The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by natakornmaster, 2022-02-06 01:23:03

GrammarM

GrammarM

Grammar M.2
Submitted By
Natakorn Maimun
M.2/9 No.6

Present
Pattana Chotikanta

Preface
This report is part of the English language course. The purpose of This report is

To provide readers with basic English.
There are 11 topics related to present simple Tense Present Continuous Tense
Past Simple Tense Past Continuous Tense Present Perfect Tence Comparision

Be going to ; Should/Shouldn’t ; Must/Mustn’t Will.
Verb to be ; Verb to have ; There is /There are A/An ; some/any and
Personal and object pronouns ; Possessive ‘s ; Possessive adjective Pronouns I
Hope anyone who gest through it will find it useful and worth learning.

1. Present Simple Tense 1 -5
2. Present Continuous Tense 6-10
3. Past Simple Tense 11-15
4. Past Continuous Tense 16-21
5. Present Perfect Tense 22-24
6. Comparision 25
7. Be going to ; Should/Shouldn't ; Must/Mustn't 26-28
8. Will 29-30
9. Verb to be ; Verb to have ; There is/There are 31-33
10. A/An ; some/any 34-35
11. Personal and object pronouns ; Possessive 's 36-39

1
present simple tense

subject คอื ประธานของประโยค โดยประธานอาจจะแตกตา่ งกนั ไปเช่น เป็นคานาม (noun) เป็นคา

สรรพนาม (pronoun) หรือเป็นประธานชนิดอื่นๆ โดยประธานจะมี 2 ชนิด คือ

-ประธานเอกพจน์

-ประธานพหูพจน์

Verb คือ กริยาของประธานหรืออาการที่ประธานแสดงออกมาโดยกริยาแทจ้ ะมี3ช่องเช่น

ช่อง1 ช่อง2 ช่อง3

am was been

are were been
bent bent
bend bound bound
bind

present simple tense ใชก้ บั กริยาช่องที่1เทา่ น้นั โดยนากริยาช่องที่1 ไปเติมลงใน

โครงสร้างต่อจากประธาน โดยมีขอ้ ระวงั อยนู่ ิดเดียวคอื
-ถา้ ประธานเป็นเป็นเอกพจนก์ ริยาช่องที่1 ของ present simple tense ตอ้ งเติม -s หรือ -es
-ถา้ ประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นช่องท่ี1 ไมเ่ ติมอะไรเลย

2

เช่น

Peter works in the office.

แอน ทางานในออฟฟิ ศ

(เติม -s ที่ work เพราะประธานเป็นเอกพจน์)

Alex goes to school every day.

อเลก็ ไปโรงเรียนทกุ วนั

(Alex เป็นประธานเอกพจน์กริยาลงทา้ ยดว้ ย o เติม -es)

They go to chiangmai every Sunday

พวกเขาไปเชียงใหมท่ กุ อาทิตย์

(go ไมเ่ ติม -s , -es เพราะประธานwe เป็นพหูพจน)์

There are four seasons in the U.K.
มีสี่ฤดูในประเทศองั กฤษ

Cats are more independent than dogs.
แมวเป็นสัตวท์ ี่พ่งึ พาตวั เองไดด้ ีกวา่ สุนขั

These shops open on Sunday.
ร้านคา้ เหล่าน้ีเปิ ดวนั อาทิตย์

My exams are in December.
การสอบของฉนั อยใู่ นเดือนธนั วาคม

To start the program, first you click on the icon.
ในการเร่ิมโปรแกรม ก่อนอนื่ ให้คณุ คลิกที่ไอคอน

3
ยกเวน้ : -o เป็นสระ(a,e,I,o,u) ใหเ้ ติม -s ที่ทา้ ยกริยาเช่น
He always woos The daughter of the king.
เขามกั จะตามจีบลกู สาวพระราชาอยเู่ สมอ
หมายเหตุ : กฎการเติม -ed (เพ่ือทากริยาใหเ้ ป็นช่องท่ี2-3)ก็คลา้ ยกบั s,es ยกเวน้ กริยาจาพวก irregular verbs

หลกั การใช้ present simple tense

1. ใช้พูดถึงเหตกุ ารณ์หรือการกระทาท่ี เกดิ ขึน้ อย่ตู ลอดเวลา หรือ เกดิ ขึน้ เป็ นประจาซ้าไปซ้ามา เช่น
I drink a lot of water. (ฉันดื่มน้าเยอะ)

2.ใช้กบั การกระทาที่ ทาจนเป็ นอุปนิสัย หรือ ใช้เพื่อแสดงความถี่ของการกระทาต่างๆ โดยเรามักใช้กบั
คากริยาวเิ ศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) มาช่วยในการแสดงความถ่ีของการกระทา เช่น I
always do my homework. (ฉันทาการบ้านของฉันเสมอ)

*อย่างไรกต็ ามประโยคทมี่ ี คากริยาวเิ ศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) น้นั ไม่จาเป็ นจะต้องเป็ น
Present Simple Tense เสมอไป ท้งั นี้ขึน้ อย่กู บั ว่า ประโยคน้ันกล่าวถึง การกระทาในช่วงเวลาใด เช่น

I usually went to a museum. (Past Simple Tense)
I will always love you. (Future Simple Tense)
1. ใช้กบั เหตกุ ารณ์หรือการกระทาที่ เป็ นความจริงตลอดไป (fact) หรือ เป็ นกฎทางธรรมชาติ (natural
law) โดยไม่จาเป็ นว่าการกระทาน้นั ๆ กาลงั เกดิ ขึน้ ในขณะทพี่ ูดหรือไม่ เช่น

Snow is white. (หิมะมสี ีขาว)

1. ใช้เม่ือต้องการพูดถงึ ตารางเวลา (Schedule) หรือ แผนการ (Plan) ท่ไี ด้วางไว้ เช่น

The meeting starts from 8.30 am until 10.00 pm.
(การประชุมเริ่มตอนแปดโมงครึ่งตอนเช้าไปยงั ส่ีท่มุ )

4

1 How do I get to the nearest mall? Go straight and turn left on the next corner.
(ฉันจะไปยงั ห้างท่ีใกล้ที่สุดได้อย่างไร เดนิ ตรงไปแล้วเลยี้ วซ้ายตรงหวั มมุ ข้างหน้า

วธิ ีการสร้างประโยค Present Simple Tense

โครงสร้าง Subject + Verb1

ประโยคบอกเล่า I / You / We / They eat seafood.

