การประเมินสมรรถนะความพร้อมในการขับขี่ (Assessing Fitness to Drive)
การประเมินสมรรถนะความพร้อมในการขับขี่ A การประเมินสุขภาพทั่วไป ว่ามีโรคประจ�าตัว หรือสภาวะสุขภาพทั่วไป การประเมินสุขภาพทั่วไป (General assessment)
Bการประเมินสมรรถนะ ของผู้ขับขี่ยานยนต์ B1. การประเมินการรับรู้ การคิดวิเคราะห์และ การประเมิน เพื่อค้นหาโรคทางจิตเวช (Perception, Cognitive function, and Psychiatric assessment) a. ใช้แบบทดสอบ MMSE Thai 2002, Stroop test b. คัดกรองภาวะทางจิตเบื้องต้น : ใช้แบบคัดกรองภาวะทางจิต
B2. การรับความรู้สึก (Sensory input) ระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมา เพื่อท�าหน้าที่ในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ที่มากระตุ้นร่างกายในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การตรวจตา การมองเห็น ลานสายตา ตาบอดสี การตรวจหู การได้ยิน
B3. การท�างานของระบบกล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหว (Motor function and coordination) การตรวจการท�ำงานที่ควบคุมด้วยเส้นประสาทสมอง, การใช้งาน ของกล้ามเนื้อ ความสัมพันธ์การเคลื่อนไหวของอวัยวะ ประกอบด้วย a. ก�ำลังของกล้ามเนื้อ (Motor power) b. การเคลื่อนไหวของข้อ (Range of motion and stiffness) c. การประสานงานของอวัยวะ (Coordination) เช่น - Rapidly Alternating Movement Evaluation - Point-to-Point Movement Evaluation: Finger to nose test
C การประเมินสมรรถนะผู้ขับขี่เฉพาะโรค 1. โรคและความผิดปกติทางระบบประสาท (Neurological disorders) 2. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disorders) 3. โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) 4. โรคทางจิตเวช (Psychiatric disorders) 5. การใช้ยาเสพติดและโรคติดสุรา (Drug or Alcohol misuse or dependence) 6. ความผิดปกติของไตและระบบทางเดินหายใจ (Renal and Respiratory disorders) 7. ความผิดปกติทางสายตา (Visual disorders) 8. กลุ่มโรคอื่นๆ (Miscellaneous conditions)
โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก ลมชักและอาการชัก (Seizure and epilepsy) ห้ามขับขี่ และต้องแจ้งหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ อาจพิจารณาการออกใบขับขี่ให้หากไม่มีอาการ หมดสติและอาการของโรคลมชัก เป็นเวลา 2 ปี ปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่ พิจารณาการออกใบขับขี่ให้ได้หากไม่มีอาการชักจากโรคลมชักในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาและไม่ได้ใช้ยาใด ๆ เพื่อรักษาโรคลมชัก และไม่มีอาการคล้าย โรคลมชักที่แน่ชัด (Epileptiform activity) จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ภายใน 6 เดือน 1 โรคทางระบบประสาท (Neurological Disorders) ผู้ขับขี่ต้องตรวจประวัติรักษาโรคทางระบบประสาท ตรวจร่างกาย ตรวจ ECG ตรวจ Visual field หากเคยมีประวัติการรักษาโรคทางสมอง จะต้องมีผล CT brain หลังการรักษา ภาวะบาดเจ็บที่สมอง (Traumatic Brain Injury) ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง (Subdural Hematoma) ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (Subarachnoid Hemorrhage) เนื้องอกในสมอง (Benign Brain Tumors) โรคมะเร็งสมอง (Malignant Brain Tumors) ห้ามขับขี่ และต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ ให้มีการประเมินส�ำหรับการออกใบขับขี่เป็นรายบุคคล โดยดูจากหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจน หน่วยงาน ตรวจสอบใบขับขี่เป็นประจ�ำทุกปี ห้ามขับขี่ และต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ อาจพิจารณาออกใบขับขี่ใบใหม่ 1 ปีหลังจากเสร็จสิ้น การรักษาเบื้องต้น หากผู้ป ่วยไม ่มีอาการป ่วยเกิดซ�้ำ อาจพิจารณาออกใบขับขี่ใหม ่ 2 ปีหลังจากเสร็จสิ้น การรักษาเบื้องต้น หากไม่มีอาการชัก ห้ามขับขี่ หน่วยงานจะท�ำการปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่ ต้องหยุดการขับขี่ เป็นเวลา 12 เดือน แต่หน่วยงานอาจพิจารณาออกใบขับขี่ใบใหม่ได้หลังจาก ผู้ป่วยมีการสแกนสมอง 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 12 เดือน และผลตรวจแสดง ให้เห็นว่ารอยโรคมีอาการคงที่ หน่วยงานปฏิเสธการออกใบขับขี่หรือเพิกถอนใบขับขี่อย่างถาวร ห้ามขับขี่ แต่อาจจ�ำเป็นต้องแจ้งหน่วยงานผู้ออก ใบอนุญาตขับขี่ พิจารณาออกใบขับขี่ใบใหม่ให้หลังจาก 6 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้้นอยู่่กัับอาการที่่อาจส่่งผลต่่อการขัับขี่่ หน่วยงานจะท�ำการปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่
เนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง (Pituitary Tumor) ภาวะโพรงสมองคั่งน�้ำ (Hydrocephalus) โรคหลอดเลือดในสมองโป่งพอง (Intracranial Aneurysm) โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ (Arteriovenous malformation - AVM) ภาวะที่หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดด�ำ เชื่อมต่อกันอย่างผิดปกติ (Dural Arteriovenous Fistula) ภาวะกระจุกเส้นเลือดผิดปกติ (Cavernous Malformation) พบโรค โดยบังเอิญโดยไม่มีภาวะเลือดออก ห้ามขับขี่และต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ สามารถกลับมาขับขี่ได้เหมือนเดิม หลังการรักษา สมบูรณ์6 เดือน หากไม่มีความผิดปกติของลานสายตา ขับขี่ได้หากไม่มีอาการแสดง โดยใช้ใบขับขี่แบบปกติ จะมีการประเมินส�ำหรับการออกใบขับขี่เป็นรายบุคคล จากหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจนและหน่วยงาน จะตรวจสอบใบขับขี่เป็นประจ�ำทุกปี ห้ามขับขี่ แต ่ไม ่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้หน ่วยงานผู้ออก ใบอนุญาตขับขี่ สามารถกลับมาขับขี่ได้เหมือนเดิมหลังจากการฟื้นตัว จากอาการหรือรักษาสมบูรณ์แล้ว ห้ามขับขี่และต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ อาจพิจารณาออกใบขับขี่ใบใหม่ 2 ปีหลังการรักษา ผู้ขับขี่จะต้องไม่มี ความผิดปกติจากอาการป่วยหลงเหลืออยู่ ห้ามขับขี่ หน่วยงานจะท�ำการปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่ ห้ามขับขี่ หน่วยงานจะท�ำการปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่ โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก 1 โรคทางระบบประสาท (Neurological Disorders) (ต่อ)
การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึกด้วยไฟฟ้า (Deep Brain Stimulation) การใส่เครื่องกระตุ้นสมองเพื่อบรรเทาอาการปวด (Implanted Motor Cortex Stimulator For Pain Relief) การผ่าตัดผ่านกล้องส่องทางศัลยกรรมประสาท (Neuroendoscopic procedures) อุปกรณ์วัดความดันในกะโหลกศีรษะ (Intracranial Pressure Monitoring Device) การใส่ท่อระบายในโพรงสมอง(Intraventricular Shunt) ห้ามขับขี่หน่วยงานจะท�ำการปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่ ถุงน�้ำในสมอง (Arachnoid Cysts) คอล์ลอยด์ซีสต์(Colloid Cysts) ผู้ป่วยที่ไม่จ�ำเป็นต้องมีการรักษา รักษาโดยการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ (craniotomy) และ/หรือการส่องกล้อง (endoscopically) ห้ามขับขี่ และต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ อาจออกใบขับขี่หรือเปลี่ยนใบขับขี่ให้ใหม่ได้หลังจาก 6 เดือน ถ้าหากต้นก�ำเนิดของความเจ็บปวดไม่ได้มาจากสมอง หากสาเหตุทางกายวิภาคมาจากสมอง อาจออกใบขับขี่ / หรือ เปลี่ยนใบขับขี่ให้ใหม่ได้หลังจาก 12 เดือน ถ้าหากผู้ขับขี่ไม่มี ความผิดปกติจากอาการป่วยหลงเหลืออยู่ สามารถขับขี่ได้และไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้ทราบ ห้ามขับขี่ แต่ไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้ทราบ สามารถขับขี่ได้หากมีผลรับรองทางการแพทย์ว่าตนไม่มีความผิดปกติจากอาการป่วย ที่กระทบต่อการขับขี่อย่างปลอดภัย สามารถขับขี่ได้และไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้ทราบ ห้ามขับขี่ เป็นระยะเวลา 6 เดือนและต้องแจ้งให้หน่วยงาน ผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ อาจพิจารณาออกใบขับขี่ใบใหม่ 6 เดือนหลังการรักษา ห้ามขับขี่หน่วยงานจะท�ำการปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่ สามารถขับขี่ได้และไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้ทราบ ห้ามขับขี่ หน่วยงานจะท�ำการปฏิเสธหรือเพิกถอน ใบขับขี่ อาจพิจารณาออกใบขับขี่ใบใหม่ 2 ปีหลังการรักษา โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก โรคสมองน้อยย้อย (Chiari Malformation) ผู้ป่วยที่ไม่จ�ำเป็นต้องมีการรักษา การผ่าตัดรักษา / Foramen MagnumDecompression 1 โรคทางระบบประสาท (Neurological Disorders) (ต่อ)
Angina 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disorders) โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก ให้ประเมินจากประวัติการรักษาและผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ให้ประเมินจากประวัติการรักษา ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และผลการตรวจ Echocardiogram ห้ามขับขี่เมื่อมีอาการกลับมาขับขี่ได้เมื่ออาการหายไป ห้ามขับขี่เมื่อมีอาการ กลับมาขับขี่ได้6 สัปดาห์หลังอาการหายไป Aortic aneurysm สามารถขับขี่ได้หากหลอดเลือดโป่งพองมีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 6 ซม. สามารถขับขี่ได้หากหลอดเลือดโป่งพองมีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 5.5 ซม. Hypertension สามารถขับขี่ได้หาก ความดันโลหิตมีค่าน้อยกว่า 180/110 mmHg Arrhythmias สามารถขับขี่ได้หากสามารถควบคุมภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias) ได้ เป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์และสามารถหาสาเหตุของอาการป่วยที่เป็นอยู่ได้ สามารถขับขี่ได้หากสามารถควบคุมภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias) ได้เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน และสามารถหาสาเหตุของอาการป่วยที่เป็นอยู่ได้ Complete heart block สามารถขับขี่ได้หากไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่ได้ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ แล้ว สามารถขับขี่ได้หากไม่มีอาการ Pacemaker implant ACS/Myocardial infarction MI ในกรณีท�ำ PCI ACS/MI ในกรณีท�ำ CABG Cardiomyopathy Takosubo’s cardiomyopathy สามารถกลับมาขับขี่ได้1 สัปดาห์ หลังจากมีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (ACS) หากการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดผ่านสายสวน (PCI) ประสบความ ส�ำเร็จและมีLV Ejection Fraction อย่างน้อย 40% สามารถกลับมาขับขี่ได้4 สัปดาห์ หลังจากมีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (ACS) หากการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดผ่านการผ่าตัด CABG ประสบ ความส�ำเร็จและมีLV Ejection Fraction อย่างน้อย 40% สามารถขับขี่ได้หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน สามารถขับขี่ได้หลังจากรักษาประสบความส�ำเร็จ 1 สัปดาห์ สามารถขับขี่ได้หลังผ่านไป อย่างน้อย 6 สัปดาห์ถ้าหากการรักษาโรคหัวใจ และหลอดเลือดผ่านสายสวน (PCI) ประสบความส�ำเร็จและผู้ป่วยมีค่า LV Ejection Fraction อย่างน้อย 40% สามารถขับขี่ได้หลังผ่านไป อย่างน้อย 3 เดือน หากการรักษาโรคหัวใจและ หลอดเลือดผ่านการผ่าตัด CABG ประสบความส�ำเร็จและมีLV Ejection Fraction อย่างน้อย 40% สามารถขับขี่ได้หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน และต้องมีค่า LVEF > 40% สามารถขับขี่ได้หลังจากรักษาประสบความส�ำเร็จ 6 สัปดาห์ ห้ามขับขี่เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลังจากท�ำการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า หัวใจ และการผ่าตัดเปลี่ยนเครื่องกระตุ้นหัวใจใหม่ ห้ามขับขี่เป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หลังจากท�ำการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า หัวใจและการผ่าตัดเปลี่ยนเครื่องกระตุ้นหัวใจใหม่
Hypoglycemia Hypoglycemic provoked seizure Diabetes ขับขี่ได้หากไม่มีภาวะนี้ ห้ามขับขี่ มีความตระหนักถึงสัญญาณเตือนเมื่อตนเองเกิดภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำ (Adequate Awareness of Hypoglycemia) และ ภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำระดับรุนแรง (Severe Hypoglycemia) ไม่เกิน 1 ครั้ง ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาและ อาการที่เกิดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นนานกว่า 3 เดือนก่อน วัดระดับน�้ำตาลได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ผ่านการทดสอบสายตาและลานสายตา 3 โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก ให้ประเมินจากประวัติการรักษาและผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
