัมแอนโทไฟตา (Phylum Anthophyta) เป็นพืชที่มีลำ ต้น ราก ใบเจริญดีลักษณะเด่นของพืชกลุ่มนี้คือ มีดอก เมล็ดอยู่ภายในผลหรือเมล็ดมีรังไข่หุ้ม พืชดอกบางชนิดอาจเห็นดอกได้ยากหรือไม่เคยพบดอกเลย สวนดอกไม้นานาพันธุ์ ซากฟอสซิลของ Archaefructus liaoningensis ซากฟอสซิลของ Archaefructus sinensis Amborella trichopoda การเปรียบเทียบส่วนต่าง ๆ ของพืชใบ เลี้ยงเดี่ยวกับพืชใบเลี้ยงคู่ พืชดอก เรียกว่า แองจิโอสเปิร์ม(Angiosperm)ส่วนใหญ่ในปัจจุบันแบ่ง ออกเป็น 2 กลุ่มเด่นๆคือ พืชใบเลี้ยงคู่(Dicotyledonous Plant) กับ พืชใบเลี้ยงเดี่ยว(Monocotyledonous Plant) ซึ่งมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน คือ จำ นวนใบเลี้ยง โครงร่าง-เส้นใบ ระบบลำ เลียงราก - ลำ ต้น และจำ นวนกลีบดอก รากของพืชมีดอกบางชนิดมีการเปลี่ยนแปลงไปทำ หน้าที่อื่น ๆ เช่น รากสะสมอาหาร พบในแครอต กระชาย มันเทศ มันแกว มันสำ ปะหลัง รากหายใจ เช่น รากกล้วยไม้ ลำ พู โกงกาง ผักกระเฉด รากค้ำ จุน เช่น รากต้นโกงกาง ไทรย้อย ยางอินเดีย ข้าวโพด ลำ เจียก แครอท (รากสะสมอาหาร) โกงกาง (รากค้ำ จุน) มันฝรั่ง เผือก แห้วจีน ประโยชน์ของพืชดอก พืชดอกนับว่ามีประโยชน์อย่างมากในแง่การดำ รงชีวิต นับตั้งแต่ใช้เป็นอาหารไม่ว่าเป็นพืชตระกูลหญ้าหรือผัก ต่างๆ รวมทั้งผลไม้ชนิดต่างๆ พืชที่ใช้ทำ เครื่องนุ่งห่ม ได้แก่ ป่าน ปอศรนารายณ์ ต้นไม้ใหญ่หลายชนิดนำ ไปสร้างเป็นที่อยู่อาศัย บ้านหรือโรงเรือนต่างๆ เช่น ไม้สัก ไม้ตะเคียน เต็ง รัง นอกจากนั้นยังนำ ไปทำ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ พืชสมุนไพรมากมายหลายชนิด ถูกนำ ไปทำ ยารักษาโรค ทั้งยาไทยและต่างประเทศนอกจากนั้นพืชที่มีดอกสวยงาม เช่น กล้วยไม้ กุหลาบ พืชใบสวย เช่น ทองไหล มา สาวน้อยประแป้ง โกสนล้วนนำ ไปปลูกเป็นไม้ประดับตกแต่งอาคารสถานที่ ในแง่สิ่งแวดล้อมพืชดอกเป็นที่อาศัยของสัตว์ต่างๆ เป็นแหล่งผลิตออกซิเจน ป้องกันการพังทลายของดิน ดูดซับน้ำ ฝนทำ ให้เกิดป่าที่ชุ่มชื้น


อาณาจักรสัตว์


อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia หรือ Metazoa) ปัจจุบันอาณาจักรสัตว์จัดเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ บางพวกเซลล์ยังไม่รวมกลุ่มเป็นเนื้อเยื่อ เช่น พวกฟองน้ำ สิ่งที่เหมือนกันในกลุ่มสัตว์ คือ เป็นพวกเฮเทอโรโทรปซึ่งไม่สามารถสร้างอาหารได้ด้วยตัวเอง (Heterotrophic Organism) หรือในแง่ของนิเวศวิทยาจัดสัตว์ไว้ในกลุ่มผู้บริโภค (Consumer) ต้องได้อาหารจากสิ่งมีชีวิตอื่น นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวเพื่อรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี กำ เนิดของสัตว์อาณาจักรสัตว์ การศึกษาเสนอว่าบรรพบุรุษของสัตว์มีวิวัฒนาการจากบรรพบุรุษของฟังใจ โดยบรรพบุรุษร่วมอาจมีลักษณะคล้ายโคแอนโนแฟลเจลเลต (Choanoflagellate) ในปัจจุบัน แต่หลักฐานแรกทางซากดึกดำ บรรพ์ของสัตว์ที่ยอมรับได้มีลักษณะคล้ายสัตว์ในไฟลัมไนดาเรีย (Cnidaria) พบ ซากดึกดำ บรรพ์มากขึ้นในต่อ ๆ มาซึ่งเกิดจากการแพร่กระจายของสัตว์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีแก๊สออกซิเจนมากพอที่สัตว์ใช้ในการดำ รงชีวิต ทำ ให้ สัตว์ต้องปรับตัวเพื่อการอยู่รอด ความหลากหลายของอาณาจักรสัตว์ เป็นเซลล์ชนิดยูคาริโอต (Eucaryotic Cell) เป็นผู้บริโภคตลอดชีวิตเพราะสังเคราะห์อาหารเองไม่ได้ มีหลายเซลล์ (Multicellular) บางพวกยังไม่มีเนื้อเยื่อแต่ส่วนใหญ่ หลายเซลล์รวมกันเป็นเนื้อเยื่อเป็นอวัยวะ และเป็นระบบอวัยวะ การเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ตอบสนองสิ่งเร้าได้อย่างรวดเร็ว บางชนิดอาจมีการเคลื่อนที่บางช่วงของชีวิต ลักษณะของสัตว์โดยทั่วไป เราสามารถแยกสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ได้โดยใช้ลักษณะดังต่อไปนี้ 1. 