เลม่ ๒
คดั จากการแสดงธรรมะบนเขา
พระอาจารย์สชุ าติ อภิชาโต
วดั ญาณสงั วรารามวรมหาวหิ าร จ.ชลบุรี
เวลาเกดิ มาน่ีทุกขห์ รือสขุ
เกิดจากท้องแม่ออกมา
หัวเราะหรอื รอ้ งไห้
ออกมาก็ร้องไหแ้ ลว้
การร้องนี่ไม่สุขหรอก
มนั ทุกข์แลว้
ความทกุ ขท์ เี่ ปน็ เงาตามตวั ไม่วา่ จะอยู่
ทไ่ี หนกค็ อื ความแก่ความเจบ็ ความตาย
มันตามเราไปทุกแห่งทุกหนไม่ว่าจะ
อยู่ท่ีไหน ปลอดภัยขนาดไหน มี รปภ.
ปกป้องรักษาขนาดไหน ก็ป้องกัน
ไอส้ ามตวั นไี้ ม่ได้ เดี๋ยวมันกจ็ ะเขา้ มา
ท�ำรา้ ยร่างกายเราในทีส่ ุด
เราสรา้ งความทุกข์
เพราะเราไปหาความสุข
ทม่ี นั มีความทุกข์
ตดิ มาด้วยน่นั เอง
ขอใหเ้ ราทำ� ความเขา้ ใจวา่ ความทกุ ขท์ เี่ รามกี นั อยนู่ ี้
มันไม่ได้เกิดจากใครนะ เกิดจากเรา เราไปหา
มนั เอง เหมอื นกองไฟน้ี มันอยู่ของมนั ดๆี ถา้ เรา
ไม่เดินเข้าไปในกองไฟ ไฟมันไม่เผาเราหรอก
แตท่ ำ� ไมเราเดนิ เขา้ ไปกองไฟกนั กเ็ พราะเราคดิ วา่
ในกองไฟมีเพชรอยู่เม็ดเบ้อเริ่มน่ะเอง เราถึง
กล้าเส่ียงเข้าไปในกองไฟเพ่ือท่ีจะไปได้เพชรนั้น
แต่ความจริงมันไม่มีหรอก มันเป็นของหลอก
ของปลอม ความสุขในโลกน้ีไม่มี ในโลกนี้มีแต่
ความทุกข์ เพียงแต่ความหลงของเราท�ำให้มอง
เห็นว่ามนั เป็นความสุขเท่าน้ันเอง
ชวี ติ ของพวกเรา
เราไปหาความทุกข์กันเอง
อยา่ ไปโทษใคร
โทษตวั เราเองท่ีไมร่ ู้จัก
ไปหาสิ่งทไ่ี มม่ คี วามทุกขก์ นั
แต่ชอบไปหาความสุข
ท่มี คี วามทกุ ขแ์ ทน
ทุกข์กับคนน้ันทุกข์กับคนนี้ ทุกข์กับเรื่องนั้นทุกข์
กบั เรอื่ งนี้ ทกุ ขก์ บั เงนิ ทกุ ขก์ บั โนน่ ทกุ ขก์ บั น่ี กเ็ รา
ไปหามันเองท้ังน้ัน คนท่ีเขาไม่ไปหาเขาไม่มา
บ่นเลย ดูพระพุทธเจ้า ดูพระอริยสงฆ์สาวกซิ
ท่านไม่บ่นเลย ไมม่ ที กุ ขอ์ ะไรกบั ใครเลย เพราะ
ท่านรู้ด้วยปัญญาว่า “ทุกส่ิงทุกอย่างในโลกน้ี
เป็นทุกข์” ท่านจึงไม่ไปหามัน ท่านไม่หาลาภ
ไมห่ ายศ ไม่หาสรรเสรญิ ไม่หารปู เสยี ง กลนิ่ รส
โผฏฐัพพะต่างๆ มาให้ความสุขกับท่าน เพราะ
ทา่ นรวู้ า่ มนั เปน็ ความสขุ ปลอม เปน็ ความสขุ ทจ่ี ะ
กลายเปน็ ความทกุ ข์ต่อไปนน่ั เอง
การไม่มีความอยากไม่ได้หมายความว่า
เราจะไมต่ อ้ งทำ� อะไร สงิ่ ทเ่ี ราทำ� เราทำ� กนั
ได้โดยไม่ต้องใช้ความอยาก เราทำ� ด้วย
เหตดุ ว้ ยผล อยา่ งนไี้ มถ่ อื วา่ เปน็ ความอยาก
