The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทความความสัมพันธ์ของพุทธวิถีในการสอนกับการเรียนรู้เชิงรุก (active learning)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

บทความความสัมพันธ์ของพุทธวิถีในการสอนกับการเรียนรู้เชิงรุก (active learning)

บทความความสัมพันธ์ของพุทธวิถีในการสอนกับการเรียนรู้เชิงรุก (active learning)

1 พีรกิตต์ ทองเจือฐิติโชติ นักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชาพระพุทธศาสนา พระครูวรวรรณวิฑูรย์,ผศ.ดร. อาจารย์ประจ าหลักสูตร พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา ความสัมพันธ์ของพุทธวิธีในการสอนกับการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) บทคัดย่อ พุทธวิธีในการสอนกับการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) เป็นกระบวนการจัดการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ คือ แนวการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างนวัตกรรมแล ะองค์ ความรู้ใหม่ และสร้างระบบการคิดวิเคราะห์ การอยู่ร่วมในสังคมอย่างสันติ ทั้งยังสามารถน าความรู้ไป ปรับ ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสภาพแวดล้อม ทั้งยังช่วยในการเสริมสร้างทักษะต่าง ๆ ถึงแม้สังคมโลกจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย พุทธวิธีในการสอน ของพระพุทธเจ้า ที่เคยใช้ในการแนะน า แนวทางในการด าเนินชีวิตของพุทธศาสนิกชน ก็สามารถน ามาปรับใช้กับการเรียนรู้ ของผู้เรียนได้ใน สังคมปัจจุบัน หลากหลายรูปแบบการเรียนรู้ เช่น การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การระดมสมอง การ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการท ากรณีศึกษา เป็นต้น สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้น


2 ที่จะท ากิจกรรมต่างๆ รวมถึงการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเรียนรู้ ตามกระบวนการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) ค าส าคัญ : การเรียนรู้,พุทธวิธีในการสอน,การเรียนรู้เชิงรุก บทน า พระพุทธเจ้า ได้รับค ายกย่องว่า พระองศ์ท่านคือพระบรมครู ของมนุษย์โลกและเทวโลก เหตุ ด้วยพระองศ์ท่านสร้างบารมีมาเป็นอสงไขย ลองผิดลองถูกมานับไม่ถ้วย ค้นคว้าวิชาพ้นทุกข์ แบบ ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน กว่าจะทรงพบหนทางหนีออกจากทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิดได้ ค าสอนของ พระองศ์ท่านจึงถือว่าบริสุทธิ์ ถูกต้อง เพราะลองผิดลองถูกแลกด้วยชีวิตมานับชาติไม่ถ้วน เรียกว่า เป็นครูที่สามารถอธิบายเรื่องของ "ใจ" ได้ละเอียดที่สุด การสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธกิจประการ หนึ่ง ในพุทธกิจห้าประการของพระพุทธเจ้า ได้แก่ พุทธกิจประการที่ ๑ เวลาเช้าเสด็จออกบิณฑบาต เพื่อเป็นการโปรดสัตว์โลกผู้ ต้องการบุญ พุทธกิจประการที่ ๒ ในเวลาเย็นทรงแสดงธรรมแก่คนผู้สนใจในการฟังธรรม พุทธกิจประการที่ ๓ ในเวลาค้ าทรงประทานพระโอวาทให้กรรมฐานแก่ภิกษุ ทั้งหลาย พุทธกิจประการที่ ๔ ในเวลาเที่ยงคืน ทรงแสดงธรรม และตอบปัญหาแก่เทวดา ทั้งหลาย พุทธกิจประการที่ ๕ ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลกที่อาจจะรู้ธรรมซึ่งประองค์ ทรงแสดง แล้วได้รับผลตามสมควรแก่อุปนิสัยบารมีของคนเหล่านั้น การสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง จะด าเนินไปจนถึงผลส าเร็จ มีลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็น ลีลาในการสอน 4 อย่างดังนี้ 1) สันทัสนา อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูเห็นกับตา 2) สมาทปนา ชักจูงให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรับและน าไป ปฏิบัติ 3) สมุตเตชนา เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดก าลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่า จะท าส าเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก


