The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (ปี 66-70)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (ปี 66-70)

แผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (ปี 66-70)

ก บทสรุปผู้บริหาร สืบเนื่องพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 มาตรา 52 วรรคสาม มาตรา 53/1 และมาตรา 53/2 ได้กำหนดให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดสามารถยื่นคำขอจัดตั้งงบประมาณ และให้ถือว่าจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดทำแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570)แต่ยังไม่มีการจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับกลุ่มจังหวัด ดังนั้น สำนักงาน เศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 จึงได้จัดทำแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กลุ่ม จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 – 2570 (จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ให้มีความเชื่อมโยง สอดคล้องกับการพัฒนาภายใต้แผนในระดับต่างๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) นโยบายรัฐบาล แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2566 – 2570 แผนปฏิบัติราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570)แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาโลจิสติกส์ภาคการเกษตร พ.ศ. 2566 – 2570 แผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2566 – 2570 แนวทางพัฒนาภาคเหนือ พ.ศ. 2566 – 2570 และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดเหนือตอนบน 2 พ.ศ.2566 - 2570 ที่ให้ความสำคัญกับนโยบายการพัฒนาด้าน การเกษตรเชิงพื้นที่ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐทั้งในและนอกสังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สถาบันการศึกษา และเกษตรกร ได้ร่วมกันพิจารณาวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนาภาคการเกษตรของพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งได้กำหนดวิสัยทัศน์ เป้าประสงค์ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมาย ประเด็นการพัฒนา และแนวทางการพัฒนาของแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กลุ่มจังหวัด ภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ.2566 – 2570 ให้ครอบคลุมทุกมิติการพัฒนาภาคการเกษตรในระดับพื้นที่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรม แผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 - 2570 1. วิสัยทัศน์ “สินค้าเกษตรมูลค่าสูงด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นศูนย์กลางการค้า และโลจิสติกส์เกษตรที่สำคัญของภูมิภาค” 2 เป้าประสงค์ 1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 สาขาเกษตรเพิ่มขึ้น 2. เกษตรกรมีรายได้เงินสดสุทธิครัวเรือนเกษตรเพิ่มขึ้น 3. ทรัพยากรการเกษตรได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า 3 ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย 1. อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 สาขาเกษตร เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 4.5 ต่อปี 2. รายได้เงินสดสุทธิครัวเรือนเกษตรเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี 3. สถาบันเกษตรกร (สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร) ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตร และสหกรณ์มีความเข้มแข็งในระดับมาตรฐาน (1) สหกรณ์มีความเข้มแข็งในระดับ 1 และ 2 อย่างน้อยร้อยละ 95 (2) วิสาหกิจชุมชน/กลุ่มเกษตรกรมีความเข้มแข็งในระดับดีอย่างน้อยร้อยละ 30


ข 4. ประเด็นการพัฒนา ประกอบด้วย 3 ประเด็นการพัฒนา 12 แนวทางการพัฒนา ดังนี้ 4.1 ประเด็นการพัฒนาที่ 1 ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แนวทางการพัฒนา 1. ส่งเสริมและสนับสนุนการทำระบบฟาร์มอัจฉริยะให้กับเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลิตภาพทางการเกษตร 2. ส่งเสริมการผลิตการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีคุณภาพมีมาตรฐาน และสร้างมูลค่าเพิ่ม จากลักษณะเด่นเฉพาะตัว (อัตลักษณ์) 3. ส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้เหมาะสมกับศักยภาพของเกษตรกร/ กลุ่มเกษตรกร และพัฒนาทักษะให้เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร 4. พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเกษตรและการเฝ้าระวังเตือนภัยสินค้าเกษตร ที่มีประสิทธิภาพและมีความแม่นยำสูง 4.2 ประเด็นการพัฒนาที่ 2 ส่งเสริมการผลิตโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพัฒนา สู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างสมดุลและยั่งยืน แนวทางการพัฒนา 1. ส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการดินและน้ำให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ 2. ส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตสินค้าเกษตรในรูปแบบเกษตรกรรมยั่งยืน รวมถึงต่อยอดไปสู่ การท่องเที่ยวเชิงเกษตร 3. ส่งเสริมการแปรรูป และพัฒนาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ด้วยรูปแบบโมเดลเศรษฐกิจ BCG 4. ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค และมีระบบ ตรวจสอบย้อนกลับ 4.3 ประเด็นการพัฒนาที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์เกษตรโดยพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานและยกระดับสถาบันเกษตรกร แนวทางการพัฒนา 1. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์เกษตรด้วยเทคโนโลยี สมัยใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์เกษตร เช่น ตลาดกลาง ห้องเย็น ระบบการให้บริการ เชื่อมโยงทางอิเล็กทรอนิกส์ (National Single Window: NSW) และระบบเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการใช้งาน 2. พัฒนาสถาบันเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งสามารถเป็นผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์เกษตร เป็นผู้รวบรวม กระจาย และขนถ่ายสินค้าเกษตร ระหว่างเกษตรกร สถาบันเกษตรกร เพื่อการลดต้นทุนและ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ 3. เพิ่มช่องทางการตลาด และเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตรภายในประเทศและต่างประเทศ 4. สนับสนุนแหล่งเงินทุน และส่งเสริมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านโลจิสติกส์เกษตร


ค คำนำ แผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 – 2570 จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาด้านการเกษตรและสหกรณ์ระดับกลุ่มจังหวัด และเป็นกรอบแนวทางในการจัดทำข้อเสนอแผนงานโครงการเพื่อจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี การจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี โดยมีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติกับแผนทุกระดับ นโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และสอดคล้องกับสถานการณ์ภาคการเกษตรในระดับพื้นที่ นอกจากนี้ แผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 – 2570 จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้บริหารในระดับส่วนกลางและภูมิภาค สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกำกับดูแล และติดตามผลการดําเนินงานโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 ขอขอบคุณผู้แทนจากหน่วยงาน ภาครัฐสถาบันการศึกษา และเกษตรกร ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อให้แผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 – 2570 มีความถูกต้อง ครบถ้วน และครอบคลุมในทุกมิติ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 กรกฎาคม 2566


สารบัญ เรื่อง หน้า บทสรุปผู้บริหาร ก คำนำ ค สารบัญตาราง ฉ สารบัญภาพ ช ส่วนที่ 1 ความสอดคล้องเชื่อมโยงของแผน นโยบาย และประเด็นการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง 1.1 นโยบายและยุทธศาสตร์ระดับโลก 1 1.2 ความสอดคล้องเชื่อมโยงของแผนระดับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 1 1.2.1 แผนระดับที่ 1 ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 - 2580 1 1.2.2 แผนระดับที่ 2 2 1) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 2 2) แผนการปฏิรูปประเทศ 2 3) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) 2 4) นโยบายแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2566 - 2570) 3 1.2.3 แผนระดับที่ 3 3 1) นโยบายรัฐบาล 3 2) นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2566 4 3) แผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564 - 2570 5 4) แผนปฏิบัติราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) 6 5) แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พ.ศ. 2566 - 2570 6 6) แผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์พ.ศ. 2566 - 2570 6 7) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร พ.ศ. 2566 - 2570 6 8) แนวทางการพัฒนาภาคเหนือ พ.ศ. 2566 - 2570 6 9) แผนพัฒนากลุ่มจังหวัดเหนือตอนบน 2 พ.ศ.2566 - 2570 7 ส่วนที่ 2 ข้อมูลทั่วไปและทิศทางการพัฒนากลุ่มจังหวัด 2.1 ข้อมูลด้านกายภาพ 10 2.1.1 ที่ตั้งและอาณาเขต 10 2.1.2 สภาพการปกครอง 11 2.1.3 ประชากร 11 2.1.4 ลักษณะภูมิประเทศ 12 2.1.5 ลักษณะภูมิอากาศ 12 2.1.6 สภาพดิน และป่าไม้ 13 2.1.7 แหล่งน้ำธรรมชาติและชลประทาน 13 2.1.8 การใช้ประโยชน์ที่ดิน และลักษณะการถือครองที่ดิน 14


จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ส่วนที่ 2 ข้อมูลทั่วไปและทิศทางการพัฒนากลุ่มจังหวัด (ต่อ) 2.1.9 โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 16 2.2 ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการเกษตร 17 2.2.1 ภาพรวมเศรษฐกิจภาคเกษตรของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 17 2.2.2 สินค้าเกษตรที่สำคัญ 18 2.2.3 การค้าชายแดน 24 2.2.4 ภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนเกษตร 26 2.3 ปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 27 2.4 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้านการเกษตรและสหกรณ์ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 28 2.4.1 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในด้วย McKinsey 7-s Framework 28 2.4.2 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกด้วย PESTEL Analysis 30 2.4.3 การวิเคราะห์SWOT Analysis 32 2.5 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์TOWS Matrix 36 ส่วนที่ 3 แผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 - 2570 3.1 วิสัยทัศน์ 42 3.2 เป้าประสงค์ 42 3.3 ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย 42 3.4 ประเด็นการพัฒนา 42 ส่วนที่ 4 แผนงาน/โครงการ ภายใต้ประเด็นการพัฒนา 51


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 2.1 จำนวนหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและจังหวัดในเขตการปกครอง กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ตอนบน 2 ปี2565 11 ตารางที่ 2.๒ จำนวนประชากร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี2565 11 ตารางที่ 2.3 อุณหภูมิกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี2563 - 2565 12 ตารางที่ 2.4 ปริมาณน้ำฝน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี2563 - 2565 12 ตารางที่ 2.5 พื้นที่ป่าไม้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี2565 13 ตารางที่ 2.6 พื้นที่ชลประทาน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 14 ตารางที่ 2.7 การใช้ที่ดิน และเนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตรกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2564 15 ตารางที่ 2.8 ลักษณะการถือครองที่ดินทางการเกษตร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี2564 15 ตารางที่ 2.9 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี2562 - 2564 17 ตารางที่ 2.10 เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ข้าวนาปีปี2563 - 2565 18 ตารางที่ 2.11 เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ข้าวนาปรัง ปี2563 - 2565 18 ตารางที่ 2.12 เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี2563 - 2565 19 ตารางที่ 2.13 เนื้อที่ให้ผล ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลำไย ปี2563 - 2565 19 ตารางที่ 2.14 เนื้อที่กรีดได้ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ยางพารา ปี2563 - 2565 20 ตารางที่ 2.15 เนื้อที่ให้ผล ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลิ้นจี่ ปี2563 - 2565 20 ตารางที่ 2.16 เนื้อที่ให้ผล ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่กาแฟ ปี2563 - 2565 21 ตารางที่ 2.17 จำนวนโคเนื้อ และจำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงโคเนื้อ ปี 2563 - 2565 21 ตารางที่ 2.18 จำนวนกระบือ และจำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงกระบือ ปี 2563 - 2565 22 ตารางที่ 2.19 จำนวนสุกร และจำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงสุกร ปี 2563 - 2565 22 ตารางที่ 2.20 จำนวนไก่เนื้อ และจำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงไก่เนื้อ ปี 2563 - 2565 23 ตารางที่ 2.21 จำนวนแพะเนื้อ และจำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงแพะเนื้อ ปี 2563 - 2565 23 ตารางที่ 2.22 เนื้อที่เพาะเลี้ยง ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ปลานิล ปี 2563 - 2565 24 ตารางที่ 2.23 รวมจุดผ่านแดนบริเวณชายแดนไทย - เมียนมา - สปป.ลาว 25 ตารางที่ 2.24 มูลค่าการค้าชายแดนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2563 - 2565 25 ตารางที่ 2.25 รายได้เงินสดสุทธิครัวเรือนเกษตรกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2561 - 2563 26 ตารางที่ 2.26 การวิเคราะห์สถาพแวดล้อมภายในด้วย McKinsey 7-s Framework 28 ตารางที่ 2.27 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกด้วย PESTEL Analysis 30 ตารางที่ 2.28 สรุปปัจจัยสภาพแวดล้อมโดยเรียงลำดับความสำคัญ 33 ตารางที่ 2.29 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์TOWS Matrix 37 ตารางที่ 3.1 สาระสำคัญของแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 - 2570 47 ตารางที่ 3.2 แผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 - 2570 48


ช สารบัญภาพ ภาพ หน้า ภาพที่ 1.1 ความเชื่อมโยงของยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บท และแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 - 2570 8 ภาพที่ 2.1 แผนที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 10 ภาพที่ 2.2 แผนภาพแสดงการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบแมตทริกซ์(TOWS Matrix) 36


ส่วนที่ 1 ความสอดคล้องเชื่อมโยงของแผน นโยบาย และประเด็นการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง การจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 - 2570 เป็นไปตามกรอบแนวทางการพัฒนาประเทศ แผนพัฒนาการเกษตรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) นโยบายรัฐบาล และแผนปฏิบัติราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซี่งมีหลักการจัดทำแผนฯ ต้องมีความสอดคล้องเชื่อมโยงของแผนในระดับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาภาคเกษตร ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ดังนี้ 1.1 นโยบายและยุทธศาสตร์ระดับโลก เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) องค์การสหประชาชาติ ได้จัดทำวาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. 2015 (post-2015 development agenda) มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งขจัดความยากจนในทุกมิติและทุกรูปแบบ โดยมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นกรอบกำหนด ทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกในอีก 15 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2559 - 2573) ซึ่งครอบคลุม 3 เสาหลักการพัฒนา ที่ยั่งยืน คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างมิติต่างๆ เพื่อให้บรรลุถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย 17 เป้าหมาย 169 เป้าประสงค์เกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำนวน 9 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่ เป้าหมายที่ 2 ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร และยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน (หลัก) เป้าหมายที่ 3 สร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิต ที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมสวัสดิภาพสำหรับทุกคนในทุกวัย เป้าหมายที่ 6 สร้างหลักประกันว่าจะมีการจัดให้มีน้ำ และสุขอนามัยสำหรับทุกคนและมีการบริหารจัดการที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 8 ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่และมีผลิตภาพ และการมีงานที่สมควรสำหรับทุกคน เป้าหมายที่ 12 สร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการบริโภคและผลิตที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 13 ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วน เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบที่เกิดขึ้น เป้าหมายที่ 14 อนุรักษ์และใช้ประโยชน์ จากมหาสมุทร ทะเลและทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป้าหมายที่ 15 ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน จัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนต่อสู้การกลายสภาพเป็นทะเลทราย หยุดการเสื่อมโทรมของที่ดิน และฟื้นสภาพกลับมาใหม่ และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ 1.2 ความสอดคล้องเชื่อมโยงของแผนระดับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 1.2.1 แผนระดับที่ 1 ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 - 2580 ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 - 2580 มีวิสัยทัศน์ คือ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”และมีเป้าหมายการพัฒนาประเทศ คือ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม ฐานทรัพยากรธรรมชาติ ยั่งยืน” โดยยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ พัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่ง และมีคุณภาพ สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม สร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีภาครัฐของประชาชนเพื่อประชาชนและประโยชน์ส่วนรวมการพัฒนาประเทศในช่วงระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติ จะมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์


