The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การศึกษาประสิทธิภาพเชิงเทคนิคและการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตในการปลูกข้าวของเกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดพิษณุโลก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การศึกษาประสิทธิภาพเชิงเทคนิคและการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตในการปลูกข้าวของเกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดพิษณุโลก

การศึกษาประสิทธิภาพเชิงเทคนิคและการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตในการปลูกข้าวของเกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดพิษณุโลก

33 DMUkจะมีประสิทธิภาพ CCR เมื่อ = 1และมีผลลัพธ์เหมาะสมที่ ωi > 0 ทุกค่า i และ ur > 0 ทุกค่า r โดยที่ตัวแบบ CCR มีจุดประสงค์เพื่อหาค่าสูงสุดของคะแนนประสิทธิภาพโดยรวม (Overall Technical Efficiency: TECRS) ดังสมการที่ 13 ภายใต้ข้อสมมติผลตอบแทนคงที่ (Constant Returns to Scale: CRS) ซึ่งคะแนนประสิทธิภาพโดยรวมมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 1 และยิ่งคะแนนประสิทธิภาพ มีค่าเข้าใกล้ 1 มากเท่าใด หมายถึง DMU นั้นยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น และหากคะแนนประสิทธิภาพ มีค่าเข้าใกล้ 0 หมายถึง DMU นั้นไม่มีประสิทธิภาพ กล่าวได้ว่าตัวแบบจะสร้างระนาบเกินหรือเรียกว่า ขอบเขตประสิทธิภาพ ซึ่ง DMU ใดอยู่บนเส้นขอบเขตแสดงว่า DMU นั้นมีประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่ถ้า DMU ใดอยู่ภายในขอบเขตประสิทธิภาพแสดงว่ายังไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งคะแนนประสิทธิภาพของ DMU จะลดลงไปตามระยะทางระหว่าง DMU นั้นกับขอบเขตนั่นเอง ในทางปฏิบัตินิยมใช้ตัวแบบควบคู่ (Dual Model) กับตัวแบบข้างต้น กล่าวคือ กำหนดให้ τ , λ1 , λ2 ,..., λ เป็นตัวแปรควบคู่ที่สัมพันธ์กับ เงื่อนไขที่ 1,2….,n+1 สามารถเขียนตัวแบบคู่ความสัมพันธ์กับตัวแบบ CCR พิจารณาด้านปัจจัยการผลิต (Input Oriented) ดังนี้ ฟังก์ชันวัตถุประสงค์ Min τj (14) ภายใต้เงื่อนไข τjxij − Σj=1 n λjxij ≥ 0 ; i = 1,2,…,m Σj=1 n λjyrj − yrj ≥ 0 ; r = 1,2,…,s λj ≥ 0 ; j = 1,2,…,n (1.2) ตัวแบบ CCR ด้วยการพิจารณาด้านปัจจัยผลผลิต (Output Oriented) จุดประสงค์เพื่อทำให้ปัจจัยผลผลิตมีค่ามากที่สุด โดยใช้ปัจจัยนำเข้าไม่เกินระดับที่มี ดังนี้ ฟังก์ชันวัตถุประสงค์ Max φ (15) ภายใต้เงื่อนไข xij − Σj=1 n λjxij ≥ 0 ; i = 1,2,…,m Σj=1 n λjyrj − φj yrj ≥ 0 ; r = 1,2,…,s λj ≥ 0 ; j = 1,2,…,n เมื่อ φ = คะแนนประสิทธิภาพ xij = ปัจจัยการผลิตนำเข้าที่ i ของ DMU ที่ j yrj = ปัจจัยผลผลิตที่ r ของ DMU ที่ j λj = ค่าสัมประสิทธิ์ i = จำนวนของปัจจัยนำเข้าตั้งแต่ 1 ถึง m r = จำนวนของผลผลิต ตั้งแต่ 1 ถึง s j = จำนวนของหน่วยผลิต (DMU) ตั้งแต่ 1 ถึง n


34 (2)ตัวแบบ BCC ในตัวแบบ CCR ภายใต้ข้อสมมติผลผลิตตอบแทนคงที่ (CRS) มีข้อจำกัดในการใช้ คือ DMU หรือองค์กรที่จะวัดประสิทธิภาพต้องมีการดำเนินงาน ณ ระดับที่เหมาะสมเท่านั้น แต่เมื่อมีการ แข่งขันไม่สมบูรณ์เกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ที่ส่งผลให้ DMU ไม่สามารถดำเนินงานในระดับที่เหมาะสมได้ ต่อมาในปีค.ศ.1984 จึงมีการพัฒนาตัวแบบโดย Banker, Charnes และ Cooper เพื่อนำไปแก้ปัญหา ดังกล่าว เรียกตัวแบบนี้ว่า BCC มีวัตถุประสงค์เพื่อหาค่าของคะแนนประสิทธิภาพ ภายใต้ข้อสมมติ ผลตอบแทนเปลี่ยนแปลงได้ (Variables Returns to Scale: VRS) โดยเรียกคะแนนประสิทธิภาพที่ได้ว่า ประสิทธิภาพที่แท้จริง (Pure Technical Efficiency: TEvrs) ที่มา: ประสพชัย พสุนนท์ และสุดา ตระการเถลิงศักดิ์ (2556) ภาพที่ 2.1 แสดงการเปรียบเทียบตัวแบบ CCR และ BCC จากภาพที่ 2.1 ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างตัวแบบ CCR และตัวแบบ BCC โดยตัวแบบ BCC ถูกพัฒนามาเพื่อใช้ในการประเมินประสิทธิภาพกรณีที่สภาพการแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์ ด้วยการเพิ่มเงื่อนไข Σj=1 n λi = 1 ลงในตัวแบบควบคู่ของตัวแบบ CCR (2.1) ตัวแบบ BCC ด้วยการพิจารณาด้านปัจจัยการผลิต (Input Oriented) โดยการกำหนดเงื่อนไขบังคับของการเว้าเข้า (Convexity Constraint) เพิ่มเติมในการแก้ปัญหาโปรแกรม เชิงเส้นตรง และได้ตัวแบบ BCC ดังนี้ ฟังก์ชันวัตถุประสงค์ Min τj (16) ภายใต้เงื่อนไข τjxij − Σj=1 n λjxij ≥ 0 ; i = 1,2,…,m Σj=1 n λjyrj − yrj ≥ 0 ; r = 1,2,…,s Σj=1 n λj = 1 ; j = 1,2,…,n λj ≥ 0 (2.2) ตัวแบบ BCC ด้วยการพิจารณาด้านปัจจัยผลผลิต (Output Oriented) ฟังก์ชันวัตถุประสงค์ Max φ (17)


35 ภายใต้เงื่อนไข xij-Σj=1 n λjxij≥ 0 ; i = 1,2,…,m Σj=1 n λjyrj − φk yrj ≥ 0 ; r = 1,2,…,s Σj=1 n λj = 1 ; j = 1,2,…,n λj ≥ 0 สรุปได้ว่าการวัดประสิทธิภาพเชิงเทคนิคสามารถพิจารณาได้ 2 ด้าน คือ 1) ด้านปัจจัยนำเข้า (Input Oriented) และ 2) ด้านผลผลิต (Output Oriented) และมี 2 ตัวแบบ ได้แก่ ตัวแบบ CCR ซึ่งอยู่ภายใต้ข้อสมมติผลตอบแทนคงที่ และตัวแบบ BCC ภายใต้สมมติฐานผลตอบแทน เปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์เกิดขึ้น โดยในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเลือกใช้วิธีการวัดประสิทธิภาพ เชิงเทคนิคด้านปัจจัยนำเข้า (Input Oriented) เพื่อต้องการทราบว่าหน่วยผลิตจะลดปัจจัยการผลิตลง อย่างเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมได้อย่างไร โดยที่ปริมาณการผลิตไม่เปลี่ยนแปลง ใช้ตัวแบบ BCC ภายใต้ สมมติฐาน VRS 3) การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อคะแนนประสิทธิภาพทางเทคนิคด้วยวิธี DEA ด้วย Fractional Regression Model คะแนนประสิทธิภาพทางเทคนิคจากการคำนวณด้วยวิธีDEA จะมีค่าอยู่ระหว่าง ศูนย์ถึงหนึ่ง เป็นค่าที่มิได้เกิดจากการถูกตัดทอน ซึ่งแบบจำลอง Tobit เรียกอีกอย่างว่า Censored Regression Model จะเหมาะกับสมการถดถอยที่มีตัวแปรตามถูกตัดค่าให้อยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่ง ค่าตัวแปรตามจึงมีค่าได้ไม่เกินค่าใดค่าหนึ่งหรือไม่ต่ำกว่าค่าใดค่าหนึ่ง โดย Papke และ Wooldridge (1996) ได้พัฒนาวิธีการประมาณค่าแบบจำลองที่ตัวแปรตามมีค่าเป็นเศษส่วน Fractional Regression Model (FRM) ดังนี้ E(y|x) = G(xθ) (18) โดยที่ G(∙) เป็นฟังก์ชันที่ไม่เป็นเส้นตรง (Nonlinear Function) และ 0 ≤ G(∙) ≤ 1 ซึ่ง Papke และ Wooldridge แนะนำให้ใช้วิธี Quasi-Maximum Likelihood (QML) ตาม Bernoulli ฟังก์ชัน log-likelihood ในการประมาณค่าพารามิเตอร์ ดังนี้ LLi (θ) = yi log[G(xiθ)] + (1 + yi )log[1 − G(xiθ)] (19) การแจกแจง Bernoulli เป็นหนึ่งในเอ็กซ์โปเนนเชียลเชิงเส้น ตัวประมาณ QML ของ θ กำหนดโดย θ̂ ≡ arg max θ ∑ L N i=1 Li(θ) (20) ซึ่งปกติแล้วจะไม่คำนึงถึงการแจกแจงที่แท้จริงของ y จากตัวแปร x โดยต้องเป็นไป ตามเงื่อนไข E(y|x) ที่ระบุไว้ในสมการที่ (18)


36 2.2.3 การวัดการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตด้วย Malmquist Index ดัชนี Malmquist ถูกนำเสนอโดย Caves et และคณะ (1982) เพื่อใช้หาคำตอบว่า ผลิตภาพในการผลิตสินค้าของหน่วยผลิตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยวิธีการคำนวณดัชนี Malmquist อธิบายได้ ดังนี้ สมมติให้หน่วยผลิตหนึ่ง ผลิตสินค้าจำนวน m ชนิด โดยใช้ปัจจัยการผลิตจำนวน n ชนิด ถ้ากำหนดให้ x และ y คือ เวกเตอร์ของปัจจัยการผลิต n ชนิด และเวกเตอร์ของผลผลิต m ชนิด ตามลำดับ หรือเขียนได้เป็นสัญลักษณ์ว่า x ∈ R+ n และ y ∈ R+ m กำหนดให้เซ็ตของการผลิตที่เป็นไปได้ (Production Possibilities Set) ณ เวลา t คือ P ซึ่งเขียนได้ ดังนี้ Pt = { (x,y) | ปัจจัยการผลิต x สามารถใช้ผลิตสินค้า y ได้ ณ เวลา t } (21) นั่นคือ เซ็ตของปัจจัยการผลิตที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้า y เขียนเป็นสัญลักษณ์ได้ ดังนี้ Ht (y) = { x ∈ R+ n | (x,y) ∈ Pt } (22) ถ้าสมมติให้มีหน่วยผลิตทั้งหมดจำนวน N หน่วย ซึ่งจะแทนด้วยดัชนีล่าง i โดย i = 1,…, N และจำนวนหน่วยผลิตทั้งหมดนี้อยู่ในสองช่วงเวลาคือ t1 และ t2 และฟังก์ชันระยะทางด้านปัจจัยการผลิต (Input Distance Function) ณ เวลา t1 เทียบกับเทคโนโลยีการผลิต ณ เวลา t2 เขียนได้ ดังนี้ Di t1/t2 = sup{θ > 0 | xit1/θ ∈ H t2(yit1 )} (23) โดยที่ Di t1/t2 คือการเปรียบเทียบฟังก์ชันระยะทางในช่วงเวลา t1 และ t2 หรือกล่าว อีกอย่างหนึ่งก็คือ จะเป็นตัวที่บอกว่า ณ เวลา t1 นั้น หน่วยผลิตที่ i ควรที่จะเพิ่มหรือลดระดับการใช้ ปัจจัยการผลิตในสัดส่วน (1/θ) เพื่อที่จะให้ได้ผลผลิต ณ เวลา t2 เมื่อระยะเวลาตรงกัน นั่นหมายถึงระดับเทคโนโลยีจะเหมือนกัน ดังนั้น สมการที่ (23) จะมีผลของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีเข้าไปอยู่ด้วย นั่นคือกล่าวได้ว่าหาก t1 = t2 = tแล้ว Di t/t ≥ 1 และหาก t1≠t2 แล้ว Di t1/t2 อาจมีค่าน้อยกว่าหนึ่ง เท่ากับหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งก็ได้ โดยค่าดังกล่าว จะต้องมีค่ามากกว่า 0 เสมอ ตามสมการที่ (23) ซึ่ง Fare และคณะ (1992) ได้เสนอสูตรในการคำนวณ ดัชนี Malmquist ดังสมการต่อไปนี้ Mi(t1,t2) = Di t2/t2 Di t1/t1 × ( Di t2/t1 Di t2/t2 × Di t1/t1 Di t1/t2 ) 1/2 (24) โดยที่ t2 > t1 โดยค่า Mi(t1,t2) ที่คำนวณได้อาจมากกว่า เท่ากับ หรือน้อยกว่าหนึ่งก็ได้ ซึ่งมีความหมาย คือ หากค่าMi(t1,t2) < 1 แสดงถึงหน่วยผลิตที่ i มีผลิตภาพในการผลิตเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาt1 ถึงt2 หากค่า Mi(t1,t2) > 1 แสดงถึงหน่วยผลิตที่i มีผลิตภาพในการผลิตลดลงในช่วงเวลาt1 ถึงt2 หากค่า Mi(t1,t2) = 1 แสดงถึงหน่วยผลิตที่ i มีผลิตภาพในการผลิต ของหน่วยผลิตที่ i ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลา t1 ถึง t2


37 จากสมการที่ (24) ค่า Di t2/t2 Di t1/t1 เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงในประสิทธิภาพทางเทคนิค ของปัจจัยการผลิต (Input Technical Efficiency Change) ในช่วงเวลา t1 ถึง t2 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ อาจมีค่ามากกว่า เท่ากับ หรือน้อยกว่าหนึ่งก็ได้ ดังนั้นถ้ากำหนดให้ Ei(t1,t2) = Di t2/t2 Di t1/t1 (25) หากค่า Ei(t1,t2) < 1 แสดงถึงหน่วยผลิตที่ i มีประสิทธิภาพทางเทคนิคด้านปัจจัยการผลิต (Input Technical Efficiency) เพิ่มขึ้นในช่วงเวลา t1 ถึง t2 หากค่า Ei(t1,t2) > 1 แสดงถึงหน่วยผลิตที่ i มีประสิทธิภาพทางเทคนิคด้านปัจจัยการผลิต ลดลงในช่วงเวลา t1 ถึง t2 หากค่า Ei(t1,t2) = 1 แสดงถึงประสิทธิภาพทางเทคนิคด้านปัจจัยการผลิต (Input Technical Efficiency) ของหน่วยผลิตที่ i ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลา t1 ถึง t2 และค่า ( Di t2/t1 Di t2/t2 × Di t1/t1 Di t1/t2 ) 1/2 จากสมการที่ (24) นั้น เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี การใช้ปัจจัยการผลิต (input technical change) ในช่วงเวลา t1 ถึง t2 หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เทคโนโลยีการใช้ปัจจัยการผลิตในช่วงเวลา t1 ถึง t2 นั่นเอง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจมีค่ามากกว่า เท่ากับ หรือน้อยกว่าหนึ่งก็ได้ ดังนั้นถ้ากำหนดให้ Ti(t1,t2) = ( Di t2/t1 Di t2/t2 × Di t1/t1 Di t1/t2 ) 1/2 (26) หากค่า Ti(t1,t2) < 1 แสดงถึงหน่วยผลิตที่ i มีเทคโนโลยีการใช้ปัจจัยการผลิต (Input Technical Change) เพิ่มขึ้นในช่วงเวลา t1 ถึง t2 หากค่า Ti(t1,t2) > 1 แสดงถึงหน่วยผลิตที่ i มีเทคโนโลยีการใช้ปัจจัยการผลิตลดลง ในช่วงเวลา t1 ถึง t2 หากค่า Ti(t1,t2) = 1 แสดงถึงเทคโนโลยีการใช้ปัจจัยการผลิตของหน่วยผลิตที่ i ไม่มี การเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลา t1 ถึง t2 เนื่องจาก ในทางปฏิบัติไม่มีทางทราบเซ็ตของผลผลิตที่เป็นไปได้P t จึงทำให้ไม่สามารถ ทราบเซ็ตของปัจจัยการผลิตที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้า y หรือ H t (y) เช่นกัน นั่นคือไม่สามารถ ทราบค่าฟังก์ชันระยะทางด้านปัจจัยการผลิต ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณดัชนี Malmquist การเปลี่ยนแปลงในประสิทธิภาพทางเทคนิคด้านปัจจัยการผลิต และการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี การใช้ปัจจัยการผลิตตามสมการที่ (24) (25) และ(26) ตามลำดับได้ อย่างไรก็ดี หากสามารถประมาณฟังก์ชันระยะทางด้านปัจจัยการผลิตได้แล้ว จะทำให้ สามารถคำนวณค่าดัชนี Malmquist การเปลี่ยนแปลงในประสิทธิภาพทางเทคนิคด้านปัจจัยการผลิต และการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีการใช้ปัจจัยการผลิตได้ ซึ่งวิธีการประมาณฟังก์ชันระยะทาง 4 ตัว คือ Di t1/t1 Di t1/t2 Di t2/t1 และ Di t2/t2 จะได้จากการแก้ปัญหาโปรแกรมเชิงเส้น (Linear Programming)


38 4 แบบ ภายใต้ข้อสมมติที่ว่าเทคโนโลยีการผลิตเป็นแบบผลได้ต่อขนาดคงที่ (Constant Return to Scale) ซึ่งอธิบายได้ ดังนี้ [Di t1/t1 ] −1 = min {λ|yit1 ≤ Y t1qi , λxit1 ≥ X t1qi , qi ∈ R+ N} [Di t1/t2 ] −1 = min {λ|yit1 ≤ Y t2qi , λxit1 ≥ X t2qi , qi ∈ R+ N} [Di t2/t1 ] −1 = min {λ|yit2 ≤ Y t1qi , λxit2 ≥ X t1qi , qi ∈ R+ N} [Di t2/t2 ] −1 = min {λ|yit2 ≤ Y t2qi , λxit2 ≥ X t2qi , qi ∈ R+ N} โดยที่ Y t1 = [y1t1 , y2t1 , … , yNt1 ] , X t1 = [x1t1 , x2t1 , … , xNt1 ] Y t2 = [y1t2 , y2t2 , … , yNt2 ] , X t2 = [x1t2 , x2t2 , … , xNt2 ] และ qi คือน้ำหนักของหน่วยผลิตที่ i ซึ่งจะคำนวณจากการแก้ปัญหาโปรแกรมเชิงเส้น เพื่อใช้ในการสร้างตัวประมาณเซ็ตของปัจจัยการผลิตที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้า y ของหน่วยผลิตที่ i ในการวิจัยครั้งนี้วัดการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตข้าวนาปีของเกษตรกรรุ่นใหม่ ปีเพาะปลูก 2561/62 เปรียบเทียบกับ ปีเพาะปลูก 2564/65 จากการใช้ปัจจัยการผลิต และผลผลิต ที่ได้รับของทั้ง 2 ปี 2.2.4 การถอดบทเรียน (Lesson Learned) 1) ความหมายของการถอดบทเรียน การถอดบทเรียน หมายถึง การสกัดหรือกลั่นข้อมูลจากประสบการณ์การปฏิบัติ ที่ผ่านมา เพื่อนำมาร้อยเรียงให้เกิดเป็น “ชุดความรู้” นำไปพัฒนาต่อและเป็นต้นทุนทางปัญญาของ องค์กร (จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร, 2555 อ้างถึงใน อุทัยทิพย์ เจี่ยวิวรรธน์กุล, 2553) การถอดบทเรียน เป็นวิธีในการจัดการความรู้รูปแบบหนึ่งที่เน้นเสริมสร้างการเรียนรู้ ในกลุ่มที่เป็นระบบ เพื่อสกัดความรู้ฝังลึกในตัวคนและองค์ความรู้ของท้องถิ่น ออกมาเป็นบทเรียน ที่สามารถนำไปสรุปและสังเคราะห์เป็นชุดความรู้ คู่มือ สื่อรูปแบบต่างๆ โดยผลที่ได้จากการถอดบทเรียน นอกจากจะได้องค์ความรู้ในรูปแบบของเอกสารต่างๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ร่วมกระบวนการ ถอดบทเรียนจะต้องเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน อันจะนำมาซึ่งการปรับวิธีคิด และวิธีการทำงานที่สร้างสรรค์ และมีคุณภาพยิ่งขึ้น (อุทัยทิพย์ เจี่ยวิวรรธน์กุล, 2553) นอกจากนี้ ศุภวัลย์ พลายน้อย (2562) ได้ให้ความหมายของการถอดบทเรียนไว้ว่า การถอดบทเรียนเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการจัดการความรู้ โดยเป็นกระบวนการดึงเอาความรู้จากการ ทำงานออกมาใช้เป็นทุนในการบริหารจัดการในเรื่องที่ยากหรือซับซ้อนขึ้นไปจากเดิม โดยมีแนวคิดและ เทคนิควิธีที่หลากหลายประเภท ไม่ใช่เพียงเทคนิควิธีและไม่ควรยึดติดกับวิธีวิทยาใดวิธีวิทยาหนึ่ง แต่เป็น กระบวนการดึงเอาความรู้ที่ได้รับจากการทำงาน มาใช้ประโยชน์หรือการบริหารจัดการต่างๆ ซึ่งบุคคล กลุ่ม และโครงการ สามารถแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ได้มีการสะท้อนกลับทันทีเมื่อจบกิจกรรม และเกิดการเรียนรู้เมื่อจบสิ้นการทำงานหรือโครงการ


