The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เทคโนโลยีที่ใช้ในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องผ่านบุคคลที่สาม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by La Ro, 2022-12-01 22:40:37

เทคโนโลยีดิจิทัล

เทคโนโลยีที่ใช้ในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องผ่านบุคคลที่สาม

เทคโนโลยีที่ใช้ในการทำ
ธุรกรรมโดยไม่ต้องผ่าน

บุคคลที่สาม

จัดทำโดย

นางสาวชนกภัทร แท้เที่ยง
นางสาวลักขณา รอดรัตน์

นางสาวชลิตา แซ่จู้
นางสาวธนพร พรหมเมือง

นางสาวกานธิดา

ความหมายของ Blockchain



B​ lockchain คือ ระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชี
ธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งมีลักษณะเป็นเครือข่ายใย
แมงมุม ที่เก็บสถิติการทำธุรกรรมทางการเงิน และ
สินทรัพย์ชนิดอื่นๆ อีกในอนาคต โดยไม่มีตัวกลาง
คือสถาบันการเงิน หรือสำนักชำระบัญชี ระบบ
Blockchain จะไม่มีตัวกลางอย่างที่เคยเป็นมา ยก

ตัวอย่างการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin จะมีรหัส
Token สร้างขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับ Blockchain
และทำการตรวจสอบว่า Bitcoin นั้นๆ มีความน่า
เชื่อถือหรือไม่ก่อนที่จะทำธุรกรรมให้สำเร็จต่อไป

​วิวัฒนาการของ
Blockchain

ก​ าร Fork เป็นส่วนที่สำคัญในการเกิดวิวัฒนาการของ
บล็อกเชน เหมือนอย่างที่การกลายพันธ์สำคัญต่อ DNA

ในสิ่งมีชีวิต ซึ่งก่อให้เกิดการวิวัฒนาการผ่านการคัด
เลือกของธรรมชาติ การ Fork ทำให้เราสามารถทดลอง

บล็อกเชนหลายเวอร์ชั่นขนานกันได้ โดยจะมีเพียง
เวอร์ชั่นที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอด

ก​ าร Fork ของบล็อกเชน เกิดขึ้นได้เพราะโค้ดปัจจุบัน
และสถานะของบล็อกเชนสามารถถูกคัดลอกได้อย่างเปิด
เผย เปรียบกับการที่โปรแกรมเมอร์อนุญาตให้สามารถ
คัดลอกโค้ดของ Facebook และเปิดอีกเวอร์ชั่นหนึ่งแข่ง
กันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่การ Fork ที่ผ่านมามักพบปัญหาใน

เรื่องผลตอบแทน กลุ่มคนที่ทำการ Fork ใหม่จะมีแรง
จูงใจด้านผลตอบแทนที่ค่อนข้างน้อยที่จะทำให้ Fork
ของตัวเองประสบความสำเร็จ เป็นเพราะรูปแบบการ
Fork ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเป็นเพียงการคัดลอกการ
เป็นเจ้าของจากกลุ่มคนที่ถือ Token เดิม แทนที่จะ
เป็นการปรับเพื่อให้ผลประโยชน์แก่กลุ่มแกนหลักของ

บล็อกเชนห่วงใหม่

​หลักการทำงานของเทคโนโลยี

Blockchain




ก​ ารทำงานของ Blockchain บล็อกเชน เป็นรูปแบบการ
เก็บข้อมูล (Data structure) แบบหนึ่ง ที่ทำให้ข้อมูล
Digital transaction ของแต่ละคนสามารถแชร์ไปยัง
ทุกๆ คนได้ เป็นเสมือนห่วงโซ่ (Chain) ที่ทำให้ block
ของข้อมูลลิ้งก์ต่อไปยังทุกๆ คนเป็น โดยที่ทราบว่าใครที่
เป็นเจ้าของและมีสิทธิในข้อมูลนั้นจริงๆ เมื่อบล็อกของ
ข้อมูลได้ถูกบันทึกไว้ในบล็อกเชน มันจะเป็นเรื่องยา
กมากๆ ที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลง เวลาที่มีใครต้องการจะ
เพิ่มข้อมูล ทุกๆ คนในเครือข่ายซึ่งล้วนแต่มีสำเนาของ

บล็อกเชน สามารถรัน Algorithm เพื่อตรวจสอบ
Transaction โดย Transaction ใหม่นี้จะได้รับอนุญาต