๒ โดยมีความเกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (01) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง (02) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (หลัก) (04) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาส และความเสมอภาคทางสังคม (05) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (06) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 1.2.2 แผนระดับที่ 2 1) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเป็นส่วนสำคัญในการถ่ายทอดเป้าหมายและประเด็น ยุทธศาสตร์ของยุทธศาสตร์ชาติลงสู่แผนระดับต่างๆ ในลักษณะที่มีการบูรณาการและเชื่อมโยงระหว่าง ยุทธศาสตร์ชาติด้านที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ส่วนราชการสามารถนำไปใช้เป็นกรอบในการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติภายในปี 2580 โดยแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ มีทั้งหมด 23 ฉบับ มีเกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 15 ฉบับ ได้แก่ (01) ความมั่นคง (03) การเกษตร (หลัก) (05) การท่องเที่ยว (06) พื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ (07) โครงสร้างพื้นฐานระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล (08) ผู้ประกอบการและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยุคใหม่ (09) เขตเศรษฐกิจพิเศษ (15) พลังทางสังคม (16) เศรษฐกิจฐานราก (18) การเติบโตอย่างยั่งยืน (19) การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ (20) การบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ (21) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (22) กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม และ (23) การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม 2) แผนการปฏิรูปประเทศ เป็นแผนที่ต้องดําเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคี สังคมมีความสงบสุข เป็นธรรม และมีโอกาสอันทัดเทียมกัน เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ การปฏิรูปประเทศ ต้องสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์ชาติ มีทั้งหมด 13 ด้าน ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวง เกษตรและสหกรณ์มี จำนวน 7 ด้าน ได้แก่ (1) การบริหารราชการแผ่นดิน (2) เศรษฐกิจ (3) ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (4) สาธารณสุข (5) สังคม (6) พลังงาน และ(7) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ 3) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) มีวัตถุประสงค์เพื่อพลิกโฉมประเทศไทยสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับโครงสร้างนโยบายและกลไก เพื่อมุ่งเสริมสร้างสังคม ที่ก้าวทันพลวัตรของโลก และเกื้อหนุนให้คนไทยมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ พร้อมกับการปรับ โครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการสร้าง มูลค่าเพิ่มที่สูง และคำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยได้กำหนดเป้าหมายหลัก 5 ประการ ประกอบด้วย (1) การปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (2) การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ (3) การมุ่งสู่สังคม แห่งโอกาสและความเป็นธรรม (4) การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน และ (5) การเสริมสร้างความสามารถของ ประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงภายใต้บริบทโลกใหม่ ทั้งนี้ได้มีการกำหนดหมุดหมาย การพัฒนาประเทศไว้ 13 หมุดหมาย ครอบคลุม 4 มิติการพัฒนา โดยมีหมุดหมายที่เกี่ยวข้องกับกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ จำนวน 9 หมุดหมาย ได้แก่ (01) ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตร และเกษตรแปรรูป มูลค่าสูง (02) ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน (05) ไทยเป็นประตูการค้า การลงทุนและจุดยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค (07) ไทยมี SMEs ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ (08) ไทยมีพื้นที่และเมืองหลักของภูมิภาคที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ ทันสมัย และน่าอยู่


๓ (09) ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอเหมาะสม (10) ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ (11) ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ (13) ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน 4) นโยบายแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566 - 2570) เป็นกรอบทิศทางในการป้องกัน แจ้งเตือน แก้ไข หรือระงับยับยั้งภัยคุกคามเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง แห่งชาติและรักษาผลประโยชน์แห่งชาติอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของประเทศ โดยความสำคัญของนโยบายและแผน ระดับชาติฯ ฉบับนี้ได้ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การวางนโยบายและแผนการขับเคลื่อนงานด้านความมั่นคง ให้สอดคล้องในทิศทางเดียวกัน โดยมิได้จำกัดเฉพาะความมั่นคงของรัฐ แต่ให้หมายรวมถึงความมั่นคงของมนุษย์ และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี จึงจำเป็นต้องมีกรอบทิศทาง ให้สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงภัยคุกคามทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที โดยใช้กระบวนการเสริมสร้าง การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ภาควิชาการ ภาคการเมือง และภาคสื่อมวลชน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศทั่วโลก เพื่อให้ประเทศมีเสถียรภาพประชาชนอยู่ดี มีสุขและมีศักยภาพบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม และรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติอย่างยั่งยืน ให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ โดยแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ มีทั้งหมด 17 แผน โดยเกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 8 แผน ได้แก่ (1)การเสริมสร้างความมั่นคง ของสถาบันหลักของชาติ(4) การรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (5) การป้องกันและแก้ไข ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้(9) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ (10) การป้องกันและแก้ไขปัญหา ความมั่นคงทางไซเบอร์(13)การบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและโรคติดต่ออุบัติใหม่ (15)การพัฒนา ศักยภาพการเตรียมความพร้อมแห่งชาติและบริหารจัดการวิกฤตการณ์ระดับชาติและ (17) การบูรณาการ ข้อมูลด้านความมั่นคง 1.2.3 แผนระดับที่ 3 1) นโยบายรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 โดยคณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาให้ทราบถึงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลจะดำเนินการ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง สังคมไทยมีความสงบสุข สามัคคี และเอื้ออาทร คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีความพร้อมที่จะดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง และมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีนโยบายประกอบด้วย นโยบายหลัก 12 ด้าน นโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง โดยมีนโยบายหลัก ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้ (1) นโยบายหลัก 8 ด้าน ประกอบด้วย นโยบายหลักที่1 การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ นโยบายหลักที่ 4 การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก นโยบายหลักที่ 5 การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถ ในการแข่งขันของไทย นโยบายหลักที่ 6 การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค นโยบายหลักที่ 7 การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก นโยบายหลักที่ 10 การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและ การรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน นโยบายหลักที่ 11 การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ และนโยบายหลักที่ 12 การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบและกระบวนการยุติธรรม (2) นโยบายเร่งด่วน 7 เรื่อง ประกอบด้วย นโยบายเร่งด่วนที่ 1 การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิต ของประชาชน นโยบายเร่งด่วนที่ 4 การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม นโยบายเร่งด่วนที่ 6 การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต นโยบายเร่งด่วนที่ 8 การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติ


๔ มิชอบในวงราชการทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำ นโยบายเร่งด่วนที่ 9 การแก้ไขปัญหายาเสพติด และสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ นโยบายเร่งด่วนที่ 10 การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน และนโยบายเร่งด่วนที่ 11 การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย 2) นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ได้มอบแนวทางการขับเคลื่อน งานสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2566 เน้นทำงานเชิงรุก เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร ประกอบด้วยนโยบายหลัก 15 ด้าน ดังนี้ (1) ตลาดนำการผลิต เป็นนโยบายหลักโดยเพิ่มช่องทางตลาดให้หลากหลาย ทั้งในรูปแบบตลาดออนไลน์ (แพลตฟอร์มรายสินค้าเพื่อรองรับ New Normal) ตลาดออฟไลน์ โมเดิร์นเทรด (Modern Trade) รถโมบาย ตลาดสด ตลาดชุมชน คาราวานสินค้า เกษตรพันธะสัญญา และเคาน์เตอร์เทรด จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจผู้ซื้อกับผู้ขาย เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ โดยร่วมมืออย่างเข้มข้นกับกระทรวงพาณิชย์ภายใต้โมเดล “เกษตร - พาณิชย์ทันสมัย” (2) การสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก โดยส่งเสริมให้เกษตรกร มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สามารถเชื่อมโยง เครือข่ายเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีอำนาจต่อรอง ในการซื้อขายผลผลิต ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ เกษตรชุมชนเชื่อมโยงกับตลาดชุมชน/ตลาดเกษตรกร ตลาดสีเขียว (Green Market) และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชน รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ สามารถช่วยเหลือสมาชิกเกษตรกร เอื้อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ทั้งสังคม ชุมชน วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติให้เข้มแข็งและยั่งยืน (3) การส่งเสริมสถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ และ Start Up เป็นหน่วยธุรกิจให้บริการทางการเกษตร (Agricultural Service Providers : ASP) เพื่อยกระดับสู่การให้บริการทางการเกษตร เช่น เทคโนโลยีในการดูแล รักษาเครื่องจักรกลในการเตรียมดินและการเก็บเกี่ยวสำหรับให้บริการแก่เกษตรกรแบบครบวงจร (4) การส่งเสริมเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) เพื่อสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือ ในการพัฒนาศักยภาพการผลิตอย่างยั่งยืน ระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการ และร่วมกันยกระดับคุณภาพ ผลผลิตและแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาด (5) การพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี ทางการเกษตร สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์ นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตร ที่เหมาะสมกับพื้นที่ของแต่ละจังหวัด โดยเชื่อมโยงการทำงานกับศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สินค้าเกษตร (ศพก.) เพื่อยกระดับสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ และเกษตรแบบแม่นยำ (Precision Agriculture) (6) การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตร เพื่อตอบสนองต่อโซ่อุปทานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการค้าสินค้าเกษตรออนไลน์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง เพื่อรักษาคุณภาพสินค้าเกษตรให้มีความสดใหม่ และถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว รวมถึงพัฒนาระบบเชื่อมโยงทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวก ในการส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตร (7) การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ มีการกระจายน้ำอย่างเหมาะสมและทั่วถึง รวมทั้งพัฒนาแหล่งน้ำ ในไร่นาของเกษตรกรและชุมชน เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอ สำหรับใช้ในการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร ตลอดจนป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย (8) การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ตรงตามศักยภาพ ของที่ดินและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดมากที่สุด โดยกำหนดเขตความเหมาะสมในการทำการเกษตร ในแต่ละพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตสูงสุดผ่านข้อมูล Agri - Map


๕ (9) การส่งเสริมศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เพื่อบ่มเพาะเกษตรกร ให้เป็น Smart Farmer ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การบริหารจัดการ และการตลาดแก่เกษตรกร รวมทั้งให้บริการทางวิชาการ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในพื้นที่ โดยมีเกษตรกรต้นแบบเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ และเป็นกลไกในการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการเกษตรในระดับพื้นที่ (10) การประกันภัยพืชผล การประกันภัยพืชผลให้ความคุ้มครองความเสียหายหรือความสูญเสีย ต่อพืชผล ที่เอาประกันภัย ซึ่งเกิดจากภัยต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง ลมพายุ ลูกเห็บตก เป็นต้น ซึ่งจะช่วย สร้างเสถียรภาพทางรายได้และความมั่นคงในอาชีพให้แก่เกษตรกร รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเยียวยา เกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างทันท่วงที (11) การส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน และสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกร ได้แก่ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์เกษตรธรรมชาติ และวนเกษตร ด้วยการลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับรู้เกี่ยวกับ การใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง และมีการพัฒนาอาหารของไทย ให้เป็นรูปแบบอาหารที่ปลอดภัยและมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการ สินค้าเกษตรปลอดภัยใน 5ร อันได้แก่ โรงเรียน โรงแรม โรงพยาบาล เรือนจำ และร้านอาหาร (12) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น สร้างแบรนด์ให้กับสินค้าเกษตรอัตลักษณ์ ส่งเสริมการแปรรูปสินค้า จากความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น สมุนไพร แมลงเศรษฐกิจ ส่งเสริมสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพทางด้านการตลาดในอนาคต ทั้งสินค้าอาหารอนาคต (Future Food) และสินค้าเกษตรที่ตอบสนองผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม (Functional Food) รวมทั้งสินค้าเกษตรเพื่อพลังงาน และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (13) การวิจัยและพัฒนา เพื่อตอบสนองการพัฒนาภาคเกษตรของประเทศไทย บนพื้นฐานด้าน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรและผู้บริโภค (14) การพัฒนาฐานข้อมูล Big Data ในการใช้ประโยชน์และเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการบริหารและช่วยให้เกษตรกรมีข้อมูลที่ดีและเพียงพอต่อการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสมเพื่อการผลิต และการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (15) การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3)แผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564 - 2570 มุ่งเน้นการพัฒนาภายใต้ 4 + 1 สาขายุทธศาสตร์ คือ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเศรษฐกิจหมนุเวียนซึ่งมีศักยภาพจะเพิ่มผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านบาท จากฐานความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพ (Nature) วัฒนธรรม (Culture) และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (Nurture) ภายใต้กลไกจตุภาคี ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันวิจัย/สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน โดยมีวิสัยทัศน์ คือ เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ และยั่งยืน ประชาชนมีรายได้ดี คุณภาพชีวิตดี รักษาและฟื้นฟูฐานทรัพยากรจากความหลากหลายทางชีวภาพ ให้มีคุณภาพที่ดี ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรมด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรม ภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน และยุทธศาสตร์ที่ 4 เสริมสร้างความสามารถในการ ตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความเกี่ยวข้องในทุกยุทธศาสตร์


๖ 4) แผนปฏิบัติราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำแผนปฏิบัติราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในช่วงระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) ของยุทธศาสตร์ชาติโดยมีวิสัยทัศน์คือ “เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี” ประกอบด้วย 5 ประเด็นการพัฒนา ได้แก่ ประเด็นการพัฒนาที่ 1 เสริมสร้างความมั่นคงทางการเกษตร ประเด็นการพัฒนาที่ 2 ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตร ประเด็นการพัฒนาที่ 3 สร้างความเสมอภาคและกระจายความเท่าเทียมทางสังคมเกษตร ประเด็นการพัฒนาที่ 4 บริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน และประเด็นการพัฒนาที่ 5 พัฒนาระบบ การบริหารจัดการภาครัฐและงานวิจัยด้านการเกษตร 5) แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พ.ศ. 2566 - 2570 มีวิสัยทัศน์ คือ“เกษตรกรไทยสู่เกษตรมูลค่าสูง เกษตรกรมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพภาคเกษตร เติบโตอย่างยั่งยืน" ประกอบด้วย 4 ประเด็นการพัฒนา ได้แก่ ประเด็นการพัฒนาที่ 1 ยกระดับศักยภาพและ สถาบันเกษตรกรสู่ผู้ประกอบธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ ประเด็นการพัฒนาที่ 2 ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตสินค้า เกษตรและบริการมูลค่าสูง ประเด็นการพัฒนาที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรทางการเกษตร และประเด็นการพัฒนาที่ 4 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการเกษตร 6) แผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์พ.ศ. 2566 - 2570 มุ่งสู่เป้าหมายในการส่งเสริมให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยมีคุณภาพและมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับสากล สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร และยกระดับรายได้เกษตรกรนำไปสู่ความเป็นอยู่และสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน โดยมีวิสัยทัศน์ คือ “ ประเทศไทย เป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ของภูมิภาคอาเซียนบนพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายในปี 2570”ประกอบด้วย 4 ประเด็นการพัฒนา ได้แก่ ประเด็นการพัฒนาที่ 1 พัฒนาศักยภาพการผลิต และการบริหารจัดการตลอดโซอุปทาน เกษตรอินทรีย์ ประเด็นการพัฒนาที่ 2 ยกระดับมาตรฐานและระบบการตรวจสอบรับรองเกษตรอินทรีย์ ประเด็นการพัฒนาที่ 3 พัฒนาการตลาดและสรางความตระหนักรูเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ และประเด็นการพัฒนาที่ 4 สงเสริมการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และฐานขอมูลเกษตรอินทรีย์ 7) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร พ.ศ. 2566 - 2570 มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ภาคการเกษตร ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์เกษตรของภูมิภาคอาเซียน”โดยกำหนดประเด็นการพัฒนา 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1) สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการในการบริหาร จัดการโลจิสติกส์เกษตร 2) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์เกษตร และ 3) ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการขับเคลื่อนโลจิสติกส์ภาคการเกษตร 8) แนวทางการพัฒนาภาคเหนือ พ.ศ. 2566 – 2570 ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบเป้าหมายและแนวทางการพัฒนา ภาค พ.ศ. 2566 – 2570 เพื่อให้จังหวัด กลุ่มจังหวัด ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำ แผนงานโครงการ พ.ศ. 2566 – 2570 โดยมีเป้าหมายรวมของการพัฒนาภาค คือ สร้างการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำภายในภาค ซึ่งจะประกอบด้วยเป้าหมายและแนวทางการพัฒนา 6 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน


๗ แนวทางการพัฒนาภาคเหนือ พ.ศ. 2566 - 2570 มีเป้าหมายเพื่อเป็น “ฐานเศรษฐกิจ สร้างสรรค์ของประเทศ” ตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์สานสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ สุขภาวะดี วิถีชีวิตยั่งยืน ประกอบด้วยแนวทางการพัฒนา ดังนี้ (1) พัฒนาสู่การเป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ Creative LANNA ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และลำปาง (2) พัฒนาการผลิตตามระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เชื่อมโยงสู่อุตสาหกรรมแปรรูปมูลค่าสูง (3) พัฒนาการท่องเที่ยวและบริการบนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม (4) เสริมศักยภาพของเมืองและพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเอื้อต่อการอยู่อาศัย (5) พัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาผู้สูงอายุสู่การเป็นผู้สูงอายุ ที่มีศักยภาพ (Active Aging) และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน (6) อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำที่มีความสมดุล ป้องกันและแก้ไข ปัญหาหมอกควันปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง 9) แผนพัฒนากลุ่มจังหวัดเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 - 2570 แผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ. 2566 - 2570 มีเป้าหมายการพัฒนา คือ “ภายในปี 2570 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จะเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน” ประกอบด้วยประเด็นการพัฒนา 3 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นการพัฒนาที่ 1 พัฒนาเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ประเด็นการพัฒนาที่ 2 ส่งเสริมแลพัฒนาสุขภาวะวิถีใหม่สู่ความยั่งยืน (New Normal to Sustainable) และประเด็นการพัฒนาที่ 3 อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาขีดความสามารถในการรับมือสาธารณภัย


ภาพภาพที่ 1.1 ความเชื่อมโยงของยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท และแผนพัฒนา


พที่ 1.1 ควา าการเกษตรและสหกรณ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ.2566 – 2570 8


ภาพที่ 1.1 ความเชื่อมโยงของยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท และแผนพัฒนากา


ารเกษตรและสหกรณ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พ.ศ.2566 – 2570 (ต่อ) 9


ส่วนที่ 2 ข้อมูลทั่วไปและทิศทางการพัฒนากลุ่มจังหวัด 2.1 ข้อมูลด้านกายภาพ 2.1.1 ที่ตั้งและอาณาเขต กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วยจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน มีอาณาเขต ติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้ - ทิศเหนือ ติดต่อกับประเทศเมียนมาร์ และเป็นแนวแม่น้ำ - ทิศตะวันออก ติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว - ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ - ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำปาง ภาพที่ 2.1 แผนที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2


๑๑ 2.1.2 สภาพการปกครอง เขตการปกครองของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มี 4 จังหวัด 50 อำเภอ 369 ตำบล และ 4,134 หมู่บ้าน มีหน่วยงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่น แยกเป็นองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด 4 แห่ง เทศบาล 150 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 245 แห่ง ตารางที่ 2.1 จำนวนหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและจังหวัดในเขตการปกครอง กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2565 จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน เขตการปกครองส่วนท้องถิ่น1/ อบจ. เทศบาล อบต. เชียงราย 18 124 1753 1 70 72 พะเยา 9 68 780 1 35 36 แพร่ 8 78 708 1 26 57 น่าน 15 99 893 1 19 80 รวม 50 369 4,134 4 150 245 ที่มา : กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2564 2.1.3 ประชากร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีจำนวนประชากร 2,666,275 คน โดยจังหวัดเชียงราย มีประชากรมากที่สุด (1,299,636 คน) รองลงมา คือ จังหวัดน่าน (474,539 คน) และจังหวัดที่มีประชากร น้อยที่สุด คือ จังหวัดแพร่ (430,669 คน) ตารางที่ 2.๒ จำนวนประชากร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี2565 จังหวัด กลุ่มจังหวัด จำนวนประชากร (คน) ลำดับ เชียงราย 1,299,636 1 พะเยา 461,431 3 แพร่ 430,669 4 น่าน 474,539 2 รวม 2,666,275 - ที่มา : สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2566 2.1.4 ลักษณะภูมิประเทศ ภาพรวมของภูมิประเทศ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าไม้และภูเขามีความสูงจากน้ำทะเลสูงสุดที่ดอยภูคา 1,980 เมตร และความสูงเฉลี่ยคือ 76.16 เมตร ของดอยสูงที่สุดในประเทศ เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญหลายสาย ได้แก่ แม่น้ำโขงไหลมาจากประเทศจีนและผ่านกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 แม่น้ำยมมีต้นกำเนิดที่จังหวัดพะเยา แม่น้ำน่านมีต้นกำเนิดที่จังหวัดน่าน แม่น้ำกกมีต้นกำเนิดที่จังหวัดเชียงตุง ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ แม่น้ำอิง มีต้นกำเนิดที่จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำโขง โดยไหลลงแม่น้ำโขงที่บ้านปากอิง หมู่ 16 ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เนื่องจากมีความหลากหลายทางธรรมชาติ มีทั้งพื้นที่ภูเขาสูง ที่ราบสูงและลาดเอียง ตลอดจนถึงเป็นพื้นที่ราบ พื้นที่ราบลุ่ม ทำให้สามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้ทุกสาขา เช่น สาขาป่าไม้ สาขาพืช สาขาประมง และสาขาปศุสัตว์ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีพื้นที่รวมประมาณ 36,024 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 7.02 ของพื้นที่ของประเทศไทยโดยจังหวัดเชียงราย มีพื้นที่มากที่สุด 11,678 ตารางกิโลเมตร


๑๒ 2.1.5 ลักษณะภูมิอากาศ พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ตามตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนที่ค่อนไปทางเขตอากาศ อบอุ่น ฤดูหนาวจึงมีอากาศเย็นค่อนข้างหนาว แต่เนื่องจากอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินห่างไกลทะเล จึงมีฤดูแล้ง ที่ยาวนานและอากาศจะร้อนถึงร้อนจัดในฤดูร้อน มีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกันอย่างเด่นชัด 3 ช่วงฤดู คือ ช่วงมีนาคมถึงเมษายนมีอากาศร้อน ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมจะมีฝนตกชุกเป็นฤดูฝน และ ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์มีอากาศหนาวเย็นเป็นฤดูหนาว ซึ่งฤดูหนาวและฤดูร้อนนั้นเป็นฤดูแล้ง ที่มีระยะเวลาติดต่อกันประมาณ 6 เดือน อุณหภูมิเฉลี่ยของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ตลอดทั้งปี 2565 พบว่า จังหวัดแพร่ มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด คือ 26.3 องศาเซลเซียส รองลงมาคือ จังหวัดน่าน มีอุณหภูมิเฉลี่ย 25.6 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ตลอดทั้งปี 2565 พบว่า จังหวัดน่าน มีอุณหภูมิสูงสุด คือ 36.3 องศาเซลเซียส รองลงมาคือ จังหวัดแพร่ มีอุณหภูมิสูงสุด 25.6 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ตลอดทั้งปี 2565 พบว่า จังหวัดเชียงราย มีอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย คือ 16.7 องศาเซลเซียส รองลงมาคือ จังหวัดน่าน มีอุณหภูมิต่ำสุด 17.7 องศาเซลเซียส ตารางที่ 2.3 อุณหภูมิกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2563 - 2565 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566 โดยภาพรวมปริมาณน้ำฝนตลอดทั้งปี 2565 จังหวัดที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย มีปริมาณน้ำฝน 1,662.04 มิลลิเมตร รองลงมา คือ จังหวัดน่าน มีปริมาณ 1,300.50 มิลลิเมตร ในขณะที่ จังหวัดพะเยามีปริมาณน้ำฝนน้อยที่สุด คือ 1,213.80 มิลลิเมตร ตารางที่ 2.4 ปริมาณน้ำฝน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2563 - 2565 จังหวัด ปริมาณน้ำฝน (มิลลิเมตร/ปี) เฉลี่ย 2563 2564 2565 เชียงราย 1,261.20 1,708.70 2,016.22 1,662.04 พะเยา 809.10 1,286.70 1,545.60 1,213.80 แพร่ 1,370.80 1,227.90 1,211.00 1,269.90 น่าน 1,117.33 1,191.03 1,593.15 1,300.50 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566 จังหวัด อุณหภูมิต่ำสุด (°c) อุณหภูมิสูงสุด (°c) อุณหภูมิเฉลี่ย (°c) 2563 2564 2565 2563 2564 2565 2563 2564 2565 เชียงราย 16.0 16.6 16.7 35.7 35.0 34.5 25.4 24.4 24.4 พะเยา 17.4 17.5 18.7 35.9 35.9 35.5 26.4 25.3 25.3 แพร่ 19.1 19.0 19.1 37.9 37.0 36.1 27.8 26.3 26.3 น่าน 16.6 16.9 17.7 37.8 37.0 36.3 26.5 25.6 25.6


๑๓ 2.1.6 สภาพดิน และป่าไม้ ดิน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีลักษณะภูมิประเทศเต็มไปด้วยเทือกเขาและหุบเขา จึงทำให้เกิดดินประเภทต่าง ๆ ที่พบตามแถบภูเขา ที่สูงที่ผุพังจากหินต่าง ๆ หลายชนิด ดินมีลักษณะตื้นบางตามที่ ลาดชัน และเต็มไปด้วยกรวดหินพื้นที่มีป่าไม้ปกคลุมและจึงทำการเพาะปลูกแบบทำไร่เลื่อนลอยได้ ส่วนในบริเวณหุบเขาหรือแอ่งแผ่นดิน ซึ่งเป็นที่ราบที่มีระดับต่างๆ กัน จะมีเนื้อดินหนาสมบูรณ์กว่าเพราะน้ำ พาตะกอนจากไหล่เขามาทับถม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันนี้อาจแบ่งกลุ่มของดิน และประโยชน์ ที่ได้จากดิน ทรัพยากรดินของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เสื่อมโทรมอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากภัยธรรมชาติ และการใช้ที่ดินไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำให้เกิดปัญหาการชะล้างพังทลายของดินสูง มีปัญหาดินขาด อินทรียวัตถุ ปัญหาดินเป็นกรด เป็นต้น ป่าไม้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีป่าไม้ประกอบด้วย ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ และป่าแดง ไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่พบมาก คือ ไม้สักและไม้เบญจพรรณ จากข้อมูลของกรมป่าไม้ พบว่า เมื่อปี 2565 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีเนื้อที่ทั้งหมด 22,690,507 ไร่ เป็นเนื้อที่ป่าไม้12,082,969 ไร่ โดยจังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่ป่าไม้มากที่สุด คือ 4,627,737 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 61.04 ของเนื้อที่จังหวัด รองลงมาคือ จังหวัดเชียงรายมีเนื้อที่ป่าไม้ 2,838,483 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 39.48 ของเนื้อที่จังหวัด ตาราง 2.5 พื้นที่ป่าไม้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2565 จังหวัด เนื้อที่จังหวัด (ไร่) เนื้อที่ป่าไม้ (ไร่) สัดส่วนเนื้อที่ป่าไม้ต่อเนื้อที่จังหวัด (ร้อยละ) เชียงราย 7,189,311 2,838,483 39.48 พะเยา 3,868,248 1,986,959 51.37 แพร่ 4,051,913 2,629,790 64.90 น่าน 7,581,035 4,627,737 61.04 รวม 22,690,507 12,082,969 53.25 ที่มา : กรมป่าไม้, 2565 2.1.7 แหล่งน้ำธรรมชาติและชลประทาน แหล่งน้ำธรรมชาติ เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงและป่าไม้ จึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญของประเทศ โดยมีแหล่งน้ำสายหลักที่สำคัญของประเทศ ดังนี้ - แม่น้ำอิง ต้นกำเนิดจากดอยหลวง อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา แล้ววกลงใต้ลงกว๊านพะเยา อำเภอเมืองพะเยา แล้ววกขึ้นเหนือ ผ่านอำเภอดอกคำใต้ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา ผ่านอำเภอป่าแดด อำเภอเทิง อำเภอขุนตาล อำเภอพญาเม็งราย แล้วลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีความยาว 270 กิโลเมตร - แม่น้ำกก ต้นกำเนิดอยู่ที่ภูเขาทางตอนเหนือของเมืองกก รัฐเชียงตุง ประเทศเมียนมาร์ไหลลง ทางใต้เข้าเขตแดนไทยที่ช่องแม่น้ำกก อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านเชียงรายไปออกแม่น้ำโขง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายในเขตประเทศไทย มีความยาว 110 กิโลเมตร - แม่น้ำยม ต้นกำเนิดบริเวณดอยภูลังกาในเทือกเขาผีปันน้ำตะวันออก เขตอำเภอปง จังหวัดพะเยา ผ่านอำเภอเชียงม่วน อำเภอสอง อำเภอหนองม่วงไข่ อำเภอเมืองแพร่ อำเภอสูงเม่น อำเภอลอง อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ผ่านสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร บรรจบกับแม่น้ำน่านที่ตำบลเกยชัย อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ มีความยาวประมาณ 700 กิโลเมตร