3 4) สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วย ความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะพึงได้รับจากการปฏิบัติ [1] การเรียนรู้เชิงรุก (active learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่ง แปลตามตัวก็คือ เป็น การเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ หรือการลงมือท า “ความรู้” ที่เกิดขึ้นก็เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ กระบวนการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องได้มีโอกาสลงมือกระท ามากกว่าการฟังเพี ยง อย่างเดียว ต้องจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้การเรียนรู้โดยการอ่าน การเขียน การโต้ตอบ และการ แก้ปัญหา อีกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขึ้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการ ประเมินค่า “เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการร่วมมือระหว่าง ผู้เรียนด้วยกัน ในการนี้ ครูต้องลดบทบาทในการสอน และการให้ข้อความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรง แต่ไป เพิ่มกระบวนการ และ กิจกรรมที่จะท าให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการจะท ากิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น และอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยการพูด การเขียน การ อภิปรายกับเพื่อนๆ [2] บทความนี้ผู้เขียนได้น าเสนอประเด็นส าคัญเกี่ยวกับ พุทธวิธีในการสอน ของพระพุทธเจ้า และ รูปแบบการเรียนการสอน แบบการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) หลักส าคัญ ความสัมพันธ์ ของพุทธวิธีในการสอนกับการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) ดังเนื้อหาบทความต่อไปนี้ พุทธวิธีรูปแบบในการสอน ของพระพุทธเจ้า ๑. แบบสากัจฉา หรือสนนทนา วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยไม่น้อยกว่าวิธีใด ๆ โดยเฉพาะ ในเมื่อผู้มาเฝ้าหรือทรงพบนั้น ยังไม่ได้เลื่อมใสในพระศาสนา ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจหลักธรรม ๒. แบบบรรยาย วิธีสอนแบบนี้ น่าจะทรงใช้ในที่ประชุมใหญ่ ในการแสดงธรรมประจ าวัน ซึ่ง มีประชาชน หรือพระสงฆ์จ านวนมาก และส่วนมากเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจกับมีความเลื่อมใส ศรัทธาอยู่แล้ว มาฟังเพื่อหาความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมและหาความสงบสุขทางจิตใจ นับได้ว่าเป็นคน ประเภทและระดับใกล้เคียงกัน พอจะใช้วิธีบรรยายอันเป็นแบบกว้างๆ ได้ ๓. แบบตอบปัญหา ผู้ที่มาถามปัญหานั้น นอกจากผู้ที่มีความสงสัยข้องใจในข้อธรรมต่าง ๆ แล้ว โดยมากเป็นผู้นับถือลัทธิศาสนาอื่น บ้างก็มาถามเพื่อต้องการรู้ค าสอนทางฝ่ายพระพุทธศาสนา 1 มหัทธโน, พระพุทธเจ้า – พระบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ของโลก, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/54644 [7 ตุลาคม 2566] 2 กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา ,การนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning), [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.sesalpglpn.go.th/wpcontent/uploads/2019/12/book10-62.pdf [7 ตุลาคม 2566]


4 หรือเทียบเคียงกับค าสอนในลัทธิของตน บ้างก็มาถามเพื่อลองภูมิ บ้างก็เตรียมมาถามเพื่อข่มปรา มให้ จน หรือให้ได้รับความอับอาย ๔. แบบวางกฎข้อบังคับ ในการสอนแบบนี้พึงสังเกตว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทโดย ความเห็นชอบของสงฆ์ หมายความว่า ทรงบัญญัติ โดยชี้แจงให้เห็นแล้วว่าถ้าไม่รับจะเกิดผลเสีย อย่างไร เมื่อรับจะมีผลดีอย่างไร จนสงฆ์รับค าของพระองค์ว่า ดีแล้ว ไม่ทรงบังคับเอาโดยพลการ [3] พุทธวิธีประกอบการสอนของพระพุทธเจ้า 1. การยกอุทาหรณ์ และการเล่านิทานประกอบ การยกตัวอย่างประกอบค าอธิบาย และการ เล่านิทานประกอบการสอนนั้น ช่วยให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายและชัดเจน ช่วยให้จ าแม่น เห็นจริงตาม และเกิดความเพลิดเพลิน ท าให้การเรียนสนุกยิ่งขึ้น 2. การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา ค าอุปมาจะช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก ปรากฏ ความหมายเด่นชัดออกมาได้ และเข้าใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะใช้ในการอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรม เปรียบ ให้เห็นชัดด้วยสิ่งที่เป็นรูปธรรม หรือแม้เปรียบเรื่องที่เป็นรูปธรรมด้วยข้ออุปมาแบบรูปธรรม ก็ช่วยให้ เนื้อหามีความหนักแน่น 3. การใช้อุปกรณ์การสอน ทรงใช้อุปกรณ์การสอน ในกรณีสอนผู้เรียนที่มีอายุน้อยๆ ซึ่ง เข้าใจจากวัตถุได้ง่ายกว่านามธรรม โดยอาศัยเครื่องใช้ที่มีอยู่ 4. การท าเป็นตัวอย่าง เป็นวิธีสอนที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในทางด้านจริยธรรม คือ การท าเป็น ตัวอย่าง เป็นการสอนแบบไม่ต้องกล่าวค าสอน ในท านองการสาธิตให้ดู 5. การเล่นภาษา เล่นค่า และการใช้ค าในความหมายใหม่ การเล่นภาษาและเล่นค า เป็นเรื่อง ความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ ข้อนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถ ของ พระพุทธเจ้า 6. อุบายเลือกคน และการปฏิบัติรายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายส าคัญในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ทรงพิจารณาว่าเมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นใดถิ่นหนึ่งควรไปโปร ดใคร ก่อน เป็นพระพุทโธบายอย่างที่เรียกว่า การวางแผนที่ได้ผลยิ่ง ในการทรงสั่งสอนคนแต่ละถิ่น หรือแต่ ละหมู่ คณะ ก็ทรงเริ่มต้นที่บุคคลผู้เป็นประมุข หรือหัวหน้าของชนหมู่นั้นๆ ท าให้การประกาศพร ะ ศาสนาได้ผลดีและรวดเร็ว 7. การรู้จักจังหวะและโอกาส ผู้สอนต้องรู้จักใช้จังหวะและโอกาสให้เป็น ประโยชน์ เมื่อยังไม่ ถึงจังหวะ ไม่เป็นโอกาส เช่น ผู้เรียนยังไม่พร้อม ก็ต้องมีความอดทน ต้องตื่นตัวอยู่เสมอ เมื่อถึงจังหวะ หรือเป็นโอกาส ก็ต้องมีความฉับไวที่จะจับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ปล่อยให้ผ่านไปเสียเปล่า 3 อุทัย วรเมธีกุล และคณะ, “พุทธวิธีการเรียนการสอน” วรสารบันฑิตศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น, ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561): 72-81


