The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โรคหัวเหลืองในกุ้ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by hathairat.se, 2024-03-21 11:57:40

โรคหัวเหลืองในกุ้ง

โรคหัวเหลืองในกุ้ง

โรคไวรัส รั หัว หั เหลือ ลื ง Yellow head Virus Disease


คำ นำ ไวรัสหัวเหลือง ( Yellow Head Virus, YHV ) มีรายงานการระบาดครั้งแรกในฟาร์มเลี้ยงกุ้ง กุลาดำ ในประเทศไทย ( ซลอ,2534 ) และต่อมาได้มีการแพร่กระจายในแหล่งเลี้ยงกุ้งที่เพาะเลี้ยง ในทวีปเอเชีย ( Mohan et.al., 1998 ; Walker et.al., 2001 ) สาเหตุของโรคหัวเหลืองเกิดจากไวรัส RNA สายเดี่ยว ( SsDNA) ( Wongteerasupaya etal.1995 ) จัดอยู่ในสกุล Okavirus ครอบครัว Roniviridae อันดับ Nidovirales ( Cowby et.al, 1999; Mayo, 2002 ) เป็นไวรัสที่มีผนังหุ้ม (enveloped virus ) รูปร่างเป็นท่อน ( bacilifiorm ) มีความยาว 150 - 200 นาโนเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาค 40 - 50 นาโนเมตร พบอยู่ในไซโตพลาสซึมของเซลล์ที่ติดเชื้อและช่องว่างระหว่างเซลล์ ( Nadala et.al., 1997 ) การใช้เทคนิคทางพยาธิวิทยาสามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัย YHV โดยเฉพาะในเหงือก และต่อมน้ำ เหลือง (lymphoid organ) จะมีความเด่นชัดมากโดยกุ้งที่ใกล้ตายพบว่าเซลล์ที่มีต้น กำ เนิดมาจากชั้น ectoderm และ mesoderm จะมีการตายมาก จะเกิด cytoplasmic inclusion ติดสีน้ำ เงิน จากการย้อมด้วยสีฮีมาท๊อกไซลินและอีโอซิน (H&E) เมื่อดูดเลือดกุ้งมาทำ blood smear ก็จะพบการตายของเซลล์เม็ดเลือดในระยะต่างๆ เช่น การเกิด pyknosis และ karyorrhexis ของนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือด ( Nash et.al, 1995 )


สารบัญ บั


บทนำ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนถึงปี พ.ศ. 2551 โรคที่ทำ ความเสียหายแก่เกษตรกรที่เลี้ยงกุ้งขาวแวนนา ไมมากที่สุดในพื้นที่ภาคกลาง คือ โรคหัวเหลือง แม้ว่าเกษตรกรจะมีการใช้คลอรีนผงหรือสารเคมีฆ่า พาหะจำ พวกกุ้งและปูก่อนปล่อยลูกกุ้ง รวมทั้งมีการล้อมรั้วป้องกันปูและขึงเชือกป้องกันนกแล้ว ก็ตาม ฟาร์มส่วนใหญ่ยังคงประสบปัญหาการเกิดโรคหัวเหลืองจนถึงขั้นต้องหยุดการเลี้ยงกุ้งหรือ เปลี่ยนไปเลี้ยงสัตว์น้ำ ชนิดอื่นแทนในเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ เกษตรกรจะทราบถึงลักษณะทั่วไปของ โรคหัวเหลืองที่พบในการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม รวมทั้งวิธีการวินิจฉัยโรค สาเหตุการแพรร่ระบาด ของโรค และแนวทางการป้องกันโรคชนิดนี้ โรคหัวเหลืองเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัหัวเหลือง (YHV) มีผลต่อการเพาะเลี้ยงกุ้งที่เป็นการค้าไม่ เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ยังรามไปถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใด้ ฮาวาย และประเทศแถบตะวันตก (Lu et J, 1994 , 1995) โรคหัวเหลืองในกุ้งกุลาดำ มีรายงานดรั้งแรกบริเวณภาคตะวันออกและภา ดกลางของประเทศ เมื่อปี 2533 ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธุรกิจการเลี้ยงกุ้งเป็นอย่างมาก การ ระบาดของโรดหัวเหลืองบริเวณภาดได้ของประเทศพบครั้งแรกจากบ่อเลี้ยงกุ้งที่อำ เภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในช่วงต้นปี 2535 หลังจากนั้นในราวปลายเดือนเมษายนถึงตันเดือน พฤษภาคม โรคหัวเหลืองได้แพร่ระบาดในฟาร์มเลี้ยงกุ้งบริเวณรอบทะเลสาบสงขลาและแพร่เข้าสู่ จังหวัดปัตตานีในราวกลางเดือนมิถุนายน สิทธิ บุณยรัตผลิน และคณะ. 2535)


