รายงานการศกึ ษาคน้ คว้า
เรื่อง ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม
เสนอ
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์สาโรช สอาดเอีย่ ม
จดั ทาโดย
นางสาวศุภลักษณ์ อมรใฝร่ ัตน์ รหสั 6310540231054
ภาคปกติ ห้อง 2
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนง่ึ ของการศึกษา
วชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การศกึ ษาคน้ ควา้ รหัสวิชา GE4005
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั วิทยาเขตล้านนา
รายงานการศกึ ษาคน้ คว้า
เรื่อง ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม
เสนอ
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์สาโรช สอาดเอีย่ ม
จดั ทาโดย
นางสาวศุภลักษณ์ อมรใฝร่ ัตน์ รหสั 6310540231054
ภาคปกติ ห้อง 2
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนง่ึ ของการศึกษา
วชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การศกึ ษาคน้ ควา้ รหัสวิชา GE4005
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั วิทยาเขตล้านนา
ก
คานา
รายงานเล่มน้ีจัดทาข้ึนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้า รหัสวิชา
GE4005 เพ่ือให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจ ในรายงานเล่มน้ีได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับปัญหา
สิง่ แวดล้อมทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ การศึกษาหาความรู้ของผทู้ ีส่ นใจศกึ ษาจะเปน็ เร่ืองง่ายขน้ึ ในการหาข้อมลู ความรู้ทาง
ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม และได้ศกึ ษาอย่างเข้าใจเพื่อเปน็ ประโยชนก์ บั การเรยี นต่อไป
ผจู้ ดั ทาหวงั วา่ รายงานเลม่ นี้จะเป็นประโยชน์กับผอู้ า่ น หรือนักเรยี น นกั ศกึ ษา ท่กี าลงั หาข้อมลู เรอื่ งน้ีอยู่
หากมีขอ้ แนะนาหรอื ขอ้ ผดิ พลาดประการใด ผ้จู ัดทาขอนอ้ มรบั ไวแ้ ละขออภัยมา ณ ท่นี ี้ดว้ ย
นางสาวศภุ ลักษณ์ อมรใฝ่รัตน์
สารบัญ ข
เรือ่ ง หน้า
คานา ก
สารบญั ข
บทนา 1
1
-ความหมายของมลพษิ สิ่งแวดล้อม 3
-สาเหตขุ องการเกดิ มลพิษสง่ิ แวดลอ้ ม 6
มลพษิ ทางอากาศ 6
-ความหมายมลพษิ ทางอากาศ 7
-แหลง่ กาเนดิ มลพิษทางอากาศ 8
-ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางอากาศ 10
-การป้องกนั และแก้ไขภาวะมลพษิ ทางอากาศ 11
มลพษิ ทางน้า 11
-ความหมายของมลพิษทางน้า 14
-แหลง่ กาเนดิ มลพษิ ทางนา้ 19
-การป้องกันและแก้ไขภาวะมลพษิ ทางน้า 20
มลพษิ ทางดิน 20
-ความหมายของมลพษิ ทางดิน 21
-แหล่งกาเนดิ มลพษิ ทางดนิ 22
-ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางดิน 23
-การป้องกันและแก้ไขภาวะมลพษิ ทางดนิ 24
มลพิษทางเสยี ง 24
-ความหมายของมลพษิ ทางเสียง 25
-แหล่งกาเนดิ มลพิษทางเสยี ง 26
-ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางเสียง 27
-การป้องกันและแก้ไขภาวะมลพิษทางเสียง 29
บทสรปุ 30
บรรณานุกรม 32
ภาคผนวก
1
ปญั หาส่งิ แวดล้อม
บทนา
ปัจจุบันปัญหาส่ิงแวดล้อมเป็นเร่ืองสาคัญที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นปัญหาที่ส่งผล
กระทบโดยตรงต่อสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน และทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องต้ังแต่ยุค
ปฏวิ ัติอุตสาหกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีอนั เปน็ ผลมาจากการพัฒนาประเทศและการเพิ่มข้ึนของประชากรมนุษย์
อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ผ่านมาทาให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ น้า ดิน และแร่ธาตุอย่างส้ินเปลือง
ส่งผลทาให้เกิดความเส่ือมโทรมของทรัพยากรดังกล่าวทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศยังเน้นการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมเพ่ือผลิตสินค้าท้ังที่เป็นสินค้าประเภททุ น
(capital goods) และสินค้าบริโภค(consumer goods) ซ่ึงกระบวนการผลิตน้ีเองที่ก่อให้เกิดของเสียออกสู่
ส่ิงแวดล้อม การเปล่ียนแปลงสภาพชนบทเป็นชุมชนเมืองอาจเป็นอีกสาเหตุท่ีทา ให้เกิดปัญหามลพิษทาง
สิ่งแวดล้อมรุนแรงมากขึ้น(อภิลาศ ใจสถานนท์, 2534) ถึงแม้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะมีความสาคญั
และมีความจาเป็นอย่างยิ่งในการดารงชีวิตของมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่ได้ตระหนักและให้ความสาคัญในผลกระทบอัน
เกิดจากความเสียสมดุลของธรรมชาติ ทาให้มนุษย์ยังคงใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เร่ือยมาจนเกิดวิกฤตการณ์ทางส่ิงแวดล้อมอย่างเด่นชัด จากการเปล่ียนแปลงของโลกอย่างรวดเร็วในช่วง200 ปีที่
ผ่านมา ทาใหเ้ กดิ การสูญพนั ธุ์ของพืชและสัตว์หลายชนิด ก่อใหเ้ กิดการแพร่กระจายของสารพษิ ในบรรยากาศ การ
แพร่กระจายของสารพิษในน้าจืดและน้าทะเล ส่งผลทาให้อุณหภมู ิท่ัวโลกร้อนขึ้น การเปลี่ยนแปลงการไหลของน้า
บนผิวโลก การละลายของน้าแข็งข้ัวโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลและปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น
แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้าท่วม ความแห้งแล้ง ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์จะได้รับ
ผลกระทบเหล่านี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (วินัย วัฒนานนท์, 2541) ปัญหามลพิษทางส่ิงแวดล้อมบางเร่ืองก็เป็นเรอ่ื ง
เฉพาะของแต่ละพ้ืนท่ี เช่น น้าเสีย อาหารเป็นพิษ ดินปนเปื้อนโลหะหนัก เป็นต้น แต่มลพิษส่ิงแวดล้อมบางเรอ่ื งก็
เป็นปัญหาร่วมกัน เช่น การเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse effect) และปรากฏการณ์เอลนีโญ
ลานีญา เป็นต้น ปัญหาหรือวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 7 ของทวีปเอเชีย ส่วนใหญ่เป็น
ปัญหามลพิษทางอากาศ รองลงมาคือ มลพิษทางน้า มลพิษทางดิน มลพิษทางเสียง และมลพิษจากขยะและส่ิง
ปฏิกูล และถงึ แม้ว่าภาครัฐจะได้ให้ความสาคัญกับการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมด้วยการออกกฎหมาย ตั้งองคก์ รด้าน
สิ่งแวดล้อม หรือจัดทาแผนและนโยบายต่าง ๆ แต่จะเห็นได้ว่ามาตรการดังกล่าวท่ีนามาใช้ในการแก้ไขปัญหา
ส่ิงแวดล้อมจะไม่ประสบผลสาเร็จเท่าท่ีควร ในขณะท่ีสถาณการณ์มลพิษทางสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซ่ึง
สะท้อนให้เห็นถึงผลพวงของการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย แต่ไม่พัฒนาได้อย่างชัดเจน (ดุสิต ขาวเหลือง,
2548) โดยในบทเรียนนี้จะเน้นปัญหาส่ิงแวดล้อมท่ีเกิดจากปัญหามลภาวะทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะอธิบายถึงสภาพ
2
ปัญหา สาเหตุ รวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหามลภาวะสง่ิ แวดล้อมทีส่ าคญั ได้แก่ มลภาวะทางอากาศ มลภาวะ
ทางน้า มลภาวะทางดิน และมลภาวะทางเสียง เพ่ือให้เห็นภาพรวมของวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมที่เกิดข้ึนได้อย่าง
ชัดเจนมากยิ่งข้นึ
ความหมายของมลพิษสง่ิ แวดล้อม
“มลพิษ” เป็นศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติข้ึนในปี พ.ศ. 2525 หมายถึง พิษเกิดจากความมัวหมอง
หรือความสกปรก โดยใช้แทนคาว่า “มลภาวะ” ซง่ึ เปน็ คาศพั ทเ์ ดิม และตรงกับคาวา่ “Pollution” ในภาษาอังกฤษ
ซ่ึงมาจากคาว่า “Pollute” หมายถึง การทาให้สกปรก ซึ่งได้แก่ ขบวนการต่าง ๆ ท่ีมนุษย์กระทาทั้งโดยตั้งใจและ
ไม่ได้ตั้งใจ จากการปล่อยของเสียซึ่งไม่พึงปรารถนาเข้าไปหมักหมมในบรรยากาศ พื้นดินและในน้ามีผลให้
ส่งิ แวดล้อมเส่ือมโทรมลง นอกจากนี้ มผี ู้ให้ความหมายคาวา่ “มลพษิ ” ไวอ้ ีกหลากหลายดงั น้ี
สมสุข มจั ฉาชพี (2524) ได้ให้ความหมายของ มลพษิ หมายถึง ภาวะของสภาพแวดลอ้ มทม่ี อี งคป์ ระกอบ
ไม่เหมาะต่อการนามาใช้ประโยชน์ แตก่ ลับเปน็ พิษหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรอื ก่อความราคาญแก่มนุษย์ เช่น
อากาศมีแก๊สต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังรบกวนมากดินท่ีมีการสะสมของยาปราบ
ศตั รพู ืช และนาทมี่ ีคราบนา้ มันหรอื โลหะหนกั เปน็ ต้น
อแู่ กว้ ประกอบไวทยกจิ บเี วอร(์ 2531) ได้อธบิ ายความหมายของคาว่า มลพษิ หมายถงึ สภาวะแวดลอ้ ม
ทีม่ ีการเปลี่ยนแปลง ไมว่ ่าจะเปน็ การเปลย่ี นแปลงสภาพ แวดล้อมทางกายภาพ เคมี หรือชีวะในดนิ หรอื อากาศ อัน
จะยังผลให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตหรือ ทรัพย์สิน อีกท้ังส่ิงมีชีวิตที่มนุษย์พึงประสงค์ไม่ว่าการเปล่ียนแปลงนี้จะมี
ผลโดยตรงหรอื โดยอ้อม
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ 2535 ได้ให้ความหมายของมลพิษ
หมายถึง ของเสีย วัตถุอันตราย และมลสารอื่น ๆ รวมท้ังกากตะกอนหรือสิ่งตกค้างจากส่ิงเหล่านั้นที่ปลอ่ ยท้ิงจาก
แหล่งกาเนิดมลพิษหรือท่ีมีอยู่ในส่ิงแวดล้อม ซึ่งก่อให้เกิดหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือ
ภาวะท่เี ปน็ พิษภัยอนั ตรายตอ่ สุขภาพอนามยั ของประชาชนได้และให้หมายความถึงรงั สี ความร้อน แสง เสยี ง คล่ืน
ความสนั่ สะเทอื นหรอื เหตรุ าคาญอน่ื ๆ ที่เกิดหรอื ถกู ปลอ่ ยออกจากแหล่งกาเนดิ มลพิษดว้ ย
กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อม (2534) ได้ให้ความหมายของคาว่า สารมลพิษ หมายถึง สารท่ีก่อให้เกิด
อันตรายหรือผลกระทบทั งโดยตรงแลโดยอ้อมต่อ มนุษย์ สัตว์ พืช และสภาพสิ่งแวดล้อมอื่น ๆได้แก่ สารเคมี
ป้องกันกาจัดศัตรูพชื และสตั ว์ เชน่ ดีดีที และสารมลพษิ จากอตุ สาหกรรม เช่น ตะก่วั แมงกานสี ปรอท เปน็ ตน้
3
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 ได้ให้ความหมายของคาว่า
มลพษิ หรอื มลภาวะ หมายถงึ ของเสยี วัตถอุ ันตราย และมลสารอน่ื ๆ รวมทั้งกาก ตะกอน หรือส่งิ ตกค้างจากสิ่ง
เหล่านั้นท่ีถูกปล่อยท้ิงจากแหล่งกาเนิดมลพิษ หรือที่มีอยู่ในส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติซึ่ง ก่อให้เกิดหรืออาจ
ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือภาวะท่ีเป็นพิษภัยอันตรายต่อสุขภาพ อนามัยของประชาชนได้
และหมายความรวมถึงรงั สีความร้อน แสง เสียง กล่นิ ความส่ันสะเทือน หรือเหตุ ราคาญอน่ื ๆ ทเี่ กดิ หรอื ถกู ปล่อย
ออกจากแหล่งกาเนดิ มลพิษด้วย
สาหรับคาวา่ “มลพษิ สง่ิ แวดล้อม” ไดม้ ผี ู้ท่ใี ห้ความหมายไวด้ งั นี้
เกษม จันทร์แก้ว (2525) ได้ให้ความหมายของคาว่า มลพิษของสิ่งแวดล้อม หมายถึงภาวะแวดล้อมที่มี
ความไม่สมดุลของทรัพยากรและมีสารพษิ ท่ีเป็นพิษจนมีผลต่อสขุ ภาพของมนุษย์ พชื และสัตว์
ในขณะท่ี แอนดรูส์(Andrews, 1972) ได้ให้คาจากัดความของคาว่า มลพิษของสิ่งแวดล้อมหมายถึงการ
เปล่ียนแปลงของสง่ิ แวดลอ้ มทีไ่ ม่พงึ ประสงค์อนั เปน็ ผลมาจากการกระทาของมนุษย์ทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม ทาให้
เกิดการเปล่ียนแปลงทางด้านกายภาพ ชีวภาพ และความสมบูรณ็ของส่ิงมีชีวิตมีผลกระทบโดยตรงต่อมนุษย์ หรือ
