ิววัฒนาการของมนุษ ์ย จากสานก ้ลวยวรรณกรรม 3
มนษุ ย์? สนบั สนนุ โดย สมาคมคณุ ครูและนกั ศกึ ษา วทิ ยาลยั เทคโนโลยีบริหารธรุ กิจยานนาวา
สารบญั
• มนุษย์ 3
• การจดั ช้นั และการใชช้ ่ือในบทความ 4
• การยา้ ยถิ่นฐานของมนุษย์ 5
• หลกั ฐาน 6
• หลกั ฐานจากซากดึกดาบรรพ์ 7
• การยา้ ยถ่ินฐานของมนุษย์ 8
• ความเปล่ียนแปลงทางกายวภิ าค 9
วทิ ยาลยั เทคโนโลยีบริหารธรุ กิจยานนาวา
คานา
รายงานเลม่ นี ้ รายวชิ า การสบื ค้นข้อมลู ทางอินเตอร์เน็ต กลมุ่ สาระการเรียนรู้
เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเนือ้ เก่ียวกบั ทางวิชาการในเร่ืองววิ ฒั นาการของมนษุ ย์
รายงานเลม่ นีเ้น้นการสร้างความรู้และคาอธิบายเก่ียวกบั ระบบการทางานของ
ร่างกายของตวั เรา รายงานเลม่ นีจ้ ดั ทาเพือ่ ให้สอดคล้องกบั หลกั สตู รการสอน
ภายในโรงเรียนตามความเหมาะสม
หวงั วา่ รายงานเลม่ นีจ้ ะเป็นประโยชน์ตอ่ การหาความรู้ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
เป็นไปตามหลกั การ
และจดุ มงุ่ หมาย ขอขอบคณุ เวบ็ ไซต์ท่ีให้ข้อมลู ในการทารายงานเล่มนีใ้ ห้สาเร็จ
ลลุ ว่ งด้วยดีไว้ ณ โอกาสนี ้
วทิ ยาลยั เทคโนโลยีบริหารธรุ กิจยานนาวา
มนษุ ย์ (ชื่อวทิ ยาศาสตร์: Homo sapiens, ภาษาละตนิ แปลวา่ "คนฉลาด" หรือ "ผ้มู ีปัญญา") เป็นสปีชีส์เดยี วท่ียงั มีชีวติ อย่ใู นสกลุ
Homo ในทางกายวิภาค มนษุ ย์สมยั ใหมถ่ ือกาเนิดขนึ ้ ในทวปี แอฟริการาว 200,000 ปีท่ีแล้ว และบรรลคุ วามนาสมยั ทางพฤติกรรม
(behavioral modernity) อยา่ งสมบรู ณ์เมื่อราว 50,000 ปีท่ีแล้ว[2]
เชือ้ สายมนษุ ย์แยกออกจากบรรพบรุ ุษร่วมสดุ ท้ายกบั ชิมแพนซี ซง่ึ เป็นสิง่ มีชีวิตที่ใกล้ชิดท่ีสดุ เม่ือราว 5 ล้านปีท่ีแล้วในแอฟริกา ก่อนจะ
วิวฒั นาการไปเป็นออสตราโลพเิ ธซีน (Australopithecines) และสดุ ท้ายเป็นสกลุ Homo[3] สปีชีส์ โฮโม แรก ๆ ท่ีอพยพออกจาก
แอฟริกา คือ Homo erectus, Homo ergaster ร่วมกบั Homo heidelbergensis ซงึ่ ถกู มองวา่ เป็นบรรพบรุ ุษสายตรงของ
มนษุ ย์สมยั ใหม่[4][5] Homo sapiens ได้เดินทางตอ่ ไปเพื่อตงั้ ถิ่นฐานในทวปี ตา่ ง ๆ โดยมาถงึ ยเู รเชียระหวา่ ง 125,000-60,000 ปีท่ีแล้ว
[6][7] ทวีปออสเตรเลยี ราว 40,000 ปีที่แล้ว ทวีปอเมริการาว 15,000 ปีที่แล้ว และเกาะห่างไกล เชน่ ฮาวาย เกาะอีสเตอร์ มาดากสั การ์
นิวซีแลนด์ระหวา่ ง ค.ศ. 300 ถงึ ค.ศ. 1280[8][9] ราว 10,000 ปีที่แล้ว มนษุ ย์เริ่มเกษตรกรรมแบบอย่กู บั ท่ี โดยการปลกู พืชและเลยี ้ งสตั ว์ป่า ทา
ให้ประชากรทว่ั โลกเพ่ิมขนึ ้ อย่างรวดเร็ว ด้วยการพฒั นาเทคโนโลยีที่ขบั เคลอ่ื นด้วยเชือ้ เพลิง และเทคนิคใหม่ ๆ ของการพฒั นาการด้าน
การแพทย์และสาธารณสขุ ในคริสต์ศตวรรษท่ี 19 และ 20 ประชากรมนษุ ย์ย่ิงเพิม่ ขนึ ้ กวา่ แตก่ ่อน เนื่องจากมนษุ ย์อาศยั อยู่ในทกุ ทวปี ยกเว้นแอน
ตาร์กติกา จึงได้ชื่อวา่ เป็น "สปีชีส์ท่ีพบได้ทว่ั โลก" (cosmopolitan species) จนถงึ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ขนาดประชากรมนษุ ย์
ท่ีกองประชากรสหประชาชาตปิ ระเมินไว้ มีจานวนอย่ทู ี่ราว 7 พนั ล้านคน[10]
มนษุ ย์มีลกั ษณะพิเศษ คอื มีสมองใหญ่เม่ือเทียบกบั ขนาดตวั โดยเฉพาะสมองชนั้ นอก สมองสว่ นหน้า และสมองกลบี ขมบั ที่พฒั นาเป็นอยา่ งดี
ทาให้มนษุ ย์สามารถให้เหตผุ ลเชิงนามธรรม ใช้ภาษา พินิจภายใน (introspection) แก้ปัญหาและสร้างสรรค์วฒั นธรรมผา่ นการเรียนรู้