แต่ถ้าเราไปอยากได้ในสิ่งท่ีไม่มีความ
จำ� เปน็ อยา่ งนนั้ ถงึ จะเรยี กวา่ เปน็ ความอยาก
เป็นการสร้างความทุกข์ให้กับเราโดย
ใช่เหตุ
ความทุกข์ต่างๆ น้ีเกิดจากการกระท�ำ
ของเราเอง ไม่ได้เกิดจากเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ
ไม่ได้เกิดจากบุคคลต่างๆ แต่เกิดจาก
ความคิดของเรา เกิดจากการพูดของเรา
เกิดจากการกระท�ำของเรา พอเราคิด
เราพูด เราทำ� แล้ว ความทุกขก์ ็เกดิ ขึ้นได้
ถ้าเรารูจ้ กั วิธีคิด วิธีพูด วธิ ีทำ�
เราก็สามารถทีจ่ ะหลกี เล่ยี ง
การคิด การพูด การท�ำ
ท่จี ะทำ� ใหเ้ กดิ ความทกุ ขข์ ้ึนมาได้
ไมว่ า่ จะรวยหรอื จะจน ความสขุ ในตวั เรานี้
ทุกคนสามารถมีได้กันทุกคน และเป็น
ความสุขท่ีดีกว่าความสุขที่มหาเศรษฐี
ได้กัน ความสุขที่ได้จากเงินทองไม่ว่าจะ
เปน็ กหี่ มน่ื กแี่ สนกลี่ า้ นกต็ าม กส็ คู้ วามสขุ
ท่ีมีอยู่ในตวั ของเราเองไมไ่ ด้
อยา่ ไปคิดว่าการมอี ะไรมากๆ
แลว้ จะมคี วามสุขมาก
มันก็มตี อนชว่ งท่มี เี ท่านนั้ แหละ
แต่พอตอนท่ีไม่มแี ลว้
ทนี ม้ี นั จะทกุ ขม์ าก
ดงั น้ันสู้ไมม่ ีดกี วา่
อยู่กบั การไมม่ ีไดน้ ้จี ะสบายกวา่
ความสุขในตัวเราน้ีเป็นเหมือนเพชรชิ้นเอก
ก้อนใหญ่เทา่ กำ� ปน้ั คดิ ดถู ้าเราได้เพชรก้อนใหญ่
เท่าก�ำปั้นจะรู้สึกอย่างไร เอาไปขายน่ีไม่รู้จะได้
กี่พันล้านบาท ฉันใด ความสุขที่มีอยู่ในใจของ
พวกเรานี้ก็มีคุณค่าเหมือนกับเพชรก้อนเท่ากับ
กำ� ปน้ั ดๆี นเ่ี อง ถา้ เราเขา้ ถงึ ความสขุ อนั นก้ี เ็ ทา่ กบั
ว่าเรามีทรัพย์อันล�้ำค่าท่ีจะให้ความสุขกับเราไป
ไดต้ ลอดชีวิต และไม่ใชเ่ ฉพาะชีวติ ของร่างกายนี้
เท่าน้ัน หลังจากร่างกายนี้ไปแล้ว ความสุขที่มี
อยู่ในใจเราก็ไม่ได้หายไปกับร่างกาย เราไม่ได้
สญู เสยี ความสขุ อนั นี้ ความสขุ อนั นจี้ ะอยคู่ กู่ บั เรา
อย่างถาวร
ความสขุ สุดยอด
ความสุขท่ีไม่มีวันหด
ไม่มีวันหายน้ี
มนั อยใู่ นตัวของเราเอง
อยูใ่ นใจของเราเอง
อยา่ ไปหาความสุขท่ีอน่ื
ความสุขทีอ่ น่ื ได้มาแล้ว
เดีย๋ วมันจะหด
มันจะหายไป มนั จะหมดไป
เงินทองที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันน้ี พอเรา
ได้มาก็เอาไปเข้าบัญชีฝากเงินธนาคาร
แลว้ พอเราตอ้ งการจะใช้ เรากไ็ ปกดเอทเี อม็
กดไปแต่ละคร้ังยอดเงินมันก็จะลดลงไป