๑๔ - แม่น้ำน่าน มีต้นกำเนิดอยู่ที่ดอยภูแวในเทือกเขาหลวงพระบาง และที่อำเภอปัว บนเทือกเขา เพชรบูรณ์ จังหวัดน่าน ไหลผ่านอำเภอท่าวังผา อำเภอเมืองน่าน อำเภอเวียงสา อำเภอนาน้อย อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน อำเภอท่าปลา อำเภอลับแล อำเภอตรอน อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ผ่านสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร ไปบรรจบกับแม่น้ำปิง ของตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีความยาวประมาณ 740 กิโลเมตร นอกจากนั้น ยังมีแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่สำคัญคือ กว๊านพะเยา ในเขตอำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา มีความกว้างประมาณ 4 กิโลเมตร ยาวประมาณ 7 กิโลเมตร รวมถึงกรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้สร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำฝาย ทำนบ เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ใช้ในการเพาะปลูก ผลิตกระแสไฟฟ้าบรรเทาอุทกภัย เก็บน้ำไว้ใช้ฤดูแล้ง และเพื่ออุปโภคบริโภค แหล่งน้ำชลประทาน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีพื้นที่ชลประทานทั้งหมด จำนวน 1,228,715 ไร่ ได้รับประโยชน์ จำนวน 1,187,950 ไร่ โดยจังหวัดที่มีพื้นที่ชลประทานมากที่สุด คือ จังหวัดเชียงราย มีพื้นที่ชลประทาน ทั้งหมด 462,485 ไร่ ใช้ประโยชน์ได้463,432 ไร่ รองลงมา คือ จังหวัดแพร่ มีพื้นที่ชลประทาน 356,070 ไร่ แต่ใช้ประโยชน์ได้เพียง 187,107 ไร่ ตาราง 2.6 พื้นที่ชลประทาน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จังหวัด พื้นที่ชลประทาน (ไร่) พื้นที่รับประโยชน์(ไร่) เชียงราย 462,485 463,432 พะเยา 228,380 391,816 แพร่ 356,070 187,107 น่าน 181,780 145,595 รวม 1,228,715 1,187,950 ที่มา : กรมชลประทาน, 2566 2.1.8 การใช้ประโยชน์ที่ดิน และลักษณะการถือครองที่ดิน เนื้อที่การใช้ประโยชน์ทางการเกษตรของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในปี 2564 รวมทั้งสิ้น 6,101,620 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นนาข้าว 2,628,556 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 43.08 รองลงมาเป็นพืชไร่ 1,505,233 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 24.67 สำหรับสวนไม้ผลไม้ยืนต้น เนื้อที่การเกษตรอื่น ๆ และสวนผัก/ ไม้ดอก/ไม้ประดับ มีเนื้อที่จำนวน 1,493,170 ไร่ 388,156 ไร่ และ 86,505 ไร่ ตามลำดับ หรือคิดเป็น ร้อยละ 24.47 6.36 และ 1.42 ของเนื้อที่การใช้ประโยชน์ทางการเกษตรกลุ่มจังหวัดฯ (ตารางที่ 2.7) ลักษณะการถือครองที่ดินทางการเกษตรของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในปี 2564 รวมทั้งสิ้น 6,101,620 ไร่ แบ่งเป็นเนื้อที่ของตนเอง จำนวน 2,855,128 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 46.79 และ เนื้อที่ของผู้อื่น จำนวน 3,246,492 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 53.21 ของเนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตรทั้งหมด (ตารางที่ 2.8)


๑๕ ตาราง 2.7 การใช้ที่ดิน และเนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2564 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2564 ตาราง 2.8 ลักษณะการถือครองที่ดินทางการเกษตร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2564 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2564 จังหวัด เนื้อที่ใช้ ประโยชน์ ทางการเกษตร เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร นาข้าว พืชไร่ สวนไม้ผล ไม้ยืนต้น สวนผัก ไม้ดอก/ ไม้ประดับ เนื้อที่ใช้ประโยชน์ ทางการเกษตรอื่น ๆ เชียงราย 2,697,578 1,301,643 391,202 738,632 53,372 212,729 พะเยา 1,243,952 693,169 176,437 278,505 22,583 73,258 แพร่ 715,573 324,235 258,866 78,219 2,921 51,332 น่าน 1,444,517 309,509 678,728 397,814 7,629 50,837 รวม 6,101,620 2,628,556 1,505,233 1,493,170 86,505 388,156 สัดส่วนต่อเนื้อที่ใช้ประโยชน์ ทางการเกษตรทั้งหมด (ร้อยละ) 43.08 24.67 24.47 1.42 6.36 จังหวัด เนื้อที่ใช้ ประโยชน์ ทางการเกษตร (ไร่) เนื้อที่ของตนเอง (ไร่) เนื้อที่ของผู้อื่น (ไร่) ของตนเอง จำนอง/ขาย ฝากผู้อื่น รวม เช่าผู้อื่น ของ ตนเอง จำนอง/ขาย ฝากผู้อื่น รวม เชียงราย 2,697,578 619,127 971,044 1,590,171 481,820 699 624,888 1,107,407 พะเยา 1,243,952 317,301 294,559 611,859 285,957 12 346,124 632,093 แพร่ 715,573 201,811 74,517 276,329 133,952 9 305,283 439,244 น่าน 1,444,517 281,031 95,738 376,769 106,854 38 960,856 1,067,748 รวม 6,101,620 1,419,270 1,435,858 2,855,128 1,008,583 758 2,237,151 3,246,492 สัดส่วนต่อเนื้อที่ใช้ ประโยชน์ทางการเกษตร ทั้งหมด (ร้อยละ) 23.26 23.53 46.79 16.53 0.01 36.66 53.21


๑๖ 2.1.9 โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 1) ถนน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีระบบคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงตั้งแต่ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค ระดับจังหวัด และภายในท้องถิ่น ดังนี้ เส้นทางคมานาคมระหว่างประเทศ (1) โครงข่ายคมนาคมตามกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) กลุ่มจังหวัดฯ อยู่ในแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ (North-South Economic Corridor: NSEC) และเส้นทาง R3A และ R3B เชื่อมโยงกับมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน (ตอนใต้) (2) R3A เส้นทางหมายเลข 3A (R3A) เป็นเส้นทางสายไหมเชื่อมโยงระหว่างจีน - ลาว - ไทย โดยเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 ภายใต้โครงการ “สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ”และเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ ปลายเดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นมา “เส้นทาง R3A หรือ คุนมั่น กงลู่” คือเส้นทางเชื่อมกรุงเทพฯ สู่คุนหมิง ซึ่งมีต้นทางเริ่มจากเชียงของ ประเทศไทย - บ่อแก้ว - หลวงน้ำทา - บ่อเต็น ของประเทศลาว - บ่อหาน - เชียงรุ่ง หรือจิ่งหงในแคว้นสิบสองปันนา นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน โดยมีระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงคุนหมิงรวม กว่า 1,800 กิโลเมตร นอกจากนี้ไทยและจีนร่วมมือกันก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชียงของ - ห้วยทราย (3) R3B เส้นทาง R3B คุนหมิง - ต้าลั้ว (จีน) - ท่าขี้เหล็ก (พม่า) - แม่สาย - กรุงเทพฯ (ไทย) ซึ่งบรรจบกับเส้นทาง R3A ที่เมืองเชียงรุ้งของจีน เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่สำคัญภายใต้กรอบ NSEC แต่ปัจจุบัน ยังไม่สามารถเปิดใช้ได้ตลอดเส้นทาง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของพม่าอีกทั้งเส้นทางนี้ต้องผ่านภูเขาสูง ต้นทุนการขนส่งจึงสูงกว่าและสะดวกน้อยกว่าเส้นทาง R3A โอกาสของผู้ประกอบการโลจิสติกส์ จึงอยู่ที่ การขนส่งสินค้าโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อไปกระจายในประเทศพม่ามากกว่าการใช้เส้นทาง เพื่อขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน เส้นทางคมนาคมระหว่างภูมิภาค (กรุงเทพฯ) ระดับจังหวัด และภายในท้องถิ่น (1) ทางหลวงแผ่นดิน ได้แก่ หมายเลข 1 พหลโยธิน (ช่วงพะเยา - แม่สาย) หมายเลข 11 (ช่วงอำเภอเด่นชัย) หมายเลข 101 (ช่วงอำเภอเด่นชัย - น่าน) และหมายเลข 103 เส้นทางร้องกวาง - งาว (2) ทางหลวงอาเซียน (AH) ได้แก่ หมายเลข AH 2 เริ่มต้นเข้าสู่ประเทศไทยที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย หมายเลข AH 3 เริ่มต้นเข้าสู่ประเทศไทยที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และหมายเลข AH 13 เริ่มต้นเข้าสู่ ประเทศไทยที่ด่านห้วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติจังหวัดน่าน 2) สะพานข้ามแม่น้ำเชื่อมระหว่างประเทศ ที่สำคัญประกอบด้วย (1) สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ - ห้วยทราย) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขง เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทยที่บ้านดอนมหาวัน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายกับ ส.ป.ป.ลาว ที่บ้านดอนเมือง ห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ระยะทาง 2.48 กิโลเมตร รูปแบบของสะพานเป็นคอนกรีตรูปกล่อง (Segmental Concrete Box Girder) มีเสา 4 เสา กว้าง 14.70 เมตร เป็นสะพานขนาด 2 เลน แต่ละเลนกว้าง 3.50 เมตร นอกจากสะพานแล้วยังมีโครงการก่อสร้างถนนไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตรเข้าในเขตเมืองห้วยทราย ซึ่งเป็น ถนนลาดยางขนาดสองเลน รวมทั้งมีการก่อสร้างด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง เป็นการเชื่อมต่อกับเส้นทางR3A ระหว่างจีน - ลาว - ไทย (2) สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 และ 2 เชื่อมอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กับจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์


๑๗ 3) รถไฟ สถานีรถไฟที่สำคัญ ได้แก่ สถานีรถไฟเด่นชัย จังหวัดแพร่เป็นเส้นทางรถไฟทางเดี่ยว ขนาด 1.00 เมตร ห่างจากกรุงเทพมหานครระยะทาง 533.94 กิโลเมตร และจังหวัดเชียงใหม่ระยะทาง 217 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟรางคู่เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการของการรถไฟ แห่งประเทศไทย และเป็น 1 ใน 2 ส่วนต่อขยายของทางรถไฟสายเหนือ มีวัตถุประสงค์รองรับการเดินทางและขนส่ง สินค้าภาคเหนือ รวมถึง รองรับศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของที่กำลังก่อสร้างจะเชื่อมการค้าระเบียงเศรษฐกิจแนว เหนือ - ใต้จากไทยไปลาว จีน เวียดนาม และเขตเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลเดิมมีกำหนดการสร้างในปี พ.ศ. 2560 แต่เลื่อนออกไปในปี พ.ศ. 2564 ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 ครม. มีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟ ทางคู่สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ รวมระยะทาง 323 กม. วงเงินรวม 85,345 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 ปีโดยกระทรวงคมนาคมเร่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเริ่มเวนคืนที่ดินและเปิดการประมูลภายในปี 2564 และมี กำหนดการก่อสร้าง 5 ปี เปิดบริการในปี 2571 4) ท่าอากาศยาน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีท่าอากาศยานที่อยู่ในการดูแลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จ้ากัด (มหาชน) จ้านวน 1 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย มีสาย การบิน เช่น การบินไทย, Air Asia, Nok Air, Bangkok Airways, Lion Air และมีท่าอากาศยานที่อยู่ใน การดูแลของกรมการบินพลเรือน จำนวน 2 แห่ง คือ ท่าอากาศยานแพร่ และท่าอากาศยานน่าน 5) ท่าเรือ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีท่าเรือ 3 แห่ง ประกอบด้วยท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน แห่งที่ 1 และ 2 และท่าเรือเชียงของ ซึ่งทั้ง 3 แห่ง อยู่ในการดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย 2.2 ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการเกษตร 2.2.1 ภาพรวมเศรษฐกิจภาคเกษตรของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2564 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตรกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีมูลค่า 50,123 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตรมากที่สุด คือ จังหวัดเชียงราย มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภาค เกษตร 23,539 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 46.96 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตรกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ตอนบน 2 รองลงมา ได้แก่ น่าน พะเยา และแพร่ มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร 10,466 , 10,296 และ 5,822 ล้านบาท ตามลำดับ (ตารางที่ 2.9) ตารางที่ 2.9 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ปี 2562 - 2564 จังหวัด/กลุ่ม ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร (ล้านบาท) อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อปี 2562 2563 2564 (ร้อยละ) เชียงราย 27,702 24,991 23,539 -7.80 พะเยา 11,084 10,464 10,296 -3.60 แพร่ 6,039 6,119 5,822 -1.76 น่าน 10,193 9,836 10,466 1.45 รวม 55,018 51,410 50,123 -4.53 ที่มา : สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2566


๑๘ 2.1.2 พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ (1) ข้าวนาปี ปี 2565 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีเนื้อที่เก็บเกี่ยวข้าวนาปี 2,564,364 ไร่ ปริมาณผลผลิต 1,362,125 ตัน และผลผลิตต่อไร่ 533 กิโลกรัม โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุดคือ จังหวัดเชียงราย มีปริมาณผลผลิต 705,906 ตัน รองลงมา ได้แก่ จังหวัดพะเยา น่าน และแพร่ มีปริมาณผลผลิต 308,716, 174,657 และ 172,846 ตัน ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาประสิทธิภาพการผลิต พบว่า จังหวัดที่มี ผลผลิตต่อไร่มากที่สุดคือ จังหวัดแพร่ มีผลผลิตต่อไร่ 582 กิโลกรัม รองลงมาคือ จังหวัดเชียงราย น่าน และพะเยา มีผลผลิตต่อไร่ 548 , 520 และ 480 กิโลกรัม ตามลำดับ (ตารางที่ 2.10) ตารางที่ 2.10 เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ข้าวนาปีปี 2563 - 2565 จังหวัด เนื้อที่เก็บเกี่ยว (ไร่) ผลผลิต (ตัน) ผลผลิตต่อไร่ (กก.) 2563 2564 2565 2563 2564 2565 2563 2564 2565 เชียงราย 1,325,067 1,303,335 1,288,475 736,491 717,594 705,906 556 551 548 พะเยา 645,748 638,653 643,308 308,321 305,006 308,716 477 478 480 แพร่ 304,466 299,699 296,938 175,531 173,747 172,846 577 580 582 น่าน 325,985 334,935 335,643 167,696 173,044 174,657 514 517 520 รวม 2,601,266 2,576,622 2,564,364 1,388,039 1,369,391 1,362,125 531 532 533 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566 (2) ข้าวนาปรัง ปี 2565 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีเนื้อที่เก็บเกี่ยวข้าวนาปรัง 421,733 ไร่ ปริมาณผลผลิต 265,422 ตัน และผลผลิตต่อไร่ 603 กิโลกรัม โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุดคือ จังหวัดเชียงรายมีปริมาณผลผลิต 213,049 ตัน รองลงมาได้แก่จังหวัดพะเยาแพร่และน่าน มีปริมาณผลผลิต 26,745 , 18,453 และ 7,175 ตัน ตามลำดับ เมื่อพิจารณาประสิทธิภาพการผลิต พบว่า จังหวัดที่มีผลผลิตต่อไร่มากที่สุด คือ จังหวัดเชียงราย มีผลผลิตต่อไร่ 637 กิโลกรัม รองลงมา ได้แก่ จังหวัดพะเยา แพร่ และน่าน มีผลผลิตต่อไร่ 622 , 581 และ 572 กิโลกรัม ตามลำดับ (ตารางที่ 2.11) ตารางที่ 2.11 เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ข้าวนาปรัง ปี 2563 - 2565 จังหวัด เนื้อที่เก็บเกี่ยว (ไร่) ผลผลิต (ตัน) ผลผลิตต่อไร่ (กก.) 2563 2564 2565 2563 2564 2565 2563 2564 2565 เชียงราย 327,222 307,840 334,463 207,433 199,001 213,049 634 646 637 พะเยา 36,037 30,658 42,966 23,207 20,134 26,745 644 657 622 แพร่ 34,987 41,174 31,761 19,413 24,020 18,453 555 583 581 น่าน 12,325 15,383 12,543 6,986 8,621 7,175 567 560 572 รวม 410,571 395,055 421,733 257,039 251,776 265,422 600 612 603 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566