39 โดยสรุปได้ว่า การถอดบทเรียนเป็นทั้งแนวคิดและเครื่องมือที่ช่วยสกัดดึงความรู้ ประสบการณ์ จากการทำงานออกมาไม่ว่าจะเป็นของบุคคล กลุ่มคน องค์กร หรือโครงการ เพื่อนำไป พัฒนาหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ในการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น 2) ความสำคัญและประโยชน์ของการถอดบทเรียน จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร (2555) ได้อธิบายไว้ว่า ทำไมต้องถอดบทเรียน กล่าวคือ เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อการบรรลุเป้าหมาย (Achieving Goal) จำเป็นต้องมีการทบทวน กระบวนการทำงาน โดยมีข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ ข้อมูลดังกล่าวเรียกว่า “บทเรียน : Lesson Learned” บทเรียนจึงเป็นต้นทุนทางปัญญา (Knowledge Asset) ข้อมูลสำหรับการตัดสินใจในการขับเคลื่อนการ ทำงานต่อเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดลดต้นทุนของการทำงานครั้งใหม่ด้วย อีกทั้ง วรางคณา จันทร์คง (2557) ได้สรุปประโยชน์ของการถอดบทเรียน โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ (1) ระยะสั้น สามารถนำไปปรับปรุงเทคนิคการทำงาน การขับเคลื่อนเป็นไปในทิศทาง เดียวกัน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสังคม และทำให้ผลการดำเนินงาน โครงการดีขึ้น (2) ระยะกลาง และ (3) ระยะยาว ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการทำงานและการเผชิญปัญหา มากขึ้น เกิดความภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นพัฒนาการของโครงการที่ดีขึ้นหลังจากการนำบทเรียนไปปรับใช้ 3) วิธีการถอดบทเรียน การถอดบทเรียนมีวิธีการที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความสามารถในการอิงไปใช้ประโยชน์ ทั้งนี้โดยทั่วไปมีการกล่าวถึงวิธีการที่นำมาใช้ในการถอดบทเรียนใน 3 ลักษณะ สรุปได้ดังนี้ (1) การถอดบทเรียนจากการดำเนินงานโครงการ เป็นการถอดบทเรียนจากโครงการ ที่เราดำเนินการอยู่ เป็นการเติมช่องว่างในการพัฒนา โดยสามารถถอดบทเรียนได้ตลอดช่วงเวลา ของการดำเนินงาน ซึ่งยังสามารถจำแนกวิธีการถอดบทเรียนในลักษณะนี้ ตามระยะเวลาในการดำเนิน โครงการได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ (1.1) การถอดบทเรียนเมื่อเริ่มโครงการ ด้วยการเรียนรู้จากเพื่อน (Peer Assist) เป็นการเรียนรู้ก่อนการทำกิจกรรม เป็นการเรียนรู้จากเขา เขาเรียนรู้จากเรา ทั้งเราและเขาเรียนรู้ร่วมกัน และสิ่งที่เราร่วมกันสร้าง (เกิดความรู้ใหม่) โดยมีลักษณะเป็นการประชุม/ประชุมเชิงปฏิบัติใช้หลัก 4 W: What ทำอะไร (ประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้) Who ใคร (เพื่อนผู้รู้ ผู้ดำเนินการผู้ร่วมกระบวนการ) When ทำเมื่อไร (เมื่อต้องการเรียนรู้จากผู้อื่นก่อนเริ่มงาน) และ Why ทำไม (เพื่อค้นหาแนวทางใหม่/แนวทาง ที่เป็นไปไม่ได้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างเครือข่าย) (1.2) การถอดบทเรียนหลังปฏิบัติการ (After Action Review : AAR) เป็นการ เรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างดำเนินกิจกรรมในโครงการ เป็นการทบทวนความสำเร็จหรือความล้มเหลว ภายหลังการดำเนินกิจกรรม เพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม จะคงไว้ซึ่งจุดแข็งและปรับปรุงจุดอ่อน ได้อย่างไร เพื่อช่วยให้องค์กรได้ประโยชน์สูงสุด โดยมีประเด็นที่สำคัญ คือ การสร้างความเข้าใจร่วมกัน เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของโครงการ เงื่อนไขปัจจัยที่ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงแตกต่างไปจากสิ่งที่คาดหวัง


40 และกิจกรรมที่ควรทำให้ดีขึ้นหรือแตกต่างไปจากเดิม เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด หัวใจของ กระบวนการ AAR คือ การเปิดใจและความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ร่วมกันมากกว่าวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ใช่การ ประเมินผลการปฏิบัติงาน และต้องมีการปรับปรุงการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง เป็นการจับความรู้ ที่เกิดขึ้นสั้นๆ ภายหลังการทำกิจกรรม ซึ่งนำไปสู่การวางแผนในครั้งต่อไป (1.3) การถอดบทเรียนหลังการดำเนินงาน (Retrospect) จะมีรายละเอียด และ มีความลึกกว่าการเรียนรู้หลังปฏิบัติการ เพราะเป็นการถอดบทเรียนทั้งโครงการ ไม่ใช่เฉพาะกิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่ง วัตถุประสงค์ในการเรียนรู้หลังการดำเนินงานเพื่อสร้างความตระหนักในการเรียนรู้และนำ บทเรียนที่ดีไปใช้ในโครงการต่อไป ความรู้ที่ได้จากการถอดบทเรียนเป็นการช่วยผู้อื่น ให้ทำงานของเขา ได้ดีขึ้น โดยรูปแบบการเรียนรู้อาจใช้วิธีการประชุมพร้อมหน้า (Face to Face) หรือการประชุมทีม เพื่อมองอนาคต ทั้งนี้การเรียนรู้หลังโครงการจะทำเพื่อทบทวนวัตถุประสงค์ แผนงาน และกระบวนการ ดำเนินงานโครงการที่ผ่านมา อะไรที่ดำเนินการได้ดี และมีข้อเสนอแนะในอนาคตรวมถึงปัญหาอุปสรรค ที่เกิดขึ้น และวิธีการพยายามที่จะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันไม่ให้เกิดการทำผิดซ้ำ (2)การถอดบทเรียนแบบเรื่องเล่า (Storytelling) เป็นการเรียนรู้ก่อนหรือระหว่าง ทำกิจกรรม ด้วยการให้ผู้มีความรู้จากการปฏิบัติปลดปล่อยความรู้ที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวออกมาแลกเปลี่ยน เรียนรู้โดยผู้เล่าจะเล่าความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่ในตัวที่เกิดจากการปฏิบัติผู้ฟังสามารถตีความได้อิสระ การถอดบทเรียนในลักษณะนี้เป็นการสกัดความรู้จากเรื่องที่เล่าว่ามีคุณค่าและสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ได้อย่างไร (3)การถอดบทเรียนจากวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ความหมายของ Best Practice โดยภาพรวมคือวิธีการทำงานที่ดีที่สุดในเรื่องนั้นๆ ซึ่งอาจเป็นระบบการบริหาร เทคนิค วิธีการต่างๆ ที่ทำให้ผลงานบรรลุเป้าหมายระดับสูงสุด Best Practice จึงเป็นการทำงานที่ดีกว่าหรือ ดีที่สุด ไม่ใช่จำกัดเพียงวิธีการทำงานที่ดี แต่ยังแสดงถึงผลงานที่มีมาตรฐาน มีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง มีหลักฐานสนับสนุนหรือแสดงผลงานหรือผลสำเร็จของงาน ซึ่งมีคำที่คล้ายคลึง คือ Good Practice ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ และ Innovative Practice ซึ่งหมายถึงจุดเน้น หรือแนวทางการทำงานที่น่าสนใจ ซึ่งทั้งสองคำหลังหากมีการดำเนินการและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีหลักฐานยืนยันและบ่งชี้ถึงความสำเร็จที่ชัดเจน ก็จะยกระดับสู่การเป็น Best Practice ในที่สุด นอกจากนี้ Best Practice เป็นวิธีการทำงานที่ดีที่สุดในแต่ละเรื่อง นั้น สามารถเกิดขึ้นในทุกหน่วยงาน จากหลายช่องทาง ทั้งตัวผู้นำ ผู้ร่วมงาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือภาวะปัญหาและการริเริ่มสร้างสรรค์ พัฒนาที่มีขั้นตอน คุณลักษณะการเป็น Best Practice จะมีประเด็นในการพิจารณาโดยสังเขป ได้แก่ เป็นภารกิจโดยตรงของหน่วยงาน สนองต่อนโยบายการแก้ปัญหา/การพัฒนาประสิทธิภาพของหน่วยงาน ลดขั้นตอน ลดรอบระยะเวลาการทำงาน ลดทรัพยากรและค่าใช้จ่าย มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ มีวิธีการ ริเริ่มสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ หรือประยุกต์ขึ้นใหม่ สามารถเทียบเคียงวิธีการทำงานลักษณะเดียวกันกับ หน่วยงานอื่นได้ ได้ผลผลิต/ความสำเร็จเพิ่มขึ้น ใช้เป็นมาตรฐานการปฏิบัติต่อไปได้อย่างยั่งยืน โดยการ


41 ถอดบทเรียนจากบทเรียนที่ดีหรือวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) มี 6 ขั้นตอน คือ ค้นหาโจทย์ ถอดบทเรียนวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ กำหนดประเด็น จัดเก็บข้อมูล เขียนผลเบื้องต้น วิเคราะห์/สังเคราะห์ และสรุปผล (พิสิฐ โอ่งเจริญ, 2560) เกษตรอัจฉริยะ คือการทำการเกษตรโดยมีหลักในพัฒนาการเกษตรรูปแบบใหม่ ใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยในการทำงาน และผลักดันให้แต่ละขั้นตอนการผลิตมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำนวัตกรรมสำหรับการเกษตรมาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (2562) จึงได้แบ่งการใช้นวัตกรรมตามกระบวนการผลิต ดังนี้ (1) การวางแผนการผลิต เป็นการใช้เทคโนโลยีต่างๆ อาทิ นวัตกรรมด้าน AI และ Big Data ในการวางแผนการผลิตสินค้าเกษตร ทั้งสิ่งที่จะผลิต บริเวณการผลิต ช่วงเวลาที่ใช้ในการผลิต และกิจกรรม ทางการเกษตรที่ใช้ในการผลิต ซึ่งเป็นการบริหารจัดการการเกษตรก่อนการผลิตจริง และคาดหวังผลผลิต สู่ระบบการตลาดที่รองรับ ภายใต้ความสมดุลของสิ่งแวดล้อม (2) การเตรียมพื้นที่ทางการเกษตรด้วยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ เป็นการเตรียมพื้นที่ ที่ต้องการความแม่นยำ ลดแรงงานและเวลา อาทิ การใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ควบคุมการปรับระดับผิวหน้าดิน ทำให้สามารถปรับระดับผิวหน้าดินได้ตรงตามระนาบที่ต้องการ การใช้นวัตกรรมรถไถไร้คนขับ ซึ่งใช้การ ควบคุมบังคับทิศทางจากระบบดาวเทียม ทำให้สามารถขับเคลื่อนได้ตรงสม่ำเสมอ เป็นต้น นอกจากนี้ ในการบริหารให้เครื่องจักรกลมีการใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือในแง่ของการใช้เครื่องจักรกล ร่วมกันนั้น การใช้แนวคิดระบบการบริหารเครื่องจักรกลเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาสู่การนำไปปฏิบัติ ซึ่งต้องมี การวางแผนการเตรียมดินร่วมกันอย่างเป็นระบบ ทำให้ลดการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรกล และสามารถ เตรียมดินได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม (3) การเตรียมพันธุ์และการปลูกด้วยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ เน้นความสำคัญ ของวิทยาการในการปลูก ตั้งแต่การเลือกพันธุ์ ทั้งเมล็ดพันธุ์ ต้นพันธุ์ หรือท่อนพันธุ์ ที่ให้ผลผลิตสูง สามารถต้านทานโรคหรือแมลงศัตรูสำคัญ และ/หรือทนทานต่อข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อม ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการกำหนดระยะปลูกและการกำหนดช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสม ลดระยะเวลาและ แรงงานที่ใช้ปลูก ในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพการปลูกให้มากขึ้น (4) การจัดการธาตุอาหารพืช คือ การจัดการธาตุอาหารทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุ อาหารรอง ทั้งในรูปปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และ/หรือรูปแบบอื่นๆ การจัดการธาตุอาหารในเกษตรอัจฉริยะ ยังคงให้ความสำคัญกับการให้ธาตุอาหารตามความต้องการของพืชเป็นหลัก หากแต่ให้มีความแม่นยำ สูงขึ้น เช่น การจัดการแบบเฉพาะต้นหรือเฉพาะบริเวณ ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบและประเมิน ธาตุอาหารในดินที่มีความรวดเร็ว จำเพาะ และต้องสอดคล้องกับการให้ปุ๋ยอย่างจำเพาะเจาะจง ซึ่งปัจจุบัน มีการใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับบินถ่ายภาพความต้องการปุ๋ยไนโตรเจน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาในระดับต่อไป ทั้งเชิงลึกและครอบคลุมยังคงมีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป


42 (5) การจัดการน้ำ คือ การบริหารจัดการน้ำสำหรับพืชให้เพียงพอต่อการเพาะปลูก ทั้งการให้น้ำพืชและการระบายน้ำออก เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตและ ให้ผลผลิต ปัจจุบันมุ่งเน้นการให้น้ำอย่างพอเหมาะพอดี โดยใช้ระบบน้ำหยดที่ควบคุมการให้น้ำตามระดับ ความชื้นที่เปลี่ยนแปลงไปของดิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ที่ใช้ระบบ เซ็นเซอร์ติดตามสภาพความชื้นภายในแปลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้อาจมีการให้น้ำในระบบอื่นๆ แบบอัตโนมัติ รวมถึงการจัดการธาตุอาหารพืชผ่านระบบการให้น้ำอัตโนมัติอีกด้วย (6) การอารักขาพืช เป็นการป้องกันกำจัด การระบุชนิด การพยากรณ์ และการเตือนภัย เพื่อลดความเสี่ยงจากศัตรูพืช สามารถแยกเป็นกรณีของการลดความเสี่ยง โดยการเตือนภัยโรคแมลง ด้วยระบบการตรวจจับแมลงในแปลง การเตือนภัยโรคจากสภาพอากาศ เช่น การใช้อากาศยานไร้คนขับ บินถ่ายภาพเพื่อดูความผิดปกติของพืชหากเกิดโรคหรือแมลง การถ่ายภาพพืชหรือแมลงเพื่อตรวจสอบ ชนิดของโรคและแมลงเพื่อการป้องกันกำจัด เป็นต้น และในการกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะกรณีของวัชพืช เน้นการใช้เครื่องจักรที่เข้าทำลายวัชพืชแบบเฉพาะต้น โดยการเปรียบเทียบไม่ใช่พืชที่ปลูกแล้ว ให้เครื่องจักรทำลายทันที โดยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เช่น การถอนหรือการฉีดพ่นสารกำจัดเฉพาะจุด (7) การติดตามสุขภาพพืช เป็นการตรวจสอบและติดตามสุขภาพพืช เพื่อการประเมิน ผลผลิต โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะการใช้ระบบ Internet of Things (IoT) เพื่อให้สามารถ ประเมินช่วงเวลาและประมาณการผลผลิต ซึ่งจำเป็นต่อการวางแผนด้านการตลาดได้ (8) การเก็บเกี่ยว ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวมีสัดส่วนในการลงทุนสูงสุดในการผลิตพืช ปัจจุบันยังขาดเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อลดการสูญเสียผลผลิต (9) เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและการตลาดอัจฉริยะ เป็นการใช้เทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งผลผลิตและการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะเรื่องระบบการขนส่ง การบรรจุหีบห่อ ที่ทำให้ผลผลิตยังคงคุณภาพจนถึงแหล่งจำหน่าย รวมถึงการบริหารจัดการตลาดด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ช่วยให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว แม่นยำ เป็นระบบ และสามารถประเมิน และบริหารจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด (10) การสร้างความยั่งยืน เป็นการใช้ทรัพยากรการผลิตเท่าที่จำเป็นและเป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมโดยไม่กระทบกับทั้งปริมาณและคุณภาพของผลผลิต เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ในการทำการเกษตร สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals หรือ SDG) ดังนั้น การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ จึงเลือกใช้วิธีการถอดบทเรียนจากวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) เพื่อให้ได้แนวทางการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือรูปแบบการบริหารจัดการ การผลิตที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับเกษตรกรทั่วไป โดยยึดหลักในพัฒนาเกษตร อัจฉริยะ และแบ่งการใช้นวัตกรรมออกเป็น 4 ด้านตามกระบวนการผลิต


บทที่ 3 ข้อมูลทั่วไป 3.1 สถานการณ์การผลิต 3.1.1 สถานการณ์การผลิตข้าวนาปีของประเทศไทย ประเทศไทยมีเนื้อที่เพาะปลูกและผลผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2560/61 - 2564/65 เพิ่มขึ้นจาก 59,220,823 ไร่ ผลผลิต 24,934,349 ตันข้าวเปลือก ในปีเพาะปลูก 2560/61 เป็น 63,012,636 ไร่ ผลผลิต 26,806,578 ตันข้าวเปลือก ในปีเพาะปลูก 2564/65 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.66 และ 1.95 ต่อปี ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง และราคา ข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดีทำให้เกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูกข้าวในพื้นที่นาที่เคยปล่อย ว่างไว้ สำหรับผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่ปลูกเพิ่มขึ้นจาก 421 กิโลกรัมต่อไร่ ในปีเพาะปลูก 2560/61 เป็น 425 กิโลกรัมต่อไร่ ในปีเพาะปลูก 2564/65 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27 ต่อปี ตรงข้ามกับผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่ เก็บเกี่ยวลดลงจาก 454 กิโลกรัมต่อไร่ ในปีเพาะปลูก 2560/61 เหลือ 445 กิโลกรัมต่อไร่ ในปีเพาะปลูก 2564/65 หรือลดลงร้อยละ 0.69 ต่อปี เนื่องจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญ ของประเทศประสบปัญหาภัยธรรมชาติเกือบทุกปี ได้แก่ ฝนทิ้งช่วง และภัยแล้ง ในช่วงที่ข้าวกำลังเจริญเติบโต ส่งผลให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ บางพื้นที่ต้นข้าวยืนต้นตายเสียหายสิ้นเชิง นอกจากนี้บางพื้นที่ยัง ประสบปัญหาแมลงศัตรูพืชระบาด ขณะที่บางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากพายุ เกิดปัญหาน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ส่งผลให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่เต็มพื้นที่ ดังแสดงในตารางที่ 3.1 ตารางที่3.1 เนื้อที่ปลูก เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2560/61 ถึง ปีเพาะปลูก 2564/65 ของประเทศไทย รายการ 2560/61 2561/62 2562/63 2563/64 2564/65 อัตราเพิ่ม (ร้อยละ) เนื้อที่ปลูก (ไร่) 59,220,823 59,980,731 61,197,134 62,437,542 63,012,636 1.66 เนื้อที่เก็บเกี่ยว (ไร่) 54,962,767 55,627,198 60,093,788 26,423,822 60,261,293 2.65 ผลผลิต (ตัน) 24,934,349 25,177,856 24,064,170 26,423,822 26,806,578 1.95 ผลผลิต ต่อเนื้อที่ปลูก (กก./ไร่) 421 420 393 423 425 0.27 ผลผลิต ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว (กก./ไร่) 454 453 445 440 445 -0.69 ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2566)