5 8. ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา สามารถตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิ เสียได้ มุ่งไปยังผลส าเร็จในการเรียนรู้เป็นส าคัญ สุดแต่จะใช้กลวิธีใดให้การสอนได้ผลดีที่สุด ก็จะ ท า ในทางนั้น 9. การลงโทษและให้รางวัล พระพุทธเจ้าไม่ใช้ทั้งวิธีลงโทษและให้รางวัล แม้ว่า จะทรงใช้การ ชมเชยยกย่องบ้าง ก็เป็นไปในรูปของการยอมรับคุณความดีของผู้นั้น การลงโทษคือ การลงโทษตนเอง ซึ่งมีทั้งในทางธรรมและทางวินัย จะเห็นได้ว่า การสอนโดยไม่ต้องลงโทษ เป็นการแสดง ความสามารถ ของผู้สอนด้วย 10 กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นต่างครั้งต่างคราวกัน ย่อมมี ลักษณะที่แตกต่างกันไปไม่มีที่สิ้นสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต้องอาศัยปฏิภาณ ความสามารถในการ ประยุกต์หลัก วิธีการ กลวิธีต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็นเรื่องเฉพาะครั้งคราวไป [4] สรุปได้ว่า พุทธวิธีประกอบการสอนของพระพุทธเจ้า ปัญญาเป็นสิ่งสร้างสรรค์ขึ้นภายในตัว ผู้เรียนเอง ผู้สอนท าหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร ช่วยชี้น าทางการเรียน วิธีสอน อุบาย และกลวิธีต่าง ๆ เป็นสื่อหรือเป็นเครื่องผ่อนแรงการเรียนการสอน อิสรภาพทางความคิด เป็นอุปกรณ์ส าคัญใน การ สร้างปัญญา กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) 1. จัดการเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหาและการน าความรู้ ไปประยุกต์ใช้ 2. จัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 3. จัดให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. จัดให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้การสร้างปฏิสัมพันธ์ ร่วมกัน สร้างร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน 5. จัดให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการท างานและการแบ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบในภารกิจต่าง ๆ 6. จัดกระบวนการเรียนที่สร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะ เป็นผู้จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 7. จัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการคิดขั้นสูง 8. จัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร หรือสารสนเทศและหลักการ ความคิดรวบยอด 4 พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตโต), พุทธวิธีในการสอน, พิมษ์ครั้งที่ 18, (กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์บริษัท พิมพ์สวย จ ากัด, 2556), หน้า 44-47


6 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อ านวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้ วย ตนเอง 10. จัดกระบวนการสร้างความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการ สรุป ทบทวนของผู้เรียน [5] หลักส าคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning ผศ.นพ.กฤษณะ สุวรรณภูมิ ได้กล่าวว่า การเรียนรู้เชิงรุกเป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะต้องค้นหา เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ โดยการลงมือปฏิบัติอย่างมีความหมาย เพื่อให้สามารถน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ได้ซึ่งมีลักษณะที่ส าคัญของการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ 1. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน มีวินัยในการท างาน และการแบ่งหน้าที่ควา ม รับผิดชอบ 3. ผู้เรียนได้เรียนรู้จากกิจกรรมที่ได้อ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก และเป็นผู้จัดระบบการ เรียนรู้ด้วยตนเอง 4. ผู้เรียนมีโอกาสประยุกต์ และบูรณาการข้อมูลข่าวสาร หรือสารสนเทศ และหลักการ ความคิดรวบยอด 5. ผู้สอนเป็นผู้อ านวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติด้วยตนเอง 6. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน [6] สุพรรณี ชาญประเสริฐ ได้กล่าวว่า หลักส าคัญของการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning ดังนี้ 1. การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 2. มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนสูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการ คิดขั้นสูง 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีการลงมือปฏิบัติ ท างาน คิดและแก้ปัญหาร่วมกัน 4. ผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้อ านวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติได้ ด้วยตนเอง ออกแบบกิจกรรมและจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ การฟัง อ่าน เขียน แสดงความ คิดเห็นและการคิดขั้นสูง 5 หน่วยศึกษานิเทศก์, แนวทางการนิเทศเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (active learning)ตามนโยบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้, (กรุงเทพมหานคร : ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ,2562) หน้า 8-9. 6 ผศ.นพ.กฤษณะ สุวรรณภูมิ, “Active Learning”, ข่าวคณะแพทย์ศาสตร์, ปีที่ 32 ฉบับ 230 (มิถุนายน 2557) หน้า 22-23