He / She / It knows about you.

โครงสร้าง Subject + do/does + not + Verb1

ประโยคปฏิเสธ I / You / We / They do not eat seafood.

He / She / It does not know about you.

โครงสร้าง Do/Does + Subject + Verb1?

ประโยคคาถาม Do I / you / we / they eat seafood?

Does he / she / it know about you?

โครงสร้าง Who/What/Where/When/Why/How + do/does + Subject +Verb1?

ประโยคคาถาม Why do I / you / we / they eat seafood?
Wh- What does he / she / it know about you?

*คาปฏเิ สธรูปย่อของ do/does not คือ don’t และ doesn’t

แบบฝึกหดั 1

5

6
Present Continuous Tense

♦ หลกั การใช้ Present Continuous Tense

Present Continuous Tense (Tense ปัจจุบันกาลงั ทา)
• Present เพร๊เซินท= ปัจจุบนั
• Continuous คอนทนิ วิ อสั = ต่อเนื่อง

Present Continuous Tense มีชื่อเรียกอีกอยา่ งหน่ึงคือ Present Progressive Tense

7

♦โครงสร้าง present continuous tense
S + is, am, are + V ing

ประธาน + is, am, are + กริยาเติม ing

am eating

She, It, A cat is eating

, We, They, Cats are eating

◊ หลกั การใช้ present continuous tense
⇒ การยอ่ รูปกริยา ศึกษาเร่ือง is am are

หลกั การแปล ใหแ้ ปลรวบ is am are กบั กริยาที่เติม ing วา่ ” กาลงั ….”

1. ใช้กล่าวเหตกุ ารณ์ทก่ี าลงั เกดิ ขึน้ ขณะทพี่ ูดอยู่ หรือในระหว่างอาทิตย์น้ัน เดือนน้ันก็ได้ ซ่ึงอาจจะมคี า
เหล่านอี้ ย่ดู ้วยกไ็ ด้

⇒ now / right now ตอนน้ี
⇒ at the moment ตอนน้ี

• He is driving a car.
เขากาลังขับรถ

8

2. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ท่ีกาลังจะเกดิ ขึน้ ในอนาคต (แน่ๆ) และมกั จะมีคาท่ีบ่งบอกอนาคตกากบั อย่ดู ้วย
⇒ this evening เยน็ น้ี
⇒ tonight คนื น้ี
⇒ tomorrow พรุ่งน้ี
⇒ this weekend สุดสปั ดาห์น้ี
⇒ next week สัปดาหห์ นา้
⇒ next month เดือนหนา้
⇒ next year ปี หนา้
…..และอื่นๆ

• He‘s coming to my house for lunch this Friday.

เขากาลงั จะมาบา้ นผมเพ่อื (กิน)อาหารเท่ียงในวนั ศุกร์น้ี

• We‘re moving to New York next year.

พวกเรากาลงั จะย้ายไปนิวยอร์คปี หนา้

9

♦ Time Line เส้นเวลา

หลงั จากที่ไดอ้ า่ นหลกั การใชแ้ ลว้ ทีน้ีมาดูไทมไ์ ลน์กนั วา่ จะเป็นจริงอยา่ งที่บอกไวห้ รือไหม่ ทีบอกวา่ tense
น้ีใชบ้ อกกล่าวเหตกุ ารณ์ทก่ี าลงั เกดิ ขึน้

• สีดาคือ อดีตท่ีหมองหมน่
• สีสม้ คอื ปัจจุบนั ที่สดใส
• สีชมพู คอื อนาคตที่เรืองรองผอ่ งอาไพ
• ลกู ศรสีขาวไซร้คือเหตกุ ารณ์ (ณ ตอนน้ี)
• เสน้ ประหมายถึงระยะเวลาส้นั ๆ (สาหรับ Continuous Tense)
• เส้นประสีขาวคือช่วงระยะเวลาที่เหตกุ ารณ์เกิดข้ึนแลว้

10

ใหส้ ังเกตุที่ลกู ศรนะครับ มันคือเหตกุ ารณ์ท่กี าลงั เกดิ ขึน้ ขณะน้ัน มีตวั เดียวนะครับ นน่ั หมายความวา่ เป็น
เหตุการที่เรากาลงั พบเจออยู่ ส่วนเสน้ ประสีเหลืองน้นั หมายถึงระยะเวลาของเหตุการณ์

♦ A girl is running now. ขณะน้ีเด็กคนหน่ึงกาลงั วง่ิ

ถา้ ดูจากเสน้ เวลาแลว้ สามารถเดาไดว้ า่ ว่ิงมาพกั หน่ึงแลว้ (ประสีขาว) ตอนน้ีกาลงั ว่งิ อยู่ (ลกู ศรสีขาว) และ
น่าจะว่ิงต่ออีกสักพกั คงอยดุ แน่นอน (ประสีเหลือง)