44 3.1.2 สถานการณ์การผลิตข้าวนาปีของจังหวัดพิษณุโลก 1) การผลิต จังหวัดพิษณุโลก มีเนื้อที่เพาะปลูกและผลผลิต ปีเพาะปลูก 2560/61 - 2564/65 เพิ่มขึ้นจาก 1,337,171ไร่ และ 723,701 ตัน ในปี 2560/61 เป็น 1,491,563 ไร่ และ 854,896 ตัน ในปีเพาะปลูก 2564/65 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.08 และร้อยละ 4.48 ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เหมาะสมหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเฉพาะ โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว และราคาข้าวเปลือก ที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดีทำให้บางพื้นที่ ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น ส่วนผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยวของข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2560/61 - 2564/65 ลดลงจาก 589 กิโลกรัมต่อไร่ ในปี 2560/61 เป็น 584 กิโลกรัมต่อไร่ ในปีเพาะปลูก 2564/65 หรือลดลงร้อยละ 0.24 ต่อปี เนื่องจากประสบปัญหาภัยแล้งในช่วงที่ต้นข้าว เจริญเติบโต ส่งผลให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ยังประสบกับปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืช ระบาด ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เต็มพื้นที่ ดังแสดงในตารางที่ 3.2 ตารางที่3.2 เนื้อที่ปลูก เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2560/61ถึง ปีเพาะปลูก 2564/65 ของจังหวัดพิษณุโลก รายการ 2560/61 2561/62 2562/63 2563/64 2564/65 อัตราเพิ่ม (ร้อยละ) เนื้อที่ปลูก (ไร่) 1,337,171 1,375,939 1,391,726 1,497,547 1,491,563 3.08 เนื้อที่เก็บเกี่ยว (ไร่) 1,227,901 1,333,796 1,341,936 1,485,707 1,462,708 4.68 ผลผลิต (ตัน) 723,701 773,435 774,482 856,067 854,896 4.44 ผลผลิต ต่อเนื้อที่ปลูก (กก./ไร่) 541 562 556 572 573 1.33 ผลผลิต ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว (กก./ไร่) 589 580 577 576 584 -0.24 ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2566) 2) พันธุ์ข้าว พันธุ์ข้าวที่เกษตรกรจังหวัดพิษณุโลกส่วนใหญ่นิยมปลูกในฤดูนาปี เช่น ข้าวพันธุ์ กข41 กข49 กข57 พิษณุโลก 2 และปทุมธานี 1 ฯลฯ ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสง และเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของ ภาคเหนือตอนล่างในเขตชลประทาน เนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวมีอายุการเก็บเกี่ยวที่แน่นอน สามารถปลูกได้ตลอด ทั้งปี โดยในปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลกมีเนื้อที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นข้าวเจ้าอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 94.91 ของเนื้อที่ปลูกข้าวนาปีทั้งหมดของจังหวัดพิษณุโลก รองลงมาเป็นข้าวเจ้าปทุมธานี 1 ข้าวเจ้าสุพรรณบุรี 60 และ 90 และข้าวสุพรรณบุรี 1 คิดเป็นร้อยละ 2.62 ร้อยละ 1.44 และ 1.03 ตามลำดับ สำหรับผลผลิต พบว่าผลผลิต ส่วนใหญ่เป็นข้าวเจ้าอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 94.51 ของปริมาณผลผลิตข้าวทั้งหมดของจังหวัดพิษณุโลก รองลงมาเป็น


45 ข้าวเจ้าปทุมธานี 1 ข้าวเจ้าสุพรรณบุรี 60 และ 90 และข้าวสุพรรณบุรี 1 คิดเป็นร้อยละ 2.93 ร้อยละ 1.36 และ ร้อยละ 1.20 ตามลำดับ ส่วนผลผลิตต่อไร่ พบว่าข้าวเจ้าสุพรรณบุรี1 มีผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยวสูงสุด เท่ากับ 690 กิโลกรัมต่อไร่ รองลงมาเป็นข้าวปทุมธานี 1 ข้าวเจ้าอื่นๆ และข้าวสุพรรณนาบุรี 60 และ 90 มีผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยว เท่ากับ 653 582 และ 544 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ ดังแสดงในตารางที่ 3.3 ตารางที่ 3.3 เนื้อที่ปลูก และผลผลิตข้าวนาปีแยกรายพันธุ์ ปีเพาะปลูก 2564/65 ของจังหวัดพิษณุโลก ปีเพาะปลูก เนื้อที่ปลูก ร้อยละเนื้อที่ปลูก ผลผลิต ร้อยละผลผลิต ผลผลิตต่อไร่ (ไร่) (ร้อยละ) (ตัน) (ร้อยละ) เนื้อที่ปลูก เนื้อที่เก็บ จังหวัดพิษณุโลก 1,491563 100.00 854,896 100.00 573 584 ข้าวเจ้าอื่นๆ 1,415,704 94.91 807,930 94.51 571 582 ข้าวปทุมธานี 1 39,128 2.62 25,067 2.93 641 653 ข้าวสุพรรณนาบุรี 60, 90 21,438 1.44 11,619 1.36 542 544 ข้าวสุพรรณบุรี 1 15,293 1.03 10,280 1.20 672 690 ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2566) 3.2 สถานการณ์ราคา 3.2.1 สถานการณ์ราคาข้าวของประเทศไทย ปี 2561 - 2565 ราคาข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ณ ความชื้น 15% ที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มลดลงร้อยละ 6.39 และ 6.64 ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และบางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาฝนทิ้งช่วงในช่วงต้นฤดู การเพาะปลูก และประสบอุทกภัยในช่วงใกล้เก็บเกี่ยว ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ลดลง สำหรับราคา ข้าวขาว มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.55 ต่อปี เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกได้รับผลกระทบจากปัญหาฝน ทิ้งช่วงในช่วงต้นฤดูการเพาะปลูก และประสบอุทกภัยในช่วงใกล้เก็บเกี่ยว ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตที่เก็บเกี่ยว ได้ลดลง ขณะที่มีคำสั่งซื้อย่างต่อเนื่องจากตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศดังแสดงในตารางที่ 3.4 ตารางที่3.4 ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรขายได้ ณ ความชื้น 15% ปี 2561 - 2565 ของประเทศไทย หน่วย: บาทต่อตัน รายการ 2561 2562 2563 2564 2565 อัตราเพิ่ม (ร้อยละ) ข้าวเจ้าหอมมะลิ 15,199 14,257 10,916 9,651 13,281 -6.39 ข้าวเจ้า 7,922 7,821 8,434 7,801 8,997 2.55 ข้าวเหนียวเมล็ดยาว 9,834 13,863 10,648 7,814 9,797 -5.64 หมายเหตุ: ราคาข้าวเปลือกรวมนาปีและนาปรัง ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2565a)


46 3.2.2 สถานการณ์ราคาข้าวของจังหวัดพิษณุโลก สถานการณ์ราคาข้าวของจังหวัดพิษณุโลก ในปี 2561 - 2565 พบว่า ราคาข้าวเปลือกเจ้า ณ ความชื้น 15% ที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.81 ต่อปีโดยเพิ่มขึ้นจาก 7,772 บาทต่อตัน ในปี 2561 เป็น 8,315 บาทต่อตัน ในปี 2565 อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2565 ราคาข้าวเปลือกเจ้าที่เกษตรกร ขายได้ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากคุณภาพข้าวที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวได้ลดลง ประกอบกับสถานการณ์ ตลาดส่งออกข้าวชะลอตัวลงจากสถานการณ์โควิด ส่งผลให้ปริมาณคำสั่งซื้อในตลาดต่างประเทศลดลง ดังแสดง ในตารางที่ 3.5 ตารางที่ 3.5 ราคาข้าวเปลือกเจ้าที่เกษตรกรขายได้ณ ไร่นา ความชื้น 15% ปีเพาะปลูก 2561 ถึง 2565 ของจังหวัดพิษณุโลก หน่วย: บาทต่อตัน ปี ราคาข้าวเปลือกเจ้ารวม (ความชื้น 15%) 2561 7,772 2562 7,318 2563 8,114 2564 9,294 2565 8,315 อัตราเพิ่ม (ร้อยละ) 3.81 หมายเหตุ: ราคาข้าวเปลือกรวมนาปีและนาปรัง ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 (2566) 3.3 ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกรรุ่นใหม่และเกษตรกรทั่วไปที่ผลิตข้าวนาปี จังหวัดพิษณุโลก 3.3.1 ลักษณะส่วนบุคคล 1) เพศของเกษตรกร เกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 74.19 และเพศหญิง ร้อยละ 25.81 ส่วนเกษตรกร ทั่วไปส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 54.84 และเป็นเพศชาย ร้อยละ 45.16 2) อายุของเกษตรกร เกษตรกรรุ่นใหม่ มีอายุเฉลี่ย 42.55 ปีโดยส่วนใหญ่มีอายุ 31 - 40 ปีร้อยละ 83.88 รองลงมา คืออายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 ปี อายุระหว่าง 41 - 50 ปี และอายุระหว่าง 51 - 60 ปีร้อยละ 6.45 6.45 และ ร้อยละ 3.22 ตามลำดับ เกษตรกรทั่วไป มีอายุเฉลี่ย 46.10 ปีโดยส่วนใหญ่ มีอายุระหว่าง 51 - 60 ปีร้อยละ 38.71 รองลงมาคือ อายุระหว่าง 41 - 50 ปีอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 ปี อายุระหว่าง 31 - 40 ปี และอายุ 61 ปี ขึ้นไป ร้อยละ 25.81 ร้อยละ 16.13 ร้อยละ 12.90 และร้อยละ 6.45 ตามลำดับ


47 3) ระดับการศึกษาของเกษตรกร เกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับมัธยมปลาย/ ปวช. ร้อยละ 38.17 รองลงมาคือ มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น ศึกษาระดับ ปวส./อนุปริญญา ร้อยละ 32.26 ร้อยละ 12.90 ร้อยละ 6.45 และร้อยละ 6.45 ที่เท่ากัน ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา สูงกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 3.23 ส่วนเกษตรกรทั่วไปส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. ร้อยละ 35.48 รองลงมาคือมีการศึกษาประถมศึกษา ไม่ได้เรียนหนังสือ มัธยมศึกษาตอนต้น และศึกษาระดับ ปวส./อนุปริญญา ร้อยละ 29.03 ร้อยละ 16.13 ร้อยละ 12.90 ร้อยละ 3.23 และร้อยละ 3.23 ที่เท่ากัน ตามลำดับ 4) ประสบการณ์ในการปลูกข้าว เกษตรกรรุ่นใหม่มีประสบการณ์ในการปลูกข้าวเฉลี่ย 11.94 ปี ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการ ปลูกข้าวระหว่าง 15 - 45 ปีร้อยละ 51.61 และมีประสบการณ์ในการปลูกข้าวน้อยกว่า 15 ปี ร้อยละ 48.39 ส่วนเกษตรกรทั่วไปส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการปลูกข้าวระหว่าง 15 - 45 ปีร้อยละ 41.94 รองลงมาคือ มีประสบการณ์ในการปลูกข้าวน้อยกว่า 15 ปี และมีประสบการณ์ในการปลูกข้าวมากกว่า 45 ปีขึ้นไป ร้อยละ 38.71 และร้อยละ 19.35 ตามลำดับ ดังแสดงในตารางที่ 3.6 ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ร้อยละ 74.19 เป็นเพศหญิง ขณะที่เกษตรกร ทั่วไปส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 54.84 โดยเกษตรกรรุ่นใหม่ มีอายุเฉลี่ย 42.55 ปี และมากกว่าร้อยละ 30 มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. ถึงระดับปริญญาตรี ในขณะที่เกษตรกรทั่วไป มีการศึกษาระดับ ประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับประสบการณ์ในการปลูกข้าวของเกษตรกรรุ่นใหม่ เฉลี่ย 11.94 ปี น้อยกว่าเกษตรกรทั่วไป ที่มีประสบการณ์การปลูกข้าว เฉลี่ย 18.13 ปีดังแสดงในตารางที่ 3.6 ตารางที่ 3.6 ลักษณะส่วนบุคคลของเกษตรกรรุ่นใหม่ และเกษตรกรทั่วไปที่ปลูกข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก หน่วย: ราย รายการ เกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรกรทั่วไป จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ เพศของเกษตรกร เพศชาย 23 74.19 17 45.16 เพศหญิง 8 25.81 14 54.84 อายุของเกษตรกร น้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 ปี 2 6.45 5 16.13 31 - 40 ปี 26 83.88 4 12.90 41 - 50 ปี 2 6.45 8 25.81


48 ตารางที่ 3.6 (ต่อ) หน่วย: ราย รายการ เกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรกรทั่วไป จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ 51 - 60 ปี 1 3.22 12 38.71 61 ปี ขึ้นไป - - 2 6.45 อายุของเกษตรกรเฉลี่ย (ปี) 42.55 46.10 ระดับการศึกษาของเกษตรกร 31 100.00 31 100.00 ไม่ได้เรียนหนังสือ - - 5 16.13 ประถมศึกษา 4 12.90 9 29.03 มัธยมศึกษาตอนต้น 2 6.45 4 12.90 มัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. 12 38.71 11 35.48 อนุปริญญา/ปวส. 2 6.45 1 3.23 ปริญญาตรี 10 32.26 1 3.23 สูงกว่าปริญญาตรี 1 3.23 - - ประสบการณ์ในการปลูกข้าว 31 100.00 31 100.00 น้อยกว่า 15 ปี 15 48.39 12 38.71 ระหว่าง 15 - 45 ปี 16 51.61 13 41.94 มากกว่า 45 ปี ขึ้นไป - - 6 19.35 ประสบการณ์ในการปลูกข้าวเฉลี่ย (ปี) 11.94 18.13 ที่มา : จากการสำรวจ 5) จำนวนสมาชิกในครัวเรือน เกษตรกรรุ่นใหม่ มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4 ราย โดยส่วนใหญ่มีสมาชิก 3 - 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 61.29 รองลงมาคือมีสมาชิก 5 - 6 ราย น้อยกว่า 3 ราย และมากกว่า 6 รายขึ้นไป คิดเป็น ร้อยละ 25.81 ร้อยละ 9.68 และร้อยละ 3.23 ตามลำดับ ส่วนเกษตรกรทั่วไป มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4 ราย โดยส่วนใหญ่มีสมาชิก 3 - 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 45.16 รองลงมามีสมาชิกน้อยกว่า 3 ราย และมีสมาชิก 5 - 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 25.81 เท่ากัน และมีสมาชิกมากกว่า 6 รายขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 3.23 ดังแสดง ในตารางที่ 3.6 6) จำนวนแรงงานในครัวเรือน เกษตรกรรุ่นใหม่ มีจำนวนแรงงานในครัวเรือนเฉลี่ย 3 ราย จำแนกเป็นแรงงานในภาคเกษตรเฉลี่ย 2 ราย และแรงงานนอกภาคเกษตรเฉลี่ย 1 ราย โดยครัวเรือนส่วนใหญ่มีแรงงาน 3 - 4 ราย คิดเป็น ร้อยละ 74.19 และมีแรงงานน้อยกว่า 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 25.81 สำหรับเกษตรกรทั่วไป มีจำนวนแรงงาน ในครัวเรือนเฉลี่ย 3 ราย จำแนกเป็นแรงงานในภาคเกษตรเฉลี่ย 2 ราย และแรงงานนอกภาคเกษตรเฉลี่ย


49 1 ราย โดยส่วนใหญ่มีแรงงานน้อยกว่า 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 58.06 รองลงมามีแรงงาน 3 - 4 ราย และ มีแรงงาน 5 - 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 38.71 และร้อยละ 3.23 ตามลำดับ ดังแสดงในตารางที่ 3.7 ตารางที่ 3.7 จำนวนสมาชิก และจำนวนแรงงานในครัวเรือนที่ปลูกข้าวนาปี ของเกษตรกรรุ่นใหม่ และ เกษตรกรทั่วไป ที่ปลูกข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก หน่วย: ราย รายการ เกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรกรทั่วไป จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน น้อยกว่า 3 ราย 3 9.68 8 25.81 3 - 4 ราย 19 61.29 14 45.16 5 - 6 ราย 8 25.81 8 25.81 มากกว่า 6 ราย ขึ้นไป 1 3.23 1 3.23 จำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย (ราย) 4 4 จำนวนแรงงานในครัวเรือน น้อยกว่า 3 ราย 8 25.81 18 58.06 3 - 4 ราย 23 74.19 12 38.71 5 - 6 ราย - - 1 3.23 แรงงานเฉลี่ย (ราย) 3 3 แรงงานในภาคการเกษตร เฉลี่ย (ราย) 2 2 แรงงานนอกภาคการเกษตร เฉลี่ย (ราย) 1 1 ที่มา : จากการสำรวจ 7) การเป็นสมาชิกองค์กร/กลุ่มเกษตรกร เกษตรกรรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกองค์กร/กลุ่ม เกษตรกร ร้อยละ 93.55 และไม่ได้เป็นสมาชิก ร้อยละ 6.45 สำหรับเกษตรกรทั่วไป เป็นสมาชิกองค์กร/กลุ่ม เกษตรกร ร้อยละ 87.10 และไม่ได้เป็นสมาชิก ร้อยละ 12.90 โดยการเป็นสมาชิกองค์กร/กลุ่มเกษตรกร พบว่า เกษตรกรรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร้อยละ 50 รองลงมาเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตร สมาชิกวิสาหกิจชุมชน และสมาชิกกลุ่มเกษตรกร ร้อยละ 15.63 เท่ากัน และเป็นสมาชิกอื่น ๆ ร้อยละ 3.13 ตามลำดับ สำหรับเกษตรกรทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร้อยละ 57.50 รองลงมาเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตร สมาชิก อื่น ๆ สมาชิกวิสาหกิจชุมชน และสมาชิกกลุ่มเกษตรกร ร้อยละ 20 ร้อยละ 10 ร้อยละ 7.50 และร้อยละ 5 ตามลำดับ จะเห็นได้ว่าเกษตรกรรุ่นใหม่และเกษตรกรทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นหลัก เนื่องจากต้องอาศัยการรับบริการสินเชื่อจากธนาคารดังกล่าว เพื่อใช้ลงทุนในกิจกรรมการเกษตรของตนเอง ดังแสดงในตารางที่ 3.8


