The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติดนตรีไทยในสมัยต่างๆ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wachirapornkaenluem, 2023-07-21 01:23:24

ประวัติดนตรีไทยในสมัยต่างๆ

ประวัติดนตรีไทยในสมัยต่างๆ

ประวัติดนตรีไทยในสมัยต่างๆ ประวัติความเป็นมาของดนตรีไทย ประวัติความเป็นมาของดนตรีไทย ตั้งแต่ที่ไทยได้มีการตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีน ภายหลังจำได้ ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นขึ้นของยุคประวัติศาสตร์ไทย ที่ปรากฎหลักฐานให้เห็นเป็นลาย ลักษณ์อักษร คือ เมื่อไทยได้ก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้น และได้มีการประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น โดยพ่อขุน รามคำแหงมหาราช จึงทำให้ปรากฎหลักฐานด้านดนตรีไทยเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหลักศิลา จารึก หนังสือวรรณคดีและเอกสารทางประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสามารถนำมาเป็นหลักฐาน และสามารถ บ่งบอกถึงความเจริญและวิวัฒนาการของดนตรีไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนถึงในปัจจุบัน รูปแบบของดนตรี ในแต่ละยุด แต่ละสมัยก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปบ้าง ดั้งนี้ 1. ดนตรีไทยในสมัยสุโขทัย ดนตรีไทยในสมัยสุโขทัย จะมีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง เครื่องดนตรี ไทย ในสมัยนี้ได้มีหลักฐานปรากฎในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นหนังสือวรรณคดีที่แต่งในสมัยนี้ ได้แก่ แตร, สังข์, มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉิ่ง, ฉาบ, บัณเฑาะว์ พิณ, ซอพุงตอ, ปี่ไฉน, ระฆัง, และ กังสดาล เป็นต้น ลักษณะการผสม วงดนตรี ก็ปรากฎหลักฐานทั้งในศิลาจารึก และหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึง “เสียงพาทย์ เสียงพิณ” จากหลักฐานที่กล่าวนี้ ได้มีการสันนิษฐานว่าวงดนตรีไทย ในสมัยสุโขทัย มีดังนี้ คือ 1.1 วงบรรเลงพิณ มีผู้บรรเลงเพียยงหนึ่งคน ซึ่งทำหน้าที่ดีดพิณและขับร้องไปด้วย เป็นในลักษณะ ของการขับลำนำเนื้อร้องที่มีคำกลอนในเชิงแสดงความรักใคร่ใช้เกี้ยวสาวเป็นส่วนใหญ่ พิณที่ใช้ดีดสันนิษฐานว่า เป็นพิณเปี๊ยะของทางเหนือหรือเรียกอีกชื่อ คือ พิณน้ำเต้า ซึ่งในเขมรพิณชนิดนี้ก็มีการแพร่กระจาย หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อ คือ กระจับปี่ ซึงการบรรเลงพิณประกอบการขับลำนำนี้ใช้ ภาพที่1 : วงบรรเลงพิณ ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/


1.2 วงขับไม้ ประกอบด้วยผู้บรรเลง 3 คน คือ คนขับลำนำ 1 คน คนสีซอสามสาย คลอเสียงร้อง 1 คน และคนไกวบัณเฑาะว์ให้จังหวะ 1 คน มักใช้กับพิธีหลวงในสมัยนั้น ภาพที่2 : วงขับไม้ ที่มา : ห้องเรียนโลกกว้างทางดนตรี : All Music Room 1.3 วงปี่พาทย์ เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่องห้า มี 2 ชนิด คือ วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา (ปี่พาทย์ชาตรี) ประกอบด้วยเครื่องดนตรีชนิดเล็กๆ จำนวน 5 ชิ้น คือ ปี่, กลองชาตรี, ทับ, ฆ้องคู่ และฉิ่ง ใช้บรรเลงประกอบ การแสดงละครชาตรี ซึ่งถือว่าเป็นละครเก่าแก่ที่สุดของไทย และ วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่าง หนัก ประกอบด้วย เครื่องดนตรีจำนวน 5 ชิ้น คือ ปี่ใน, ฆ้องวงใหญ่, ตะโพน, กลองทัด และ ฉิ่ง ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลงประกอบ การแสดงมหรสพ ต่างๆ จะเห็นว่า วงปี่พาทย์เครื่องห้าใน สมัยนี้ยังไม่มีระนาดเอก ภาพที่3 : วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา (ปี่พาทย์ชาตรี) ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/ ภาพที่4 : วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/