ระยะเวลาของเหตกุ ารณ์ใน Present Continuous Tense นานแค่ไหน ตรงน้ีขอใหน้ กั เรียนทาความเขา้ ใจวา่
มนั เป็น ระยะเวลาส้ันๆของเหตกุ ารณ์ อาจจะสกั สิบนาที ยส่ี ิบนาทีหรือสามสิบนาที เพราะถา้ จะพดู ถึง
เหตุการท่ีเกิดข้ึนนานๆ ต้งั แต่เป็นชวั่ โมงข้นึ ไปเน่ีย จะใช้ perfect กบั perfect continuous แทน เพราะสอง
tense ดงั กล่าวจะมีการระบุเวลาดว้ ยวา่ ก่ีชว่ั โมง กี่วนั กี่เดือน หรือกี่ปี เป็นตน้

Continuous Tense ไม่วา่ จะเป็น Past Continuous Tense (อดีต) Present Continuous Tense (ปัจจุบนั )หรือ
Future Continuous Tense (อนาคต) กด็ ี หมายถึงเหตการณ์ที่เกิดไม่นานเทา่ ไหร่ ขอใหจ้ าตรงน้ีเอาไวน้ ะครับ
เผื่อเจอ Continuous Tense อีกสองตวั ที่เหลือจะไดเ้ ขา้ ใจง่ายข้ึน

มีนอ้ งถามสงสัยวา่ past simple and past continuous ต่างกนั ตรงไหน มนั ก็ตา่ งกนั ตรงที่ past simple
เหตุการณ์จบไปแลว้ ในอดีต ในขณะที่ past continuous เหตูการณ์กาลงั ดาเนินอยใู่ นช่วงระยะเวลาหน่ึงใน
อดีต

สรุปว่าถา้ นกั เรียนตอ้ งการสื่อเรื่องราวอะไรสกั อยา่ ง ท่ีเป็น “เหตกุ ารณ์ที่กาลังเกิดขนึ้ ณ ตอนน้นั ” ใหใ้ ชโ้ ครงสร้าง

ประธาน + is am are + กริยาช่องที่ 1 เตมิ ing (สู้ๆ)

11

Past Simple Tense

past simple tense คืออะไร
→ Past พาสท แปลว่า อดีต
→ Simple ซ๊ิมเพลิ แปลว่า ธรรมดา
→ Tense เท็นส์ แปลว่า กาล
Past Simple Tense คือ อดีตกาลธรรมดา บ้างกเ็ รียก Simple Past
โครงสร้าง past simple tense

• S + V 2 (Subject + Verb ช่อง 2)
• ประธาน + กริยาช่อง 2

Subject 12

Verb (2)

ate

I, You, He, She, It, We,they went

drank

หลกั การใช้ past simple tense
Past Simple Tense ถือวา่ งา่ ยท่ีสุดเลยเพราะการเล่าเร่ืองในอดีต ภาษาองั กฤษน้นั ประธานทุกตวั ใชก้ ริยา
ช่องสองเหมือนกนั (เวน้ was ใชก้ บั ประธานเอกพจน์, were ใชก้ บั ประธานพหูพจน์) ใหจ้ าหลกั สาคญั ของ
Tense น้ีไวว้ า่ เป็นการเล่าเรื่องราวท่ีเกิดข้ึนในอดีต และกจ็ บลงไปแลว้ ดว้ ย ไม่เกี่ยวขอ้ งกบั ปัจจุบนั

1. ใชเ้ ล่าเหตุการณ์ในอดีต ท่ีจะระบุเวลากากบั หรือรู้กนั ดีวา่ มนั เกิดในอดีตนะ
1.1 เล่าเหตกุ ารณ์ท่ีมีเวลากากบั คากากบั เวลาท่พี บบ่อย ได้แก่
♦ yesterday เยส็ เตอเด เม่ือวาน
♦ last + เวลา/ วนั / สัปดาห์/ เดือน/ฤด/ู ปี เช่น
→ last Monday ลาสท มนั เด จนั ทร์ท่ีแลว้ last Tuesday องั คารที่แลว้ ……

→ last month ลาสท มนั ธ เดือนที่แลว้

♦ วินาที / นาที/ ชั่วโมง/ วัน/ สัปดาห์/ เดือน/ ปี + ago เช่น

→ Two weeks ago สองสปั ดาหท์ ี่แลว้

→ one month ago หน่ึงเดือนที่แลว้ (เท่ากบั last month)

13
2. ใชเ้ ลา่ กิจวตั รหรือนิสยั ที่เคยทาในอดีต แตป่ ัจจุบนั น้ีไม่ใช่แลว้ โดยมีคาบง่ บอกความถ่ีกากบั ดว้ ย คลา้ ยกบั
present simple tense (หลกั การใชข้ อ้ 2)

หลกั การใช้ present simple tense
คาบ่งบอกความถี่ เช่น always, sometimes, never เป็นตน้
We sometimes watched movies at home last year.
เรา ดู หนงั ท่ี บา้ น เป็นบางคร้ัง เม่ือปี ท่ีแลว้ (ปี น้ีไปดูที่โรงหนงั อยา่ งเดียว)

3. ใชเ้ ลา่ นิทาน ส่วนใหญ่จะมีคาวา่ Long time ago หรือ Once upon a time
(นานมาแลว้ ) เช่น

• ตานานรักธดิ าสมุทร

• แจ๊คผ้ฆู ่ายักษ์

• หนูน้อยหมวกแดง

14

Time Line เส้นเวลา ใน Past Simple Tense

มาดูไทมไ์ ลน์กนั เลยครับ ที่บอกวา่ present simple tense ใช้ “บอกกล่าวเหตุการณ์ท่เี กดิ ขนึ ในอดตี ” น้นั
เป็ นเช่นไร

