The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย5บท ม.2 ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ok

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วิยะดา เซี่ยงหลิว, 2023-09-17 10:24:38

วิจัย5บท ม.2 ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ok

วิจัย5บท ม.2 ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ok

51 สรุปได้ว่า ความพึงพอใจเมื่อนำมาใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้รางวัลหรือผลตอบแทน ภายในเป็นผลต่อความรู้สึกของผู้เรียน ถ้าผู้เรียนสามารถเอาชนะความยุ่งยากต่าง ๆ และสามารถดำเนินงาน ภายใต้ความยุ่งยากทั้งหลายสำเร็จ ก็จะทำให้เกิดความภูมิใจ ความมั่นใจ ตลอดจนได้รับการยกย่อง จากบุคคลอื่น ส่วนผลการตอบแทนภายนอก จะเป็นรางวัลที่ผู้อื่นจัดหาให้มากกว่าที่ตนเองหาด้วยตนเอง เช่น การได้รับคำยกย่องจากครูผู้สอน พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือคะแนนทางการเรียนในระดับที่น่าพอใจ 3. การวัดความพึงพอใจ มีนักวิชาการและนักการศึกษาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีการวัดความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ ชวลิต ชูกำแพง (2550 : 112 – 116) อธิบายถึงการวัดจิตพิสัยสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งวิธีที่นิยมทำในปัจจุบัน คือ 1. การสังเกต (Observation) สังเกตการพูด การกระทำ การเขียนของนักเรียนที่มี ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ครูต้องการวัด 2. การสัมภาษณ์ (Inerview) เป็นการพูดคุยกับนักเรียนในประเด็นที่ครูอยากรู้ ซึ่ง อาจเป็นทัศนคติของนักเรียน เพื่อนำสิ่งที่นักเรียนพูดออกมาแปลความหมายเกี่ยวกับลักษณะจิตพิสัย ของนักเรียน 3. การใช้แบบวัดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) เป็นการสร้างเครื่องมือ ขึ้นมาเพื่อวัดทัศนคติ วัดความสนใจ วัดคุณธรรมจริยธรรม ถ้าเป็นการวัดทัศนคติ วัดความสนใจจะมี รูปแบบการวัด 3 รูปแบบ คือ แบบของลิเคิร์ท แบบของเธอร์สโตน แบบของออสกูด ประภาพันธ์ พลายจันทร์ (2551 : 6) ได้กล่าวไว้ว่า การวัดความพึงพอใจนั้นสามารถทำได้ หลายวิธีดังต่อไปนี้ 1. วิธีการใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ถามเพื่อต้องการทราบความคิดเห็น ซึ่งสามารถกระทำได้ในลักษณะกำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าวอาจจะถาม ความพึงพอใจในด้านต่าง ๆ 2. วิธีการสัมภาษณ์ เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจทางตรง ซึ่งต้องอาศัยเทคนิค และวิธีการ ที่ดี จึงจะได้ข้อมูลที่เป็นจริง 3. วิธีการสังเกต เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่าจะแสดงออกจากการพูดจา กริยาท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจัง และสังเกตอย่าง มีระเบียบแบบแผน Shelly (1975) แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจว่าเป็นความรู้สึกสองแบบของมนุษย์คือ ความรู้สึกในทางบวกและความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกในทางบวกเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้มีความสุข ความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากความรู้ทางบวกอื่นๆ กล่าวคือเป็นความรู้สึกที่มีระบบ ย้อนกลับ และความรู้สึกนี้ทำให้เกิดความสุขหรือความรู้สึกทางบวกเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้นจะเห็นได้ว่า


52 ความรู้สึกที่สลับซับซ้อนและความรู้สึกนี้จะมีผลต่อบุคคลมากกว่าความรู้สึกในทางบวกอื่นๆ ดังนั้น ความรู้สึกในทางบวกความรู้สึกในทางลบ และความสุขมีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนและระบบ ความสัมพันธ์ของความรู้สึกทั้งสามนี้ เรียกว่า ระบบความพึงพอใจ โดยความพึงพอใจเกิดขึ้นเมื่อระบบ ความพึงพอใจมีความรู้สึกทางบวกมากกว่าทางลบ ทฤษฎีอีอาร์จี ( ERG Theory ) ของ Clayton Alderfer (2554 : 20) ได้พัฒนามาจาก ทฤษฎีความต้องการของ้ Maslow ได้แบ่งความต้องการของคนออกเป็น 3 อย่าง ดังนี้ 1. ความต้องการมีชีวิต (Existence Need) ความต้องการมีความเป็นอยู่ที่ดีทั้ทางร่าง กายและวัตถุ 2. ความต้องการความสัมพันธ์ (Relatedness Need) ความต้องการมีความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลที่ดี 3. ความต้องการความเจริญเติบโต (Growth Need) ต้องการเจริญเติบโตและการ พัฒนาทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง สรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจสามารถใช้เครื่องมือวัดได้หลายแบบ เช่น วิธีการสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาใช้แบบสอบถามความพึงพอใจชนิดมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) กำหนดเกณฑ์การให้คะแนน 5 ระดับ ในการวัดความพึงพอใจของ นักเรียน งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ลัดดาวรรณ์ สมณะช้างเผือก (2558 : ออนไลน์) ได้รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ห้องที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 48 คน โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย อำเภอ เมือง จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม ผลการศึกษาพบว่า ประสิทธิภาพ (E1/E2 ) ของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้องที่ 5 เท่ากับ 88.36/81.40 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้องที่ 5 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบท พีทาโกรัส มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 7.14 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 24.42 และ คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสูงกว่าเกณฑ์ที่โรงเรียน กำหนด และความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก


53 วันทนา โพธิ์แก้ว (2558 : ออนไลน์) ได้รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบทพี ทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค 22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนบ้านผึ้งวิทยาคม อำเภอ เมือง จังหวัดนครพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 22 จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาจาก การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบท พีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค 22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ (E1/ E2 ) เท่ากับ 81.12/ 80.43 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/ 80 โดยแบบฝึกทักษะทั้ง 5 ชุด มี ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ทุกชุด ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค 22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01และ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค 22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 3.97, S.D. = 0.67) สุขสันต์ บุญเล็ก (2559 : ออนไลน์) ได้รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบท พีทาโกรัสสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแม่อายวิทยาคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 30 คน ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนแม่อายวิทยาคม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบการวิจัยแบบ One Group Pretest – Posttest Design ใช้ระยะเวลาทดลอง 12 ชั่วโมง ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 81.68/80.57 ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบ ฝึกทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะ โดยพิจารณาทั้งภาพรวมและเป็นรายข้อนักเรียน มีความพึงพอใจในระดับมาก นงลักษณ์ เชื้อสาวะถี(2560 : 8) ได้ทำการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิริรัตนาธร โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนสิริรัตนาธร จำนวน 2 ห้อง เป็นกลุ่มที่เรียนโดยใช้แบบฝึก ทักษะ จำนวน 50 คนและกลุ่มที่เรียนปกติ จำนวน 50 คน ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพ 81.37/80.20 และทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของ


54 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าการจัดกิจกรรมการเรียนแบบปกติ แตกต่าง กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จันคณา ยางงาม และคณะ (2560 : 113) ได้ทำการพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์และ ส่งเสริมเจตคติ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างในการพัฒนาครั้งนี้เป็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนมารีย์นิรมา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 1 จำนวน 34 คน ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์และส่งเสริมเจตคติ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.19/85.60 เป็นไปตาม เกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์และ ส่งเสริมเจตคติ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 และเจตคติของนักเรียนต่อการเรียนคณิตสาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อยู่ในระดับ ดีมาก


55 บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษา ในการศึกษาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้ศึกษาได้กำหนดวิธีการดำเนินการ ไว้ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3. การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 4. วิธีดำเนินการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเฉลิมพระ เกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กำแพงพชร ปีการศึกษา 2565 จำนวน 110 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเฉลิมพระ เกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กำแพงพชร ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้ศึกษาได้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบกิจกรรมการเรียนการสอน 2. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2จำนวน 16ชั่วโมง 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทา โกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2ซึ่งเป็นแบบปรนัย เลือกตอบชนิด4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน รวม 10 คะแนน


56 4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Likert Scale) จำนวน 10 ข้อ การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือที่ใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้า ตามลำดับขั้นตอนดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน(ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครั้งนี้ผู้ศึกษาได้สร้างขึ้นเองโดยมีขั้นตอนการสร้างและการหา ประสิทธิภาพดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักการ แนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับการสอนคณิตศาสตร์ศึกษาหลักสูตร โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กำแพงเพชร พุทธศักราช 2560 ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ศึกษาคู่มือสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 1.2 วิเคราะห์หลักสูตรโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กำแพงเพชร . กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กำหนดหน่วยการเรียนรู้เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ที่นักเรียนมีปัญหาในการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 1.3 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ให้ครอบคลุมเนื้อหาที่นำมาเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ 1.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบด้าน เทคนิควิธีการสอน และด้านการวัดผลประเมินผลเพื่อตรวจสอบความสอคล้องขององค์ประกอบต่าง ในแผนการจัดการเรียนรู้ 1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน(ค 22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญไปปรับปรุงแก้ไข 1.5 จัดพิมพ์แผนการจัดการเรียนรู้ฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้ในกลุ่มตัวอย่างต่อไป ซึ่งสามารถสรุปชั้นตอนในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2