ทางสงั คม ความสามารถทางจิตใจของมนษุ ย์นี ้ประกอบกบั การปรับตวั มาเคล่อื นไหวสองเท้าซงึ่ ทาให้มือวา่ งจดั การจบั วตั ถุได้ ทาให้มนษุ ย์
สามารถใช้อปุ กรณ์เครื่องมือได้ดกี วา่ สปีชีส์อ่ืนใดบนโลกมาก มนษุ ย์ยงั เป็นสปีชีส์เดยี วเท่าที่ทราบที่ก่อไฟและทาอาหารเป็น สวมใสเ่ สอื ้ ผ้า และ
สร้างสรรค์ รวมถงึ มีความสามารถท่ีจะใช้เทคโนโลยีและศิลปะอื่น ๆ การศกึ ษามนษุ ย์เป็นสาขาหนงึ่ ของวิทยาศาสตร์ เรียกว่า มานษุ ยวทิ ยา
เอกลกั ษณ์ท่ีสาคญั ของมนษุ ย์ ได้แก่ ความถนดั ในการใช้ระบบการสื่อสารด้วยสญั ลกั ษณ์ เชน่ ภาษา เพื่อการแสดงออก แลกเปล่ียนความคดิ
และการจดั ระเบียบ มนษุ ย์สร้างโครงสร้างทางสงั คมอนั ซบั ซ้อน ซง่ึ ประกอบด้วยการรวมกลมุ่ จานวนมากที่มีทงั้ ร่วมมือและแขง่ ขนั กนั จาก
ครอบครัวและวงศาคณาญาติ ไปจนถึงรัฐ ปฏิสมั พนั ธ์ทางสงั คมระหวา่ งมนษุ ย์ได้ก่อตงั้ คา่ นิยม บรรทดั ฐานทางสงั คมและพิธีกรรม ซงึ่ รวมกนั
เป็นรากฐานของสงั คมมนษุ ย์ มนษุ ย์ขนึ ้ ชื่อในความปรารถนาท่ีจะเข้าใจและมีอิทธิพลเหนือส่ิงแวดล้อม แสวงหาคาอธิบายและปรับเปลี่ยน
ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ผ่านวิทยาศาสตร์ ปรัชญา เทพปกรณมั และศาสนา
มนษุ ย์ 3ช
การจัดช้ันและการใช้ชื่อในบทความ
นกั วิทยาศาสตร์มีความเห็นไม่เหมือนกบั ในการการจาแนกชนั้ ของสตั ว์ในวงศ์ลิงใหญ่[13] แผนผงั ด้านล่างแสดงการจาแนกชนั้ แบบหนงึ่ ของไพรเมต/วงศ์ลิงใหญ่ท่ียงั มีชีวติ
อยู่ เป็นการจาแนกชนั้ ที่ให้ความสาคญั กบั ความใกล้เคียงกนั ทางกรรมพนั ธ์ขุ องมนษุ ย์และลงิ ชิมแปนซี[11] โดยมีชื่อตามอนกุ รมวธิ าน
ส่วนการจาแนกชนั้ มีดงั ต่อไปนี ้มีการรวมเอาสายพนั ธ์มุ นษุ ย์ท่ีสญู พนั ธ์ไุ ว้ด้วย ชื่อแรกเป็นชื่อตามอนกุ รมวธิ าน ชื่อในวงเล็บเป็นชื่อทวั่ ไป
• วงศ์ยอ่ ย Homininae (hominine)
• เผ่า Hominini (hominin)
• เผา่ ย่อย Australopithecina (australopithecine)
• เผ่ายอ่ ย Hominina
• สกลุ Homo (มนษุ ย์)
• เผา่ Panini
• สกลุ Pan (ลงิ ชมิ แปนซ)ี
• วงศ์ยอ่ ย Gorillinae
• สกลุ Gorilla (ลิงกอริลลา)
• วงศ์ย่อย Ponginae
• สกลุ Pongo (ลิงอรุ ังอตุ งั )
• คาท่ีอาจจะมีความหมายอ่ืนในที่อื่น ๆ ท่ีใช้บอ่ ย ๆ ในบทความนีม้ ีดงั ต่อไปนี ้(ตามผงั ด้านบน) เป็นคาท่ีรวมทงั้ สตั ว์ที่มีชีวิตอย่แู ละสญู
พนั ธ์ไุ ปแล้ว
• วงศ์ลงิ ใหญ่ หรือ ลงิ ใหญ่ หรือ hominid หมายถึงสตั ว์ในวงศ์ลงิ ใหญ่ หลงั จากท่ีวงศ์ชะนีได้แยกสายพนั ธ์ไุ ปแล้ว
• homininae หรือ hominine หมายถงึ สตั ว์ในวงศ์ย่อย Homininae ซง่ึ รวมสายพนั ธ์ขุ องมนษุ ย์และสายพนั ธ์ุของลงิ
ชิมแปนซี หลงั จากที่สายพนั ธ์ขุ องลิงกอริลลาได้แยกออกไปแล้ว
• hominini หรือ hominin (ไม่มี e ท้ายสดุ ) หมายถงึ สตั ว์ในเผา่ hominini คือสายพนั ธ์มุ นษุ ย์ทงั้ หมด (คือบรรพบรุ ุษมนษุ ย์
สายพนั ธ์ขุ องญาติบรรพบรุ ุษมนษุ ย์ และมนษุ ย์ทงั้ หมด) หลงั จากที่สายพนั ธ์ขุ องลงิ ชิมแปนซไี ด้แยกออกไปแล้ว
• australopithecina หรือ australopithecine ปกตหิ มายถึงสายพนั ธ์มุ นษุ ย์สกลุ Australopithecus,
Paranthropus ซงึ่ จดั อยใู่ นเผ่ายอ่ ย Australopithecina
• มนษุ ย์ หมายถึงมนษุ ย์สปีชีส์ตา่ ง ๆ ในสกลุ Homo เทา่ นนั้ ซงึ่ จดั อย่ใู นเผ่ายอ่ ย Hominina
• มนษุ ย์โบราณ (Archaic humans) มีความหมายไม่แนน่ อน ปกติรวมมนษุ ย์สปีชีส์ H.