• สีดาคือ อดีตท่ีหมองหมน่
• สีส้มคือปัจจุบนั ท่ีสดใส
• สีชมพู คือ อนาคตที่เรืองรองผอ่ งอาไพ
• ลกู ศรสีขาวไซร้คอื เหตกุ ารณ์
• จุดสีแดงคอื เวลาในอดีต สงั เกตจุดสีแดงใหด้ ีนะครับ มนั มีแคจ่ ุดเดียว และมนั จะอยตู่ รงไหนก็ได้ ขอให้

เป็นอดีต นบั ต้งั แต่เส้ียววนิ าทีที่แลว้ เป็นตน้ ไป และไม่เกี่ยวขอ้ งกบั ปัจจุบนั แลว้ เดด็ ขาด

15

แบบฝีกหดั 1

16

Past Continuous Tense

Past Continuous Tense คือ ประโยคอดีตกาลต่อเน่ือง ที่ใชส้ ื่อสารถึงส่ิงที่กาลงั เกิดข้นึ ในอดีด สิ้นสุดลงไป
แลว้ ซ่ึงจะแตกตา่ งจาก Past Simple Tense ท่ีไมไ่ ดใ้ หค้ วามหมายถึงการที่กาลงั กระทาหรือการท่ีกาลงั เกิดข้นึ

ของสถานะหรือการกระทา

Past Continuous อาจจะไมใ่ ช่ประโยคหลกั ท่ีเราจะไดใ้ ชก้ นั เป็นประจา แตก่ จ็ ะมีใชบ้ า้ งในการเขียนเร่ืองราว
บทความหรือในภาษาพดู

Verb หรือ กริยาในประโยคท่ีใช้ past continuous tense หรือ อดีตกาลตอ่ เนื่อง มีอีกช่ือวา่ past progressive
tense มีโครงสร้างแบบน้ีนะคะ

Subject+ was/ were + V.ing

โครงสร้างดูไมย่ ากเลยใช่ไหมคะ แตท่ ่ีครูจ๊ิบเห็นบอ่ ย ๆ คือ เราอาจจะลืมเติม was, were ขา้ งหนา้ Verb ท่ีเติม
-ing หรือบางคนกล็ ืมเติม ing ที่คากริยากนั ฉะน้นั เราตอ้ งระวงั เร่ืองโครงสร้างกนั ดว้ ยนะ
เรามาเร่ิมจากหลกั การใช้ Past continuous tense กนั ก่อนดีกวา่

17
ประโยคอดตี กาลต่อเน่ือง (Past Continuous)

มีหลกั การใช้ หรือจะใชเ้ พื่อสื่อสารเหตุการณ์ ดงั ต่อไปน้ี

1. เหตกุ ารณ์ท่ีเกิดก่อนหรือหลงั อีกเหตกุ ารณ์หน่ึง (ในอดีต)

• Kevin was getting off when he realized that he lost his passport.
• Those boys were celebrating after their team had their first goal.

2. เหตกุ ารณ์ท่ีเกิดก่อนหรือหลงั เวลาที่เฉพาะเจาะจง (ในอดีต)

• I was speaking Chinese when I received your call.
• Doctor Watson was partying with this family after New Year’s Day.

3. เหตกุ ารณ์ท่ีเกิดข้ึนซ้ามาสกั พกั แลว้ (ในอดีต)

• I was always losing my money.
• Hannah was missing her bus again.

4. เหตกุ ารณ์ที่เกิดข้ึนซ้าบอ่ ยๆ (ในอดีต)

• The government was raising the taxes to cover the loss.
• The storm was hitting a small town.

5. ใชบ้ อกเหตกุ ารณ์ท่ีมีการเปลี่ยนแปลง (ในอดีต)

• Sherlock Holmes was looking for a new house to live in.
• She was growing up so fast when she was a teen.

เพราะฉะน้นั ก่อนท่ีเราจะเลือกใช้ Past continuous tense อยา่ ลืมกลบั มาดูถึงหลกั การใชว้ า่ ประโยคที่เรา
ตอ้ งการจะสื่อสารตรงกบั หลกั การขอ้ ใดขอ้ หน่ึงหรือไม่ดว้ ยนะคะ

18
วิธีการสร้างประโยค Past continuous tense
was/ were ใชก้ บั ประธานที่ต่างกนั ออกไป

ประโยคบอกเลา่

was ใชก้ บั ประธานท่ีมี 1 เดียว เช่น I หรือช่ือคนๆ เดียว เช่น Miranda, Jose, Lilly เป็นตน้

were ใชก้ บั ประธานที่มีมากกวา่ 1 เช่น classmates, security guards และสรรพนาม we, you, they

เมื่อเราเลือก was/ were ไดถ้ ูกตอ้ งแลว้ เราตอ้ งใส่-ing ท่ีคากริยาต่อ เช่น

• They were driving fast when the accident happened.
• Brenda was cleaning her house when a bird tapped on her window.
• The mailman fell when he was approaching our door.

ประโยคปฏิเสธ

ครูจ๊ิบจะอธิบายวธิ ีการสร้างประโยคใน Past continuous tense ที่จาง่าย ๆ แบบน้ีนะคะ เราสามารถเติมคาวา่
not หลงั was/were ไดเ้ ลย โดยท่ีเราไมต่ อ้ งใชค้ าอ่ืนเขา้ มาช่วยในการทาประโยคปฏิเสธที่กริยา เป็น was/
were

Subject+ was/ were + not + V.ing

เราลองมาดูตวั อยา่ งประโยคกนั นะ

• Jessica was not performing when I visited her.
• The President was not listening to the speech when he was on stage.
• North Korea was not signing the deal with its counterpart after the conflict in April.