57 2. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การสร้างแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้ศึกษาได้จัดทำขึ้นมีขั้นตอนในการสร้าง ดังนี้ 2.1 ศึกษาหลักการเรียนรู้ จิตวิทยาการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับ คณิตศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน (2546 : 641) 2.2 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการสร้างแบบฝึกทักษะ มวลทรัพย์ ปาละวงศ์ (2555 : 62) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึงแบบฝึกหัดที่ครูสร้างขึ้นเพื่อที่จะใช้เป็น เครื่องมือหรือสื่อการเรียนการสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ช่วยแก้ปัญหาความบกพร่อง ทางการเรียนรู้ของผู้เรียน 2.3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้ สมหมาย ศุภพินิ (2551 : 36) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะมีประโยชน์เป็น เครื่องมือที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต่อการเรียนอย่างมาก เพราะช่วยให้นักเรียนเข้าใจ บทเรียนได้ดียิ่งขึ้น แล้วดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะ 2.4 นำแบบฝึกทักษะคณิตสาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ชุดเดิม กับที่ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส เป็นผู้ประเมินความสอดคล้อง เหมาะสมของแบบฝึกทักษะกับจุดประสงค์ในการจัดทำแบบฝึกทักษะและความชัดเจนของเนื้อหาใน แบบฝึกทักษะความเหมาะสมของเนื้อหาในแผนการจัดการเรียนรู้กิจกรรม การใช้ภาษา การพิมพ์ รูปเล่ม และความสะดวกในการนำแบบฝึกทักษะไปใช้โดยกำหนดเกณฑ์การประเมินความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหา มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Raing Scale) ตามวิธีของ ลิเคอร์ท (Likert) (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 103) ซึ่งมี 5 ระดับดังนี้ 5 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด 4 หมายถึง เหมาะสมมาก 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 2 หมายถึง เหมาะสมน้อย 1 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด นำผลการประเมินแบบฝึกทักษะโดยผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน มาหาค่าเฉลี่ยเป็นเกณฑ์การ ตัดสินใจในการประเมินความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 166)


58 ผลการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎี บทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า ภาพรวมแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส มีความสอดคล้องมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.55 ระดับมากที่สุด 2.5 นำแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญไป ปรับปรุง แก้ไข 2.6 นำแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มาตรวจสอบความเรียบร้อย แล้วนำมาจัดพิมพ์ เพื่อนำมาใช้กับ กลุ่มตัวอย่างต่อไป 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้ศึกษาได้ดำเนินการสร้างแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อมีขั้นตอนการสร้าง และหาคุณภาพ ดังนี้ 3.1 ศึกษาการสร้างแบบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากทฤษฏี หลักการ และค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องบุญชม ศรีสะอาด (2556 : 122) ได้กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดผลการเรียนรู้ในเนื้อหา และจุดประสงค์ในรายวิชาต่างๆ ที่เรียน มาในโรงเรียนและสถานศึกษาต่างๆ เป็นเครื่องมือหลักของการวัดผล 3.2 ศึกษาเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้จากหนังสือคู่มือครูรายวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้สมการและการแก้สมการ 3.3 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้ จากคู่มือครูวิชาคณิตศาสตร์และเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 4 ตัวเลือกจำนวน 20 ข้อ 3.5 นำแบบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความตรง ตามเนื้อหา (IOC) จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบว่าข้อสอบแต่ละข้อ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมตามตารางวิเคราะห์เนื้อหาการวัดหรือไม่ โดยวิธีของ Rovinelli and Hambeton (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 35-63) โดยกำหนดคะแนนความคิดเห็น ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อทดสอบนั้นวัดตรงจุดประสงค์ข้อนั้น ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อทดสอบนั้นวัดตรงจุดประสงค์ข้อนั้น ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อทดสอบนั้นวัดวัดตรงจุดประสงค์ข้อนั้น


59 3.6 นำผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญคำนวณความตรงตามเนื้อหา (IOC) โดย กำหนดข้อทดสอบที่มีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป เป็นข้อทดสอบที่มีความตรงเชิงเนื้อหา ปรากฏว่าผล แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีผู้ศึกษาสร้างขึ้นมีความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขตัวเลือกในบางข้อตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญได้แบบทดสอบที่ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมครบจำนวน 10 ข้อ 3.7 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ ไปทดสอบกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 4. แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Likert Scale) จำนวน 10 ข้อ มีขั้นตอนการสร้างและ หาคุณภาพ ดังนี้ 4.1 ศึกษาแนวคิด เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และลักษณะการสร้างแบบสอบถามของ ประภาพันธ์ พลายจันทร์ (2546 :6) เพื่อกำหนดขอบข่าย เนื้อหา และรูปแบบที่จะสำรวจ 4.2 ศึกษาวัตถุประสงค์ของการศึกษา และกำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแบบวัด ความพึงพอใจ 4.3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐา (ค22101) สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2โดยพิจารณาเกี่ยวกับลักษณะของเนื้อหาและการผลิตสื่อตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 102) คือ 5 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง นักเรียนความพึงพอใจในระดับมาก 3 หมายถึง นักเรียนความพึงพอใจในระดับปานกลาง 2 หมายถึง นักเรียนความพึงพอใจในระดับน้อย 1 หมายถึง นักเรียนความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด ผู้ศึกษาได้กำหนดเกณฑ์การสำรวจระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ไว้ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 103)