1.4 วงมโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหนึ่ง ที่นำเอาวงบรรเลงพิณ กับ วงขับไม้มาผสมกัน เป็นลักษณะของวงมโหรีเครื่องสี่ เพราะประกอบด้วยผู้บรรเลง 4 คน ได้แก่ 1.4.1 คนขับลำนำและตีกรับพวง ให้จังหวะ ในขณะเดียวกัน 1.4.2 คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 1.4.3 คนดีดพิณ 1.4.4 คนตีทับ ควบคุมจังหวะ ภาพที่5 : วงมโหรี ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/ 2. ดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ดนตรีไทยในสมัยนี้ ในกฏมลเฑียรบาล ได้มีการระบุชื่อเครื่องดนตรีไทยเพิ่ม จากสมัยสุโขทัย ได้แก่ กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รำมะนา และในปี พ.ศ. 1991-2031 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีข้อห้ามว่า "ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน" บ่งบอกได้ว่าสมัยนี้ ดนตรีไทยเป็นที่นิยมกันมาก แม้แต่ในเขตพระราชฐานอาจเกิดการร้องเล่นดนตรีกันจนเกินพอดี จนกระทั่ง พระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาลนี้ขึ้น การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย คือ 2.1 วงปี่พาทย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา วงปี่พาทย์เครื่องห้า เช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัยแต่มีระนาดเอก เพิ่มขึ้น ภาพที่6 : วงปี่พาทย์เครื่องห้า (กรุงศรีอยุธยา) ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/


2.2 วงมโหรีในสมัยกรุงศรีอยุธยา พัฒนามาจากวงมโหรีเครื่องสี่เป็นวงมโหรีเครื่องหก เพราะได้เพิ่ม เครื่องดนตรีเข้าไปอีก 2 ชิ้น คือ ขลุ่ย และรำมะนา ภาพที่6 : วงมโหรีเครื่องหก (กรุงศรีอยุธยา) ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/ 3. ดนตรีไทยในสมัยกรุงธนบุรี สมัยกรุงธนบุรีเป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 15 ปี เพราะเป็นช่วงก่อร่างสร้างเมืองและการป้องกัน ประเทศจึงไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับวงดนตรีไทยว่ามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างไร จึงมีการสันนิษฐานว่า ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของดนตรีเหมือนในสมัยกรุงศรีอยุธยา 4. ดนตรีไทยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ดนตรีไทยในสมยักรุงรัตนโกสินทร์ ถือเป็นช่วงที่บ้านเมืองให้มั่นคง ร่มเย็น ศิลปวัฒนธรรมของชาติ ก็ได้รับการฟื้นฟูทะนุบำรุงและส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น การบรรเลงและการขับร้องถูกพัฒนาจนเกิด การเปลี่ยนแปลงตามลำดับ ดั้งนี้ สมัยรัชกาลที่ 1 ดนตรีไทย ในสมัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบของสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่มีการเพิ่ม กลองทัดขึ้นอีก 1 ลูก (จากแต่เดิมมีกลองทัด ในวงปี่พาทย์ แค่ 1 ลูก ) เป็นกลองทัด 2 ลูก คือ เสียงสูง (ตัวผู้) และ เสียงต่ำ (ตัวเมีย) ในวงปี่พาทย์ก็เป็นที่นิยมกันจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ภาพที่7 : วงปี่พาทย์เครื่องห้า ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/


สมัยรัชกาลที่ 2 ถือว่าเป็นยุคทองของ ดนตรีไทยยุคหนึ่ง ทั้งนี้เพราะองค์พระมหากษัตริย์ ทรงสนพระทัย และทรงพระปรีชาสามารถในทางดนตรีไทย ถึงขนาดที่ทรงดนตรีไทย คือ ซอสามสาย และมีซอคู่พระหัตถ์ชื่อว่า "ซอสายฟ้าฟาด" ทั้งพระองค์ได้พระราชนิพนธ์เพลงไทย ขึ้นเพลงหนึ่ง ชื่อเพลง "บุหลันลอยเลื่อน" การพัฒนาเปลี่ยนแปลงของดนตรีไทยในสมัยนี้ก็คือการนำเอา วงปี่พาทย์มาบรรเลง ประกอบการขับเสภาเป็นครั้งแรก และยังมีกลองเกิดขึ้นโดยมาจากการดัดแปลงจาก "เปิงมาง" ของมอญเรียก กลองชนิดนี้ว่า "สองหน้า" ใช้ตีกำกับจังหวะแทนเสียงตะโพนในวงปี่พาทย์ ประกอบการขับเสภาเนื่องจาก เห็นว่าตะโพนดังเกินไป จนกระทั่งกลบเสียงขับ ปัจจุบันนิยมใช้ตีกำกับจังหวะหน้าทับในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง ภาพที่8 : วงปี่พาทย์เสภา(เครื่องเดี่ยว) วงปี่พาทย์เสภา(เครื่องคู่) ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/ สมัยรัชกาลที่ 3 วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้ม มาคู่กับระนาดเอก และประดิษฐ์ฆ้องวงเล็กมาคู่กับ ฆ้องวงใหญ่ ภาพที่9 : วงปี่พาทย์เครื่องคู่ ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/