7 5. ผู้เรียนมีอิสระและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้อย่างมากและมีผู้เรียนส่วนร่วมในการ จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง7 น้ าค้าง ศรีวัฒนาโรทัย ได้กล่าวว่า หลักส าคัญของการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning ดังนี้ 1. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ เช่นการ แสดงความคิดเห็น การสะท้อนการเรียนรู้ การเขียนเพื่อทบทวนสิ่งที่ได้เรียนไป เป็นต้น8 2. การเรียนรู้เชิงรุก มักเป็นกิจกรรมที่เป็นกลุ่มย่อยดังนั้น ผู้เรียนจึงมีโอกาสได้เรียนรู้การแบ่ง หน้าที่ในการท างาน ฝึกความรับผิดชอบในงานของตนและงานของส่วนรวม มีวินัยในการท างาน 3. เป็นการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการเรียนรู้พร้อมกันหลายๆ ด้าน เช่นการ อ่าน การเขียน การรับฟังผู้อื่น การแสดงความคิดเห็น การให้เหตุผล เพื่อแก้ปัญหาหรือท างานที่ได้รับ มอบหมาย 4. ผู้เรียนค้นคว้า และบูรณาการข้อมูลข่าว สารสนเทศ ทฤษฎี หรือหลักการต่างๆ ที่มีเพื่อ สร้างวิธีการแก้ปัญหา จนกระทั่งสร้างเป็นความคิดรวบยอดของตนเองต่อเรื่องราวต่างๆ ตามที่ครูได้ วางแผนเอาไว้ สรุปได้ว่า ลักษณะส าคัญของการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning หมายถึง การเรียนรู้ที่ นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายและก่อให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์ทั้งระหว่างผู้เรียน ด้วยกัน และผู้เรียนกับผู้สอน โดยผู้สอนเป็นผู้อ านวยความสะดวกในการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ผู้เรียนมี โอกาสได้ใช้ทักษะการฟัง พูด อ่าน คิด และเขียนในการลงมือปฏิบัติ กิจกรรมด้วยตนเอง ได้พัฒนา ทักษะการสื่อสาร และทักษะการคิดไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ตลอดจนเกิดเจตคติที่ดีต่อวิชาที่เรียนแล ะเกิด แรงจูงใจในการเรียน ตัวอย่างข้อค้นพบพุทธวิธีในการสอนของพระพุทธเจ้า พระจูฬปันถกเถระ พระจูฬปันถกเถระ ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากมาย เนื่องจากขาดสติปัญญาและไม่ สามารถจดจ าได้แม้แต่บทสวดเพียงท่อนเดียว พระภิกษุอื่น ๆ ไม่พอใจพระองค์จึงเรียกพระองค์ว่า ปัญญาทึกมาก อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้ท าให้ พระองค์ท้อใจ พระองค์ทรงมีความพากเพียรใน การ ปฏิบัติธรรมและพยายามแสวงหาการตรัสรู้ต่อไป วันหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมชมวัดชีวกัมพวัน 7 สุพรรณี ชาญประเสริฐ, “การจัดการเรียนรูวิทยาศาสตร์และทักษะที่จ าเป็นในศตวรรษที่ 21”, สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), ปีที่ 42 ฉบับ 185, (2556) หน้า 10-13 8 น้ าค้าง ศรีวัฒนาโรทัย, การเรียนเชิงรุกและเทคนิคการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนเชิงรุกการ, อบรมเรื่องการเรียนการสอนเชิงรุก, (ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยกรุงเทพ,2555)