60 4.51 - 5.00 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะระดับมากที่สุด 3.51 - 4.50 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะระดับมาก 2.51 - 3.50 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะระดับปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะระดับน้อย 1.00 - 1.50 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะระดับน้อยที่สุด 4.4 นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบให้ครอบคลุมประเด็นที่ ต้องการและความถูกต้องเหมาะสมผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน (ชุดเดิม) พิจารณาจากค่าดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objective congruence : IOC) ระหว่างข้อคำถามกับพฤติกรรม (รัตนะ บัวสนธ์. 2551 : 41) โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ + 1 หมายถึง มีความเห็นด้วยว่าข้อความใช้ได้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อความใช้ได้หรือไม่ - 1 หมายถึง มีความเห็นว่าข้อความใช้ไม่ได้ โดยข้อความแต่ละข้อความต้องมีค่า IOC มากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 เพราะถือว่าเป็นข้อที่มี ความตรง เชิงเนื้อหา ส่วนข้อความที่มีค่า IOC น้อยกว่า 0.5 จะต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามที่ ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะซึ่งปรากฏว่ามีค่า IOC อยู่ที่ 0.80 – 1.00 รวมเฉลี่ยค่า IOC เท่ากับ 0.92 (รายละเอียดภาคผนวก ฉ หน้า 178) 3.4 ปรับปรุงและแก้ไขแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญและจัดทำเป็น แบบสอบถามความพึงพอใจที่จะนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2โรงเรียนเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กำแพงเพชร ปีการศึกษา 256ถจำนวน 110คน ต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้รายงานดำเนินการทดสอบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กำแพงเพชร ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 1. แบบแผนการทดลอง รูปแบบการทดลองในครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experiment Research) โดยใช้ แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียวสอบก่อนและหลังสอบ One group Pre-test Pose-test Desing (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2539 : 192 -193) โดยมีแบบแผนการทดลอง ในตารางที่ 3.2 ดังนี้ ตารางที่ 3.2 แสดงรูปแบบการทดลองใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2


61 การทดสอบก่อนเรียน การจัดกระทำ การทดสอบหลังเรียน T1 X T2 X = การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎี บทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 T1 = การทดสอบก่อนเรียน Pre-test T2 = การทดสอบหลังเรียน Post-teat 2. การดำเนินการทดลอง ในการทดลองครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 2.1 จัดปฐมนิเทศเพื่อให้นักเรียนเข้าใจถึงวิธีการเรียนรู้บทบาทของนักเรียน เป้าหมายของการเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ และวิธีวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2.2 ทำการทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง จากนั้นนำกระดาษคำตอบของนักเรียนมาตรวจไห้คะแนนแล้วบันทึกคะแนนเก็บไว้ 2.3 ดำเนินการสอนตามขั้นตอน ในแผนการจัดการเรียนรู้โดยให้กลุ่มตัวอย่างเรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นเวลา 18 ชั่วโมง ระหว่าง วันที่ 5 พฤศจิกายน 2565 ถึง 18 ธันวาคม 2565 ดังรายละเอียดในตารางที่ 3.3 2.4 เมื่อจัดกิจกรรมเรียนรู้ตามเนื้อหาครบทุกแผนแล้ว ทำการทดสอบด้วยแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับที่ทดสอบก่อนเรียน 2.5 หลังทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแล้ว ให้นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจ ในการเรียนรู้ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทา โกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2.6 ตรวจให้คะแนนผลการทดสอบแล้วนำผลมาวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้รายงานดำเนินผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังต่อไปนี้ 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการ สอนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค 22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ t – test Dependent (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 112)


62 2. วิเคราะห์ความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนรู้โดย ใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการหาคะแนนเฉลี่ย (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552 : 177) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (บุญชม ศรีสะอาด, 2556 : 103) ซึ่งกำหนดแปรผลตามระดับความพึงพอใจ 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 ค่าเฉลี่ย บุญชม ศรีสะอาด (2556 : 103) X = N X เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย X แทน ผลรวมของคะแนน N แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. = n(n 1) n X ( X) 2 2 − − เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 X แทน ผลรวมของคะแนนยกกำลังสอง 2 ( X) แทน กำลังสองของคะแนนผลรวม n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 1.3 ค่าร้อยละ (Percentage) ใช้สูตร บุญชม ศรีสะอาด (2556 : 103) ดังนี้ P = n f x 100 เมื่อ P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ n แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด


63 2. สถิติเพื่อการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 2.1 ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (IOC) ยุทธ ไกยวรรณ์(2553 : 150) คำนวณจากสูตร IOC = N R เมื่อ IOC แทน ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาระหว่างข้อสอบกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ ∑R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2.2 ค่าความยากง่ายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบบอิงเกณฑ์โดยใช้สูตร P บุญชม ศรีสะอาด(2556 : 90) P = เมื่อ P แทน ความยากง่ายของ แบบทดสอบข้อที่ R แทน จำนวนคนที่ทำข้อสอบข้อนั้นถูก N แทน จำนวนคนที่ทำข้อสอบนั้นทั้งหมด เกณฑ์ความยากง่ายที่ยอมรับอยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 2.3 ค่าอำนาจจำแนก ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ยุทธ ไกยวรรณ์(2553 : 145) N R R r= U L - r คือ ค่าอำนาจจำแนก RU คือ จำนวนนักเรียนในกลุ่มสูงที่ตอบถูก (กลุ่มสูงใช้ประมาณ ร้อยละ 25ของนักเรียนทั้งหมด) RL คือ จำนวนนักเรียนในกลุ่มต่ำที่ตอบถูก (กลุ่มต่ำใช้ประมาณ ร้อยละ 25ของนักเรียนทั้งหมด) N คือ จำนวนนักเรียนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ เกณฑ์อำนาจจำแนกที่ยอมรับได้จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0.20 – 1.00 2.4 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ วิธีของโลเวท (Lovett) N R