Anxiety Depression Schizophrenia และ Psychotic disorder Mania/hypomania Personality disorder เงื่อนไขเพิ่มเติมทุกกรณี : จะสามารถขับขี่ได้เมื่อให้ความร่วมมือในการรักษา ไม่ได้รักษาโดยยาที่รบกวนการขับขี่ และได้รับการประเมินและรับรองโดยแพทย์ที่ดูแลรักษา Dementia/Learning disability/ Behavioral disorders ขับขี่ได้หากไม่ได้อยู่ในระดับร้ายแรง ขับขี่ได้หากไม่ได้อยู่ในระดับร้ายแรง ขับขี่ได้หากไม่ได้อยู่ในระดับร้ายแรง กรณีอาการก�ำเริบจะไม่สามารถขับขี่ได้ สามารถขับขี่ได้เมื่อเข้าเงื่อนไข ดังนี้ อาการสงบและคงที่อย่างน้อย 3 เดือน ไม่สามารถขับขี่ได้ในกรณีอยู่ในช่วงอาการก�ำเริบ สามารถขับขี่ได้เมื่อเข้าเงื่อนไข ดังนี้ อาการสงบและคงที่อย่างน้อย 3 เดือน (กรณีอาการคงที่) หรืออย่างน้อย 6 เดือน (กรณีมีประวัติอาการก�ำเริบ มากกว่าหรือเท่ากับ 4 ครั้งใน 12 เดือนที่ผ่านมา) ขับขี่ได้หากไม่ใช่ severe personality disorder กรณีอาการก�ำเริบจะไม่สามารถขับขี่ได้ สามารถขับขี่ได้เมื่อเข้าเงื่อนไข ดังนี้ อาการสงบและคงที่อย่างน้อย 12 เดือน ไม่สามารถขับขี่ได้ในกรณีอยู่ในช่วงอาการก�ำเริบ สามารถขับขี่ได้เมื่อเข้าเงื่อนไข ดังนี้ อาการสงบและคงที่อย่างน้อย 12 เดือน ไม่สามารถขับขี่ได้ 4 โรคทางจิตเวช (Psychiatric Disorders) โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก แบบคัดกรองที่ใช้ในการประเมินความพร้อมในการขับขี่ของผู้ที่มีโรคหรือภาวะทางจิตเวช 1) แบบคัดกรองทั่วไป : แบบคัดกรองโรคจิต (คัดกรองผู้ป่วยจิตเวชโดยรวมในทุกกรณี) 2) แบบคัดกรองเฉพาะโรค : แบบวัดความเครียด กรมสุขภาพจิต แบบประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า 2 ค�ำถาม และ 9 ค�ำถาม แบบประเมินการฆ่าตัวตาย 8 ค�ำถาม เกณฑ์คัดกรองผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง แบบทดสอบ MMSE (Mini-Mental state examination : Thai version) หรือแบบทดสอบด้านอารมณ์และสมาธิ(Stroop Test)
1) การดื่มสุรามากเกินไป ภาวะการติดสุรา (Persistent alcohol misuse) ได้รับการยืนยัน โดยข้อมูลทางการแพทย์และ / หรือ ค่าแอลกอฮอล์ในเลือด* 2) อาการติดยาเสพติดและ โรคติดสุราได้รับการยืนยัน โดยข้อมูลทางการแพทย์ 3) การติดสุรา จนเกิดสภาวะ hepatic cirrhosis with chronic encephalopathy ห้ามขับขี่/แจ้งกรมการขนส่งทางบก ปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่จนกว่า.. - สามารถควบคุมหรืองดเว้นการดื่มสุราได้อย่างน้อย 6 เดือน และมีค่าแอลกอฮอล์ในเลือดน้อยกว่า 50 mg / dl - ผล AUDIT test อยู่ในระดับผู้ดื่มแบบความเสี่ยงต�่ำ ห้าม/แจ้งกรมการขนส่งทางบก ปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่จนกว่า.. - จะเลิกสุราได้อย่างน้อย 1 ปีโดยจ�ำเป็นต้องงดเว้นการดื่ม และมีค่าแอลกอฮอล์ในเลือดน้อยกว่า 50 Mg / dl - ผล AUDIT test อยู่ในระดับผู้ดื่มแบบความเสี่ยงต�่ำ ห้ามขับขี่/แจ้งกรมการขนส่งทางบก ปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่จนกว่า.. - สามารถควบคุมหรืองดเว้นการดื่มสุราได้อย่างน้อย 1 ปี และมีค่าแอลกอฮอล์ในเลือดน้อยกว่า 50 mg / dl - ผล AUDIT test อยู่ในระดับผู้ดื่มแบบความเสี่ยงต�่ำ ห้าม/แจ้งกรมการขนส่งทางบก ปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่จนกว่า.. - จะเลิกสุราได้อย่างน้อย 3 ปีโดยจ�ำเป็นต้องงดเว้นการดื่ม และมีค่าค่าแอลกอฮอล์ในเลือดน้อยกว่า 50 Mg / dl - ผล AUDIT test อยู่ในระดับผู้ดื่มแบบความเสี่ยงต�่ำ ห้ามขับขี่ / แจ้งกรมการขนส่งทางบก ( 5 การใช้ยาเสพติดและโรคติดสุรา (Drug or Alcohol Misuse or Dependence) (ต่อ) โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก 5.1 โรคติดสุรา (Alcohol dependence) ให้ประเมินจากประวัติ ตรวจร่างกาย และ ผล AUDIT test *การดื่มในปริมาณที่เหมาะสมการดื่ม โดยยึดหลักเกณฑ์ด้านสุขภาพที่รัฐบาลแนะน�ำ (ปัจจุบันคือ 14 หน่วยต่อสัปดาห์)