๑๙ (3) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2565 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีเนื้อที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์1,249,316 ไร่ ปริมาณผลผลิต 872,757 ตัน และผลผลิตต่อไร่ 706 กิโลกรัม โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุด คือ จังหวัดน่าน มีปริมาณผลผลิต 387,753 ตัน รองลงมาได้แก่จังหวัดแพร่ เชียงราย และพะเยา มีปริมาณผลผลิต 187,205, 186,827 และ 110,972 ตัน ตามลำดับ เมื่อพิจารณาประสิทธิภาพการผลิต พบว่า จังหวัดที่มีผลผลิตต่อไร่มากที่สุด คือ จังหวัดพะเยา มีผลผลิตต่อไร่ 729 กิโลกรัม รองลงมาได้แก่ จังหวัดเชียงราย แพร่ และน่าน มีผลผลิตต่อไร่ 711 , 700 และ 685 กิโลกรัม ตามลำดับ (ตารางที่ 2.12) ตาราง 2.12 เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2563 - 2565 จังหวัด เนื้อที่เก็บเกี่ยว (ไร่) ผลผลิต (ตัน) ผลผลิตต่อไร่ (กก.) 2563 2564 2565 2563 2564 2565 2563 2564 2565 เชียงราย 271,580 264,328 262,885 190,664 187,202 186,827 702 708 711 พะเยา 156,524 155,223 152,267 107,664 112,667 110,972 688 726 729 แพร่ 269,301 270,483 267,390 186,853 188,597 187,205 694 697 700 น่าน 616,337 570,472 566,774 412,549 388,937 387,753 669 682 684 รวม 1,313,742 1,260,506 1,249,316 897,730 877,403 872,757 688 703 706 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566 (4) ลำไย ปี 2565 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีเนื้อที่ให้ผลลำไย อยู่ที่ 404,508 ไร่ ผลผลิต 188,032 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 472 กิโลกรัม โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุดคือ จังหวัดเชียงราย มีปริมาณ ผลผลิต 109,796 ตัน รองลงมาได้แก่ จังหวัดพะเยา น่าน และแพร่ มีปริมาณผลผลิต 43,309 , 33,514 และ 1,413 ตัน ตามลำดับ เมื่อพิจารณาประสิทธิภาพการผลิต พบว่า จังหวัดที่มีผลผลิตต่อไร่มากที่สุดคือ จังหวัดน่าน มีผลผลิตต่อไร่ 525 กิโลกรัม รองลงมา ได้แก่ จังหวัดพะเยา เชียงราย และแพร่ มีผลผลิตต่อไร่ 459 , 453 และ 452 กิโลกรัม ตามลำดับ (ตารางที่ 2.13) ตาราง 2.13 เนื้อที่ให้ผล ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลำไย ปี 2563 - 2565 จังหวัด เนื้อที่ให้ผล (ไร่) ผลผลิต (ตัน) ผลผลิตต่อไร่ (กิโลกรัม) 2563 2564 2565 2563 2564 2565 2563 2564 2565 เชียงราย 219137 236,239 242,598 95428 108,598 109,796 435 460 453 พะเยา 79737 85,303 94,406 31716 40,605 43,309 398 476 459 แพร่ 3573 3,667 3,682 1587 1,407 1,413 444 388 452 น่าน 57119 63,238 63,822 22016 28,464 33,514 385 450 525 รวม 359,566 388,447 404,508 179,074 179,074 188,032 416 444 472 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566 (5) ยางพารา ปี 2565 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีเนื้อที่กรีดได้ยางพารา อยู่ที่ 723,413 ไร่ ผลผลิต 144,298 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 197 กิโลกรัม โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุดคือ จังหวัดเชียงราย มีปริมาณ ผลผลิต 63,950 ตัน รองลงมาได้แก่ จังหวัดน่าน พะเยา และแพร่ มีปริมาณผลผลิต 44,352 , 31,700 และ 4,296 ตัน ตามลำดับ เมื่อพิจารณาประสิทธิภาพการผลิต พบว่า จังหวัดที่มีผลผลิตต่อไร่มากที่สุด


๒๐ คือ จังหวัดพะเยา มีผลผลิตต่อไร่ 215 กิโลกรัม รองลงมาได้แก่ จังหวัดเชียงราย แพร่ และน่าน มีผลผลิตต่อไร่ 208 , 186 และ 181 กิโลกรัม ตามลำดับ (ตารางที่ 2.14) ตาราง 2.14 เนื้อที่กรีดได้ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ยางพารา ปี 2563 - 2565 จังหวัด เนื้อที่กรีดได้(ไร่) ผลผลิต (ตัน) ผลผลิตต่อไร่ (กิโลกรัม) 2563 2564 2565 2563 2564 2565 2563 2564 2565 เชียงราย 306,355 301,313 307,451 65,828 61,751 63,950 215 205 208 พะเยา 146,072 147,392 147,443 32,990 32,142 31,700 226 218 215 แพร่ 22,738 21,932 23,478 4,059 3,937 4,296 179 180 183 น่าน 241,983 241,241 245,041 44,832 42,141 44,352 185 175 181 รวม 717,148 711,878 723,413 147,709 139,971 144,298 201 195 197 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566 (6) ลิ้นจี่ ปี 2565 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีเนื้อที่ให้ผลลิ้นจี่ อยู่ที่ 40,888 ไร่ ผลผลิต 11,150 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 267 กิโลกรัม โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุดคือ จังหวัดพะเยา มีปริมาณผลผลิต 4,189 ตัน รองลงมาได้แก่ จังหวัดน่าน เชียงราย และแพร่ มีปริมาณผลผลิต 3,628 , 3,288 และ 45 ตัน ตามลำดับ เมื่อพิจารณาประสิทธิภาพการผลิต พบว่า จังหวัดที่มีผลผลิตต่อไร่มากที่สุดคือ จังหวัดพะเยา มีผลผลิตต่อไร่ 358 กิโลกรัม รองลงมาได้แก่ จังหวัดเชียงราย แพร่ และน่าน มีผลผลิตต่อไร่ 255 , 231 และ 225 กิโลกรัม ตามลำดับ (ตารางที่ 2.15) ตาราง 2.15 เนื้อที่ให้ผล ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลิ้นจี่ ปี 2563 - 2565 จังหวัด เนื้อที่ให้ผล (ไร่) ผลผลิต (ตัน) ผลผลิตต่อไร่ (กิโลกรัม) 2563 2564 2565 2563 2564 2565 2563 2564 2565 เชียงราย 13,369 13,157 12,879 3,261 3,205 3,288 244 244 255 พะเยา 11,714 11,396 11,704 3,378 4,055 4,189 288 356 358 แพร่ 398 376 195 81 82 45 204 218 231 น่าน 17,210 16,974 16,110 2,771 3,767 3,628 222 222 225 รวม 42,691 41,903 40,888 9,491 11,109 11,150 240 260 267 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566 (7) กาแฟ ปี 2565 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีเนื้อที่ให้ผลกาแฟ อยู่ที่ 55,998 ไร่ ผลผลิต 4,207 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 79 กิโลกรัม โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุดคือ จังหวัดเชียงราย มีปริมาณผลผลิต 3,197 ตัน รองลงมาได้แก่ จังหวัดน่าน พะเยา และแพร่ มีปริมาณผลผลิต 682 , 170 และ 158 ตัน ตามลำดับ เมื่อพิจารณาประสิทธิภาพการผลิต พบว่า จังหวัดที่มีผลผลิตต่อไร่มากที่สุดคือ จังหวัดพะเยา มีผลผลิตต่อไร่ 90 กิโลกรัม รองลงมาได้แก่ จังหวัดแพร่ เชียงราย และน่าน มีผลผลิตต่อไร่ 86 , 77 และ 63 กิโลกรัม ตามลำดับ (ตารางที่ 2.16)


๒๑ ตาราง 2.16 เนื้อที่ให้ผล ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ปี 2563 - 2565 จังหวัด เนื้อที่ให้ผล (ไร่) ผลผลิต (ตัน) ผลผลิตต่อไร่ (กิโลกรัม) 2563 2564 2565 2563 2564 2565 2563 2564 2565 เชียงราย 37,710 41,298 41,436 5,076 2,579 3,197 135 62 77 พะเยา 1,766 1,933 1,883 118 115 170 67 59 90 แพร่ 1,743 1,785 1,833 68 114 158 39 64 86 น่าน 9.368 10,133 10,846 561 646 682 60 64 63 รวม 41,228 55,149 55,998 5,823 3,454 4,207 75 62 79 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566 2.1.3 การค้าชายแดน สำหรับการค้าชายแดนของกลุ่มภาคเหนือตอนบน 2 มีการค้าชายแดน 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดน่าน โดยมีด่านศุลกากรและจุดผ่านแดนเป็นช่องทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศ อนุภูมิภาคลุ่มน้าโขงตอนบน (GMS) คือ ประเทศเมียนมา สปป.ลาว และ สปป.จีน ตอนใต้ ด่านศุลกากรและจุดผ่านแดน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีด่านศุลกากรอยู่ทั้งหมด 5 แห่ง ประกอบด้วย (1) ด่านอำเภอแม่สาย ฝั่งตรงข้าม คือ ด่านท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ห่างจากอำเภอเมืองเชียงราย 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง ตั้งอยู่เชิงสะพานข้ามแดนไทย-พม่า เป็นตลาดชายแดนไทย - พม่า และเป็นจุดเดินทางท่องเที่ยวไปเชียงตุงได้ เดินทางโดยรถยนต์ (2) ด่านอำเภอเชียงแสน ฝั่งตรงข้าม คือ ด่านเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ห่างจากอำเภอเมือง เชียงราย 60 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่บริเวณท่าเรือหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน เป็นจุดเดินทางท่องเที่ยวตามลำน้ำโขง โดยทางเรือไปถึงเชียงรุ้ง สิบสองปันนาจีนตอนใต้ ด่านอำเภอเชียงแสน (3) ด่านอำเภอเชียงของ ฝั่งตรงข้ามคือด่านเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ห่างจากอำเภอ เมืองเชียงราย 114 กิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือบั๊คเป็นจุดข้ามไปท่องเที่ยว เมืองห้วยทราย และเดินทาง ตามลำน้ำโขงโดยทางเรือไปถึงหลวงพระบางและเวียงจันทน์ สปป.ลาว แล้วกลับเข้าประเทศไทยที่จังหวัดหนองคาย (4) ด่านศุลกากรทุ่งช้าง ตั้งอยู่ที่บ้านเฟือยลุง ตำบลและ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน แต่ต่อมาได้มี การตราพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน ซึ่งมีผลให้ตำบลห้วยโก๋นอันเป็นที่ตั้งของ ด่านพรมแดนห้วยโก๋นแยกไปขึ้นกับอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน ประกอบกับได้มีการจัดสร้างที่ทำการ แห่งใหม่ของด่านศุลกากรทุ่งช้างที่บ้านป่าเปือย ตำบลปอน อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน (5) ด่านศุลกากรบ้านฮวก ตั้งอยู่ตำบลภูซาง อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ฝั่งตรงข้ามคือแขวงไชยะบุรี สปป.ลาว เป็นช่องทางที่ราษฎรของทั้งสองประเทศสามารถเดินทางติดต่อค้าขายกันได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น. ของทุกวัน ด่านชายแดน มีช่องทางจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่านแดนผ่อนปรนบริเวณชายแดนไทย - เมียนมาร์ – สปป.ลาว รวมทั้งสิ้น 19 จุด แบ่งเป็นจุดผ่านแดนถาวร 6 จุด และจุดผ่านแดนผ่อนปรน 13 จุด


๒๒ ตารางที่ 2.17 รวมจุดผ่านแดนบริเวณชายแดนไทย – เมียนมาร์ - สปป.ลาว จังหวัด จำนวนช่องทาง รวม ถาวร ผ่อนปรน ชั่วคราว เชียงราย 4 11 - 15 พะเยา 1 - - 1 แพร่ - - - - น่าน 1 2 - 3 รวม 6 13 - 19 ที่มา : กรมศุลกากร, 2566 ตารางที่ 2.18 สถิติการค้าชายแดนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 – 2563 หน่วยนับ : บาท พื้นที่ สถิติการค้า ชายแดน พ.ศ. 2560 พ.ศ. 2561 พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2563 อัตราการเจริญเติบโต ก่อน covid 19* (2560-2562) covid 19* (2562-2563) กลุ่ม จังหวัด ภาคเหนือ ตอนบน 2 นำเข้า 30,434.47 31,253.23 32,360.70 31,904.13 3.54 -1.41 ส่งออก 42,644.60 51,478.33 48,849.33 42,502.28 -5.11 -12.99 มูลค่าการค้ารวม 73,079.07 82,731.56 81,210.03 74,406.41 -1.84 -8.38 ดุลการค้า 12,210.13 20,225.10 16,488.63 10,598.15 -18.47 -35.72 อัตราการเจริญเติบของ ดุลการค้าระหว่างปี 65.64 -18.47 -35.72 ที่มา : ด่านศุลกากรแม่สาย ด่านศุลกากรเชียงแสน ด่านศุลกากรเชียงของ และด่านศุลกากรทุ่งช้าง, 2564 จากตารางที่ 2.18 แสดงให้เห็นการค้าชายแดนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พบว่า มูลค่าการชายแดนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 บริบทกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีแนวโน้มลดลง โดยในปี พ.ศ. 2561 มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 82,791.56 ล้านบาท ในช่วงปี พ.ศ. 2562 มูลค่าการค้ารวม 81,210.03 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปี พ.ศ. 2561 เท่ากับ -1,521.53 ล้านบาท และในปี พ.ศ. 2563 มูลค่าการค้ารวม ลดลงเหลือ 74,406.41 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปี พ.ศ. 2562 จำนวน 6,803.62 ล้านบาท เมื่อพิจารณาในแง่ของดุลการค้า พบว่า การค้าชายแดนบริเวณกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้ดุลการค้า อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการน้าเข้าสินค้าจากประเทศไทยยังเป็นที่นิยมและจำเป็นกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะ เป็นเมียนมาร์ และสปป.ลาว ตลอดจนยังสามารถล้าเลียงสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน(ตอนใต้) อีกด้วยจึงเป็นผลท้าให้การค้าชายแดนบริเวณกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้ดุลมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ ตามอัตราดุลการค้าของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ลดลง อย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2562 ได้ดุลการค้า เท่ากับ 16,488.63 ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. 2561 ร้อยละ 18.47 ทั้งนี้เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งตัว ตลอดปี ส่งผลให้การส่งออกสินค้าลดลง อีกทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัวท้าให้ประเทศคู่ค้าส่งสินค้าจากประเทศ ไทยลดลง (ชมภูนุช แตงอ่อน,2562) โดยในปี พ.ศ. 2563 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้ดุลการค้า 10,598.15 ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. 2563 คิดเป็นร้อยละ 35.72 เมื่อพิจารณาช่วงเวลาก่อนและหลัง การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากสถิติการค้าชายแดนแสดงให้เห็นว่าการ ส่งออกและการน้าเข้าสินค้า มูลค่าการค้าและดุลการค้า พบว่า หลังจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโค โรนา 2019 (COVID-19) พบว่าการค้าชายแดนชะลอตัวทั้งในด้านการส่งออกและการนำเข้า สืบเนื่องจาก