ผ่านมาทางนาผลติ ผล จากพชื และสัตว์
ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า มลพิษส่ิงแวดล้อม หมายถึง สภาวะส่ิงแวดล้อมซึ่งถูกปนเปื้อนด้วยสารมลพิษ
หรือพลังงานแล้วทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เคมี หรือชีวภาพ อันส่งผลทาให้สุขภาพร่างกาย จิตใจ
และสังคมเสอื่ มลง ไมว่ า่ จะเกิดผลกระทบโดยทางตรงหรือทางอ้อม
สาเหตขุ องการเกดิ มลพษิ สงิ่ แวดล้อม
สาเหตุหลกั ที่ทาให้เกดิ การปนเปือ้ นของมลพิษในสิง่ แวดล้อมเปน็ ผลมาจากความเฉลียวฉลาดของ มนษุ ย์ที่
รู้จักนาเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาสังคมในด้านต่าง ๆ และเพิ่มความสะดวกสบายในการดารงชีวิต ประจาวันของ
มนุษย์โดยไม่ได้มีมาตรการป้องกันปัญหาท่ีจะตามมา (สุกาญจน์ รัตนเลิศนุสรณ์, 2550) ซ่ึง สาเหตุของการ
แพร่กระจายและปนเป้ือนของสารมลพิษจนก่อให้เกิดภาวะมลภาวะสงิ่ แวดลอ้ มมีดงั ต่อไปน้ี
ปญั หาประชากร
1) การเพิ่มของประชากร (population growth) การเพิ่มของประชากรในปัจจุบันโดยเฉลี่ยท่ัวโลกมี
แนวโน้มสูงมากข้ึน เน่ืองจากปัจจุบัน การพัฒนาทางการแพทย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การผลิตวัคซีนป้องกนั
และรักษาโรค รวมถึงมีองค์การท่ีเกี่ยวกับการระบาดของโรคและวัฏจักรของการแพร่เช้ือ นอกจากนี้ ประชาชน
4
สามารถรับรขู้ า่ วสารทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ไดอ้ ยา่ งท่วั ถึง เช่น ผปู้ ่วยสามารถปรึกษาอาการกับแพทย์ได้ทาง
โทรศัพท์หรือส่ือต่าง ๆ หรือการให้คาปรึกษาทางการแพทย์ผ่านระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เป็นต้น แม้ว่าการ
รณรงค์เรื่องการวางแผนครอบครัวจะได้ผลดี แตป่ รมิ าณการเพ่ิมของประชากรยังอยใู่ นอัตราทวีคูณ (exponential
growth) (สุกาญจน์ รัตนเลิศนุสรณ์, 2550) ดังแสดงในภาพที่ 4-1 การเพิ่มขึ้นของ ประชากรเป็นแรงขับเคล่ือนท่ี
สาคัญต่อการเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมทาให้ความต้องการอาหาร น้า พลังงาน ท่ีอยู่อาศัย และปัจจัยอื่น ๆ ท่ี
จาเป็นต่อการดารงชีวิตเพิ่มสูงข้ึนตามไปด้วย นอกจากน้ียังทาให้เกิดการขยายตัวของเมืองและชุมชนและมีการ
เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งจากการขาดการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและการ
จัดการสิ่งแวดล้อมท่ีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติเพ่ิมข้ึนและ
กอ่ ให้เกดิ ปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อมตามมา
2) การขยายตวั ของเศรษฐกจิ สังคม และเทคโนโลย(ี economic, social and technology growth) การ
ต้ังถน่ิ ฐานของมนษุ ยเ์ พอื่ เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศัย การทาการเกษตรและอตุ สาหกรรมโดยขาด การวางแผนและวางผงั เมอื งไว้
ล่วงหน้า ประกอบกับความเจริญทางด้านเศรษฐกิจท่ีทาให้มาตรฐาน การดารงชีวิตสูงข้ึนตามไปด้วยนั้นทาให้เกิด
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกินความจาเป็นข้ันพ้ืนฐานของชีวิต ในขณะเดียวกันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทาให้
มนุษย์สามารถนาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ในระบบการ ผลิตสินค้าและบริการได้มากและง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดผล
กระทบต่อมนุษย์และส่ิงแวดลอ้ มมากมาย ซ่ึงจะเห็นได้จากการเปล่ียนแปลงของระบบนิเวศตามธรรมชาตปิ ่าไม้ถกู
ทาลาย เกิดปัญหาจราจร การขาดแคลน สาธารณูปโภค สถานที่พักผ่อนหย่อนใจลดน้อยลง ดินเสื่อมคุณภาพ น้า
เน่าเสีย ปัญหาขยะมลู ฝอย และ เกิดสารเคมสี ะสมในแหล่งน้าและดิน ส่ิงเหล่าน้ี เกดิ ผลกระทบต่อสุขภาพและการ
ดารงชวี ิตของประชาชน ทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม นอกจากนี้ยังก่อใหเ้ กิดความเสยี หายต่อประเทศโดยรวมด้วย
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักของการเกิดปัญหามลพิษส่ิงแวดล้อม คือ มนุษย์ และ
ผลกระทบทเ่ี กิดขึ้นก็มีผลสะท้อนกลบั มายังประชากรมนษุ ย์ โดยจะเหน็ ได้อยา่ งชัดเจนว่าการเพ่ิมจานวนประชากร
มนุษย์และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เน่ืองจากจานวนประชากรจะเป็น
ตัวกาหนดปริมาณการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและเป็นดัชนีท่ีบ่งช้ีถึงสถานภาพ ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของ
ประเทศนนั้ ๆ อกี ทง้ั ยงั เป็นปัจจยั หลกั ที่ทาให้ปญั หามลพษิ ส่งิ แวดล้อม แพรก่ ระจายออกไปอยา่ งรวดเร็ว ดังนั้นการ
แก้ปัญหาส่ิงแวดล้อมต้องเข้าใจถึงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของปัญหา ได้แก่ ส่ิงแวดล้อม ระบบการผลิต
และประชากรมนุษย์
3) ค่านิยมท่ีไม่เหมาะสม ค่านิยมเป็นส่วนหน่ึงขององค์ประกอบทางสังคมโดยสังคมใดมีค่านิยมถูกต้องจะ
ทาใหส้ ังคมน้ันเกดิ การพัฒนา ในทางตรงกนั ข้ามถ้าสังคมใดมีค่านิยมที่ไม่เหมาะสมมักส่งผลให้สังคมนั้นเกิด ปญั หา
5
ได้ โดยเฉพาะปัญหามลพิษส่ิงแวดลอ้ ม ค่านิยมที่ไม่เหมาะสมเหล่าน้ี เห็นได้จากพฤติกรรมความ ฟุ่มเฟือย หรูหรา
ความมักง่าย ความประมาท ความเป็นเอกเทศ ความเป็นผู้ชอบมีอานาจเหนือธรรมชาติ ความช่ืนชอบใน
ส่ิงประดิษฐ์ที่หรือความงามตามธรรมชาติ และเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ส่ิงเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดการทาลาย
สิ่งแวดล้อมเพอ่ื ตอบสนองความเชอื่ และค่านิยมนั้น
4) การขยายตัวของเมือง การขยายตัวของชุมชนหรือเมืองทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตาม
ธรรมชาติ เนื่องจากการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วจะทาให้เกิดปัญหาการขาดการวางแผนการวางผังเมืองไว้
ล่วงหน้า นอกจากน้ีการขยายตัวของเมืองยังนามาซ่ึงการขยายตัวของอุตสาหกรรมขึ้นด้วย ซ่ึงการปฏิบัติงานของ
โรงงานอุตสาหกรรม โดยขาดการวางแผนและการควบคุมที่ดจี ะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย การขยายตัว
ของเมอื งเกดิ ขนึ้ จากภาวะหรือปจั จยั ทางสงั คมท่ีผลกั ดันให้คนส่วนใหญ่ เกาะกลุม่ กันเขา้ มาอยูใ่ นเขตเมือง ไดแ้ ก่
1) ความก้าวหน้าในการตดิ ต่อสื่อสาร การศกึ ษา เศรษฐกิจ ความสะดวกสบาย รายไดต้ อ่ หัวของคนในเขต
เมอื งทมี่ สี ูงกวา่ สิง่ เหลา่ น้ีจะเป็นแรงดงึ ดูดใหค้ นจากชนบทซง่ึ มีโอกาสดอ้ ยกว่าใหเ้ ขา้ มาสู่เมืองมากข้ึน
2) สภาพปัญหาในชนบท เช่น ความยากจนที่เกิดจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมท่ีต้อง อาศัยสภาพ
ภูมิอากาศ ปริมาณน้าฝน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการส่งเสริมท่ีเพียงพอ อาจเป็นแรงผลักดันให้
ประชาชนออกจากชนบทเข้าสเู่ มอื งเพ่อื แสวงหาโอกาสท่ดี ีกว่า
5) สภาพการใช้ท่ีดินไม่เหมาะสม จากการเพ่ิมข้ึนของจานวนประชากร การขยายตัวของเขตเมือง และ
นโยบายภาครัฐที่มุ่งพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ทาให้ที่ผ่านมามีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรดนิ
อย่างไม่เหมาะสมและไม่มีประสิทธิภาพในหลายพื้นท่ีประกอบกับปัญหาการใช้ที่ดินที่ไม่ถูกต้องตามหลักการ
อนุรักษ์ดินและน้า การพังทลายของดินและการใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ทรัพยากร
ดินในหลายพ้ืนท่ีของประเทศเกิดปัญหาเสื่อมโทรม เช่น การเกิดดินเค็ม ดินเปร้ียว และดินขาดอินทรียวัตถุ ดิน
ปนเป้ือนโลหะหนักและสารพิษ เปน็ ต้น นอกจากปัญหาความเสื่อมโทรมของดินแลว้ ยังมปี ัญหาเกี่ยวกับการใช้ที่ดิน
อย่างไม่เหมาะสมกบั ศักยภาพของพ้ืนท่ี ไดแ้ ก่ การสรา้ งเมืองหรือนิคม อุตสาหกรรมบนพ้ืนที่ทม่ี ีความเหมาะสมต่อ
การทาการเกษตรและการเปลี่ยนแปลงพ้ืนทปี่ า่ ให้เป็นพนื้ ท่เี มืองรวมถึงการสง่ เสริมการเกษตรทเ่ี พอ่ื ให้เกษตรกรหัน
มาใช้พืชที่ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกในพ้ืนท่ีท่ีไม่เหมาะสมแทนการใช้ประโยชน์จากที่ดินในการทาเกษตรกรรมใน
รปู แบบอน่ื ๆ หรอื การปลูกป่า เศรษฐกิจ
6) การพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีไม่เหมาะสม การพัฒนาของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้าน
เกษตรกรรมหรือการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ทาให้มีการนาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เป็นจานวนมากและเป็นไป
6
อย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นปัญหาการทาลายทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การสร้างเข่ือนเพ่ือผลิตกระแสไฟฟ้าและ
ชลประทานทาให้สูญเสียพ้ืนที่ป่า การทาเหมืองแร่ทาให้เกิดการทาลายสภาพความอุสมบูรณ์ของป่าและเกิดการ
ปนเป้ือนของมลพิษในอากาศ ดิน และแหล่งน้า การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของ
มนุษย์เท่าน้ันไม่ได้นามาเพ่ือการป้องกันและแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น ดังน้ันจึงพบว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม
ต่าง ๆ ทีเ่ กดิ ขน้ึ ในปจั จุบันมสี ว่ นมาจากการใช้เทคโนโลยีของมนษุ ยเ์ กือบทั้งสิ้น เชน่ การใช้ปยุ๋ และยาปราบ ศัตรพู ชื
เพอ่ื เพมิ่ ผลผลิตทางการเกษตรก่อให้เกดิ การตกค้างของสารพษิ ทั้งตามพื้นดนิ นา้ อากาศ และ พชื ผักผลไมแ้ ละอาจ
มีสารพิษตกค้างมาถึงมนุษย์หากมีการบริโภคอาหารที่มีสารพิษนั้นเข้าไปการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตใน
โรงงานอุตสาหกรรมซงึ่ จะมกี ารปลอ่ ยน้าเสียทงิ้ ลงส่แู หล่งน้าธรรมชาติทาให้นา้ เนา่ เสยี เปน็ ต้น
มลพิษทางอากาศ (air pollution)
ความหมายมลพิษทางอากาศ
มลพิษทางอากาศ หมายถงึ ภาวะของอากาศท่ีมีสารเจือปนอยใู่ นปริมาณที่มากพอและเปน็ ระยะเวลานาน
พอที่จะทาให้เกิดผลเสียต่อชีวอนามัยของมนุษย์ สัตว์พืช และวัสดุต่าง ๆ สารดังกล่าวอาจเป็นธาตุหรือ
สารประกอบที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากการกระทาของมนุษย์ หรืออาจอยู่ใน สถานะของแก๊ส หยด
ของเหลว หรืออนุภาคของแข็งก็ได้ สารมลพิษอากาศหลักท่ีสา คัญคือ ฝุ่นละออง ตะก่ัว (Pb) แก๊ส
คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2 ) แก๊สออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และแก๊สโอโซน
(O3 ) (นพภาพร พานชิ และคณะ, 2553)
7
แหลง่ กาเนดิ มลพษิ ทางอากาศ (air pollution sources)
แหล่งกาเนิดสารมลพิษท่ีก่อให้เกิดภาวะมลพิษทางอากาศพบได้หลายแหล่ง สามารถจาแนก ได้เป็น 2
ประเภทใหญ่ ๆ ดังตอ่ ไปนี้
1) แหล่งกาเนดิ ตามธรรมชาติ
1.1) ภูเขาไฟระเบิด การเกิดภูเขาไฟระเบิดจะมีควันและเถ้าจากการเผาไหม้พ่นออกมาใน บรรยากาศ
จานวนมาก นอกจากน้ีมักจะปล่อยสารมลพิษ ได้แก่ ฟลูม หรือ แก๊สต่างๆ เช่น ซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ (SO2 )
ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) และมีเทน (CH4 ) เปน็ ต้น ซ่งึ ทาให้เกดิ มลภาวะทางอากาศ