เรอ่ื ยๆ มนั ไมม่ เี พมิ่ ขน้ึ หรอื มนั ไมอ่ ยเู่ ทา่ เดมิ
แตค่ วามสขุ ทเี่ ราหาไดภ้ ายในใจของเรานจี้ ะ
ไม่เป็นเหมือนกับยอดเงินที่อยู่ในตู้เอทีเอ็ม
หรืออยู่ในบัญชีเงินฝาก เพราะยอดเงินคือ
ความสุขทเี่ ราหาไดใ้ นใจของเรานี้ ใชเ้ ทา่ ไร
มนั กไ็ มห่ มด มนั จะอยเู่ ทา่ เดมิ เปน็ ความสขุ
ท่ไี มม่ วี นั ลดนอ้ ยถอยลง
เหน็ อะไรแล้วไม่โลภ ไม่โกรธ
ไม่รกั ไมช่ งั ไมก่ ลวั ไม่หลง
ไดย้ ินอะไรกไ็ มร่ ัก ชัง กลวั หลง
ใครจะดา่ ก็ไมช่ งั ใครจะชมกไ็ ม่รัก
ไดย้ นิ อะไรก็เฉยๆ
ได้อะไรมาก็ไม่ไดร้ กั ไมไ่ ด้ชงั
เสียอะไรไปก็ไมไ่ ด้รกั ไมไ่ ดช้ ัง
นีค่ ือแกน่ ของการก�ำจดั
ความทุกข์
พวกเราทำ� ไดไ้ หม ไมร่ กั ชงั กลวั หลง
แค่ ๔ ตวั นเ้ี อง เหน็ อะไรกเ็ ฉย เหน็ เพชร
เมด็ เทา่ นว้ิ โปง้ กเ็ ฉย เหน็ ทองหนกั เปน็
๑๐ กิโล ก็เฉย เหน็ รถเก๋งราคาเปน็
๒๐ ลา้ นก็เฉย เห็นคอนโดราคาเปน็
๕๐ ล้านก็เฉย เฉยได้หรือเปล่า
ถ้าไม่เฉยจะทกุ ขน์ ะ รู้หรือเปล่า
ทรพั ย์สมบัตขิ า้ วของต่างๆ
ในโลกน้ี ไมส่ ามารถสอนใหเ้ รา
อยู่เหนือความทกุ ขไ์ ด้
แตก่ ลับจะทำ� ใหเ้ ราอย่อู ยา่ ง
มีความทุกข์เพิม่ มากขน้ึ ไป
จากการไปพึง่ ไปยดึ กับ
ข้าวของเงนิ ทองต่างๆ
ที่จะตอ้ งมีวันสนิ้ สุดลง
เวลาเห็นอะไรก็ให้รู้เฉยๆ ให้สักแต่ว่ารู้
แล้วอย่าไปยุ่งกับมัน มันจะดีหรือไม่ดีก็
ไม่มีปัญหา ที่เป็นปัญหาเพราะเราไปยุ่ง
กับมัน ให้เรารู้ว่ามันเป็นอย่างน้ี รู้เฉยๆ
แต่ถ้าอยากรู้ว่ามันเป็นอะไรก็ต้องไป
ค้นหาค�ำตอบ และค�ำตอบท่ีได้ก็ไม่ตรง
กบั ความเปน็ จริง มนั ก็จะทำ� ให้เปน็ ทกุ ข์
แก่นความรู้ทางศาสนาพุทธจริงๆ คือ ทุกอย่าง
ไมเ่ ทยี่ ง ไมใ่ ชข่ องเรา ของดขี องไมด่ จี ะทำ� ใหเ้ ราทกุ ข์
เส้ือผ้าราคาแพงๆ ชุดละหม่ืนสองหม่ืนจะท�ำให้
ไม่สบายใจ เพราะต้องคอยดูแล นาฬิกาเรือน
เป็นแสน ซ่อมทีเป็นหมื่น ก็บอกเวลาได้เหมือน
กับนาฬิการาคา ๓-๔ พัน รถยนต์ก็เหมือนกัน
ราคาหลายล้านซ่อมทีก็หลายแสน ยิ่งใช้ของดี
ของแพงยงิ่ ตอ้ งวุน่ วายไปกับมนั ต้องดกู ารใช้งาน
รถ ๕ แสนกบั รถ ๕ ลา้ น ก็พาไปถึงได้เหมือนกนั
ยง่ิ ของราคาแพง คา่ รกั ษา คา่ วติ กกงั วลกม็ มี ากกวา่
ใชข้ องราคาถกู แตไ่ ดป้ ระโยชนเ์ หมอื นกนั จะดกี วา่
ถ้าทุกคนท่เี ป็นชาวพุทธ
มาเข้าวดั มาศึกษา
มาฟังเทศนฟ์ ังธรรมกันนี้