heidelbergensis/rhodesiensis, H. neanderthalensis และบางท่ีรวม H. antecessor[41]แต่โดยทวั่ ๆ
ไปหมายถงึ มนษุ ย์สปีชีส์อื่น ๆ ท่ีเกิดขนึ ้ หลงั จาก 600,000 ปีก่อน รวมทงั้ มนษุ ย์พวก Denisovans ไมร่ วมมนษุ ย์ปัจจบุ นั
• มนษุ ย์ปัจจบุ นั หมายถงึ Homo sapiens เทา่ นนั้ โดยมกั จะหมายถึง มนษุ ย์ที่มีกายวภิ าคปัจจบุ นั
มนษุ ย์ 4
หลกั ฐาน
หลกั ฐานของคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์เก่ียวกบั วิวฒั นาการของมนษุ ย์มาจากงานวิทยาศาสตร์ธรรมชาตหิ ลายสาขา (ดรู ายละเอียดอื่นท่ีต้นบทความ) แหลง่ ความรู้หลกั ของกระบวนการ
วิวฒั นาการปกตมิ าจากซากดกึ ดาบรรพ์ ซง่ึ เร่ิมมีการสงั่ สมหลกั ฐานของพนั ธ์มุ นษุ ย์เร่ิมตงั้ แตป่ ี ค.ศ. 1829 (ดู "ประวตั กิ ารศกึ ษาสมยั ดาร์วนิ ") แตเ่ ริ่มตงั้ แต่มีการพฒั นาด้านพนั ธศุ าสตร์ใน
สาขาอณชู ีววิทยาท่ีต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 (ดู "ประวตั ิ-การปฏวิ ตั ิทางพนั ธศุ าสตร์") การวิเคราะห์ดีเอ็นเอก็ได้กลายมาเป็นแหล่งความรู้ท่ีสาคญั พอ ๆ กนั สว่ นงานศกึ ษาในเรื่องกาเนดิ และ
พฒั นาการของส่ิงมีชีวติ (ontogeny) วิวฒั นาการชาตพิ นั ธ์ุ (phylogeny) และโดยเฉพาะววิ ฒั นาการของส่ิงมีชีวิตเชงิ พฒั นาการ (evolutionary developmental
biology) ของทงั้ สตั ว์มีกระดกู สนั หลงั และสตั ว์ไมม่ ีกระดกู สนั หลงั ได้ให้ความรู้ใหม่ ๆ พอสมควรเกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการของสง่ิ มีชีวติ ทงั้ หมดรวมทัง้ ของมนษุ ย์ มีงานศกึ ษาเฉพาะเร่ือง
เก่ียวกบั กาเนดิ และชีวิตของมนษุ ย์ ซง่ึ ก็คือมานษุ ยวิทยา (anthropology) โดยเฉพาะบรรพมานษุ ยวิทยา (paleoanthropology) เป็นศาสตร์ที่พงุ่ ความสนใจไปท่ีมนษุ ย์ก่อน
ประวตั ศิ าสตร์
ภายในศตวรรษท่ีผา่ นมาโดยเฉพาะในทศวรรษที่เพงิ่ ผ่าน ๆ มา ได้มีการสงั่ สมหลกั ฐานซากดกึ ดาบรรพ์ (และทางอณชู ีววทิ ยา) มากมายท่ีเริ่มชีโ้ ครงสร้างการวิวฒั นาการอยา่ งคร่าว ๆ ของ
มนษุ ย์ปัจจบุ นั จากสายพนั ธ์ทุ ่ีแยกออกจากลงิ ชมิ แปนซี[43] โดยท่ีรายละเอียดประวตั กิ ารววิ ฒั นาการและการจดั ชนั้ ของสกลุ และสปีชีส์ต่าง ๆ ยงั มีการเพ่ิมและปรับปรุงเปล่ียนแปลงอย่าง
รวดเร็วเป็นปีต่อปี[15] เพราะได้หลกั ฐานใหม่ ๆ ที่ชว่ ยยืนยนั หรือปฏเิ สธสมมตฐิ านท่ีมีอยตู่ ่าง ๆ เพราะฉะนนั้ เป็นอนั หวงั ได้วา่ บทความจะมีข้อมลู ที่ล้าหลงั หลกั ฐานใหม่ ๆ ไปบ้าง
หลกั ฐานทางอณูชีววิทยา
สาหรับสตั ว์ (รวมทงั้ มนษุ ย์) ที่ยงั มีชีวติ อยู่ หรือสาหรับสตั ว์ที่สญู พนั ธ์แุ ล้ว (รวมทงั้ สายพนั ธ์ตุ ่าง ๆ ของมนษุ ย์) แตย่ งั หาสารอินทรีย์ท่ี
ประกอบด้วยดเี อน็ เอได้ หลกั ฐานทางอณชู ีววิทยานนั้ สามารถให้ข้อมลู ต่าง ๆ เกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการของมนษุ ย์ โดยใช้ประกอบร่วมกบั
ข้อมลู ซากดกึ ดาบรรพ์และข้อมลู สตั ว์ที่มีอยใู่ นปัจจบุ นั ดงั ตอ่ ไปนี ้คอื
• ช่วงเวลาที่สตั ว์ (รวมทงั้ มนษุ ย์) สองพนั ธ์ุ โดยเฉพาะพนั ธ์ทุ ่ีใกล้ชิดกนั 5
• เกิดการแยกสายพนั ธ์กุ นั (เช่นการแยกสายพนั ธ์ขุ องมนษุ ย์จากลิงชมิ แปนซี) หรือ
• มีบรรพบรุ ุษสดุ ท้ายร่วมกนั (เช่นมนษุ ย์ปัจจบุ นั มีบรรพบรุ ุษหญิงร่วมกนั สดุ ท้ายท่ี
90,000-200,000 ปีก่อน)
• ความสมั พนั ธ์ทางกรรมพนั ธ์รุ ะหว่างพนั ธ์สุ ตั ว์ (รวมทงั้ มนษุ ย์)
ที่สามารถใช้ในการสร้างต้นไม้สายพนั ธ์ุ