1.2) ไฟปา่ มักเกดิ ข้ึนในฤดูร้อนซ่งึ อากาศในบรรยากาศมีอุณหภูมิสูงและการเสียดสีของต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่
ในป่าทาให้เกิดการลุกไหม้เป็นไฟข้ึน สารมลพิษที่อาจปล่อยออกมาจากการเกิดไฟไหม้ ป่า ได้แก่ ควัน เถ้า หรือ
แก๊สต่าง ๆ เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx ) ไฮโดรคาร์บอน (HC) และออกไซด์
ของซัลเฟอร์ (SOx ) เปน็ ตน้
1.3) จุลินทรีย์ พวกจุลินทรีย์จะมีการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ ทาให้เกิดแก๊ส เช่น แอมโมเนีย (NH3 )
ไฮโดรเจนซัลไฟด์ เป็นตน้ เป็นแก๊สทที่ าในเกิดกล่นิ เหมน็
1.4) การฟ้งุ กระจายของดิน เมล็ดพชื สปอร์หรือละอองเรณขู องพชื มดี อก
2) แหลง่ กาเนิดทเ่ี กดิ จากกจิ กรรมของมนุษย์
2.1) การคมนาคมขนส่ง เกิดจากพาหนะท่ีขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เช่น รถยนต์ เครื่องบิน เรือยนต์
ปล่อยสารมลพิษท่ีสาคัญออกมา ได้แก่ เขม่า ควัน ฝุ่นละออง คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ออกไซด์
ของไนโตรเจน ซลั เฟอร์ไดออกไซด์และโลหะหนัก เป็นต้น
2.2) โรงงานอุตสาหกรรม จัดเป็นแหล่งสาคัญมากท่ีปล่อยสารพิษออกสู่อากาศ ได้แก่ อุตสาหกรรมเคมี
อตุ สาหกรรมไฟฟา้ อุตสาหกรรมถลุงโลหะ อตุ สาหกรรมกล่ันนา้ มัน อุตสาหกรรม ปูนซเี มนต์ และอุตสาหกรรมแปร
รปู อาหาร เปน็ ตน้ โดยในกระบวนการผลิตจะมีการปล่อยสารพิษออกมา เช่น ฝนุ่ ละออง เขมา่ ควัน ไอกรด ไอของ
สารประกอบตะกั่ว ออกไซดข์ องกามะถัน ออกไซดข์ องไนโตรเจน และออกไซดข์ องคารบ์ อน เปน็ ตน้
2.3) กิจกรรมดา้ นการเกษตร เช่น การเผาเศษเหลือใชท้ างการเกษตรท่ีทาให้เกิดฟุ้ง กระจายของควันและ
เศษเถ้าจากการเผาในอากาศเป็นจานวนมากอีกทั้งเป็นการปลดปล่อยแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศเป็น
8
จานวนมาก การฉีดพ่นสารปราบศัตรูพืชและแมลงทาให้ละอองสารพิษ ลอยไปตามกระแสลมส่งผลกระทบต่อ
สิ่งมชี วี ิตทส่ี ัมผสั หรอื สดู ดมเข้าไป เปน็ ต้น
2.4) กิจกรรมกาจัดขยะมูลฝอย เมืองที่ไม่มีการกาจัดของเสียอย่างถูกหลักสุขาภิบาลหรือ ตรงตาม
มาตรฐานจะทาให้แก๊สมลพิษจากกองขยะหรือเกิดจากการเผาขยะมูลฝอยซ่ึงก่อให้เกิดสารมลพิษ ทางอากาศท่ี
สาคัญ เชน่ เขม่า ควัน ฝนุ่ ละออง สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ออกไซด์ของไนโตรเจน ออกไซด์ของกามะถัน แกส๊
คาร์บอนมอนอกไซด์และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์เป็นตน้
2.5) กิจกรรมการก่อสร้าง อาคารสถานที่ ถนน ทางคมนาคม การถมดิน การผสมปูน และ การทาสี เป็น
ต้น ทาให้เกิดฝุ่นละอองสีที่มีพวกโลหะหนกั เช่น เหล็ก สังกะสี และตะก่ัว เป็นต้น หรือน้ามัน ระเหย เช่น เบนซนิ
และแลกเกอร์ เป็นตน้
ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางอากาศ (air pollution effects)
สารมลพิษทางอากาศนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสุขภาพ ของสิ่งมีชีวิต
และทรัพย์สิน ซึง่ รายละเอียดของผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมดี ังน้ี
1) เกิดภาวการณ์เพ่ิมข้ึนของอุณหภมู ิโลก (global warming) ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการเกิด ปรากฏการณ์
เรือนกระจก (greenhouse effect) เกดิ จากแก๊สเรือนกระจก (greenhouse gas) ได้แก่ แก๊สคารบ์ อนมอนอกไซด์
คาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สมีเทน และออกไซด์ของไนโตรเจน เป็นต้น มีปริมาณ เพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็วในชั้น
บรรยากาศ ดังนั้นบรรยากาศในชั้นน้ีจึงกระทาตัวเสมือนเป็นเรือนกระจก กล่าวคือยอมให้พลังงานในช่วงคลื่นสั้น
เช่น รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ผ่านเข้ามาได้แต่ไม่ยอมให้ พลังงานในช่วงคลื่นยาว เช่น รังสีอินฟราเรด
หรือคลื่นความร้อนผ่านออกไป จึงทาให้เกิดการเก็บสะสม ความร้อนอยู่ภายในช้ันบรรยากาศส่งผลทาให้อุณหภูมิ
ของโลกสงู มากขึ้น ดังน้ันหากมแี ก๊สเรือนกระจกมากข้ึนเทา่ ไร ความรอ้ นจะถูกกักไว้ในช้ันบรรยากาศมากข้ึน โลกก็
จะย่งิ ร้อนมากขนึ้ เท่านั้น
2) ระดับน้าทะเลสูงขึ้นและเกิดน้าท่วมรุนแรงกว่าเดิม ซ่ึงเกิดจากการท่ีอุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น โดย
นักวิทยาศาสตร์ได้คานวณว่า ถ้าอุณหภูมิของโลกเพ่ิม 1.5-4.5 องศาเซลเซียส น้าแข็งขั่วโลกจะละลาย และส่งผล
ทาใหน้ า้ ทะเลสูงขนึ้ 20-140 เซนตเิ มตร
3) ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง เมื่อระดับน้าทะเลสูงขึ้น พื้นท่ีป่าไม้จะลดลง ส่ิงมีชีวิตท่ีปรับตัว ไม่ได้จะตาย
และสูญพันธุ์ไป ดินจะพังทลายและเส่ือมโทรมมากขึ้น ภัยธรรมชาติจะมีแนวโน้มรุนแรงและ เกิดบ่อยข้ึน
ทะเลทรายจะขยายกว้างกว่าเดิม ฤดูหนาวจะอุ่นขึ้นทาให้ศัตรูพืชถูกทาลายน้อยลง ชายฝั่งท่ี เคยเป็นน้ากร่อยจะ
9
เปล่ียนเป็นน้าเค็มซ่ึงมีผลต่อห่วงโซ่อาหาร พืชน้าจืดจะตาย ตะกอนจากชายฝั่งจะถูก พัดพาไปทับถมนอกชายฝ่ัง
ทาไหล่ทวีปสงู ขนึ้ และจะมกี ารอพยพของสัตว์จานวนมาก นอกจากนี้การท่ปี รมิ าณแก๊สคาร์บอนไดออกไซดเ์ พิ่มขึ้น
จะทาให้ผวิ นา้ ทะเลมีสภาพเป็นกรดมากข้ึน และจะมีผลกระทบตอ่ การเจรญิ ของแนวหินปะการงั ของโลกดว้ ย
4) ผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ โดยทาให้มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยหรือการตายท่ี เป็นแบบ
เฉียบพลัน ซ่ึงมีสาเหตุมาจากการท่ีได้สัมผสั เอาสารมลพิษทางอากาศท่ีความเข้มข้นสูงเข้าสู่ปอด โดยการหายใจ ผู้
ที่เจ็บป่วยและตายส่วนใหญ่น้ันมักเป็นผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ท่ีป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบ ทางเดินหายใจหรือโรค
เกี่ยวกับหัวใจอยู่แล้วมากกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ หรือในบางรายท่ีไม่ได้รับสารมลพิษใน ปริมาณสูงก็อาจจะเกิดการ
เจ็บป่วยท่ีเป็นแบบเร้ือรัง ซ่ึงโรคที่พบบ่อยจะเป็นโรคท่ีเก่ียวกับระบบทางเดิน หายใจ มลพิษทางอากาศบางครั้ง
อาจจะไมส่ ง่ ผลกระทบต่อสขุ ภาพของมนุษยโ์ ดยตรง แต่ก่อให้เกิดความ เดอื ดรอ้ นราคาญ เชน่ กลิ่น ฝ่นุ และข้ี เถ้า
เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีมีผลกระทบกระเทือนต่อความเป็นอยู่และจิตใจ ซ่ึงอาจรุนแรงถึงข้ันเป็นสาเหตุของการย้ายท่ี
อยอู่ าศัยเพ่อื หลีกหนปี ัญหาได้
5) ผลกระทบต่อพืช สิ่งนี้เป็นสาเหตุท่ีทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงที่เป็นอันตรายต่อพืช เช่น โอโซนจะทา
อนั ตรายต่อเซลล์ทุกชนิดของใบ ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ทาใหใ้ บของพชื สีจางลงหรือใบเหลือง เนือ่ งจากคลอโรฟีลล์ถูก
ทาลาย เปน็ ตน้
6) ผลกระทบต่อสัตว์ สัตว์จะได้รับสารมลพิษเข้าสู่ร่างกายโดยการท่ีหายใจเอาอากาศที่มี มลพิษปะปนอยู่
ด้วยเข้าสูร่ า่ งกายโดยตรง หรอื โดยการทีส่ ัตวไ์ ปกนิ หญ้าหรือพชื อื่น ๆ ที่มีมลพษิ ทางอากาศตกสะสมอยู่ดว้ ยปริมาณ
มากพอทจี่ ะเกดิ อนั ตรายได้
7) ผลกระทบต่อวัตถุและทรัพย์สิน มลพิษทางอากาศสามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อวัตถุ และ
ทรัพย์สินได้ได้แก่ การขัดสีของฝุ่นทรายท่ีมีอยู่ในกระแสลมในบรรยากาศกับวัตถุต่าง ๆ เช่น อาคาร ส่ิงก่อสร้าง
หรอื สถาปตั ยกรรม เปน็ เวลานานกจ็ ะทาใหว้ ัสดุสกึ กร่อน การตกตะกอนของอนุภาคมลสารลงบนพื้นผวิ ของวัตถุทา
ให้เกิดความสกปรก และวิธีการทาความสะอาดหรือกาจัดอนุภาคเหล่าน้ันออกก็อาจ ทาให้เกิดความเสียหายข้ึนได้
รวมทงั้ การทาปฏิกิริยาเคมีและการกดั กร่อนระหวา่ งมลสารกับผวิ ของวตั ถุก็ อาจเกดิ ข้ึนได้ เช่น ทาให้โลหะผุกร่อน
ยางและพลาสติกเปราะและแตก เป็นต้น
8) ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม โดยจะทาใหม้ กี ารใชท้ รพั ยากรธรรมชาตมิ ากขึ้น เพราะ อากาศร้อน
จะทาให้มีการใช้เครื่องปรับอากาศและแร่เช้ือเพลิงเพ่ิมขึ้น โดยเฉพาะในชุมชนเมืองซ่ึงจะมี อุณหภูมิสูงกว่าชนบท
ประเทศท่ียากจนจะขาดแคลนอาหารมากข้ึน เนื่องจากการปลูกพืชในบางแห่งได้ผลน้อย ทะเลทรายเพ่ิมขนาด
10
พ้ืนที่ เกษตรกรจะเสียต้นทุนการผลิตมากข้ึนเพราะดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ เร็ว ศัตรูพืชเพิ่มขึ้น ความต้านทาน
ของพืชลดลง ในขณะเดยี วกนั กต็ ้องลดรายจา่ ยลง เช่น ลดการจา้ งงาน เป็นต้น และราคาพืชผลการเกษตรตกต่าท่ัว
โลก เพราะประเทศที่มีกาลงั ซื้อพืชผลได้เกินความต้องการทาให้เกิดการเปลย่ี นแปลงด้านรูปแบบการค้าและสนิ คา้
เกษตรกรรม นอกจากน้ียังส่งผลทาให้การพัฒนา ประเทศทาได้ล่าชา้ เนื่องจากต้องใช้งบประมาณเพ่ือแก้ไขปัญหา
ตา่ ง ๆ ที่เกิดขน้ึ
การป้องกนั และแก้ไขภาวะมลพษิ ทางอากาศ (air pollution solutions)
1) ลดสารภาวะมลพิษทางอากาศจากแหล่งกาเนิด โดยการเปลยี่ นแปลงคุณภาพเชื้อเพลิง ใช้เคร่ืองยนตท์ ่ี
มมี ลพษิ น้อย ปรบั ปรุงกระบวนการผลติ และลดมลพิษจากยานพาหนะ
2) เข้มงวดกับมาตรการลดผลกระทบด้านภาวะมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรม โดย ตรวจสอบ
การปล่อยมลสารต่าง ๆ จากภาคอุตสาหกรรมให้อยู่ในระดับมาตรฐาน และให้มีการติดตั้ง อุปกรณ์ตรวจจับสาร
มลพษิ ทางอากาศจากโรงงาน
3) สนบั สนุนการใช้เทคโนโลยีการเกษตร โดยนาวัสดเุ หลือใชจ้ ากภาคเกษตรมาใชเ้ ปน็ พลังงาน เพอ่ื ลดการ
เผาวัสดเุ หลอื ใชจ้ ากการเกษตรในท่โี ล่ง
4) ปรับปรุงระบบการกาจัดขยะมูลฝอยชุมชนให้มีการบริหารจดั การแบบครบวงจร ถูกหลัก วิชาการ เพ่ือ
ลดการเผาขยะในท่โี ล่ง
5) ป้องกันการเกดิ ไฟป่า ตรวจตดิ ตามปฏบิ ตั กิ ารดบั ไฟป่า และฟ้นื ฟสู ภาพหลงั เกดิ ไฟปา่
6) ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มาจากธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลด ภาวะมลพิษทาง
อากาศจากการเผาไหมเ้ ชื้อเพลงิ ประเภทถ่านหนิ
7) ลดการใช้อุปกรณ์เคร่ืองใช้ที่มีสารประกอบของสารท่ีทาให้เกิดภาวะเรือนกระจก เช่น สาร คลอโร
ฟลูออโรคารบ์ อน (CFC) เปน็ ตน้
8) สนับสนุนใหม้ ีการใชร้ ะบบการขนส่งที่มีมลพษิ นอ้ ย และสง่ เสริมการใช้ระบบขนสง่ มวลชน
9) รณรงค์และประชาสมั พันธ์ให้ประชาชนเข้าใจอนั ตรายทเ่ี กิดจากภาวะมลพิษทางอากาศ และมสี ว่ นรวม
ในการป้องกนั แกไ้ ขมิให้เกดิ ภาวะมลพษิ ทางอากาศ
10) ปรับปรุงกฎหมาย เพ่ิมประสิทธิภาพการปฏิบัติตามและการใช้บังคับกฎหมายด้านการ จัดการภาวะ
มลพิษ
11
มลพิษทางนา้ (water pollution)
ความหมายของมลพิษทางนา้
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ได้ให้คาจากัด ความหมายของ
นา้ เสยี ไวด้ ังน้ี คอื ของเสยี ที่อยู่ในสภาพเปน็ ของเหลวรวมทั้งมวลสารทีอ่ ย่ปู ะปนหรือ ปนเปือ้ นอยใู่ นของเหลว
มลพิษทางน้า หมายถึง สภาวะท่ีน้าตามธรรมชาติถูกปนเป้ือนด้วยส่ิงแปลกปลอมและทาให้ คุณภาพของ
น้าเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีเลวลงหรือคุณภาพเส่ือมโทรมลง ส่งผลให้การใช้ประโยชน์จากน้านั้นลดลงหรืออาจใช้
ประโยชน์ไม่ไดเ้ ลย