2. 3. 4. เช่น ฟองน้ำ ในระยะเป็นตัวอ่อนจึงจะมีการเคลื่อนที่ ลักษณะโครงสร้างภายนอก หากมีลักษณะเหมือน ๆ กันจัดไว้กลุ่มเดียวกัน เนื้อเยื่อสัตว์ บางชนิดยังไม่แยกเนื้อเยื่อออกเป็นชั้น ๆ เช่น ฟองน้ำ สัตว์ บางพวกมีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น (Diploblastic) บางพวกมีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น (Triploblastic)พวก ที่มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้โดยใช้ช่องว่างลำ ตัว (Coelom; coel =ช่องว่าง) สมมาตร (Symmetry) การแบ่ง 2 ซีกที่มีลักษณะเหมือนกันเรียกว่า สมมาตร แบ่งได้ 2 ชนิด คือ ก. พวกที่ไม่มีช่องว่างในลำ ตัว (Acoelomate) คือ ไม่มีช่องว่างในชั้นของเนื้อเยื่อหรือระหว่างชั้นของเนื้อเยื่อ ได้แก่ หนอนตัวแบน ข. พวกที่มีช่องว่างเทียมในลำ ตัว (Pseudocoelomate; pseudo = เทียม) คือ ช่องว่างที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อเยื่อชั้นกลาง (Mesoderm) ช่องว่างนั้นอาจอยู่ ระหว่างเนื้อเยื่อชั้นนอก (Ectoderm) กับเนื้อเยื่อชั้นกลาง หรืออยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชั้นกลางกับเนื้อเยื่อชั้นใน (Endoderm) สัตว์ในกลุ่มนี้ได้แก่ หนอนตัวกลม บางพวกมี เนื้อเยื่อ 2 ชั้น ได้แก่ หนอนตัวกลม โรติเฟอร์ (Rotifer) ค. พวกที่มีช่องว่างที่แท้จริง (Coelomate) หมายถึง สัตว์ที่มีช่องว่างอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชั้นกลาง (mesoderm) ได้แก่ กุ้ง ปู แมลง หอย ไส้เดือนดิน และ สัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นต้น ก. สมมาตรแบบครึ่งซีกหรือแบบด้านข้าง (Bilateral Symmetry) สัตว์พวกนี้ผ่าได้ในแนวเดียวเท่านั้น ที่ให้ซีกซ้ายและซีกขวาเหมือนกัน พบใน ไส้เดือนดิน หอย สัตว์ที่มีขาเป็นปล้อง (Arthropod) หนอนตัวกลม หนอนตัวแบน และสัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิด ข. สมมาตรแบบรัศมี (Radial Symmetry) แบ่งตามรัศมีแล้วได้สมมาตรทุกครั้ง สัตว์เหล่านี้จะมีรูปโคน (Cone Shape) หรือรูปกรวยหรือรูปจาน ได้แก่ แมงกะพรุน ไฮดรา หวีวุ้น ลักษณะต่างๆที่ใช้แยกกลุ่มของสัตว์


โครงร่างแข็งหรือกระดูก (skeleton) บางชนิดมีโครงร่างแข็งอยู่นอกร่างกาย (Exoskeleton) เช่น กุ้ง ปู บางชนิดมีโครงร่างแข็งอยู่ภายในร่างกาย (Endoskeleton) เช่น สัตว์มีกระดูกสันหลัง การมีปล้อง (Segmentation) ที่เกิดจากเนื้อเยื่อชั้นกลางสัตว์ที่ไม่มีปล้อง ได้แก่ ฟองน้ำ แมงกะพรุน เป็นต้น ส่วนสัตว์ที่มีปล้อง ได้แก่ ไส้เดือนดิน ทางเดินอาหาร ทางเดินอาหารของสัตว์สามารถใช้เป็นเกณฑ์แบ่งกลุ่มสัตว์ได้ การสืบพันธุ์ มีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศในสัตว์ชั้นต่ำ เช่น ฟองน้ำ ไฮดรา แมงกะพรุน ในสัตว์ชั้นสูงจะมีการสืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ การเปลี่ยนแปลงของบลาสโทพอร์ (Blastopore) บลาสโทพอร์ที่เกิดในระยะแกสตรูลา (Gastrula) ของตัวอ่อน จะมีการเปลี่ยนแปลง 2 แบบ คือ แบบ การเจริญในระยะตัวอ่อน ในสัตว์พวกโพรโทสโทเมียมีการเจริญของตัวอ่อน 2 แบบ คือ แบบที่มีตัวอ่อน (Larva) ระยะโทรโคฟอร์ (Trochophore) อาร์โทรพอด (Arthropod) คอร์เดท (Chordate) ก. ใช้ช่องทางเดินน้ำ แทนทางเดินอาหาร (Spongocoel) พบในฟองน้ำ ข. ทางเดินอาหารที่มีทางเข้าออกทางเดียวกันช่องว่างนี้เรียกว่าช่องแกสโตรวาสคูลาร์ (Gastrovascular Cavity) ทำ หน้าที่ย่อยอาหาร ลำ เลียง หายใจ และขับถ่าย ได้แก่ ไฮดรา ปะการัง แมงกะพรุน ค. ทางเดินอาหารชนิดสมบูรณ์มีทางเข้าทางหนึ่งและทางออกอีกทางหนึ่ง ทำ หน้าที่ย่อยอาหารอย่างเดียว ส่วนใหญ่พบในสัตว์ที่มีสมมาตรชนิดครึ่งซีก ยกเว้นหนอนตัวแบน โพรโทสโทเมีย (Protostomia) คือพวกที่บลาสโทพอร์เจริญไปเป็นปาก และแบบดิวเทอโรสโทเมีย (deuterostomia) คือพวกที่บลาสโทพอร์เจริญ เรียกว่าพวกโลโฟโทรโคซัว (Lophotrochozoa) และกลุ่มที่มีการลอกคราบ (Ecdysis) ระหว่างการเจริญเติบโต เรียกว่าพวกเอกไดโซซัว (Ecdysozoa) ลักษณะต่างๆที่ใช้แยกกลุ่มของสัตว์ ไฟลัมพอริเฟอรา (Porifera) ได้แก่ ฟองน้ำ (Sponges) ไฟลัมซีเลนเทอราตา (Coelenterata) หรือไนดาเรีย (Cnidaria) เช่น ไฮดรา แมงกะพรุน กัลปังหา ปะการัง เป็นต้น ไฟลัมแพลทีเฮลมินทิส (Platyhelminthes) เช่น พลานาเรีย พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ เป็นต้น ไฟลัมนีมาเทลมินทิส (Nemathelminthes) หรือนีมาโทดา (Nematoda) เช่น หนอนตัวกลมชนิดต่างๆพยาธิแส้ม้า พยาธิปากขอ พยาธิโรคเท้าช้าง เป็นต้น ไฟลัมแอนเนลิดา (Annelida) เช่น ไส้เดือนดิน ปลิง ทากดูดเลือด แม่เพรียง เป็นต้น ไฟลัมมอลลัสคา (Mollusca) เช่น หมึก หอยฝาเดียว หอยสองฝา ลิ่นทะเล เป็นต้น ไฟลัมอาร์โทรโพดา (Arthropoda) ได้แก่ แมลงชนิดต่าง ๆ กุ้ง ปู แมงมุม แมงดาทะเล หมัด เห็บ เพรียงหิน กิ้งกือ ตะขาบ เป็นต้น ไฟลัมเอไดโนเดอร์มาตา (Echinodermata) เช่น ดาวทะเล เม่นทะเล ปลิงทะเล พลับพลึงทะเล อีแปะทะเล (เหรียญทะเล) เป็นต้น ไฟลัมคอร์ดาตา (Chordata) ได้แก่ เพรียงหัวหอม และสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดต่าง ๆ นักชีววิทยาเชื่อว่าสัตว์ต่าง ๆ มีวิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์เดียว ปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ถึง 9 ไฟลัม ดังนี้ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9.


กลุ่มที่ไม่มีเนื้อเยื่อที่แท้จริง ไฟลัมพอริเฟอรา (Phylum Porifera) ฟองน้ำ พบทั้งในน้ำ เค็มและน้ำ จืด ส่วนใหญ่จะอยู่ในน้ำ เค็ม มักพบอยู่ตามโขดหิน ก้อนหินตั้งแต่ ระดับชายฝั่งทะเลจนถึงทะเลลึกรูปร่างเป็นก้อนๆ บางชนิดมีลักษณะคล้ายแจกันมีรูพรุนเป็นทางน้ำ เข้า (Ostium) ซึ่งมีขนาดเล็กส่วนทาง น้ำ ออก (Osculum) ฟองน้ำ นักชีววิทยาได้จำ แนกออกเป็น 4 คลาส (Class) ดังนี้ (1) Class Calcarea มีโครงร่างเป็นหินปูน พบอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล เช่น ฟองน้ำ หินปูน (2) Class Hexactinellida มีโครงร่างเป็นสารซิลิกา เช่น ฟองน้ำ แก้ว (3) Class Dermospongiae มีโครงร่างแข็งเป็นสารซิลิกาหรือเป็นโครงร่างเส้นใยโปรตีน (spongin fiber) หรืออาจเป็นโครงร่างที่มีทั้งซิลิกาและเส้นใยโปรตีนรวมกัน เช่น ฟองน้ำ ถูตัว ฟองน้ำ น้ำ จืด (4) Class Sclerospongiae