1) ปัญหาจากการใช้สารเสพติดกลุ่มตัวยา : - Cannabis - Methamphetamine - MDMA - Ketamine - สารที่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาทอื่น ๆ รวม ถึงสารเสพติด LSD และ hallucinogens 2) ปัญหาจากการใช้สารเสพติดกลุ่มตัวยา : - Heroin - Morphine - Methadone* - Cocaine - Methamphetamine* - Benzodiazepines* ห้ามขับขี่ / แจ้งกรมการขนส่งทางบก หากผลยืนยันว ่ามีปัญหาดังกล ่าวจริง ให้ปฏิเสธหรือ เพิกถอนใบขับขี่เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน จนกว่าจะไม่มี การใช้ยาในทางที่ผิด / อาการผิดปกติใดใด การออกใบขับขี่ใบใหม่ อาจต้องมีการประเมินทางการ แพทย์และท�ำการตรวจปัสสาวะ โดยกรมการขนส่งทางบก ห้าม/แจ้งกรมการขนส่งทางบก หากผลยืนยันว ่ามีปัญหาดังกล ่าวจริง ให้ปฏิเสธหรือ เพิกถอนใบขับขี่เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปีจนกว่าจะไม่มี การใช้ยาในทางที่ผิด/อาการผิดปกติใดใด การออกใบขับขี่ใบใหม่ อาจต้องมีการประเมินทางการ แพทย์และท�ำการตรวจปัสสาวะ โดยกรมการขนส่งทางบก ห้ามขับขี่/แจ้งกรมการขนส่งทางบก หากผลยืนยันว ่ามีปัญหาดังกล ่าวจริง ให้ปฏิเสธหรือ เพิกถอนใบขับขี่เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปีจนกว่าจะไม่มี การใช้ยาในทางที่ผิด / อาการผิดปกติใดใด การออกใบขับขี่ใบใหม่ อาจต้องมีการประเมินทางการ แพทย์และท�ำการตรวจปัสสาวะ โดยกรมการขนส่งทางบก ห้าม/แจ้งกรมการขนส่งทางบก หากผลยืนยันว ่ามีปัญหาดังกล ่าวจริง ให้ปฏิเสธหรือ เพิกถอนใบขับขี่เป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปีจนกว่าจะไม่มี การใช้ยาในทางที่ผิด/อาการผิดปกติใดใด การออกใบขับขี่ใบใหม่ อาจต้องมีการประเมินทางการ แพทย์และท�ำการตรวจปัสสาวะ โดยกรมการขนส่งทางบก โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก 5.2 ปัญหาจากการใช้สารเสพติด (Drug misuse or dependence) ประเมินจากประวัติการรักษา และการตรวจสารเสพติด * ยกเว้นการบ�ำบัด ตามที่แพทย์สั่งเพื่อการบ�ำบัดตามปริมาณมาตรฐาน โดยที่ไม่พบว่าผู้ป่วยมีสมรรถนะทางร่างกายแย่ลง จะไม่นับเป็นการใช้ในทางที่ผิดหรือการติดยา (แม้ว่าอาจมีอาการติดยาอยู่จริงก็ตาม) และสามารถพิจารณาซ�้ำเมื่อหยุดการรักษา
ต้อกระจก (Cataract) ตาฟางตอนกลางคืน (Nyctalopia) ภาวะตาปิดเกร็ง (Blepharospasm) ภาวะตากระตุก (Nystagmus) ภาวะเห็นภาพซ้อน (Diplopia) ภาวะการมองเห็นด้วยตาข้างเดียว (Monocular Vision) ห้ามขับขี่และต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบก ต้องผ่านการทดสอบ Visual acuity และ visual field ห้ามขับขี่และต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบก อาจขับขี่ได้เหมือนเดิมหลังจากที่ ได้รับการยืนยันว่า ผู้ป่วยควบคุมภาวะเห็นภาพซ้อน (Diplopia)ได้แล้วด้วย วิธีการ : การใส่แว่นตา หรือ ใช้ผ้าปิดตาระหว่างขับขี่ ห้ามขับขี่และต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบก ห้ามขับขี่และต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบก ต้องมีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานขั้นต�่ำที่ก�ำหนดไว้ ห้ามขับขี่ และต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบก อาจออกใบขับขี่ให้ได้โดยจะพิจารณาเป็นรายบุคคล หากผู้ขับขี่ผ่านการทดสอบสายตา และการรักษาเป็นไปตามมาตรฐาน ห้ามขับขี่และต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบก ไม่ออกใบขับขี่ให้กรณีอาการรุนแรงแม้ว่าจะรักษาหาย อาจออกใบขับขี่ให้กรณีอาการเล็กน้อยและผู้เชี่ยวชาญยอมรับหรือผู้ป่วยฉีดโบทูลินัมท็อกซิน (Botulinum Toxin) เพื่อควบคุมภาวะตาปิดเกร็ง (Blepharospasm) ผ่านการทดสอบทางสายตาในการขับขี่และมีการแจ้งปัญหาสุขภาพ 6 ความผิดปกติทางสายตา (Visual Disorders) โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก ให้ประเมินจากประวัติการรักษาและการตรวจร่างกาย ตามขั้นตอนคัดกรองเบื้องต้น และมีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานขั้นต�่าที่ก�าหนด ร่วมกับการพิจารณา ดังต่อไปนี้
โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับไต (All Other Renal Disorders) การล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง (Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis) หรือการฟอกไต (Hemodialysis) ภาวะไตวายเรื้อรัง (Chronic Renal Failure) โรคระบบทางเดินหายใจ (Disorders of Respiratory Function) โรคหอบหืด (Asthma) และโรคปอดอุดกั้น เรื้อรัง (COPD) สามารถขับขี่ได้และไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบ อนุญาตขับขี่ทราบหากไม่มีภาวะแทรกซ้อน สามารถขับขี่ได้และไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบ อนุญาตขับขี่ ทราบ เว้นแต่ผู้ป่วยจะมีภาวะแทรกซ้อน** พิจารณาอาการและภาวะแทรกซ้อน *หากมีจะถูกปฏิเสธหรือเพิกถอนใบขับขี่ ต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ทราบ สามารถขับขี่ได้และไม ่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้หน่วยงานออกใบ อนุญาตขับขี่ ทราบ เว้นแต่ผู้ป่วยจะมีภาวะแทรกซ้อน** พิจารณาอาการและภาวะแทรกซ้อน *หากมีหน่วยงานจะไม่ออกใบขับขี่ให้ สามารถขับขี่ได้และไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ทราบ ยกเว้น ผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพที่อาจท�ำให้สูญเสียสมรรถภาพในการขับขี่ 7 ความผิดปกติของไต และโรคทางระบบทางเดินหายใจ (Renal and Respiratory Disorders) โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทางและรถบรรทุก เกณฑ์การประเมินสุขภาพก่อนท�าใบขับขี่ในผู้ที่มีความผิดปกติของไต เกณฑ์การประเมินสุขภาพก่อนท�าใบขับขี่ในผู้ที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจ *อาการและภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกายขั้นรุนแรง (Severe Electrolyte Disturbance) หรือ อาการมึนเวียนศีรษะ (Dizziness) หรืออาการเป็นลมที่ท�ำให้สูญเสียสมรรถภาพในการขับขี่โดยฉับพลัน **ภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ อาการเป็นลมเพราะไอ (Cough Syncope), อาการเวียนศีรษะที่ท�ำให้สูญเสียสมรรถภาพในการขับขี่ (Disabling Dizziness), เป็นลม (Fainting) หรือ ภาวะหมดสติ (Loss of Consciousness)