ลกั ษณะของนา้ เสีย (Water pollution characteristics)
ลักษณะของน้าเสียสามารถพิจารณาจากคุณสมบัติสาคัญ 3 ด้าน คือ คุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และ
ชีวภาพ ดังน้ี
1) คณุ สมบตั ทิ างกายภาพ
1.1) อุณหภูมิ (temperature) อุณหภูมิเป็นปัจจัยหน่ึงที่มีอิทธิพลทั้งทางตรงและ ทางอ้อมต่อการ
ดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้าโดยปกติอุณหภูมิของน้าจะเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิของ อากาศซึ่งเปลี่ยนแปลงไป
ตามฤดูกาล ระดับความสูงและสภาพภูมิประเทศ นอกจากนี้ ยังข้ึนอยู่กับความ เข้มของแสงอาทิตย์ กระแสลม
ความลกึ ปรมิ าณสารแขวนลอยหรือความขนุ่ และสภาพแวดล้อมท่ัว ๆ ไป ของแหลง่ นา้ ซง่ึ โดยปกติอณุ หภูมิของน้า
ในแหลง่ นา้ ตา่ ง ๆ ไม่ควรสงู เกิน 3 องศาเซลเซียส เมื่อเปรยี บเทยี บกบั สภาพอุณหภมู ขิ องอากาศปกติ
12
1.2) สี (color) สีของน้าแสดงให้เห็นสภาพแวดล้อมอย่างคร่าว ๆ และสารแขวนลอยท่ี มีอยู่ในแหล่งน้า
น้ัน ถ้าเป็นสีที่เกิดโดยธรรมชาติจากการสลายของพืช ใบไม้ ใบหญ้า ถึงแม้จะไม่มีอันตราย ต่อผู้บริโภค แต่
เนื่องจากสีของมันเป็นสีเหลืองน้าตาล จึงอาจทาให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ต้องการใช้น้าดังกล่าว บริโภค จึงจาเป็นต้อง
กาจัดออกถ้ามปี รมิ าณมาก
1.3) ความขุ่น (turbidity) หมายถึง สมบัติทางแสงของสารแขวนลอยซึ่งทาให้แสง กระจาย และดูดกลืน
มากกวา่ ทจี่ ะปล่อยให้แสงผ่านเป็นเส้นตรง โดยความขนุ่ ของนา้ จะแสดงให้เหน็ วา่ มี สารแขวนลอย เช่น ดนิ ตะกอน
สารอนินทรีย์แพลงก์ตอน และส่ิงที่มีชีวิตขนาดเล็ก เป็นต้น อยู่มากน้อย เพียงใด สารเหล่านี จะกระจายและ
ขัดขวางไม่ให้แสงส่องลงไปได้ลึก โดยสารเหล่านี้จะดูดซับเอาแสงไว้ ความขุ่นของน้ามีความสาคัญต่อปัญหา
ทางดา้ นอนามยั สง่ิ แวดล้อมในดา้ นความต้องการน้ามาอุปโภค
1.4) ของแข็ง (solid) เป็นสารที่อยูในน้าหรือน้าเสียทั้งที่ละลายในน้าได้ (dissolved solids) หรือท่ีเปน
สารแขวนลอย (suspended solids) ของแข็งท้ังหมดจะประกอบด้วยทั้งสารอินทรีย (organic matter) และ
สารอนนิ ทรยี (inorganic matter) มากมายหลายชนิด ของแขง็ จะมผี ลตอคณุ สมบตั ขิ องน้าท้ังทางดานนิเวศวิทยา
และสิ่งแวดล้อม รวมทงั้ อาจจะมผี ลกระทบทางดานสรีระวทิ ยาตอ สงิ่ มีชีวติ โดยอาจจะทาให้เกดิ ปฏิกิรยิ าทางสรีระ
ทรี่ างกายไมต่ ้องการเมอื่ บริโภคเข้าไปได้
1.5) กลิ่น (oder) กล่ินจากน้าเสียส่วนมากแล้วมาจากแก๊สท่ีเกิดจากการย่อยสลายของ สารอินทรีย์ในน้า
เสีย ส่วนใหญ่จะเป็นแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟดท์ ี่เกดิ จากจลุ ินทรยี ์ชนดิ ท่ีไม่ต้องการออกซิเจน น้าท่มี ีกลนิ่ เหม็นทาให้น้า
นั้นไมเ่ ป็นทพ่ี ึงประสงค์สาหรบั ใชป้ ระโยชน์
1.6) รส (taste) น้าสะอาดตามธรรมชาติจะไม่มีรส การท่ีน้ามีรสผิดไปจากปกติ เน่ืองจากมีสารอินทรีย์
หรอื สารอนนิ ทรีย์ปะปนอยู่ เช่น น้าทร่ี สกรอ่ ย ทงั้ นี้ เนอ่ื งจากมเี กลือคลอไรดล์ ะลาย อยูใ่ นน้าน้ันในปรมิ าณสูง น้าท่ี
มีรสชาตเิ ปล่ียนแปลงไปทาให้น้าน้ันไมน่ า่ ดื่มและไม่นา่ ใช้ประโยชน์
2) ลักษณะของน้าเสียทางเคมี
2.1) ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) น้าตามธรรมชาติจะมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ ระหว่าง 6.5-8.5
ซ่ึงความแตกต่างของค่าความเป็นกรดเป็นด่างข้ึนอยู่กับลักษณะของภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมหลายประการ
เช่น ลักษณะของพ้ืนดินและหนิ ปรมิ าณฝนตก ตลอดจนการใช้ท่ีดินใน บรเิ วณแหลง่ น้า นอกจากนี้ ยงั ขนึ้ อยู่กับส่ิง
ท่ีมีชีวิตในน้า เช่น จุลินทรีย์และแพลงตอนพืช เป็นต้น การที่มี ค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงหรือต่ามากเกินไปจะมี
13
ผลกระทบตอ่ การดารงชีวิตของสิ่งมชี วี ิตภายในน้าโดยตรง นอกจากน้ี หากมีมีค่าความเปน็ กรดเป็นด่างต่ามากจะมี
ฤทธใ์ิ นการกดั กรอ่ นอาจทาใหเ้ กิดการกัดกร่อนท่ออุปกรณ์หรือภาชนะต่าง ๆ ได้
2.2) ออกซิเจนละลายในน้า (dissolved oxygen; DO) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณ ออกซิเจนท่ีละลายใน
น้าปริมาณออกซิเจนในน้าจะเปล่ียนแปลงไปตามอุณหภูมิของน้าและความกดดัน ของบรรยากาศ ในฤดูร้อน
ปริมาณของออกซิเจนท่ีละลายในน้าน้อยลงเพราะว่ามีอุณหภูมิสูง ขณะเดียวกัน จะมีการย่อยสลายและปฏิกิริยา
ตา่ ง ๆ จะเพิ่มมากขนึ้ ทาใหค้ วามต้องการของออกซิเจนเพอื่ ไปใช้กจิ กรรม เหล่าน้ันสูงไปดว้ ย ในแหล่งน้าธรรมชาติ
จะมีออกซิเจนละลายอยรู่ ะหวา่ ง 5-7 มลิ ลกิ รมั /ลติ ร
2.3) บีโอดี(biochemical oxygen demand; BOD) เป็นค่าที่บอกถึงปริมาณของ ออกซิเจนที่ถูกใช้ใน
การย่อยสลายสารอินทรีย์ชนิดที่ย่อยสลายได้ภายใต้สภาวะท่ีมีออกซิเจน เป็นค่าที่นิยม ใช้กันมากในการแสดงถึง
ความสกปรกมากน้อยเพยี งใดของน้าเสียจากชมุ ชนและจากโรงงานต่าง ๆ เปน็ คา่ ทสี่ าคัญมากในการออกแบบและ
ควบคุมระบบบาบัดน้าเสยี โดยทางชวี ภาพ
2.4) ซีโอดี(chemical oxygen demand; COD) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณ ออกซิเจนทั้งหมดที่ต้องการ
ใช้เพ่ือออกซิเดชันสารอินทรียใ์ นน้าดว้ ยสารเคมีซงึ่ มีอานาจในการออกซิไดสส์ ูง ในสารละลายทเ่ี ป็นกรด มีผลทาให้
เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในน้า ค่าซีโอดีมีความสาคัญในการ วิเคราะห์คุณภาพน้าท้ิง การควบคุมระบบบ าบัด
น้าทง้ิ และการควบคมุ ระบบบาบัดน้าเสยี
2.5) ธาตุอาหาร (nutrients) ได้แก่ ไนโตรเจน และ ฟอสฟอรัส เป็นต้น เป็นธาตุที่มี ความสาคัญในการ
สังเคราะห์โปรตีน ทาให้พืชน้ามีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซ่ึงในแหล่งน้าที่มีธาตุ อาหารมากเกินไปจะทาให้
เกิดปัญหาข้ึน กล่าวคือ จะมีการเจริญเติบโตของสาหร่ายมากกว่าปกติ ซึ่งโดยทั่วไปนิยมเรียกว่าปรากฏการณ์
สาหร่ายเบ่งบาน (algae blooms) นอกจากนนั้ พชื น้าตา่ ง ๆ กจ็ ะ เจริญเตบิ โตได้ดีสง่ ผลทาใหเ้ กิดการแพร่กระจาย
ของพชื น้าเหล่านี้มากเกนิ ไปและทาให้นา้ เนา่ เสยี ในท่สี ดุ
2.6) สารโลหะหนัก (heavy metals) ในสภาพธรรมชาติโลหะหนกั มกั ปะปนอยเู่ สมอ ภายในน้าเพราะเกิด
ขนึ้ มาจากการสลายตัวของหินและแร่ที่มโี ลหะหนกั เหล่านี้ปรากฏอยู่เป็นองคป์ ระกอบ รว่ มด้วย แตส่ ่วนใหญเ่ กดิ ข้ึน
ในปริมาณที่น้อยมากไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม สาหรับโลหะหนักท่ีเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมส่วน
ใหญ่เป็นสารพิษท่ีถูกปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ปรอท ทองแดง แคดเมียม ตะก่ัว สังกะสี และโครเมียม
สารเหล่าน้ีสามารถทาอันตรายต่อสัตว์น้าในระดับความเข้มข้นต่าและจะสะสมอยู่ในร่างกายสัตว์ซึ่งจะถ่ายทอด
มายงั ผบู้ รโิ ภคได้
14
3) ลกั ษณะของเสียทางชวี ภาพ
3.1) แบคทีเรีย คือ จุลินทรีย์เซลล์เดียวมีขนาดเล็กไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นผู้ย่อยสลายใน
แหลง่ น้าแบคทเี รียเปน็ ดัชนที ีจ่ ะบ่งช้ีถงึ ความสกปรกของน้าเน่อื งจากมแี บคทีเรียหลาย ชนิดท่ีก่อให้เกิดโรคเก่ียวกับ
ทางเดินอาหาร เช่น ไทฟอยด์ บิด และอหิวาห์ ซ่ึงสามารถตรวจพบได้ใน อุจจาระ เมื่อถูกขับถ่ายปนเปื้อนลงสู่
แหล่งน้าจะถูกแพร่กระจายไปโดยมีน้าเป็นสอ่ื และจะมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของคนที่ใช้นา้ ในแหล่งน้านั้น
ดังนั้นในการตรวจสอบคุณภาพน้าทางแบคทีเรยี จึงต้องวิเคราะห์หาชนิดและปริมาณของแบคทีเรียท่ีเป็นอันตราย
ตา่ ง ๆ ในน้า
3.2) รา เป็นจุลนิ ทรยี ท์ ี่มหี ลายเซลล์ ไมม่ ีคลอโรฟลี ลร์ ามีความสาคัญในการย่อยสลาย พวกคาร์บอนท่ีมีค่า
ความเปน็ กรดเปน็ ดา่ งต่ารามบี ทบาทสาคญั ในการยอ่ ยสลายสารอินทรีย์ในระบบ บาบัดน้าเสียบางระบบนอกจากนี้
รายังเป็นตัวบ่งช้ีถึงความสกปรกของน้า เช่น ถ้ามีการเจริญเติบโตของรา บางชนิดมากเกินไป อาจแสดงให้เห็นถึง
การท่ีเชื้อราดังกล่าวได้รับสารอาหารท่ีมักเป็นของเสียท่ีมาจาก บ้านเรือน หรืออาจจะมีปริมาณลดน้อยลงอันเกิด
จากการท่ีแหลง่ นา้ ไดร้ ับของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ทอ่ี าจมีสารยบั ย้ังราในแหลง่ นา้ เปน็ ตน้
แหลง่ กาเนดิ มลพษิ ทางน้า (water pollution sources)
แหล่งกาเนิดมลพิษทางน้าเกิดได้จากหลายกิจกรรม ซ่ึงแต่ละกิจกรรมจะมีปริมาณและคุณลักษณะน้าเสีย
แตกตา่ งกนั และกอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบที่แตกต่างกนั ด้วย โดยแหลง่ กาเนิดมลพิษสามารถจาแนกออกได้เป็น 10 แหลง่
ท่สี าคัญ ดงั ต่อไปนี้
1) แหลง่ ชมุ ชน
แหลง่ ชุมชนและบ้านเรือนที่อยู่อาศัย นบั เปน็ บรเิ วณท่ีก่อใหเ้ กิดปัญหาน้าเสียมากที่สุด น้าเสยี จากชุมชน
เกิดจากการใช้น้าในชีวิตประจาวัน ได้แก่ น้าทิ้งที่มาจากห้องน้า น้าซักผ้า ซักล้าง ปรุงอาหาร ขับถ่าย การชาระ
ร่างกาย จากที่อยู่อาศัยทุกประเภท อาคารบ้านเรือน อาคารชุด ตลาดสด ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร หอพัก
โรงพยาบาล สถานพยาบาล โรงแรม สถานบริการซ่อมรถยนต์ น้าท้ิงจะถูกปล่อยมาจากท่อน้าโสโครกซึ่งส่วนใหญ่
จะไหลลงสู่แม่น้าโดยไม่มีการบาบัดก่อน นอกจากนี้ยังมี น้าทิ้งจากท่อระบายน้าทิ้งจากชุมชนปริมาณมากท่ีไหลลง
สแู่ หลง่ นา้ ในลกั ษณะที่มีตาแหน่งไมช่ ัดเจน เชน่ นา้ ท่ีเกดิ จากการล้างพื้นผวิ ตามอาคารบ้านเรือน นา้ ล้นผิวถนน น้า
ที่ชะล้างตะกอนดินทรายจากบริเวณท่ีมี การก่อสร้างถนนและบ้านเรือน จะเห็นได้ว่ามีสารมลพิษมากมายหลาย
ประเภทปนเปื้อนอยู่ในน้าเสีย ชุมชน เช่น สารอินทรีย์ เช้ือโรค ตะกอนดินทราย สารพิษพวกยาฆ่าแมลง ตะกั่ว
ผงซักฟอก น้ามันและ สารพิษจากยานพาหนะ เศษอาหาร สบู่ อุจจาระ ปัสสาวะ รวมทั้งการท้ิงเศษวัสดุและขยะ
15
ต่าง ๆ ลงสู่แหล่งน้าโดยตรง ถึงแม้น้าทิ้งจากชุมชนจะเป็นน้าท้ิงท่ีมีสารมลพิษที่ไม่มาก แต่เนื่องจากมีปริมาณมาก
และ มีแหล่งกาเนิดมากมายหลายแห่งอยู่อย่างกระจัดกระจาย ทาให้ลักษณะการเน่าเสียของแหล่งน้าธรรมชาติ ท่ี
เกดิ จากนา้ ทง้ิ จากชุมชนมลี กั ษณะค่อยเปน็ คอ่ ยไปและยากต่อการควบคุมแก้ไข
2) โรงงานอตุ สาหกรรม
สารมลพิษในน้าทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมมลี ักษณะแตกต่างกันตามประเภทของโรงงาน อุตสาหกรรม
เช่น โรงงานกระดาษ โรงงานทาอาหารกระป๋อง โรงงานน้าตาล โรงงานผลิตแป้งมัน สาปะหลัง และโรงงานผลิต
เครื่องดื่ม เป็นต้น โรงงานเหล่าน้ีจะปล่อยน้าท้ิงท่ีมีสารอินทรีย์จานวนมาก ทาให้ค่า BOD ของน้าทิ้งโรงงาน
ประเภทน้ีมีค่าสูงมาก คอื มีคา่ BOD 700-70,000 มิลลกิ รมั /ลติ ร โรงงาน อตุ สาหกรรมเคมี โรงงานผลติ สารกาจัด
ศัตรูพืช โรงงานถลุงเหล็ก โรงงานย้อมผ้า โรงงานฟอกหนัง จะปล่อยน้าทิ้งท่ีมีสารเจือปนอยู่มาก โรงงานผลิต
กระแสไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โรงงานถลุงเหล็ก และ อุตสาหกรรมน ามัน จะปล่อยน้าทิ้งท่ีมีอุณหภูมิสูงถึง 60
องศาเซลเซียส อาจมีกัมมันตภาพรังสีและน้ามัน ปนเป้ือนได้ การทาอุตสาหกรรมเหมืองแร่มีน้าทิ้งที่มีตะกอนดิน