๒๓ มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้มีการเปิด ทำการจุดผ่านแดนเพื่อการขนส่งสินค้ารวมเพียง 37 แห่ง จาก 97 แห่งทั่วประเทศ และมาตรการเข้มงวด ในการขนส่งสินค้าจึงส่งผลให้การค้าชายแดนชะลอตัว 2.1.4 ภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนเกษตร ปี 2563 รายได้เงินสดสุทธิครัวเรือนเกษตรของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เฉลี่ยอยู่ที่ 670,945 บาทต่อครัวเรือน โดยจังหวัดที่มีรายได้เงินสดสิทธิครัวเรือนเกษตรมากที่สุดคือ จังหวัดเชียงราย เฉลี่ยอยู่ที่ 171,356 บาทต่อครัวเรือน รองลงมาได้แก่ จังหวัดแพร่ พะเยา และน่าน มีรายได้เงินสดสิทธิ ครัวเรีอนเกษตรเฉลี่ยอยู่ที่ 168,843 , 168,061 และ 162,685 บาทต่อครัวเรือน ตามลำดับ (ตารางที่ 2.19) ตารางที่ 2.19 รายได้เงินสดสิทธิครัวเรีอนเกษตรกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ปี 2561 - 2563 จังหวัด รายได้เงินสดสิทธิครัวเรือนเกษตร (บาทต่อครัวเรือน) 2561 2562 2563 เชียงราย 143,942 140,504 171,356 พะเยา 260,150 202,076 168,061 แพร่ 138,960 205,076 168,843 น่าน 197,497 123,390 162,685 เฉลี่ย 740,549 671,046 670,945 ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2563


๒๔ 2.3 ปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 1) ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคม ขนส่ง ที่เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างเมืองแล้วยังเป็นเส้นทาง สายหลัก มีการสัญจรทั้งรถบรรทุกน้ำมัน รถบรรทุกสินค้า รถโดยสาร รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน และขนาดเขตทางค่อนข้างคับแคบในเขตผ่าน/ศูนย์กลางชุมชนและไม่มีบาทวิถีถนนบางสายชำรุด เนื่องจากมีรถบรรทุก ทำให้ถนนชำรุดเสียหาย สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้สัญจร 2) ปัญหาด้านเกษตร พบว่า เกษตรกรมีพฤติกรรมการเพาะปลูกที่เปลี่ยนแปลงมีการใช้เครื่องจักรกล สารเคมี ปุ๋ยเคมี เพิ่มขึ้น ต้นทุนในการผลิตที่เพิ่มขึ้น ขาดความรู้การใช้เทคโนโลยี อีกทั้งการใช้สารเคมี/สารพิษ และผลิตผลทางการเกษตรมีสารปนเปื้อนส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค เกษตรยังขาดการรวมกลุ่มที่เข้มแข็ง จึงขาดการต่อรองด้านราคาผลผลิตกับพ่อค้า และสินค้าการเกษตรขาดการพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่า และการตลาด 3) ปัญหาความต้องการด้านพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์หัตถกรรม สินค้าแปรรูป เนื่องจากปัญหาสินค้าทาง การเกษตรตกต่ำ ขาดตลาดในการกระจายสินค้า ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ และมาตรฐานตามที่ตลาดต้องการ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตร หลังฤดูแล้งหรือหลังฤดูเก็บเกี่ยวทำให้เกิดการว่างงานไม่มีอาชีพเสริม ขาดรายได้ กลุ่มอาชีพมีการจัดทำผลิตภัณฑ์ตามแบบของตนเองและภูมิปัญญา จะต้องผลิตสินค้าจำนวนมาก ที่มีคุณภาพ ทำให้สินค้าของชุมชนไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าตามมาตรฐานของโรงงานได้ รวมทั้งกลุ่มอาชีพ ขาดความรู้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาดทำให้ไม่เกิดความยั่งยืน จึงมีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ แต่ไม่มีตลาดรองรับผลิตภัณฑ์ ประชาชนขาดการนำองค์ความรู้นวัตกรรมมาเสริมสร้างคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ 4) ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม การเสียดุลยภาพและความอุดมสมบูรณ์ ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเหตุให้ปริมาณน้ำในดินและผิวดินความชุ่มชื้นในอากาศลดลง หน้าดินถูกชะล้าง ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย ได้แก่ ปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และการบุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อทำการเกษตร การตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ การขยายเขตทำกิน และการใช้พื้นที่ไม่ถูกหลักวิชาการ 5) ปัญหาภัยพิบัติ ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ส่วนใหญ่ประสบปัญหาอุทกภัย วาตภัย และภัยแล้งที่มีมาอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น ซึ่งลักษณะทางภูมิประเทศของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีลักษณะอยู่ติดกับภูเขาเอื้อต่อการเกิดภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย วาตภัย หมอกควันไฟป่า ส่งผลกระทบ ต่อประชาชน ผู้ประสบภัยทั้งต่อชีวิต และทรัพย์สิน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าสงวน และไม่ได้อยู่ในรอยเลื่อน แผ่นดินไหว ประชาชนจึงมีความต้องการให้เสริมสร้างระบบการเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อป้องกัน การสูญเสีย และจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือบรรเทาสาธารณภัยให้มีความพร้อมและครบถ้วนเพียงพอต่อการใช้งาน และในช่วงฤดูแล้งขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร ทำให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ประชาชนมี ความต้องการให้จัดทำแนวป้องกันการกัดเซาะตลิ่งพังทลาย


๒๕ 2.4 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้านการเกษตรและสหกรณ์ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้านการเกษตรและสหกรณ์ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน เป็นการวิเคราะห์ผลกระทบที่มีต่อการพัฒนาด้านการเกษตรของกลุ่ม จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 โดยกำหนดประเด็นจากการนำแนวคิด McKinsey 7-s Framework มาวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมภายใน และแนวคิด PESTEL Analysis มาวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก 2.4.1 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในด้วย McKinsey 7-s Framework การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน เพื่อหาจุดแข็ง และจุดอ่อนด้วยแนวคิด McKinsey 7-s Framework ประกอบด้วยปัจจัย 7 ด้าน คือ 1) กลยุทธ์ (Strategy) 2) โครงสร้างขององค์กร (Structure) 3) ระบบการปฏิบัติงาน (System) 4) บุคลากร (Staff) 5) ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (skill) 6) รูปแบบการ บริหาร จัดการ (style) 7) ค่านิยมร่วม (Shared Values) โดยมีรายละเอียดตามตารางที่ 2.20 ตารางที่ 2.20 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในด้วย McKinsey 7-s Framework 7-s Mckinsey จุดแข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) 1. กลยุทธ์ (Strategy) - นโยบายกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มุ่งเน้นการพัฒนาสู่ฐานเศรษฐกิจ สร้างสรรค์มูลค่าสูง ทรัพยากรธรรมชาติ ยั่งยืน และพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง ของสภาพภูมิอากาศ 2. โครงสร้างขององค์กร (Structure) - ลักษณะภูมิศาสตร์ที่สนับสนุนการทำ การเกษตร เช่น มีแหล่งต้นน้ำ แหล่งน้ำ ธรรมชาติ แม่น้ำที่สำคัญหลายสาย - มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ในกลุ่ม GMS ทำให้มีการดำเนินกิจกรรม การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวร่วมกัน - มีระบบโลจิสติกส์ที่มีศักยภาพเชื่อมโยง กับภูมิภาคต่างๆในประเทศ และต่างประเทศ ในเขตภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ อนุภูมิภาค ลุ่มแม่น้ำโขง GMS - มีทรัพยากรธรรมชาติและมีแหล่ง ท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นจำนวนมาก - มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือข้าว ยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ชา และกาแฟ ที่สามารถพัฒนา ต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่ม - ทรัพยากรดินเสื่อมโทรมเนื่องจาก การปลูกพืชเชิงเดี่ยว การเผา การใช้ สารเคมีประกอบกับเกษตรกรบางส่วน ขาดความรู้ในการปรับปรุงดิน และการ ใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสม - ระบบชลประทานยังไม่ครอบคลุม พื้นที่การเกษตร และขาดระบบการบริหาร จัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ - ยังมีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อขยาย พื้นที่ทำการเกษตร ส่งผลกระทบกับ พื้นที่ป่าต้นน้ำ ความสมดุลของระบบ นิเวศ ก่อให้เกิดปัญหาการชะล้างหน้า ดิน การเกิดอุทกภัย และภัยแล้ง - การเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ทำให้ประสบปัญหาคุณภาพอากาศ และฝุ่น PM 2.5 - ขาดแคลนแรงงาน และส่วนใหญ่ เป็นแรงงานสูงอายุ


๒๖ 7-s Mckinsey จุดแข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) 3. ระบบการปฏิบัติงาน (System) - มีกลไกทำงานที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกร ในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการเกษตร และสหกรณ์ - ข้อมูลด้านการเกษตรที่เป็นเอกภาพ ยังไม่ครอบคลุมทุกสาขาการเกษตร - เกษตรกรบางส่วนขาดเอกสารสิทธิ์ และที่ดินทำกิน ทำให้ขาดโอกาสการ ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และ เข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งการนำ เทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ยังมีน้อย - การผลิตสินค้าเกษตรยังมีการใช้ สารเคมีจำนวนมาก ทำให้ต้นทุนการ ผลิตสูงส่งผลเสียต่อสุขภาพและ ทำลายสิ่งแวดล้อม - การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ราชการยังไม่ครอบคลุมในมิติต่างๆ ของการพัฒนาภาคการเกษตร ในระดับพื้นที่ 4. บุคลากร (Staff) - มีบุคลากรในพื้นที่ที่มีองค์ความรู้ด้าน การเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า (ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง) - มีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน, กลุ่มแปลงใหญ่ Smart Farmer,Young Smart Farmer ใ น ก า ร พัฒ น า ศัก ย ภ า พ เ ก ษ ต ร ก ร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตร และยกระดับรายได้ - บุคลากรในการตรวจรับรอง มาตรฐานทางการเกษตรมีน้อย ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขอรับรอง มาตรฐานค่อนข้างสูง 5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill) - มีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถต่อยอด และสร้างมูลค่าเพิ่มด้านผลิตภัณฑ์ ทางการเกษตรสามารถส่งเสริมและ พัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน -เป็นศูนย์กลางทางการศึกษามีการวิจัย และพัฒนา และเสริมสร้างให้องค์ความรู้ เทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ที่มีศักยภาพ - เกษตรกร/กลุ่ม ยังเข้าไม่ถึงองค์ความรู้ ด้านการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาเป็นผู้ประกอบการ ธุรกิจเกษตร 6. ค่านิยมร่วม (Shared Values) - เกษตรกรส่วนใหญ่ยังทำการเกษตร แบบดั้งเดิม ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยในการ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนา คุณภาพผลผลิต


๒๗ 7-s Mckinsey จุดแข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) 7. รูปแบบการบริหาร จัดการ (Style) - เกษตรกรเน้นขายผลผลิตที่เป็น วัตถุดิบไม่ค่อยมีการแปรรูปเพิ่ม มูลค่า และไม่คำนึงถึงการจัดการ วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ทำให้มี การเผาเกิดปัญหาหมอกควัน และ ฝุ่น PM 2.5 มากขึ้น 2.4.2 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกด้วย PESTEL Analysis การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก เพื่อหาโอกาส และอุปสรรคด้วยแนวคิด PESTEL Analysis ประกอบด้วยปัจจัย 5 ด้าน คือ 1) ด้านการเมือง (Political Factors) 2) ด้านเศรษฐกิจ (Economic Factors) 3) ด้านสังคม (Social cultural Factors) 4) ด้านเทคโนโลยี (Technological Factors) 5) ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment Factors) โดยมีรายละเอียดตามตารางที่ 2.21 ตารางที่ 2.21 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกด้วย PESTEL Analysis PESTEL โอกาส (Opportunity) อุปสรรค (Threats) 1. ด้านการเมือง (Political Factors) - นโยบายการพัฒนาเมือง สถานีขนส่ง ระบบรางที่จังหวัดแพร่ (อำเภอเด่นชัย) จังหวัดเชียงราย (อำเภอเชียงของ) และ นโยบายการกำหนดพื้นที่ระเบียง เศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC - Creative LANNA) ทำให้เพิ่มโอกาสการสร้างมูลค่า การค้าเศรษฐกิจชายแดน - นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในรูปแบบ BCG Model - นโยบายของรัฐบาลในการจัดสรรที่ดินทำ กินในพื้นที่ สปก. และโครงการจัดสรร ที่ดินทำกิน คทช. 2. ด้านเศรษฐกิจ (Economic Factors) - การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางเรือ และอากาศ เพื่อรองรับนโยบาย การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเป็น ประตูการค้าเชื่อมโยงประเทศในกลุ่ม GMS และ ประชาคมอาเซียน (AEC) - การพัฒนาระบบ Logistic ระหว่าง ประเทศโครงข่ายการขนส่งทางระบบ รางและทางถนน และเส้นทาง R3A เชื่อมโยงประเทศจีน, ลาว ส่งผลต่อ โอกาสการขยายการค้าการลงทุน - สถานการณ์การระบาดของโรค อุบัติใหม่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจทั่ว โลกชะลอตัว - สถานการณ์ความไม่สงบใน ต่างประเทศ ส่งผลกระทบให้ปัจจัย การผลิตทางการเกษตรปรับตัว สูงขึ้น - โรคระบาดทั้งด้านพืชและสัตว์ที่ อาจทำให้การผลิตสินค้าเกษตร ได้รับความเสียหาย