ผู้ขับขี่มีภาวะง่วงนอนมากผิดปกติที่เกิดจาก ปัญหาสุขภาพ (Mild Obstructive Sleep Apnea Syndrome) - มะเร็ง (Cancers) ทั้งสองกลุ่มจะได้รับผลกระทบ การใส่เครื่องกระตุ้น (Devices or implants) ภาวะสมองท�ำงานลดลง (Cognitive Decline or Impairment) การปลูกถ่ายอวัยวะ (Transplant) ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea Syndrome) ห้ามขับขี่ สามารถกลับมาขับขี่ได้เหมือนเดิมต่อเมื่อสามารถควบคุมอาการได้ ในระดับที่น่าพอใจแล้ว จะต้องได้รับการประเมิน แต่อาจไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ สามารถขับขี่ได้และไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ ห้ามขับขี่ และต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ สามารถขับขี่ได้และไม่จ�ำเป็นต้องแจ้งให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ ห้ามขับขี่ สามารถกลับมาขับขี่ได้เหมือนเดิมต่อเมื่อสามารถควบคุมอาการได้ ในระดับที่น่าพอใจแล้ว - ประวัติการรักษา - การตรวจร่างกาย - การตรวจการนอนหลับ (Sleep test) - ประวัติการรักษา - การตรวจร่างกาย - ประวัติการรักษา - การตรวจร่างกาย - ประวัติการรักษา - การตรวจร่างกาย - ประวัติการรักษา - การตรวจร่างกาย - ประวัติการรักษา - การตรวจร่างกาย - การตรวจการนอนหลับ (Sleep test) 8 ภาวะอื่นๆ (Miscellaneous Conditions) โรค/ภาวะ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถสาธารณะ รถประจ�าทาง และรถบรรทุก การตรวจประเมิน ภาวะและโรคอื่นๆที่ต้องประเมินความพร้อมในการขับขี่ เช่น ภาวะง่วงนอนมากผิดปกติ (Excessive sleepiness) กลุ่มอาการที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea Syndrome) อาจเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นชั่วคราว (Temporary Medical Conditions) เช่น กระดูกหัก (Fractures) และ ผลข้างเคียงจากยา (Medication Effects) จะต้องผ่านเกณฑ์ประเมินสุขภาพโดยดุลพินิจของแพทย์ พิจารณาจาก 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1) โรค / ภาวะ 2) ประเภทของการขับขี่ (ส่วนบุคคล / สาธารณะ) 3) การตรวจประเมิน ตามตารางตัวอย่างเกณฑ์การประเมินสุขภาพก่อนท�ำใบขับขี่ในภาวะและโรคอื่นๆ หมายเหตุ : หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตขับขี่ (กรมการขนส่งทางบก) การขับขี่หลังการผ่าตัด (Driving after surgery) และปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นชั่วคราว (Temporary Medical Conditions) ผู้ถือใบขับขี่ที่ประสงค์จะขับรถหลังการผ่าตัดควรปรึกษาแพทย์ประจ�ำตัว ว่าเมื่อใดจึงจะสามารถท�ำได้อย่างปลอดภัย ตัวอย่างสภาวะที่สามารถมีผลกระทบต่อการขับขี่ของผู้ขับขี่เป็นระยะเวลาชั่วคราว เช่น กระดูกหัก (Fractures) แพทย์ที่รักษาควรให้ค�ำแนะน�ำว่าเมื่อใดผู้ป่วยจึงจะสามารถกลับมาขับขี่ได้เหมือนเดิม ผลข้างเคียงจากยา กลุ่มยาที่ต้องพิจารณาในการใช้ผลคือท�ำให้ง่วงซึมและท�ำให้เกิดอันตรายขณะขับขี่ เช่น ยาเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) ยารักษาโรคซึมเศร้า (Antidepressants) ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotics) และสารโอปิออยด์(Opioids)
การประเมินสมรรถนะความพร้อม QR CODE ภาพพลิก การประเมิินสมรรถนะความพร้้อมในการขัับขี่่ (ASSESSING FITNESS TO DRIVE) QR CODE คู่มือบรรยาย การประเมิินสมรรถนะความพร้้อมในการขัับขี่่ (ASSESSING FITNESS TO DRIVE) (ASSESSING FITNESS TO DRIVE) สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค Institute For Urban Disease Control And Prevention ในการขับขี่