ข้อสังเกต

รูปยอ่ ของ was not/ were not สามารถใชไ้ ดใ้ นภาษาพูด หรือภาษาที่ไม่เป็นทางการนะคะ

was not= wasn’t / were not = weren’t

19
ประโยคคาถาม
ในการทาประโยคคาถามใน was/were เราจะตอ้ งสลบั ตาแหน่งของประธานกบั กริยา was/were เช่น
Was/ Were + subject+ V.ing ?
Wh-question + was/ were + subject+ V.ing?
อยา่ ลืมสลบั เอา was/ were มาไวก้ ่อนหนา้ ประธาน

1. กริยาที่เปลยี่ นเป็ น V.ing ไม่ได้ = stative verb หรือคากริยาบอกสภาพ มีคาว่า
dislike ไม่ชอบ know รู้ like ชอบ believe เช่ือ
prefer ชอบมากกวา่ hate เกลียด love รัก remember จาได้
recognise จาได้ wash หวงั want ตอ้ งการ understand เขา้ ใจ
suppose สมมติ think (ในกรณีที่แปลวา่ เช่ือ) realize นึกข้ึนได้
appear ปรากฏ seem ดูเหมือน sound ฟังดู
taste มีรสชาติ smell มีกล่ิน ดม look ดูเหมือน feel รู้สึก
possess เป็นเจา้ ของ belong เป็นของ be เป็น อยู่ คือ agree ตกลง
owe เป็นหน้ี own เป็นเจา้ ของ need ตอ้ งการ disagree ไม่เห็นดว้ ย

2. ถ้าคากริยาท่ีเราจะเติม -ing ลงท้ายด้วย e ต้องตัด e ก่อนเติม -ing
make – making create – creating
bake – baking type – typing
shake – shaking smile – smiling

20
come – coming dine – dining
แต่กฎนกี้ ย็ งั มีข้อยกเว้น เพราะบางคา เช่น free, dye, tiptoe ไม่ตอ้ งตดั e เราเติม -ing ไดเ้ ลย
free – freeing
dye – dyeing
tiptoe – tiptoeing
flee – fleeing

3. บางคาเราจะต้องเตมิ ตวั อกั ษรตวั ท้ายอกี คร้ัง ถ้าคากริยาน้ันมพี ยญั ชนะ สระ และตวั สะกดอย่างละ 1
ตวั (แต่ไม่ทุกคานะ)

เช่น run – running sit – sitting
ship – shipping (sh = 1) plan – planning
stop – stopping rub – rubbing
wrap – wrapping beg – begging

21
แบบฝึ กหดั

22

Present Perfect Tense

Present Perfect ใช้เม่ือไหร่ดี?

1. ใช้เล่าถงึ เหตกุ ารณ์ทเี่ กดิ ขึน้ ในอดีต และดาเนนิ ต่อเนื่องมาจนถงึ ถงึ ปัจจบุ นั มกั ใชก้ บั คาเหลา่ น้ี
since ต้งั แต่ (+ จุดเริ่มตน้ ของเวลา เช่น 2021, January, Tuesday)
for เป็นเวลา (+ ระยะเวลา เช่น 2 months, 5 days, 1 year)
ever since ต้งั แต่น้นั เป็นตน้ มา
so far จนกระทงั่ ตอนน้ี
up to now จนกระทง่ั ตอนน้ี
up to the present จนถึงปัจจุบนั

เช่น

I have lived in Bangkok since 1991.
ฉนั อาศยั อยใู่ นกรุงเทพฯ ต้งั แตป่ ี 1991
2. ใช้บอกว่าเคยหรือไม่เคยทา ต้งั แต่อดีตจนถงึ ปัจจุบัน มกั ใชก้ บั คาเหล่าน้ี
never ไมเ่ คย
ever เคย
once คร้ังหน่ึง
twice สองคร้ัง

เช่น
A: Have you ever been to Tokyo?
คณุ เคยไปโตเกียวไหม
B: No, I haven’t been to Tokyo.
ไมน่ ะ ฉนั ไม่เคยไปโตเกียว

I have never been to Thailand.
ฉนั ไม่เคยไปเมืองไทย

23

3. ใช้กบั เหตุการณ์ท่เี พง่ิ จบลงใหม่ๆ มกั ใชก้ บั คาเหลา่ น้ี
already เพิ่งจะ
recently เมื่อไม่นานมาน้ี
just เรียบร้อยแลว้
yet ยงั (มกั ใชใ้ นประโยคคาถามและปฏิเสธ)

เช่น
I have just come back to Japan.

ฉนั เพ่ิงกลบั มาจากญ่ีป่ นุ
4. ใช้กบั เหตุการณ์ทจ่ี บไปแล้ว แต่ผ้พู ดู ยงั คงรู้สึกถึงผลของเหตกุ ารณ์น้นั อยู่

เช่น
He has finished that work.
เขาทางานน้นั เสร็จแลว้ (เพ่งิ ทาเสร็จ ยงั ไมไ่ ดส้ ่ง)

We have just cleaned our classroom.
(เพ่ิงทาเสร็จใหมๆ่ หอ้ งยงั สะอาดก้ิงอยเู่ ลย)
5. ใช้กบั เหตุการณ์ท่ีกาลงั เกดิ ขึน้ และอาจเกดิ ขึน้ ต่อเน่ือง มกั ใชก้ บั คากากบั เวลาเหลา่ น้ี
today วนั น้ี
this week อาทิตยน์ ้ี
this month เดือนน้ี
this year ปี น้ี

24
แบบฝึ กหดั

25

Comparision

เป็นการเปรียบเทียบใหเ้ ห็นความมากกวา่ หรือนอ้ ยกวา่ ของ 2 ส่ิง ไมว่ า่ จะเป็นในแงใ่ ดก็ตาม โดยมีโครงสร้าง
ประโยคแบบงา่ ยๆ ในการเปรียบเทียบแบบมากกวา่ คอื
S + V. to be + Comparative adj. + than + O