เช่ือว่าอบายมุข
ในบา้ นเมืองเรานีจ้ ะไม่มี
จะไมม่ บี าร์ ไมม่ ีผบั ไมม่ บี อ่ น
ไม่มีแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วต่างๆ
ทกุ คนจะอยู่กันอยา่ งสงบสขุ
ไม่ว่นุ วาย ไม่เดอื ดรอ้ น
พระพทุ ธเจา้ ทรงบอกวา่ ของทกุ อยา่ งไมเ่ ทยี่ ง
มาแลว้ กไ็ ปเจรญิ แลว้ กเ็ สอื่ มเดยี๋ วดเี ดย๋ี วไมด่ ี
แล้วก็หายไป บังคับไม่ได้ ส่งั ไม่ได้ ทกุ สิ่งใน
โลกนเ้ี ปน็ อยา่ งนี้ สไู้ มม่ อี ะไรดกี วา่ ไดอ้ ะไรมา
กต็ อ้ งจากกนั น่ีเปน็ ความรูจ้ ริงท่จี ะทำ� ให้เรา
สบายใจ แต่ไม่มใี ครได้รบั การสั่งสอนแบบน้ี
ตั้งแต่เด็ก ความรู้ท่ีได้จากปู่ย่าตายายมีแต่
สอนว่า เงินทองดี แต่งงานดี มีลูกมีเต้าดี
สิง่ เหลา่ นมี้ แี ต่ท�ำใหเ้ ราไมส่ บายใจ
ความรู้ทางธรรมเป็นความรู้ท่ีครอบคลุม
ทั้งการดูแลร่างกายและการดูแลจิตใจ
ถ้าความรู้ทางโลกได้ศึกษาความรู้ทาง
ธรรมแล้ว ร่างกายและจิตใจจะได้รับ
ประโยชน์ จะไดร้ บั ความสขุ รา่ งกายกจ็ ะอยู่
อย่างมีความสุขไปตามอัตภาพไปจนถึง
วันสุดท้ายของชีวิต จิตใจก็จะอยู่อย่างมี
ความสุขไปอย่างไมม่ วี นั ส้นิ สุด
ความรู้ทางธรรมเหนอื กวา่
ความรทู้ างโลก
ผทู้ ่ีมคี วามรู้ทางธรรม
จึงถือว่าเป็นผ้ทู ฉี่ ลาดกว่า
ผู้ที่มีความรู้ทางโลก
ไมว่ า่ ยคุ ใดสมยั ใด ปญั หากเ็ หมอื นกนั ปญั หาการ
แยง่ ทรพั ยากรมาเปน็ สมบตั ขิ องตน ความแกง่ แยง่
ลาภ ยศ สรรเสรญิ ความแกง่ แยง่ ความสขุ ทางตา
หู จมกู ลนิ้ กาย นมี้ มี าทกุ ยคุ ทกุ สมยั เพราะจติ ใจ
ไม่ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักสิ่งท่ีเป็นคุณเป็น
ประโยชนก์ บั จติ ใจ กลบั ไปหลงกบั สง่ิ ทเ่ี ปน็ พษิ เปน็
ภยั เปน็ อนั ตรายตอ่ จติ ใจ เพราะจติ ใจของทกุ คนน้ี
เหมอื นกนั มคี วามหลงเหมือนกัน มีความคิดวา่
ความสขุ นนั้ อยทู่ ล่ี าภ ยศ สรรเสรญิ อยทู่ คี่ วามสขุ
ทางตา หู จมกู ลิน้ กายกนั ทกุ คนกเ็ ลยพุ่งเป้าไป
สกู่ ารหาลาภ ยศ สรรเสรญิ หาความสุขทางตา หู
จมกู ลน้ิ กาย ทจ่ี ะไมส่ ามารถใหค้ วามอม่ิ ความพอ
แกผ่ ทู้ ีแ่ สวงหาได้
ถ้าได้ใส่เสื้อผ้าชุดแบรนด์เนม (brand-
name) หรือขบั รถแบรนด์เนมแลว้ ร้สู ึกว่า
ตัวเองมีคุณค่าขึ้นมา เวลาไปไหนมาไหน
คนจะให้การต้อนรับอย่างดี แต่ถ้าขับรถ
โนเนม (no name) นี้ เวลาไปโรงแรมไหน