สาเหตุแ ตุ ละปัจ ปั จัย จั ที่ทำ ที่ ทำให้เ ห้ กิดกิโรค สาเหตุของโรค : เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ(SS RNA) รูปร่างเป็นแท่งมีผนังทุ้ม เพิ่ม จำ นวนอนุภาคใน cytoplasm ขนาด 4426x173713 นาโนเมตร. จึโนมประมาณ 22 kb พบ ในกุ้งสกุล Penaeid หลายชนิด เช่น กุ้งกุลาดำ (P. monodon) กุ้งขาว (P. Vannamei), P. japonicus, P. setiferus, P. aztecus, P. duorarum, P.stylirostris 1. ลูกพันธุ์กุ้ง คือกุ้งที่เพิ่งปล่อยลงเลี้ยงเชื้ออาจจะติดมากับลูกกุ้ง 2.น้ำ ที่ใช้เลี้ยง การนำ น้ำ ภายนอกเข้าบ่อ การใช้น้ำ จากแหล่งน้ำ ร่วมกับฟาร์มอื่นๆ 3.สัตว์พาหะ มีพาหะในพื้นที่น้ำ จืดที่นำ เชื้อได้ เช่น ปู กุ้งนา กุ้งก้ามกราม และรวมไปถึงนกที่กิน กุ้ง 4. ความหนาแน่น การเลี้ยงกุ้งในอัตราหนาแน่นสูงมากเกินไป มีส่วนทำ ให้ความรุนแรงของโรค มากขึ้น และยิ่งเป็นการเลี้ยงในพื้นที่น้ำ จืดหรือความเค็มต่ำ จะทำ ให้กุ้งอ่อนแอติดเชื้อได้ง่าย 5.ความแข็งแรง การเปลี่ยนแปลงของค่าคุณภาพน้ำ และคุณสมบัติของน้ำ อย่างกระทันหันทำ ให้ กุ้งเครียด


ลัก ลั ษณะและอาการโรคหัว หั เหลือ ลื ง ลักษณะภายนอกของกุ้งที่ป่วยมีลำ ตัวซีด ส่วนหัวหรือบริเวณตับและตับอ่อน (hepatopancreas) ของกุ้งบางส่วนจะมีสีซีดเหลืองแต่กุ้งที่ป่วยบางส่วนยังคงมีสีของตับและตับอ่อนปกติ คือ สีน้ำ ตาล แต่ เมื่อมีกุ้งตายเพิ่มมากขึ้นจะพบว่ากุ้งที่ป่วยจะมีตับและตับอ่อนมีสีเหลืองมากขึ้น มักจะพบกุ้งป่วยเป็น โรคหัวเหลืองอายุประมาณ 40-60 วัน จะเริ่มพบกุ้งป่วยตายตามบริเวณขอบบ่อ อัตราการตายของกุ้ง จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วัน และในเวลาต่อมาจะเริ่มมีการระบาดไปยังบ่อข้างเคียง เกษตรกรมักจะตัดสินใจจับกุ้ง การติดต่อ : ติดต่อผ่านทางน้ำ อาหาร สัมผัสโดยตรงกับเชื้อ ไวรัส และพาหะนำ เชื้อ เช่น กุ้ง ปู นก เป็นตัน


การวินิวิจนิฉัย ฉัโรคหัว หั เหลือ ลื ง ปัจจุบันนี้มีชุดตรวจโรคไวรัสหัวเหลืองสำ เร็จรูปที่นักวิชาการหรือเกษตรกรที่ปฏิบัติงานภายใน ฟาร์มสามารถตรวจได้เอง โดยมีขั้นตอนที่ไม่ยั่งยากมากและให้ผลการวินัจฉัยอยู่ในระดับที่ดี เพื่อ ใช้ในการตัดสินใจของเกษตรกรว่าจะต้องมีการจัดการอย่างไรต่อไป โดยไม่ต้องรอผลการตรวจ จากเทคนิคปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรสหรือพีซีอาร์ ที่ต้องส่งตัวอย่างกุ้งไปตรวจจากหน่วยงานที่มี ความชำ นาญในการวินิจฉัยโรคนี้ ซึ่งนอกจากจะใช้เวลานานแล้วยังมีค่าใช้จ่ายสูงด้วย สำ หรับชุดตรวจไวรัสหัวเหลือง ปัจจุบันนี้เหมาะสมแก่เกษตรกรหรือนักวิซาการเพื่อใช้ภายใน ฟาร์ม เพราะสามารถอ่านผลได้ภายในเวลา 5-15 นาที ซึ่งชุดตรวจสอบนี้ผลิตโดยหน่วยโครงการ เทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ ขั้นตอนการตรวจสอบโจคหัวเหลืองด้วยชุดตรวจสอบที่ผลิตโดยหน่วยโครงการเทคโนโลยีชีวภาพ กุ้ง 1. ตัดรยางค์ที่ขาว่ายน้ำ 1-2 ขา หรือเหงือกของกุ้งป่วยที่ยังมีชีวิตสำ หรับกุ้งขนาดเล็ก แต่ถ้ากุ้งมี ขนาดใหญ่ใช้เข็มฉีดยาขนาด 26 G ซึ่งมีอยู่ในชุดตรวจสอบ ดูดเลือดกุ้งบริเวณแอ่งเลือด ด้านท้อง (ventral sinus) ที่ตำ แหน่งบริเวณลำ ตัวปล้องแรก ประมาณ 0.1 ซีซี ( ตัวเลข 10 บน กระบอกฉีด ) 2. ใส่รยางค์หรือน้ำ เลือดลงไปในหลอดพลาสติกที่บรรจุน้ำ ยาประมาณครึ่งหลอด 3. ใช้แท่งบด บดตัวอย่างในหลอดทิ้งไว้ 5 นาที 4. ใช้หลอดหยด ( dropper ) หรือเข็มฉีดยาที่ใช้ดูดเลือด ดูดของเหลวในหลอดพลาสติกไปหยด ในแอ่งวงกลมของชุดทดสอบทิ้งไว้ 5 - 15 นาที จึงอ่านผลถ้าปรากฎเส้นทดสอบสีชมพูม่วง เฉพาะแถบควบคุม (C) เท่านั้น แสดงว่าไม่พบเชื้อหัวเหลือง (YHVIGAV)หรือมีจำ นวนเชื้อน้อย กว่าความไวของชุดทดสอบถ้าปรากฎเส้นทดสอบสีชมพูม่วงบริเวณแถบทดสอบ (T) และแถบ ควบคุม (C) แสดงว่าในตัวอย่างมีการติดเชื้อหัวเหลือง (YHVIGAV)ถ้าไม่ปรากฏเส้นทดสอบ สีชมพูม่วงบริเวณแถบควบคุม ให้ทำ การทดสอบใหม่อีกครั้งโดยใช้ชุดทดสอบอันใหม่