๒๘ PESTEL โอกาส (Opportunity) อุปสรรค (Threats) - ตลาดการท่องเที่ยวขยายตัว จากการ เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวภายในกลุ่ม ประเทศ GMS - การพัฒนาระบบตลาดและโลจิสติกส์ เกษตรชุมชน เช ่น แหล่งการค้า คลังสินค้า จะเป็นช่องทางจำหน่าย สินค้าเกษตร สินค้าชุมชน รวมทั้ง เชื่อมโยงเข้าสู่ระบบโลจิสติกส์ชุมชน - การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โลกและความไม่แน่นอนของตลาด สินค้าเกษตร ส่งผลต่อระดับราคาที่ เกษตรกรขายได้ 3. ด้านสังคม (Social cultural Factors) - กระแสการรักสุขภาพกระตุ้นให้ ผ ู ้ บร ิ โภคส ิ นค ้ าเกษตรปลอดภั ย และอินทรีย์เพิ่มมากขึ้นทั้งในรูปแบบ บริโภคสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อ สุขภาพ - มีการซื้อขายสินค้าเกษตรผ่านทาง online เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกษตรกร จำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง - การขยายตัวของเมืองส่งผลให้ เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานออก นอกภาคเกษตร และการผลิต อาหาร/ธัญพืชซึ่งอาจส่งผลต่อ ความมั่นคงทางอาหาร - ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ประชากรแรงงานลดลง ส่งผลต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ของประเทศ 4. ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Factors) - ภาครัฐและประชาสังคมให้ความสำคัญ ในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน - การเปลี่ยนแปลงของสภ าพ ภูมิอ า ก า ศ Climate Change ส่งผลต่อการผลิตภาคเกษตร - ปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น 5. ด้านเทคโนโลยี (Technological Factors) - คว ามก้าว หน้า ข อ งเ ท คโ น โ ล ยี นวัตกรรม และผลงานวิจัยต่างๆ จะส่งผลดีต่อระบบการผลิตของภาค การเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น - ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้มีการใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิต สามารถยกระดับคุณภาพ มาตรฐานสินค้าเกษตรให้เป็นที่ยอมรับ ของตลาด - เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ยังไม่แพร่หลายสู่เกษตรกรรายย่อย รวมทั้งมีราคาแพง -ผู้ประกอบการภาคธุรกิจและ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลธุรกิจ การเกษตร รวมถึงผู้ให้บริการ เทคโนโลยีฯ (Service Provider) ยังมีจำนวนน้อย 6. ด้านกฎหมาย (Law/Legal Factors) - กฎระเบียบบางอย่างของภาครัฐยังไม่ สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจน - มาตรการกีดกันทางการค้าที่เป็นภาษี และไม่เป็นภาษีของประเทศคู่ค้า ส่งผล กระทบต่อส่งออกสินค้าเกษตร


๒๙ 2.4.3 การวิเคราะห์ SWOT Analysis จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน และภายนอก และเรียงลำดับตามความสำคัญจาก ค่าคะแนนทำให้ได้จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT Analysis) ด้านการเกษตรของกลุ่มจังหวัด ภาคเหนือตอนบน 2 โดยใช้มาตรวัด Likert Scale 5 ระดับ จากผลการให้คะแนนของหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง ในระดับพื้นที่ นำมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยจัดเรียงลำดับความสำคัญของปัจจัยของสภาพแวดล้อมในแต่ละด้าน ดังตารางที่ 2.22 โดยมีเกณฑ์ความหมายระดับคะแนนความสำคัญ และเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย ดังนี้ เกณฑ์ความหมายของระดับความสำคัญ 5 หมายถึง สำคัญมากที่สุด 4 หมายถึง สำคัญมาก 3 หมายถึง สำคัญปานกลาง 4 หมายถึง สำคัญน้อย 5 หมายถึง สำคัญน้อยที่สุด เกณฑ์การแปลความหมายของระดับความสำคัญ 4.50 – 5.00 หมายถึง สำคัญมากที่สุด 3.50 – 4.49 หมายถึง สำคัญมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง สำคัญปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง สำคัญน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง สำคัญน้อยที่สุด


๓๐ ตารางที่ 2.22 สรุปปัจจัยสภาพแวดล้อมโดยเรียงลำดับความสำคัญ ปัจจัย คะแนน แปลผล จุดแข็ง S1 มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม GMS ทำให้มีการดำเนินกิจกรรม การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวร่วมกัน 4.59 สำคัญมาก ที่สุด S2 มีระบบโลจิสติกส์ที่มีศักยภาพเชื่อมโยงกับภูมิภาคต่างๆในประเทศ และ ต่างประเทศในเขตภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง GMS 4.55 สำคัญมาก S3 มีลักษณะภูมิศาสตร์ที่สนับสนุนการทำการเกษตร เช่น มีแหล่งต้นน้ำ มีแหล่ง น้ำธรรมชาติ แม่น้ำที่สำคัญหลายสาย 4.41 สำคัญมาก S4 มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว ยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ ชา และกาแฟ ที่สามารถ พัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่ม 4.41 สำคัญมาก S5 มีกลไกทำงานที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกร ในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการเกษตรและสหกรณ์และมีบุคลากรในพื้นที่ ที่มีองค์ความรู้ด้านการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า (ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง) 4.27 สำคัญมาก S6 มีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน, กลุ่มแปลงใหญ่ Smart Farmer, Young Smart Farmer ในการพัฒนาศักยภาพเกษตรกร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตร และยกระดับรายได้ 4.27 สำคัญมาก S7 มีทรัพยากรธรรมชาติและมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นจำนวนมาก 4.23 สำคัญมาก S8 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มุ่งเน้นการพัฒนาสู่ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มูลค่าสูง ทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพ ภูมิอากาศ โดยมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มด้าน ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรสามารถส่งเสริมและพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน 4.14 สำคัญมาก S9 เป็นศูนย์กลางทางการศึกษา มีการวิจัยและพัฒนา และเสริมสร้างให้องค์ ความรู้เทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ที่มีศักยภาพ 4.05 สำคัญมาก จุดอ่อน W1 ระบบชลประทานยังไม่ครอบคลุมพื้นที่การเกษตร และขาดระบบการบริหาร จัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ 4.68 สำคัญมาก ที่สุด W2 เกษตรกรเน้นขายผลผลิตที่เป็นวัตถุดิบไม่ค่อยมีการแปรรูปเพิ่มมูลค่า และไม่ คำนึงถึงการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ทำให้มีการเผาเกิดปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 มากขึ้น 4.36 สำคัญมาก W3 เกษตรกรส่วนใหญ่ยังทำการเกษตรแบบดั้งเดิมใช้สารเคมีจำนวนมาก ไม่ยอมรับการ เปลี่ยนแปลงการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนา คุณภาพผลผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำลายสิ่งแวดล้อม 4.36 สำคัญมาก W4 ขาดแคลนแรงงาน และแรงงานส่วนใหญ่สูงอายุ 4.27 สำคัญมาก W5 ข้อมูลด้านการเกษตรที่เป็นเอกภาพยังไม่ครอบคลุมทุกสาขาการเกษตร 4.23 สำคัญมาก


๓๑ ตารางที่ 2.22 สรุปปัจจัยสภาพแวดล้อมโดยเรียงลำดับความสำคัญ (ต่อ) ปัจจัย คะแนน แปลผล W6 ทรัพยากรดินเสื่อมโทรมเนื่องจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว การเผา การใช้สารเคมี ประกอบกับเกษตรกรบางส่วนขาดความรู้ในการปรับปรุงดิน และการใช้ปัจจัย การผลิตอย่างเหมาะสม 4.09 สำคัญมาก W7 หน่วยงานราชการในพื้นที่มีการบูรณาการงานร่วมกัน แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกมิติ 4.05 สำคัญมาก W8 เกษตรกรบางส่วนขาดเอกสารสิทธิ์และที่ดินทำกิน ทำให้ขาดโอกาสการได้รับ ความช่วยเหลือจากภาครัฐ และเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมมาใช้ยังมีน้อย 4.00 สำคัญมาก W9 เกษตรกร/กลุ่ม ยังขาดองค์ความรู้ด้านการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร 3.95 สำคัญมาก W10 ยังมีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำการเกษตร ส่งผลกระทบกับพื้นที่ ป่าต้นน้ำ ความสมดุลของระบบนิเวศ ก่อให้เกิดปัญหาการชะล้างหน้าดิน การเกิดอุทกภัย และภัยแล้ง 3.91 สำคัญมาก W11 บุคลากรในการตรวจรับรองมาตรฐานทางการเกษตรมีน้อยประกอบกับ ค่าใช้จ่ายในการขอรับรองมาตรฐานค่อนข้างสูง 3.77 สำคัญมาก โอกาส O1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางเรือ และอากาศ เพื่อรองรับ นโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงประเทศ ในกลุ่ม GMS และ ประชาคมอาเซียน (AEC) 4.77 สำคัญมาก ที่สุด O2 การพัฒนาระบบ Logistic ระหว่างประเทศโครงข่ายการขนส่งทางระบบรางและทางถนน และเส้นทาง R3A เชื่อมโยงประเทศจีน, ลาว ส่งผลต่อโอกาสการขยายการค้าการลงทุน 4.73 สำคัญมาก ที่สุด O3 การพัฒนาระบบตลาดและโลจิสติกส์เกษตรชุมชน เช่น แหล่งการค้า คลังสินค้า จะเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตร สินค้าชุมชน รวมทั้งเชื่อมโยง เข้าสู่ระบบโลจิสติกส์ชุมชน 4.73 สำคัญมาก ที่สุด O4 นโยบายการพัฒนาเมือง สถานีขนส่งระบบรางที่จังหวัดแพร่ (อำเภอเด่นชัย) จังหวัดเชียงราย (อำเภอเชียงของ) และนโยบายการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC - Creative LANNA) ทำ ให้เพิ่มโอกาสการสร้างมูลค่าการค้าเศรษฐกิจชายแดน 4.50 สำคัญมาก ที่สุด O5 มีการซื้อขายสินค้าเกษตรผ่านทาง online เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกษตรกร จำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง 4.45 สำคัญมาก O6 กระแสการรักสุขภาพกระตุ้นให้ผู้บริโภคสินค้าเกษตรปลอดภัย และอินทรีย์ เพิ่มมากขึ้นทั้งในรูปแบบบริโภคสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ 4.36 สำคัญมาก O7 ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการ ผลิต สามารถยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรให้เป็นที่ยอมรับของตลาด 4.32 สำคัญมาก O8 นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในรูปแบบ BCG Model 4.32 สำคัญมาก


๓๒ ตารางที่ 2.22 สรุปปัจจัยสภาพแวดล้อมโดยเรียงลำดับความสำคัญ (ต่อ) ปัจจัย คะแนน แปลผล โอกาส (ต่อ) O9 ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนวัตกรรม และผลงานวิจัยต่างๆ จะส่งผลดีต่อ ระบบการผลิตของภาคการเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 4.27 สำคัญมาก O10 ตลาดการท่องเที่ยวขยายตัว จากการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวภายในกลุ่ม ประเทศ GMS 4.27 สำคัญมาก O11 นโยบายของรัฐบาลในการจัดสรรที่ดินทำกินในพื้นที่ สปก. และโครงการ จัดสรรที่ดินทำกิน คทช. 4.23 สำคัญมาก O12 ภาครัฐและประชาสังคมให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 4.23 สำคัญมาก อุปสรรค T1 การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ Climate Change ส่งผลต่อการผลิต ภาคเกษตร 4.55 สำคัญมาก ที่สุด T2 การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนของตลาดสินค้าเกษตร ส่งผลต่อระดับราคาที่เกษตรกรขายได้ 4.50 สำคัญมาก ที่สุด T3 ผู้ประกอบการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลธุรกิจการเกษตร รวมถึงผู้ให้บริการเทคโนโลยีฯ (Service Provider)ยังมีจำนวนน้อย 4.32 สำคัญมาก T4 มาตรการกีดกันทางการค้าที่เป็นภาษี และไม่เป็นภาษีของประเทศคู่ค้า ส่งผล กระทบต่อส่งออกสินค้าเกษตร 4.32 สำคัญมาก T5 กฎระเบียบบางอย่างของภาครัฐยังไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจน 4.27 สำคัญมาก T6 ปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น 4.27 สำคัญมาก T7 สถานการณ์การระบาดของโรคอุบัติใหม่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว 4.18 สำคัญมาก T8 สถานการณ์ความไม่สงบในต่างประเทศ ส่งผลกระทบให้ปัจจัยการผลิตทาง การเกษตรปรับตัวสูงขึ้น 4.18 สำคัญมาก T9 โรคระบาดทั้งด้านพืชและสัตว์ที่อาจทำให้การผลิตสินค้าเกษตรได้รับความ เสียหาย 4.14 สำคัญมาก T10 เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ยังไม่แพร่หลายสู่เกษตรกรรายย่อย รวมทั้งมีราคาแพง 4.14 สำคัญมาก T11 การขยายตัวของเมืองส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกภาคเกษตร และการผลิตอาหาร/ธัญพืชซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร 4.00 สำคัญมาก T12 ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ประชากรแรงงานลดลงส่งผลต่อการพัฒนา ด้านเศรษฐกิจของประเทศ 4.00 สำคัญมาก


๓๓ 2.5 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ TOWS Matrix จากการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของกลุ่มภาคเหนือตอนบน 2 สามารถนำมาวิเคราะห์ ความสัมพันธ์แบบแมตทริกซ์เพื่อกำหนดทิศทาง/แนวทางการพัฒนา ดังนี้ External Opportunities (O) 1. 2. 3. 4. External Threats (T) 1. 2. 3. 4. Internal Strengths (S) 1. 2. 3. 4. SO “Maxi-Maxi” Strategy Strategies that use Strengths to maximize opportunities. ST “Maxi-Maxi” Strategy Strategies that use Strengths to minimizeThreats. Internal Strengths (S) 1. 2. 3. 4. WO “Mini-Maxi” Strategy Strategies that minimize Weaknesses by taking Advantage of Opportunities. WT “Mini-Mini” Strategy Strategies that minimize Weaknesses and avoid Threats. ภาพที่ 2.2 แผนภาพแสดงการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบแมตทริกซ์ (TOWS Matrix) 1) การพัฒนาจุดแข็งให้โดดเด่นและการใช้ประโยชน์จากโอกาสเพื่อเสริมสร้างข้อได้เปรียบ (SO Strategy -“Maxi - Maxi” Strategy) 2) การลดจุดอ่อนโดยใช้ประโยชน์จากโอกาส (WO Strategy - “Mini - Maxi” Strategy) 3) การพัฒนาจุดแข็งให้โดดเด่นและการลดปัจจัยภายนอกเพื่อเสริมจุดแข็ง (ST Strategy – “MaxiMini” Strategy) 4) การลดจุดอ่อนโดยหลีกเลี่ยงการเผชิญอุปสรรค (WT Strategy - “Mini-Mini” Strategy)