8 ที่พระองค์ประทับอยู่ พระพุทธเจ้าทรงตระหนักถึงความทุ่มเทของ พระองค์และทรงตัดสินใจที่จ ะช่วย ให้พระองค์ เอาชนะความยากล าบากในการท่องจ า ทรงสอนคาถาบทสวดง่ายๆ จ าง่ายๆ พระองค์มี ความยินดีอย่างยิ่ง และเริ่มท่องคาถาบทสวดนี้ ซ้ าๆ เมื่อเวลาผ่านไป พระจูฬปันถกเถระ มีชื่อเสียงใน ด้านความรู้และปัญญา ในที่สุดเขาก็บรรลุการตรัสรู้และกลายเป็นพระอรหันต์ซึ่งเป็นผู้ตรัสรู้โดย สมบูรณ์ [9] เรื่องราวพุทธในวิธีการสอน ของ พระจูฬปันถกเถระ พบว่า ปัญญาในการตรัสรู้ไม่เกี่ยวกับ ปัญญาในการจ าเรียนรู้ทั่วไป (สัญญา) ปัญญาในการตรัสรู้คือภาวนามยปัญญา กล่าวคือความสามารถ ที่จะใช้ปัญญาที่เกิดจากใช้ปัญญาภายใน พิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริงของโลกได้ด้วยตนเอง การ ท่องจ าหรือเรียนหนังสือไม่เก่งจึงไม่ใช่อุปสรรคในการตรัสรู้ธรรม และด้วยเหตุดังกล่าวพระพุทธเจ้าจึง ยกย่องให้พระจูฬปันถกเถระ เป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ช านาญในมโนมยิทธิ ปัญญาที่ท าให้เกิดฤท ธิ์ที่ ส าเร็จด้วยใจ พระกีสาโคตรมีเถรี พระกีสาโคตมีเถรี (เดิมชื่อ นางกิสาโคตรมี) เมื่อก่อน เกิดในสกุลยากคนเข็ญ ครั้งหนึ่งเศรษฐี ตระกูลหนึ่งประสบเคราะห์กรรม คือเงินและทองกลายเป็นถ่าน แต่เมื่อ นางกิสาโคตรมี มาแตะถ่าน เหล่านั้น ถ่านก็กลับกลายเป็นเงินและทองอย่างเดิม เศรษฐีจึงสู่ขอท่านมาเป็นลูกสะใภ้ ต่อมา นางกิสา โคตรมี จึงให้ก าเนิดบุตรแต่บุตรนั้นก็ได้ตายจากไป เมื่ออายุเพียง 3 ขวบ การตายของบุตรจึงท าให้นาง กิสาโคตรมี ตกอยู่ในความทุกข์อย่างหนัก ถึงขนาดอุ้มศพลูกไปทุกหนทุกแห่ง จนกระทั่งมาพบ พระพุทธเจ้าขณะประทับ พระพุทธเจ้าทรงแนะอุบายคลายความทุกข์โดยการให้นางกิสาโคตรมี ไป เสาะหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย ปรากฏว่านางกิสาโคตรมี ต้องผิดหวังเพราะทุก บ้านนั้นก็ล้วนแต่มีคนตายทั้งสิ้น [10] เรื่องราวพุทธในวิธีการสอน ของพระกีสาโคตรมีเถรี พบว่า พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจ ควา ม เจ็บปวดของ นางกิสาโคตมี ทรงเห็นโอกาสที่จะสอนบทเรียนส าคัญแก่ พระนางกิสาโคตรมี เกี่ยวกับ ความไม่เที่ยงและธรรมชาติแห่งชีวิต และความตาย เป็นเรื่องธรรมดาของคนหรือสิ่งมีชีวิต ไม่มีใครเกิด มาแล้วไม่ตาย การตายของบุตรนางกิสาโคตมี จึงเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งของชีวิต ครั้นคิดได้แล้ว นางกิสาโคตรมี จึงส าเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลทั้งที่ยังไม่ได้บวช เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ ว พระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้ภิกษุและภิกษุณีท าการอุปสมบท เมื่อท าการอุปสมบทแล้วท่านก็ บ าเพ็ญจิตภาวนา โดยพิจารณาจากเปลวเทียนในอุโบสถจนได้บรรลุอรหัตผล พระกีสาโคตร มีเถรี ได้รับการยกย่องจากองค์พระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะทางด้าน ทรงจีวรเศร้าหมอง ยิ่งกว่าภิกษุณีรูปใด 9 ขุ.สุ (ไทย) ๒๕/50/๒๗๗ 10 ขุ.จริยา.(ไทย) 484/442/33