เป็นคำ ถามที่เกษตรกรเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมต้องการคำ ตอบ เพราะโรคหัวเหลืองแทบจะไม่มี การรายงานจากฟาร์มเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมทางภาคตะวันออกและภาคใต้เลย ในขณะที่ในช่วง แรกที่มีการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ โรคหัวเหลืองมีรายงานการระบาดทุกพื้นที่ทั้งการเลี้ยงด้วยน้ำ ความ เค็มต่ำ และความเค็มปกติ เช่นเดียวกับโรคไวรัสดวงขาวที่มีการระบาดในทุกพื้นที่ แต่เมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงมาเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม การเลี้ยงด้วยน้ำ ความเค็มปกติมีความเสียหายจากการเกิด โรคต่างๆ น้อยกว่าการเลี้ยงด้วยน้ำ ความเค็มต่ำ ซึ่งในกรณีของโรคทอร่า ส่วนใหญ่จะพบหลัง จากกุ้งมีอายุประมาณ 20 - 30 วัน ซึ่งโดยทั่วไปจะสัมพันธ์กับแหล่งที่มาของลูกกุ้ง สามารถ อธิบายได้เพราะไวรัสทอร่าทำ ให้เซลล์ชั้นที่อยู่ใต้ผิวเปลือกเสียหาย ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างเปลือก ดังนั้นเมื่อกุ้งขาวที่ติดเชื้อไวรัสทอร่าลอกคราบมักจะตายในลักษณะตัวนิ่ม น้ำ ที่มีความเค็มต่ำ มี แร่ธาตุที่สำ คัญ ได้แก่ แคลเซียมเมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม คลอไรด์ และซัลเฟตอยู่ใน ระดับที่ต่ำ ดังนั้นกุ้งต้องสิ้นเปลืองพลังงานมากในการดึงแร่ธาตุต่างๆ ในน้ำ เข้าสู่ร่างกายเพื่อ รักษาสมดุลของเกลือแร่ในเลือด เมื่อกังติดเชื้อไวรัส ร่างกายอ่อนแอ การดึงแร่ธาตุต่างๆในน้ำ เข้าสู่ร่างกายจึงผิดปกติและมีผลต่อการสร้างเปลือก จึงพบกุ้งตายในลักษณะตัวนิ่มมาก ทำ ไมโรคหัว หั เหลือ ลื งมีก มี ารระบาดมากในภาคกลาง


วิธีวิก ธี ารป้อ ป้ งกัน กัโรคไวรัส รัในกุ้งกุ้กุล กุ าดำ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสจะไม่มียารักษา ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดใน การควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในกุ้งกุลาดำ หลักในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสในกุ้ง กุลาดำ มีดังต่อไปนี้ พันธุ์กุ้ง การดิดเชื้อไวรัสหลายชนิดสามารถติดต่อผ่านพ่อแม่พันธุ์ได้ ดังนั้นการคัดเลือกลูกกุ้ง เพื่อนำ มาเลี้ยงจึงเป็นขั้นตอนสำ คัญที่จะป้องกันการติดเชื้อไวรัสมากับลูกกุ้ง ลูกกุ้งที่แข็งแรงมา จากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ก็จะทำ ให้ปัญหาในช่วงของการเลี้ยงลดน้อยลง การเตรียมบ่อและการเตรียมน้ำ การเตรียมบ่อที่ดีสามารถป้องกันหรือตัดวงจรของเชื้อไวรัส ลงได้ การเตรียมบ่อควรมีช่วงเวลาที่ตากพื้นบ่อให้แห้งสนิท และทำ การฆ่าเชื้อบริเวณพื้นบ่อโดยใช้ ปูนขาวโรยให้ทั่วและไถพรวนเพื่อพลิกดินข้างใต้ให้สัมผัสอากาศ สำ หรับการเตรียมน้ำ ก่อนปล่อย ลูกกุ้ง ควรผ่านขั้นตอนการทำ ลายพาหะของเชื้อไวรัสให้หมด ซึ่งอาจใช้สารเคมีเช่น คลอรีน หรือ ใช้อวนตาถี่กรองออก ความหนาแน่นของอัตราการปล่อย ปัจจัยหนึ่งที่ทำ ให้กุ้งเครียดและติดเชื้อไวรัสได้ง่ายก็คือ ความเครียด ซึ่งเกิดจากอัตราการปล่อยกุ้งมีความหนาแน่นสูง ส่งผลให้การเลี้ยงในเดือนที่ 2 เป็น ตันไปมีปัญหาเพราะกุ้งโดขึ้น โดยทั่วไปอัดราการปล่อยไม่ควรเกิน 100,000 ตัวต่อไร่ การจัดการในช่วงของการเลี้ยงในช่วงของการเลี้ยงถ้าเกษตรกรสามารถควบคุมสภาพน้ำ ในบ่อ ให้ดีและคงที่รวมทั้งพื้นกันบ่อที่สะอาดทำ ให้กุ้งมีสุขภาพแข็งแรง ปัญหาโรคติดเชื้อไม่ว่าจะเป็น แบคที่เรียหรือเชื้อไวรัสจะเกิดขึ้นน้อยมาก ดังนั้นการจัดการต่าง ๆ ที่จะทำ ให้กุ้งแข็งแรง ไม่เครียด จึงเป็นหัวใจสำ คัญของการป้องกันโรคในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ การใช้สารเคมีในการกำ จัดเชื้อไวรัส ในกรณีที่เชื้อไวรัสหลุดป่ะปนอยู่ในน้ำ ก็สามารถที่จะใช้ สารเคมีกำ จัดได้ หรือการกำ จัดตัวพาหะนำ เชื้อไวรัส เช่น กุ้งเคย กุ้งหัวแข็ง กุ้งแชบ๊วย และสัตว์ น้ำ ชนิดอื่น ๆ เช่น ปูทะเล การป้องกันไม่ให้ตัวพาหะเหล่านี้เข้าสู่บ่อเลี้ยงก็จะเป็นหนทางหนึ่งใน การป้องกันการเกิดโรคติดเชื้อไวรัส สารเคมีที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสในน้ำ ได้ดี คือ คลอรีน ไอโอดีน แต่ถ้าต้องการกำ จัดพาหะนำ เชื้อไวรัสด้วยการใช้คลอรีนจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้คลอรีนก็ควรจะระมัดระวังเพราะมีผลดกค้างและเป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อม