เป็นฟองน้ำ ที่พบอาศัยอยู่ในเขตร้อนและเขตอบอุ่นเกาะอยู่ตามแนวปะการังทั่วไป กลุ่มที่มีเนื้อเยื่อที่แท้จริง - แบบที่ 1 แบบกลุ่มที่มีสมมาตรแบบรัศมี ไฟลัมไนดาเรีย (Phylum Cnidaria)คือเซลล์รวมตัวกันเป็นเนื้อเยื่อที่แท้จริงแล้วจัดตัวเป็นเนื้อเยื่อ 2 ชั้นคือเนื้อเยื่อชั้นนอกและเนื้อเยื่อชั้นใน ระหว่าง 2 ชั้นนี้ มีเยื่อมีโซเกลีย(Mesoglea) แทรกอยู่ภายในลำ ตัวยังไม่มีระบบของอวัยวะที่ชัดเจนมีช่องว่างเรียกว่าแกสโทรวาสคิวลาร์ (Gastrovascular Cavity) รูปร่างสมมาตรแบบรัศมี บางชนิดรูปร่างคล้ายกระดิ่งคว่ำ เรียกว่า เมดูซา(Medusa) ว่ายน้ำ ได้ บางชนิดรูปร่างยาวคล้าย ต้นไม้ เรียกว่า โพลิป (Polyp) มีด้านฐานยึดติดกับที่ด้านตรงข้ามเป็นปาก มีเทนทาเคิล(Tentacle) หรือหนวดอยู่รอบๆปาก ใช้จับอาหารโดยที่ เซลล์บนเทนทาเคิลเป็นเซลล์พิเศษ เรียกว่า ไนโดไซต์(Cnidocyte) ซึ่งภายในเซลล์นี้มีเข็มพิษคือ เนมาโทซิสต์(Nematocyst) ที่สัตว์อื่นถูก แล้วอาจเป็นอัมพาต เมื่อสัตว์ถูกยิงด้วยเข็มพิษนี้แล้วจะถูกจับกินเข้าทางเดินอาหาร มีระบบประสาทชนิดร่างแห(Nerve net) บางชนิดมีอวัยวะ สำ หรับใช้ในการทรงตัวหรือสตาโตซิสต์ (Statocyst) บางชนิดมีอวัยวะรับแสง (Eyespot) Class Hydrazoa พบทั้งในแหล่งน้ำ จืดและทะเลมีรูปร่างทั้งแบบโพลิปและเมดูชาเซลล์ เช่นไฮดรา แมงกะพรุนน้ำ จืด โอบิเลีย บางชนิดมีโครง ร่างแข็งเป็นสารจำ พวกหินปูน เช่น ปะการังแตน Class Scyphozoa พบอาศัยอยู่ในทะเลทั้งหมดมีรูปร่างแบบเมดูซา เช่น แมงกะพรุนจาน Class Cubozoa อาศัยอยู่ในทะเลมีรูปร่างเป็นแบบ cutical จึงเรียกว่า แมงกะพรุนถัง Class Anthozoa อาศัยอยู่ในทะเล เช่น ดอกไม้ทะเล (sea anemone) ปะการังถ้วย ปะการังหิน กัลปังหา ปัจจุบันมีการค้นพบสัตว์ในไฟลัมนี้แล้วประมาณ 9,000 ชนิดจำ แนกออกเป็น 4 คลาส คือ 1. 2. 3. 4. กลุ่มที่มีเนื้อเยื่อที่แท้จริง แบบที่ 2 แบบกลุ่มที่มีสมมาตรแบบครึ่งซีกหรือแบบด้านข้าง กลุ่มโพรโทสโทเมียและมีตัวอ่อนแบบโทรโคฟอร์ไฟลัมแพลทีเฮลมินทิสได้แก่ หนอนตัวแบนมีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์มีรูเปิดรูเดียวแต่ทางเดิน อาหารแตกแขนงไปทั่วร่างกายไม่มีอวัยวะสำ หรับแลกเปลี่ยนแก๊สโดยตรงอาศัยการแพร่ผ่านผิวของลำ ตัวอวัยวะขับถ่ายใช้เฟลมเซลล์ (Flame Cell) ระบบประสาทมีลักษณะคล้ายขั้นบันไดในตัวเดียวมี 2 เพศอาจผสมได้ในตัวเอง หนอนตัวแบนบางชนิดดำ รงชีวิตแบบอิสระเช่นพลานาเรียบ้างก็ดำ รง ชีวิตแบบปรสิต ปัจจุบันพบสัตว์จำ พวกหนอนตัวแบนประมาณ 13,000 ชนิดแบ่งออกเป็น 3 คลาส คือ (1) Class Turbellaria ส่วนใหญ่ดำ รงชีวิตแบบอิสระพบทั้งในแหล่งน้ำ จืดทะเลและบนบกเช่น พลานาเรีย หนอนหัวขวาน (2) Class Trematoda ดำ รงชีวิตแบบปรสิตมีรูปร่างคล้ายใบไม้ เช่น พยาธิใบไม้ในตับคนพยาธิใบไม้ในตับแกะ พยาธิใบไม้ ในหอยกาบน้ำ จืด (3) Class Cestoda ดำ รงชีวิตแบบปรสิต มีลำ ตัวแบนยาว ไม่มีระบบทางเดินอาหาร เช่นพยาธิตัวตืด ชนิดต่าง ๆ