ต่อเมื่อในเครือข่ายส่วนใหญ่เห็นด้วยว่ามันถูกต้อง
Bitcoin (บิทคอยน์) กับ Blockchain (บล็อกเชน)

เกี่ยวข้องกันอย่างไร

​หลักการทำงานของเทคโนโลยี

Block
chain ( ต่อ )

​บล็อกเชน เป็นเทคโนโลยี ด้านความปลอดภัยของข้อมูล
บ​ิทคอยน์ ว่าด้วยเรื่องสกุลเงินบนโลกดิจิตอล

จะเห็นได้ว่า บล็อกเชน ไม่ใช่ บิทคอยน์ และบิทคอยน์ ก็
ไม่ใช่บล็อกเชน แต่โมเดลบิทคอยน์ มีความต้องการนำ
เทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ เพื่อให้การซื้อขายสกุลเงิน
ดิจิตอลนี้ มีความปลอดภัยและเพราะว่า บล็อกเชน ว่า
ด้วยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่อง
ที่เกี่ยวข้องได้กับทุกอุตสาหกรรม ไม่เจาะจงเฉพาะบิท
คอยน์ หรือ FinTech เพียงแต่เทคโนโลยีนี้เรียกได้ว่าส่ง
ผลกระทบต่อวงการ FinTech ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน
และการบูมของเทคโนโลยีตัวนี้ มาจากความพยายามใน

การทำบิทคอยน์

องค์ประกอบของเทคโนโลยี

Blockchain



Blockchain ที่เกี่ยวกับความเชื่อใจในการทำธุรกรรมที่มีมูลค่า
โดยมีองค์ประกอบ4 ข้อ ดังนี้
1 Block คือ​ตัวเลขจำนวนเต็มเรียงกันตั้งแต่ 1, 2, 3, 4, 5 ไป
เรื่อย ๆโดยมีความหมายแสดงถึงลำดับก่อนหลัง คือ Block
หมายเลข 1 เกิดขึ้นก่อน Block หมายเลข 2 และ Block
หมายเลข 1 อยู่ติดกับ หมายเลข 2เป็นต้น
2 Timestamp คือเ​วลาที่ Block นั้น ๆ ถูกสร้างขึ้นมา
3 Nonce คือค่าที่ใช้ในการค้นหาค่า Hash ของ Block ตามกฎ
ของระบบที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งกฎดังกล่าวคือ Proof-of-Work
หมายความว่า หากเราต้องการจะสร้าง Block ขึ้นมาสัก Block
หนึ่งในระบบ Blockchain เราจะต้องแสดงให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ใน
ระบบเห็นว่า เราได้ทำการแก้ปัญหาหรือทำงาน (Work) ตามกฎที่
กำหนดไว้แล้ว
4 Difficulty Target คือค​่าระดับความยากที่จะถูกใช้ในการ
ค้นหาค่า Nonce โดยค่า Hash ที่ได้นั้นจะต้องมีค่าต่ำกว่าค่า
Difficulty Target นั่นเอง

องค์ประกอบของเทคโนโลยี

Blockchain ( ต่อ )



​5 Previous Hash คือค่า Current Hash ของ Block
ก่อนหน้า ซึ่งเปรียบได้กับค่า Digital Signature ของ
Block ก่อนหน้าโดยจะถูกจัดเก็บอยู่ในโครงสร้างของ
Block ถัดไปเสมอ และหากมีการแก้ไขข้อมูลใน Block
ก่อนหน้าจะทำให้ค่า Hash ของ Block ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ใน
การออกแบบโครงสร้าง Blockแต่ละแพลตฟอร์มอาจมี
การใช้ชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป
6 Data คือ​ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่ใน Block ซึ่งข้อมูลนี้จะ
เป็นอะไรก็ได้ที่เราจะบันทึก เช่น ข้อมูล Transaction
ต่าง ๆ เป็นต้น
7 Merkle Root คือค​่า Hash ของ Transactions
ทั้งหมดใน Block ซึ่งเป็นวิธีการ Hash ข้อมูลชุดใหญ่
โดยใช้รูปแบบ Hash Tree ซึ่งจะ HashTransactions
ทั้งหมดใน Block ให้กลายเป็น Hash Value3 ขนาด 32
ไบต์