วิธีวิก ธี ารป้อ ป้ งกัน กัโรคไวรัส รัในกุ้งกุ้กุล กุ าดำ การจัดการหลังการเกิดโรคติดเชื้อไวรัส หลังจากเกิดการติดเชื้อไวรัสขึ้นในบ่อเลี้ยงซึ่งอาจจะสัง เกดได้จากอาการและอัดราการตาย รวมทั้งการตรวจสอบเพิ่มเติม ถ้ากุ้งเลี้ยงในบ่ออายุ 1 เดือน หรือเดือนกว่า ๆ ควรจะมีการฆ่าเซื้อของน้ำ ในบ่อก่อนที่จะปล่อยออกสู่ภายเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อ ไวรัสมีการแพร่กระจาย หรือถ้ากุ้งมีขนาดพอจะจับขายได้จับควรจะแขวนถุงเจาะรูใส่คลอรีนไว้ บริเวณทางน้ำ ออกเพื่อลดปริมาณเชื้อไวรัสในน้ำ ลง การกระทำ ดังกล่าวจะช่วยให้สามารถดวบคุม การระบาดของเชื้อไวรัสให้อยู่ในบริเวณจำ กัดได้ นอกจากนี้การติดต่อข่าวสารระหว่างเกษตรกร ด้วยกันเองก็จะช่วยให้การป้องกันการระบาดของโรคไวรัสดีขึ้น


แนวทางการป้อ ป้ งกัน กัโรคหัว หั เหลือ ลื งในกุ้งกุ้ขาวแวนนาไม สำ หรับฟาร์มที่เลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมที่เป็นโรคชนิดนี้มาแล้วควรปฏิบัติดังนี้ 1. ตากบ่อให้แห้งสนิท 2. ปรับสภาพพื้นบ่อ ใช้สารเคมีฆ่าพาหะที่อาจจะหลงเหลืออยู่ในน้ำ หรืออาจใช้คลอรีนผง (ความ เข้มข้น 60 เปอร์เซ็นต์ ในปริมาณไร่ละ 1 ถัง ที่ระดับความลึกของน้ำ ประมาณ 1.50 เมตร ใน กรณีที่พีเอชของน้ำ ไม่ถึง 8.0 ควรใช้ในช่วงเวลาที่พีเอซของน้ำ ต่ำ คือในตอนกลางคืน เนื่องจาก คลอรีนออกฤทธิ์ได้น้อยเมื่อพีเอชสูง ส่วนในฟาร์มที่มีพีเอชของน้ำ มีค่าระหว่าง 8.0 - 8.5 อาจใช้ ไตรคลอร์ฟอนเพื่อกำ จัดพาหะในกลุ่มครัสตาเซียน ได้แก่ กุ้งและปู 3. ต้องมีบ่อพักน้ำ อย่างเพียงพอ 4. ต้องมีระบบป้องกันพาหะต่างๆ เช่น รั้วกันปู เชือกขึงกันนก ที่อาจจะนำ กุ้งป่วย จากแหล่งอื่นเข้ามาภายในฟาร์ม 5. ลูกกุ้งที่จะนำ มาเลี้ยงควรผ่านการตรวจเชื้อไวรัสหัวเหลืองด้วยเทคนิค RT-PCR 6.ปล่อยลูกกุ้งในอัตราความหนาแน่นที่เหมาะสม ซึ่งอัตราการปล่อยลูกกุ้งขึ้นอยู่กับเป้าหมายและ วัตถุประสงค์ว่าต้องการผลิตกุ้งให้ได้ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ตามที่ผู้เลี้ยงกุ้งต้องการ โดยเฉพาะ การเลี้ยงด้วยน้ำ ความเค็มต่ำ ซึ่งมีปริมาณแร่ธาตุต่างๆ น้อยกว่าน้ำ ทะเลปกติ ควรปล่อยลูกกุ้งใน อัตราความหนาแน่นที่ต่ำ กว่า 7. ฟาร์มเลี้ยงกุ้งในพื้นที่ใกล้เคียงกันที่ต้องใช้น้ำ จืดจากคลองซลประทานร่วมกันต้องร่วมมือใช้ ระบบการเลี้ยงที่สามารถป้องกันโรคที่เหมือนๆ กัน 8. ในกรณีที่มีกุ้งวยต้องไม่มีการถ่ายน้ำ หรือระบายน้ำ จากบ่อกุ้งป่วยลงไปในซลประทานหรือ แหล่งน้ำ สาธารณะเพราะจะทำ ให้ฟาร์มอื่นๆมีโรคจะเกิดโรคได้ในเวลาต่อมา