ไฟลัมนีมาโทดา (Phylum Nematoda)หนอนตัวกลม (Round Worm) ลำ ตัวไม่เป็นปล้อง พบได้ทั่วไปทั้งในน้ำ จืด น้ำ เค็ม และบนบก มีทั้งดำ รงชีพแบบปรสิตและหากินอิสระลักษณะทั่ว ๆ ไป มีขนาดเล็กยาวไม่เกิน 7 มิลลิเมตร ลำ ตัวกลมเรียว ยาว แต่ยังมีสมมาตรแบบครึ่งซีก แหลมหัวแหลมท้าย มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ ด้านหัวเป็นปากทางด้านหางเป็นทวารหนัก ไม่มีรยางค์ พยาธิปากขอ ไฟลัมแอนเนลิดา (Phylum Annelida)มีลำ ตัวประกอบด้วยปล้องที่แท้จริงต่อกันเห็นได้ชัดเจน จึงเรียกว่าหนอนปล้อง (Segmented Worm) อวัยวะภายในแต่ละปล้องมีลักษณะคล้าย ๆ กันผิวหนังมีคิวทิเคิล (Cuticle) ปกคลุมบางๆ และ มีต่อมสร้างเมือกเพื่อทำ ให้ลำ ตัวเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา มีรยางค์ในแต่ละปล้อง ไฟลัมมอลลัสคา (Phylum Mollusca) ลักษณะเด่นของสัตว์กลุ่มนี้คือ มีลำ ตัวนิ่ม ปกคลุมด้วยแมนเทิล (Mantle) อาจไม่มีเปลือกแข็งหุ้ม เช่น หมึก แต่ส่วนใหญ่มีเปลือกแข็งหุ้ม ได้แก่ หอยทุกชนิด ทั้งฝาเดียวและสองฝา ลิ่นทะเล ลำ ตัวของมอลลัสก์ประกอบด้วย 3 ส่วนคือเท้า (Foot) ใช้ เคลื่อนที่ขุดดินว่ายน้ำ ยึดเกาะอวัยวะภายใน (Visceral Mass) และแมนเทิล (Mantle) ซึ่งทำ หน้าที่สร้างเปลือกที่มีสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต หุ้มลำ ตัวระบบทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรเปิด หายใจด้วยเหงือกหรือปอด สัตว์ในไฟลัมนี้มีทั้งอยู่ในน้ำ จืด น้ำ เค็ม น้ำ กร่อย บนบก บนต้นไม้ ส่วนใหญ่หากินอิสระ ยกเว้นบางพวกยึดเกาะติดกับที่ Class Monoplacophora ตัวมีลักษณะรูปไข่ มีเปลือกอันเดียว อวัยวะภายในมีลักษณะแบ่งเป็นปล้องๆ(Internal Metamerism)ได้แก่ หอย ฝาละมี (Neopilina) Class Polyplacophora พบอยู่ตามชายฝั่งทะเลบริเวณน้ำ ขึ้นน้ำ ลงมักเกาะอยู่กับหินเปลือกอยู่ด้านบนมี 8 แผ่นตามขวาง ได้แก่ ลิ่นทะเล (Chiton) Class Gaspropoda เป็นพวกหอยฝาเดียว ส่วนใหญ่มีเปลือกที่เวียนเป็นเกลียว เช่น หอยโข่ง หอยขม หอยเชอรี่ หอยทากจิ๋วปากแตร เป็นต้น Class Bivalia เป็นพวกหอยสองฝา มักฝังตัวตามโคลนหรือทราย เช่น หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยกาบ หอยนางรม หอยหลอด หอยมือเสือ Class Scaphopoda มีลักษณะสำ คัญคือ รูปร่างเป็นหลอดที่เปิดออกทั้ง 2 ข้าง มีความยาวของเปลือกประมาณ 2-6 เซนติเมตร มักฝังตัวอยู่ใน โคลนหรือทราย เช่น หอยงาช้าง Class Cephalopoda พบอาศัยอยู่ในทะเลมีลักษณะโดยทั่วไปคือ ลำ ตัวยาว เท้าพัฒนาไปเป็นเทนทาเคิล (หนวด) ระบบประสาทเจริญดี เช่น หอยงวงช้าง (Nautilus) หมึก ปัจจุบันพบมอลลัสก์แล้วประมาณ 100,000 ชนิดแบ่งออกเป็นคลาสต่าง ๆ ดังนี้ 1. 2. 3. 4. 5. 6. หนอนตัวแบน หอยงวงช้าง หนอนปล้องที่พบแล้วมีประมาณ 8,900 ชนิด แบ่งออกเป็น 3 คลาส ดังนี้ (1) Class Polychaeta ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทะเล มีบางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำ กร่อยและน้ำ จืด มีลักษณะสำ คัญคือ มีรยางค์ ยื่นออกจากลำ ตัวคล้ายใบพาย (Parapodia) ตลอดลำ ตัว มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย เช่น แม่เพรียง บุ้งทะเล เป็นต้น (2) Class Oligochaeta อาศัยอยู่ทั้งบนบกและในแหล่งน้ำ จืด มีเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียอยู่ในตั เดียวกัน แต่มีการผสมพันธุ์ข้ามตัว เช่น ไส้เดือนดิน หนอนแดง (3) Class Hirundinea อาศัยอยู่ทั้งบนบกและแหล่งน้ำ จืดดำ รงชีวิตแบบปรสิตภายนอก เช่นปลิงน้ำ จืด ทากดูดเลือด ไฟลัมอาร์โทรโพดา (Phylum Arthropoda)ลักษณะเด่นคือ ลำ ตัวเป็นปล้องที่แท้จริง มีขาหรือรยางค์เป็นข้อปล้องและลำ ตัว บางชนิดบางส่วนอาจ เชื่อมติดกันลำ ตัวแบ่งเป็นปล้องๆ แต่ละปล้องมักมีรยางค์ 1 คู่ ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด โดยมีหัวใจที่มีหลอดเลือดเล็กๆ สูบฉีดเข้าสู่ช่องว่าง ของซีลอมเรียกว่า ฮีโมซีล (Hemocoel)