64 บุญชม ศรีสะอาด (2556 : 96) rcc = − − − − 2 i 2 i i (k 1) (x c) k x x 1 เมื่อ rcc แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ k แทน จำนวนข้อของแบบทดสอบ Xi แทน คะแนนของแต่ละคน C แทน คะแนนเกณฑ์หรือจุดตัดของแบบทดสอบ 2.5 การหาค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ E1/E2 เผชิญ กิจระการ (2551 : 49 -51) สูตรที่ 1 การหาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ ใช้สูตรดังนี้ E1 = 100 A N X เมื่อ E1 แทน ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ X แทน ค่าคะแนนรวมจากแบบฝึกทักษะ A แทน คะแนนเต็มของคะแนนทุกแบบฝึกทักษะรวมกัน N แทน จำนวนนักเรียน สูตรที่ 2 การหาค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ใช้สูตรดังนี้ E2 = 100 B N F เมื่อ E2 แทน ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑F แทน คะแนนรวมของการทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียนที่เข้าสอบ 2.5 การตรวจสอบสมมติฐาน โดยเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน เรียนและหลังเรียนใช้สูตร


65 ดัชนีประสิทธิผล = ผลรวมของคะแนนหลังเรียนทุกคน – ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทุกคน (จำนวนนักเรียน x คะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทุกคน 1 2 1 . . total P P P E I − − = โดยที่ P1 แทน ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทุกคน P2 แทน ผลรวมของคะแนนหลังเรียนทุกคน total แทน จำนวนนักเรียนคูณกับคะแนนเต็ม


66 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้ศึกษาขอนำเสนอผลการศึกษา โดยแบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนจากการใช้ แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาขอนำเสนอ ดังนี้ 1. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้ศึกษาได้เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนจากการใช้แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคณิตศาสตร์แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดังตารางที่ 4.3 ตอนที่ 1 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการใช้ แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2


67 ตาราง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ก่อนและหลังการเรียนโดยใช้แบบ ฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนคนที่ คะแนน คะแนนพัฒนา (หลังเรียน-ก่อน เรียน) ก่อนเรียน ( 20คะแนน) หลังเรียน ( 20คะแนน) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23


68 24 25 26 27 28 29 นักเรียนคนที่ คะแนน คะแนนพัฒนา (หลังเรียน-ก่อน เรียน) ก่อนเรียน ( 20คะแนน) หลังเรียน ( 20คะแนน) 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 รวม X S.D. ร้อยละ จากตารางพบว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียนและคะแนนทดสอบหลังเรียนของนักเรียน ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 มีค่าคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ .................... ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .............. คิดเป็นร้อยละ ................... และคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียนเท่ากับ ............... ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ................ คิดเป็นร้อยละ ...............


69 ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้ศึกษาได้ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดังแสดงในตารางที่ 4.4 ตารางที่ 4.4 แสดงผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่กำลัง ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียน.......................จำนวน 22 คน ข้อ รายการ n = 22 X S.D. ระดับ ความพึงพอใจ 1 นักเรียนเข้าใจเนื้อหามากขึ้นเมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในแบบฝึกทักษะ 4.55 0.60 มากที่สุด 2 นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาได้สะดวกและรวดเร็วกว่าตำราเรียน 4.59 0.59 มากที่สุด 3 นักเรียนสามารถอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาได้ด้วยตนเอง 4.45 0.60 มาก 4 แบบฝึกทักษะทำให้นักเรียนเอาใจใส่ต่อการเรียนมากขึ้น 4.55 0.59 มากที่สุด 5 แบบฝึกทักษะช่วยแก้ปัญหาในการเรียนไม่ทันเพื่อน 4.64 0.58 มากที่สุด 6 นักเรียนมีความสุขและสนุกสนานเมื่อได้เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ 4.59 0.59 มากที่สุด 7 นักเรียนมีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน 4.64 0.58 มากที่สุด 8 นักเรียนพอใจกับคะแนนที่ได้รับจากการทำแบบฝึกและการทำแบบทดสอบ 4.55 0.59 มากที่สุด 9 นักเรียนประสบความสำเร็จกับการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ 4.59 0.59 มากที่สุด 10 นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 4.45 0.60 มาก รวมเฉลี่ย 4.56 0.59 มากที่สุด จากตารางที่4.4 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดย ภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.56) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่าพึงพอใจมากที่สุด คือข้อ 5. แบบฝึกทักษะช่วยแก้ปัญหาในการเรียนไม่ทันเพื่อน ( ) เท่ากับ 4.64 รองลงมาคือข้อ