ประเภทของ Blockchain



​1. Blockchain แบบเปิดสาธารณะ (Public
Blockchain)
ค​ือ Blockchain สาธารณะที่ระบบโครงข่ายเปิดเสรีที่
ใครต้องการเชื่อมต่อก็สามารถทำได้เพื่อทำธุรกรรมหรือ
ดูธุรกรรมต่างๆที่เคยเกิดขึ้นบนโครงข่าย Public
Blockchain ที่เชื่อมต่ออยู่ได้อย่างอิสระ โดยไม่จำเป็น
ต้องขออนุญาต
2. Blockchain แบบปิด (Private Blockchain)
​คือ Blockchain ส่วนตัวที่ใช้ภายในองค์กรหรือบริษัทที่
ร่วมด้วยเท่านั้น ทำให้คนในองค์กรหรือผู้ที่
ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถทำธุรกรรมต่างๆ ใน
ระบบ Blockchain ได้ โดยข้อมูลหรือประวัติการทำ
ธุรกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นก็จะถูกจำกัดอยู่เฉพาะภายใน
เครือข่าย ซึ่งมีแต่สมาชิกที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจะ
สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ดังนั้น Private Blockchain
เหมาะกับองค์กรหรือบริษัทที่ต้องการรักษาความ
ปลอดภัยข้อมูลในระดับสูง

ประเภทของ Blockchain

( ต่อ )


3​ . Blockchain แบบเฉพาะกลุ่ม (Consortium
Blockchain)
ค​ือ Blockchain ประเภทนี้จะเป็นลักษณะการรวม
public Blockchain กับ private Blockchain
เข้าด้วยกัน โดยผู้ที่สามารถเชื่อมต่อหรือทำธุรกรรมได้
ต้องอยู่ในกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ได้รับ
อนุญาต
เท่านั้น โดยข้อมูลต่างๆ หรือธุรกรรมที่เคยเกิดขึ้นก็จะ
อยู่ในกลุ่มตัวเองเท่านั้น โดยปกติแล้ว Consortium
Blockchain จะถูกใช้โดยองค์กรต่างๆ ที่มีลักษณะธุรกิจ
เหมือนกันต้องการจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เพื่อผล
ประโยชน์ต่างๆ ขององค์กรเอง
4. Blockchain แบบอนุญาต (Permission
Blockchain)
​คือ Blockchain ที่พัฒนามาจาก Private Blockchain
สามารถเลือกได้ว่าต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูล
หรือทำธุรกรรมกับองค์กรไหนในโครงข่าย โดยองค์กรที่
ไม่ถูกเลือกจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือดูธุรกรรมนั้น
ได้ ตัวอย่างของระบบ Blockchain แบบอนุญาต

รูปแบบของเครือข่าย Blockchain



Blockchain สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท โดย
พิจารณาจากข้อก าหนด ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก
ของเครือข่าย คือ Blockchain แบบเปิดสาธารณะ
(Public Blockchain) Blockchain แบบปิด (Private
Blockchain) และ Blockchain แบบ เฉพาะกลุ่ม

คุณลักษณะพื้นฐานที่สำคัญของ
เทคโนโลยี Blockchain



​การจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ Block โดยเชื่อมต่อ
แต่ละ Block ด้วยHash Function และกระจายให้ทุก ๆ
Node เก็บ ทำให้เกิดคุณสมบัติที่สำคัญของ
Blockchain 3 ประการ คือ ความถูกต้องเที่ยงตรงของ
ข้อมูล (Data Integrity)ความโปร่งใสในการเข้าถึง
ข้อมูล (Data Transparency) และความสามารถในการ
ทำงานได้อย่างต่อเนื่องของระบบ (Availability)
(Serrano, 2017)

คุณลักษณะพื้นฐานที่สำคัญของ
เทคโนโลยี Blockchain



​การจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ Block โดยเชื่อมต่อ
แต่ละ Block ด้วยHash Function และกระจายให้ทุก ๆ
Node เก็บ ทำให้เกิดคุณสมบัติที่สำคัญของ
Blockchain 3 ประการ คือ ความถูกต้องเที่ยงตรงของ
ข้อมูล (Data Integrity)ความโปร่งใสในการเข้าถึง
ข้อมูล (Data Transparency) และความสามารถในการ
ทำงานได้อย่างต่อเนื่องของระบบ (Availability)
(Serrano, 2017)

