คำนำ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book) เรื่องอัตราภาษี การนำเข้าส่งออกสินค้า เพื่อนำไปใช้สำหรับการเรียนรู้ส่วนนักเรียนจะได้เรียนรู้การศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับอัตราภาษีการนำเข้าส่งออกจัดทำหนังสือเล่มนี้ เพื่อศึกษาการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เรื่องอัตราภาษีการนำเข้าส่งออกให้นักเรียนเกิดความรู้เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน จัดทำโดย
สารบัญ หน้า คำนำ ก อัตราภาษีการนำเข้าส่งออก 1 ประเทศไทยนำเข้าสินค้า 2 ตลาดนำเข้าสินค้า 3 การคิดภาษีสินค้านำเข้า 4 ความรู้ทั่วไปของช่องทางการขนส่ง 5 ปัจจัยที่มีผลต่อราคาการขนส่ง 6-8 การส่งออกสินค้า 9 ตลาดส่งออก 10 ความรู้ทั่วไปของช่องทางการขนส่ง 11-13 เอกสารเอกอ้าง 14
ภาษีอากรนำเข้า คือ ภาษีที่รัฐเรียกเก็บจากผู้นำสินค้าเข้ามาในประเทศไทย โดยผ่านพิธีการ ศุลกากร ไม่ว่าจะนำเข้ามาทางน้ำ ทางบก หรือทางอากาศก็ตาม เพื่อนำไปพัฒนาประเทศ ภาษีศุลกากร (Customs Duties) ภาษีนำเข้าแบ่งออกเป็น 4 หมวด โดยมีอัตราตั้งแต่ 0-35% ดังนี้ 1. สินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึง รถยนต์ ไวน์ บุหรี่ น้ำหอม อาวุธ และเครื่องสำอาง อัตราภาษี 35% (รถยนต์ต้องเสียภาษีเพิ่มตามกำลังเครื่องยนต์) 2. สินค้าสำเร็จรูปทุกชนิด รวมถึงโทรทัศน์ วิทยุ เครื่องเล่นเทป สีทาบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ อัตราภาษี 35% 3. เครื่องจักรกลและอุปกรณ์อัตราภาษี 15% 4. วัสดุ เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็ก กระเบื้อง อิฐ และของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ชา น้ำมันพืช น้ำตาล สบู่ รองเท้า แว่นตา เสื้อผ้า และรถจักรยาน อัตราภาษี 7% สินค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีนำเข้า : อุปกรณ์เครื่องมือและวัสดุการเกษตร อุปกรณ์ และวัสดุ ประกอบการเรียน (แต่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ร้อยละ 10) ผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค และอุปกรณ์ กีฬา บทที่ 01 อัตราภาษีการนำเข้าและส่งออกสินค้า
ประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้า โครงสร้างการนำเข้าสินค้า การนำเข้าสินค้าของไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 มีมูลค่า 74,545.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหมวดสินค้าหลักมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ สินค้าเชื้อเพลิง มีมูลค่าการนำเข้า 74,545.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 86.3 ตัวอย่างสินค้า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าซ รีฟอร์เมต ก๊าซโพรเพน ก๊าซบิวเทน ก๊าซโพรพิลีน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันดีเซล เอทานอล และไบโอดีเซล สินค้าทุน มีมูลค่าการนำเข้า 17,319.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 12.0 ตัวอย่างสินค้า เป็นสินค้าที่ช่วยในการผลิต เช่น เครื่องจักรที่ใช้บดมันสัปปะหลังกับอ้อย สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป มีมูลค่าการนำเข้า 30,347.