50 ตารางที่ 3.8 การเป็นสมาชิกองค์กร/กลุ่มเกษตรกร ของเกษตรกรรุ่นใหม่ และเกษตรกรทั่วไปที่ปลูกข้าวนาปี ปีการเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก หน่วย: ราย รายการ เกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรกรทั่วไป จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ การเป็นสมาชิก เป็นสมาชิก 29 93.55 27 87.10 ไม่เป็นสมาชิก 2 6.45 4 12.90 การเป็นสมาชิกองค์กร/กลุ่มเกษตรกร* สหกรณ์การเกษตร 5 15.63 8 20.00 ธนาคาร ธ.ก.ส. 16 50.00 23 57.50 วิสาหกิจชุมชน 5 15.63 3 7.50 กลุ่มเกษตรกร 5 15.63 2 5.00 อื่น ๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน 1 3.13 4 10.00 หมายเหตุ 1. * เลือกตอบได้มากกว่า 1 ข้อ 2. สมาชิกกลุ่มเกษตรกร ได้แก่ กลุ่มนาแปลงใหญ่ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) และศูนย์ข้าวชุมชน ที่มา: จากการสำรวจ 3.3.2 การผลิตข้าวนาปีของเกษตรกร 1) เนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปี เกษตรกรรุ่นใหม่มีเนื้อที่เพาะปลูกเฉลี่ย 40.63 ไร่ โดยส่วนใหญ่มีเนื้อที่เพาะปลูกข้าว น้อยกว่า 20 ไร่ ร้อยละ 96.76 และมีเนื้อที่เพาะปลูก 21 - 30 ไร่ ร้อยละ 3.24 ส่วนเกษตรกรทั่วไป มีเนื้อที่ เพาะปลูกข้าวเฉลี่ย 25.74 ไร่ ส่วนใหญ่มีเนื้อที่เพาะปลูกข้าว 10 - 20 ไร่ หรือร้อยละ 41.94 รองลงมาคือ มีเนื้อที่ เพาะปลูกข้าวมากกว่า 30 ไร่ น้อยกว่า 10 ไร่ และ 21 - 30 ไร่ ร้อยละ 22.60 ร้อยละ 19.33 และร้อยละ 16.13 ตามลำดับ ดังแสดงในตารางที่ 3.9 2) ลักษณะการถือครองที่ดิน เกษตรกรรุ่นใหม่ มีการจำแนกการถือครองที่ดิน ส่วนใหญ่ร้อยละ 87.10 มีที่ดินเป็นของ ตนเอง รองลงมาคือ เช่า และทำฟรี ร้อยละ 38.71 และร้อยละ 12.90 ตามลำดับ ส่วนเกษตรกรทั่วไปมีการ จำแนกการถือครองที่ดิน ส่วนใหญ่ร้อยละ 83.87 มีที่ดินเป็นของตนเอง รองลงมาคือ ทำฟรี และเช่า ร้อยละ 9.68 และร้อยละ 6.45 ตามลำดับ ดังแสดงในตารางที่ 3.9 3) แหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตร เกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ร้อยละ 33.82 มีการใช้แหล่งน้ำโดยอาศัยน้ำฝน รองลงมาคือ สูบจากบ่อ/สระ/บาดาล แหล่งน้ำชลประทาน สูบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และมีการใช้แหล่งน้ำจากโครงการ


51 เอกชน/ราชการ ร้อยละ 27.94 ร้อยละ 22.06 ร้อยละ 8.82 และร้อยละ 7.35 ตามลำดับ ส่วนเกษตรกรทั่วไป ส่วนใหญ่ ร้อยละ 31.82 มีการใช้แหล่งน้ำโดยอาศัยน้ำฝน รองลงมาคือ สูบจากบ่อ/สระ/บาดาล สูบจากแหล่ง น้ำธรรมชาติ และมีการใช้แหล่งน้ำโดยใช้แหล่งน้ำชลประทาน ร้อยละ 25.76 ร้อยละ 22.73 และร้อยละ 19.70 ตามลำดับ ดังแสดงในตารางที่ 3.9 ตารางที่ 3.9 เนื้อที่เพาะปลูก ลักษณะการถือครองที่ดิน แหล่งน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกข้าวนาปีของเกษตรกร รุ่นใหม่ และเกษตรกรทั่วไปที่ปลูกข้าวนาปี ปีการเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก หน่วย: ราย รายการ เกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรกรทั่วไป จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ เนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปี น้อยกว่า 10 ไร่ 15 48.38 6 19.33 10 - 20 ไร่ 15 48.38 13 41.94 21 - 30 ไร่ 1 3.24 5 16.13 มากกว่า 30 ไร่ - - 7 22.60 เนื้อที่เพาะปลูกข้าวเฉลี่ย (ไร่) 40.63 25.74 ลักษณะการถือครองที่ดิน* ของตนเอง 27 62.79 26 83.87 เช่า 12 27.91 2 6.45 ทำฟรี 4 9.30 3 9.68 แหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตร* น้ำฝน 23 33.82 21 31.81 ชลประทาน 15 22.06 13 19.70 สูบน้ำจากแหล่งธรรมชาติ 6 8.82 15 22.73 สระ/บ่อ/บาดาล ของตนเอง 19 27.94 17 25.76 แหล่งน้ำจากโครงการเอกชน/ราชการ 5 7.35 - - หมายเหตุ : * เลือกตอบได้มากกว่า 1 ข้อ ที่มา: จากการสำรวจ


52 4) การใช้ปัจจัยการผลิตของเกษตรกร จากข้อมูลการใช้ปัจจัยการผลิตของเกษตรกร พบว่า เกษตรกรรุ่นใหม่มีการใช้เมล็ดพันธุ์ ข้าวเฉลี่ย 29.39 กิโลกรัมต่อไร่ ปุ๋ยเคมีเฉลี่ย 52.74 กิโลกรัมต่อไร่ สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชเฉลี่ย 0.30 ลิตรต่อไร่ ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.62 ลิตรต่อไร่ และมีผลผลิตข้าวเฉลี่ย 703.47 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับ เกษตรกรทั่วไป มีการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเฉลี่ย 43.48 กิโลกรัมต่อไร่ ปุ๋ยเคมีเฉลี่ย 56.51 กิโลกรัมต่อไร่ สารเคมี ป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชเฉลี่ย 0.51 ลิตรต่อไร่ ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.73 วันงานต่อไร่ และมีผลผลิต ข้าวเฉลี่ย 629.18 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการใช้ปัจจัยการผลิตของเกษตรกรรุ่นใหม่น้อยกว่าเกษตรกร ทั่วไป เนื่องจากเกษตรกรรุ่นใหม่ได้รับการอบรม และคำแนะนำจากหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งเกษตรกรุ่นใหม่ยังมี การนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการเพาะปลูก นอกจากนี้ ยังพบว่าเกษตรกรทั่วไปใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวเพื่อเป็น ธาตุอาหารของพืช ในขณะที่เกษตรกรรุ่นใหม่บางรายมีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพร่วมด้วย จึงทำให้ เกษตรกรรุ่นใหม่สามารถลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีในการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชได้มากกว่า เกษตรกรทั่วไปได้ จะเห็นได้ว่า เกษตรกรรุ่นใหม่ใช้ปัจจัยการผลิตที่น้อยกว่าเกษตรกรทั่วไป ทั้งปริมาณเมล็ด พันธุ์ข้าว ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี ปริมาณการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะเดียวกันยังได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงกว่าเกษตรกรทั่วไป ดังแสดงในตารางที่ 3.10 ตารางที่ 3.10 การใช้ปัจจัยการผลิตและปริมาณผลผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ปัจจัยการผลิต/ผลผลิต เกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรกรทั่วไป เมล็ดพันธุ์ (กิโลกรัมต่อไร่) 29.39 43.48 ปุ๋ยเคมี (กิโลกรัมต่อไร่) 52.74 56.51 สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชฯ (ลิตรต่อไร่ 0.30 0.31 น้ำมันเชื้อเพลิง (ลิตรต่อไร่) 5.62 5.73 ผลผลิต (กิโลกรัมต่อไร่) 703.47 629.18 ที่มา: จากการสำรวจ 3.4 การใช้นวัตกรรมในการปลูกข้าวนาปีของเกษตรกรรุ่นใหม่ นวัตกรรมในการทำนาที่ทำการวิจัยในครั้งนี้ จำแนกออกเป็น 4 กิจกรรม ประกอบด้วย 1) นวัตกรรมที่ใช้ ในการเตรียมดิน 2) นวัตกรรมที่ใช้ในการปลูกข้าว 3) นวัตกรรมที่ใช้ในการดูแลรักษา และ 4) นวัตกรรมที่ใช้ใน การเก็บเกี่ยว โดยการสัมภาษณ์เกษตรกรรุ่นใหม่ที่ทำการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการเพาะปลูก 2564/65 จำนวน 31 ราย และเมื่อจำแนกนวัตกรรมออกเป็น 4 กิจกรรม ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้ 1) นวัตกรรมการวางแผนการผลิตและการเตรียมดิน เกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่นิยมใช้นวัตกรรมการใช้เครื่องจักรกลปรับระดับดิน ร้อยละ 41.94 และ การตรวจวิเคราะห์คุณภาพดิน ร้อยละ 22.58


53 2) นวัตกรรมการเตรียมพันธุ์และการปลูก เกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่นิยมใช้นวัตกรรมการเตรียมพันธุ์/คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ร้อยละ 48.39 และ ยังไม่มีเกษตรกรรุ่นใหม่รายใดที่เลือกใช้นวัตกรรมโดรนในการปลูกข้าว 3) นวัตกรรมการดูแลรักษา การจัดการน้ำและธาตุอาหารพืช เกษตรกรรุ่นใหม่นิยมใช้นวัตกรรมโดรนพ่นยาป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช ร้อยละ 32.26 รองลงมาคือ การใช้โดรนพ่นปุ๋ย การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การใช้นวัตกรรมเปียกสลับแห้ง และการใช้ แอปพลิเคชันในการติดตามการเจริญเติบโตของต้นข้าว ร้อยละ 29.03 ร้อยละ 22.58 ร้อยละ 6.45 และร้อยละ 3.23 ตามลำดับ 4) นวัตกรรมการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว เกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่นิยมใช้นวัตกรรมการไถกลบตอซังข้าว และการย่อยสลายตอซังข้าว ร้อยละ 35.48 เท่ากัน จากผลการวิจัย พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่เลือกใช้นวัตกรรมในการทำนาตั้งแต่ 1 นวัตกรรม จนถึง 5 นวัตกรรม แต่ส่วนใหญ่จะเลือกใช้เพียง 1 - 2 นวัตกรรมเท่านั้น เนื่องจากต้องเป็นนวัตกรรมที่เข้าถึงได้ง่าย ใช้งานได้สะดวก ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก เช่น การใช้โดรนพ่นยากำจัดวัชพืช/ศัตรูพืช การไถกลบตอซังข้าว การย่อย สลายตอซังข้าว การใช้นวัตกรรมเปียกสลับแห้ง เป็นต้น ส่วนนวัตกรรมที่เกษตรกรเลือกใช้น้อยหรือยังไม่ การใช้งาน เนื่องจากเหตุผลคือ 1) นวัตกรรมนั้นมีค่าใช้จ่ายหรือมีการลงทุนที่สูง เช่น การใช้เครื่องจักรกลปรับ ระดับดินนาด้วยแสงเลเซอร์ 2) นวัตกรรมมีความยุ่งยากหรือเพิ่มขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ได้แก่ การใช้ปุ๋ย ตามค่าวิเคราะห์ดิน 3) นวัตกรรมนั้นยังไม่พบการนำมาใช้ในพื้นที่ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีนวัตกรรมสมัยใหม่ ที่ยังไม่มีการใช้ในพื้นที่ การให้ปุ๋ยโดยใช้เครื่องวัดสีคลอโรฟิลล์มิเตอร์ ส่วนการเลือกใช้ขนาดรถเกี่ยวนวดข้าว ตามความเหมาะสมของพื้นที่ปลูกมีค่อนข้างน้อย เนื่องจากรถที่ใช้เก็บเกี่ยวมีเพียงขนาดเดียว อีกทั้งราคา ผลผลิตข้าวไม่จูงใจให้เกษตรกรลงทุนเพิ่มขึ้น ดังแสดงในตารางที่ 3.11 ตารางที่ 3.11 การใช้นวัตกรรมในการปลูกข้าวนาปี ของเกษตรกรรุ่นใหม่ ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัด พิษณุโลก หน่วย: ราย รายการ ใช้นวัตกรรม ไม่ใช้นวัตกรรม จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ 1.นวัตกรรมการวางแผนการผลิตและการเตรียมดิน 1.1 การใช้เครื่องจักรกลปรับระดับดิน 13 41.93 18 58.07 1.2 การตรวจวิเคราะห์คุณภาพดิน 7 22.58 24 77.42 2.นวัตกรรมการเตรียมพันธุ์และการปลูก 2.1 การเตรียมพันธุ์/คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ 15 48.39 16 51.61


54 ตารางที่ 3.11 (ต่อ) หน่วย: ราย รายการ ใช้นวัตกรรม ไม่ใช้นวัตกรรม จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ 3.นวัตกรรมที่ใช้ในการดูแลรักษา การจัดการน้ำและธาตุอาหารพืช 3.1 การดูแลรักษา 1) การใช้โดรนพ่นยากำจัดวัชพืช/ศัตรูพืช 10 32.26 21 67.74 2) การใช้แอปพลิเคชันในการติดตาม การเจริญเติบโตของต้นข้าว 1 3.23 30 96.77 3.2 การจัดการน้ำ 1) การใช้นวัตกรรมเปียกสลับแห้ง 2 6.45 29 93.55 3.3 การจัดการธาตุอาหารพืช 1) การใช้โดรนพ่นปุ๋ย 9 29.03 22 70.97 2) การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน 7 22.58 24 77.42 4.นวัตกรรมการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว 4.1 การย่อยสลายตอซังข้าว 11 35.48 20 64.52 4.2 การไถกลบตอซังข้าว 11 35.48 20 64.52 หมายเหตุ: เลือกตอบได้มากกว่า 1 ข้อ ที่มา : จากการสำรวจ


บทที่4 ผลการวิจัย การศึกษาประสิทธิภาพเชิงเทคนิคและการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตจากการใช้นวัตกรรม เพื่อการเกษตร กรณีศึกษาสินค้าข้าวของเกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดพิษณุโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวของเกษตรกรรุ่นใหม่ และเกษตรกรทั่วไป ซึ่งต้องรวบรวมข้อมูล จากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 ในจังหวัดพิษณุโลก ทำการวิเคราะห์เพื่ออธิบายถึงต้นทุน และผลตอบแทนการผลิต โดยอาศัยเครื่องมือทางสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และศึกษาประสิทธิภาพเชิง เทคนิคการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 ของเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยใช้เครื่องมือ Data Envelopment Analysis (DEA) และ Fractional Regression Model อีกทั้งศึกษาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต ข้าวนาปี ของเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยเปรียบเทียบปีเพาะปลูก 2561/62 และ ปีเพาะปลูก 2564/65 โดยอาศัย เครื่องมือ Malmquist Productivity Index รวมทั้งศึกษาแนวทางการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรที่ใช้นวัตกรรม เพื่อการเกษตรประกอบการอธิบาย ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 4.1 การเปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 ของเกษตรกรรุ่นใหม่และ เกษตรกรทั่วไป จังหวัดพิษณุโลก 4.1.1 ต้นทุนและผลตอบแทนของเกษตรกรรุ่นใหม่ 1) ต้นทุนรวมเฉลี่ย พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 มีต้นทุนการผลิต รวมเฉลี่ย 5,020.84 บาทต่อไร่ โดยเป็นต้นทุนที่เป็นเงินสดเฉลี่ย 3,688.67 บาทต่อไร่ และเป็นต้นทุนที่ไม่เป็น เงินสดเฉลี่ย 1,332.17 บาทต่อไร่ แบ่งเป็น 1.1) ต้นทุนผันแปร พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ มีต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 3,769.89 บาทต่อไร่ คิดเป็น ร้อยละ 75.09 ของต้นทุนทั้งหมด ประกอบด้วยค่าวัสดุ1,969.46 บาทต่อไร่ รองลงมาคือ ค่าแรงงานใน การผลิต และค่าดอกเบี้ยเงินลงทุนหรือค่าเสียโอกาสเงินลงทุน (ของต้นทุนผันแปร) เฉลี่ย 1,681.77 บาทต่อไร่ และ 118.66 บาทต่อไร่ ตามลำดับ 1.2) ต้นทุนคงที่ พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ มีต้นทุนคงที่เฉลี่ย 1,250.95 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 24.92ของต้นทุนทั้งหมด ประกอบด้วยค่าเช่าที่ดินเฉลี่ย 1,135.28 บาทต่อไร่ รองลงมาคือ ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ การเกษตร และค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร (ของต้นทุนคงที่) เฉลี่ย 106.27 บาทต่อไร่ และ 9.40 บาทต่อไร่ ตามลำดับ 2) ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ มีผลผลิตเฉลี่ย 703.47 กิโลกรัมต่อไร่ 3) ผลตอบแทนการผลิต พบว่าราคาข้าวเปลือกเจ้านาปีรวมที่เกษตรกรขายได้ณ ไร่นา ที่ความชื้น 15% ปีเพาะปลูก 2564/65เฉลี่ย 8.47 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้เกษตรกรรุ่นใหม่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 5,958.39 บาทต่อไร่ และมีผลตอบแทนสุทธิ(กำไร) เฉลี่ย 937.55 บาทต่อไร่ หรือ 1.33 บาทต่อกิโลกรัม รายละเอียดดังแสดง ในตารางที่ 4.1


56 ตารางที่ 4.1ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปีของเกษตรกรรุ่นใหม่ ปีเพาะปลูก2564/65จังหวัดพิษณุโลก หน่วย : บาทต่อไร่ รายการ เงินสด ไม่เป็นเงินสด รวม ร้อยละ 1. ต้นทุนผันแปร 3,061.03 708.86 3,769.89 75.09 1.1 ค่าแรงงาน 1,129.44 552.33 1,681.77 33.50 1) เตรียมดิน 390.62 73.76 464.38 9.25 2) เตรียมพันธุ์และปลูก 112.03 52.36 164.39 3.27 3) ดูแลรักษา 128.49 426.21 554.70 11.05 4) เก็บเกี่ยว 498.30 - 498.30 9.92 1.2 ค่าวัสดุ 1,835.24 134.22 1,969.46 39.23 1) ค่าพันธุ์ 482.07 76.34 558.41 11.12 2) ค่าปุ๋ย 949.32 25.72 975.04 19.42 3) ค่ายาปราบศัตรูพืชและวัชพืช 165.22 32.16 197.38 3.93 4) ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น 219.18 - 219.18 4.37 5) ค่าวัสดุสิ้นเปลืองและอื่นๆ 15.13 - 15.13 0.30 6)ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ทางการเกษตร 4.32 - 4.32 0.09 1.3 ค่าเสียโอกาสในการลงทุน 96.35 22.31 118.66 2.36 2. ต้นทุนคงที่ 627.64 623.31 1,250.95 24.92 2.1 ค่าเช่าที่ดิน 627.64 507.64 1,135.28 22.61 2.2 ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์การเกษตร - 106.27 106.27 2.12 2.3 ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร - 9.40 9.40 0.19 3. ต้นทุนการผลิตรวม 3,688.67 1,332.17 5,020.84 100.00 4. ผลผลิตต่อไร่ (กก.) 703.47 5. ต้นทุนการผลิตต่อกิโลกรัม (บาท) 7.14 6. ราคาที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นา (บาท/กก.) 8.47 7. รายได้ต่อไร่ (บาท) 5,958.39 8. รายได้สุทธิต่อไร่ (บาท) 937.55 9. รายได้สุทธิต่อกิโลกรัม (บาท) 1.33 หมายเหตุ : ราคาข้าวเปลือกเจ้านาปีรวมที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่น่าจังหวัดพิษณุโลก ปีเพาะปลูก 2564/65 ความชื้น 15% ที่มา : จากการคำนวณ