(เช่นมนษุ ย์มีความสมั พนั ธ์ท่ีใกล้ชิดกบั ลิงชิมแปนซีมากกว่าลงิ กอริลลา)
• ยีนของสตั ว์นนั้ อาจแสดงลกั ษณะทางพนั ธุกรรมท่ีปรากฏ (ซงึ่ เริ่มการสงั่ สมหลกั ฐานตงั้ แต่ปี ค.ศ. 2001)
ทางกายภาพ (เชน่ สณั ฐานของอวยั วะตา่ ง ๆ)
• ทางสรีรภาพ เช่นระบบการทางานของร่างกาย
• ทางพฤติกรรม
• โดยท่ีสองข้อแรกได้ช่วยความเข้าใจในเรื่องตา่ ง ๆ เก่ียวกบั ววิ ฒั นาการมนษุ ย์ให้ดีขนึ ้ แล้ว และข้อสดุ ท้ายอาจมีประโยชน์ย่ิง ๆ ขนึ ้ ตอ่ ๆ
ไปในอนาคต
• หลกั ฐานทางอณชู ีววิทยา ได้ให้ข้อมลู เก่ียวกบั ววิ ฒั นาการมนษุ ย์มีตวั อย่างสาคญั ๆ ดงั ตอ่ ไปนี ้
• สกลุ สตั ว์ที่ยงั ไมส่ ญู พนั ธ์ทุ ่ีใกล้กบั มนษุ ย์ท่ีสดุ เป็นลงิ โบโนโบ ลงิ ชมิ แปนซี (ทงั้ สองในสกลุ Pan) และลิงกอริลลา (สกลุ
Gorilla)[11] การหาลาดบั ดีเอ็นเอในจีโนมของทงั้ มนษุ ย์และลิงชมิ แปนซี พบวา่ มีความคล้ายคลงึ กนั ถงึ ประมาณ 95-
99%[45][46] เป็นความคล้ายคลงึ กนั ที่แสดงถงึ ความมีสายพนั ธ์เุ ป็นพี่น้องกนั (sister taxon) หรือแม้แต่อย่ใู นสกลุ เดียวกนั
• โดยใช้เทคนิคที่เรียกวา่ molecular clock (นาฬกิ าอาศยั โครงสร้างโมเลกลุ ) ซงึ่ ใช้ประเมินระยะเวลาการแยกสายพนั ธ์ุ โดยวดั
เวลาก่อนที่การกลายพนั ธ์ทุ ่ีไมเ่ หมือนกนั ของสายพนั ธ์สุ องสายพนั ธ์จุ ะสง่ั สมจนมาถงึ ในระดบั ปัจจบุ นั ได้มีการพบวา่ การแยกสายพนั ธ์ุ
ของมนษุ ย์และสายพนั ธ์ขุ องลิงชมิ แปนซี ได้อย่ใู นช่วงเวลาประมาณ 4 ถึง 8 ล้านปีก่อนซงึ่ อยใู่ นชว่ งปลายสมยั ไมโอซนี (ซงึ่ เป็นส่วน
ปลายของยคุ นีโอจีน)[10] (ดรู ายละเอียดในหวั ข้อ "การแยกสายพนั ธ์ขุ องวงศ์ลิงใหญ่")
มนษุ ย์
หลกั ฐานจากซากดึกดาบรรพ์
ซากดกึ ดาบรรพ์หมายถงึ สว่ นท่ีหลงเหลอื อยู่ หรือร่องรอยของพืชและสตั ว์ (รวมทงั ้ มนษุ ย์)
ที่เกิดการเก็บรักษาไว้ในชนั ้ หิน สว่ นซากดกึ ดาบรรพ์ช่วงเปลีย่ นสภาพ (transitional
fossil) หรือเรียกอีกอย่างหนง่ึ ว่า สปีชีส์ในระหวา่ ง (intermediate species)
เป็นซากดกึ ดาบรรพ์ของสง่ิ มชี ีวติ ที่มลี กั ษณะสบื สายพนั ธ์ุ (trait) ท่ีเหมอื นกนั กบั ของทงั ้
สตั ว์กลมุ่ บรรพบรุ ุษ และของสตั ว์กลมุ่ ลกู หลานที่สืบเชือ้ สายต่อจากกลมุ่ บรรพบรุ ุษ[51]
เป็นหลกั ฐานสาคญั ที่สามารถใช้แสดงและตดิ ตามววิ ฒั นาการของสตั ว์ เมื่อดาร์วนิ ป
ระกาศทฤษฎีวิวฒั นาการในปี ค.ศ. 1859 (ดรู ายละเอียดในหวั ข้อ "ประวตั กิ ารศกึ ษาสมยั
ดาร์วิน") หลกั ฐานทางซากดกึ ดาบรรพ์ช่วงเปลยี่ นสภาพมนี ้อยมากจนเขาได้กล่าวไว้ว่า
"...เป็นข้อโต้แย้งท่ีเหน็ ได้ง่ายที่สดุ ที่สาหสั ที่สดุ ตอ่ ทฤษฎีของผม..."[52] ตงั ้ แตน่ นั ้ มา ก็ได้มี
การสง่ั สมหลกั ฐานทางซากดกึ ดาบรรพ์มากมายที่สามารถช่วยชโี ้ ครงสร้างกระบวนการ
ววิ ฒั นาการของมนษุ ย์ได้อยา่ งคร่าว ๆ [43]
หลกั ฐานทางซากดกึ ดาบรรพ์นนั้ สามารถให้ข้อมลู โดยหลกั ๆ มีตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปนี ้
ซากดกึ ดาบรรพ์ของสายพนั ธ์มุ นษุ ย์ ซงึ่ สามารถชีก้ ระบวนการวิวฒั นาการของมนษุ ย์เช่น
ลาดบั การวิวฒั นาการทางโครงสร้างจากสตั ว์คล้ายลงิ มาเป็นมนษุ ย์ปัจจบุ นั (ดหู วั ข้อ "ซากดกึ ดาบรรพ์ชว่ งเปลี่ยนสภาพ" และ "ความเปล่ียนแปลงทางกายวภิ าค")
การววิ ฒั นาการมาเป็นสตั ว์สองเท้า จากสตั ว์ที่อย่บู นต้นไม้ โดยอนมุ านจากโครงสร้างกระดกู (ดู "ซากดกึ ดาบรรพ์ชว่ งเปล่ียนสภาพ" และ "การเดินด้วยสองเท้า")