ประโยชน์ของเทคโนโลยี

Blockchain



​Blockchain คือเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้งานได้
หลากหลายในอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคาร ไม่
ว่าจะเป็นการใช้งานในการโอนและชำระเงิน หรือการใช้
งานในตลาดเงินและตลาดทุน
1.การโอนเงิน ชำระเงิน
​การโอนเงินชำระเงินทั้งภายในถือเป็นกรณีการใช้งานที่
แพร่หลายที่สุดของ Blockchain ซึ่งการโอนเงินใน
ลักษณะนี้มีหลายรูปแบบ และรวมไปถึงการสร้างเงิน
สกุลดิจิทัลขึ้นมาใหม่ หรือเปลี่ยนเงินสกุลเดิมให้กลาย
เป็นเงินดิจิทัล ก่อนที่จะนำใช้งานในรูปแบบเดียวกับ
Bitcoin แต่มักจะอยู่ในระบบปิด (พร้อมด้วยข้อจำกัด
ต่าง ๆ มากมาย) ประโยชน์ของระบบลักษณะนี้คือ การ
ช่วยลดเวลาในการทำธุรกรรม เพิ่มความปลอดภัย และ
เพิ่มความสามารถในการบันทึกข้อมูลเพื่อการตรวจสอบ
ต่อไป

การนำบล็อกเชนไปประยุกต์ใช้ใน

กระบวนการห่วงโซ่อุปทาน




ก​ ระบวนการห่วงโซ่อุปทานเป็นกระบวนการสำคัญตั้งแต่การจัดหา วัตถุดิบ
สำหรับนำไปผลิต จนกระทั่งจัดส่งสินค้าไปยังผู้บริโภค โดยหนึ่งในปัญหา
สำคัญของ กระบวนการห่วงโซ่อุปทานที่มีมาหลายทศวรรษ คือ ยังไม่มี
เทคโนโลยีที่ดีพอที่จะคอยติดตามสินค้า และตรวจสอบที่มาที่ไปของสินค้า
กรณีที่สินค้าได้รับความเสียหาย รวมถึงผู้ซื้อและผู้ขายไม่มี กระบวนการอย่าง
ชัดเจนและโปร่งใสในการตรวจสอบต้นทุนและที่มาของราคาสินค้า นอกจากนี้
ยัง พบปัญหาเกี่ยวกับการปลอมแปลงสินค้า และโรงงานผลิตสินค้าที่ต่ ากว่า
มาตรฐาน ดังนั้น การนำบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาใช้ในกระบวนการห่วง
โซ่อุปทานจะช่วยให้ข้อมูลต่าง ๆ สามารถระบุที่มาที่ไปได้ เช่น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ
ผลิตภัณฑ์ สถานะของการทดสอบผลิตภัณฑ์ราคา วันที่ ผลิต สถานที่ คุณภาพ
ของสินค้า และข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการจัดการ เนื่องจากโครงสร้าง
พื้นฐานของบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องยากที่จะสามารถ
ถือสิทธิความเป็น เจ้าของธุรกรรม และเข้าไปแก้ไขข้อมูลเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ในปัจจุบันมีหลายองค์กรได้ทดลองนำ บล็อกเชน (Blockchain) เข้าไป
ประยุกต์ใช้ในกระบวนการห่วงโซ่อุปทาน เช่น บริษัทสตาร์ทอัพ (Startup)
อย่าง Provenance ได้นำบิทคอยน์ (Bitcoin) และ Ethereum-Based
Blockchain มาใช้ ในการสร้างระบบการตรวจสอบย้อนกลับสำหรับวัสดุและ
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อสร้าง ระบบจัดการห่วงโซ่อุปทานที่
โปร่งใส สามารถรู้ข้อมูลว่าผลิตสินค้าอย่างไร สภาพแวดล้อมที่มี ผลกระทบหรือ
ไม่ ผลิตที่ไหน และใครเป็นผู้ผลิต นอกจากนี้บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จ
ากัด ได้มี การน าเสนอ Watson IoT โดยใช้งานบนอุปกรณ์Cloud และได้น า
เทคโนโลยีความปลอดภัยมาผนวก เข้าด้วยกัน ซึ่ง IBM มีแผนที่จะขยายการใช้
งานสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแล สุขภาพ ธุรกิจประกัน
ภัย และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เป็นต้น


Click to View FlipBook Version