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 7.3 ตัวอย่างสินค้า ธัญพืช แป้ง ผลิตภัณฑ์กระดาษต่างๆ อาหารแช่เย็น และอื่นๆ สินค้าอุปโภคบริโภค มีมูลค่าการนำเข้า 8,562.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 10.9 ตัวอย่างสินค้า ผัก ผลไม้ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องใช้ตกแต่งบ้าน เวชกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ ยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง มีมูลค่าการนำเข้า 3,005.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 20.2 ตัวอย่างสินค้า รถจักรยาน รถจักรยานยนต์ รถยนต์ ยางรถยนต์ รถบรรทุก และอื่นๆ สินค้าหมวดอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่น ๆ มีมูลค่าการนำเข้า 1,042.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 1,965.4 ตัวอย่างสินค้า อาวุธต่างๆ กระสุน วัตถุระเบิด และรถถัง 2 ประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้า
ตลาดนำเข้าสินค้า สัดส่วนการนำเข้าแยกตามตลาดนำเข้าสำคัญ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ตลาดนําเข้าสําคัญของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกตลาด โดยจีนขยายตัวมากที่สุด ลําดับถัดมา คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) และญี่ปุ่นทั้ง 5 ตลาดมีสัดส่วนการนำเข้ารวมร้อยละ 65.2 และการนำเข้าจากตลาดอื่น ๆ ร้อยละ 34.8 ของการนําเข้าทั้งหมด โดยมีรายละเอียด ดังนี้ สัดส่วนการนำเข้าของไทย จากจีน อาเซียน (9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) และสหรัฐอเมริกา คิดเป็นร้อยละ 23.6, 17.7, 12.1, 6.2 และ 5.5 ตามลําดับ อัตราการขยายตัวของการนำเข้า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดหลักขยายตัว ทุกตลาด โดยจีนขยายตัวมากที่สุดร้อยละ 19.2 อาเซียนขยายตัวร้อยละ 17.4 สหรัฐอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 16.7 สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) ขยายตัวร้อยละ 10.8 และญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 0.6 ที่มา : กระทรวงพาณิชย์ 3 ตลาดนำเข้าสินค้า
วิธีการจัดเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้า ใช้ราคา CIF เป็นฐานราคาในการจัดเก็บ โดยมีวิธีคำนวณ หาค่าของอัตราภาษีเฉพาะอย่าง ดังนี้ ราคามูลค่าสินค้า C.I.F (USD) A คูณ แปลงเป็นสกุลเงินเรียล (K) Exchange Rate ราคามูลค่าสินค้า C.I.F (K) B นำราคามูลค่าสินค้า C.I.F (K) B คูณ Customs Duty Rate XX% CD (Customs Duty) C นำ Customs Duty (C) + C.I.F (B) D Value Added Tax Rate 10% 10% VAT (Value Added Tax) E นำ VAT (E) + CD (C) + C.I.F (B) F คูณ Special Tax Rate XX% ST (Special Tax) G อัตราภาษีนำเข้าทั้งสิ้น = C + E + G 4 การคิดค่าภาษีสินค้านำเข้า