การขยายขนาดของสมอง โดยกะโหลกศีรษะและโครงสร้างกระดกู [E] (ดหู วั ข้อ "การขยายขนาดสมอง")
ประเภทอาหารที่บริโภค โดยอนมุ านจากลกั ษณะของใบหน้า กรามและฟัน[13][53] และโดยการวเิ คราะห์อตั ราสว่ นของไอโซโทปในเคลือบฟัน (enamel)[54]
เคร่ืองมือหิน สงิ่ ประดษิ ฐ์ วตั ถเุ คร่ืองใช้อื่น ๆ และซากดกึ ดาบรรพ์ของสตั ว์ท่ีอย่ใู กล้ ๆ
พฒั นาการของเทคโนโลยีเทียบกบั กาลเวลา (ดหู วั ข้อ "การใช้เคร่ืองมือ")
สามารถอนมุ านถงึ อาหาร ความเป็นอยู่ วฒั นธรรม ความเฉลียวฉลาด และพฤติกรรมอย่างอื่น ๆ (ดหู วั ข้อ "การใช้เคร่ืองมือ" "เคร่ืองมือหนิ " และ "การเปล่ียนมามีพฤตกิ รรมปัจจบุ นั ")
ร่องรอยอื่น ๆ
ร่องรอยของไฟ สามารถบง่ การใช้และควบคมุ ไฟได้
รอยเท้าสามารถบง่ การเดินด้วยสองเท้าอยา่ งชดั เจน (ดหู วั ข้อ "รอยเท้าจากอดีต" และ "การเดินด้วยสองเท้า")
การหาอายุ
โดยคร่าว ๆ แล้ว การหาอายซุ ากดกึ ดาบรรพ์แบง่ ออกเป็น 3 ชว่ งระยะเวลาคือ คือ
การหาอายจุ ากคาร์บอนกมั มนั ตรังสี (radiocarbon dating) สาหรับหาอายจุ ากซากสิ่งมีชีวิตน้อยกว่า 40,000 ปี (หรือ 58,000 - 62,000[55])
วธิ ีอ่ืน ๆ รวมทงั้ การหาอายจุ ากธาตกุ มั มนั ตรังสี (radiometric dating) แบบอ่ืน ๆ สาหรับหาอายรุ ะหวา่ ง 40,000-100,000 ปี
การหาอายจุ ากโพแทสเซยี มกมั มนั ตรังสี (radiopotassium dating) สาหรับหาอายมุ ากกวา่ 100,000 ปี
โดยทวั่ ๆ ไปแล้ว การหาอายจุ ากธาตกุ มั มนั ตรังสีเป็นเทคนิคการหาอายวุ ตั ถตุ ่าง ๆ เช่นหินหรือคาร์บอน โดยเปรียบเทียบไอโซโทปกมั มนั ตรังสีที่เกิดเองใน
ธรรมชาติ กบั ผลติ ภณั ฑ์ที่เกิดจากการสลายตวั ของธาตนุ นั้ ท่ีมีอตั ราการสลายตวั ที่ชดั เจนแล้ว[56] สว่ นการหาอายจุ ากคาร์บอนกมั มนั ตรังสีนนั้ เป็นไปได้
เพราะส่งิ มีชีวติ มีการบริโภคผลติ ภณั ฑ์ของพชื ท่ีได้รับคาร์บอน-14 ผา่ นกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงและหยดุ บริโภคเมื่อหมดชีวติ ดงั นนั้ จงึ สามารถใช้
หาอายขุ องสารประกอบอนิ ทรีย์จากซากสงิ่ มีชีวติ โดยตรง[55] ส่วนการหาอายจุ ากโพแทสเซยี มกมั มนั ตรังสีนนั้ เป็นไปได้เพราะหินหลอมเหลวจากภเู ขาไฟ
(และเถ้า) มีธาตนุ ี ้ดงั นนั้ จงึ สามารถใช้ชนั้ หนิ เถ้าภเู ขาไฟท่ีอยเู่ หนือและใต้ซากในการประมาณอายซุ ากดกึ ดาบรรพ์ท่ีต้องการได้
มนษุ ย์ 6
การยา้ ยถิ่นฐานของมนุษย์
นกั มานษุ ยวิทยาในชว่ งคริสต์ทศวรรษ 1980 ไม่มีมตริ ่วมกนั เก่ียวกบั รายละเอียดการอพยพย้ายถ่ินฐานของมนษุ ย์
สกลุ โฮโม ต่อจากนนั้ ก็เริ่มมีการใช้วิธีการทางกรรมพนั ธ์เุ พื่อตรวจสอบและแก้ประเด็นปัญหาต่าง ๆ เหลา่ นี ้
การอพยพของมนษุ ย์ยคุ ต้นก็เริ่มต้นขึน้ เมื่อมนษุ ย์ H. ergaster/erectus เป็น Homo รุ่นแรกท่ีอพยพ
ออกจากแอฟริกาผา่ นช่องทางท่ีเรียกว่า "Levantine corridor" (ช่องทางเลแวนต์) โดยผา่ นเขตจะงอย
แอฟริกา ไปทางยเู รเชีย เร่ิมตงั ้ แต่ 1.8 ล้านปีก่อน[27] หลงั จากนนั ้ ก็ตามด้วย H. antecessor ไปทางยโุ รปเมื่อ
800,000 ปีก่อน แล้วตามด้วย H. heidelbergensis ซง่ึ เป็นสปีชีส์ที่น่าจะเป็นบรรพบรุ ุษของทงั้ มนษุ ย์
ปัจจบุ นั (โดยสายที่อยใู่ นแอฟริกา) และของ Neanderthal (โดยสายท่ีอย่ใู นยเู รเชีย) เม่ือ 600,000 ปีก่อน[77]
ทฤษฎีอพยพสองอย่างท่ขี ัดแย้งกัน
"ทฤษฎีกาเนิดมนุษย์ปัจจบุ ันเร็ว ๆ นีจ้ ากแอฟริกา" (Recent African origin of modern humans หรือสนั้ ๆ วา่ Recent African origin) เสนอ