เช่น The elephant is bigger than the cow. (ชา้ งตวั ใหญ่กวา่ ววั )

26
Be going to ; Should/Shouldn’t ; Must/Mustn’t

Modal Verbs คืออะไร?
Modal Verbs คือ กริยาช่วย ท่ีมีความพเิ ศษตรงน้ีมีความหมายในตวั มนั เอง (ปกติกริยาช่วยมีหนา้ ท่ีทาให้
ประโยคสมบูรณ์แต่ไมม่ ีความหมาย)

Modal Verbs ท่ีตอ้ งรู้
1. Can/Could = สามารถ
2. Will/Would = จะ
3. Shall/Should = ควรจะ
4. May/Might = อาจจะ
5. Must = ตอ้ ง
6. Ought to = ควรจะ

Modal Verbs ตา่ งจาก verb ปกติอยา่ งไร?
1. Modal Verbs ไมต่ อ้ งเติม s ไม่วา่ ประธานจะเป็นตวั ไหน

Ex 1. I will visit Japan next year.
Ex 2. She can speak Italian.
2. สามารถทาเป็นประโยคปฏิเสธหรือประโยคคาถามไดเ้ ลยโดยไมต่ อ้ งใชก้ ริยาช่วยตวั อื่น เช่น do, does
Ex 1. Students can’t enter this room.
Ex 2. Can you pass me the sugar?
3. หลงั Modal Verbs ตอ้ งตามดว้ ย infinitive verbs (verb รูปธรรมดาท่ีไมเ่ ติม -ing, -ed, to, s หรือ es)
Ex 1. I should arrive by lunch time.

27
คราวน้ีมาดูหลกั การใช้ Modal Verbs แต่ละตวั กนั เลย

Can/Could
รูปปฏิเสธของ Can คือ Can not (Can’t)
รูปปฏิเสธของ Could คือ Could not (Couldn’t)

Will/Would
รูปปฏเิ สธของ Will คือ Will not (Won’t)
รูปปฏิเสธของ Would คือ Would not (Wouldn’t)

Shall/Should
รูปปฏเิ สธของ Shall คือ Shall not (Shan’t)
รูปปฏเิ สธของ Should คือ Should not (Shouldn’t)

May/Might
May และ Might แปลวา่ อาจจะ สามารถใชแ้ ทนกนั ได้ แต่ Might จะส่ือวา่ มีโอกาสเกิดข้ึนไดน้ อ้ ยกวา่

รูปปฏิเสธของ May คือ May not
รูปปฏิเสธของ Might คือ Might not (Mightn’t)

28
Must
- แปลวา่ ตอ้ ง ใชพ้ ดู ถึงส่ิงที่ตอ้ งทา สิ่งจาเป็นที่ขาดไมไ่ ด้
Ex 1. I must finish my work. (ฉนั ตอ้ งทางานใหเ้ สร็จ)
Ex 2. Plants must have light and water to grow. (พชื ตอ้ งมีแสงและน้าเพื่อการเจริญเติบโต)
Ex 3. The show must go on. (ชีวิตตอ้ งดาเนินต่อไป)

- เม่ือเป็นรูปปฏิเสธ Must not (Mustn’t) จะหมายถึง ขอ้ หา้ ม, ไม่อนุญาตใหท้ า
Ex. You mustn’t drink that. (คณุ หา้ มด่ืมสิ่งน้นั นะ)

Ought to
Ought to แปลวา่ ควรจะ เป็นคาท่ีคนสมยั ก่อนใชก้ นั ปัจจุบนั น้ีไมค่ ่อยใชก้ นั แลว้ จะใช้ Should มากกวา่

Ex. We ought to help the poor. = We should help the poor. (เราควรจะช่วยเหลือคนจน)

29

Will

พอพูดถึง will เรามกั จะคิดถึงเหตุการณ์ท่ีเป็นอนาคต และกค็ วามหมายมนั แ็ ปลวา่ "จะ" ช้นั จะทาโน่น ทานี่
จะไปที่นน่ั ที่นี่ แตร่ ู้หรือไม่? เราตอ้ งแยกประเด็นวา่ ภายใตค้ าวา่ "จะ" น้นั มนั เป็นเหตกุ ารณ์ที่เราไดว้ างแผน
เอาไวแ้ ลว้ หรือมนั เป็นเหตกุ ารณ์ที่เราคดิ แบบปัจจุบนั ทนั ด่วน ไมไ่ ดเ้ ตรียมตวั เตรียมใจไวล้ ่วงหนา้ เพราะ
เราจะใช้ will ในกรณีท่ีเราคิดตดั สินใจเด๋ียวน้นั เลย ไม่มีการวางแผนอะไรท้งั น้นั ซ่ึงถา้ เป็นเหตกุ ารณ์ที่ต้งั ใจ

หรือมีการวางแผนเอาไวแ้ ลว้ เรามกั จะใช้ to be going to

1. ตัดสินใจแบบทนั ทีทนั ใด
ตามหลกั แลว้ เราจะไมใ่ ช้ will กบั สิ่งท่ีเตรียมการไวแ้ ลว้ เช่น
เราแพลนจะไปเที่ยวหวั หิน จองที่พกั ลว่ งหนา้ เรียบร้อย เรากจ็ ะไมใ่ ชว้ า่ I will go to

Hua Hin next week.
ฉนั กาลงั จะไปหวั หินอาทิตยห์ นา้ เพราะเราวางแผนไวล้ ว่ งหนา้ แลว้ นนั่ เอง (ท่ี