ไมม่ ใี ครเปดิ ประตรู บั แตถ่ า้ ขบั รถแบรนดเ์ นม
มาน้ี พอจอดปุ๊บ คนจะรีบมาเปิดประตู
ต้อนรับทันที น่ีไปหลงคุณค่านิยมกัน
เพราะรักการสรรเสริญ น่ีก็เป็นยาเสพติด
ตัวหนงึ่ คอื ติดกบั การสรรเสริญ
ท�ำไมเราจึงสู้ความอยากกันไม่ได้
ก็เพราะว่าเราไม่มียาท่ีจะมาบ�ำบัด
ความอยาก ยาก็คือธรรมะนี่เอง
ความร้ทู างธรรมะ ธรรมะคือความสงบ
ของใจ การท่ีเราจะรู้นี้ได้ เราก็ต้องมี
ความรู้ทางธรรม ถ้าเราไปเรียนทาง
โลกโดยไม่เรียนทางธรรมเลย เราจะ
ไม่รู้เลยว่าส่ิงท่ีใจเราต้องการกันจริงๆ
ก็คือธรรมะน่เี อง
“ธรรมโอสถ”
ยาของธรรมะ
ธรรมะกค็ อื ความสงบน่เี อง
ถ้าเรามธี รรมโอสถ
มีสติ มสี มาธิ มีปัญญา
เราจะสามารถท�ำใจให้สงบได้
ทำ� ใจใหเ้ กดิ ความสุข
ความอิม่ ความพอ
ธรรมโอสถนีเ้ ป็นยาท่จี ะไปท�ำลาย
ความอยากตา่ งๆ ท่มี อี ยู่ในตัว
ท�ำใหค้ วามอยาก
ไม่สามารถออกฤทธ์อิ อกเดชได้
ความรู้ทางโลกกับความรู้ทางธรรมจะเหมือนกัน
ตรงเรอื่ งของการเลย้ี งดูรา่ งกาย ความรู้ทางธรรม
กส็ อนใหเ้ ราเลย้ี งดรู า่ งกาย ความรทู้ างโลกกส็ อน
ให้เราเล้ียงดูร่างกาย แต่ต่างกันท่ีปริมาณของ
การเลยี้ งดรู า่ งกายทางโลกจะไมม่ ขี อบมเี ขตไมอ่ น้ั
อยากจะกินเท่าไหร่กินไป อยากจะมีเสื้อผ้า
กรี่ อ้ ยชดุ รองเทา้ กรี่ อ้ ยคมู่ ไี ป อยากจะมบี า้ นกหี่ ลงั
มไี ป อยากจะมีหมอมยี าราคาแพงๆ ก็มีไป อันน้ี
ไมม่ ขี อบไมม่ เี ขต เพราะความหลงคดิ วา่ ยงิ่ มมี าก
ยิง่ มีความสุขมาก แต่ความจรงิ แล้วมนั เทา่ กนั
ทางธรรมสอนใหร้ ู้จักประมาณ
ในการบริโภคปัจจัย ๔
ให้ดทู ค่ี วามตอ้ งการ
ของรา่ งกาย
อย่าไปดูทค่ี วามตอ้ งการของใจ
พระพุทธเจ้าทรงเห็นโทษของความเกียจคร้าน
โดยเฉพาะกับพระ เพราะพระนี้จะต้องสรา้ งธรรม
ทส่ี งู ทยี่ ากถงึ จะสามารถสรา้ ง “ธรรมโอสถ” ระดบั
สงู สุดได้ ดงั น้นั จงึ ตอ้ งมคี วามขยนั หมนั่ เพยี รมาก
พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้พระขี้เกียจ สิ่งใดที่ท�ำให้
พระข้ีเกียจ ท่านจะพยายามห้ามไม่ให้ท�ำ เช่น
สอนให้บิณฑบาตทุกวันเพ่ือจะได้ไม่เกียจคร้าน
ถา้ อนญุ าตใหส้ ะสมอาหารได้ เดยี๋ ววนั นหี้ าอาหาร
มาได้ ๗ วนั ก็งดอกี ๗ วัน คอ่ ยไปบิณฑบาตใหม่
แล้วก็ไม่ท�ำอะไร มีแต่นั่งๆ นอนๆ เพราะความ
เกียจคร้านมันจะทำ� ให้ไม่ขยันที่จะศกึ ษา ไมข่ ยัน