ยาที่อ ที่ นุญนุ าตให้ให้ ช้รั ช้ ก รั ษาโรคในการเพาะเลี้ย ลี้ งสัต สั ว์น้ำ ว์ น้ำ เนื่องจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ถูกต้องอาจทำ ให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภค และไม่เป็นไป ตามข้อกำ หนดมาตรฐานสินค้าในการนำ เข้าของประเทศที่เป็นผู้บริโภครายสำ คัญ ดังนั้น จึง มีการกำ หนดอนุญาตให้ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะชนิดที่ไม่เป็นอันตรายและไม่ตกค้างในเนื้อกุ้ง เมื่อมีการจัดการที่เหมาะสม ดังนี้ (1) ออกซีเตตราชัยคลิน (Oxytetracycline) ชื่อการค้าคือ เทอรามัยชินของไฟเซอร์ (Terramycin?, Pzer) (2) ซัลฟาไดเมทท็อกซีน (Sulfdimethoxine) + ออเมโทรฟริม (Ormetho-rim) ซื่อการค้า คือ โรเมท-30, ฮอฟแมน-ลาโมช (Romet-30?, Hoffman-La (3) ซัลฟาเมอราซีน (Sulfamerazine) ของ Roche จากกลุ่มยาข้างตันที่ อนุญาตให้ใช้อาจ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มยาเตตร้าชัยคลิน กลุ่มยาซัลฟา และกลุ่มยาควิโนโลน มี คุณสมบัติพอสังเขป ดังนี้ 1) กลุ่มยาเตตร้าชัยคลิน เป็นยาปฏิชีวนะที่มีขอบเขตในการออกฤทธิ์อย่างกว้างขวาง ออกฤทธิ์โดยตัวยาไปจับกับแมกนีเชียมบนส่วนของพลาสม่าเมมเบรนของแบคทีเรีย และ เช้าไปอยู่ในไซโตพลาสซึมของเชล มีการรวมตัวกับ ?30S? ของไรโบโชมในเซล ซึ่งมีผลต่อ การสังเคราะห์โปรตีนของเซล กลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็น chelating agent ที่ดี ดังนั้น เมื่อสามารถรวมตัวกับอิออนชนิด ต่างๆ เช่น แคลเซี่ยม หรือ แมกนีเชียมในอาหารหรือรวมตัวกับอิออนในน้ำ จะมี ผลทำ ให้ยา เสื่อมไป อัตราที่ใช้ 5-10 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ยากลุ่มนี้มีผลต่อสิ่งแวดล้อม พบว่าการ ให้ยานั้น สัตว์น้ำ จะได้รับเพียง 20-30% ที่เหลือจะสะสมในตะกอนดินทำ ให้เชื้อดื้อยา และ ถ้ายิ่งในสถานที่อุณหภูมิต่ำ และในสภาพที่ไม่มีออกชิเจน ยาออกชีเตตร้าชัยคลินจะสลายตัว ช้ามาก พบว่าอุณหภูมิและแสงสว่างมีผลต่อการสลายตัวของยาชนิดนี้ในน้ำ ทะเล ยาที่ สลายตั๋วเมื่อถูกแสงแดด ได้แก่ ออกชีเตตร้าชัยคลิน ออกโชลินิค แอชิด ฟลูมิควินและไน โตรฟูราโชลิโดน