วา่ มนษุ ย์ปัจจบุ นั คือ H. sapiensเกิดเป็นสปีชีส์ใหมใ่ นทวีปแอฟริกาเมื่อเพียงเร็ว ๆ นี ้(ประมาณ 300,000 ปีก่อน[G]) จากบรรพบรุ ุษในแอฟริกา ไมใ่ ช่จากพวกมนษุ ย์ที่
อพยพออกมาแล้ว และมีการอพยพของมนษุ ย์สปีชีส์นีผ้ า่ นทวีปยเู รเชียไปตงั้ ถ่ินฐานในที่ตา่ ง ๆ เป็นการทดแทนมนษุ ย์สกลุ โฮโม อื่น ๆ เกือบสิน้ เชงิ คริส สตริงเกอร์ และปีเตอร์
แอนดรูส์ ได้พฒั นาแบบจาลองทางวิทยาศาสตร์นีใ้ นปี ค.ศ. 1988[78]ซง่ึ พร้อมกบั แบบจาลองของการอพยพออกจากแอฟริกาตะวนั ออก เป็นแบบกาเนิดมนษุ ย์ท่ีหมวู่ ิทยาศาสตร์
ยอมรับมากท่ีสดุ จนถึงปี ค.ศ. 2006
โดยเปรียบเทียบกนั "สมมตฐิ านววิ ัฒนาการภายในหลายเขต" (Multiregional Evolution) เสนอว่ามนษุ ย์สกลุ โฮโม มีเพียงสปีชีส์เดียวที่มีกล่มุ ประชากรต่าง ๆ ท่ีมี
การตดิ ต่อกนั ตงั้ แตต่ ้น ไมใ่ ชม่ ีสปีชีส์ตา่ ง ๆ กนั และววิ ฒั นาการของมนษุ ย์ก็เกิดขนึ ้ ทว่ั โลกอย่างสืบเน่ืองกนั ตลอด 2-3 ล้านปีท่ีผา่ นมา นกั บรรพมานษุ ยวิทยาชาวอเมริกนั มลิ
ฟอร์ด วอลปอฟฟ์ ได้เสนอแบบจาลองนีใ้ นปี ค.ศ. 1988[82]
ทฤษฎีกาเนิดมนุษย์ปัจจบุ ันเร็ว ๆ นีม้ ีนา้ หนักกว่า
ภายในสองทศวรรษที่ผ่านมา มีการพบซากดกึ ดาบรรพ์ Homo sapiens ที่เก่าแก่ท่ีสดุ ในโลกในแอฟริกา คือ
ในปี ค.ศ. 2017 มีการค้นพบกระดกู กะโหลกศีรษะของบรรพบรุ ุษมนษุ ย์ปัจจบุ นั จากโบราณสถาน Jebel Irhoud ประเทศโมร็อกโก อายปุ ระมาณ 315,000 ปี
ในปี ค.ศ. 1997 (เผยแพร่ 2003) มีการพบกะโหลกศีรษะ 3 กะโหลกในเขต Middle Awash เอธิโอเปีย อายปุ ระมาณ 160,000 ปี
ซากดกึ ดาบรรพ์ท่ีเรียกวา่ Omo remains ขดุ ได้จากเขตใกล้กบั Middle Awash มีอายปุ ระมาณ 195,000 ปี
เหล่านีเ้ป็นหลกั ฐานสว่ นหนงึ่ ท่ีอาจแสดงว่า มนษุ ย์ปัจจบุ นั มีกาเนิดมาจากทวีปแอฟริกา นอกจากนนั้ แล้ว งานวจิ ยั โดยใช้ haplogroup ใน Y-DNA และ mtDNA ตอ่ มา
ยงั สนบั สนนุ ทฤษฎีกาเนิดมนษุ ย์ปัจจบุ นั เร็ว ๆ นีโ้ ดยมาก
ความก้าวหน้าในการหาลาดบั ดีเอน็ เอ โดยเฉพาะในดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรีย (mtDNA) และต่อจากนนั้ ในดีเอน็ เอของโครโมโซม Y (Y-DNA) ได้ช่วยสร้างความเข้าใจ
เกี่ยวกบั กาเนดิ มนษุ ย์ให้ดีขนึ ้ คือ การหาลาดบั ของทงั้ mtDNA และ Y-DNA ที่ได้ตวั อย่างมาจากคนพนื ้ เมืองในท่ีต่าง ๆ ได้แสดงข้อมลู เก่ียวกบั บรรพบรุ ุษท่ีสืบมาทงั้ จากทาง
มารดาและทางบิดา คือได้พบวา่ มนษุ ย์ปัจจบุ นั ทงั้ หมดสืบสายโดยไมข่ าดตอนมาจากหญิงคนเดียวกนั ระหวา่ ง 90,000-200,000 ปีก่อน (ผ้เู รียกว่า mitochondrial Eve)
และมาจากชายคนเดียวกนั ผ้นู ่าจะอยใู่ นแอฟริกากลาง-ตะวนั ตกเฉียงเหนือ ระหวา่ ง 180,000-338,000 ปีก่อน[ (ผ้เู รียกวา่ Y-DNA Adam)
การผสมพนั ธ์ุกนั ระหว่างมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ
อยา่ งไรก็ดี ก็ยงั มีหลกั ฐานเกี่ยวกบั การผสมพนั ธ์ุ กนั ระหว่างมนษุ ย์ปัจจบุ นั กบั สปีชีส์ตา่ ง ๆ ของกลมุ่ มนษุ ย์โบราณอีกด้วย คือ ในปี ค.ศ. 2010 การหาลาดบั ดีเอ็นเอของ
Neanderthal (Homo neanderthalensis) และของ Denisovan (Denisova hominin) พบว่า มีการผสมพนั ธ์ขุ องมนษุ ย์ปัจจบุ นั กบั มนษุ ย์สปีชีส์อื่น ๆ คือ
มนษุ ย์ปัจจบุ นั นอกทวีปแอฟริกามีอลั ลีลของ Neanderthal ประมาณ 1-4% ในจีโนม (ตอ่ มาปรับปรุงวา่ มี 1-3%) ของตน และชาวเมลานีเซยี ยงั มีอลั ลีลของ Denisovan อีก 4-
6% (ตอ่ มาปรับปรุงวา่ มี 3.5%) เทียบกบั มนษุ ย์ปัจจบุ นั อื่น คือ HLA haplotype ที่มีกาเนิดจาก Neanderthal และ Denisovan มีทงั้ ในคนยเู รเชีย และในคนโอเชียเนียใน