จากลักษณะตัวอย่างสัตว์พวกอาร์โทรพอดนี้สามารถแยกออกเป็นกลุ่มหรือคลาสได้จากลักษณะของการเชื่อมติดกันระหว่างหัวกับอก หรือการแยกกันของ หัวกับอก ลักษณะการมีหนวด และจำ นวนขา แบ่งออกเป็นคลาสต่าง ๆ ดังนี้ กั้ง ไรน้ำ กุ้ง คลาสอินเซ็กตา (Insecta) หรือคลาสเฮกซาโพตา (Hexapoda) ได้แก่ แมลงชนิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีมากทั้งสปีชีส์และจำ นวนตัว ลักษณะเด่น ของแมลง คือ ลำ ตัวแยกออกเป็น 3 ส่วนคือ หัว อก และท้อง ส่วนหัวมีหนวด 1 คู่ตา 1 คู่ การเจริญเติบโตของแมลงมีความแตกต่างกันแมลงบาง ชนิดอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเลยมีแต่การเปลี่ยนขนาด Class Merostomata อาศัยอยู่ในทะเล ได้แก่ แมงดาทะเล มีลักษณะสำ คัญคือ ส่วนหัวและส่วนอกเชื่อมรวมกัน คลาสอะแรคนิดา (Arachnida) สัตว์ในคลาสนี้เรียกว่าอะแรคนิด (Arachnid) สัตว์กลุ่มนี้ เช่น แมงป่อง แมงมุม เห็บ ไร มีลักษณะสำ คัญคือ คลาสไดโพลโพดา (Diplopoda) สัตว์ในคลาสนี้เรียกว่า มิลลิพิด (Millipede) มีลักษณะสำ คัญคือส่วนหัวมีหนวด 1 คู่ลำ ตัวมีรยางค์ปล้องละ 2 คู่ ไม่มีเขี้ยวพิษ หายใจโดยใช้ระบบท่อลม มีส่วนหัวและส่วนอกเชื่อมกันเป็น cephalothorax สิ่งมีชีวิตในไฟลัมอาร์โทรโพดา สิ่งมีชีวิตในกลุ่มมิลลิพิด คลาสชิโลโพดา (Chilopoda) สัตว์ที่อยู่ในคลาสนี้เรียก เซ็นติพิด (Centipede) สัตว์กลุ่มนี้ได้แก่ตะขาบซึ่งมีเขี้ยวพิษที่กัดแล้วจะปล่อยพิษออก มาลักษณะเด่นคือลำ ตัวแบนยาวเห็นปล้องชัดเจน สิ่งมีชีวิตในกลุ่มเซนติพิด สิ่งมีชีวิตในคลาสอินเซ็คตา วงจรชีวิตของแมลง แมลงแต่ละชนิด มีการเจริญเติบโตและมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไป การเปลี่ยนแปลงนี้คือ Metamorphosis มีอยู่ 4 แบบ Ametamorphosis เป็นวงจรชีวิตของแมลงที่ไม่มี metamorphosis เลย ตัวอ่อนที่ฟักออกจากไข่เหมือนพ่อแม่ทุกประการ ต่างกันตรงที่ขนาด เล็กกว่า พบในพวกแมลงที่ไม่มีปีกบางชนิด Gradual metamorphosis เป็นวงรชีวิตของแมลงแบบที่มี Metamorphosis ค่อยเป็นค่อยไปหรือไม่ครบขั้น Incomplete metamorphosis คล้ายกับ gradual metamorphosis แต่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเกิดขึ้นมากกว่า ตัวอ่อนที่ออกจากไข่หากินอยู่ ในน้ำ จึงมีเหงือกหายใจ แต่ลักษณะทั่วไปยังคงเหมือนตัวเต็มวัยบ้างแล้ว เมื่อจะโตเต็มวัย ขะชึ้นมาจากน้ำ และลอกคราบครั้งสุดท้าย แล้ว เปลี่ยนเป็นหายใจในอากาศ ตัวอ่อนที่อยู่ในน้ำ และขึ้นมาจากน้ำ Complete metamorphosis เป็นวงจรชีวิตของแมลงแบบที่มี metamorphosis ครบ 4 ขั้น คือ ขั้นแรกเป็นไข่ ขั้นที่ 2 เป็นตัวอ่อนที่ออก จากไข่ ลักษณะคล้ายหนอน ด้วงแรด คลาสครัสเทเชีย (Crustacea) สัตว์ในคลาสนี้รวมเรียกว่า ครัสเทเชียน (Crustacean) ลักษณะเด่นที่ต่างจาก อาร์โทรพอด คือ หัวและอกเชื่อมติดกัน ขณะเจริญเติบโตมีเมทามอร์โฟซิส สัตว์ในคลาสนี้เป็นสัตว์เศรษฐกิจในแง่ของการเป็นอาหารมนุษย์ ได้แก่ กุ้ง กั้ง ปู ไรน้ำ ไรน้ำ เค็ม