วามรู้ทั่วไปของช่องทางการขนส่ง ช่องทางการส่ง รายละเอียด 1. การขนส่งทางบก • ประเภทการขนส่ง แบ่งได้ 2 ประเภท 1) LTL (Less thantruck load) เป็นการขนส่งแบบไม่เต็มตู้ สินค้ารวมกันหลายเจ้า 2) FTL (Full truck load) แบบเหมาเต็มคันเจ้าเดียว • การคำนวณราคาสามารถทำได้ 2 แบบ คือ - การคำนวณตามขนาดสินค้าจริง - การคำนวณตามน้ำหนักสินค้าจริง 2. การขนส่งทางเรือ การขนส่งทางเรือมีราคาการขนส่งถูกที่กว่าการขนส่งประเภทอื่นๆ • ประเภทการขนส่ง แบ่งได้ 2 ประเภท 1) LCL (Less Than Container load) แบบไม่เต็มตู้คอนเทนเนอร์ 2) FCL (Full Container load) แบบเหมาตู้คอนเทนเนอร์ • การคำนวณราคาการขนส่งทางเรือ คือ - การคิดค่าบริการตามขนาดของตู้เป็นฟุต (ft.) อย่างเช่น o ไม่เต็มตู้ (LCL) เราสามารถขอแชร์พื้นที่กับคนอื่นได้ o 20 Foot (ตู้สั้น) ใส่ของได้ประมาณ 30 คิวบิกเมตร o 40 Foot (ตู้ยาว) ใส่ของได้ประมาณ 60 คิวบิกเมตร o 40 Foot High Cub (ตู้ยาวไฮคิว) ใส่ของได้เยอะสุด 3. การขนส่งทางอากาศ • ประเภทการขนส่งทางอากาศ แบ่งได้ 2 ประเภท 1) Air Cargo การขนส่งจากสนามบินหนึ่งสู่อีกสนามบินหนึ่ง ผู้รับสามารถรับสินค้า จากสนามบินเท่านั้น 2) Air Courier การขนส่งเหมาะกับส่งสินค้าขนาดเล็กสามารถส่งให้ถึงปลายทาง มือผู้รับ • การคำนวณสินค้า ราคาจะขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้า - หากปริมาณสินค้าจำนวนมากเลือกใช้ Air Cargo จะมีราคาถูกกว่า - หากปริมาณสินค้าน้อยกว่าเลือกใช้Air Courier จะมีราคาถูกกว่า ใช้คำนวณเฉพาะ การขนส่งแบบ LTL 5 ความรู้ทั่วไปของช่องทางการขนส่ง
น้ำหนัก เป็นปัจจัยในการคำนวณราคาในการเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่ง โดยแบ่งการคำนวณ น้ำหนักได้ 2 แบบ คือ 1) Dimension Weight คือ การวัดตามขนาดสินค้า 2) Actual Weight คือ การวัดตามน้ำหนักจริงของสินค้า (การวัดน้ำหนักด้วย เครื่องชั่ง หน่วยเป็นกิโลกรัม) หมายเหตุ : ถ้าหากน้ำหนักแบบใดที่มีปริมาณมากกว่าจะเลือกราคานั้นมาเป็นค่าใช้จ่าย ในการจ่ายค่าการขนส่งในครั้งนั้น ซึ่งการคำนวณข้างต้นจะใช้เฉพาะการขนส่งทางอากาศและทาง บกเท่านั้น การคำนวณขนส่งทางเรือจะคิดเป็นคิว (คิวบิกเมตร) กว้าง x ยาว x สูง (เซนติเมตร) 5,000 กว้าง x ยาว x สูง (เมตร) 1,000,000 6 ปัจจัยที่มีผลต่อราคาการขนส่ง
การคำนวณภาษีในการขนส่ง ภาษี คำนวนจาก ตัวอย่างการคิดคำนวณ : สมมุติ : สินค้าเป็นตู้เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ ขนาด : 50x60x80 เซมติเมตร น้ำหนัก : 35 กิโลกรัม ขั้นตอนที่ 1 : คำนวณคิวบิกเมตรจากขนาด = (50x60x80) / 1,000,000 = 0.24 คิวบิกเมตร ขั้นตอนที่ 2 : นำคิวบิกเมตรที่ได้มาคูณกับค่าขนส่งแบบคิวบิกเมตร (ค่าขนส่งต่อคิวบิกเมตร 5,500 บาท/คิวบิกเมตร) = 0.24 คิวบิกเมตร x 5,500 บาท = 1,320 บาท เพราะฉะนั้นค่าขนส่งแบบคิวบิกเมตร จะอยู่ที่ 1,320 บาท ขั้นตอนที่ 3 : นำน้ำหนักที่ได้มาคูณกับค่าขนส่งแบบน้ำหนัก (ค่าขนส่งต่อกิโลกรัม 5,500 บาท/คิวบิกเมตร) = 35 กก x 30 บาท = 1,050 บาท เพราะฉะนั้นค่าขนส่งแบบกิโลกรัม จะอยู่ที่ 1,050 บาท ขั้นตอนที่ 4 : เปรียบเทียบค่าขนส่งทั้ง 2 แบบ ผู้ให้บริการจะคิดค่าขนส่งจากประเภทที่ราคาค่าขนส่งสูงกว่า (ในที่นี้ราคาจะคิดตามคิวบิกเมตร) 7 การคำนวณภาษีในการขนส่ง