ปัจจบุ นั แต่ในคนแอฟริกาไมม่ ี นอกจากนนั้ แล้ว งานวิจยั อ่ืนในปี ค.ศ. 2011 และ 2012 ยงั พบด้วยอีกว่า กลมุ่ ชนแอฟริกาใต้สะฮารามีเชือ้ สายมาจากกลมุ่ มนุษย์โบราณท่ียงั ไม่รู้จกั โดย
ปัจจบุ นั สญู พนั ธ์ไุ ปหมดแล้ว
แบบจาลองมีการอพยพหลายครัง้
ถงึ กระนนั้ ทฤษฎีกาเนดิ มนษุ ย์ปัจจบุ นั เร็ว ๆ นี ้ก็ยงั มีทฤษฎียอ่ ยตา่ ง ๆ กนั อีกว่า เป็นการอพยพเพยี งครัง้
เดียว หรือหลายครัง้ แบบจาลองอพยพหลายครัง้ (multiple dispersal model) รวมเอาทฤษฎี
อพยพไปทางทิศใต้ (Southern Dispersal theory) เข้าไว้ด้วย ซง่ึ เริ่มได้รับหลกั ฐานสนบั สนนุ
ทางกรรมพนั ธ์ุ ทางภาษา และทางโบราณคดี เป็นทฤษฎีที่บอกว่า มีการอพยพของมนษุ ย์ปัจจบุ นั จากเขต
ติดทะเลคือจากจะงอยแอฟริกา (คือจากแอฟริกาตะวนั ออกเฉียงเหนือ หรือแหลมโซมาลี) ประมาณ
70,000 ปีก่อนเป็นกล่มุ แรก กล่มุ นีไ้ ปตงั้ ถิ่นฐานอยใู่ นเอเชียอาคเนย์และโอเชียเนีย ซง่ึ อธิบายโบราณสถาน
ในเขตเหล่านี ้ที่เก่าแก่ย่ิงกว่าในเขตเลแวนต์ (เขตฝั่งทะเลเมดเิ ตอร์เรเนียนทศิ ตะวนั ออก) แตห่ ลกั ฐานของ
การอพยพตงั้ ถิ่นฐานของมนษุ ย์กล่มุ แรกโดยมากน่าจะถกู ทาลายโดยระดบั นา้ ทะเลท่ีสงู ขนึ ้ หลงั จากยคุ
นา้ แข็งแตล่ ะยคุ สนิ ้ สดุ ลง เพราะเป็นการตงั้ ถ่ินฐานในเขตฝั่งทะเลท่ีถกู นา้ ทว่ มหลงั จากนา้ แข็งละลายแล้ว
ทะเลสงู ขนึ ้
มนษุ ย์ 7
ความเปล่ยี นแปลงทางกายวภิ าค
ววิ ฒั นาการของมนษุ ย์สามารถกาหนดได้โดยความเปล่ียนแปลงทางสณั ฐาน (morphological) ทางพฒั นาการ (developmental) ทางสรีรภาพ
(physiological) และทางพฤตกิ รรม ที่เกิดขนึ ้ ตงั้ แตก่ ารแยกออกจากสายพนั ธ์ขุ องลิงชิมแปนซี การปรับตวั ที่สาคญั ท่ีสดุ ก็คือการเดินด้วยสองเท้า
(bipedalism), การขยายขนาดของสมอง (encephalization), ชว่ งการพฒั นาและการเตบิ โตท่ียาวนานขนึ ้ (ทงั้ ในท้องและในวยั เดก็ ) และความ
แตกต่างระหว่างเพศ (sexual dimorphism) ที่ลดลง แต่ความสมั พนั ธ์ตอ่ กนั และกนั ของความเปล่ียนแปลงตา่ ง ๆ เหลา่ นีย้ งั เป็นเร่ืองที่ยงั ไม่มีข้อยตุ ิ
การเปลี่ยนแปลงทางสณั ฐานอ่ืน ๆ ท่ีสาคญั รวมทงั้ ววิ ฒั นาการของการจบั วตั ถไุ ด้อยา่ งแมน่ ยาและมีกาลงั ซง่ึ เกิดขนึ ้ ครัง้ แรกใน Homo ergaster/erectus
สตั ว์สองเท้ายคุ เริ่มต้นเหลา่ นีใ้ นท่ีสดุ ก็วิวฒั นาการเป็นเผา่ hominini เผ่ายอ่ ย australopithecina (องั กฤษ australopithecine ปกติรวมเอา
สกลุ Australopithecus และ Paranthropus) และหลงั จากนนั้ จงึ เป็นเผ่ายอ่ ย hominina ซงึ่ รวมเอามนษุ ย์สกลุ โฮโม เท่านนั้ มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถึงประโยชน์
ในการปรับตวั ใช้สองเท้า เป็นไปได้ว่า การเดนิ ด้วยสองเท้าได้รับการคดั เลือกโดยธรรมชาติ เพราะวา่ ทาให้มือเป็นอสิ ระในการจบั ส่ิงของและในการถืออาหาร, เป็นการประหยดั
พลงั งานในขณะเดนิ ทาง, ทาให้สามารถวงิ่ ได้และลา่ สตั ว์ได้ไกล ๆ, ทาให้เหน็ ได้ดีขนึ ้ และช่วยปอ้ งกนั การเกิดความร้อนเกินโดยลดเนือ้ ที่ผิวที่ถูกแสงอาทติ ย์ การปรับตวั ทงั้ หมดนี ้
ก็อาจเพ่ือมีสภาพที่เหมาะสมย่งิ ขนึ ้ กบั สงิ่ แวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลงไปท่ีนกั วิทยาศาสตร์มีสมมติฐานตา่ ง ๆ เป็นต้นวา่
มีป่าลดลง มีท่งุ หญ้าเพม่ิ ขนึ ้ โดยเฉพาะในแอฟริกาตะวนั ออก ทาให้จาเป็นในการเดินด้วยสองเท้า (savanna hypothesis)