กลุ่มดิวเทอโรโทเมีย สัตว์ที่อยู่ในไฟลัมนี้ เรียกว่า เอไคโนเดอร์มเป็นสัตว์ทะเลทั้งหมด ลักษณะสำ คัญ คือ ผิวหนังหยาบและขรุขระ มีหนามแหลมปกคลุมทั่วตัว มีระบบ โครงร่างภายใน (endoskeleton) เป็นหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) และปกคลุมด้วยชั้นเอพิเดอร์มิส (epidermis)การสืบพันธุ์สัตว์ ในไฟลัมนี้มีทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ ปัจจุบันพบแล้วประมาณ 6,000 ชนิด แบ่งออกเป็น 5 คลาส (class) คือ Class Asteroidea มีรูปร่างลักษณะเป็นแฉก ลำ ตัวมีหนาม มีโครงร่างแข็ง ท่อขามีทั้งชนิดที่มีปุ่มดูดและไม่มีปุ่มดูด เคลื่อนที่ได้ ได้แก่ ดาว ทะเล (starfish หรือ sea star) Class Ophiuroidea มีรูปร่างลักษณะเป็นแฉก ลำ ตัวมีหนาม เคลื่อนที่ได้ ได้แก่ ดาวเปราะ (brittle star) Class Echinoidea มีรูปร่างหลายแบบ เช่น เป็นก้อนกลม ทรงกระบอก เป็นแผ่นไม่มีร่องแขน บางชนิดมีหนามสั้น บางชนิดมีหนามยาว เคลื่อนที่ได้ ได้แก่ หอยเม่นหรือเม่นทะเล (sea urchin) เหรียญทะเลหรืออีแปะทะเล (sand dollar) Class Holothuroidea มีรูปร่างแบบทรงกระบอก ไม่มีแขน ไม่มีหนาม เคลื่อนที่ได้ ได้แก่ ปลิงทะเล (sea cucumber) Class Crinoidea มีรูปร่างคล้ายถ้วย ลำ ตัวไม่มีหนาม เกาะอยู่กับที่เป็นส่วนใหญ่ ท่อขาไม่มีปุ่มดูด ได้แก่ ดาวขนนกและพลับพลึงทะเล (sea lily) พลับพลึงทะเล ไฟลัมตอร์ดาตา (Phylum Chordata) ลักษณะเด่นของสัตว์ในไฟลัมนี้ คือ โนโทคอร์ด (notochord) อยู่เหนือทางเดินอาหารซึ่งเป็นแท่งยาว ยืดหยุ่นได้ มีอยู่ตลอดความยาวลำ ตัว อาจมีตลอดชีวิตหรือมีอยู่เฉพาะในบางช่วงของชีวิตสัตว์ในไฟลัมคอร์ดาตา แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ พวกไม่มีกระดูกสันหลังหรือโพรโทคอร์เดท (invertebrate หรือ protochordate) กับพวกมีกระดูกสันหลัง (vertebrate) ซาลามานเดอร์ เหรียญทะเล กลุ่มที่ยังไม่มีกระดูกสันหลัง มี 2 subphylum คือ 1.1 ยูโรคอร์เดต (Urochordate) เป็นสัตว์ที่มีถุงหุ้มตัวเป็นสารพวกเซลลูโลสระยะตัวเต็มวัยไม่มีโนโทคอร์ดคอหอยมีช่องเหงือก (gill slits) ทาง เดินอาหารมีลักษณะเป็นรูปตัวยู (U) ไม่มีเส้นประสาทขนาดใหญ่บริเวณหลัง ไม่มีอวัยวะรับสัมผัส มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรเปิด มี 2 เพศ ในตัวเดียวกัน 1.2 เซฟาโลคอร์เดท (Cephalochordate) เป็นสัตว์ที่มีลำ ตัวยาวประมาณ 4-8 ซม. หัวท้ายแหลม รูปร่างคล้ายปลา มีโนโทคอร์ดยาวตลอดลำ ตัว ตลอดชีวิต ไม่มีสมอง มีช่องเหงือกที่คอหอย และมีหาง ชอบฝังตัวอยู่ตามพื้นทรายบริเวณชายฝั่งทะเล ได้แก่ แอมฟิออกซัส กลุ่มที่มีกระดูกสันหลัง (Vertebrate) แบ่งออกเป็น 2.1 สัตว์มีกระดูสันหลังที่ไม่มีขากรรไกร I. คลาสไซโคลสโตมาตา (Class Cyclostomata) คือ ปลาที่ไม่มีขากรรไกร ส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปแล้ว มีโครงร่างเป็นกระดูกอ่อน ไม่มีครีบคู่ มีแต่ ครีบหลังและครีบหาง มักเป็นปรสิต พบในเขตหนาวแถบยุโรปและอเมริกา 2.2 สัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีขากรรไกร II. คลาสคอนดริคไทอิส (Class Chondrichthyes) เป็นปลากระดูกอ่อนที่มีขากรรไกรและครีบคู่เจริญดี มีการแลกเปลี่ยนแก๊สโดยใช้เหงือก ภายนอก III. คลาสออสติอิคไทอิส (Class Osteichthyes) เป็นปลากระดูกแข็งทั่ว ๆ ไป ซึ่งมีโครงร่างเป็นกระดูกแข็ง มีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นองค์ ประกอบ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีครีบเนื้อนิ่ม ซึ่งพบเฉพาะปลามีปอด (lung fish) และปลาโบราณ IV. คลาสแอมฟิเบีย (Class Amphibia) เรียกว่า สัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก (amphibian) มีลักษณะสำ คัญ คือ มีผิวหนังเปียกชื้นตลอดเวลา เพื่อ ช่วยแลกเปลี่ยนแก๊ส ไม่มีเกล็ดปกคลุมร่างกาย ขาคู่หน้าสั้นกว่าขาคู่หลัง ซึ่งเป็นขาที่มีความแข็งแรง ทำ ให้การเคลื่อนที่ของสัตว์กลุ่มนี้มีประสทธิภาพ ขึ้ ป็ ว์ ย็