57 4.1.2 ต้นทุนและผลตอบแทนของเกษตรกรทั่วไป 1) ต้นทุนรวมเฉลี่ย พบว่าเกษตรกรทั่วไปที่ผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 มีต้นทุนการผลิต รวมเฉลี่ย 5,518.65 บาทต่อไร่ โดยเป็นต้นทุนที่เป็นเงินสดเฉลี่ย 4,356.90 บาทต่อไร่ และเป็นต้นทุนที่ไม่เป็น เงินสดเฉลี่ย 1,161.75 บาทต่อไร่ แบ่งเป็น 1.1) ต้นทุนผันแปร พบว่าเกษตรกรทั่วไป มีต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 4,352.13 บาทต่อไร่ คิดเป็น ร้อยละ 78.86 ของต้นทุนทั้งหมด ประกอบด้วยค่าวัสดุ2,533.59 บาทต่อไร่ รองลงมาคือ ค่าแรงงานในการ ผลิต และค่าดอกเบี้ยเงินลงทุนหรือค่าเสียโอกาสเงินลงทุน (ของต้นทุนผันแปร) เฉลี่ย 1,681.55 บาทต่อไร่ และ 136.99 บาทต่อไร่ ตามลำดับ 1.2) ต้นทุนคงที่ พบว่าเกษตรกรทั่วไป มีต้นทุนคงที่เฉลี่ย 1,166.52 บาทต่อไร่ คิดเป็น ร้อยละ 21.14 ของต้นทุนทั้งหมด ประกอบด้วยค่าเช่าที่ดินเฉลี่ย 1,036.87 บาทต่อไร่ รองลงมาคือ ค่าเสื่อมราคา อุปกรณ์การเกษตร และค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร (ของต้นทุนคงที่) เฉลี่ย 119.67 บาทต่อไร่ และ 9.98 บาทต่อไร่ ตามลำดับ 2) ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ พบว่าเกษตรกรทั่วไป มีผลผลิตเฉลี่ย 629.18 กิโลกรัมต่อไร่ 3) ผลตอบแทนการผลิต พบว่าราคาข้าวเปลือกเจ้านาปีที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ที่ความชื้น 15% ปีเพาะปลูก 2564/65 เฉลี่ย 8.47 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้เกษตรกรทั่วไปมีผลตอบแทนเฉลี่ย 5,329.15 บาท ต่อไร่ และมีผลตอบแทนสุทธิ(กำไร) เฉลี่ย -189.50 บาทต่อไร่ หรือ -0.30 บาทต่อกิโลกรัม รายละเอียดดังแสดง ในตารางที่ 4.2 ตารางที่ 4.2ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปีของเกษตรกรทั่วไป ปีเพาะปลูก 2564/65จังหวัดพิษณุโลก หน่วย : บาทต่อไร่ รายการ เงินสด ไม่เป็นเงินสด รวม ร้อยละ 1. ต้นทุนผันแปร 3,775.45 576.68 4,352.13 78.86 1.1 ค่าแรงงาน 1,148.39 533.16 1,681.55 30.47 1) เตรียมดิน 400.36 64.03 464.39 8.41 2) เตรียมพันธุ์และปลูก 116.25 37.10 153.35 2.78 3) ดูแลรักษา 131.05 432.03 563.08 10.20 4) เก็บเกี่ยว 500.73 - 500.73 9.07 1.2 ค่าวัสดุ 2,508.22 25.37 2,533.59 45.91 1) ค่าพันธุ์ 869.20 - 869.20 15.75 2) ค่าปุ๋ย 1,073.69 25.37 1,099.06 19.92 3) ค่ายาปราบศัตรูพืชและวัชพืช 312.26 - 312.26 5.66 4) ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น 229.20 - 229.20 4.15 5) ค่าวัสดุสิ้นเปลืองและอื่นๆ 18.70 - 18.70 0.34 6)ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ทางการเกษตร 5.17 - 5.17 0.09


58 ตารางที่ 4.2 (ต่อ) หน่วย : บาทต่อไร่ รายการ เงินสด ไม่เป็นเงินสด รวม ร้อยละ 1.3 ค่าเสียโอกาสในการลงทุน 118.84 18.15 136.99 2.48 2. ต้นทุนคงที่ 581.45 585.07 1,166.52 21.14 2.1 ค่าเช่าที่ดิน 581.45 455.42 1,036.87 18.79 2.2 ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์การเกษตร - 119.67 119.67 2.17 2.3 ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร - 9.98 9.98 0.18 3. ต้นทุนการผลิตรวม 4,356.90 1,161.75 5,518.65 100.00 4. ผลผลิตต่อไร่ (กก.) 629.18 5. ต้นทุนการผลิตต่อกิโลกรัม (บาท) 8.77 6. ราคาที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นา (บาท/กก.) 8.47 7. รายได้ต่อไร่ (บาท) 5,329.15 8. รายได้สุทธิต่อไร่ (บาท) -189.50 9. รายได้สุทธิต่อกิโลกรัม (บาท) -0.30 หมายเหตุ : ราคาข้าวเปลือกเจ้านาปีรวมที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่น่าจังหวัดพิษณุโลก ปีเพาะปลูก 2564/65 ความชื้น 15% ที่มา : จากการคำนวณ 4.1.3 เปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลกของ เกษตรกรรุ่นใหม่ และเกษตรกรทั่วไป เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปีของเกษตรกรรุ่นใหม่และเกษตรกรทั่วไป พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่มีต้นทุนการผลิตรวมเฉลี่ย 5,020.84 บาทต่อไร่ ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ทั่วไป ที่มีต้นทุนการผลิตรวมเฉลี่ย 5,518.65 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 9.91 สำหรับผลผลิต พบว่าเกษตรกร รุ่นใหม่มีผลผลิตเฉลี่ย 703.47 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าเกษตรกรทั่วไปที่มีผลผลิตเฉลี่ย 629.18 กิโลกรัมต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 10.56 เมื่อพิจารณาผลตอบแทนสุทธิของเกษตรกร จากราคาข้าวเปลือกเจ้านาปีรวมที่เกษตรกร ขายได้ ณ ไร่นา ที่ความชื้น 15% เฉลี่ย ปีเพาะปลูก2564/65 พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่มีผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย 937.55 บาทต่อไร่ หรือ 1.33 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าเกษตรกรทั่วไปที่มีผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย -189.50 บาท ต่อไร่ หรือ -0.30 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 120.21 และ 122.55 ตามลำดับ เนื่องจากเกษตรกรรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มเกษตรกรซึ่งจะได้รับการอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตร จากหน่วยงาน ภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มผลผลิตลดต้นทุนการผลิต และได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมการเกษตรที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ช่วยให้เกษตรกรรุ่นใหม่ลดการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว โดยมีการใช้ ปริมาณ 29.39 กิโลกรัมต่อไร่ ต่ำกว่าเกษตรกรทั่วไปที่มีการใช้ปริมาณ 43.48 กิโลกรัมต่อไร่และในการกำจัดแมลง ศัตรูข้าวพบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่บางรายใช้สารชีวภัณฑ์หรือใช้สมุนไพรกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ผลิดเอง ทำให้


59 ลดค่าใช้จ่ายในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช จึงทำให้เกษตรกรรุ่นใหม่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า และมีผลผลิต ต่อไร่ที่สูงกว่าเกษตรกรทั่วไป และมีผลตอบแทนสุทธิสูงกว่าเกษตรกรทั่วไป ดังแสดงในตารางที่ 4.3 ตารางที่ 4.3 เปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปี ของเกษตรกรรุ่นใหม่ และเกษตรกรทั่วไป ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก รายการ เกษตรกรรุ่นใหม่ (1) เกษตรกรทั่วไป (2) ผลต่าง (1) - (2) ผลต่าง (ร้อยละ) ต้นทุนผันแปร (บาทต่อไร่) 3,769.89 4,352.13 -582.24 -15.44 ต้นทุนคงที่ (บาทต่อไร่) 1,250.95 1,166.52 84.43 6.75 ต้นทุนรวม (บาทต่อไร่) 5,020.84 5,518.65 -497.81 -9.91 ผลผลิตต่อไร่ (กิโลกรัม) 703.47 629.18 74.29 10.56 ต้นทุนรวมต่อกิโลกรัม (บาท) 7.14 8.77 -1.63 -22.83 ราคาที่เกษตรกรขายได้ (บาท/กก.) 8.47 8.47 - - ผลตอบแทนต่อไร่ (บาท) 5,958.39 5,329.15 629.24 10.56 ผลตอบแทนสุทธิต่อไร่ (บาท) 937.55 -189.50 1,127.05 120.21 ผลตอบแทนสุทธิต่อกิโลกรัม (บาท/กก.) 1.33 -0.30 1.63 122.55 ที่มา : จากการคำนวณ 4.2 การวัดประสิทธิภาพการผลิต 4.2.1 การวัดประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค ในการศึกษาครั้งนี้ทำการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ ด้วยวิธีการ Data Envelopment Analysis หรือ DEA โดยพิจารณาด้านปัจจัยนำเข้า (Input - Orientated) ซึ่งวัดจากปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี ปริมาณการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช รวมทั้งแรงงานเครื่องจักร ซึ่งประสิทธิภาพ เชิงเทคนิคมีค่า อยู่ระหว่าง 0 -1 ค่าประสิทธิการผลิตภาพเชิงเทคนิคที่เท่ากับ 1 จะแสดงถึงการมีประสิทธิภาพเต็มที่ ในการวิเคราะห์ ประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค ได้แบ่งระดับประสิทธิภาพออกเป็น 5 ระดับ โดยนักวิจัยกำหนดให้มี 5 ระดับ ให้แต่ละระดับห่างกันร้อยละ 20 ดังนี้ ค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค 0.000 - 0.200 ระดับต่ำมาก ค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค 0.201 - 0.400 ระดับต่ำ ค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค 0.401 - 0.600 ระดับปานกลาง ค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค 0.601 - 0.800 ระดับสูง ค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค 0.801 - 1.000 ระดับสูงมาก เมื่อพิจารณาจากตารางที่ 4.4 ผลการประมาณค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ พบว่ามีค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค เฉลี่ย 0.829 หรือร้อยละ 82.90 ซึ่งหมายความว่าเมื่อเทียบกับผู้ผลิตที่ดีสุดในกลุ่มที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 1 หากเกษตรกรต้องการผลผลิตในปริมาณเท่าเดิม ควรปรับลดการใช้ปัจจัยการผลิตร้อยละ 17.10 เมื่อจำแนก


60 ระดับประสิทธิภาพเชิงเทคนิคเป็น 5 ระดับ ไม่พบเกษตรกรที่มีระดับประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคในระดับ ต่ำมาก โดยเกษตรกรส่วนใหญ่มีระดับประสิทธิภาพในระดับสูงมาก (0.801 -1.000) ร้อยละ 61.29 รองลงมาได้แก่ เกษตรกรที่มีระดับประสิทธิภาพในระดับสูง (0.601 - 0.800) ร้อยละ 22.58 ประสิทธิภาพในระดับปานกลาง (0.401 - 0.600) ร้อยละ 12.90 และประสิทธิภาพในระดับต่ำ (0.201 - 0.400) ร้อยละ 3.23 ตามลำดับ สำหรับการศึกษาในครั้งนี้เป็นการวัดประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค โดยพิจารณาจากความสามารถของ เกษตรกรในการลดจำนวนปัจจัยการผลิต โดยที่จำนวนผลผลิตยังคงมีอยู่เท่าเดิม ซึ่งเกษตรกรรุ่นใหม่ มีประสิทธิภาพการผลิตระดับสูงและระดับสูงมาก จะเห็นได้ว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพการผลิตที่สูง มาก ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการได้รับความรู้ และสนับสนุนให้ใช้ปัจจัยการผลิตที่เหมาะสม แต่ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพ เต็มที่ (ค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค เท่ากับ 1) ซึ่งถ้าหากต้องการยกระดับตนเองให้อยู่ในระดับการผลิต ที่มีประสิทธิภาพ จะต้องลดการใช้ปัจจัยการผลิตลงร้อยละ 17.10 ดังแสดงในตารางที่ 4.4 ตารางที่ 4.4 ระดับประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคข้าวนาปีปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ ระดับประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค จำนวน (ราย) ร้อยละ ระดับต่ำมาก (0.000 - 0.200) - - ระดับต่ำ (0.201 - 0.400) 1 3.23 ระดับปานกลาง (0.401 - 0.600) 4 12.90 ระดับสูง (0.601 - 0.800) 7 22.58 ระดับสูงมาก (0.801 - 1.000) 19 61.29 รวม 31 100.00 ประสิทธิภาพเฉลี่ย 0.829 ประสิทธิภาพต่ำสุด 0.270 ประสิทธิภาพสูงสุด 1.000 ที่มา : ตารางผนวกที่ 1.1 - 1.2 4.2.2 การวิเคราะห์ส่วนเกินปัจจัยการผลิต จากการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค พบว่าเกษตรกรุ่นใหม่ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ การผลิตเชิงเทคนิคเต็มที่ หน่วยผลิตมีส่วนเกินปัจจัยการผลิต (Input Slack) เกษตรกรสามารถลดปริมาณการใช้ ปัจจัยการผลิต โดยได้ผลผลิตจำนวนเท่าเดิม ซึ่งการพิจารณาส่วนเกินปัจจัยการผลิตแต่ละชนิด เป็นการวิเคราะห์ว่า หน่วยผลิตแต่ละหน่วยที่มีค่าประสิทธิภาพน้อยกว่า 1 สามารถทำการลดปัจจัยการผลิตแต่ละชนิดลงได้ในระดับที่ จะทำให้เคลื่อนไปสู่ระดับการผลิตที่เหมาะสม (Optimal Scale) หรืออยู่บนเส้นพรมแดนการผลิต ซึ่งกล่าวได้ว่า มีประสิทธิภาพเชิงเทคนิคที่สูงขึ้น ดังนี้


61 1)ส่วนเกินปัจจัยการผลิตข้าวนาปีปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลกของเกษตรกรรุ่นใหม่ จากตารางที่ 4.5 เมื่อพิจารณาปัจจัยการผลิตทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช และศัตรูพืชและน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตหลักที่ส่งผลต่อค่าประสิทธิภาพการผลิต และเป็นต้นทุนหลัก ของค่าวัสดุและอุปกรณ์ จากผลการศึกษา พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่มีส่วนเกินของการปัจจัยการผลิตเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช และน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์ส่วนเกิน ปัจจัยการผลิต พบว่าส่วนเกินของการปัจจัยการผลิตเมล็ดพันธุ์เท่ากับ 0.627 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนเกินของการ ปัจจัยการผลิตปุ๋ยเคมี เท่ากับ 1.365 กิโลกรัมต่อไร่ส่วนเกินของการปัจจัยการผลิตสารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช และศัตรูพืช เท่ากับ 0.049 ลิตรต่อไร่ และส่วนเกินของการปัจจัยการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง เท่ากับ 1.043 ลิตรต่อไร่ ดังนั้น เกษตรกรรุ่นใหม่สามารถลดการใช้ปัจจัยการผลิตดังกล่าวลงได้อีก โดยไม่ทำให้ผลผลิต เปลี่ยนแปลง ตารางที่ 4.5ค่าส่วนเกินปัจจัยการผลิตข้าวนาปีปีเพาะปลูก 2564/65 ของเกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดพิษณุโลก ปัจจัยการผลิต ค่าส่วนเกิน เมล็ดพันธุ์(กิโลกรัมต่อไร่) 0.627 ปุ๋ยเคมี(กิโลกรัมต่อไร่) 1.365 สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช (ลิตรต่อไร่) 0.049 น้ำมันเชื้อเพลิง (ลิตรต่อไร่) 1.043 ที่มา : ตารางผนวกที่ 1.1 2) ส่วนเกินปัจจัยการผลิตข้าวนาปีปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ของเกษตรกร รุ่นใหม่ ที่จำแนกตามระดับประสิทธิภาพ พบว่า 2.1) เกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มีค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคในระดับสูง (1) ปัจจัยการผลิตด้านเมล็ดพันธุ์ พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ใช้เมล็ดพันธุ์เฉลี่ย 30.82 กิโลกรัมต่อไร่ และไม่มีส่วนเกินปัจจัยการผลิต (2) ปัจจัยการผลิตด้านปุ๋ยเคมี พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ใช้ปุ๋ยเคมีเฉลี่ย 57.51 กิโลกรัม ต่อไร่ และมีส่วนเกินการใช้ปุ๋ยเคมี 2.18 กิโลกรัมต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 3.79 ของปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง (3) ปัจจัยการผลิตด้านสารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชเฉลี่ย 0.34 ลิตรต่อไร่ และมีส่วนเกินการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช และศัตรูพืช0.09 ลิตรต่อไร่คิดเป็นร้อยละ 26.47 ของปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง (4) ปัจจัยการผลิตด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 6.14 ลิตรต่อไร่ และมีส่วนเกินการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 1.44 ลิตรต่อไร่คิดเป็นร้อยละ 23.45 ของปัจจัยการผลิต ที่ใช้จริง


62 2.2) เกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มีค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคในระดับสูงมาก (1) ปัจจัยการผลิตด้านเมล็ดพันธุ์ พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ใช้เมล็ดพันธุ์เฉลี่ย 25.16 กิโลกรัมต่อไร่และไม่มีส่วนเกินการใช้ปัจจัยการผลิต (2) ปัจจัยการผลิตด้านปุ๋ยเคมี พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ใช้ปุ๋ยเคมีเฉลี่ย 52.94 กิโลกรัม ต่อไร่ และมีส่วนเกินการใช้ปุ๋ยเคมี 1.42 กิโลกรัมต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 2.68 ของปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง (3) ปัจจัยการผลิตด้านสารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช พบว่า เกษตรกรรุ่นใหม่ ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชเฉลี่ย 0.24 ลิตรต่อไร่ และมีส่วนเกินการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช และศัตรูพืช0.04 ลิตรต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 16.67 ของปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง (4) ปัจจัยการผลิตด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย เฉลี่ย 5.82 ลิตรต่อไร่ และมีส่วนเกินการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 1.17 ลิตรต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 20.10 ของปัจจัย การผลิตที่ใช้จริง ดังแสดงในตารางที่ 4.6 การวิเคราะห์ส่วนเกินปัจจัยการผลิต เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยการผลิตทุกชนิดร่วมกัน จากผลการศึกษา พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคในระดับสูง มีส่วนเกินปัจจัยการ ผลิตเมื่อเทียบกับปัจจัยการผลิตที่ใช้จริงด้านสารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชมากที่สุด รองลงมาคือด้าน น้ำมันเชื้อเพลิง และด้านปุ๋ยเคมีตามลำดับ ส่วนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคใน ระดับสูงมาก พบว่ามีส่วนเกินปัจจัยการผลิตเมื่อเทียบกับปัจจัยการผลิตที่ใช้จริงด้านน้ำมันเชื้อเพลิงมากที่สุด รองลงมาคือด้านสารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช และด้านปุ๋ยเคมีตามลำดับ ทั้งนี้ หากเกษตรกรรุ่นใหม่ สามารถลดการใช้ปัจจัยการผลิตดังกล่าว จะทำให้สามารถก้าวเข้าไปสู่ระดับการผลิตที่เหมาะสมได้ ตารางที่ 4.6 ปัจจัยการผลิตที่ใช้จริงและส่วนเกินปัจจัยการผลิตข้าวนาปีปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ จำแนกตามระดับประสิทธิภาพ ปัจจัยการผลิต ระดับประสิทธิภาพ ระดับสูง ระดับสูงมาก เมล็ดพันธุ์(กิโลกรัมต่อไร่) ปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง 30.82 25.16 ส่วนเกินปัจจัยการผลิต - - ร้อยละส่วนเกินต่อปัจจัยที่ใช้จริง - -