70 7. นักเรียนมีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ( ) เท่ากับ 4.64 และมีจำนวน 3 ข้อที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน คือข้อ 2. นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาได้สะดวกและรวดเร็วกว่าตำราเรียน ( ) เท่ากับ 4.59 ข้อ 6. นักเรียนมีความสุขและสนุกสนานเมื่อได้เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ( ) เท่ากับ 4.59 และ ข้อ 9. นักเรียนประสบความสำเร็จกับการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ( ) เท่ากับ 4.59 และข้อที่ต่ำสุด ได้แก่ข้อ 3. นักเรียนสามารถอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาได้ด้วยตนเอง ( ) เท่ากับ 4.45 และ ข้อ 10. นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจำวันได้( ) เท่ากับ 4.45 (ภาคผนวก ช หน้า 184)


71 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในครั้งนี้ผู้ศึกษาขอนำเสนอสรุป อภิปรายผล และ ข้อเสนอแนะดังนี้ สรุปผลการศึกษา 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2 2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด และมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐานข้อที่ 3 อภิปรายผลการศึกษา 1. จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค 22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึก ทักษะที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนทั้งนี้อาจ สืบเนื่องมาจากแบบฝึกทักษะเป็นสื่อการสอนที่มุ่งเน้นกระบวนการเรียนการสอนที่ เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนทำให้เกิดแรงจูงใจ ทราบผลการเรียนได้ทันทีผู้เรียนสามารถเรียน ด้วยตนเองได้และยังทบทวนเนื้อหาที่ไม่เข้าใจได้ทำให้เกิดความเข้าใจชัดเจนยิ่งๆ ขึ้น และส่งผลให้ได้ผลสัมฤทธิ์จากการเรียนรู้สูงขึ้น และนักเรียนสามารถทำกิจกรรมระหว่าง เรียนเมื่อศึกษาจบแต่ละเรื่องและทำแบบทดสอบหลังเรียนเมื่อจบเนื้อหาทำให้นักเรียน ทราบผลการเรียนด้วยตนเองพร้อมทั้งทบทวนเนื้อหาในบทเรียนที่ไม่เข้าใจได้ช่วยย้ำให้ เกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นเป็นการทราบความก้าวหน้าได้อย่างดีและการสอนที่ยึด


72 นักเรียนเป็นสำคัญ และมีลำดับขั้นตอนของเนื้อหาที่เรียงจากง่ายไปหายากตามลำดับ ทีละน้อย สามารถสร้างความสนใจทำให้ผู้เรียนเกิดความพอใจ โดยครูเป็นผู้สนับสนุน และอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ นักเรียนจึงมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จากข้อมูลข้างต้น กล่าวได้ว่าแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นสื่อ การเรียนที่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้การเรียนการสอนประสบผลสำเร็จ 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจสืบเนื่องมาจาก แบบฝึกทักษะช่วยแก้ปัญหาในการเรียนไม่ทันเพื่อน นักเรียนมีความสุขและสนุกสนานเมื่อ ได้เรียนรู้แบบฝึกทักษะ นักเรียนประสบความสำเร็จกับการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ นักเรียนสามารถอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาได้ด้วยตนเอง นักเรียนได้มีโอกาสทำ กิจกรรมร่วมกับเพื่อน ความรู้ที่นักเรียนได้รับสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้นักเรียน สามารถเรียนรู้เนื้อหาได้สะดวกและรวดเร็วกว่าตำราเรียน นักเรียนเข้าใจเนื้อหามากขึ้น เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในแบบฝึกทักษะ แบบฝึกทักษะทำให้นักเรียนเอาใจใส่ต่อการเรียนมาก ขึ้น นักเรียนพอใจกับคะแนนที่ได้รับจากการทำแบบฝึกและการทำแบบทดสอบ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป 1. ครูผู้สอนคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 2 ควรมีการวิจัยและพัฒนา เรื่อง ทฤษฎี บทพีทาโกรัส ที่สอนโดยวิธีจัดเรียงลำดับเนื้อหาใหม่กับการสอนตามปกติอีกครั้ง เพื่อศึกษา เปรียบเทียบกับศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ หรือในการศึกษา วิจัย อาจใช้นวัตกรรมอื่น เช่น วิธีสอน แบบฝึก ชุดการสอน ร่วมกับการสอนแบบจัดเรียงลำดับเนื้อหาใหม่ กับการสอนตามปกติซึ่งจะทำให้ได้งานวิจัย ใหม่ ๆ และเป็นประโยชน์ ต่อการการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ต่อไป 2. ควรนำแผนการสอนกลุ่มทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 2 เรื่อง ทฤษฎี บทพีทาโกรัส โดยการจัดเรียงลำดับเนื้อหาใหม่ที่สร้างขึ้นไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่างอื่น หรือโรงเรียน อื่นเพื่อดูผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย


73 บรรณานุกรม กมล ชูกลิ่น. (2550). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย ชันประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ ค.ม. อุบลราชธานี : มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุบลราชธานี. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ. กรองแก้ว อยู่สุข. (2550). พฤติกรรมองค์การ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. จันทนา สัสดี. (2553). การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการเรื่องการละเล่น เด็กไทยกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. (หลักสูตรและการสอน). มหาสารคาม : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. ชนาธิป พรกุล. (2551). การออกแบบการสอน การบูรณาการ การอ่าน การคิดวิเคราะห์ และการเขียน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. _______. (2557). การสอนกระบวนการคิด ทฤษฎีและการนำไปใช้ (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ชวลิต ชูกำแพง. (2550). การพัฒนาหลักสูตร. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2556). “การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์ วิจัย. ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2556). 7. ชมนาด เชื้อสุวรรณทวี. (2552). เจตคติของนักศึกษาวิทยาลัยพลศึกษาที่มีต่อการเรียนวิชาเอก สุขศึกษา. วิทยานิพนธ์ วท.ม. (พลศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล. อัดสำเนา. ดาวเรือง เมืองพิล. (2552). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิต, อุบลราชธานี : มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุบลราชธานี. ทัศนีย์ แก้วงาม. (2550). การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านเพื่อจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการสอนภาษาไทย, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.