ท่ีจะปฏิบัติ ถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม
เด๋ียวธรรมโอสถ ยาท่ีจะมารักษาใจให้หายจาก
ความทุกข์ ความว่นุ วายใจต่างๆ กจ็ ะไมม่ ีไม่เกดิ
ข้ึนมา
กจิ ของสงฆก์ ค็ ือการศกึ ษา การปฏิบัติธรรม
แต่ไม่ค่อยท�ำกัน ชอบไปท�ำอะไรต่างๆ
นอกเร่ืองนอกราวกันเยอะแยะไปหมด
สมยั นด้ี หู มอดดู วงทำ� นำ้� มนต์ทำ� เลขทำ� ยนั ต์
ทำ� ตะกรดุ ทำ� อะไรตา่ งๆเหลา่ น้ีถา้ พระพทุ ธเจา้
ยงั อยกู่ ค็ งจะตอ้ งหา้ มกจิ กรรมเหลา่ นี้ ศลี จาก
๒๒๗ ข้อ ก็จะกลายเป็น ๒,๒๗๐ ขอ้ แนๆ่
เพราะมันมีกิจกรรมนอกศาสนาเยอะแยะ
ไปหมด ท่ีไม่ใช่เปน็ กิจของสงฆ์
ขอ้ หา้ มตา่ งๆ นเ้ี กดิ จากการกระทำ� ผดิ ของพระภกิ ษุ
มเี หตทุ ำ� ใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ตอ้ งมาสง่ั หา้ ม ถา้ ไมม่ เี หตุ
ก็ไมส่ ่ังห้าม ยคุ แรกๆ ไม่มเี หตุ เป็นพระอรหนั ต์
ทง้ั น้ัน พระอรหนั ตน์ ที้ ่านไม่ต้องการอะไร ไม่ได้
ตอ้ งการลาภ ยศ สรรเสรญิ ไมไ่ ดต้ อ้ งการความสขุ
ทางตา หู จมูก ล้ิน กาย ทา่ นนัง่ เฉยๆ ทา่ นกม็ ี
ความสุขแล้ว แล้วท่านจะไปท�ำอะไรให้เสียหาย
กับใครไปท�ำไม การกระท�ำของพระอรหันต์จึง
ไม่เสียหาย พระพุทธเจ้าไม่ทรงท�ำอะไรให้เกิด
ความเสียหายกบั ใคร ยคุ แรกๆ เลยไมม่ ศี ลี ไมม่ ี
ขอ้ หา้ มของพระ
ท่ีบอกว่าให้ท�ำบุญกับพระอรหันต์ คือ
ต้องไปขอธรรมะจากท่าน ต้องได้ยิน
ไดฟ้ งั คำ� สอนของทา่ น บางคนไมเ่ ขา้ ใจ
เดินทางไปไกลไปแค่ใส่บาตรแล้ว
ก็กลับ จะได้บุญอีกต่อก็ต้องฟังธรรม
จากท่าน บุญที่ได้ความรู้จากการ
ฟงั ธรรมสูงกว่าบญุ ที่ได้จากการท�ำบญุ
ท�ำทาน
เวลาฟังธรรมะค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้
ต้องใช้สติใช้ความตงั้ ใจพอสมควร
ถึงจะฟังธรรมแล้วรเู้ ร่ือง
ส่วนพธิ กี รรมนี้ เพียงแตไ่ ดไ้ ป
เชน่ พิธเี ททองหลอ่ พระ
หรอื ปิดทองฝังลูกนิมติ
มันเปน็ การกระทำ� ทไี่ ม่ต้องใช้สติ
ใช้สมาธมิ าก
แค่ทำ� ให้ถูกขั้นตอนเทา่ นนั้ เอง
แตม่ นั ไม่ไดเ้ ปน็ เร่อื งของธรรมะ
สิ่งที่เราควรจะรับจากศาสนาคือ
รับเน้ือของศาสนา ด้วยการศึกษา
พระธรรมคำ� สอน เมือ่ ศึกษาแล้วก็
นำ� ไปปฏบิ ตั ิ เมอ่ื ปฏบิ ตั แิ ลว้ กจ็ ะได้
รับผล ได้เนื้อของศาสนา คือการ
หลดุ พน้ จากความทกุ ขเ์ ปน็ ขน้ั ๆ ไป