63 ตารางที่ 4.6 (ต่อ) ปัจจัยการผลิต ระดับประสิทธิภาพ ระดับสูง ระดับสูงมาก ปุ๋ยเคมี (กิโลกรัมต่อไร่) ปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง 57.51 52.94 ส่วนเกินปัจจัยการผลิต 2.18 1.42 ร้อยละส่วนเกินต่อปัจจัยที่ใช้จริง 3.79 2.68 สารเคมีป้องกันและกำจัดวัชพืชฯ (ลิตรต่อไร่) ปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง 0.34 0.24 ส่วนเกินปัจจัยการผลิต 0.09 0.04 ร้อยละส่วนเกินต่อปัจจัยที่ใช้จริง 26.47 16.67 น้ำมันเชื้อเพลิง (ลิตรต่อไร่) ปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง 6.14 5.82 ส่วนเกินปัจจัยการผลิต 1.44 1.17 ร้อยละส่วนเกินต่อปัจจัยที่ใช้จริง 23.45 20.10 ที่มา : ตารางผนวกที่ 1.2 - 1.4 4.2.3 ปริมาณการใช้ปัจจัยการผลิตของเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 การศึกษาประสิทธิภาพการผลิตข้าวเชิงเทคนิคด้วยวิธีการ Data Envelopment Analysis หรือ DEA จะมีค่าประสิทธิภาพอยู่ระหว่าง 0 - 1 ค่าประสิทธิภาพเชิงเทคนิคที่เท่ากับ 1 จะแสดงถึงการ มีประสิทธิภาพการผลิตเต็มที่ จากผลการศึกษา พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตข้าวเชิงเทคนิค เท่ากับ 1 ไม่มีส่วนเกินการใช้ปัจจัยการผลิต และมีการใช้ปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง โดยมีปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ 24.84 กิโลกรัมต่อไร่ ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี56.82 กิโลกรัมต่อไร่ ปริมาณการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช และศัตรูพืช 0.22 ลิตรต่อไร่ และปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 4.16 ลิตรต่อไร่ ผลผลิตข้าวที่ได้ 714.67 กิโลกรัมต่อไร่ซึ่งกรมการข้าวได้แนะนำปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เหมาะสม สำหรับการปลูกข้าวแบบหว่าน น้ำตม จะใช้เมล็ดพันธุ์ 15 - 20 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับนาหว่านซึ่งปลูกข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสงอยู่ที่ 40 - 50 กิโลกรัมต่อไร่ (กรมการข้าว, 2566) จะเห็นได้ว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีค่าประสิทธิภาพเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ใกล้เคียงกับคำแนะนำของกรมการข้าว ดังแสดงในตารางที่ 4.7


64 ตารางที่ 4.7 ปริมาณการใช้ปัจจัยการผลิตของเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 ปัจจัยการผลิต ปริมาณการใช้1 คำแนะนำกรมการข้าว2 เมล็ดพันธุ์ (กิโลกรัมต่อไร่) 24.84 - นาหว่านน้ำตม 15 - 20 กิโลกรัมต่อไร่ - นาดำ 7 กิโลกรัมต่อไร่ - นาโยน 5 กิโลกรัมต่อไร่ - ข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสง 40 - 50 กิโลกรัมต่อไร่ - ข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสง 25 - 30 กิโลกรัมต่อไร่ ปุ๋ยเคมี (กิโลกรัมต่อไร่) 56.82 สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชฯ (ลิตรต่อไร่) 0.22 น้ำมันเชื้อเพลิง (ลิตรต่อไร่) 4.16 ผลผลิต (กิโลกรัมต่อไร่) 714.67 ที่มา: 1 ตารางผนวกที่1.5 2 กรมการข้าว (2566) 4.2.4 การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพเชิงเทคนิค การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพเชิงเทคนิคในการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ ด้วย Fractional Regression Model ซึ่งพิจารณาทางด้านปัจจัยนำเข้า (Input - Orientated) ได้แก่ เพศ อายุระดับการศึกษา ประสบการณ์จำนวน แหล่งน้ำที่ใช้รวมถึงจำนวนนวัตกรรมที่ใช้ในการทำนา ซึ่งแบบจำลองสมการถดถอยที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ ปรากฏดังนี้ VRSTE = β1 + β2 (sex) + β3 (age) + β4 (edu) + β5 (exp) + β6 (water) + β7 (tech) + จากการประมาณสมการถดถอยด้วยวิธีFractional Regression ได้สมการดังนี้ VRSTE = (0.0072) - 1.2596 (sex) + 0.0166 (age) + 0.1551 (edu) + 0.0530 (exp) + 0.1816 (water) + 0.1310 (tech)** จากการประมาณสมการถดถอยด้วยวิธี Fractional Regression พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อ ประสิทธิภาพเชิงเทคนิคของการผลิตข้าวนาปีจังหวัดพิษณุโลก ปีเพาะปลูก 2564/65 ของเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ได้แก่ จำนวนนวัตกรรมที่ใช้ในการทำนา หมายความว่า หากเกษตรกรรุ่นใหม่ใช้นวัตกรรมในการทำนาเพิ่มขึ้น 1 นวัตกรรม จะส่งผลให้ประสิทธิภาพเชิงเทคนิคเพิ่มขึ้น 0.1310 สอดคล้องกับสมมุติฐานในการศึกษา ส่วนตัวแปรด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์และ แหล่งน้ำ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 90 แสดงว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ เชิงเทคนิคด้านปัจจัยการผลิตในการผลิตข้าวนาปีของเกษตรกรรุ่นใหม่ ดังแสดงในตารางที่ 4.8


65 ตารางที่4.8 ผลการวิเคราะห์ปัจจัยการผลิตที่มีผลต่อประสิทธิภาพเชิงเทคนิคการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยวิธีการวิเคราะห์ด้วย Fractional Regression ปัจจัยการผลิต ค่าสัมประสิทธิ์ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ค่าความน่าจะเป็น (p-value) ค่าคงที่ (_cons) 0.0072 3.4326 0.9980 เพศ (sex) -1.2596 0.7891 0.1100 อายุ (age) 0.0166 0.0678 0.8060 ระดับการศึกษา (edu) 0.1551 0.9503 0.8700 ประสบการณ์(exp) 0.0530 0.0608 0.3840 จำนวนแหล่งน้ำที่ใช้(water) 0.1816 0.6234 0.7710 จำนวนนวัตกรรมที่ใช้(tech) 0.1310** 0.1306 0.0160 หมายเหตุ : * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 90 ** มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 *** มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 99 ที่มา : ตารางผนวกที่2.2 4.3 การวัดการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต การศึกษาการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตข้าวนาปี ในปีเพาะปลูก 2561/62 และปีเพาะปลูก 2564/65 ของเกษตรกรรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต ด้วยการคำนวณค่าดัชนี Malmquist จากการใช้ปัจจัยการผลิตหรือปัจจัยนำเข้า และผลผลิตที่ได้รับของ 3 ปีการผลิตหรือปีเพาะปลูก โดยการเปรียบเทียบกับค่าดัชนี Malmquist Productivity Index ซึ่งจะสามารถวัดการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพ การผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของประสิทธิภาพ เชิงเทคนิค หรือเกิดจากการใช้เทคโนโลยีการผลิต ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ในปีเพาะปลูก 2561/62 ถึง ปีเพาะปลูก 2564/65 เกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดพิษณุโลก มีค่าการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต (Productivity) เท่ากับ 2.040 จะเห็นได้ว่าค่าที่ได้มีค่ามากกว่า 1 นั่นคือ ผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรรุ่นใหม่ในปีเพาะปลูก 2564/65 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีเพาะปลูก 2561/62 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพ เชิงเทคนิคด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต (Technology) เพียงด้านเดียว ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1.012 ขณะที่ดัชนีการ เปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพเชิงเทคนิคด้านการใช้ปัจจัยการผลิตของเกษตรกรรุ่นใหม่ มีค่าเท่ากับ 0.573 หมายความว่า เกษตรกรรุ่นใหม่มีการเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพเชิงเทคนิคด้านการใช้ปัจจัยการผลิต ในปีเพาะปลูก 2564/65 ลดลงเมื่อเทียบกับปีเพาะปลูก 2561/62


66 โดยเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีผลิตภาพการผลิตเพิ่มขึ้น มีจำนวน 19 ราย เนื่องจากมีค่าดัชนีการ เปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต (Productivity) มากกว่า 1 และมีเกษตรกรรุ่นใหม่ จำนวน 11 ราย ที่มีผลิต ภาพการผลิตเพิ่มขึ้นเกิดจากการใช้เทคโนโลยีในการผลิตดีขึ้น ส่วนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีผลิตภาพการผลิตลดลง มีจำนวน 5 ราย เนื่องจากมีค่าดัชนีการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต (Productivity) น้อยกว่า 1 โดยทั้งหมด มีประสิทธิภาพเชิงเทคนิคด้านเทคโนโลยีลดลง และจำนวน 4 ราย มีประสิทธิภาพเชิงเทคนิคด้านปัจจัยการ ผลิตลดลง ดังแสดงในตารางที่ 4.9 จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตข้าวนาปีของเกษตรกรรุ่นใหม่ ในปีเพาะปลูก 2564/65 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีเพาะปลูก 2561/62 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เกษตรกรรุ่นใหม่ มีการใช้ เทคโนโลยีในการทำนาที่ดีขึ้น แต่เมื่อพิจารณาลงไปที่หน่วยการผลิตซึ่งได้แก่เกษตรกร พบว่า มีเกษตรกรรุ่นใหม่ จำนวน 5 ราย ที่มีผลิตภาพการผลิตลดลง ทั้งนี้เนื่องจากในปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ประสบปัญหา ภัยแล้ง ส่งผลให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่เต็มที่และปริมาณผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ลดลง ซึ่งปัจจัยการผลิตเหล่านี้ มีผลต่อค่าประสิทธิภาพเชิงเทคนิค ตารางที่ 4.9 ผลการวัดการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตข้าวนาปีปีเพาะปลูก 2561/62 และ ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ ด้วยค่าดัชนีMalmquist Productivity Index เกษตรกร รายที่ การเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต การเปลี่ยนแปลง ผลิตภาพการผลิต (∆Productivity) การเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพ เชิงเทคนิคด้านปัจจัยการผลิต (∆Technical efficiency) การเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพ เชิงเทคนิคด้านเทคโนโลยี (∆Technology) การเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น (∆Productivity > 1) 11 6.105 0.539 3.289 5 4.984 0.201 1.000 19 4.536 0.220 1.000 20 4.120 0.243 1.000 21 3.586 0.394 1.414 27 3.494 0.437 1.527 3 3.309 0.302 1.000 29 2.961 0.294 0.872 30 2.559 0.511 1.308 18 2.379 0.436 1.038 9 2.163 1.000 2.163 2 2.095 0.776 1.626 6 1.931 0.518 1.000 24 1.828 0.604 1.105 31 1.482 0.821 1.217 8 1.357 1.000 1.357


67 ตารางที่ 4.9 (ต่อ) เกษตรกร รายที่ การเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต การเปลี่ยนแปลง ผลิตภาพการผลิต (∆Productivity) การเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพ เชิงเทคนิคด้านปัจจัยการผลิต (∆Technical efficiency) การเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพ เชิงเทคนิคด้านเทคโนโลยี (∆Technology) 13 1.308 0.794 1.039 23 1.080 0.926 1.000 22 1.039 0.047 0.049 การเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตที่ลดลง (∆Productivity = 1) 1 1.000 1.000 1.000 4 1.000 1.000 1.000 12 1.000 1.000 1.000 15 1.000 0.019 0.019 17 1.000 1.000 1.000 26 1.000 1.000 1.000 28 1.000 0.690 0.690 การเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตที่ลดลง (∆Productivity < 1) 16 0.850 0.836 0.711 10 0.834 0.051 0.042 7 0.833 1.000 0.833 14 0.700 0.052 0.036 25 0.700 0.052 0.036 ค่าเฉลี่ย 2.040 0.573 1.012 ที่มา : ตารางภาคผนวกที่ 2.3 4.4 แนวทางการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรรุ่นใหม่ จากการวิเคราะห์ประสิทธิภาพเชิงเทคนิคการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลกของ เกษตรกรรุ่นใหม่ พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ยังมีการใช้ปัจจัยการผลิตส่วนเกิน ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิต และ ประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกร การวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรด้วยนวัตกรรม เพื่อการเกษตร ซึ่งได้จากการถอดบทเรียนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ผลิตข้าวนาปี ในปีเพาะปลูก 2564/65 ที่มีค่า ประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1และจากการระดมความคิดเห็น (Focus Group) จากหน่วยงาน และ เกษตรกรที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้ 4.4.1 การถอดบทเรียน การศึกษาในครั้งนี้ได้ทำการถอดบทเรียนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 ที่มีคะแนนประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 โดยใช้วิธีการถอดบทเรียนจากวิธีปฏิบัติที่ เป็นเลิศ (Best Practice) เพื่อให้ได้แนวทางการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรที่ใช้นวัตกรรมเพื่อการเกษตร หรือ


68 รูปแบบการบริหารจัดการการผลิตที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเชิงเทคนิคสำหรับเกษตรกรทั่วไปรวมทั้ง เกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีคะแนนประสิทธิภาพน้อยกว่า 1 สามารถสรุปการถอดบทเรียน ได้ดังนี้ 1) กระบวนการผลิต 1.1) การวางแผนการผลิตและการเตรียมดิน พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิต เชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมเครื่องจักรกลปรับระดับดิน เพื่อต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของดิน และน้ำให้มีความเหมาะสมต่อการเพาะปลูกข้าว โดยการปรับระดับพื้นที่นาของของเกษตรกร จะสามารถให้น้ำ ได้อย่างสม่ำเสมอและลดปัญหาการเกิดวัชพืชในนาข้าว มีความสะดวกต่อการระบายน้ำของเกษตรกร ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลองค์ความรู้เรื่องข้าว (Rice Knowledge Bank) ของกรมการข้าว (2566) ที่ระบุว่าการ ปรับระดับพื้นที่ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก มีผลต่อความสม่ำเสมอของต้นข้าว บริเวณที่ต่ำเป็นแอ่งมีน้ำขัง ไม่สามารถระบายน้ำออกได้หมด ต้นข้าวมักจะเน่าตาย และระดับพื้นที่มีผลต่อการให้น้ำเมื่อข้าวเริ่มตั้งตัวได้ หลังหว่าน ถ้าพื้นที่ไม่สม่ำเสมอจะทำให้เอาน้ำเข้านาได้ไม่ทั่วถึง ถ้าจะเอาน้ำเข้าให้ถึงบริเวณที่สูงกว่าจะทำให้ น้ำท่วมต้นข้าวบริเวณต่ำการเจริญเติบโตไม่ดีหรืออาจจะตายได้ แต่ถ้าให้ระดับน้ำพอเหมาะสำหรับบริเวณต่ำ บริเวณที่สูงกว่าน้ำก็ไม่ถึง จะทำให้เกิดปัญหามีวัชพืชงอกขึ้นมาได้ นอกจากนี้ระดับพื้นที่ไม่สม่ำเสมอยังมีผลต่อ ประสิทธิภาพของสารกำจัดวัชพืช อันเนื่องมาจากน้ำเข้าแปลงนาได้ไม่ทั่วถึง เพราะความชื้นที่เหมาะสมทำให้ การใช้สารกำจัดวัชพืชมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการใช้นวัตกรรมการตรวจวิเคราะห์คุณภาพดินมาใช้ใน กระบวนการวางแผนการผลิตและการเตรียมดิน เนื่องจากทำให้ทราบปริมาณธาตุอาหารต่างๆ ที่อยู่ในดิน และ ช่วยให้สามารถใช้ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของปิยพร ศรีสม และคณะ, (2561) ซึ่งได้ ทำการประเมินคุณภาพดินเพื่อใช้ทางการเกษตรในพื้นที่หมู่บ้านนางแล ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัด เชียงราย พบว่า การตรวจวิเคราะห์คุณภาพดิน เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการประมวลผลคำแนะนำ การ จัดการดินและปุ๋ย รายแปลงแบบเฉพาะเจาะจงกับพืช เพื่อการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตคุณภาพสูง เกษตรกรสามารถวางแผนปรับปรุงคุณภาพดิน โดยการ ใส่ปุ๋ย และการเติมปูนขาวในปริมาณที่เหมาะสมกับผลการวิเคราะห์ และชนิดของพืชที่ต้องการเพาะปลูก 1.2) การเตรียมพันธุ์และการปลูก พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค เท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมการเตรียมพันธุ์/คัดเลือกเมล็ดพันธุ์โดยเกษตรกรมีการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี ให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยพิจารณาซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้เช่น ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว กลุ่มเกษตกรกร ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เป็นต้น และพิจารณาคำนึงถึงเปอร์เซ็นต์การงอกสูง เพื่อต้องการให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่มี คุณภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่เกษตรกรได้รับ ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำของ กรมการข้าว (2566) ที่แนะนำให้เกษตรกรเตรียมพันธุ์จากเมล็ดพันธุ์ที่บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งเจือปน และ มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูงต้องไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ โดยเกษตรกรมีการปลูกข้าวแบบหว่านน้ำตม และ ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวปริมาณเฉลี่ย 24.84 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำของกรมการข้าว (2566) ที่แนะนำให้ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวสำหรับการทำนาแบบหว่านน้ำตมในปริมาณ 10 - 20 กิโลกรัมต่อไร่


69 1.3) การดูแลรักษา การจัดการน้ำและธาตุอาหารพืช สามารถแบ่งออกเป็น 3 กิจกรรม ดังนี้ (1) การดูแลรักษา พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมโดรนพ่นยากำจัดวัชพืช/ศัตรูพืช เนื่องจากมีความสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลา ประกอบ กับค่าจ้างแรงงานไม่แตกต่างจากการดูแลรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้เครื่องพ่นสะพายหลัง ฯลฯ นอกจากนี้ เกษตรกรกรไม่ต้องการให้ผลผลิตเกิดความเสียหาย จากการเหยียบย่ำต้นข้าวในแปลงนา ซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัย เรื่อง การศึกษาความคุ้มค่าของการใช้โดรนเพื่อการเกษตรทำนาในภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง ผลการศึกษาพบว่า การผลิตข้าวโดยการจ้างโดรนเพื่อการเกษตรมีผลตอบแทนที่สูงกว่าการใช้แรงงานคน เนื่องจากการใช้โดรนเพื่อการเกษตรผู้ฉีดพ่นไม่ได้เข้าไปในแปลงนา ส่งผลให้ไม่มีการเหยียบย่ำต้นข้าว (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2562c) และมีการใช้นวัตกรรมแอปพลิเคชันในการติดตามการเจริญเติบโต ของต้นข้าว เนื่องจากต้องการทราบเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของต้นข้าวได้อย่างต่อเนื่อง มีความสะดวกและ รวดเร็วในการรับรู้ข้อมูลกรณีเกิดโรคพืชและศัตรูพืชระบาดในนาข้าว เพื่อหาวิธีป้องกันปัญที่อาจจเกิดขึ้นได้ 2) การจัดการน้ำ พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมเปียกสลับแห้ง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรกรที่เพาะปลูกข้าวในจังหวัดพิษณุโลก ประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ประกอบกับปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ มีจำกัด ส่งผลให้การบริหาจัดการ น้ำให้แก่เกษตรกรเพื่อใช้ในการเกษตรไม่ทั่วถึง ดังนั้น การใช้นวัตกรรมดังกล่าว จะช่วยประหยัดน้ำในการ เพาะปลูกข้าว และผลผลิตเกิดไม่เกิดความเสียหาย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของกรมชลประทาน (2560) ที่ระบุ ว่าการใช้นวัตกรรมเปียกสลับแห้ง โดยใช้ท่อพีวีซีเจาะรู เพื่อวัดระดับน้ำในเเปลงนาว่าระดับน้ำใต้ผิวดินเเห้ง ลงไปเท่าไร โดยการปล่อยให้ข้าวขาดน้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้รากและลำต้นข้าว แข็งแรง ส่งผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและสร้างผลผลิต 3) การจัดการธาตุอาหารพืช พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค เท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมโดรนพ่นปุ๋ย เนื่องจากเกษตรกรต้องการลดปัญหาการเหยียบย่ำต้นข้าวในแปลงนา ซึ่งจะทำให้ผลผลิตเกิดความเสียหาย ประกอบกับมีความสะดวกและรวดเร็ว และค่าจ้างแรงงานไม่แพง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย เรื่อง การศึกษาความคุ้มค่าของการใช้โดรนเพื่อการเกษตรทำนาในภาคกลาง และ ภาคเหนือตอนล่าง ผลการศึกษาพบว่าการใช้โดรนเพื่อการเกษตร ผู้ฉีดพ่นไม่ได้เข้าไปในแปลงนาส่งผลให้ ไม่มีการเหยียบย่ำต้นข้าว (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2562c) และมีการใช้นวัตกรรมการใช้ปุ๋ยตาม ค่าวิเคราะห์ดิน เนื่องจากเกษตรกรต้องการใช้ปุ๋ยให้เกิดความเหมาะสมมากขึ้น รวมทั้งเพื่อต้องการปรับปรุงธาตุ อาหารในดินให้ตรงตามความต้องการของพันธุ์ข้าวที่ปลูก ตลอดจนเป็นการลดต้นทุนการผลิต โดยใช้ปุ๋ยหมัก ชีวภาพร่วมกับปุ๋ยเคมี ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารลดต้นทุนการผลิตจากการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ เนื่องจากเกษตรกร ใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณเฉลี่ย 32.39 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร (2548) ที่แนะนำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยโดยยึดหลักการใช้ปุ๋ยแบบผสมผสาน คือใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และ ชีวภาพ ซึ่งเป็นวิธีการใส่ปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด และสอดคล้องกับกรมส่งเสริมการเกษตร (2561) ที่ระบุให้ เกษตรกรใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็นกับความต้องการของพืช และความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยส่งเสริมให้มีการเก็บ