9 ในพระพุทธศาสนา คือ ด ารงตนเป็นพระเถรีผู้เคร่งครัดในการใช้สอยบริหาร ยินดีเฉพาะผ้าไตรจีวรที่มี สีปอน ๆ และเศร้าหมอง พระปฏาจาราเถรี พระปฏาจาราเถรี (เดิมชื่อนางปฏาจารา) เมื่อก่อน เป็นธิดาของเศรษฐี เป็นหญิงรูปร่างงดงาม และได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เมื่อนางมีอายุได้ 16 ปี ได้หลงรักชายคนรับใช้ในบ้านของตน จึงหนีไปอยู่ ถิ่นทุรกันดาร ต่อมาตั้งครรภ์ ขอร้องให้สามีพากลับไปหาบิดามารดา แต่สามีปฏิเสธ เพราะกลัวเกรง บิดามารดาของนางจะเอาโทษ นางจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพียงล าพัง และคลอดบุตรคนแร กใน ระหว่างทาง เมื่อสามีตามไปพบ และพานางกลับบ้าน ต่อมานางได้ตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่สอง และได้ ขอร้องสามีเหมือนครั้งก่อน แต่สามีปฏิเสธค าขอร้อง นางจึงพาบุตรน้อยผู้ก าลังหัดเดินหนีออกจาก บ้าน ระหว่างทางนางปวดท้อง จะคลอดบุตร ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก สามีตามไปพบ จึงไปตัดไม้เพื่อ น ามาท าที่ก าบังฝนชั่วคราว แต่ถูกงูพิษกัดถึงแก่ความตาย นางปฏาจาราคลอดบุตร แล้วอุ้มทารกและ จูงบุตรน้อยตามไปพบศพของสามี จึงมีความเศร้าโศกเสียใจมาก ตัดสินใจจะพาบุตรไปหาบิดามารดา ในเมือง เมื่อมาถึงล าธารใหญ่ไหลเชี่ยว นางไม่อาจจะพาบุตรข้ามน้ าพร้อมกันได้ จึงให้บุตรคนโตยืนรอ ที่ฝั่งข้างหนึ่ง แล้วอุ้มทารกแรกเกิดเดินข้ามน้ าไปอีกฝั่งหนึ่ง และวางทารกน้อยไว้ที่อันเหมาะสม ขณะ เดินข้ามน้ ามาถึงกลางน้ า เพื่อรับบุตรคนโต นางเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งก าลังบินโฉบลงเพื่อจิกทารก เพราะ เข้าใจว่าเป็นก้อนเนื้อ นางจึงยกมือขึ้นไล่เหยี่ยว แต่ไม่อาจช่วยชีวิตทารกน้อยได้ บุตรคนโตมองเห็น นางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ก็เข้าใจว่ามารดาเรียก จึงก้าวลงสู่แม่น้ าอันเชี่ยวและถูกน้ าพัดพาหายไป นางปฏาจาราได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาใกล้กัน แต่นางยังตั้งสติได้ เดินร้องไห้เข้าไปสู่เมืองสาวัต ถี และได้ทราบข่าวจากชาวเมืองคนหนึ่งในระหว่างทางว่า ลมและฝนได้พัดเรือนบิดามารดาของนาง พังทลาย และทั้งบิดามารดานางก็ตายไปด้วย เมื่อนางเสียใจจนขาดสติ เป็นบ้า สลัดผ้านุ่งทิ้ง แล้ววิ่ง บ่นเพ้อ เข้าไปวัดพระเชตวันมหาวิหาร ในขณะที่พระพุทธเจ้าก าลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ผู้คนต่างขับไล่ว่า คนบ้าๆ อย่าให้เข้ามา แต่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้นางเข้ามา [11] เรื่องราวพุทธในวิธีการสอน ของพระปฏาจาราเถรี พบว่า พระพุทธเจ้า สอนให้เห็นถึงสัจ ธรรม ด้วยการเรียกให้นางคืนสติ ปรับจิตใจให้คลายโศกเศร้าและสอนสัจธรรมในชีวิต ด้วยว่าความ เป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ของผู้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม แห่งปัญจขันธ์ (ขันธ์ทั้ง 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เหล่านั้น ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็น ควา ม เกิดขึ้นและความเสื่อมแห่งปัญจขันธ์พระปฏาจาราเถรี มีความช านาญในพระวินัยมากจนได้รับการยก ย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงพระวินัย และพระปฏาจาราเถรี ได้เป็น ก าลังในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา 11 ขุ.สุ.(ไทย) 25/๑๑๑/65


10 พระราหุล พระราหุล (นามเดิม เจ้าชายราหุล) เป็นพระโอรสในเจ้าชายสิทธัตถะ(พระพุทธเจ้า) กับพระ นางยโสธรา สมัยยังเป็นสามเณรอายุ ๑๘ ปีขณะที่พระพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวัน เพื่อให้ ท่านบรรเทาความพอใจและความก าหนัด เกี่ยวกับเรือน คือ ปัญจขันธ์ (ขันธ์ทั้ง 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เหตุเกิดของพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้า ทรงแสดงตามอัธยาศัยของพระราหุล ที่ทรง ตรวจดูด้วยพระญาณก่อนเสด็จไปโปรด เรื่องราวของ พุทธในวิธีการสอน พบว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนพระราหุลให้มีส่วนร่วมในการ ถาม สนทนา โดยมี พระพุทธเจ้าทรงมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนที่จะให้พระหนุ่มๆได้เข้าใจความจริงของ ชีวิต ทรงใช้เครื่องมือที่ส าคัญ ในการสอนเรื่องขันธ์๕ คือ การเจริญอานาปานสติ พิจารณาให้สังขาร เป็นของไม่เที่ยงด้วยปัญญาของตน [12] พระราธเถระ พระราธเถระ หรือท่านพระราธะ เรื่องเกิดขึ้น ณ กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะ นั่ง ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระพุทธเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอประทานวโรกาส ขอพระพุทธเจ้า โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ซึ่งข้าพระองค์ได้ฟังแล้วจะพึงเป็นหลัก ออกไปอยู่คนเดียว ไม่ ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่เถิดพระพุทธเจ้าตรัสว่า ราธะสิ่งใดไม่เที่ยง เธอจึงละความ พอใจในสิ่งนั้น ราธะสิ่งใดเป็นทุกข์ เธอพึงละความพอใจในสิ่งนั้น ราธะสิ่งใดเป็นอนัตตา เธอพึงละ ความพอใจในสิ่งนั้น เรื่องราวของ พุทธในวิธีการสอน พบว่า พระพุทธเจ้าทรงเปิดโอกาสให้พระราธะ เข้าเฝ้า กราบทูลถามปัญหาและทรงตอบอย่างละเอียด โดยเน้นรูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์ และรูปเป็นอนัตตา และทรงสอนแนวทางปฏิบัติให้จิตหลุดพ้น ตามสภาวะความจริง ทรงสอนให้พระภิกษุราธะให้เข้า ใจความจริงในการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย [13] ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในพระเชตวัน ขณะนั้นว่า พระองค์จะทรงแสดงธรร ม บรรยายว่าด้วยการอยู่ป่าให้ฟัง จงตั้งใจฟังให้ดี เมื่อภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระด ารัสแล้ว จึงแสดง เหตุผลการอยู่ป่า ๔ ประการ 12 ธรรมไทย, ประวัติพระพุทธสาวก, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.dhammathai.org/monk/monk12.php [7 ตุลาคม 2566] 13 ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๘/๗๑