สมัยรัชกาลที่ 4 วงปี่พาทย์พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ เพราะได้มีการประดิษฐ์เครื่องดนตรี เพิ่มขึ้นอีก 2 ชนิด เลียนแบบ ระนาดเอก และระนาดทุ้ม โดยใช้โลหะในการทำลูกระนาด และทำรางระนาด ให้แตกต่างไปจากรางระนาดเอก และระนาดทุ้ม เรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็ก นำมาบรรเลง เพิ่มในวงปี่พาทย์เครื่องคู่ ทำให้ขนาดของวงปี่พาทย์ใหญ่ขึ้นจึงเรียกว่า วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ และสมัยนี้นิยม การร้องเพลงส่งให้ดนตรีรับ หรือที่เรียกว่า "การร้องส่ง" จนถึงการขับเสภา ซึ่งเคยนิยมกันมาก่อนค่อย ๆ หายไปการร้องส่งก็เป็นแนวทางให้มีผู้คิดแต่งขยายเพลง 2 ชั้น จากเดิมให้เป็นเพลง 3 ชั้น และตัดลง เป็นชั้นเดียวเรียกเพลงที่มีลักษณะแบบนี้ว่าเพลงเถา โดยจะบรรเลงตั้งแต่อัตราจังหวะ 3 ชั้น 2 ชั้น และ ชั้นเดียวตามลำดับ เช่น เพลงแขกบรเทศ เถา, เพลงกล่อมนารี เถา ฯลฯนับว่าเพลงเถาเกิดขึ้นมากมายในสมัยนี้ นอกจากนี้วงเครื่องสาย ก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน ภาพที่10 : วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/ สมัยรัชกาลที่ 5 มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นใหม่เรียกว่า "วงปี่พาทย์ดึกดำรรพ์" โดยสมเด็จกรมพระ ยานริศรานุวัดติวงศ์ ใช้สำหรับบรรเลงประกอบการแสดง "ละครดึกดำบรรพ์" ซึ่งเป็นละครที่ปรับปรุงขึ้นในสมัย รัชกาลนี้เช่นกัน โดยท่านก็ได้ปรับปรุง คือ ตัดเครื่องดนตรีชนิดเสียงเล็กแหลมออก เหลือแต่เครื่องดนตรี ที่มีเสียงทุ้มนุ่มนวลและเพิ่มเครื่องดนตรีบางอย่างเข้ามาใหม่ ทำให้เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ จึงประกอบด้วยระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ขลุ่ย ซออู้ฆ้องหุ่ย (ฆ้อง 7ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และเครื่องกำกับจังหวะ ภาพที่11 : วงปี่พาทย์ดึกดำรรพ์ ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/