ถกู ตอ้ งคือ I'm going to Hua Hin next week.)
แลว้ will ใชจ้ ะกเ็ มื่อเพื่อนชวนไปเที่ยวหวั หิน แลว้ เราตดั สินใจเด๋ียวน้นั เลยวา่ I'll

go! ฉนั จะไป! คือเป็นการตดั สินใจแบบทนั ทีทนั ใดนนั่ เอง
2. 2. ทานาย

เราใช้ will เมื่อจะ 'ทานาย' หรือ 'ทาย' อะไรบางอยา่ ง เช่น I think Som will arrive
in Paris at 6 pm. ฉนั คิดวา่ สม้ น่าจะถึงปารีสตอน 6 โมงเยน็

หรือ It will rain tomorrow. พรุ่งน้ีฝนน่าจะตกนะ คือเป็นการทานายวา่ ส่ิงน้นั น่าจะ
เกิดข้ึน

3. ให้สัญญา

เวลาที่เราสัญญากบั ใครวา่ จะทาอะไร ใหใ้ ช้ will เสมอ ยกตวั อยา่ งงา่ ยๆ ก่็เช่น วลี
ติดหูในภาพยนตร์เร่ือง The Terminator หรือ คนเหลก็ ท่ีวา่ I'll be back. ฉนั จะกลบั มา

4. เสนอตัวทาบางสิ่ง

เช่น That bag looks heavy. I will help you with it. กระเป๋ านน่ั ดูหนกั นะ ฉนั ช่วย
เธอถือดีกวา่ ถา้ เสนอตวั ช่วยเหลือแบบน้ี ใหใ้ ช้ I will help ไมใ่ ช่ I help

30
5.ใช้เพื่อขอร้อง (เป็ นประโยคคาถาม แต่ไม่ใช่คาถาม)

Will you open the door, please. ช่วยเปิ ดหนา้ ต่างใหห้ น่อย
Will you sit here, please. ช่วยนง่ั ตรงน้ีดว้ ยครับ แต่โดยมากนิยมใชค้ า
วา่ Would, Could แทน will เพราะสุภาพกวา่

31
Verb to be : verb to have : There is / There are

Verb to have หน่งึ ในกริยาพื้นฐานสาคัญในภาษาองั กฤษ ท่เี ราจะได้เจอบ่อย ๆ แต่กย็ ังคงมีความสับสนและ
ใช้งานผดิ เพราะมหี ลายความหมายทาได้หลายหน้าที่ ดงั น้นั มาตซี ี้กบั Verb to have กนั เถอะ

รูปของ Verb to have

Subject/Tenses Present Tenses Past Tenses Continuo
hav
I/You/We/They have had
และประธานพหูพจนอ์ ื่น ๆ
has had hav
He/She/it
และประธานเอกพจนอ์ ื่น ๆ

1. Verb to have ทาหน้าทเ่ี ป็ นกริยาหลกั (Main Verbs)

Verb to have เมื่อทาหนา้ ที่เป็นกริยาหลกั จะมีความหมายว่า “มี” และ “กิน”
Has ใชก้ บั He/She/it และประธานเอกพจน์อื่น ๆ
Have ใชก้ บั I/You/We/They และประธานพหูพจนอ์ ื่น ๆ
Had เป็นรูปอดีตของ Have/Has ใชไ้ ดก้ บั ประธานทกุ ตวั

Ex.1 : I have a new job. (ฉนั มีงานใหม่)
Ex. 2 : The dog has a black tail. (หมามีหางสีดา)
Ex.3 : Tom had a big house. (ทอมเคยมีบา้ นหลงั ใหญ)่
Ex. 4 : Mom and I have dinner at 7.00 pm. (แม่และฉนั กินม้ือเยน็ ตอนหน่ึงทุ่ม)

32

2. Verb to have ทาหน้าทีเ่ ป็ นกริยาช่วย (Auxiliary Verbs)

2.1. เป็ นกริยาช่วยใน Perfect Tense

โครงสร้างประโยค Present Perfect Tense : Subject + have/has/had + V.3…
โครงสร้างประโยค Past Perfect Tense : Subject + had + V.3…
โครงสร้างประโยค Future Perfect Tense : Subject + will have + V.3…

Ex. 1 : I have worked hard this week. (สปั ดาหน์ ้ีฉันทางานหนกั )
Ex. 2 : She has been a teacher for over 20 years. (เธอเป็นครูมากวา่ 20 ปี )
Ex. 3 : Tom had read the book before he watched a film. (ทอมอา่ นหนงั สือก่อนท่ีเขา
ดูหนงั )
Ex. 4 : We will have gone when you arrive. (พวกเราคงจะไปแลว้ เม่ือคณุ มาถึง)

2.2. ใช้ have/has/had to ในความหมายว่า ต้อง

โครงสร้างประโยค : Subject + have/has/had to + V.1….

Ex. 1 : Nida has to do it by herself. (นิดาตอ้ งทามนั ดว้ ยตวั เอง)
Ex. 2 : I have to get up early. (ฉนั ตอ้ งตื่นแต่เชา้ )

2.3. ใช้ในประโยคท่แี สดงถึงการกระทาที่ไม่ได้กระทาด้วยตวั เอง (Causative form) มี 2 ประเภท คือ

1. Have someone do something ใหใ้ ครเป็นคนทาบางอยา่ งใหผ้ พู้ ดู
โครงสร้างประโยค : Subject + have/has/had + ผกู้ ระทา + V.1

Ex. 1 : I have my son wash my car. (ฉันใหล้ ูกชายลา้ งรถของฉนั )
Ex. 2 : Tom has his wife cook every day. (ทอมใหภ้ รรยาของเขาทาอาหารทกุ วนั )
Ex. 3 : They will have the painter paint their house. (พวกเขาจะใหช้ ่างทาสีมาทาสี
บา้ นของพวกเขา)

2.4. สานวนทใ่ี ช้ Verb to have ตามด้วย a + verb จะทาใหก้ ริยาน้นั กลายเป็นคานาม และแปล
ความหมายตามคากริยาท่ีตามหลงั