11 เรื่องราวของ พุทธในวิธีการสอน พบว่า พระพุทธเจ้าแสดงให้เห็นจุดมุ่งหมายของการบ วช และวิธีปฏิบัติธรรมได้อย่างดียิ่งโดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมนั้นต้องอาศัยสถานที่และบุคคลที่เหมาะสม ก็จริง แต่หลักการส าคัญ คือ มุ่งให้เกิดผลทางจิตใจ แม้เสนาสนะ หรือบุคคลไม่เหมาะสม ขาดแคลน ปัจจัย [14] พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม แก่ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระ มหากัสสปะ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์ และพระเถระผู้มีชื่อเสียงอีกหลายรูป ขณะประทับอยู่ในป่าโคสิงคสาลวัน แคว้นวัชชี โดยทรงปรารภค าพรรณนาความงามของป่าโคสิงคสาล วัน ของพระเถระเหล่านั้นพระเถระทั้งหลายมีท่าน พระมหาโมคคัลลานะเป็นต้น ชักชวนไปฟังธรรม จากท่านสารีบุตร เมื่อพระเถระทั้งหลายมาถึงแล้ว ท่านพระสารีบุตรกล่าวทักทายด้วยอัธยาศัย ด้วย ไมตรี แล้วตั้งปัญหา ขึ้นถามว่า ป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเช่นไร เรื่องราวของ พุทธในวิธีการสอน พบว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนแบบให้พระภิกษุสงฆ์ มีส่วน ร่วมในการแสดงทรรศนะ เกี่ยวกับความงามของป่า งามด้วยคุณสมบัติของภิกษุเช่นไร หลังจากนั้น ทรงรับรองความถูกต้อง ทรรศนะของ พระเถระทั้งหมด และยังพบว่า พระเถระผู้มีคุณธรรมพิเศษ ก็ พรรณนาว่าป่าโคสิงคสาลวันจะพึงงามด้วย ภิกษุผู้มีคุณธรรมพิเศษนั้น โดยสรุป พระเถระทั้ง ๒ รูป เห็นว่าป่านั้นงามด้วยพระขีณาสพ แต่พระผู้มี พระภาคทรงพรรณนาว่า แม้ภิกษุผู้ยังไม่มีคุณธรร ม พิเศษใด ๆ แต่มีความเพียรพยายามมุ่งมั่นว่า “ถ้ายังละอาสวะทั้งหลายไม่ได้จะไม่ลุกขึ้น” ก็ชื่อว่าเป็น การท าให้ป่านั้นงามได้ด้วย นับเป็นศตวรรษที่ นับเป็นทรรศนะที่กว้างไกล ทรงมองเห็นการส าคัญของ การปฏิบัติทุกละดับ ตั้งแต่ละ ตั้งแต่ระดับปุถุชนไปจนถึงพระอรหันต์ [15] 14 แผนพัฒนา คุณธรรมจริยธรรมจังหวัด ชัยภูมิ, พุทธโอวาท, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://164.115.22.73/ethics9/?p=126 [7 ตุลาคม 2566] 15 ธรรมไทย, ประวัติพระพุทธสาวก, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.dhammathai.org/monk/monk12.php [7 ตุลาคม 2566]


12 พุทธวิธีในการสอนที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) พุทธวิถีในการสอน การเรียนรู้เชิงรุก (active learning) -การยกอุทาหรณ์ และการเล่านิทาน ประกอบ การยกตัวอย่างประกอบ ค าอธิบาย และการเล่านิทาน ประกอบการสอนนั้น -การเรียนรู้ที่สร้างสถานการณ์ให้กับผู้เรียน -การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา ค าอุปมา จะช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก -การเรียนรู้ที่สร้างสถานการณ์ให้กับผู้เรียนและ การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการคิดขั้นสูงเพื่อพัฒนา ศักยภาพทางสมอง -การใช้อุปกรณ์การสอน ทรงใช้อุปกรณ์ การสอน ในกรณีสอนผู้เรียนที่มีอายุ -กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร หรือสารสนเทศและหลักการความคิด รวบยอด -การท าเป็นตัวอย่าง เป็นวิธีสอนที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในทางด้านจริยธรรม -การเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทางสมองและการ จัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการคิดขั้นสูง -การเล่นภาษา เล่นค่า และการใช้ค าใน ความหมายใหม่ -กระบวนการเรียนรู้ที่สร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียน และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการ คิดขั้นสูง -อุบายเลือกคน และการปฏิบัติ รายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายส าคัญ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา -การเรียนรู้ที่สร้างสถานการณ์ให้กับผู้เรียนและ การเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง -การรู้จักจังหวะและโอกาส ผู้สอนต้อง รู้จักใช้จังหวะและโอกาสให้เป็น ประโยชน์ เมื่อยังไม่ถึงจังหวะ ไม่เป็น โอกาส -การเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน กระบวนการเรียนรู้สูงสุด การเรียนรู้ทั้งในด้าน การสร้างองค์ความรู้การสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน สร้างร่วมมือกัน ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องความ รับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการท างานและ การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ ผู้สอนจะเป็นผู้ อ านวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง


13 พุทธวิถีในการสอน การเรียนรู้เชิงรุก (active learning) -ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอน สอนอย่างไม่มีอัตตา สามารถตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิเสียได้ มุ่งไปยังผลส าเร็จใน การเรียนรู้เป็นส าคัญ สุดแต่จะใช้กลวิธี ใดให้การสอนได้ผลดีที่สุด ก็จะ ท า ในทางนั้น -การเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง และ จัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่ วมใน กระบวนการเรียนรู้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้แล ะ จัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนมีส่วน ร่วมในการเรียนรู้ทั้งในด้านการสร้างองค์ควา มรู้ การสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน สร้างร่วมมือ จัดให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบร่ วมกัน การมีวินัยในการท างานและการแบ่งหน้าที่ความ รับผิดชอบ จัดก ร ะบ วน ก า ร เ รี ยนที่ส ร้ า ง สถานการณ์ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการคิด ขั้นสูง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณา การ ข้อ มูล ข่าวสาร หรือสารสนเทศและหลักการความคิด รวบยอด และผู้สอนจะเป็นผู้อ านวยความส ะดวก ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ ด้วยตนเอง จัดกระบวนการสร้างความรู้ที่เกิดจาก ประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการ สรุป ทบทวนของผู้เรียน -การลงโทษและให้รางวัล พระพุทธเจ้า ไม่ใช้ทั้งวิธีลงโทษและให้รางวัล แม้ว่า จะทรงใช้การชมเชยยกย่องบ้าง ก็เป็นไป ในรูปของการยอมรับคุณความดีของผู้ นั้น -ผู้สอนจะเป็นผู้อ านวยความสะดวกในการจัดการ เรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง และ จัดกระบวนการสร้างความรู้ที่เกิดจาก ประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรุป ทบทวนของผู้เรียน -กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหา เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นต่างครั้งต่างคราวกัน ย่อมมีลักษณะที่แตกต่างกันไปไม่มีที่ สิ้นสุด -ผู้สอนจะเป็นผู้อ านวยความสะดวกในการจัดการ เรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง และ จัดกระบวนการสร้างความรู้ที่เกิดจาก ประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรุป ทบทวนของผู้เรียน


14 สรุปความสัมพันธ์ของพุทธวิธีในการสอนกับการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) พุทธวิธีในการสอนของพุทธศาสนา และการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) มีหลักการ สัมพันธ์ร่วมกัน และสามารถเสริมสร้างร่วมกันได้หลากหลายวิธี พุทธวิธีในการสอนเน้นการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ การไตร่ตรองตนเอง และแนวทางการศึกษาแบบองค์รวม ในทางกลับกัน การเรียนรู้เชิง รุก (active learning) เป็นวิธีการสอนที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง การคิด แก้ปัญหา และน าความรู้ไปประยุกต์ ทางพุทธวิธีในการสอน มุ่งเน้นการได้รับความเข้าใจ และ ความเข้าใจนั้นโดยตรงผ่านประสบการณ์ส่วนตัว แทนที่จะพึ่งพาแหล่งข้อมูลภายนอกเพียงอย่างเดียว ความรู้ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากการลง มือปฏิบัติจริง และส่งเสริมให้นักเรียนรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง พุทธวิธีในการสอน และการ เรียนรู้เชิงรุก (active learning) เน้นย้ าถึงความส าคัญของการไตร่ตรองตนเองและการคิดเชิงวิพา กษ์ ในพุทธศาสนา ผู้เรียนได้รับการสนับสนุนให้มี การคิด แก้ปัญหา และน าความรู้ไปประยุกต์ พัฒนา ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เกี่ยวกับตนเองและสังคมรอบตัว ในท านองเดียวกัน การเรียนรู้เชิงรุก (active learning) สนับสนุนให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ข้อมูลอย่ าง มี วิจารณญาณ การถามค าถาม และสร้างการเชื่อมโยงระหว่างแนวคิดต่าง ๆ นอกจากนี้ ทั้งสองแนวทาง ยังรับรู้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างความรู้และชีวิต พุทธวิธีในการสอน เน้นย้ าถึงการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ของทุกสิ่ง ในขณะที่การเรียนรู้เชิงรุก(active learning) สนับสนุนให้นักเรียนเชื่อมโยงข้อมูลใหม่กับ ความรู้เดิมและประสบการณ์ในสังคมแห่งความเป็นจริงมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้จากประสบการณ์ การ เรียนรู้ด้วยตนเอง การสะท้อน การคิดเชิงวิพากษ์ และความเชื่อมโยงระหว่างความรู้ การบูรณาการ แนวทางเหล่านี้สามารถยกระดับประสบการณ์การเรียนรู้และส่งเสริมความเข้าใจ ของผู้เรียนเข้าใจ สังคมแห่งการเรียนรู้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


Click to View FlipBook Version