ทรายมาก น้าท้ิงจากโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้าทางท่อน้าท้ิง ดังน้ันถ้าต้องการควบคุม
และน้าไปบาบัดก่อนปล่อยลงแหล่ง น้าจะเป็นไปได้ไม่ยาก ลักษณะของน้าทิ้งจากอุตสาหกรรมจะมีค่า BOD สูง
มาก มคี า่ ความเป็นกรดเป็นด่าง สูง มีสารแขวงลอยมาก ดงั น้ันถา้ น้าทง้ิ จากโรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้รับการบาบัด
ก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้าจะมีผลต่อคุณภาพน้าในแหล่งน้าอย่างรุนแรง แต่ถ้ามีการควบคุมดูแลและปฏิบัติอย่าง
จริงจงั กไ็ มย่ ากต่อการป้องกนั มลพิษทางนา้ ท่เี กดิ จากโรงงานอตุ สาหกรรมได้
3) เกษตรกรรม
น้าที่ระบายออกจากบริเวณที่ทาการเกษตรส่วนใหญ่จะมีสารประกอบทางเคมีท่ีชะล้างมา จากผิวดิน
ได้แก่ ป๋ยุ เคมี ปุ๋ยอินทรยี แ์ ละวัตถุท่ีมีพิษท่ใี ช้ในการเกษตรกรรม เป็นต้น กระบวนการเตรยี ม พนื้ ทเี่ พาะปลูกอาจมี
การไถพรวนดิน ซ่ึงอนุภาคดินและเศษพืชบางส่วนอาจถูกพัดพาไปโดยอิทธิพลของน้า และปัจจัยอ่ืน ๆ ให้ตกลงสู่
แหล่งนา้ ก่อให้เกดิ ตะกอนหรือของเน่าเสีย ซึ่งเปน็ ตวั เรง่ ให้เกิดน้าเน่าเสียขึ้นอีก สาหรับกระบวนการเพาะปลูกอาจ
ตอ้ งมีการใช้ปุ๋ยหรือสารวัตถุมีพิษเพ่ือชว่ ยเพิ่มผลผลิตของพชื ที่ปลูก ดังน้ันสิง่ เหลา่ นี้ยอ่ มมีโอกาสท่ีจะถูกพดั พาลงสู่
แหล่งน้าได้โดยกระบวนการชะล้างของฝนหรือน้าชลประทาน เช่นเดียวกัน ส่วนกระบวนการเก็บเกี่ยวอาจเริ่มต้น
จากการมีบางส่วนของพืชผลถูกเคล่ือนย้ายลงสู่แหล่งน้าโดยความตั้งใจ เช่น การทาความสะอาดพืชผลในขั้นตอน
แรก การแช่ล้างเพื่อขจัดส่ิงที่ไม่ต้องการบางอย่าง ให้หลุดออกไปจากพืชผล สารพิษ รวมถึงส่ิงปฏิกูลต่าง ๆ ดังนั้น
ส่ิงเหล่านี จะหลุดลอยลงสู่แหล่งน้าหรือ อาจเกิดจากการโยนเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรลงสู่แหล่งน้าโดยตรง
เพราะไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นมา ใช้ประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นความมักง่ายของเกษตรกร นอกจากนี้ในการเพาะปลูก
16
พืชน้าได้แก่ ผักกระเฉด และผักบุ้ง เป็นต้น จาเป็นต้องมีการใส่ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงอยู่ตลอดเวลา ส่ิงเหล่านี้จึง
หลีกเลี่ยงไม่ได้ท่ี จะต้องแพร่กระจายลงสู่แหล่งน้าอีกทั้งอาจเกิดข้ึนจากการชาระล้างเครื่องมือและอุปกรณ์
การเกษตรที่มี ส่ิงสกปรกและสารพิษลงสู่แหล่งน้าทาให้น้าเน่าเสีย รวมไปถึงการถ่ายเทมูลสัตว์ หรือการชาระล้าง
รา่ งกายสตั ว์ เชน่ ววั และควาย เปน็ ตน้ กเ็ ป็นอีกสาเหตหุ นึง่ ท่ที าใหน้ ้าสะอาดเกิดการเส่ือมคุณภาพได้ เชน่ กัน
4) การปา่ ไม้
งานทางดา้ นปา่ ไม้มผี ลทาให้คุณภาพน้าเส่ือมหลายประการ เช่น การทาไม้ ปัจจุบันมีการ ใช้เครอ่ื งจักรกล
ตา่ ง ๆ เพอ่ื ทนุ่ แรงในการตดั ชักลากไม้ ซึง่ ใชน้ ้ามันเปน็ เช้ือเพลิง บางครั้งอาจมนี า้ มันรวั่ ออกมา สาหรบั ไม้ท่ตี ดั แล้ว
รอการชักลาก เม่ือฝนตกมาก็ชะล้างน้ามันที่หกและสารพวกแทนนิน (tannin) และเรซิ่น (resin) จากเน้ือไม้ลงสู่
แหล่งน้าสาหรับการตัดถนนผ่านป่าไม้เพื่อนารถยนต์เข้าไป ชักลากไม้ออกมาน้ันก็เป็นสาเหตุให้ดินพังทลายได้ง่าย
เน่ืองจากต้องตัดไม้ออกและทาการปรับพ้ืนท่ี ทาให้น้าในลาธารมีปริมาณตะกอนเพ่ิมข้ึน นอกจากนี้ยังมีการตัดไม้
ทาลายป่า ซ่ึงเป็นปัจจัยที่ชัดเจน ประการหนึ่งในการทาให้น้ามีคุณภาพท่ีเสือ่ มโทรม กล่าวคือก่อให้เกิดการชะล้าง
ข้ึนที่บริเวณผิวหน้าดิน และพัดพาส่ิงปฏิกูลลงสู่แหล่งน้าซึ่งส่ิงเหล่าน้ีทาให้คุณสมบัติของน้าเดิมเปลี่ยนแปลงไปทั้ง
คุณสมบัติทาง กายภาพเคมี หรือชีวภาพ หรือในทุกกรณีรวมกัน สาหรับการปลูกและบารุงรักษาป่าอันเนื่องจาก
ป่าธรรมชาติถูกทาลายไปมาก ตอ้ งมกี ารปลูกทดแทนโดยปลูกป่าท่ีมีคุณค่าทางเศรษฐกิจทีเ่ ปน็ ไม้โตเรว็ จึงมีการใส่
ปยุ๋ และใสย่ าฆา่ แมลง ซง่ึ อาจจะมบี างสว่ นตกคา้ งหลงเหลืออยู่ เมอื่ ฝนตกลงมากช็ ะเอาสารเคมี เหลา่ น้ีลงส่แู ม่น้าได้
ด้วย
5) การทาเหมอื งแร่
กิจกรรมเหมืองแร่ส่วนใหญ่ทาให้น้ามีความขุ่นข้นและอาจมีการปนเปื้อนของแร่ธาตุจานวน มากจากการ
เปิดหน้าดินและระเบิดหินแหล่งแร่ ซึ่งเม่ือถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้าอาจเป็นอันตรายต่อสัตว์น้าและมนุษย์ท่ีใช้
ประโยชน์จากแหล่งน้าสามารถแบ่งเหมืองแร่ออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการดาเนินงาน คือ เหมืองฉีดและ
เหมืองขุด โดยเหมืองฉีดทาให้น้าขุ่นและมีตะกอนในแม่น้าลาธาร กองเศษหินและแร่อาจถูกชะล้างไหลลงสู่ลาธาร
นอกจากนี้ถนนท่ีตัดเข้าไปในเหมืองเพื่อความสะดวกในการขนส่ง ลาเลียงแร่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้ดินพังทลายได้
งา่ ย และโรงงานถลงุ แรท่ ี่อยู่ตามริมฝ่ังแมน่ ้าก็อาจทาใหน้ ้าสกปรกไดโ้ ดยการท้ิงขยะมูลฝอยหรือแร่ลงในลาน้าทาให้
น้ามีคุณภาพเสื่อม สาหรับเหมืองขุดทาให้ดินตาม ชายฝั่งพังทลายลงเกิดตะกอนส่งผลทาให้ลาธารตื้นเขิน การทา
เหมืองนอกจากจะทาความเสียหายแก่แหล่งน้าแล้ว ยังทาให้พ้ืนที่ในบริเวณน้ันเสียหายไปด้วย เนื่องจากต้องโค่น
ตน้ ไม้ในบริเวณน้ันออกทัง้ หมด
17
6) การกอ่ สร้าง
การตัดถนน สร้างบา้ น สร้างเข่ือน จาเปน็ ต้องปรับดินให้เรียบโดยใชร้ ถไถและบดใหเ้ รียบ หรือใชร้ ถตักดิน
ส่วนหนา้ ออก สิ่งเหล่านี้เป็นตัวการทาใหด้ นิ ถูกรบกวนง่ายต่อการพังทลายทาให้เกิด ตะกอนในลาธารมากขน้ึ
7) การสาธารณสุข
สถานท่ีบาบัดรักษาทางด้านสาธารณสุข เช่น โรงพยาบาล สถานพยาบาล หรือคลินิก อาจปล่อยน้าเสีย
โดยเฉพาะอย่างย่ิงเช้ือโรคประเภทต่าง ๆ ลงสู่แหล่งน้าเสมอ ถึงแม้ว่าจะมีการควบคุมและทาความสะอาดน้าด้วย
การบาบัดน้าเสียกอ่ นทิ้งก็ตาม แตก่ ็ยงั มีรายงานท้ังในและต่างประเทศว่ามีเช้ือ โรคปะปนมากับนา้ เสีย เชน่ บดิ อหิ
วาต์ และไทฟอยด์ เป็นตน้ นอกจากนี้อาจมสี ารพิษชนดิ ตา่ ง ๆ ปนเปอื้ นมาดว้ ยเช่นกนั
8) ฟารม์ ปศสุ ตั ว์
การเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่มักจัดพ้ืนที่ให้อยู่ใกล้กับแหล่งน้าเพราะสะดวกต่อการที่สัตว์ท่ีจะด่ืมน้าได้ง่ายและ
สะดวกต่อการกาจัดของเสีย แต่มีผลเสียท่ีเกิดขึ้นหลายประการ ได้แก่ สัตว์จะถ่ายของ เสียลงสู่แหล่งน้าทาให้เกิด
การเน่าเสียได้ โดยเฉพาะถ้ามีสัตว์เป็นจานวนมากแล้วก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ท่ีจะก่อให้เกิดผลเสียหายมากย่ิงข้ึน
ตามลาดับ เช่น ฟาร์มเล้ียงสุกร แพะ กระชังปลา การระบายน้าท้ิงจากบ่อเลี้ยงปลา และนากุ้ง เป็นต้น สัตว์อาจ
แทะเล็มกินหญ้าจนทาให้ความสามารถในการคลุมดินของหญ้าลดลง การพังทลายของดินอาจเกิดขึ้นได้ด้วย
อิทธิพลของกระบวนการชะล้าง ท้ังอนุภาคดินและของเสียทั้งหลาย จะเคลื่อนย้ายตัวลงสู่แหล่งน้าได้โดยตรง
นอกจากน้ีการที่มีสัตว์เข้าไปเลี้ยงในพื นท่ีใด ๆ อาจจะมีผล ส่งเสริมท าให้เกิดการแพร่ระบาดของเช้ือโรคได้
เพราะสาเหตุของโรคบางชนิดเกิดจากสัตว์เป็นแหลง่ แพร่เชื้อ เมือ่ สตั ว์ถา่ ยมูลอาจนาเชื้อโรคเขา้ สู่แหล่งน้าหรือเม่ือ
มนุษยร์ บั ประทานเนอื้ สัตว์กจ็ ะไดร้ ับเช้ือโรคติดตอ่ กนั ไปอีกต่อหนงึ่
9) การพกั ผอ่ นหย่อนใจ
ความสกปรกของน้าซึ่งอาจเกิดข้ึนได้ด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น การโยนเศษวัตถุ เศษส่ิงของ
ลงสู่แม่น้าลาคลอง การลอยกระทงแล้วท้ิงให้ลอยเกะกะอยู่ในน้าหรือการถ่ายเทของเสีย ออกไปจากสถานท่ี
พักผ่อนหย่อนใจ เช่น สวนสัตว์ สถานเรงิ รมย์ สนามเด็กเล่น และสนามกอล์ฟ ลว้ นทาให้นาสกปรกแทบทั้งสิ้น 10)
น้าเสียจากท่ีกาจัดขยะมูลฝอย เทศบาลมักนาขยะไปกองท้ิงไว้อย่างไม่ถูกวิธีและขาดความรับผิดชอบ เป็นท่ีรวม
ของเศษ อาหาร ของเน่าเสีย เชื้อโรค สารพิษ เมื่อฝนตกก็ชะไหลลงสู่แหล่งน้าหรือน้าชะขยะซึมสู่ใต้ดินและอาจ
เกิดการปนเปอ้ื นในน้าใตด้ นิ อกี ด้วย
18
ประเภทของสารมลพิษทางนา้ (water pollution causes and effects)
1) จุลินทรีย์ (micro organism) เป็นส่ิงมีชีวิตท่ีพบได้ท่ัวไปท้ังในแหล่งน้าธรรมชาติแหล่งน้าใต้ดิน
ตลอดจนนา้ ทงิ้ จากอาคารบ้านเรอื นแหล่งชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม ไดแ้ ก่ แบคทีเรยี ไวรัส และโปรโตซัว เปน็
ตน้ ซง่ึ เป็นสาเหตขุ องโรคไข้รากสาด โรคบิด อหวิ ตกโรค และไข้ไทฟอยด์ ในการ ตรวจสอบคุณภาพน้าทางด้านจุล
ชีววิทยาเพื่อนาน้าไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนตรวจสอบคุณภาพน้าก่อนท้ิงเพ่ือหาปริมาณของส่ิงสกปรกของ
น้าที่เกิดจากของเสียท่ีมนุษย์และสัตว์นิยมใช้แบคทีเรียเป็นดัชนีชี มลภาวะมลพิษ (indicater of pollution) ที่
สาคัญที่สุดคือ Coliform group ได้แก่ Escherichia coil พบจานวนมากในส่ิงแวดล้อมและพบได้ในอุจจาระ
สตั ว์เลอื ดอ่นุ
2) สารอนิ ทรีย์ (organic substances) รวมความถงึ สารอินทรยี ์สงั เคราะห์ ได้แก่ ยาฆ่าแมลง สารเคมีท่ใี ช้
ในโรงงาน ผงซักฟอก และสารอนิ ทรียอ์ น่ื ๆ ทีเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ คน สัตว์ และพืช เช่น ฟีนอล สารอินทรีย์พวกโปรตนี
คาร์โบไฮเดรต ยูเรีย เป็นต้น สารอินทรีย์เหล่านี มีท้ังพวกที่สามารถสลายได้ด้วย จุลินทรีย์และท่ีไม่สามารถย่อย
สลายได้โดยจุลินทรีย์ สาหรับพวกท่ีย่อยสลายได้การย่อยสลายต้องอาศัย แบคทีเรียที่ใช้ออกซิเจนซึ่งละลายในน้า
เมื่อออกซิเจนในแหล่งน้าหมดไปจะทาให้แบคทีเรียท่ีไม่ใช้ ออกซิเจนเจริญเติบโตและเพิ่มจานวนอย่างรวดเร็ว จน
ทาให้เกดิ น้าเนา่ และมีกลน่ิ เหมน็
3) สารอนนิ ทรีย์ (inorganic substances) รวมทงั้ แรธ่ าตุตา่ ง ๆ เช่น เกลอื ของโลหะต่าง ๆ กรด เบส และ
แรธ่ าตตุ ่าง ๆ ทพี่ บไดท้ วั่ ไปในแหล่งน้าธรรมชาติ ได้แก่ เกลือคลอไรด์ซลั เฟตและไบคาร์บอเนตของโลหะแคลเซียม
โซเดียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียม เป็นต้น ซึ่งหากมีปริมาณมาก เกินไปจะก่อให้เกิดมลพิษทางน้าได้ แต่
บางคร้ังแม้ไม่เป็นอันตรายต่อการดารงชีพของมนุษย์และสัตว์ แต่อาจไม่เหมาะท่ีจะใช้ในกระบวนการอุตสากรรม
เพราะอาจเกิดตะกอนในหม้อน้าได้แหล่งของสารอนินทรีย์ อาจจะมาจากน้าทิ้งจากโรงกลั่นน้ามัน โรงงานผลิตปิ
โตรเคมีคัล การทาเหมืองแร่ แต่งแร่ และน้าท้ิงจาก แหล่งเกษตรกรรมท่ีอาจจะมียากาจัดวัชพืชพวกสารหนูหรือ
ไซยาไนด์ ซ่ึงอาจมปี รอทและตะกวั่ เป็น องคป์ ระกอบ
4) สารประกอบไนโตรเจนและฟอสฟอรัส (nitrogen and phosphorus compounds) สารประกอบนี้
เป็นอาหารหลักของพืชซึ่งพบมีอยู่ปริมาณเลก็ น้อยในน้าธรรมชาติ สารเหล่าน้ีอาจปะปนอยู่ ในน้าท้ิง หรือน้าเสียท่ี
ออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือการชะล้างจากกิจกรรมทางเกษตร สารประกอบของไนโตรเจนและ
ฟอสฟอรสั เป็นปยุ๋ ของพืชน้าทุกชนดิ โดยเฉพาะพวกสาหร่าย (algae) เม่อื สารประกอบดงั กลา่ วปนเป้อื นอยู่ในแหล่ง
น้าในปริมาณมากจะทาให้เกิดสภาวะการเจริญของสาหร่ายมาก เกินไป เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า อัลจี บลูม (algae
19