2) กลุ่มยาซัลฟา ในปี 2528 ได้มีการรับรองยา Romet 30 ซึ่งเป็นส่วนของยาซัลฟาได เมททอกชีนและไตรเมธโทรพริม เพื่อใช้ควบคุมการระบาดของโรค furun-culosis ในปลา เทร้าและปลาแซลมอน 3) กลุ่มยาควิโนโลน เป็นยาต้านจุลชีพที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี ออกฤทธิ์เป็นแบค ทิริโอซัลดัล โดยเฉพาะกับแบคทีเรียแกรมลบ ออกฤทธิ์ทำ ลายเชื้อแบคทีเรียโดยไปมีผลต่อ เอ็นไซม์ดีเอ็นเอจัยเลส ซึ่งมีผลต่อการขดตัวของสายดีเอ็นเอทำ ให้เซลแบคทีเรียตายในทันที ปัจจุบันยาอกโซลินิคแอชิดและฟลูมิควินเป็นยาที่นิยมใช้ในสัตว์น้ำ โดยเฉพาะในประเทศ ยุโรป สำ หรับควบคุมโรค furunculosis และ entericred mouth ในปลาเทร้าอัตราการใช้ ให้ผสมกับอาหารสำ เร็จรูป 1-2 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ถ้าผสมอาหารสดใช้ 0.5 กรัม ต่อ อาหาร 1 กิโลกรัม ระยะปลอดยาอย่างน้อย 8 วัน ที่อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเชียส หากมี การให้ยา 2.5 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ติดต่อกัน 7 วัน พบการตกค้างในตับอ่อน 22 วัน กล้ามเนื้อ 18 วัน พบการดื้อยาและตกค้างในตะกอนเช่นกัน และไม่สลายตัวที่ความร้อนสูง สารเคมีที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สารเคมีมักนิยมใช้เพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำ สาหร่าย และใช้ในการกำ จัดพาหะหรือศัตรูกุ้ง ได้แก่ (1) คลอรีน มักจะใช้ในรูปของคลอรีนผงหรือแคลเชี่ยมไฮโปคลอไรท์ (Ca(OCI)2) ซึ่ง สะดวกและมีราคาถูก หรืออาจจะใช้น้ำ ยาฟอกสีหรือคลอรอกซ์ หรือโซเดี่ยมไฮโป คลอไรท์ (NaOC) ก็ได้ คลอรีนเมื่อละลายน้ำ จะแตกตัวให้คลอรีนอิสระ ซึ่งจะทำ หน้าที่ในการฆ่าเชื้อ แต่ถ้าในน้ำ มีแอมโมเนียอยู่ คลอรีนอิสระจะรวมตัวกับแอมโมเนียเป็นคอมไบน์คลอรีน ซึ่งมี ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อต่ำ กว่า แต่จะสลายตัวได้ช้ากว่านอกจากจะฆ่าเชื้อโรคและปรสิตต่างๆแล้ว ยังช่วยกำ จัดพวกแพลงก์ตอนพืชและสัตว์และทำ ให้เศษอินทรีย์สารต่างๆ โลหะและสารพิษ ต่างๆ ที่ะลายอยู่ในน้ำ ตกตะกอนหรือเปลี่ยนรูปไปอยู่ในรูปแบบที่มีความเป็นพิษน้อยลง


อัตราการฆ่าเชื้อจะอยู่ ระหว่าง 6-10 กรัมต่อน้ำ 1 ตัน ประมาณ 10-40 กิโลกรัมต่อไร่ต่อน้ำ ลึก 1 เมตร ก่อนนำ น้ำ ไปใช้ต้องให้อากาศทิ้งไว้ 3-4 วัน จนกว่าคลอรีนจะสลายตัวหมด เนื่องจากคลอรีนเป็นสารออกชิไดซ์ ซึ่งจะทำ ปฏิกิริยากับสารรีดิวซ์ทุกชนิดที่อยู่ในน้ำ อัตราการ ใช้คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำ จึงต้องเพิ่มขึ้นตามปริมาณสารอินทรีย์และสารรีดิวซ์อื่นๆ ที่มีอยู่ ในน้ำ และคลอรีนที่ตกค้างมีความเป็นพิษค่อนข้างสูงต่อสัตว์น้ำ ก่อนปล่อยลูกกุ้งจึงต้องแน่ใจ คลอรีนสลายตัวไปหมดแล้ว ซึ่งอาจทดสอบด้วยชุดทดสอบคลอรีนหรือใช้โปแตสเชียมไอโอไดน์ 2-3 เกล็ด ใส่ลงในน้ำ ซึ่งถ้ามีคลอรีนเหลืออยู่จะมีสีน้ำ ตาลไม่ควรใช้ในระหว่างการเลี้ยงกุ้งถึง แม้ว่าจะใช้ในความเข้มข้นต่ำ เพราะว่าทำ ให้แพลงก์ตอนพืชตาย เกษตรกรทำ สีน้ำ ไม่ได้ (2) ฟอร์มาลิน (Formalin) ใช้ในการควบคุมแบคทีเรียและปรสิต โปรโตชัว เช่น ซูโอ แทมเนี่ยม ทำ ความสะอาดฆ่าเชื้อน้ำ และอุปกรณ์เครื่องมือ ฟอร์มาลินเป็นสารละลายของฟอร์มั ลดีไฮด์ในน้ำ โดยมีฟอร์มัลดีไฮด์อยู่ประมาณ 37-40 % เป็นสารละลายใส มีกลิ่นฉุน ซึ่งมักจะมี เมธานอลผสมอยู่ด้วย 10-15% เพื่อป้องกันไม่ให้ฟอร์มาลินเปลี่ยนรูปเป็นพาราฟอร์มัลดีไฮด์ ฟอร์มาลินเป็นสารรีดิวซ์ที่มีฤทธิ์รุนแรงเมื่อถูกอากาศจะออกซิไดซ์ช้าๆ เป็นกรดฟอร์มิเมื่อเก็บ ฟอร์มาลินไว้นานๆหรือเก็บที่อุณหภูมิต่ำ กว่า 4 องศาเซลเชียส ฟอร์มาลินจะเปลี่ยนรูปเป็นพารา ฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งมีลักษณะเป็นตะกอนขาว อัตราส่วนการใช้งาน มักใช้ในความเข้มข้น 25-100 พีพีเอ็ม ความเข้มข้นที่ใช้ในการรักษาโรค และปรสิต ที่ระดับ 20 -30 พีพีเอ็ม เนื่องจากฟอร์มาลินมีความเป็นพิษต่อลูกกุ้งค่อนข้างสูงและ การสลายตัวของฟอร์มาลินค่อนข้างช้าจึงต้องมีความระมัดระวังในการใช้งาน และคุณภาพน้ำ บางประการก็มีผลต่อความเป็นพิษของฟอร์มาลิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิสูง ขึ้นความเป็นพิษของฟอร์มาลินก็มากขึ้น ส่วนความเป็นกรด-ด่างและความกระด้างของน้ำ ไม่มี ผลต่อความเป็นพิษของฟอร์มาลิน ผลกระทบจากการใช้ฟอร์มาลินอีกประการ คือ ฟอร์มาลินไป ฆ่าแพลงก็ตอนพืช เป็นสาเหตุให้ปริมาณออกชิเจนในบ่อจะลดอย่างรวดเร็วระหว่างการใช้จึงควร เปิดเครื่องตีน้ำ ให้อากาศตลอดเวลา และเนื่องจากเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรงและกลิ่นฉุน ทำ ให้ เกิดการระคายเรื่องต่อเยื่อบุตาและทางเดินหายใจ เกษตรกรจึงควรระวังในระหว่างการใช้งาน