มีป่าท่ีผสมกบั ทงุ่ หญ้า เปิดโอกาสให้หากินได้ทงั้ บนต้นไม้และบนพนื ้ (mosaic hypothesis)
มีส่ิงแวดล้อมและภมู ิอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทาให้จาเป็นที่จะต้องปรับตวั ให้เข้ากบั สิ่งแวดล้อมหลาย ๆ อยา่ งได้ (variability hypothesis)
โดยกายวภิ าค การเดนิ ด้วยสองเท้าต้องประกอบพร้อมกบั ความเปล่ียนแปลงในโครงสร้างกระดกู ซงึ่ ไม่ใชเ่ พยี งแค่ขาท่ียาวขนึ ้ และเชิงกรานท่ีเปล่ียนรูปร่างไปเท่านนั้ แต่กบั สว่ น
อ่ืน ๆ เชน่ กระดกู สนั หลงั เท้ากบั ข้อเท้า และกะโหลกศีรษะด้วย คือ กระดกู ต้นขาเกิดวิวฒั นาการโดยโค้งเข้ามาทางศนู ย์กลางความโน้มถ่วง เข้ามาแนวกลางด้านตงั้ ของร่างกาย
หวั ข้อเขา่ และข้อเท้าก็แข็งแกร่งยิ่งขนึ ้ เพ่ือรองรับนา้ หนกั ท่ีเพม่ิ ขนึ ้ สว่ นกระดกู สนั หลงั ก็เปล่ียนไปเป็นรูป S เพื่อที่แต่ละข้อจะรองรับนา้ หนกั มากขนึ ้ เมื่อยืน และกระดกู สนั หลงั
ระดบั เอว (lumbar vertebrae) ก็สนั้ ลงและกว้างขนึ ้ สว่ นที่เท้า หวั แม่โปง้ ก็หนั ไปทางเดียวกนั กบั นวิ ้ เท้าอื่น ๆ ที่สนั้ ลงเพอ่ื ช่วยในการเดินไปข้างหน้า กระดกู เท้าก็เพม่ิ สว่ น
โค้งในทางยาว แขนทงั้ ส่วนต้นสว่ นปลายก็สนั้ ลงเทียบกบั ขาเพอ่ื ทาให้ว่ิงสะดวกยงิ่ ขนึ ้ ชอ่ งฟอราเมน แมกนมั ซงึ่ เป็นทางออกของไขสนั หลงั ที่กะโหลกศีรษะ ก็ย้ายไปอย่ทู างด้าน
ล่างของกะโหลกเยือ้ งไปทางด้านหน้า เทียบกบั ของลิงใหญ่ท่ีเยือ้ งไปทางด้านหลงั
การปรับตัวทางกายภาพอ่ืน ๆ
มีความเปล่ียนแปลงอื่น ๆ ท่ีเป็นลกั ษณะเฉพาะของวิวฒั นาการในมนษุ ย์ รวมทงั้
โครงสร้างของมือ ข้อมือ และนวิ ้ ท่ีทาให้จบั สิง่ ของได้อยา่ งมีกาลงั ยง่ิ ขนึ ้ อยา่ งละเอียดละออย่ิงขนึ ้ อยา่ งมีอสิ ระมากขนึ ้ ซงึ่ มีการอ้างว่า เป็นการปรับตวั เพ่ือทาและใช้เคร่ืองมือ[
โครงสร้างของแขนท่ีไม่ได้ใช้รับนา้ หนกั จงึ มีกระดกู ท่ีตรงกวา่ สนั้ กวา่ มีกล้ามเนือ้ ที่มีพลงั น้อยกวา่ แต่สามารถเคล่ือนที่ไปอยา่ งมีอสิ ระกว่าและได้ในระดบั ความเร็วตา่ ง ๆ กนั
มากกวา่ [ มีทางเดนิ อาหารที่สนั้ กวา่ และเลก็ กว่า ร่างกายมีขนน้อยลง และผมมีการงอกท่ีช้าลง
การเปลี่ยนรูปของแนวฟันจากรูปค่อนข้างเหล่ียม (เหมือนอกั ษรโรมนั U) เป็นรูปโค้ง (เหมือนพาราโบลา) การยื่นออกของคางที่น้อยลง
รูปร่างของกะโหลกศีรษะอยา่ งอื่น ๆ ท่ีเปล่ียนไปเชน่ กะโหลกมีลกั ษณะท่ีกลมขนึ ้ และมีโครงจมกู ท่ีเล็กลง
การเกิดขนึ ้ ของ styloid process ของกระดกู ขมบั (เป็นกระดกู รูปร่างแหลมย่ืนออกมาจากกะโหลกศีรษะใต้หเู พียงเลก็ น้อย)
การเกิดขนึ ้ ของกล่องเสียงที่เคลื่อนตาแหน่งลงเมื่อโตขนึ ้ คือในเด็กวยั ต้น อย่ทู ่ีระดบั C1-C3 ของกระดกู สนั หลงั และจะเคล่ือนลงจากตาแหนง่ นนั้ เม่ือเจริญเติบโตขนึ ้
การเจริญเตบิ โตของส่วนต่าง ๆ ในร่างกายที่เร็วช้าและมีลาดบั ที่ไม่เหมือนกนั และระยะเวลาท่ีนานกว่าท่ีจะเติบโตเป็นผ้ใู หญ่
ความเปล่ียนแปลงทางพฤตกิ รรม
แม้ว่า จะมีความแตกต่างทางพฤติกรรมที่สาคญั หลายอยา่ งระหว่างเอปกบั มนษุ ย์ เช่นความสามารถในการใช้ภาษา แตน่ กั วชิ าการทงั้ หลายก็ยงั ไมม่ ีข้อยตุ วิ า่
จะสามารถใช้อะไรเป็นเคร่ืองแสดงความแตกตา่ งทางพฤติกรรมเหล่านีใ้ นบรรดาหลกั ฐานทางซากดกึ ดาบรรพ์ที่สามารถเห็นได้
มนษุ ย์ 8
ออกแบบส่อื ดจิ ิทลั
นาเสนอ
อาจารย์อนสุ รณ์ มาเจริญ
จดั ทาโดย
นางสาวณฐั พร ภาพนั ธ์
นางสาวสวรรณยา บญุ ชาวนา
0922884518