Ex. 1 : I want to have a rest. (ฉนั ตอ้ งการพกั ผอ่ น)
Ex. 2 : He has a walk along the streets to kill time. (เขาเดินไปตามทอ้ งถนนเพอ่ื ฆ่าเวลา)

33

34
some/any
Some
Some มีความหมายวา่ นิดหน่อย / บาง / บา้ ง แตไ่ มม่ ีการระบุจานวนท่ีแน่ชดั โดยมากมกั ใชก้ บั ประโยคบอก
เล่าและอาจพบในประโยคคาถาม ซ่ึงมีรูปแบบการใชด้ งั ต่อไปน้ี

1. การใช้ Some ในประโยคบอกเล่า สามารถใชน้ าหนา้ คานามพหูพจนท์ ้งั ท่ีนบั ไดแ้ ละนบั ไม่ได้

2. การใช้ Some ในประโยคคาถามในเชิงขอร้อง ออ้ นวอน หรือยืน่ ขอ้ เสนอ เม่ือผถู้ ามมน่ั ใจอยแู่ ลว้ วา่ ผตู้ อบ
จะตอ้ งตอบวา่ 'Yes'

Any
Any มีความหมายวา่ บาง / บา้ ง แต่ไม่มีการระบจุ านวนที่แน่ชดั โดยมีความหมายเช่นเดียวกบั Some แต่ Any
จะใชก้ บั ประโยคคาถามและปฏิเสธ ซ่ึงมีรูปแบบการใชด้ งั ต่อไปน้ี

1. การใช้ Any ในประโยคคาถาม สามารถใชน้ าหนา้ คานามพหูพจนท์ ้งั ที่นบั ไดแ้ ละนบั ไมไ่ ด้

2. การใช้ Anyในประโยคปฏิเสธ โดยจะมีความหมายวา่ เลย เพ่อื เป็นการเนน้ ความชดั เจนของการปฏิเสธ
ตวั อยา่ งการใชเ้ ช่น

3. การใช้ Any ในประโยคบอกเล่า เป็นการใชใ้ นกรณีพิเศษกบั ประโยคที่มีความหมายวา่ อะไรก็ได,้ ยงั ไงก็
ได,้ ใครก็ได้ ตวั อยา่ งการใชเ้ ช่น

35

36

Personal and object pronouns ; Possessive 's

สรรพนามบุรุษที่ 1 Personal Pronoun Object Pronoun
สรรพนามบุรุษท่ี 2 Subject Pronoun (สรรพนามรูปกรรม)

สรรพนามบุรุษที่ 3 (สรรพนามรูปประธาน) me
us
I
We you

You him
her
He it
She them
It
They

หนา้ ท่ีและการใชง้ าน Personal Pronoun
Subject Pronoun (สรรพนามรูปประธาน) ทาหนา้ ที่เป็นประธาน ไดแ้ ก่ I, you, we, he, she, it, they

37

Possessive Form

Possessive Form สรรพนามท่ีแสดงความเป็นเจา้ ของ แบง่ เป็น 2 รูปแบบ คือ

Possessive Form

Possessive Adjective Possessive Pronoun

my mine

your yours

our ours

their theirs

his his

her hers

its its *ไม่คอ่ ยใช้

Reflexive Pronouns (สรรพนามตนเอง)

Reflexive Pronouns (สรรพนามตนเอง) คือ สรรพนามที่อา้ งถึงตวั ของประธานของประโยคเอง และถูก
นามาใชเ้ ป็นกรรมของประโยคเพ่อื เนน้ วา่ ตวั ประธานน้นั ทากริยาบางอยา่ งต่อตวั เอง (Direct Object) หรือทา
กริยาหรือกิจกรรมบางอยา่ งน้นั ใหต้ วั เอง (Indirect Object) ไดแ้ ก่ myself, yourself, himself, herself,
yourselves, ourselves. themselves, itself จะใชร้ ูป -self หรือ -selves ข้นึ อยกู่ บั วา่ ประธานเป็นรูปเอกพจน์
(Single Subject) หรือวา่ พหูพจน์ (Plural Subject)

38

Definite Pronoun (สรรพนามชีเ้ ฉพาะเจาะจง)
Definite Pronouns หรือ Demonstrative Pronouns คอื สรรพนามที่บง่ ช้ีชดั เจนวา่ ใชแ้ ทนส่ิงใด เช่น this, that,
these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter

Indefinite Pronoun (สรรพนามไม่เจาะจง)
Indefinite Pronoun (สรรพนามไมเ่ จาะจง) คาสรรพนามท่ีไม่ช้ีเฉพาะเจาะจงวา่ เป็ นคนใด สิ่งใด หรือที่ใด
โดยสรรพนามประเภทน้ีส่วนมากนบั เป็นเอกพจน์ (singular) แต่กม็ ีบางคาเป็นพหูพจน์ (plural) ดว้ ย เช่น
one, all, some, any, somebody, something, someone, many, both

Relative pronoun (สรรพนามเช่ือมความ)
Relative pronoun (สรรพนามเช่ือมความ) สรรพนามท่ีใชแ้ ทนคานามในประโยคหนา้ และความประโยคหลงั
ใหม้ ีความหมายไปทางเดียวกนั ไดแ้ ก่ Who, Whom, Whose, Which, That

Interrogative Pronoun (สรรพนามคาถาม)
Interrogative Pronoun (สรรพนามคาถาม) ใชใ้ นการต้งั คาถาม เช่น Who, Which, What
ex. What is your name? (คุณช่ืออะไร)
ex. Which movie do you want to watch? (หนงั เรื่องไหนที่คณุ อยากดู)

39


Click to View FlipBook Version