• C= ราคาสินค้าดูจาก (Comercial invoice) หมายถึง เอกสารที่ยืนยันการจำหน่าย และโอน กรรมสิทธิ์สินค้าระหว่าง ผู้ผลิต และผู้สั่งซื้อ โดยในเอกสารจะให้คำอธิบายที่ถูกต้องเกี่ยวกับ สินค้าที่ถูกส่ง เช่น รายการจำนวนสินค้า น้ำหนัก ราคาต่อหน่วย ราคารวม ประเภทของราคาที่ ทำการซื้อขาย จำนวนหีบห่อ พาหนะที่ทำการขนส่ง • I= การประกันภัย (Insurance) หมายถึง การประกันภัยคุ้มครองความเสียหายของสินค้าที่ เกิดขึ้นในระหว่างการขนส่งที่อยู่ภายในประเทศ เช่น การขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ ไปยังผู้เป็น เจ้าของสินค้าที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องเป็นเจ้าของสินค้า ซึ่งอยู่ใน ฐานะเป็นผู้ขนส่งสินค้าเอง หรือว่าจ้างบริษัทขนส่งเป็นผู้ขนส่งสินค้า ด้วยยานพาหนะที่ระบุใน กรมธรรม์ • F= ค่าขนส่ง ค่าระวาง (Freight) หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ โดยคิดจากน้ำหนักของสินค้าเป็นหลัก และคิดค่าขนส่งเพิ่มเติม กรณีเป็นสินค้า เพิ่มเติม เช่น สัตว์มีชีวิต สินค้าอันตราย เป็นต้น บางครั้งไม่มีค่า ขนส่งระบุมาใน invoice ทางกงสุลจะใช้ราคากลางในการรวมค่าขนส่งให้หลังจาก ได้ราคา CIS มาแล้ว ต้องดูพิกัดภาษี(H.s. CODE) เช่น 9403.40.00 คำแปลของพิกัดนี้คือ เฟอร์นิเจอร์ ทำด้วยไม้ ชนิดที่ใช้ในครัว อัตราภาษี 20% เมื่อได้ invoice มาค่าต่างๆจะโชว์เป็นอัตราเเลกเปลี่ยน ต่างประเทศศุลกากรจึงจะประกาศอัตราแลกเปลี่ยนกรมศุลกากร ซึ่งจะเอามาใช้คิดกับภาษี โดยจะเปลี่ยนทุกวันที่ 1 ของเดือน ตัวอย่างเช่น 1 USD = 40 บาท ในวันที่15 แต่เดือนนั้นแต่ศุลกากรกำหนดไว้ในวันที่ 1 ว่า 1 USD = 35 บาท เดือนนั้นเราก็จะต้องจ่ายภาษี 1 USD = 35 บาท ภาษีนำเข้าและ VAT ซื้อคิดสองตัว นี้เอามารวมกันแล้วจ่ายเป็นภาษีศุลกากรไป C+I+F = ราคา CIF ราคา CIF x อัตราภาษี = ภาษีนำเข้า ภาษีนำเข้า + ราคา CIF = ฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม ฐานภาษีฯ x อ้ตราภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนำเข้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม = final Tax ที่ต้องจ่ายกรมศุลกากร 8
ภาษีอากรส่งออก คือ การจัดเก็บจากการจัดส่งสินค้าหรือการขายสินค้าและบริการจาก ประเทศหนึ่งไปยังประเทศอื่นๆ โดยสามารถดำเนินการจัดส่งได้ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งการจัดเก็บอากรขาออกจะดำเนินการโดยกรมศุลกากร การส่งออกสินค้าแต่ละประเภทนั้น กรมสรรพากรได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 0% หรือ ก็คือไม่เสียภาษี แต่ยังต้องยื่นแบบแสดงต่อกรมสรรพากร โครงสร้างการส่งออกสินค้า การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 มีมูลค่า 73,601.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 14.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหมวดสินค้าหลักมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ สินค้าเกษตรกรรม มูลค่าการส่งออก 5,881.