V. คลาสเรปทิเลีย (Class Reptilia) เป็นสัตว์เลื้อยคลาน มีผิวแห้งปกคลุมด้วยสารเคราทิน (keratin) มักมีเกล็ดปกคลุมหรือมีกระดองช่วย ป้องกันการสูญเสียน้ำ ออกจากร่างกาย นิ้วมีเล็บแหลมคม มีการปฏิสนธิภายในร่างกายเช่น กิ้งก่า ตุ๊กแก จิ้งจก งู เต่า ตะพาบน้ำ จระเข้ VI. คลาสเอเวส (Class Aves) เป็นสัตว์ปีก มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน โดยพบซากดึกดำ บรรพ์ของอาร์คีออพเทริกซ์ (Archaeopteryx)ที่ มีลักษณะเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน คือมีเกล็ดที่ขา มีกรงเล็บ มีฟัน และมีหางยาว แต่มีขนเหมือนขนนก สัตว์ปีกมีขนแบบแผง (feather) ปกคลุม ร่างกาย กระดูกมีรูพรุน ทำ ให้น้ำ หนักเบาช่วยให้บินได้ง่าย ปากเป็นจะงอย ไม่มีฟัน มีเกล็ดที่ขา เป็นสัตว์เลือดอุ่น VII. คลาสแมมมาเลีย (Class Mammalia) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ นม มีขนแบบเส้น (hair) ปกคลุมร่างกาย เพศเมียมีต่อมน้ำ นม ผลิตน้ำ นม เป็นอาหารให้ตัวอ่อน เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีการปฏิสนธิภายในร่างกาย ตัวอ่อนเจริญอยู่ในมดลูก ได้รับอาหารผ่านทางรกและสายสะดือ มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์ เซลล์เม็ดเลือดแดงที่โตเต็มที่ไม่มีนิวเคลียส หายใจโดยใช้ปอด ส่วนใหญ่ออกลูกเป็นตัว มีบางชนิดออกลูกเป็นไข่ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มมอโนทรีม (monotremes) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ นมที่ออกลูกเป็นไข่ เช่น ตุ่นปากเป็ด ตัวกินมด พบในประเทศออสเตรเลียและนิวกินี กลุ่มมาร์ชูเพียล (marsupials) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ นมที่มีระยะเวลาตั้งท้องสั้นมาก ลูกที่คลอดออกมาจะมีขนาดเล็ก ต้องเข้าไปอยู่ในถุงหน้า ท้องของแม่ ซึ่งภายในมีหัวนมที่ผลิตน้ำ นมให้ลูกอ่อน เช่น จิงโจ้ โคอาลา โอพอสซัม กลุ่มยูเทเรียน (eutherians) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ นมที่มีรก มีระยะเวลาตั้งท้องนาน ตัวอ่อนเจริญอยู่ภายในมดลูกจนสมบูรณ์จึงคลอดออกมา เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ นมส่วนใหญ่ รวมทั้งไพรเมตด้วย ไพรเมต (primate) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ นมที่มีสมองขนาดใหญ่ ขากรรไกรสั้น มีมือและเท้าสำ หรับยึดเกาะ มีเล็บแบน มีพฤติกรรมในการ เลี้ยงดูลูกอ่อนและพฤติกรรมทางสังคมที่ซับซ้อน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ โพรซิเมียน (prosimian) ได้แก่ ลิงลมหรือนางอาย ลิงทาร์ซิเออร์ และแอนโทรพอยด์ (anthropoid) ได้แก่ ลิงมีหาง เช่น ลิงแสม ลิงบาบู ซึ่งเป็นลิงโลกเก่า และลิงสไปเดอร์ ซึ่งเป็นลิงโลกใหม่ ลิงไม่มีหาง เช่น ชะนี อุรังอุตัง กอริลลา ชิมแปนซี มนุษย์ ชิมแปนซี ชะนี อุรังอุตัง โคอาล่า จิงโจ้


นางสาวธิดารัตน์ กุลรัตน์ ชั้น ม.5/10 เลขที่ 28 จัดทำ โดย นำ เสนอ นายจิราวุฒิ หาญประชุม


Click to View FlipBook Version