สมัยรัชกาลที่ 6 ได้การปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นมา โดยนำวงดนตรีของมอญมาผสมกับ เรียกวงดนตรี ผสมนี้ว่า "วงปี่พาทย์มอญ" โดยหลวงประดิษฐไพเราะเป็นผู้ปรับปรุงขึ้น วงปี่พาทย์มอญมีทั้งวงปี่พาทย์มอญ เครื่องห้า เครื่องคู่ และเครื่องใหญ่ เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ของไทย และกลายเป็นที่นิยมใช้บรรเลงประโคมใน งานศพ มาจนปัจจุบัน นอกจากนี้มีการนำเครื่องดนตรีต่างชาติมาบรรเลงผสมกับ วงดนตรีไทย บางชนิดก็นำมา ดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรีของไทย ทำให้รูปแบบของวงดนตรีไทยเปลี่ยนแปลงพัฒนา ดังนี้ การนำเครื่องดนตรีของชวา หรืออินโดนีเซีย คือ"อังกะลุง" มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก โดย หลวงประดิษฐไพเราะ ทั้งนี้โดยนำมาดัดแปลงปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีเสียงครบ 7 เสียง (เดิมมี 5 เสียง) ปรับปรุง วิธีการเล่น โดยถือเขย่าคนละ 2 เสียง ทำให้เครื่องดนตรีชนิดนี้ กลายเป็นเครื่องดนตรีไทยอีกอย่าง การผสมเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายได้แก่ ขิมของจีน และออร์แกนของฝรั่ง ทำให้วงเครื่องสายพัฒนา รูปแบบของวงไปอีกลักษณะหนึ่ง คือ "วงเครื่องสายผสม"นอกจากนี้เป็นสมัยที่การละครและดนตรีเจริญรุ่งเรือง มาก ถือได้ว่าเป็นยุคทองของดนตรีไทย ตามวังเจ้านายและคหบดีต่างมีวงปี่พาทย์เป็นของตัวเองและครูประจำ วงเกิดการพัฒนาด้านวิชาการดนตรี ทั้งแนวคิด หลักการวิธีการตลอดจนเทคนิคการประพันธ์หลากหลายวิธีทั้ง แบบพื้นฐาน การบรรเลงชั้นสูงและการบรรเลงเดี่ยว เกิดกลุ่มนักดนตรีในราชสำนัก กลุ่มนักดนตรีอาชีพ และ กลุ่มนักดนตรีสมัครเล่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำนุบำรุงบรรดาครูดนตรีฝีมือดีให้กินอยู่ ดีมีสุข พร้อมทั้งพระราชทานนามสกุล บรรดาศักดิ์ให้ด้วย ภาพที่12 : อังกะลุง ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/


สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสนพระทัยทางด้านดนตรีไทยมาก พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ เพลงไทยที่ไพเราะไว้ถึง 3 เพลง คือ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น เพลงเขมร ละออองค์ (เถา) และเพลงราตรีประดับดาว (เถา) พระองค์และพระราชินีได้โปรดให้ครูดนตรีเข้าไปถวายการ สอนดนตรีในวัง แต่น่าเสียดายระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของพระองค์ไม่นานเนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลง การปกครอง และพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์หลังจากนั้นได้ 2 ปีดนตรีไทยก็คงจะเจริญรุ่งเรืองมาก ในสมัยนี้ อย่างไรก็ตามดนตรีไทยในสมัยรัชกาลนี้ นับว่าได้พัฒนารูปแบบได้สมบูรณ์ เป็นแบบแผนดังจนถึงปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่าในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช มีผู้นิยมดนตรีไทยกันมากและมีผู้มีฝีมือทางดนตรี จนเกิดความคิด ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้พัฒนาก้าวหน้ามาตามลำดับ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย จนขุนนางผู้ใหญ่ ได้ให้ความ อุปถัมภ์ และทำนุบำรุงดนตรีไทย ในวังต่าง ๆ จึงเกิดวงดนตรีประจำวัง เช่น วงวังบูรพา วงวังบางขุนพรหม วงวังบางคอแหลม และวงวังปลายเนิน เป็นต้น สมัยรัชกาลที่ 8 ดนตรีไทยในสมัยนี้เป็นสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สมัยนี้“เป็นระยะที่ดนตรีไทยเข้าสู่สภาวะ มืดมนเพราะรัฐบาลไม่ส่งเสริมดนตรีไทย และยังพยายามให้คนไทยหันไปเล่นดนตรีสากลแบบตะวันตก” ต่อมา ก็เกิดรัฐนิยมขึ้น คือ ห้ามการบรรเลงดนตรีไทย ด้วยเห็นว่าดนตรีไทยไม่เหมาะสมกับชาติที่กำลังพัฒนา ให้ ทัดเทียมกับอารยประเทศ จึงมีการห้ามอย่างเคร่งครัด แต่อนุญาตให้บรรเลงในงานพิธีหรือในบางประเพณี แต่จะต้องไปขออนุญาตที่กรมศิลปากรหรืออำเภอก่อนและต้องมีบัตรนักดนตรี ที่ทางราชการออกให้ จึงทำให้ นักดนตรีหัวใจห่อใจเหี่ยว บางคนถึงกับขายเครื่องดนตรี เพราะถึงเก็บไว้ก็เปล่าประโยชน์ หลายชิ้นที่ถูกขายไป ในรูปแบบของเก่า หรือขายต่อให้กับต่างประเทศ สมัยรัชกาลที่ 9 มีการนำทำนองเพลงพื้นเมืองหรือเพลงไทยเดิมสองชั้น ชั้นเดียว มาใส่เนื้อร้องใหม่ แบบเนื้อเต็มตาม ทำนอง เกิดเป็นเพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรง ให้วงดนตรีไทยที่มีชื่อเสียงมาบรรเลงบันทึกเสียง ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิตเป็น ประจำ เช่น คณะศรทองของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ คณะพาทยโกศล วงของคุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง และวง ของนายมนตรี ตราโมท เป็นต้น บางครั้ง พระองค์ทรงบันทึกเสียงกับวงดนตรีไทยด้วย เช่น วงของข้าราช บริพาร และวงเครื่องสายผสมของคณะแพทย์สมาคม (แพทย์อาวุโส) เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรจัดพิมพ์สมุดโน้ตเพลงไทยออกเผยแพร่เป็น ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2505 - พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัดความถี่ ของเสียงดนตรีไทยเพื่อให้เป็นมาตรฐานการสอนดนตรีไทยได้รับการส่งเสริมเข้าสู่โรงเรียนและสถาบันการศึกษา ทั่วประเทศ ทั้งในระดับประถม ฯ มัธยมฯ จนถึงอุดมศึกษา มีการก่อตั้งชุมนุมดนตรีไทยในสถาบันการศึกษาต่างๆ และ มีการจัดประกวดวงดนตรีไทยในระดับต่างๆโดยภาครัฐและเอกชนอย่างน่าเสียดาย แต่ก็ยังมีนักดนตรีอีกไม่น้อย ที่ไม่ยอมทิ้งดนตรีไทย เช่น หลวงประดิษฐ์ ไพเราะ ( ศร ศิลปบรรเลง) ยังคงแต่งเพลงต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ


เพลงเอกของท่านที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 เช่น แสนคำนึงเถา กราวรำเถาแขกเงาะ และแขกชุมพล เป็นต้น และอาจารย์ มนตรี ตราโมท ก็หันมาประดิษฐ์เพลงระบำมากขึ้น ซึ่งเพลงไทยในระยะนี้ มีผู้นำทำนองเพลงไทย มาใส่เนื้อร้องเต็มตามทำนองบ้าง แต่งขึ้นเองบ้าง เพื่อประกอบละครพูด ละครประวัติศาสตร์ และภาพยนตร์ ผู้แต่งมีหลายท่าน เช่น พรานบูรณ์ หลวงวิจิตรวาทการ ล้วน ควันธรรม ฯลฯสำหรับหลวงวิจิตรวาทการร่วมกับ อาจารย์มนตรี ตราโมทแต่งเพลงประกอบบทละครประวัติศาสตร์หลายเพลงเช่น เพลงเพื่อนไทย ใต้ร่มธงไทย ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ฯลฯ เพลงเหล่านี้ มีลักษณะเป็นแบบตามใจผู้แต่ง จะเป็นเพลงไทยก็ไม่ใช่ เพลงฝรั่ง ก็ไม่ใช่ การแต่งเพลงของหลวงวิจิตรวาทการแต่งโดยใช้จินตนาการของตนเองบ้าง บางเพลงก็นำทำนองของ ฝรั่งมาใส่เนื้อไทยบ้าง เช่น ภาพเธอ นักแต่งเพลงอื่น เช่น พรานบูรณ์ มีจุดมุ่งหมาย ของการแต่งเพลงเพื่อนำไป ประกอบภาพยนต์ละคร เพลงที่แต่งจึงพยายามให้เหมาะกับเนื้อเรื่องเป็นสำคัญ เช่น เพลงดูซิดูโน่นซิ เพลงร้อนแดด ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่า เพลงในระยะนี้เป็นเพลง ที่ยังไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทฤษฎีตะวันตกอย่าง แท้จริง ถึงอย่างไรก็ตามดนตรีไทยสมัยนี้ก็มิได้ซบเซาถึงขนาดจะขาดตอน เหมือนเมื่อครั้งเราเสียกรุงศรีอยุธยา แม้จะซบเซาลงบ้างและเกิดเพลงไทยสากลขึ้น เพลงไทยสากลที่เกิดขึ้นใหม่นี้ ก็ยังเอาเค้าของเดิมหรือ เอาเพลงไทยของเดิมมาร้องเล่น เพียงแต่เปลี่ยนจังหวะให้กระชับขึ้นเป็นแบบฝรั่ง และโชคดีที่ยุดนี้สั้นมาก มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกันบ่อยในที่สุด ดนตรีไทยแท้ก็กลับคืนมาอีกครั้ง


Click to View FlipBook Version