(3) ซาโปนิน มักนิยมใช้กำ จัดปลาในบ่อ ในประเทศไทยมีการใช้ซาโปนินจากกากเมล็ดชา มี คุณสมบัติที่เป็นพิษต่อสัตว์เลือดเย็นมากกว่าสัตว์เลือดอุ่น ซึ่งมีฤทธิ์ต่อสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง จึง ใช้กำ จัดปลาได้ดี ชาโปนินเป็นสารที่สลายตัวง่าย และจะเริ่มเสื่อมพิษใน 7-15 วัน อัตราการใช้ อยู่ที่ความเช้มชัน 25-100 ส่วนในพันส่วน (4) เบรสแตน-60 มีส่วนประกอบของไตรฟีนิลฟิน-อะชีเตต เป็นหลัก (54%) และมาเน็บ 18% นอกนั้นเป็นสารเฉื่อยเป็นสารเคมีที่ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อรา ยาฆ่าหอยและยาฆ่าสาหร่าย สามารถกำ จัดหอยเจดีย์อย่างได้ผลในอัตราส่วนความเข้มข้น 200-250 กรัมต่อน้ำ ลึก 10 เซนติเมตร ต่อ 1ไร่ การใช้งานต้องมีความระมัดระวังอย่างมาก เนื่องจากมีความเป็นพิษต่อลูกกุ้ง สูง ถ้าหากเหลือตกค้างจะทำ ให้กุ้งไม่โต เลี้ยงไม่ได้ผล (5) ไอโอดีน เช่น โพรวิโดนไฮโอดีน เป็นสารประกอบอินทรีย์ ลักษณะเป็นผงสีน้ำ ตาลเข้ม ละลายได้ดีในน้ำ และแอลกอฮอล์ ในทางการค้ามักเป็นเตรียมมาเป็นสารละลาย ทำ ให้สะดวกใน การใช้ไอโอดีนที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัสแบคทีเรีย รา และโปรโตซัว มีพิษต่ำ กับกุ้ง เป็นสารเคมีฆ่าเชื้อนำ มาใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะการฆ่าเชื้อโรคที่เกาะติดบนผิว ของไข่ปลา ไข่กุ้งหรือตัวอ่อนก่อนที่จะนำ เข้ามาเพาะและอนุบาลโดยแช่ไข่ปลา กุ้งในน้ำ ที่มี ไอโอดีนความเข้มชัน 100 ส่วนในล้านส่วน นาน 10 นาที สำ หรับการฆ่าเชื้อโรคในน้ำ ไอโอดีน ความเช้มข้น 2-3 ส่วนในล้านส่วน สามารฆ่าเชื้อแบคทีเรียวิบริโอได้ดี ไฮโอดีนที่ผลิตขายนั้นมี ความเข้มข้นต่างๆ กัน ดังนั้นการใช้ฆ่าเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ เกษตรกรต้องคำ นึงถึงความเข้ม ข้นของสารออกฤทธิ์ด้วย (6) บีเคซี หรือเบนซัลโคเนียมคลอไรด์ (Benzalkonium Chloride) เป็นสารละลายใส ไม่มีกลิ่น ผลิตภัณฑ์ที่ขายตามท้องตลาด มีหลายความเข้มข้นตั้งแต่ 10-80% รักษาการติดเชื้อ ภายนอก โดยเฉพาะกลุ่มโปรโตชัว หรือแบคทีเรีย (ชูโอแทมเนี่ยม และ วิบริโอ ตามลำ ดับ โดย ความเข้มข้น 0.6-1.0 ส่วนในล้านส่วน ออกฤทธิ์ได้ดีในสภาพที่เป็นด่าง (ความเป็นกรด-ด่าง ประมาณ 9) การใช้ความเข้มข้นสูงเกินไปอาจเป็นอันตรายกับลูกกุ้ง และยังมีผลต่อแพลงก็ตอน พืชในบ่อ คือ ทำ ให้แพลงก์ตอนพืชตาย เกษตรกรบางร้ายจึงนำ มาใช้ในการควบคุมสีน้ำ