bloom) หรือ ยูโทรฟิเคชั่น (eutrophication) ซ่ึงจะส่งผลทาให้ปริมาณออกซิเจนในน้าลดลงจนท่ีสุดอาจเกิดการ
เน่าเสยี ของแหล่งนา้ ได้
5) ความร้อน (thermal) ส่วนใหญ่เกิดจากการกระบายน้าหล่อเย็นจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น
โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากน้ามันหรือถ่านหิน และโรงงานถลุงเหล็ก เป็นต้น เม่ือปล่อยน้าท่ี อุณหภูมิสูงจาก
โรงงานเหล่านี้ลงสู่แหล่งน้าจะทาให้อุณหภูมิของแหล่งน้าสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในน้าลดลง ซ่ึงจะมี
ผลกระทบต่อการดารงชวี ติ และการแพรพ่ นั ธุข์ องสัตวน์ ้า และสง่ิ มีชวี ิตอืน่ ๆ
6) น้ามันและสิ่งสกปรก (oil and floating material) น้ามันจะปกคลุมผิวน้าทาให้ออกซิเจน จากอากาศ
ละลายลงสู่น้าได้น้อยลง ส่งผลต่อการดารงชีพของสัตว์น้าโดยตรง และทาให้สิ่งมีชีวิตที่หากินใน บริเวณแหล่งน้า
ดงั กล่าวได้รบั อนั ตรายอีกด้วย
7) สารกัมมันตรังสีได้แก่ สารมลพิษที่มีการสลายตัวให้รังสีแอลฟา เบตา แกมมา หรือเอ๊กซ์ ส่วนมากสาร
มลพษิ เหลา่ นี้ได้มาจากแร่เชื้อเพลิงปรมาณูและกระบวนการผลติ หรือจากโรงงานปรมาณทู ่ีมีการใช้สารกัมมันตรังสี
แล้วปล่อยสารมลพษิ เหล่าน้ีไปในแหล่งน้า
การป้องกนั และแก้ไขภาวะมลพษิ ทางน้า (water pollution solutions)
1) ดาเนินการป้องกันและแก้ไขอย่างเป็นระบบทั้งพ้ืนท่ีลุ่มน้าโดยมีการจัดลาดับความสาคัญ ของปัญหา
และการจดั ทาแผนปฏบิ ัติการป้องกันและแก้ไขปญั หาจากตน้ นา้ ถึงปากแมน่ ้า
2) ควบคุมภาวะมลพิษจากแหล่งกาเนิดประเภทต่างๆ ได้แก่ ชุมชนและอุตสาหกรรม โดยการ ควบคุมน้า
ทง้ิ ให้เปน็ ไปตามมาตรฐาน
3) การลดภาวะมลพิษจากแหลง่ กาเนดิ ได้แก่ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีหรือการผลติ ท่ี สะอาดและนา
ของเสยี ไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์
4) ควบคุมการใช้ที่ดินท่ีใกล้แหล่งน้าได้แก่ กาหนดแหล่งน้าดิบเพ่ือควบคุมและฟ้ืนฟูและจัดเขตท่ีดิน
สาหรับกลุม่ อตุ สาหกรรมทก่ี ่อมลพิษ
5) กาหนดให้มีการสร้างระบบบาบัดน้าเสียรวมของชุมชน โดยต้องสามารถรวบรวมน้าเสียเข้า สู่ระบบได้
ไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 70 ของนา้ เสยี
6) ใชม้ าตรการใหผ้ กู้ อ่ มลพษิ ตอ้ งเป็นผู้จ่ายคา่ บาบดั โดยการส่งเสริมใหม้ ีการจัดเกบ็ ค่าธรรมเนยี มบาบดั น้า
เสียจากชุมชน
20
7) สง่ เสรมิ ใหภ้ าคเอกชนเข้ามามสี ว่ นรว่ มและสนบั สนุนในการก่อสรา้ งระบบบาบัดน้าเสีย
8) ปรับปรุงกฎหมายและเข้มงวดกับมาตรการที่ให้ภาคอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนาน้าเสียเข้าสู่
ระบบบาบัดน้าเสียรวมก่อนปลอ่ ยน้าเสียลงสู่แหล่งนา้
9) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้แทนชุมชน ประชาคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วน ร่วมในการ
ปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาในพื้นท่ี
10) รณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับความรู้และเกิดจิตสานึกเก่ียวกับการป้องกัน และแก้ไข
ปัญหาภาวะมลพษิ ทางน้าอย่างตอ่ เนอ่ื ง
มลพิษทางดิน (soil pollution)
ความหมายของมลพิษทางดนิ
ดนิ ในธรรมชาติปกตจิ ะยอมใหส้ ารที่เป็นพิษอยู่ได้ในระดบั หนึ่ง โดยไม่ทาใหโ้ ครงสร้างทางเคมี ฟสิ กิ ส์ และ
ชีววิทยาของดินเปล่ียนไป และดินยังสามารถให้ประโยชน์ต่อมนุษย์ พืช หรือสัตว์ได้ เหมือนเดิม แต่เมื่อปริมาณ
สารพิษในดินมีเพิ่มมากขึ้นจนทาให้โครงสร้างทางเคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา ของดินเปล่ียนไปจนไม่สามารถให้
ประโยชนแ์ กม่ นุษย์ สตั ว์ และพชื ได้ดีเหมือนเดมิ ดินในสภาพ ดังกล่าวจึงเรยี กว่า “มลพษิ ทางดนิ ” ถ้ามสี ารมลพิษ
ในดินมากเกินขีดจากัดอาจมีผลทาให้พืชหยุดการเจริญเติบโต ตาย หรือสารพิษอาจจะถูกพืชดูดซึมเข้าไป อาจ
สะสมในห่วงโซ่อาหาร เช่น ในผัก ผลไม้ เนื อสัตว์ และอาจเคล่ือนย้ายออกไปตามกระบวนการทาให้ดินขาดความ
อดุ มสมบรู ณ์ดินจงึ มีศกั ยภาพ ในการใหผ้ ลผลติ ลดลงซ่งึ อาจจัดเปน็ มลพิษทางดนิ เชน่ กนั
21
เกษม จันทร์แก้ว (2530) ได้ให้คานิยามของคาว่า มลพิษดิน ว่าหมายถึง ดินที่เส่ือมค่าไปจาก เดิมและ/
หรือดินที่มีสารมลพิษเกินขีดจากัดจนเปน็ อันตรายต่อสุขภาพและพลานามัย ตลอดจนการเจริญเติบโตของพืชและ
สัตว์ทง้ั โดยทางตรงและทางอ้อม
จากที่กล่าวมาข้างต้นจึงสามารถสรุปได้ว่า มลพิษทางดิน หมายถึง สภาวะการปนเปื้อนของดิน ด้วยสาร
มลพิษมากเกินขีดจากัด จนมีอันตรายต่อสุขภาพอนามัย ตลอดจนการเจริญเติบโตของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทั้งพืช
และสตั ว์
แหล่งกาเนดิ มลพษิ ทางดิน (soil pollution sources)
มลพษิ ในดินอาจเกิดจากธรรมชาตหิ รือกิจกรรมของมนุษย์ซึ่งต้นเหตุของการเกิดมลพิษทาง ดนิ อาจมหี ลาย
กรณี ไดแ้ ก่
1) เกิดจากหินต้นกาเนิด (parent materials) แร่ประกอบหินบางชนิดเมื่อสลายตัวอาจทาให้ คุณสมบัติ
ของดินเปลีย่ นไป อาจทาให้ดินมีความพษิ มากขึ้น เช่น ดินเปน็ กรดหรือดินเปรี้ยว ดินเคม็ ดินมี สารกัมมันตภาพรงั สี
และดนิ มีการปนเปื้อนโลหะหนัก เป็นตน้
2) เกิดจากปฏิกิริยาชีวเคมีในดิน เช่น ดินตะกอน ดินที่มีอินทรีย์วัตถุสะสมมาก และมีน้าท่วมขังเสมอ
ขบวนการย่อยสลายสารอินทรียใ์ นดินจะทาให้เกิดสภาพกรดสะสมในดนิ ทาให้ดินเป็นกรดได้ เช่น ดินในที่ลุ่มภาค
กลาง และดนิ พลุ เป็นต้น
3) เกิดจากปุ๋ยเคมี ธาตุปุ๋ย หรือธาตุอาหารของพืชโดยปกติจะมีอยู่ในดินเสมอไม่มากก็น้อย เช่น ดินในป่า
ไม้ท่ีสมบูรณจะมีธาตุปุ๋ยมาก สาหรับดินท่ีใช้ประโยชน์เป็นเวลานานจะมีปริมาณธาตุอาหาร น้อยลง นอกจากนี้
แนวทางหน่ึงในการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอแก่ความต้องการบริโภคเมื่อประชากรเพิ่มข้ึน ก็คือการเพิ่มปุ๋ยในดิน
ปุ๋ยเคมีจึงได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะให้ผลตอบสนองรวดเร็ว แต่การใช้ปุ๋ยเคมี โดยไม่ระมัดระวังจะเกิดผล
เสียหายกับดินในระยะยาวได้เน่ืองจากมีกระบวนการต่าง ๆ มากมายในการใช้ ปุ๋ยเคมี เช่น การแปรรูปของธาตุ
(transformation) การแลกเปลี่ยนไอออน ( ion-exchange) การดูดซับ (absorption) การตกตะ ก อน
(precipitation) การตรึงธาตุ (fixation) การดูดอาหารโดยรากพืช (absorption by plant root) และการสูญเสยี
ธาตุอาหารในสภาพแก๊ส (gaseous losses) เป็นต้น ดังนั้นการใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานานอาจ
เกิดผลเสียหายกับดินได้ เช่น ปุ๋ยฟอสฟอรัสจะทาให้ ฟอสเฟตในดินตกค้างมาก ปุ๋ยยูเรียจะทาให้ดินเป็นกรดมาก
ขึ้น ปุ๋ยแอมโมเนียจะทาให้ดินเป็นกรดมากข้ึน ปุ๋ยที่มีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบจะทาให้โครงสร้างทางฟิสิกส์ของ
ดินเลวลงและแกไ้ ขยาก ปยุ๋ ทีม่ ีแคลเซียมและแมกนเี ซยี มเป็นองค์ประกอบจะทาให้คณุ สมบตั ทิ างฟิสิกสข์ องดินดีข้ึน
22
ปุ๋ย N-P-K ถ้าใส่ในปริมาณท่ีพอดีต่อกิจกรรมของจุลลินทรีย์ในดินดีแต่ถ้าใส่มากเกินไปจะทาให้กิจกรรมของ
จลุ นิ ทรีย์ลดลง
4) เกิดจากการใช้วัตถุมีพิษทางการเกษตร ในการทาการเกษตรแบบใหม่มีการใช้วัตถุ มีพิษเพื่อป้องกัน
กาจัดศัตรูพืชหรือสัตว์อย่างแพร่หลาย เช่น สารฆ่าแมลง สารกาจัดศัตรูพืช ยาจากัดหนู และยาฆ่าเช้ือรา เป็นต้น
ซ่ึงมีวัตถุมีพิษเหล่าน้ีจะมีผลต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ สัตว์ และพืชอย่างมากบางชนิดสลายตัวช้า บางชนิด
สลายตวั เร็ว ชนิดท่สี ลายตวั ชา้ เมอ่ื ตกค้างในดนิ โอกาสที่จะเขา้ ไปในหว่ งโซ่ อาหารโดยผ่านพชื และจะเกิดการสะสม
มลพษิ ไปยังผบู้ รโิ ภคได้
5) การท้ิงของเสียจากระบบโรงงานอุตสาหกรรมและจากชุมชน ได้แก่ น้าเสีย และขยะ มูลฝอย ก็เป็น
สาเหตุหนึ่งที่ทาให้ดินเสียได้ด้วย ท้ังนี้เน่ืองจากขีดความสามารถในการกาจัดของเสยี จากโรงงานอุตสาหกรรมและ
ชุมชนยังไม่เพียงพอ ทาให้กองขยะและน้าเน่าเสียจากแหล่งดังกล่าวก่อให้เกิด ความเสียหายแก่ดินได้เม่ือมีการ
ปลอ่ ยลงสู่ดิน
ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางดนิ (soil pollution effects)
ปัญหามลพิษทางดิน เกิดข้ึนเมื่อมีการทาลายหรือเกิดการถดถอยของคุณภาพหรือคุณค่าของ สภาวะใด
สภาวะหนึ่ง สารมลพิษที่ก่อให้เกิดมลภาวะล้วนแล้วแต่เป็นสารที่เคยเป็นประโยชน์ หรือมีการนาไปใช้ประโยชน์
ตลอดจนเป็นผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นจากการผลิตกระบวนการผลิตหรือแม้กระท่งั เป็นสารตกค้างเปน็ สารเหลือท้ิงจาก
กิจกรรมการผลิตทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อมนษุ ย์มาก่อนท้ังส้ิน สารมลพษิ บางชนดิ กย็ ากแก่การขจัด กาจดั หรอื ควบคุมจึง
ก่อใหเ้ กิดปญั หาตดิ ตามตอ่ เนื่องตามมาดังต่อไปน้ี
1) ดินเป็นมลสารก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ การฟุ้งกระจายของเม็ดดินในรูปของฝุ่น ก่อให้เกิด
ปัญหามลพิษทางอากาศ ความรุนแรงของปัญหาและขอบเขตของปัญหาข้ึนอยู่กับสภาพ อุตุนิยมวิทยา รวมท้ัง
ขนาดของเม็ดดินท่ีฟุ้งกระจาย ฝุ่นก่อให้เกิดปัญหามลภาวะทางสายตาทาให้พืชลดประสิทธิภาพในการสังเคราะห์
แสง และทาใหร้ ะบบทางเดินหายใจของมนษุ ยม์ ีปญั หา
2) ดินเป็นมลสารก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางน้าเมื่ออนุภาคดินถูกพัดพาไปสู่แหล่งน้าโดยเง่ือนไขตาม
ธรรมชาติหรือเง่ือนไขท่ีกาหนดโดยมนุษย์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแหล่งน้าคือ แหล่งน้าต้ืนเขิน ปริมาณน้าในแหล่งน้า
ลดลง ผลท่ีตามมาคือการคมนาคมไม่สะดวกโอกาสการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้าลดลงส่ิงมีชีวิตในน้าอาจมีปัญหา
ในการดาเนินชีวิตหรือลดปริมาณลงการกองมูลสัตว์และกากตะกอนที่ผ่านขบวนการบาบัดน้าเสียไว้บนดิน ก็อาจ
เปน็ สาเหตมุ ลพษิ ทางน้าได้เชน่ กันหากว่ามลู สตั ว์และกากตะกอนเหลา่ นั้นถูกพัดพาไปสแู่ หล่งน้า
23
3) ดนิ เป็นแหลง่ เพาะพันธุ์ของเช้ือโรคและแมลงท่ีเป็นพาหะ โดยแหล่งท้ิงขยะมูลฝอยเปน็ แหลง่ สะสมเช้ือ
โรคและพร้อมท่ีจะแพร่กระจายสู่ชุมชนได้ถ้าหากมีพาหะนาโรคในขณะเดียวกันแมลงนาโรค เช่น แมลงวัน แมลง
สาป และหนูก็อาศัยแหล่งเหล่าน้ีหาอาหารและเพาะพันธ์ุซ่ึงจะทาให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวเส่ียงต่อการติด
โรคต่าง ๆ เชน่ อหวิ าตกโรค ไทฟอยด์ บิด และพยาธิต่าง ๆ เปน็ ต้น
4) ดินเป็นพิษเป็นสภาวะที่ดินไม่สามารถทาหน้าที่รองรับของเสียและสารพิษต่าง ๆ ซ่ึงอาจจะเป็น
สารอินทรีย์หรือสารอนินทรีย์โดยวิธีการดูดซับไว้ที่อนุภาคของดิน ปัญหาติดตามต่อเนื่องที่เกิดข้ึน ตามมามีท้ัง
ปัญหาทางตรงและปัญหาทางอ้อม เช่น ชนิด ปริมาณ และกิจกรรมจุลินทรีย์ดินจะได้รับ ผลกระทบกระเทือน
โดยตรงในลักษณะการลดลงของชนิด ปริมาณ และกิจกรรมต่าง ๆ ทาให้ ความสามารถในการย่อยสลาย
แปรเปลี่ยนไป พืชที่ปลูกบนพ้ืนที่ดินเป็นพิษจะมีปัญหาเรื่องคุณภาพโดยพืชจะดึงดูดสารพิษบางชนิดไปสะสมไว้ท่ี
ส่วนต่าง ๆ ของพืช เมื่อมนุษย์หรือสัตว์นาพืชเหล่านั้นมาบริโภคก็จะก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพนอกจากนี้ ยัง
ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตที่ลดลงด้วยเน่ืองจากสารพิษบางชนิดก่อให้เกิดสภาวะท่ีพืชไม่สามารถดูดธาตุอาหารพืช
จากดินได้(สิริพร แก่นสียา, 2549) หรือก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อพืชเมื่อมีการดูดซับสารพิษเหล่านั้นไปสะสมใน
ปรมิ าณท่มี ากจนเกินกว่าทพ่ี ืชจะทนทานได้
การป้องกันและแกไ้ ขภาวะมลพษิ ทางดนิ (soil pollution solutions)
1) การใช้ที่ดินในการเกษตรกรรม ควรหลีกเล่ียงการใช้สารเคมีและควรบารุงรักษาดินด้วย วิธีการทาง
ธรรมชาติเชน่ การปลกู พชื คลุมดิน การปลูกพืชหมนุ เวียน หรือปลกู พืชหลายชนดิ สลับกนั การปลกู พชื ในแนวระดับ
ตามไหลเ่ ขาจะช่วยรักษาการชะลา้ งพงั ทลายของดินและคณุ สมบัติของดนิ ได้
2) ไม่ควรตดั ไมท้ าลายป่าเพื่อทาไร่เลื่อนลอย ซงึ่ จะมีผลทาให้เกดิ ความเสียหายกบั ดินได้
3) การใช้ยากาจัดศัตรูพืชและสัตว์เพ่ือลดและทาลายศัตรูของพืชและสัตว์ในพ้ืนที่ทาการเกษตรนั้นไม่
สามารถป้องกันและกาจัดได้อย่างถาวรตลอดไป แต่เป็นการป้องกันเพียงช่ัวคราวเท่าน้ัน ดังนั้นการใช้ยากาจัด
ศตั รพู ชื ให้ถูกวธิ ี ควรใช้ในเวลาและสถานที่ทีเ่ หมาะสม จงึ จาเปน็ ต้องคานึงถงึ ผลกระทบจากการใชอ้ ย่างยิ่ง เพราะ
สารเคมีเหล่าน้ีมีความเป็นพิษสูง สามารถคงตัวอยู่ในดิน และสามารถ สะสมอยู่ในเน้ือเยื่อของพืชได้ และจะส่งผล
กระทบต่อเนื่องไปยังระบบห่วงโซ่อาหาร ดังนั้นการลดปริมาณการใช้และหันมาใช้สารสกัดจากธรรมชาติหรือวิธี
ทางธรรมชาตเิ พ่ือกาจัดศตั รพู ืชและสัตว์จะช่วยลดภาวะมลพษิ ทางดนิ ได้
4) ขยะมูลฝอยจากชุมชนเปน็ สาเหตุหนึ่งท่ีมีผลทาให้เกดิ มลพิษทางดิน จงึ ควรใช้วธิ ีกาจดั อย่างถูกต้อง โดย
ควรมีการแยกประเภทขยะเพื่อง่ายต่อการเก็บและนาไปกาจัดให้ถูกวิธีจัดที่ท้ิงขยะไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ อย่าง
เพียงพอขยะที่เป็นสารอินทรีย์ควรหาทางเปลี่ยนแปลงให้นามาใช้ประโยชน์ เช่น ทาปุ๋ยหมักซ่ึงแต่ละบ้านสามารถ
24
ทาได้นอกจากนยี้ งั มีการนาเอาขยะมูลฝอยไปถมที่ล่มุ ถา้ ดาเนนิ การโดยถูกวธิ ีแลว้ กจ็ ะเปน็ ผลดี เพราะนอกจากการ
ถมท่โี ดยตรงแลว้ ขยะมลู ฝอยบางประเภทยงั ทาให้ดินดีขน้ึ ดว้ ย ส่วนขยะอนั ตรายจากโรงงานอตุ สาหกรรมควรกาจัด
ให้ถูกหลักวชิ าการ
มลพิษทางเสียง (noise pollution)
ความหมายของมลพษิ ทางเสียง
มลพิษทางเสียง หมายถึง สภาวะท่ีมีเสียงดังเกินปกติหรือเสียงดังต่อเน่ืองยาวนานจนก่อให้เกิด ความ
ราคาญหรือเกิดอันตรายต่อระบบการได้ยินของมนุษย์และหมายรวมถึงสภาพแวดล้อมที่มีเสียง รบกวนทาให้เกิด
ความเครียดท้ังทางร่างกายและจิตใจ ทาให้ตกใจ หรือบาดหูได้เช่น เสียงดังมากเสียง ต่อเนื่องยาวนานไม่จบส้ิน
เป็นต้น
มลพิษทางเสียงเป็นหน่ึงในปัญหาส่ิงแวดล้อมของเมืองใหญ่ท่ีเกิดพร้อมกับการเปล่ียนแปลง ทาง
วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและวัฒนธรรม รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดังจาก ยานพาหนะที่ใช้
เคร่ืองยนต์เสียงดัง เคร่ืองจักร การก่อสร้าง เคร่ืองขยายเสียง โทรทัศน์ วิทยุ อุปกรณ์ ส่ือสาร เสียงเรียกเข้า
โทรศัพทม์ อื ถอื รวมทงั้ เสียงสนทนาท่ีดงั เกนิ ควรและไม่ถูกกาลเทศะ เปน็ ตน้ ซ่ึงองคก์ ารอนามยั โลกได้กาหนดระดับ
เสียงเป็นพิษหรือดังเกินไปไว้ท่ี 85 เดซิเบลเอ และระดับเสียงท่ี บุคคลทนรับฟังได้คือ 120 เดซิเบลเอ สาหรับ
ประเทศไทยกาหนดค่ามาตรฐานระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไว้ท่ี 70 เดซิเบลเอ ตามประกาศคณะกรรมการ
สงิ่ แวดล้อมแห่งชาติฉบับที่ 15 (พ.ศ.2540) เร่ืองกาหนด มาตรฐานระดับเสยี งโดยทวั่ ไป การกาหนดว่าเสียงใดเป็น
เสียงรบกวนข้ึนอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น สภาพอารมณ์ขณะรับฟังเสียง ลักษณะของงาน สถานท่ี เวลา ความ
ทนทาน และความดังของเสียง เป็นต้น หากพบว่าการยืนห่างกันประมาณหน่ึงช่วงแขนแล้วพูดคุยกันด้วยระดับ
เสียงปกติแล้วไมไ่ ด้ยินหรือไม่เขา้ ใจกันแสดงวา่ บรเิ วณน้ันมีเสยี งดังถงึ ขั้นอนั ตรายตอ่ ระบบการได้ยิน
25
แหลง่ กาเนดิ มลพิษทางเสยี ง (noise pollution sources)
แหลง่ กาเนดิ ของเสียงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้ดังนี้คอื
1) เสยี งจากธรรมชาติ หมายถึงเสยี งทีเ่ กิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เชน่ เสียงฝนตก ฟา้ รอ้ ง ฟ้าผา่
2) เสยี งจากสัตว์ เช่น เสยี งสุนขั เห่าหอน เสยี งไก่ขนั และเสยี งนกร้อง เปน็ ตน้
3) เสยี งท่ีเกิดจากการกระทาของมนุษย์ และมีผลตอ่ สุขภาพร่างกายหรือจติ ใจมนุษย์แบ่งตามแหล่งกาเนิด
ของเสียงไดเ้ ปน็ 6 ลกั ษณะ คือ
3.1) การคมนาคมขนส่ง มีการใช้รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์ รถบรรทุก เครื่องบิน และ
รถไฟ เพ่ิมมากขน้ึ ทุกวัน ทาใหร้ ะดบั เสยี งเพมิ่ มากขนึ้
สานักงานคณะกรรมการส่งิ แวดล้อมแห่งชาติได้กาหนดคา่ ระดับเสียงในยา่ นทอ่ี ยู่อาศัยในเวลากลางวันและ
กลางคืนไว้ว่าไม่ควรเกิน 60 เดซิเบล และ 55 เดซิเบล ตามลาดับสาหรับค่า ระดับเสียงที่ประกาศโดยพนักงาน
จราจรทัว่ ราชอาณาจักรอันเกิดจากเครื่องยนต์ หรือสว่ นหนึ่งสว่ นใดของเครื่องยนต์ในสภาพปกติคือไม่เกนิ 75 เดซิ
เบล เม่ือวัดระดับเสียงด้วยเคร่ืองวัดเสียงในระยะห่าง 7.5 เมตรโดยรอบรถ ความดังของเสียงที่เกิดขึ้นจะมากหรือ
น้อยขึ้นอยู่กับชนิดของยานพาหนะ เสียงจาก ยานพาหนะท่ีก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงส่วนใหญ่มาจากบริเวณท่ีมี
การจราจรหนาแน่น ถ้าจานวนยานพาหนะในท้องถนนมากจะทาให้ความดังของเสียงเพ่ิมข้ึน และท่ีสาคัญคือ
รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ถูกปรับแต่งเคร่ืองยนต์เพื่อให้มีเสียงดังขึ้น เป็นสาเหตุที่เสริมให้มลพิษทางเสียงทวี
ความรุนแรงมากขึ้น ผู้ท่ีมีโอกาสได้รับอันตรายจากมลพิษทางเสียง ได้แก่ ผู้ที่อาศัยในบริเวณที่มีการจราจร
หนาแนน่ หรือบริเวณใกล้สนามบนิ และผู้ทต่ี ้องเดินทางหรอื อยู่บนท้องถนนเป็นเวลานานทุกวัน
3.2) สิ่งก่อสร้างอาคารสถานที่ การก่อสร้างบ้านเรือนสร้างถนนและก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงจากการ
ทางานของเครื่องจักรซ่ึงส่วนใหญ่เป็นเสียงที่มีความดังมาก เช่น เสียงจากการขุดเจาะถนน เสียงจากการตอก
เสาเข็ม เครื่องเจาะคอนกรีต และเสียงจากเครอ่ื งสบู น้า เปน็ ตน้
3.3) เสียงในชุมชนที่อยู่อาศัยหรือย่านธุรกิจการค้า เสียงในชุมชนท่ีอยู่อาศัยหรือย่านธุรกิจการค้า เช่น
แหลง่ บันเทงิ และสถานเรงิ รมย์ ตา่ ง ๆ เช่น โรงแรม สถานอาบอบนวด และไนตค์ ลบั เปน็ ต้น เสยี งดนตรีและความ
บันเทิงต่าง ๆ ถ้าเสียงเหล่านี้มีความดังมากเกินไปก็ทาให้เกิดอันตรายได้ เช่น เครื่องดนตรีตามไนต์คลับ ดิสโก้เธค
และสถานที่มีการแสดงดนตรี เป็นต้น ซ่ึงสถานที่เหล่าน้ีมีระดับความดังท่ีสามารถทาให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
โดยไม่รูต้ วั
3.4) โรงงานอตุ สาหกรรม เสยี งทเ่ี กดิ ในโรงงานอุตสาหกรรมโดยทั่วไป มคี วามดังอยู่ในระดับ 60-120 เดซิ
เบลเอ เสียงที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากเครื่องจักรกลในโรงงานท่ีมีเสียงดังมาก เช่น โรงงานแก้ว โรงงานผลิตและ
แปรรูปโลหะ และโรงงานทอผ้า เป็นต้น ผู้ที่มีโอกาสได้รับอันตรายจากมลพิษทางเสียงในโรงงานคือ คนงานใน
26
โรงงานและผู้ท่ีอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงซึ่งระดับเสียงจะขึ้นอยู่กับระดับแรงม้าของเคร่ืองยนต์ ฝาเพดาน และ
สภาพแวดลอ้ ม
3.5) เสียงจากครัวเรือน เป็นเสียงที่เกิดจากเคร่ืองมือ เครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น เครื่องตัดหญ้า เคร่ืองดูด
ฝนุ่ เครือ่ งขัดพน้ื วิทยุ และโทรทศั น์ เปน็ ตน้ ซึง่ เสียงเหลา่ นี้ทาใหเ้ กดิ ระดับเสียงประมาณ 60-70 เดซิเบล
3.6) เสียงรบกวนท่ีเกิดจากสาเหตุอื่น ได้แก่การจุดประทัด การโฆษณา เสียงทะเลาะวิวาท เครื่องขยาย
เสยี งจากงานขา้ งบ้าน ฟ้ารอ้ ง และฟา้ ผา่ เป็นต้น
ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางเสยี ง (noise pollution effects)
ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางเสียงก่อให้เกิดปัญหาต่อมนุษย์และส่ิงแวดล้อมหลายด้าน ได้แก่ 1)
ผลกระทบตอ่ การไดย้ ินแบง่ เปน็ 3 ลักษณะคอื
1.1) หหู นวกทันที เกิดขึ้นจากการที่อยใู่ นบรเิ วณทีม่ ีเสียงดงั เกิน 120 เดซิเบลเอ
1.2) หูออื้ ช่วั คราวเกิดข้ึนเมอ่ื อยู่ในท่ีมีระดบั เสยี งดังตั้งแต่ 80 เดซิเบลเอขน้ึ ไปในเวลาไม่นานนัก
1.3) หอู อื้ ถาวรเกดิ ขึ้นเมื่ออยใู่ นบรเิ วณทม่ี รี ะดับความดังมากเป็นเวลานาน ๆ
2) ด้านสรีระวิทยา เช่น ผลกระทบต่อระบบการหมุนเวียนของเลือด ต่อมไร้ท่อ อวัยวะ สืบพันธุ์ ระบบ
ประสาท และความผดิ ปกติของระบบการหดและบีบลาไส้ใหญ่ เป็นต้น
3) ด้านจิตวิทยา เช่น สร้างความราคาญ ส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อน ผลต่อการทางานและ การเรียนรู้
รบกวนการสนทนาและการบันเทงิ
4) สมาธิ ความคิด และการเรียนรู้ เช่น การรบกวนสมาธิ การคิดค้น วิเคราะห์ข้อมูล และการลด
ประสิทธภิ าพการเรียนรู้ และการต้ังใจรบั ฟงั
5) ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลของการทางาน ไดแ้ ก่ การรบกวนระบบและความต่อเน่ืองของการทางาน
และทาให้งานล่าช้าลดท้ังคุณภาพและปริมาณการทางาน
6) การติดตอ่ ส่ือสาร โดยขดั ขวางการได้ยินและทาให้ต้องตะโกนสื่อสารกนั ทาใหก้ ารสื่อสารบกพร่อง เกิด
ความเพยี้ นในการได้ยนิ ในเด็กเล็กที่กาลังเรยี นพดู จะถ่วงพฒั นาการในการฟัง การพูด และ การออกเสียงในผู้ใหญ่
จะเปน็ อุปสรรคตอ่ การรบั ฟงั สัญญาณเตอื นภยั อันอาจทาใหเ้ กดิ อุบัตเิ หตุและอันตราย
7) การกระตุ้นใหเ้ กดิ พฤติกรรมกา้ วร้าวซ่งึ เสียงดังจะเรา้ อารมณ์ให้เกิดการสรา้ งความรนุ แรงจนสามารถทา
รา้ ยผู้อื่นได้
8) ด้านสังคม กระทบต่อการสร้างมนุษย์สมั พนั ธ์ที่ดี ทาใหข้ าดความสงบ
9) ด้านเศรษฐกิจ ทาให้มีผลผลิตต่าเนื่องจากประสิทธิภาพการทางานลดลง เสียค่าใช้จ่ายในการควบคุม
เสียง
27
10) ดา้ นสงิ่ แวดล้อม เสยี งดังมผี ลต่อการดารงชีวิตของสตั ว์ เช่น ทาใหส้ ัตว์ตกใจและอพยพหนีไปอยู่อาศัย
แหล่งอื่นซ่งึ จะส่งผลกระทบตอ่ ระบบนเิ วศตามมา
11) การเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดค่านิยมในความรุนแรง ไม่เคารพสิทธิใน ความสงบสุข
ของผู้อ่ืนและสังคมโดยรวม และการขาดมารยาทสังคมทด่ี ีงาม
การป้องกนั และแก้ไขภาวะมลพิษทางเสยี ง (noise pollution solutions)
1) การควบคุมเสียงที่แหล่งกาเนิด การควบคุมเสียงที่แหล่งกาเนิดเป็นการป้องกันไม่ให้เสียงที่ออกมาดัง
เกินขนาด เช่น ควบคุมเสียงจากยานพาหนะ โดยการตรวจจับรถยนต์ที่ก่อให้เกิดเสียงดังเกินมาตรฐาน ออก
กฎหมายและควบคุมอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับการปรบั แตง่ เครื่องยนต์หรือท่อไอเสียที่ทาใหเ้ กิดเสยี งดังเกนิ ขนาด หรือ
อาจมีการติดต้ังเคร่ืองลดเสียงท่ีมีประสิทธิภาพท่ียานพาหนะแต่ละชนิด และไม่ใช้แตรโดยไม่จาเป็น โดยเฉพาะใน