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 1.9 ตัวอย่างสินค้า ยางพารา เครื่องเทศ สมุนไพร ผักและผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร มูลค่าการส่งออก 5,720.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 28.0 ตัวอย่างสินค้า เครื่องแปรรูปอาหาร สินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออก 59,420.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 14.9 ตัวอย่างสินค้า เหล็ก และเหล็กกล้า สินค้าแร่และเชื้อเพลิง มูลค่าการส่งออก 2,579.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 24.7 ตัวอย่างสินค้า สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์อื่นๆ สินคัาที่มีการส่งออกขยายตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ มูลค่าการส่งออก 5,504.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 204.7 เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ มูลค่าการส่งออก 5,431.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 8.6 เม็ดพลาสติก มูลค่าการส่งออก 3,037.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 19.5 เคมีภัณฑ์มูลค่าการส่งออก 2,538.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 24.7 ตัวอย่างสินค้า น้ำกลั่น กลีเซอรีน แผงวงจรไฟฟ้า มูลค่าการส่งออก 2,305.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 17.7 9 การส่งออกสินค้า การส่งออกสินค้า ประเทศที่ไทยส่งออกสินค้า
ตลาดส่งออก ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 การส่งออกสินค้าไปยังตลาดคู่ค้าหลักของไทยมีการ ขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกตลาด สหรัฐอเมริกาขยายตัวมากที่สุด ถัดมา คือ อาเซียน สหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น ซึ่งสัดส่วนการส่งออกทั้ง 5 ตลาด ได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และ สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) รวมร้อยละ 68.7 และการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ ร้อยละ 31.3 ของการ ส่งออกทั้งหมด มีรายละเอียด ดังนี้สัดส่วนการส่งออกของไทย ไปยังอาเชียน (9ประเทศ) สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (27 ประเทศ) คิดเป็น ร้อยละ 24.3, 16.2, 11.3, 8.8 และ 8.0 ตามลําดับ อัตราการขยายตัวของการส่งออก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า ประเทศคู่ค้า หลักของไทยขยายตัวเกือบทุกตลาด โดยสหรัฐอเมริกาขยายตัวมากที่สุดร้อยละ 24.1 รองลงมา คือ อาเซียน ขยายตัวร้อยละ 17.0 สหภาพยุโรป ขยายตัวร้อยละ 5.7 จีน ขยายตัวร้อยละ 4.2 และญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 1.2 การส่งออกสินค้า (Export) ที่มา : กระทรวงพาณิชย์ 10 ตลาดส่งออก