74 บรรณานุกรม (ต่อ) ทิวาพร สกุลฮูฮา. (2552). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรูการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง บทประยุกต์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตัคติวิสต์ที่เน้นกระบวนการ แก้ปัญหาของโพลยา. วิทยานิพนธ์ศษ.ม. (หลักสูตรและการสอน). ขอนแก่น : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ทิศนา แขมมณี. (2550). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 15). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทองเตียง พรหมทอง. (2553). ผลการเรียนรู้เรื่องบทประยุกต์กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียงลำดับเนื้อใหม่กับการ สอนตามปกติ. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. นริสรา สุนนทราช. (2554). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม. ออนไลน์ จากhttp://www.kroobannok.com/board_view.php?b_ id=130891&bcat_id=16 สืบค้นเมื่อ 16 สิงหาคม 2558. นันทา กุมภา. (2554). การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิค การสร้างแผนที่ความคิด เรื่อง My house and home สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง กศ.ม. สาขาวิชาหลักสูตร และการสอน, มหาวิทยาลัยนเรศวร. นงเยาว์ ศรีทอง. (2553). ผลการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. บุญชม ศรีสะอาด. (2554). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. _________. (2556). วิธีการทางสถิติสำหรับการวิจัย เล่มที่ 1 . พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. (2553). เทคนิคการสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูลสำหรับการทำวิจัย. กรุงเทพฯ : ศรีอนันต์การพิมพ์.


75 บรรณานุกรม (ต่อ) ประภาพันธ์ พลายจันทร์. (2551). ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการตีพิมพ์ผลงานวิชาการใน วารสารระดับนานาชาติของคณาจารย์และนักวิจัยคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระหว่างปี พ.ศ.2547-2549. รายงานการวิจัย. เชียงใหม่ : คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ปรีชา เนาว์เย็นผล. (2551). “การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์,” คณิตศาสตร์. 38 : 434-435 ; พฤศจิกายน-ธันวาคม. เผชิญ กิจระการ. (2551). “การวิเคราะห์ประสิทธิภาพสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (E1/E2 )”, วารสาร การวัดผลการศึกษา. 7(1) : 49 – 51. พรเทพ รู้แผน. (2548). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา. 1025601 นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร และการสอน. นครสวรรค์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. อัดสำเนา. พิศมัย ศรีอำไพ. (2550). เอกสารประกอบการสอนวิชา 503712 สัมมนาหลักสูตรและการ สอนวิชาคณิตศาสตร์. มหาสารคาม : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. อัดสำเนา. พิชิต ฤทธฺจรูญ. (2551). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้: ปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ : วิทยาลัยการฝึกหัดครูมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. มาลินี อุ่นสี. (2552). การพัฒนาแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง บทประยุกต์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี. ยุทธ ไกยวรรณ์. (2553). หลักสถิติวิจัยและการใช้โปรแกรม SPSS. พิมพ์ลักษณ์, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ระพินทร์ โพธิ์ศรี. (2553). การสร้างและวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือสำหรับการวิจัย. อุตรดิตถ์ : คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. รัตนะ บัวสนธ์. (2551). วิจัยเชิงคุณภาพทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : คำสมัย. ราชบัณฑิตยสถาน. (2554). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ : บริษัท ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ๊นท์ จำกัด. : 1544 หน้า. ลัดดาวรรณ์ สมณะช้างเผือก. (2558). รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎี บทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. ออนไลน์ จาก http://www.yupparaj. ac.th/yrc/index.php/news/view/661.


76 บรรณานุกรม (ต่อ) วันดี นิลพิมาย. (2550). การเปรียบเทียบความสามารถในการบวกและการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์ และตัวตั้งไม่เกิน 20และความพึงพอใจในการเรียนรู้คณิตสาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างการสอนแบบเรียนปนเล่นกับการสอนตามปกติ. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตร์มหาบัณฑิต ปริญญาโท หลักสูตรการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครราชสีมา, สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ. วัชรี ภูนิคม. (2553). การพัฒนาการอ่านจับใจความโดยใช้แบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ ค.ม., มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วันทนา โพธิ์แก้ว. (2558). การใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐาน (ค 22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. ออนไลน์ จาก. http://www.thaigoodview.com/node/226764 วาสนา ไชยชำ. (2552). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียน เรื่อง สระลดรูปและ สระเปลี่ยนรูป โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีพหุปัญญา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. ออนไลน์ จาก www.vcharkarn.com/uploads/journal/5/vcharkarn-journal-5482_1.doc. สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2558 วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. (2554). นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้. มหาสารคาม : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วิไลวรรณ ธานี. (2550). การพัฒนาชุดฝึกทักษะการเขียนภาษาไทย ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ ค.ม. อุบลราชธานี : มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุบลราชธานี. ศรานนท์ วะปะแก้ว. (2547). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่องสมดุลเคมีระหว่างการสอน ตามแนวคอนสตรักติวิสซึมและการสอนตามปกติ. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สุนันทา สายแวว. (2552). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่ประสมสระลดรูปสระเปลี่ยนรูปที่สะกดตรงตามมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ ค.ม., อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุบลราชธานี.