จติ มนั ก็มเี วลาทส่ี งบกบั ไมส่ งบ
สลับกนั ไป
แลว้ แต่เหตแุ ต่ปัจจยั
เหมอื นกับรา่ งกายท่ไี ม่เท่ียง
ที่เปล่ยี นไปเปล่ียนมา
เกิดแล้วก็ต้องดบั
ตอ้ งแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
ถ้านั่งสมาธแิ บบมสี ติ
ไม่มภี าพไมม่ นี มิ ิตอะไรปรากฏขน้ึ มา
จะมแี ตค่ วามนง่ิ
มีแต่ความสงบปรากฏขน้ึ มา
เพียงอยา่ งเดยี ว
จะมคี วามสุขสุดยอด
ทม่ี ีอยู่ในตัวเราปรากฏขึ้นมา
ความสุขที่เกิดจากความสงบภายในใจเรานี้
ถา้ เราเจอมันปบั๊ นีเ่ ราจะรูท้ นั ทีเลยว่า “อ๋อ นีค่ ือ
ของแปลกประหลาดมหศั จรรย”์ เหมอื นกบั ไดเ้ หน็
ไดโนเสารเ์ ลย ถา้ นง่ั ไปแลว้ ยงั ไมเ่ หน็ อะไรไมร่ อู้ ะไร
เพียงแต่รู้สึกว่ามันเฉยๆ มันเบาๆ เย็นๆ
อนั น้ียงั ไปไมถ่ งึ นะ ต้องนง่ั ตอ่ ไป ต้องพุทโธต่อไป
หรือดูลมหายใจต่อไป อย่าหยุด ถ้าหยุดแล้วมัน
กจ็ ะไปไมถ่ งึ พยายามนง่ั ตอ่ ไป จนกวา่ มนั จะไปเจอ
ไดโนเสาร์ ไปเจอของที่ “โอ้โฮ น่ีเหรอไม่เคยเหน็
มาก่อน น่ีเหรอคือ “นัตถิ สันติปะรัง สุขัง”
น่ีหรือคือความสุขที่เหนือกว่าความสุขท้ังปวง
มันจะตอ้ งร้อง “ออ๋ ” ข้นึ มา
อย่ามาถามเวลาน่ังสมาธิว่า “จิตสงบหรือยัง”
ถ้าสงบจริงแล้วมันรู้ มันจะไม่ถามใคร ถ้าถาม
แสดงวา่ ยงั ไมส่ งบ ทำ� ตอ่ ไป สว่ นใหญท่ ำ� ไมถ่ กู กนั
พุทโธได้สองสามค�ำก็หยุดแล้ว ขี้เกียจ ดูลม
สองสามทีก็หยุดแล้ว แล้วก็ปล่อยให้ใจมัน
ไม่อยเู่ ฉย แล้วเดยี๋ วมนั ก็ผลติ นิมติ แปลกๆ ขึ้นมา
หลอกเรา แล้วกม็ าถามว่า “นีค่ ืออะไร” เวลานั่ง
สมาธิแล้วมีอะไรปรากฏข้ึนมานี้ มันเป็น
ภาพหลอนภาพหลอกทั้งน้ันแหละ เขาเรียกว่า
“มายา” อยา่ ไปหลงมนั ใหท้ ำ� ความเขา้ ใจวา่ ตอนนี้
เราไม่มีสติแล้ว เราข้ีเกียจภาวนาแล้ว เราไม่ได้
พุทโธแลว้ เราไมไ่ ดด้ ูลมหายใจแลว้ เราถึงปล่อย
ให้ของเหลา่ นี้ปรากฏขึน้ มาในใจของเรา
“มชั ฌมิ าปฏิปทา” ทางสายกลาง
ท่ีเรยี กว่า “มรรค ๘”
มรรคน้เี ป็นทางที่จะดบั ความทกุ ข์
ทุกข์น้คี อื
การเกดิ แก่ เจบ็ ตาย
ตน้ เหตุของความทกุ ข์ก็คือ
ความอยากในรูป เสยี ง กลิน่
รส โผฏฐพั พะ
ความอยากมี อยากเปน็
ความอยากไมม่ ี อยากไม่เปน็ คือ
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตณั หา
ตอ้ งละ ๓ ตวั น้ี ทุกขถ์ ึงจะดับ
แล้วจะดบั ได้กต็ ้องดบั ดว้ ยมรรค