70 ตัวอย่างดินนำมาส่งตรวจวิเคราะห์ก่อนการปลูกพืชหรือก่อนการใส่ปุ๋ย เพื่อให้สามารถใช้ปุ๋ยได้ถูกสูตรและ ถูกอัตรา ลดผลกระทบจากการใช้ปุ๋ยไม่ถูกต้องและช่วยลดต้นทุนการผลิตในส่วนของปุ๋ยเคมีลง 1.4) การเก็บเกี่ยวและจัดการหลังการเก็บเกี่ยว พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการ ผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมการย่อยสลายและการไถกลบตอซังข้าว เนื่องจากเกษตรกรต้องการ ปรับสภาพดินให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น เป็นการเพิ่มแร่ธาตุและสารอาหารในดิน ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณและ คุณภาพผลผลิตที่มากขึ้น รวมถึงช่วยลดการเผาตอซังหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตในแปลง ซึ่งอาจก่อให้เกิด มลพิษในอากาศ นอกจากนี้ เกษตรกรยังเลือกใช้ขนาดรถเกี่ยวนวดข้าวตามความเหมาะสมของพื้นที่ปลูก เนื่องจากเกษตรกรต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บเกี่ยวผลผลิต และลดการสูญเสียผลผลิตที่เกิดขึ้นจาก การเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ตาม มีเกษตรกรส่วนน้อยที่ใช้วิธีการดังกล่าว เนื่องจากในช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งเกษตรกรมีความต้องใช้บริการรถเกี่ยวนวดข้าวพร้อมกันจำนวนมาก ดังนั้น จึงไม่สามารถเลือกใช้ขนาด รถเกี่ยวนวดข้าวที่เหมาะสมกับพื้นที่ได้ 2) กระบวนการผลิตที่แตกต่างจากเดิม ปัจจุบันนวัตกรรมที่ใช้ในการปลูกข้าวมีความหลากหลาย และช่วยลดการใช้แรงงานคน ในทุกกระบวนการผลิต ตั้งแต่การวางแผนการผลิตและการเตรียมดิน การเตรียมพันธุ์และการปลูก การดูแล รักษา ตลอดจนจนการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งเกษตรกรเลือกใช้นวัตกรรมตามความ เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของตนเอง มีการสร้างกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อช่วยให้เกิดการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาในการใช้นวัตกรรมต่างๆ ร่วมกัน ดังนี้ 2.1) การวางแผนการผลิตและการเตรียมดิน พบว่าปัจจุบันเกษตรกรเข้าถึงแหล่งข้อมูลง่ายขึ้น กว่าสมัยก่อน มีการพัฒนาแนวความคิดจากผู้รู้และจากการศึกษามาปฏิบัติการใช้งานจริง เพื่อการปลูกพืช/ ทำนา เพื่อให้มีความสอดคล้อง เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและพื้นที่ของเกษตรกร 2.2) การเตรียมพันธุ์และการปลูก พบว่าเกษตรกรมีการหาข้อมูลพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับพื้นที่ ของตนเองและตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น ส่วนการปลูกมีการใช้เครื่องจักรกลและเครื่องทุ่นแรงใน การปลูก เช่น เครื่องดำนา เครื่องหยอดเมล็ดข้าว เป็นต้น 2.3) การดูแลรักษา พบว่าเกษตรกรมีการดูแลรักษา โดยใช้ความรู้ที่เกิดจากการศึกษามา กำหนดวิธีการขั้นตอนของการปฏิบัติกับพืชและแปลงนาของตนเอง และรวมไปถึงการคิดผสมสารประดิษฐ์/ เครื่องใช้ที่นำไปปฏิบัติกับพืช เพื่อให้มีการเจริญเติบโตที่ดี เช่น การถอดชื่อสามัญของสารเคมี ธาตุอาหาร ชื่อสามัญทางยาในการฉีดพ่น เพื่อบำรุงต้นพืชแทนการซื้อฮอร์โมนสำเร็จรูปจากร้านจำหน่ายสารเคมี นอกจากนี้ มีการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชด้วยนวัตกรรมโดรนเพื่อการเกษตรมากขึ้น ช่วยลดระยะเวลาการทำงาน ลดปัญหาการเหยียบย่ำของต้นข้าว 2.4) การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว พบว่ามีการใช้ความรู้วิธีการ และ สิ่งประดิษฐ์เพื่อการรักษาคุณภาพของผลผลิตให้สนองตอบตามความต้องการของผู้ซื้อหรือตลาด โดยมีการ บริหารจัดการเพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต เช่น การหีบห่อ การเก็บรักษา ฯ โดยเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ ใช้ เช่น เครื่องสีข้าว การใช้เครื่องอบเมล็ดเพื่อลดความชื้น เป็นต้น


71 3) ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้นวัตกรรมในการทำนา ปัจจุบันเกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการทำนาได้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน มีจำนวนผู้ประกอบการในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีทางเลือกในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการใช้แรงงานคน เนื่องจากแรงงานภาคการเกษตรมีจำนวนน้อย และเกษตรกรส่วนใหญ่ เป็นแรงงานผู้สูงวัย 4) ปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรใช้นวัตกรรมในการทำนา ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรในภาคการเกษตร ประกอบกับเกษตรกรได้รับการอบรม ถ่ายทอดความรู้เรื่องการใช้นวัตกรรมในการทำนามากขึ้น เพื่อต้องการเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น 5) ปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จ 5.1) เกษตรกร ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน รวมถึง มีแนวทางการปฏิบัติของตนเองโดยอาศัยการศึกษา สังเกต และบันทึกข้อมูล มีความพร้อมของปัจจัยและ โครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร รวมถึงสภาพพื้นที่ทางการเกษตรที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบอาชีพ เกษตรกรรม และมีการบริหารจัดการ มีการวางแผนการผลิต การบริหารจัดการผลิต การเงิน และการจัดการ พื้นที่ และควบคุมทุนต่างๆ อย่างเหมาะสม รวมถึงการเรียนรู้ใฝ่รู้และศึกษาข้อมูลทางด้านการบริหารจัดการ ทั้งด้านการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร ต้องเอาใจใส่แปลงนาของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำไปปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาการผลิตของตนเองให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งตรงกับแนวคิดของนายชัยพร พรหมพันธุ์ ปราชญ์เกษตรดีเด่น ผู้ซึ่งได้รับคัดเลือกให้เป็นปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ปี 2558 ซึ่งกล่าวว่าเกษตรกรต้องเปิดใจรับความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการฝึกอบรมอยู่เสมอ และจะนำความรู้ต่างๆที่ได้นำมาทดลองปฏิบัติในแปลงเกษตรที่ แบ่งไว้ หากได้ประโยชน์จริงจะนำไปประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง มีความรอบรู้ในอาชีพของตนเองจนเกิดความ เชี่ยวชาญ รู้จักประยุกต์ใช้สิ่งต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2558) 5.2) พื้นที่การเกษตร ต้องเป็นพื้นที่เป็นของตนเองและมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดีเพื่อจูงใจ ให้เกษตรกรลงทุนปรับปรุงพื้นที่ของตนเองให้ดียิ่งขึ้น และประสบความสำเร็จ 5.3) การเข้าร่วมกลุ่ม เกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกกลุ่มเกษตรกร เช่น กลุ่มแปลงใหญ่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ฯลฯ ทำให้เกษตรกรได้รับองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ สามรถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม กับตนเอง ดังนั้น หากเกษตรกรต้องการประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องสร้างเครือข่ายเพิ่มขึ้น 5.4) ภาครัฐ ต้องสนับสนุนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์เพื่อให้เกษตรกรนำนวัตกรรมสมัยใหม่ เข้ามาช่วยทั้งในกระบวนการผลิต และส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ดังนั้น หากเกษตรกรจะประสบ ความสำเร็จ ต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐอย่างจริงจัง 6) ปัญหาและอุปสรรค 6.1) คุณภาพ หรือความเฉพาะ/แม่นยำ ปัจจุบันเกษตรกรรุ่นใหม่นำข้อมูลที่ได้จากหน่วยงาน ภาครัฐ จากการประชุมหมู่บ้าน ประชุมกลุ่มเกษตรกร หรือจากแหล่งที่เชื่อถือได้มาวิเคราะห์เพื่อวางแผน การเพาะปลูกข้าว ซึ่งยังไม่มีการนำแอปพลิเคชันต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้ ทำให้ความแม่นยำในการวางแผน การเพาะปลูกลดน้อยลงได้ส่วนในด้านการใช้นวัตกรรมเครื่องจักรเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้แรงงานคน พบว่า


72 มีคุณภาพหรือความเหมาะสมในแต่ละกิจกรรมมีความแตกต่างกัน เช่น การถอนหญ้าในแปลงนากับการฉีดพ่น สารเคมีป้องกันกำจัดโดยใช้โดรนการเกษตร 6.2) ราคานวัตกรรม มีราคาสูง ทำให้เกษตรกรเข้าไม่ถึงนวัตกรรมเหล่านั้น ประกอบกับราคา ข้าวในปัจจุบันที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ทำให้เกษตรกรไม่กล้าลงทุนที่จะใช้นวัตกรรมเหล่านี้ เนื่องจากกังวล ว่าจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ส่วนนวัตกรรมโดรนเพื่อการเกษตร เกษตรกรสามารถเข้าถึงการใช้งานโดยมี ผู้รับจ้างให้บริการในพื้นที่ 6.3) ความเหมาะสมของพื้น สภาพพื้นที่แตกต่างกัน ทำให้การใช้เครื่องมืออุปกรณ์และ นวัตกรรมที่แตกต่างกันไป เช่น การใช้โดรนเพื่อการเกษตรจะใช้ได้ดีกับแปลงนาที่ไม่มีต้นไม้ล้อมรอบ 6.4) ความรู้ในการใช้นวัตกรรม พบว่า เกษตรกรยังขาดความรู้และความเข้าใจในการใช้นวัตกรรม สมัยใหม่ เช่น แอปพลิเคชันคาดการณ์สภาพอากาศ นวัตกรรมเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว เนื่องจากเป็น นวัตกรรมสมัยใหม่ ในพื้นที่ยังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลาย ทำให้เกษตรกรขาดความรู้ เกิดความไม่มั่นใจและ ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนมาใช้นวัตกรรมดังกล่าว 7) แนวทางการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 7.1) ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตที่ต้องลงทุน เช่น ค่าเช่าที่ดิน ราคาเมล็ดพันธุ์ อัตรา ค่าจ้างเครื่องมือเครื่องจักร เป็นต้น 7.2) เน้นหลักการผลิตและการตลาดที่ให้มูลค่าผลผลิต โดยเลือกพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูง เป็นที่ต้องการของโรงสีและร้านค้า สามารถจัดจำหน่ายได้ทุกโรงสี (กลุ่มเครือข่าย, ผู้แปรรูป) ทั้งนี้เกษตรกร ไม่ได้เก็บผลผลิตไว้ เพราะต้องเตรียมทุนสำหรับการผลิต เพื่อวางแผนรูปแบบการทำนา (นาปี นาปรัง ในฤดูกาล ต่อไป) 7.3) เกษตรกรมีการบริหารจัดการแปลงนาเป็นระยะ โดยทุก 2 สัปดาห์ตั้งแต่เริ่มหว่านเมล็ด พันธุ์ จะหมั่นสังเกตกำจัดวัชพืช และใช้ยาคุมหญ้าเพื่อควบคุมกำจัดวัขพืช 7.4) เกษตรกรยังคงต้องทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต และเมื่อเก็บเกี่ยวผลิตแล้วต้องขายทันที เพราะ ยุ้งฉาง/สถานที่ตาก หรืออุปกรณ์ตลาด เพื่อชะลอการขายผลผลิต และการขายผลผลิตไม่คุ้มกับปัจจัยการผลิตที่ จ่ายออกไป ประสบปัญหาขาดทุนซึ่งเป็นที่มาของภาวะหนี้สินในปัจจุบัน ดังนั้น ควรสนับสนุนให้เกิดการ พัฒนาการตลาดสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าข้าวตลอดห่วงโซ่คุณค่า สนับสนุนการรับจ้างผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของ ลูกค้า (Original Equipment Manufacturer: OEM) และสนับสนุนเครือข่ายในการสร้างแพลตฟอร์ม OEM รวมถึงจัดตั้งศูนย์แปลงข้าวสาธิต โดยกำหนดอุปทานให้ตรงกับความต้องการของตลาด 4.4.2 แนวทางการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร 1) แนวทางการพัฒนาด้านกระบวนการผลิต มีดังนี้ (1)คัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่นา สภาพแวดล้อม อาทิ ฤดูกาล ปริมาณน้ำ เช่น กข79 ผลผลิตได้น้ำหนักดีเม็ดเต่ง แต่ฤดูกาลมีผลกับการเจริญเติบโต กล่าวคือ ช่วงเดือนเมษายน เมล็ด ข้าวจะยาว และหากเป็นฤดูแล้งต้องสูบน้ำ ทำให้ค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสูง ส่วนฤดูฝน ต้องเฝ้าระวังเรื่อง โรค เช่น เชื้อรา และหนอน ซึ่งจะทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องสารเคมีและยาเพื่อป้องกันและกำจัดโรคดังกล่าว


73 รวมถึงเน้นรอบการผลิตที่อายุสั้น 90 - 110 วัน เพื่อลดความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงเป็นการ ควบคุมทั้งปริมาณการใช้ปุ๋ยและสารเคมี (2) จัดการระบบการผลิต โดยให้เกษตรกรเลือกใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสม ตั้งแต่ขั้น ตอนการเตรียมดิน การดูแลรักษาการจัดการน้ำและธาตุอาหารพืช รวมถึงกระบวนการเก็บเกี่ยวและการจัดการ หลังการเก็บเกี่ยว เช่น ลดปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ปุ๋ย และสารเคมีหรือใช้เท่าที่จำเป็น เนื่องจากปัจจุบันราคา สูงมาก หรือใช้เทคโนโลยีการผลิตอื่นร่วมด้วย เพื่อลดส่วนเกินปัจจัยการผลิตจากการใช้ปัจจัยการผลิตที่มาก เกินความจำเป็น (3) นำวิธีการผลิตจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับฟาร์มของตนเอง ตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ต้านทานโรค การใช้สารสารชีวภัณฑ์เพื่อรักษาสภาพดิน เพื่อช่วยลดต้นทุนการ ผลิตของเกษตรกร (4) ส่งเสริมให้ความรู้และคำแนะนำตามหลักวิชาการ รวมถึงจากการปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรเปิดใจยอมรับนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2) แนวทางการพัฒนาด้านนวัตกรรม (1) เลือกใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับสภาพการผลิตในพื้นที่ โดยเปรียบเทียบข้อมูลการใช้ นวัตกรรมแต่ละชนิด เพื่อให้มีการใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสม (2) นำแนวคิดของนวัตกรรมประเภทต่างๆ มาปรับหรือประยุกต์ใช้โดยการสร้างเครื่องมือที่ มีต้นทุนต่ำ แต่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงนวัตกรรมและใช้ประโยชน์จาก นวัตกรรมได้ (3) สร้างการรับรู้เรื่องการใช้นวัตกรรมเพื่อการเกษตรให้แก่เกษตรกรทั่วไปมากขึ้น เช่น ให้เกษตรกรได้ทดลองปฏิบัติ เพื่อให้เกษตรกรใช้ประกอบการตัดสินใจในการพัฒนาเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ 3) แนวทางการพัฒนาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (1) สร้างความมั่นใจด้านการประกอบอาชีพทางการเกษตรให้แก่เกษตรกร โดยมีการส่งเสริม ความรู้และให้คำแนะนำ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด (2) สร้างมาตรการจูงใจให้เกษตรกรอยากใช้นวัตกรรมเพื่อการเกษตรมากขึ้น เช่น ส่งเสริม ความรู้และข้อมูลการใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมแต่ละพื้นที่ รวมถึงสร้างเครือข่ายการรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ด้านการเกษตร และการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อการเกษตร


74


บทที่5 สรุปและข้อเสนอแนะ 5.1 สรุป การศึกษาประสิทธิภาพเชิงเทคนิคและการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตจากการใช้นวัตกรรม เพื่อการเกษตร กรณีศึกษา สินค้าข้าวของเกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดพิษณุโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 ของเกษตรกรรุ่นใหม่และเกษตรกร ทั่วไป ศึกษาประสิทธิภาพเชิงเทคนิคการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 ของเกษตรกรรุ่นใหม่ และศึกษาการ เปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตข้าวนาปี ของเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยเปรียบเทียบปีเพาะปลูก 2561/62 และ ปีเพาะปลูก 2564/65 รวมทั้งจัดทำแนวทางการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรที่ใช้นวัตกรรมเพื่อการเกษตร โดยรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เกษตรกรรุ่นใหม่ที่ผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2561/62 และปีเพาะปลูก 2564/65 จำนวน 31 ราย และเกษตรกรทั่วไปที่ผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จำนวน 31 ราย ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 5.1.1 การเปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัด พิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ และเกษตรกรทั่วไป 1) ต้นทุนและผลตอบแทนของเกษตรกรรุ่นใหม่ มีต้นทุนการผลิตรวมเฉลี่ย 5,020.84 บาท ต่อไร่ โดยเป็นต้นทุนที่เป็นเงินสดเฉลี่ย 3,688.67 บาทต่อไร่ และเป็นต้นทุนที่ไม่เป็นเงินสดเฉลี่ย 1,332.17 บาทต่อไร่แบ่งเป็นต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 3,769.89 บาทต่อไร่ ประกอบด้วย ค่าวัสดุค่าแรงงานในการผลิต และ ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนของต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 1,969.46 1,681.77 และ 118.66 บาทต่อไร่ ตามลำดับ ส่วนต้นทุนคงที่เฉลี่ย 1,250.95 บาทต่อไร่ ประกอบด้วยค่าเช่าที่ดิน ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์การเกษตร และ ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตรเฉลี่ย 1,135.28 106.27 และ 9.40 บาทต่อไร่ ตามลำดับ มีผลผลิต เฉลี่ย 703.47 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาข้าวเปลือกเจ้านาปีรวมที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ที่ความชื้น 15% เฉลี่ย 8.47 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้มีผลตอบแทนเฉลี่ย 5,958.39 บาทต่อไร่ เมื่อนำรายได้หักด้วยต้นทุนการผลิต เกษตรกรจึงมีผลตอบแทนสุทธิ(กำไร) เฉลี่ย 937.55 บาทต่อไร่ หรือ 1.33 บาทต่อกิโลกรัม 2) ต้นทุนและผลตอบแทนของเกษตรกรทั่วไป มีต้นทุนการผลิตรวมเฉลี่ย 5,518.65 บาท ต่อไร่ โดยเป็นต้นทุนที่เป็นเงินสดเฉลี่ย 4,356.90 บาทต่อไร่ และเป็นต้นทุนที่ไม่เป็นเงินสดเฉลี่ย 1,161.75 บาทต่อไร่แบ่งเป็นต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 4,352.13 บาทต่อไร่ ประกอบด้วยค่าวัสดุค่าแรงงานในการผลิต และค่า เสียโอกาสเงินลงทุนของต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 2,533.59 1,681.55 และ 136.99 บาทต่อไร่ ตามลำดับ ส่วนต้นทุนคงที่เฉลี่ย 1,166.52 บาทต่อไร่ ประกอบด้วย ค่าเช่าที่ดิน ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์การเกษตร และค่า เสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตรเฉลี่ย 1,036.87 119.67 และ 9.98 บาทต่อไร่ ตามลำดับ มีผลผลิต เฉลี่ย 629.18 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาข้าวเปลือกเจ้านาปีรวมที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ที่ความชื้น 15% เฉลี่ย