3External Opportunities (O) O1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางเรือ และอากาศ เพื่อรองรับนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงประเทศในกลุ่ม GMS และ ประชาคมอาเซียน (AEC) O2 การพัฒนาระบบ Logistic ระหว่างประเทศโครงข่ายการขนส่งทางระบบรางและทางถนน และเส้นทาง R3A เชื่อมโยงประเทศจีน, ลาว ส่งผลต่อโอกาสการขยายการค้าการลงทุน O3 การพัฒนาระบบตลาดและโลจิสติกส์เกษตรชุมชน เช่น แหล่งการค้า คลังสินค้า จะเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตร สินค้า ชุมชน รวมทั้งเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบโลจิสติกส์ชุมชน O4 นโยบายการพัฒนาเมือง สถานีขนส่งระบบรางที่จังหวัดแพร่ (อำเภอเด่นชัย) จังหวัดเชียงราย (อำเภอเชียงของ) และนโยบาย การกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC - Creative LANNA) ทำให้เพิ่มโอกาส การสร้างมูลค่าการค้าเศรษฐกิจชายแดน O5 มีการซื้อขายสินค้าเกษตรผ่านทาง online เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกษตรกรจำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง O6 กระแสการรักสุขภาพกระตุ้นให้ผู้บริโภคสินค้าเกษตรปลอดภัย และอินทรีย์เพิ่มมากขึ้นทั้งในรูปแบบบริโภคสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ O7 ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สามารถยกระดับคุณภาพมาตรฐาน สินค้าเกษตรให้เป็นที่ยอมรับของตลาด O8 นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในรูปแบบ BCG Model O9 ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี นวัตกรรม และผลงานวิจัยต่างๆ จะส่งผลดีต่อระบบการผลิตของภาคการเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น O10 ตลาดการท่องเที่ยวขยายตัว จากการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวภายในกลุ่มประเทศ GMS O11 นโยบายของรัฐบาลในการจัดสรรที่ดินทำกินในพื้นที่ สปก. และโครงการจัดสรรที่ดินทำกิน คทช. O12 ภาครัฐและประชาสังคมให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน O13 ภาครัฐและประชาชนให้ความสำคัญในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก ตารางที่ 2.23 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ TOWS Matrix 1) การพัฒนาจุดแข็งให้โดด เด่นและการใช้ประโยชน์จาก โอกาสเพื่อเสริมข้อได้เปรียบ (SO Strategy- "Maxi-Maxi" Strategy)


4 Internal Strengths (S) S1 มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม GMS ทำให้มีการดำเนินกิจกรรมการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวร่วมกัน S2 มีระบบโลจิสติกส์ที่มีศักยภาพเชื่อมโยงกับภูมิภาคต่างๆในประเทศ และต่างประเทศในเขตภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง GMS S3 มีลักษณะภูมิศาสตร์ที่สนับสนุนการทำการเกษตร เช่น มีแหล่งต้นน้ำ มีแหล่งน้ำธรรมชาติ แม่น้ำที่สำคัญหลายสาย S4 มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว ยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ ชา และกาแฟ ที่สามารถพัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่ม S5 มีกลไกทำงานที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกรในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการเกษตรและสหกรณ์ และมีบุคลากรในพื้นที่ที่มีองค์ความรู้ด้านการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า (ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง) S6 มีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน, กลุ่มแปลงใหญ่ Smart Farmer, Young Smart Farmer ในการพัฒนาศักยภาพเกษตรกร เพิ่ม ประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตร และยกระดับรายได้ S7 มีทรัพยากรธรรมชาติและมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นจำนวนมาก S8 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มุ่งเน้นการพัฒนาสู่ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน พร้อมรับต่อการ เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรสามารถ ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน S9 เป็นศูนย์กลางทางการศึกษา มีการวิจัยและพัฒนา และเสริมสร้างให้องค์ความรู้เทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ที่มีศักยภาพ SO Strategies (กลยุทธ์เชิงรุก) S1 S2 O1 O2 O3 O4 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์เกษตรด้วย เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์เกษตร เช่น ตลาดกลาง ห้องเย็น ระบบการให้บริการเชื่อมโยงทางอิเล็กทรอนิกส์ (National Single Window: NSW) และระบบ เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการใช้งาน S4 S8 O5 O6 O8 O10 O11 ส่งเสริมการผลิตการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีคุณภาพมีมาตรฐาน และสร้างมูลค่าเพิ่มจากลักษณะเด่นเฉพาะตัวอัตลักษณ์ S6 S9 O7 ส่งเสริมการแปรรูป และพัฒนาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศษวัสดุทางการเกษตรเป็น ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย S3 S5 S7 O9 O12 ส่งเสริมและสนับสนุนการทำการเกษตรในรูปแบบเกษตรกรรมยั่งยืน รวมถึงต่อยอด ไปสู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตร


3External Opportunities (O) O1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางเรือ และอากาศ เพื่อรองรับนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงประเทศในกลุ่ม GMS และ ประชาคมอาเซียน (AEC) O2 การพัฒนาระบบ Logistic ระหว่างประเทศโครงข่ายการขนส่งทางระบบรางและทางถนน และเส้นทาง R3A เชื่อมโยงประเทศจีน, ลาว ส่งผลต่อโอกาสการขยายการค้าการลงทุน O3 การพัฒนาระบบตลาดและโลจิสติกส์เกษตรชุมชน เช่น แหล่งการค้า คลังสินค้า จะเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตร สินค้า ชุมชน รวมทั้งเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบโลจิสติกส์ชุมชน O4 นโยบายการพัฒนาเมือง สถานีขนส่งระบบรางที่จังหวัดแพร่ (อำเภอเด่นชัย) จังหวัดเชียงราย (อำเภอเชียงของ) และนโยบาย การกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC - Creative LANNA) ทำให้เพิ่มโอกาส การสร้างมูลค่าการค้าเศรษฐกิจชายแดน O5 มีการซื้อขายสินค้าเกษตรผ่านทาง online เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกษตรกรจำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง O6 กระแสการรักสุขภาพกระตุ้นให้ผู้บริโภคสินค้าเกษตรปลอดภัย และอินทรีย์เพิ่มมากขึ้นทั้งในรูปแบบบริโภคสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ O7 ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สามารถยกระดับคุณภาพมาตรฐาน สินค้าเกษตรให้เป็นที่ยอมรับของตลาด O8 นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในรูปแบบ BCG Model O9 ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี นวัตกรรม และผลงานวิจัยต่างๆ จะส่งผลดีต่อระบบการผลิตของภาคการเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น O10 ตลาดการท่องเที่ยวขยายตัว จากการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวภายในกลุ่มประเทศ GMS O11 นโยบายของรัฐบาลในการจัดสรรที่ดินทำกินในพื้นที่ สปก. และโครงการจัดสรรที่ดินทำกิน คทช. O12 ภาครัฐและประชาสังคมให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน O13 ภาครัฐและประชาชนให้ความสำคัญในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก ตารางที่ 2.23 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ TOWS Matrix (ต่อ) 2) การลดจุดอ่อนโดยใช้ประโยชน์ จากโอกาส (WO Strategy- “MiniMaxi” Strategy)


5 Internal Weaknesses (W) W1 ระบบชลประทานยังไม่ครอบคลุมพื้นที่การเกษตร และขาดระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ W2 เกษตรกรเน้นขายผลผลิตที่เป็นวัตถุดิบไม่ค่อยมีการแปรรูปเพิ่มมูลค่า และไม่คำนึงถึงการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ทำ ให้มีการเผาเกิดปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 มากขึ้น W3 เกษตรกรส่วนใหญ่ยังทำการเกษตรแบบดั้งเดิมใช้สารเคมีจำนวนมาก ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาคุณภาพผลผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำลายสิ่งแวดล้อม W4 ขาดแคลนแรงงาน และแรงงานส่วนใหญ่สูงอายุ W5 ข้อมูลด้านการเกษตรที่เป็นเอกภาพยังไม่ครอบคลุมทุกสาขาการเกษตร W6 ทรัพยากรดินเสื่อมโทรมเนื่องจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว การเผา การใช้สารเคมี ประกอบกับเกษตรกรบางส่วนขาดความรู้ ในการปรับปรุงดิน และการใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสม W7 การบูรณาการระหว่างหน่วยงานราชการยังไม่ครอบคลุมในมิติต่างๆ ของการพัฒนาภาคการเกษตรในระดับพื้นที่ W8 เกษตรกรบางส่วนขาดเอกสารสิทธิ์และที่ดินทำกิน ทำให้ขาดโอกาสการได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ยังมีน้อย W9 เกษตรกร/กลุ่ม ยังเข้าไม่ถึงองค์ความรู้ด้านการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร W10 ยังมีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำการเกษตร ส่งผลกระทบกับพื้นที่ป่าต้นน้ำ ความสมดุลของระบบนิเวศก่อให้เกิด ปัญหาการชะล้างหน้าดิน การเกิดอุทกภัย และภัยแล้ง W11 บุคลากรในการตรวจรับรองมาตรฐานทางการเกษตรมีน้อยประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขอรับรองมาตรฐานค่อนข้างสูง WO Strategies (กลยุทธ์เชิงแก้ไข) W1 W6 W10 O7 O12 O13 ส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการดินและน้ำให้มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ W3 W4 O8 O10 สนับสนุนและส่งเสริมการทำระบบฟาร์มอัจฉริยะให้กับเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลิตภาพทางการเกษตร


3External Threats (T) T1 การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ Climate Change ส่งผลต่อการผลิตภาคเกษตร T2 การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนของตลาดสินค้าเกษตร ส่งผลต่อระดับราคาที่เกษตรกรขายได้ T3 ผู้ประกอบการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลธุรกิจการเกษตร รวมถึงผู้ให้บริการเทคโนโลยีฯ (ServiceProvider) ยังมีจำนวนน้อย T4 มาตรการกีดกันทางการค้าที่เป็นภาษี และไม่เป็นภาษีของประเทศคู่ค้า ส่งผลกระทบต่อส่งออกสินค้าเกษตร T5 กฎระเบียบบางอย่างของภาครัฐยังไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจน T6 ปัญหาการเผาป่าของประเทศเพื่อนบ้าน ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 เพิ่มมากขึ้น T7 สถานการณ์การระบาดของโรคอุบัติใหม่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว T8 สถานการณ์ความไม่สงบในต่างประเทศ ส่งผลกระทบให้ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรปรับตัวสูงขึ้น T9 โรคระบาดทั้งด้านพืชและสัตว์ที่อาจทำให้การผลิตสินค้าเกษตรได้รับความเสียหาย T10 เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ยังไม่แพร่หลายสู่เกษตรกรรายย่อย รวมทั้งมีราคาแพง T11 การขยายตัวของเมืองส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกภาคเกษตร และการผลิตอาหาร/ธัญพืชซึ่งอาจ ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร T12 ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ประชากรแรงงานลดลงส่งผลต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก ตารางที่ 2.23 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ TOWS Matrix (ต่อ) 3) การพัฒนาจุดแข็งให้โดด เด่นและการลดปัจจัยภายนอก เพื่อเสริมจุดแข็ง (ST Strategy- “Maxi-Mini” Strategy)


6 Internal Strengths (S) S1 มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม GMS ทำให้มีการดำเนินกิจกรรมการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวร่วมกัน S2 มีระบบโลจิสติกส์ที่มีศักยภาพเชื่อมโยงกับภูมิภาคต่างๆในประเทศ และต่างประเทศในเขตภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง GMS S3 มีลักษณะภูมิศาสตร์ที่สนับสนุนการทำการเกษตร เช่น มีแหล่งต้นน้ำ มีแหล่งน้ำธรรมชาติ แม่น้ำที่สำคัญหลายสาย S4 มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว ยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ ชา และกาแฟ ที่สามารถพัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่ม S5 มีกลไกทำงานที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกรในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้าน การเกษตรและสหกรณ์ และมีบุคลากรในพื้นที่ที่มีองค์ความรู้ด้านการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า (ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง) S6 มีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน, กลุ่มแปลงใหญ่ Smart Farmer, Young Smart Farmer ในการพัฒนาศักยภาพเกษตรกร เพิ่ม ประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตร และยกระดับรายได้ S7 มีทรัพยากรธรรมชาติและมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นจำนวนมาก S8 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มุ่งเน้นการพัฒนาสู่ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน พร้อมรับ ต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้านผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรสามารถส่งเสริมและพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน S9 เป็นศูนย์กลางทางการศึกษา มีการวิจัยและพัฒนา และเสริมสร้างให้องค์ความรู้เทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ ที่มีศักยภาพ ST Strategies (กลยุทธ์เชิงป้องกัน) S1 S2 S4 S6 T3 T4 T10 สนับสนุนสถาบันเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งให้เป็นผู้ประกอบการด้าน โลจิสติกส์เกษตรเป็นผู้รวบรวม กระจาย และขนถ่ายสินค้าเกษตร ระหว่างเกษตรกร สถาบันเกษตรกร เพื่อการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ S3 S4 S7 S8 S9 T1 T2 ส่งเสริมผลิตสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค และมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ


3ตารางที่ 2.23 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ TOWS Matrix (ต่อ) InWWทำWมWWWในWWเงิWWปัWExternal Threats (T) T1 การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ Climate Change ส่งผลต่อการผลิตภาคเกษตร T2 การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนของตลาดสินค้าเกษตร ส่งผลต่อระดับราคาที่เกษตรกรขายได้ T3 ผู้ประกอบการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลธุรกิจการเกษตร รวมถึงผู้ให้บริการเทคโนโลยีฯ (Service Provider) ยังมีจำนวนน้อย T4 มาตรการกีดกันทางการค้าที่เป็นภาษี และไม่เป็นภาษีของประเทศคู่ค้า ส่งผลกระทบต่อส่งออกสินค้าเกษตร T5 กฎระเบียบบางอย่างของภาครัฐยังไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจน T6 ปัญหาการเผาป่าของประเทศเพื่อนบ้าน ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 เพิ่มมากขึ้น T7 สถานการณ์การระบาดของโรคอุบัติใหม่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว T8 สถานการณ์ความไม่สงบในต่างประเทศ ส่งผลกระทบให้ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรปรับตัวสูงขึ้น T9 โรคระบาดทั้งด้านพืชและสัตว์ที่อาจทำให้การผลิตสินค้าเกษตรได้รับความเสียหาย T10 เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ยังไม่แพร่หลายสู่เกษตรกรรายย่อย รวมทั้งมีราคาแพง T11 การขยายตัวของเมืองส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกภาคเกษตรและการผลิตอาหาร/ธัญพืชซึ่ง อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร T12 ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ประชากรแรงงานลดลงส่งผลต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของประเทศ WWกWมีWปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก 4) การลดจุดอ่อนโดยหลีกเลี่ยง การเผชิญอุปสรรค (WT Strategy- “Mini-Mini” Strategy)


Click to View FlipBook Version