77 บรรณานุกรม (ต่อ) สุภาวดี ทองอุ่น (2551). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดไม่ตรงตามมาตรา กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ ค.ม., อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. สุมาลี ศิริกุล. (2553). การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหา บัณฑิต, มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สุภวัฒน์ นามเจริญ. (2552). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. พิมพลักษณ์, อุบลราชธานี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุบลราชธานี. สุวิมล สุวรรณจันดี. (2554). การพัฒนาแผนการเรียนรู้สาระพุทธศาสนาโดยใช้กรณีศึกษา เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน วัดอรัญญาราม อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพนู. การค้นคว้าอิสระปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต (สาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา). คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สุวิทย์ มูลคำ และคณะ. (2550). 19 วิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์. สุวิทย์ มูลคำ. (2551). การเขียนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการคิด. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์. สุขสันต์ บุญเล็ก. (2559). การพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัสสำหรับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. ออนไลน์ จาก. www.mae-ai.ac.th/cai/math/sooksun. สมคิด ลุนบุดดา. (2556). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. การศึกษาค้นคว้าอิสระ, ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. มหาสารคาม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สมเดช บุญประจักษ์. (2551). หลักการคณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ : สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ. สมนึก ภัททิยธนี. (2551) . การวัดผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 6กาฬสินธุ์: ประสานมิตรการพิมพ์. สมวงษ์ แปลงประสพโชค. (2551). “ผลสำรวจสาเหตุนักเรียนไทยอ่อนคณิตศาสตร์และ แนวทางแก้ไข,” คณิตศาสตร์. 53 : 20-28 ; สิงหาคม-ตุลาคม. อารี พันธ์มณี. (2548). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : ต้นอ้อ. อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2553). หลักการสอน (ฉบับปรับปรุง พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. Alderfer, ClaytonP. (1972). Existence Relatedness and Growth. New York : Free Press.


78 ภาคผนวก


79 แบบสอบถามความพึงพอใจ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรสัรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22102) ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 แบบสอบถามฉบับนี้ใช้ถามเกี่ยวกับความความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22102) ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กรุณาตอบข้อค าถามทุกข้อที่ตรงกับความคิดเห็นของนักเรียน ค าชี้แจง ในการตอบแบบสอบถามขอให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นว่า ข้อความแต่ละข้อซึ่ง แสดงถึงความพึงพอใจของนักเรียนนั้น ควรมีคุณลักษณะดังกล่าวมากน้อยเพียงใด แล้วท า เครื่องหมาย ✓ ในช่องระดับความคิดเห็นทางขวามือที่ตรงกับความคิดเห็นของนักเรียน โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ 5 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมาก 3 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง 2 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับน้อย 1 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด ตัวอย่าง รายการ มาก ที่สุด 5 มาก 4 ปาน กลาง 3 น้อย 2 น้อย ที่สุด 1 0. รูปภาพสวยงาม ✓ . . . . . จากตัวอย่างในข้อ 0 แสดงว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะ ในเรื่องของรูปภาพสวยงาม ในระดับมากที่สุด ข้อที่ รายการ ระดับความพึงพอใจ มาก ที่สุด 5 มาก 4 ปาน กลาง 3 น้อย 2 น้อย ที่สุด 1 1 นักเรียนเข้าใจเนื้อหามากขึ้นเมื่อได้ศึกษาเนื้อหา ใน แบบฝึกทักษะ 2 นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาได้สะดวกและ รวดเร็ว


80 กว่าต าราเรียน 3 นักเรียนสามารถอ่านและท าความเข้าใจเนื้อหา ได้ด้วยตนเอง 4 แบบฝึกทักษะท าให้นักเรียนเอาใจใส่ต่อการเรียนมากขึ้น 5 แบบฝึกทักษะช่วยแก้ปัญหาในการเรียนไม่ทันเพื่อน 6 นักเรียนมีความสุขและสนุกสนานเมื่อได้เรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะ 7 นักเรียนได้มีโอกาสท ากิจกรรมร่วมกับเพื่อน 8 นักเรียนพอใจกับคะแนนที่ได้รับจากการท า แบบฝึกทักษะและการท าแบบทดสอบ 9 นักเรียนประสบความส าเร็จในการเรียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะ 10 นักเรียนสามารถน าความรู้ที่ได้รับไปใช้ใน ชีวิตประจ าวันได้


Click to View FlipBook Version