76 8.47 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้มีผลตอบแทนเฉลี่ย 5,329.15 บาทต่อไร่ เมื่อนำรายได้หักด้วยต้นทุนการผลิต เกษตรกรจึงมีผลตอบแทนสุทธิ(กำไร) -189.50 บาทต่อไร่ หรือ -0.30 บาทต่อกิโลกรัม 3) เปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัด พิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ และเกษตรกรทั่วไป พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยต่อไร่ต่ำ กว่าเกษตรกรทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 9.91 และมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงกว่าเกษตรกรทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 10.56 จึงทำให้เกษตรกรรุ่นใหม่มีผลตอบแทนสุทธิ(กำไร) ต่อไร่สูงกว่าเกษตรกรทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 120.21 5.1.2 การวัดประสิทธิภาพการผลิต 1) การวัดประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค ในการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 จังหวัดพิษณุโลก ของเกษตรกรรุ่นใหม่ ด้วยวิธีการ Data Envelopment Analysis หรือ DEA โดยพิจารณา ทางด้านปัจจัยนำเข้า ได้แก่ ปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีปริมาณการใช้สารเคมีป้องกัน กำจัดวัชพืชและศัตรูพืช และน้ำมันเชื้อเพลิง จากผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพ การผลิตอยู่ในระดับสูงและระดับสูงมาก และมีค่าประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเฉลี่ย เท่ากับ 0.829 หมายความว่าเมื่อเทียบกับผู้ผลิตที่ดีสุดในกลุ่มที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 1 แล้ว หากเกษตรกรรุ่นใหม่ต้องการ ผลผลิตในปริมาณเท่าเดิม จะต้องลดการใช้ปัจจัยการผลิตลงร้อยละ 17.10 2) การวิเคราะห์ส่วนเกินปัจจัยการผลิต จากผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรรุ่นใหม่มีส่วนเกิน ของการปัจจัยการผลิตเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช และน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น เกษตรกรรุ่นใหม่สามารถลดการใช้ปัจจัยการผลิตดังกล่าวลงได้อีก โดยไม่ทำให้ผลผลิตเปลี่ยนแปลง 3) ปริมาณการใช้ปัจจัยการผลิตของเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค เท่ากับ 1 จากผลการศึกษา พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตข้าวเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 ไม่มี ส่วนเกินการใช้ปัจจัยการผลิต และมีการใช้ปัจจัยการผลิตที่ใช้จริง โดยมีปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ 24.84 กิโลกรัมต่อไร่ ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี 56.82 กิโลกรัมต่อไร่ ปริมาณการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและ ศัตรูพืช 0.22 ลิตรต่อไร่ และน้ำมันเชื้อเพลิง 4.16 ลิตรต่อไร่ และมีผลผลิตที่ได้ 714.67 กิโลกรัมต่อไร่ จะเห็นได้ว่าปริมาณการใช้ปัจจัยการผลิตใกล้เคียงกับที่กรมการข้าวแนะนำ แต่มีปัจจัยการผลิตบางชนิดที่ใช้ มากเกินไป ซึ่งสามารถลดปัจจัยการผลิตลงได้อีก 4) การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพเชิงเทคนิค จากการประมาณสมการถดถอยด้วย Fractional Regression Model ซึ่งพิจารณาด้านปัจจัยนำเข้า ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ จำนวนแหล่งน้ำที่ใช้ และจำนวนนวัตกรรมที่ใช้ในการทำนา จากผลการศึกษา พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ เชิงเทคนิค ได้แก่ จำนวนนวัตกรรมที่ใช้ในการทำนา หมายความว่าหากเกษตรกรรุ่นใหม่ใช้นวัตกรรมในการทำนา เพิ่มขึ้น 1 นวัตกรรม จะส่งผลให้มีประสิทธิภาพเชิงเทคนิคเพิ่มขึ้น 0.1310 ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 สอดคล้องกับสมมุติฐานในการศึกษา


77 5.1.3 การวัดการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต การศึกษาการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตข้าวนาปี ในปีเพาะปลูก 2561/62 และปีเพาะปลูก 2564/65 ของเกษตรกรรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิตด้วยการคำนวณค่าดัชนี Malmquist จากการใช้ปัจจัยการผลิตหรือปัจจัยนำเข้า และผลผลิตที่ได้รับของ 3 ปีการผลิต ผลการศึกษา พบว่า เกษตรกรรุ่นใหม่มีค่าการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพการผลิต (Productivity) เท่ากับ 2.040 ดัชนีการ เปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพเชิงเทคนิคด้านการใช้ปัจจัยการผลิต (Technical Efficiency) เท่ากับ 0.573และดัชนี การเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพเชิงเทคนิคด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต (Technology) เท่ากับ 1.012 ซึ่งค่าดัชนีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดมีค่ามากกว่า 1 แสดงว่าผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ปลูกข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2564/65 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีเพาะปลูก 2561/62 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่เกษตรกรรุ่นใหม่ มีกี่พัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตที่ดีขึ้น 5.1.4 แนวทางการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรด้วยนวัตกรรมเพื่อการเกษตร 1) การถอดบทเรียน 1.1) กระบวนการผลิต การวางแผนการผลิตและการเตรียมดิน พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการ ผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมเครื่องจักรกลปรับระดับดิน เพื่อต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของดิน และน้ำให้มีความเหมาะสมต่อการเพาะปลูกข้าว โดยการปรับระดับพื้นที่นาของของเกษตรกร จะสามารถให้น้ำ ได้อย่างสม่ำเสมอและลดปัญหาการเกิดวัชพืชในนาข้าว มีความสะดวกต่อการระบายน้ำของเกษตรกร และ มีการใช้นวัตกรรมการตรวจวิเคราะห์คุณภาพดินมาใช้ในกระบวนการวางแผนการผลิตและการเตรียมดิน เนื่องจากทำให้ทราบปริมาณธาตุอาหารต่างๆ ที่อยู่ในดิน และช่วยให้สามารถใช้ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนการเตรียมพันธุ์และการปลูก พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีการใช้ นวัตกรรมการเตรียมพันธุ์/คัดเลือกเมล็ดพันธุ์โดยเกษตรกรมีการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดีให้มีความเหมาะสมกับ สภาพพื้นที่ โดยพิจารณาซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้เช่น ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว กลุ่มเกษตรกรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เป็นต้น และพิจารณาคำนึงถึงเปอร์เซ็นต์การงอกสูง เพื่อต้องการให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผล ต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่เกษตรกรได้รับ โดยเกษตรกรมีการปลูกข้าวแบบหว่านน้ำตม และใช้เมล็ดพันธุ์ ข้าวปริมาณเฉลี่ย 24.84 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนการดูแลรักษา การจัดการน้ำและธาตุอาหาร พบว่า 1) การดูแล รักษา พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมโดรนพ่นยากำจัด วัชพืช/ศัตรูพืช เนื่องจากมีความสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลา ประกอบกับค่าจ้างแรงงานไม่แตกต่างจาก การดูแลรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้เครื่องพ่นสะพายหลัง ฯลฯ นอกจากนี้เกษตรกรกรไม่ต้องการให้ผลผลิต เกิดความเสียหาย จากการเหยียบย่ำต้นข้าวในแปลงนา และมีการใช้นวัตกรรมแอปพลิเคชันในการติดตามการ เจริญเติบโตของต้นข้าว เนื่องจากต้องการทราบเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของต้นข้าวได้อย่างต่อเนื่อง มีความ สะดวกและรวดเร็วในการรับรู้ข้อมูลกรณีเกิดโรคพืชและศัตรูพืชระบาดในนาข้าว เพื่อหาวิธีป้องกันปัญที่อาจจ เกิดขึ้นได้2) การจัดการน้ำ พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีการใช้ นวัตกรรมเปียกสลับแห้ง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรกรที่เพาะปลูกข้าวในจังหวัดพิษณุโลก ประสบ


78 ปัญหาฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ประกอบกับปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ มีจำกัด ส่งผลให้การบริหาจัดการน้ำให้แก่ เกษตรกรเพื่อใช้ในการเกษตรไม่ทั่วถึง ดังนั้น การใช้นวัตกรรมดังกล่าว จะช่วยประหยัดน้ำในการเพาะปลูกข้าว และผลผลิตเกิดไม่เกิดความเสียหาย 3) การจัดการธาตุอาหารพืช พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการ ผลิตเชิงเทคนิคเท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมโดรนพ่นปุ๋ย เนื่องจากเกษตรกรต้องการลดปัญหาการเหยียบย่ำต้น ข้าวในแปลงนา ซึ่งจะทำให้ผลผลิตเกิดความเสียหาย ประกอบกับมีความสะดวกและรวดเร็ว และค่าจ้าง แรงงานไม่แพง และมีการใช้นวัตกรรมการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน เนื่องจากเกษตรกรต้องการใช้ปุ๋ยให้เกิด ความเหมาะสมมากขึ้น รวมทั้งเพื่อต้องการปรับปรุงธาตุอาหารในดินให้ตรงตามความต้องการของพันธุ์ข้าว ที่ปลูก ตลอดจนเป็นการลดต้นทุนการผลิต โดยใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพร่วมกับปุ๋ยเคมี ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถ ลดต้นทุนการผลิตจากการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ เนื่องจากเกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณเฉลี่ย 32.39 กิโลกรัมต่อไร่ และ 4) การเก็บเกี่ยวและจัดการหลังการเก็บเกี่ยว พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตเชิงเทคนิค เท่ากับ 1 มีการใช้นวัตกรรมการย่อยสลายและการไถกลบตอซังข้าว เนื่องจากเกษตรกรต้องการปรับสภาพดิน ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น เป็นการเพิ่มแร่ธาตุและสารอาหารในดิน ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิต ที่มากขึ้น รวมถึงช่วยลดการเผาตอซังหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตในแปลง ซึ่งอาจก่อให้เกิดมลพิษในอากาศ นอกจากนี้ เกษตรกรยังเลือกใช้ขนาดรถเกี่ยวนวดข้าวตามความเหมาะสมของพื้นที่ปลูก เนื่องจากเกษตรกร ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บเกี่ยวผลผลิต และลดการสูญเสียผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการเก็บเกี่ยว 1.2) กระบวนการผลิตที่แตกต่างจากเดิม (1) การวางแผนการผลิตและการเตรียมดิน พบว่าปัจจุบันเกษตรกรเข้าถึงแหล่งข้อมูล ง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน มีการพัฒนาแนวความคิดจากผู้รู้ และจากการศึกษามาปฏิบัติการใช้งานจริง เพื่อการปลูก พืช/ทำนา เพื่อให้มีความสอดคล้อง เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและพื้นที่ของเกษตรกร (2) การเตรียมพันธุ์และการปลูก พบว่าเกษตรกรมีการหาข้อมูลพันธุ์ข้าวที่เหมาะสม กับพื้นที่ของตนเองและตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น ส่วนการปลูกมีการใช้เครื่องจักรกลและ เครื่องทุ่นแรงในการปลูก เช่น เครื่องดำนา เครื่องหยอดเมล็ดข้าว เป็นต้น (3) การดูแลรักษา พบว่าเกษตรกรมีการดูแลรักษา โดยใช้ความรู้ที่เกิดจากการศึกษา มากำหนดวิธีการขั้นตอนของการปฏิบัติกับพืชและแปลงนาของตนเอง และรวมไปถึงการคิดผสมสารประดิษฐ์/ เครื่องใช้ที่นำไปปฏิบัติกับพืช เพื่อให้มีการเจริญเติบโตที่ดี เช่น การถอดชื่อสามัญของสารเคมี ธาตุอาหาร ชื่อสามัญทางยาในการฉีดพ่น เพื่อบำรุงต้นพืชแทนการซื้อฮอร์โมนสำเร็จรูปจากร้านจำหน่ายสารเคมี นอกจากนี้ มีการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชด้วยนวัตกรรมโดรนเพื่อการเกษตรมากขึ้น ช่วยลดระยะเวลาการทำงาน ลดปัญหาการเหยียบย่ำของต้นข้าว (4) การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว พบว่ามีการใช้ความรู้ วิธีการ และสิ่งประดิษฐ์ เพื่อการรักษาคุณภาพของผลผลิตให้สนองตอบตามความต้องการของผู้ซื้อหรือตลาด โดยมีการบริหารจัดการเพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต เช่น การหีบห่อ การเก็บรักษา ฯ โดยเทคโนโลยี นวัตกรรมที่ใช้ เช่น เครื่องสีข้าว การใช้เครื่องอบเมล็ดเพื่อลดความชื้น เป็นต้น


79 1.3) ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้นวัตกรรมในการทำนา เกษตรกรมีทางเลือกในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการใช้ แรงงานคน เนื่องจากแรงงานภาคการเกษตรมีจำนวนน้อย และเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นแรงงานผู้สูงวัย 1.4) ปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรใช้นวัตกรรมในการทำนา ขาดแคลนแรงงานภาคเกษตร ประกอบกับเกษตรกรได้รับการอบรมถ่ายทอดความรู้ เรื่องการใช้นวัตกรรมในการทำนามากขึ้น 1.5) ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ (1) เกษตรกรยอมรับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน รวมถึงมี แนวทางการปฏิบัติของตนเอง (2) มีความพร้อมของปัจจัยและโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร รวมถึงสภาพพื้นที่ ทางการเกษตรที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม (3) มีการบริหารจัดการ มีการวางแผนการผลิต การบริหารจัดการผลิต การเงิน และ การจัดการพื้นที่ และควบคุมทุนต่างๆ อย่างเหมาะสม 1.6) ปัญหาและอุปสรรค (1) เกิดการระบาดของโรคพืช และศัตรูพืชมากขึ้น ทำให้ปริมาณและคุณภาพของ ผลผลิตลดน้อยลง (2) นวัตกรรมมีราคาสูง ทำให้เกษตรกรเข้าไม่ถึงนวัตกรรม และเกษตรกรยังขาดความรู้ใน การใช้นวัตกรรม เนื่องจากเป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ยังไม่มีการใช้ในพื้นที่อย่างแพร่หลาย 1.7) แนวทางการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (1) ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตที่ต้องลงทุน เช่น ค่าเช่าที่ดิน ราคาเมล็ดพันธุ์ อัตราค่าจ้างเครื่องมือเครื่องจักร เป็นต้น (2) เน้นหลักการผลิตและการตลาดที่ให้มูลค่าผลผลิต โดยเลือกพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตต่อ ไร่สูง เป็นที่ต้องการของโรงสีและร้านค้า สามารถจัดจำหน่ายได้ทุกโรงสี (กลุ่มเครือข่าย,ผู้แปรรูป) ทั้งนี้ เกษตรกรไม่ได้เก็บผลผลิตไว้ เพราะต้องเตรียมทุนสำหรับการผลิต เพื่อวางแผนรูปแบบการทำนา (นาปี นาปรัง ในฤดูกาลต่อไป (3) เกษตรกรมีการบริหารจัดการแปลงนาเป็นระยะ โดยทุก 2 สัปดาห์ตั้งแต่เริ่มหว่าน เมล็ดพันธุ์ จะหมั่นสังเกตกำจัดวัชพืช และใช้ยาคุมหญ้าเพื่อควบคุมกำจัดวัชพืช (4) เกษตรกรยังคงต้องทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต และเมื่อเก็บเกี่ยวผลิตแล้วต้องขายทันที เพราะยุ้งฉาง/สถานที่ตาก หรืออุปกรณ์ตลาด เพื่อชะลอการขายผลผลิต และการขายผลผลิตไม่คุ้มกับปัจจัย การผลิตที่จ่ายออกไป ประสบปัญหาขาดทุนซึ่งเป็นที่มาของภาวะหนี้สินในปัจจุบัน ดังนั้น ควรสนับสนุนให้เกิด การพัฒนาการตลาดสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าข้าวตลอดห่วงโซ่คุณค่า สนับสนุนการรับจ้างผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์


80 ของลูกค้า (Original Equipment Manufacturer: OEM) และสนับสนุนเครือข่ายในการสร้างแพลตฟอร์ม OEM รวมถึงจัดตั้งศูนย์แปลงข้าวสาธิต โดยกำหนดอุปทานให้ตรงกับความต้องการของตลาด 2) แนวทางการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรด้วยนวัตกรรมเพื่อการเกษตร (1) เน้นผลผลิตต่อไร่ โดยคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่นา สภาพแวดล้อม อาทิ ฤดูกาล ปริมาณน้ำ เช่น กข79 ผลผลิตได้น้ำหนักดีเม็ดเต่ง แต่ฤดูกาลมีผลกับการเจริญเติบโต กล่าวคือ ช่วง เดือนเมษายน เมล็ดข้าวจะยาว และหากเป็นฤดูแล้งต้องสูบน้ำ ทำให้ค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสูง ส่วนฤดูฝน ต้องเฝ้าระวังเรื่องโรค เช่น เชื้อรา และหนอน ซึ่งจะทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องสารเคมีและยาเพื่อป้องกันและ กำจัดโรคดังกล่าว (2) เน้นรอบการผลิตที่อายุสั้น 90 - 110 วัน เพื่อลดความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้รวมถึง เป็นการควบคุมทั้งปริมาณการใช้ปุ๋ยและสารเคมี (3) ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยและสารเคมีหรือใช้เท่าที่จำเป็น เนื่องจากปัจจุบันราคาสูงมาก หรือ ใช้เทคโนโลยีการผลิตอื่นร่วมด้วย เพื่อลดส่วนเกินปัจจัยการผลิตจากการใช้ปัจจัยการผลิตที่มากเกินความ จำเป็น (4) สร้างการรับรู้เรื่องการใช้นวัตกรรมเพื่อการเกษตรให้แก่เกษตรกรทั่วไปมากขึ้น เช่น ให้ เกษตรกรได้ทดลองปฏิบัติ เพื่อให้เกษตรกรใช้ประกอบการตัดสินใจในการพัฒนาเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (5) สร้างมาตรการจูงใจให้เกษตรกรอยากใช้นวัตกรรมเพื่อการเกษตรมากขึ้น เช่น ส่งเสริม ความรู้และข้อมูลการใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมแต่ละพื้นที่ รวมถึงสร้างเครือข่ายการรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ด้านการเกษตร และการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อการเกษตร 5.2 ข้อเสนอแนะ 5.2.1 เกษตรกร 1) มีการวางแผนการผลิตก่อนที่จะทำการเพาะปลูก โดยศึกษาหาข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ หรือจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้สามารถจัดการดูแลรักษาแปลงนาโดยใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า 2) มีการใช้นวัตกรรมต่างๆ เข้ามาช่วยในการเพาะปลูกข้าวมากขึ้น และควรเลือกใช้นวัตกรรม ในการทำนาให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของตนเอง 3) มีการปรับลดปริมาณการใช้ปัจจัยการผลิตเป็นไปตามที่กรมการข้าวแนะนำ ซึ่งจะช่วยให้ เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตที่เกิดจากการใช้ปัจจัยส่วนเกินลงได้ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและยังทำให้ การผลิตมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย 5.2.2 ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1) สนับสนุนองค์ความรู้เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถใช้ปัจจัยการผลิตตามหลักวิชาการ สามารถลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร


81 2) ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมให้แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ แก่เกษตรกรเกี่ยวกับนวัตกรรมที่ใช้ในแปลงนาแบบใหม่ๆ เพื่อให้เกษตรกรยอมรับและเลือกใช้นวัตกรรมได้ตรง กับความต้องการของเกษตรกรมากขึ้น 3) ควรคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างถูกต้อง มากขึ้น และสร้างเครื่องมือหรือนวัตกรรมที่มีต้นทุนต่ำ แต่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน เพื่อให้เกษตรสามารถ เข้าถึงนวัตกรรมและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมมากขึ้น 4) แรงงานภาคเกษตรส่วนใหญ่สูงอายุ ทำให้การนำนวัตกรรมมาใช้ในภาคเกษตรค่อนข้าง ลำบาก ภาครัฐควรให้การสนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการผลิตและสร้างมูลค่าสินค้าข้าว ให้เป็นรูปธรรม


82


Click to View FlipBook Version