การส่งออกทางบก ผู้ส่งของออกที่ประสงค์จะส่งสินค้าทั่วไป ออกจากราชอาณาจักรผ่านเขตแดนทางบก จะต้องจัดทำข้อมูล “ใบขนสินค้าขาออก (กศก. 101 ⁄ 1)” ตามรูปแบบและมาตรฐานที่กรมศุลกากร กำหนด โดยจะต้องจัดทำข้อมูลใบขนฯดังกล่าวในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แล้วส่งมายังระบบคอมพิวเตอร์ ของกรมศุลกากร ก่อนการขนย้ายของมายังด่านศุลกากรที่จะส่งของออก เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ได้ ตรวจสอบข้อมูลใบขนฯที่ส่งมาแล้วหากไม่พบข้อผิดพลาด ระบบจะแจ้งเลขที่ใบขนสินค้าขาออก ตอบกลับไปยังผู้ส่งของออก เพื่อให้ผู้ส่งออกไปดำเนินการชำระค่าภาษีอากร (ถ้ามี) และทำการขนย้าย ของไปยังด่านศุลกากร เพื่อรับการตรวจปล่อยต่อไป การส่งออกทางเรือ ในการส่งออกสินค้า ผู้ส่งออกจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และประกาศที่กรมศุลกากร และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องในการส่งออก กำหนดไว้ให้ครบถ้วนเช่นเดียวกับการนำเข้า โดยมีคำแนะนำในการจัดเตรียมเอกสาร เพื่อปฏิบัติตามขั้นตอนพิธีการศุลกากรในการส่งออกสินค้า 11 ความรู้ทั่วไปของช่องทางการขนส่ง
การส่งออกทางอากาศ การปฏบัติพิธีการศุลกากรส่งออกสินค้าทางอากาศยานในปัจจุบัน เป็นการดำเนินการผ่าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless) โดยมีจุดมุ่งหมาย ในการอำนวยความสะดวกทาง การค้า และเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันบนเวทีการค้าโลก ผู้ที่ประสงค์จะดำเนินการปฏิบัติ พิธีการ ศุลกากรส่งออกสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (e-Export) ณ สำนักงานศุลกากรตรวจ สินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต้องทำการลงทะเบียนกับกรมศุลกากร เพื่อบันทึกข้อมูลไว้ในฐานข้อมูล ระบบคอมพิวคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร การนำเข้า-ส่งออก (Import-Export) จะต้องมีข้อกำหนดในการส่งมอบสินค้า นั่นก็คือ “Incoterm” เพื่อบอกว่าใครรับผิดชอบตรงไหนและ อย่างไรบ้าง? เช่น CFR , CIF , EXW , FCA ,CPT ,CIP ฯลฯ โดยแบ่งเป็น 4 term หลักๆ คือ CFR , CIF, EXW , FOB 1. PO, Purchase Order ใบสั่งซื้อสินค้า ใบที่ผู้นำเข้าต้องส่งให้ผู้ส่งออก เพื่อเปิดออเดอร์ แต่สมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะมีใช้กันแล้ว การสั่งซื้อสมัยนี้ก็ทำเพียงเขียนเมล์เข้าไปคุยแล้วทางผู้ขายก็จะส่ง 2 .PI ให้ได้เลย โดยเฉพาะประเทศจีน 3. PI, Proforma Invoice ใบเรียกเก็บเงิน ทำหน้าที่บอก ราคา จำนวนสินค้า เงื่อนไขการซื้อ ขาย และรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ เช่น วันส่งมอบสินค้า เป็นต้น โดยผู้ส่งออกจะออกเอกสารตัวนี้ พอ ผู้นำเข้าได้รับแล้วผู้นำเข้าก็มีหน้าที่จ่ายเงินตามข้อตกลง 4. CI, Commercial Invoice รายการราคา เป็นเอกสารสำคัญที่ผู้ส่งออกต้องออกให้ผู้นำเข้า ใช้สำหรับยื่นแนบไปกับเอกสารอื่น เพื่อออกของกับกรมศุลกากร 12 เอกสารที่ต้องเตรียมในการนำเข้าและส่งออกสินค้า เอกสารนำเข้าส่งออก