(7) ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) เป็นสารละลายใส ความเข้มข้นจาก โรงงานประมาณ 50% มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน และเป็นสารออกซิไดซ์ที่รุนแรง สามารถละลาย น้ำ และและลายในตัวทำ ละลาย เช่น อัลกอฮอล์ เกษตรกรนิยมใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ความ เข้มข้น 1-2 ส่วนในล้านส่วน ในการป้องกันและรักษาโรคที่เกิดจากโปรโตชัวและแบคทีเรียในนา กุ้ง บางครั้งนำ มาใช้ควบคุมการเจริญเติบโตสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำ เงิน ถ้ามีสารอินทรีย์ในบ่อมาก ประสิทธิภาพของเปอร์ออกไซด์จะลดลง นอกจากนี้ไฮโดรเจน เปอร์ออกซด์เมื่อละลายในน้ำ จะ แตกตัวให้ออกซิเจน เกษตรกรบางรายจึงนำ มาใช้เพิ่มออกซิเจนในระหว่างการขนส่งลูกสัตว์น้ำ (8) กลูตารัลดิไฮด์ (Glutaraldehyde) เป็นสารละลายใสไม่มีสี ไม่มีกลิ่นความเข้มข้น 1- 2 ส่วนในล้านส่วน ใช้รักษาโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย โปรโตซัว เช่น ชูโอแทมเนี่ยม ไวรัส และเชื้อ รา ทั้งในรูปเซลล์ปกติ และสปอร์ ออกฤทธิ์ตรงตำ แหน่ง amine group ของผนังเซลล์ เกษตรกร นิยมใช้กลูตารัลดิไฮด์ในบ่อปูนมากกว่าบ่อดิน เนื่องมาจากกลูตารัลดิไฮดีไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำ เหมือนสารเคมีชนิดอื่นอย่างไรก็ตาม การใช้ยาและสารเคมีที่ใช้ในการ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นั้น มีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง กรณีที่มีสรรพคุณเป็นยโดยตรง ก็จะมี สำ นักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นผู้รับผิดชอบในการจดทะเบียน กรณีที่เป็นสารเคมี และวัตถุอันตรายบางชนิด เป็นผู้รับพิจารณาในเรื่องการรับจดทะเบียนแนวทางการควบคุมสาร เคมีแต่ละชนิดที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์น้ำ นอกจากนี้ยังมีประกาศกระทรวงอุตสาห์กรรมในเรื่องของ วัตถุอันตรายซึ่งกรมโรงงานอุสาหกรรมเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ดังนั้นจึงต้องศึกษาประกาศให้ดี เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ


บรรณานุก นุ รม 1. กรรณวิท รุจิรวัฒน์ และคำ รณ ไวยครุฑธา. 2546 . การตรวจคุณภาพลูกกุ้งโดยวิธี "ไบโอเทคแลป" หน้า 271-280. ใน สุรศักดิ์ ดิลกเกียรติ. กุ้งไทย ก้าวใหม่สู่หนึ่งในผู้นำ กุ้งโลกอย่างยั่งยืน. โรงพิมพ์ ก.พล, กรุงเทพฯ. 2. ชลอ ลิ้มสุวรรณ. 2534. คัมภีร์การเลี้ยงกุ้งกุลาดำ , พิมพ์ครั้งที่ 2. โรงพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ จำ กัด. กรุงเทพฯ. 202 น. 3. ชลอ ลิ้มสุวรรณ. 2543. กุ้งไทย 2000 สู่ความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม. โรงพิมพ์เจริญ รัตน์การพิมพ์,กรุงเทพฯ. 260 หน้า. 4. บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร. 2547. การนำ เข้ากุ้งของญี่ปุ่น. วารสารข่าวกุ้ง. 16(187) : 4. 5. พุทธ ส่องแสงจินดา. 2546. ออกชิเจนกับการจัดการการเลี้ยงกุ้งและการพัฒนา. หน้า 229-224. ใน สุรศักดิ์ ดิลกเกียรติ.กุ้งไทย ก้าวใหม่ สู่หนึ่งในผู้นำ กุ้งโลกอย่างยั่งยืน.โรงพิมพ์ก.พล, กรุงเทพฯ. 6. ภิญโญ เกียรติภิญโญ. 2545. วิธีปฏิบัติสำ หรับการเลี้ยงกุ้งขาว แอล. แวนาไม (Practical Technology for Litopenaeus vannamei culture) สำ นักงานพิมพ์เมืองเกษตรแม็กกาซีน, สมุทรปราการ 120. น. 7. สุรศักดิ์ ดิลกเกียรติ. 2546. กุ้งไทย ก้าวใหม่สู่หนึ่งในผู้นำ กุ้งโลกอย่างยั่งยืน. โรงพิมพ์ก.พล, กรุงเทพ สำ นักพิมพ์เมืองเกษตรแม็กกาซีน, สมุทรปราการ. 120 น. 8. ศุภมาตย์ และ สิทธิ บุณยรัตนผลิน. 2538. การศึกษาภูมิคุ้มกันโรคและแนวทางการใช้วัคซีน ป้องกันโรคติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในกุ้งกุลาดำ ( Penaeus monodon ) รายงานการวิจัย. หน้า 1-17 9. ชลอ ลิ้มสุวรรณ. 2546. "แนะเทคนิคบางจุดในการเลี้ยงวานาไมเพื่อความสำ เร็จ" 10. วิสันต์ ท้าวสูงเนิน เทคนิคการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม 11. ชลอ ลิ้มสุวรรณและพรเลิศ จันทร์รัชชกูล อุตรสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งในประเทศไทย


Click to View FlipBook Version