เขตท่ีพักอาศัย โรงพยาบาล และโรงเรียนสาหรับในโรงงานอุตสาหกรรม ควรใช้เคร่ืองจักรท่ีมี ประสิทธิภาพ ไม่
ก่อให้เกดิ เสยี งดัง หรือออกกฎหมายควบคุมแหลง่ กาเนดิ เสยี งทุกแห่งใหม้ ีเสยี งดังไมเ่ กนิ ขดี จากัด
2) การป้องกนั โดยการปดิ กน้ั หรือหลีกเลี่ยงเสยี งทีเ่ กิดข้ึน
2.1) การไม่เข้าไปในสถานที่มีเสียงดัง เช่น ดิสโก้เธค ไนต์คลับ หรือถ้าไม่สามาถหลีกเลี่ยง ได้ก็ควรอยู่ใน
สถานท่ีนั้นในช่วงระยะเวลาไมน่ านเกินไป
2.2) ปิดก้ันเสียงที่ดังเกินไป เช่น การสร้างผนังเก็บเสียงในโรงงาน การปลูกต้นไม้เป็นแนว กว้างล้อมรอบ
เพ่ือป้องกันเสียงดัง หรือการทาผนังปูนปิดกั้นริมทางด่วน เพ่ือป้องกันเสียงท่ีเกิดจากรถยนต์ รบกวนที่อยู่อาศัยริม
ทางดว่ น
2.3) ป้องกันตนเองจากเสียง การทางานในสถานที่ที่มีเสียงดังมาก ๆ เป็นระยะเวลานาน ควรมีอุปกรณ์ท่ี
สามารถป้องกันอันตรายจากเสียงอย่างมีประสิทธิภาพ อุปกรณ์ป้องกันเสียงที่นิยมใช้กัน ได้แก่ เคร่ืองอุดหู (ear
plugs) เป็นพลาสติกอ่อน ใช้ใส่เข้าไปในช่องหูเพ่ืออุดหู ใช้ป้องกันเสียงที่มีความถ่ีต่าได้ดี เคร่ืองครอบหู (ear
muffs) มีลักษณะเป็นนวมสวมครอบหูท้ัง 2 ข้าง ใช้ป้องกันเสียงที่มีความถี่สูง ได้ดี สาหรับการอุดหูด้วยสาลีท่ี
สามารถป้องกันเสียงดังได้ต้องเป็นสาลีที่ชุบขี้ผึ้งเท่าน้ัน หรืออาจใช้เครื่อง อุดหูพร้อมกับใช้เครื่องครอบหูในเวลา
เดียวกัน กจ็ ะสามารถป้องกนั เสยี งได้ดีขึ้น
2.4) ปลูกอาคารบ้านเรือนให้ไกลจากแหล่งกาเนิดเสียง ถ้าจาเป็นต้องอยู่ใกล้บริเวณน้ัน จะต้องใช้วัสดุกัน
เสียงในการปลูกบ้านและปลูกต้นไมร้ อบบริเวณท่ีพักอาศัยหรอื ท่ีทางานเพ่ือป้องกันเสียงรบกวน
2.5) รฐั บาลตอ้ งวางผงั เมือง โดยแบง่ เปน็ เขตท่อี ย่อู าศัย เขตอุตสาหกรรม และเขตเกษตรกรรม ซึง่ ปจั จบุ ัน
มกี ฎหมายเกี่ยวกับการสร้างอาคารอย่บู า้ ง แต่เจา้ หนา้ ท่กี ย็ ังไม่เข้มงวดเท่าทีค่ วร
28
2.6) ผู้ปฏิบัติงานในสถานท่ีท่ีมีเสียงดัง ควรมีการตรวจการได้ยินก่อนเข้าปฏิบัติงานครั้งแรก และควร
ตรวจวัดการได้ยินเป็นระยะ ๆ อาจตรวจวัดทกุ 1 ปี เพอ่ื ป้องกนั อนั ตรายจากเสยี ง
2.7) ถ้าไม่อาจจะลดระดับเสียงลงได้ และไม่มีการใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงควรจัดระยะเวลาทางานให้
เหมาะสมตามมาตรฐานท่ีไม่ทาให้เกิดอันตรายจากเสียง เช่น พนักงานที่ปฏิบัติงานใน สถานท่ีที่มีเสียงดังอาจใช้วิธี
เปล่ียนหน้าที่กัน เปน็ ต้น
3) ใหก้ ารศึกษาและฝึกอบรมด้านภาวะมลพิษทางเสยี งแกผ่ ทู้ ี่มีสว่ นเกี่ยวข้อง
4) สนบั สนุนงานวจิ ัยเก่ยี วกับการป้องกนั ควบคมุ และแก้ไขภาวะมลพษิ ทางเสยี ง
5) สรา้ งเครือข่ายตรวจสอบและเฝา้ ระวงั แหล่งกาเนิดภาวะมลพษิ ภายในชุมชน
6) รณรงค์และประชาสัมพนั ธ์ให้ประชาชนรู้ถงึ อันตรายจากภาวะมลพิษทางเสียง และรว่ มมอื กันป้องกันมิ
ให้เกิดมลพิษทางเสยี ง
29
บทสรปุ
ปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาทีส่ าคัญในปัจจุบนั เพราะเป็นปัญหาท่ีส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย
และคุณภาพชีวิตของประชาชนและทวีความรุนแรงมากข้ึน โดยสาเหตุหลักท่ีก่อให้เกิดการปนเปื้อนของมลพิษใน
ส่ิงแว ดล้อมเป็นผลม าจา ก กา รเ พิ่ มขึ้ นข อ งจา นว นป ร ะช า กร ในปั จจุบัน ท่ี เป็น แร งขั บเ คลื่ อน ท่ีสา คัญ ต่ อ ก า ร
เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ทาให้ความต้องการอาหาร น้า พลังงาน ที่อยู่อาศัย และปัจจัยอื่น ๆ ท่ีจาเป็นต่อการ
ดารงชีวิตสูงเพิ่มข้ึนตามไปด้วย นอกจากน้ียังทาให้เกิดการขยายตัวของ เมืองและมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม และเทคโนโลยี โดยการขาดการเตรยี มความพร้อมด้านโครงสรา้ งพ้ืนฐานและการจัดการสิง่ แวดล้อม
ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพจะส่งผลให้มีการใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพ่ิมข้ึนและก่อให้เกิดปัญหา
มลพิษส่ิงแวดล้อมตามมาไม่ว่าจะเป็น มลพิษทางอากาศ ที่ส่งผลทาให้เกิดภาวการณ์เพ่ิมขึ้นของอุณหภูมิโกอันเปน็
สาเหตุมาจากการเกิด ปรากฏการณ์เรอื นกระจก โดยได้ส่งผลกระทบต่อเน่ืองทาให้ระดับน้าทะเลสูงข้ึนและเกิดนา้
ท่วมรนุ แรงกวา่ เดมิ ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงจนส่งผลกระทบตอ่ การดารงชีวิตของสิ่งมชี ีวิตในทีส่ ุดสาหรับมลพิษทาง
น้าที่เกิดจากการปล่อยน้าเสียจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ลงไปในแหล่งน้าธรรมชาติ ส่งผลทาใหคุณสมบัติของ
น้าทั้งทางด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพเปล่ียนแปลงไปจนไม่สามารถนาน้ามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ตามต้องการและส่ง
ผลกระทบต่อคุณภาพชวี ิตของสิ่งมชี วี ิตและมนุษย์ในกรณีปัญหามลพิษทางดนิ ก็เป็นปัญหามลพษิ ทางสง่ิ แวดล้อมท่ี
สาคัญในปัจจุบนั เพราะเป็นสาเหตใุ ห้ดินเสอ่ื มคุณภาพจนไมส่ ามารถเอื้อประโยชนต์ ามสมรรถนะของดนิ ได้ตามปกติ
นอกจากนี้มลพิษทางดินยังเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศและน้าได้ด้วย ปัญหามลพิษท่ีสาคัญอีก
ประเภท คือปัญหามลพิษทางเสียง ซ่ึงมักเป็นปัญหาที่เกิดข้ึนในเมืองใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดงั จากยายพาหนะที่
ใช้เครื่องยนต์เสียงดังเครื่องจักรการก่อสร้าง เคร่ืองขยายเสียง อุปกรณ์การสื่อสารต่าง ๆ รวมท้ังเสียงจากการ
สนทนาที่ดังเกนิ ควรและไม่ถูกกาลเทศะ เป็นตน้ สง่ ผลกระทบต่อการได้ยิน สขุ ภาพ จิตวทิ ยา และประสิทธภิ าพใน
การทางาน เป็นต้น จากปัญหาท่ี กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าปัญหามลพิษส่ิงแวดล้อมส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทั้งโดย
ทางตรงและทางอ้อม ดังน้ันเพื่อให้มนุษย์สามารถดารงชีวิตในส่ิงแวดล้อมท่ีดีจึงควรเข้าใจถึงความสาคัญในการ
รกั ษาสมดุลธรรมชาติ และมนุษยค์ วรตระหนกั ได้ว่าจะผลิตและสรา้ งทรัพยากรอยา่ งไร โดยปราศจากการทาลายซ่ึง
จะเป็นหนทางนาไปสู่อนาคตท่ีคาดหวังว่ามนุษยจ์ ะไดอ้ าศัยในสิ่งแวดลอ้ มทด่ี ีได้
30
บรรณานุกรม
Andrews, W.A., (1972). A Guide to the Study of Environmental Pollution. Pearson Prentice
Hall of Canada, Ltd.Scarborough.
Chuck, D. (2011), The Coming Collapse of Global Civilization?. Retrieved February 10, 2012.
Web site: http://www.flame.org/~cdoswell/Earth_Abides/The_Coming _Fall.html. Wayne,
G.L. and Ming-Ho Yu. (1995). Introduction to environmental toxicology : impacts of
chemicals upon ecological systems. (1st ed.) Boca Raton, Fla : LEWIS.
กรมควบคุมมลพิษ. (2546). มลพษิ ของประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดลอ้ ม.
กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพส่ิงแวดล้อม. (2534). รายงานสถานการณ์ส่ิงแวดล้อม เร่อื งสารพษิ ในประเทศไทยปี พ.ศ.
2530-2534. กรุงเทพฯ : ฝา่ ยจดั การสารพษิ .
เกษม จนั ทร์แกว้ . (2525). วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพอ์ ักษรสยาม.
เกษม จันทรแ์ กว้ . (2530). วิทยาศาสตรส์ ิ่งแวดลอ้ ม. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พอ์ กั ษรสยามการพมิ พ.์
เชาวเ์ พ็ชรราช และ จริ วรรณ ทรัพยเ์ จรญิ . (มปป.). มลภาวะสิ่งแวดลอ้ ม. สืบคน้ วันท่ี 15 กุมภาพันธ์ 2555, จาก
ม ห า วิ ท ย า ลั ย ร า ช ภั ฏ อุ ต ร ดิ ต ถ์ เ ว็ บ ไ ซ ด์ : http://human.uru.ac.th/Major_online/
SOC/09Poll/09Poll.htm.
ณรงค์ ณ เชยี งใหม.่ (2525). มลพิษสง่ิ แวดลอ้ ม. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร.์
ดุสิต ขาวเหลือง. (2548). วกิ ฤติส่ิงแวดลอ้ ม: ผลพวงจากความทนั สมัยแต่ไมพ่ ัฒนา, วารสารศกึ ษาศาสตร์, ปที ่ี 16
ฉบับท่ี 2 เดอื นพฤศจิกายน 47-มนี าคม 48: 1-18.
ธงชยั พรรณสวสั ด.ิ์ (2537). มลพษิ ทางน้า. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ.
นพภาพร พานชิ . (2547). ต าราบาบดั มลพิษอากาศ. กรงุ เทพฯ: กรมโรงงานอตุ สาหกรรม.
ปรมิ นภา จงจติ รกลาง และคณะ. (มปป). การป้องกันและแก้ไขมลพิษทางดนิ และขยะ. สืบค้นวนั ที่ 15 กมุ ภาพันธ์
2555, จ า ก ม ห า วิ ท ย า ลั ย เ ท ค โ น โ ล ยี ร า ช ม ง ค ล อี ส า น เ ว็ บ ไ ซ ต์ : http://www.
rmuti.ac.th/user/thanyaphak/Web%20EMR/Web%20IS%20Environmen%20gr.4/
Index.html.
พฒั นา มูลพฤกษ์. (2545). การป้องกันและควบคุมมลพิษ. กรงุ เทพฯ : ซิกมา่ ดีไซน์กราฟฟิก.
ไมตรี สุทธจิตต.์ (2551). สารพิษรอบตัว. กรุงเทพฯ : ดวงกมล.
โยธนิ สุรยิ พงศ์. (2542). มลพิษส่ิงแวดล้อม. นครราชสีมา : สถาบันราชภัฏนครราชสมี า.
วินยั วรี ะวัฒนานนท์. (2540). ส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา. พิมพ์คร้ังที่ 3. นครปฐม: สถานพฒั นการ สาธารณสุข
31
อาเซียน.
สมสขุ มัจฉาชพี . (2524). นิเวศวิทยา. กรุงเทพฯ: แพร่พิทยา.
สานักงานกองทุนสนบั สนนุ การสรา้ งเสริมสุขภาพ. (2552). มลพษิ ทางเสยี งกับการได้ยนิ . สบื ค้นวนั ที่ 15
กมุ ภาพนั ธ์ 2555, เว็บไซต์:http://www.thaihealth.or.th/node/7774.
สริ ิพร แก่นสียา. (2549). ปัญหามลพิษดิน. สืบคน้ วันท่ี 15 กุมภาพันธ์ 2555, จาก สถาบันวิจัยสิ่งแวดลอ้ ม,
มหาวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณเ์ ว็บไซต:์ http://www.eric.chula.ac.th/eric/envinfo/ep/sp2.html.
สุกาญจน์รตั นเลิศนสุ รณ.์ (2550). หลกั การจัดการสิ่งแวดลอ้ มแบบย่ังยนื . กรงุ เทพฯ: สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยี
(ไทย-ญี่ปนุ่ ).
อนามยั เทศกะทกึ . (2550). ความเปน็ พษิ ในระบบนเิ วศและสุขภาพมนษุ ย.์ กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
อนุรักษ์ ปน่ิ ทอง. (มปป.). มลพษิ สงิ่ แวดลอ้ ม. สืบคน้ วันท่ี 15 กมุ ภาพันธ์ 2555, จาก มหาวิทยาลยั ราชภฏั
กาฬสินธ์ุ เว็บไซต์:http://reg.ksu.ac.th/teacher/anurak/Lesson3.htm.
อภลิ าส โอสถานนท.์ (2537). รฐั กับปญั หาสภาพแวดล้อม. สถานการณส์ ง่ิ แวดล้อมไทย. กรงุ เทพฯ: บริษทั
อมรินทร์พร๊ินต้ิงแอนดพ์ ับลชิ ชิง่ จากดั (มหาชน).
อู่แกว้ ประกอบไวทยกิจ บเี วอร์. (2531). นิเวศวิทยา. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช.
http://elearning.psru.ac.th/courses/69/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0
%B9%88%204%20%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A
A%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A5%E
0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1.pdf
32
ภาคผนวก
ประวตั ผิ ู้จดั ทา
ชื่อ: นางสาวศภุ ลกั ษณ์ อมรใฝ่ รัตน์
รหัสนักศึกษา: 6310540231054
วนั /เดือน/ปี เกดิ : 24 มีนาคม 2545
ประวตั ิการศึกษา: จบระดบั ช้นั มธั ยม จากโรงเรียนบา้ นโพซอ
ทอ่ี ยู่: บา้ นโพซอ หมู่5 ตาบลเสาหิน อาเภอแม่สะเรียง จงั หวดั แม่ฮ่องสอน 58110