5. PL, Packing list รายการบรรจุสินค้า เอกสารสำหรับแจ้งว่าสินค้าใด ถูกบรรจุมาแบบไหน อยู่กล่องไหน ทำโดยผู้ส่งออก 6. D/O, Delivery order ใบปล่อยสินค้า ผู้นำเข้าจำเป็นจะต้องใช้เอกสารนี้สำหรับนำไป ปล่อยตู้สินค้าที่ท่าเรือหรือท่าอากาศยาน โดยผู้ที่จะออกให้คือ ผู้ให้บริการขนส่งระหว่างประเทศ 7. B/L, Bill of Lading ใบตราส่งสินค้าทางเรือ ผู้ส่งออกต้องให้ข้อมูลกับทางผู้ให้บริการขนส่ง เพื่อออกเอกสารตัวนี้ ส่วนผู้นำเข้าต้องใช้และผู้นำเข้าควรจะขอตรวจแบบร่างก่อนที่จะออกตัวจริง ทุกครั้ง 8. AWB, Airway bill ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ เหมือนใบตราส่งสินค้าทางเรือ แต่ข้อมูลก็ จะแตกต่างกันเล็กน้อย 9. C/O, Certificate of origin หนังสือยืนยันถิ่นกำเนิด (ออกโดยรัฐบาล) ติดต่อได้ที่ กรมการค้าระหว่างประเทศมีประโยชน์ในการรับสิทธิภาษี 10. Insurance ประกันภัยขนส่งสินค้า คือ ยันต์กันความเสียหายที่จะช่วยลดความเสี่ยงจาก การขนส่ง ซึ่งค่าป้องกันสูงสุดของมันอยู่ที่ 90% ของมูลค่าสินค้าเลยทีเดียว 11. Import/Export Entry ใบขนสินค้าขาออก/ขาเข้า เป็นเอกสารสำหรับแจ้งข้อมูลสินค้า ทั้งชนิด จำนวน และราคา ให้กับกรมศุลกากรทราบ เพื่อที่จะได้คิดคำนวนภาษีและเก็บข้อมูลการนำเข้า ส่งออก จัดทำโดยชิปปิ้ง (Shipping) ขั้นตอนนำเข้าส่งออก เมื่อเริ่มต้นซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศไม่ว่าจะนำเข้าหรือส่งออกอะไร ผ่านเส้นทางไหนก็จะต้องผ่านทั้ง 8 ขั้นตอนเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มแรกไปจนถึงปลายทางมีอะไรบ้าง? เมื่อตกลงการสั่งซื้อหรือขายสินค้าแล้ว ทางฝ่ายผู้ขายก็จะต้องเริ่มจากผลิตสินค้าหรือ เตรียมสินค้าในโกดังให้พร้อมจัดส่ง ขั้นตอนการส่งออกสินค้า 1. เริ่มนำเข้าส่งออกที่โรงงานผู้ขาย 2. การขนส่งในประเทศต้นทาง 3. การทำพิธีการศุลกากรขาออก 4. ท่าเรือ/ท่าอากาศยานต้นทาง/ปลายทาง 5. พิธีการศุลกากรสินค้าขาเข้า 6. ขนส่งจากท่าเรือ 7. ผู้ซื้อ 13 ขั้นตอนนำเข้าส่งออก
เอกสารอ้างอิง (บรรณานุกรม • สถานการณ์การค้าต่างประเทศของไทย ไตรมาส 1/2565 - ข่าวอุตสาหกรรม https://www.mreport.co.th สืบค้นวันที่25 สิงหาคม พ.ศ.2565 • การนำเข้า-ส่งออก และภาษีhttps://convergent-interfreight.com สืบค้นวันที่25 สิงหาคม พ.ศ.2565 • กรมศุลกากร https://www.customs.go.th สืบค้นวันที่25 สิงหาคม พ.ศ.2565 • ภาวะการค้า ระหว่างประเทศของไทย https://www.ditp.go.th สืบค้นวันที่25 สิงหาคม พ.ศ.2565 • กฏระเบียบการนำเข้าสินค้า https://www.ryt9.com สืบค้นวันที่25 สิงหาคม พ.ศ.2565 • นำเข้า-ส่งออกสินค้าและบริการ ต้องรู้ภาษีอะไรบ้าง https://flowaccount.com สืบค้นวันที่25 สิงหาคม พ.ศ.2565 • สินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรกของไทย http://www.thaipurchasing.com สืบค้นวันที่25 สิงหาคม พ.ศ.2565 • การส่งออกสินค้า (Export) https://ecs-support.github.io สืบค้นวันที่25 สิงหาคม พ.ศ.2565 • 10 อันดับสินค้าส่งออกไทยปี63 https://www.efinancethai.com สืบค้นวันที่25 สิงหาคม พ.ศ.2565 • TAX POLICY JOURNAL - สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง https://www.fpo.go.th สืบค้นวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2565 เอกสารอ้างอิง