1
หนว่ ยการเรยี นท่ี 4
เรอื่ ง สมบัตทิ างชวี ภาพของดนิ
แผนผังความคิดรายหน่วย
แบคทีเรีย เชือ้ รา
สมบัติทางชวี ภาพของดนิ
สัตวข์ าปลอ้ ง ไสเ้ ดือนฝอย
ไส้เดือน
2
สาระสำคญั
สมบตั ิทางชีวภาพของดนิ คือสมบตั ขิ องดนิ ที่เก่ียวขอ้ งกบั ความสมั พนั ธข์ องส่ิงมชี วี ติ ในดิน ซ่ึง
ส่งผลต่อความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ เพ่อื ใช้ในการเกษตร ดนิ ดีจะทำหนา้ ทเี่ ปน็ ระบบสำคญั ในการรักษา
ผลผลิตของสัตว์และพืช รกั ษาหรือปรับปรุงคุณภาพน้ำและอากาศ สุขภาพของพืชและสัตว์ภายใน
ขอบเขตของระบบนิเวศ กล่าวคือ ส่ิงมีชีวิตในดินเมื่อย่อยสลายเป็นอินทรียวัตถุในดินจะเป็น
สารอาหารพร้อมสำหรับการดูดซึมโดยพืชและส่ิงมีชีวิตอื่น ๆ สารอาหารที่เก็บไว้ในร่างกายของ
สิ่งมีชีวิตในดินป้องกันการสูญเสียสารอาหารจากการชะล้าง จุลินทรีย์จะผลิตของเสียท่ีช่วยรักษา
โครงสร้างของดิน และไส้เดอื นช่วยกระจายของเสียทเี่ ปน็ ประโยชนเ์ หล่านี้ผา่ นโปรไฟลข์ องดนิ เป็นต้น
สิง่ มีชีวิตสำคญั ที่มีสว่ นทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของดิน ประกอบด้วย แบคทีเรยี เช้ือรา ไส้เดือน
ฝอย สตั ว์ขาปลอ้ ง และไส้เดอื น
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เพอ่ื ให้
1. ผูเ้ รียน รู้ และเข้าใจเกย่ี วกบั สมบัติทางชวี ภาพของดิน
2. ผเู้ รียน รู้ และเข้าใจเกย่ี วกับบทบาท และหนา้ ทขี่ องสงิ่ มชี วี ิตในดนิ แตล่ ะชนดิ
3. ผเู้ รยี น รู้ และเข้าใจเกีย่ วกบั สงิ่ มีชวี ติ ในดินแต่ละชนิด
4. ผเู้ รยี น รู้ และเข้าใจเกีย่ วกับการนำส่ิงชวี ิตในดินมาใชป้ รบั ปรงุ ดินเพื่อการเกษตร
จุดประสงค์เชงิ สมรรถนะ
1. ผเู้ รยี นสามารถอธบิ ายสมบัติทางชวี ภาพของดนิ ไดถ้ ูกต้อง
2. ผเู้ รียนสามารถอธบิ ายบทบาท และหน้าทีข่ องสง่ิ มีชีวิตในดินแต่ละชนดิ ได้ถูกต้อง
3. ผเู้ รยี นสามารถจำแนกสงิ่ มชี วี ิตในดนิ แตล่ ะชนดิ ไดถ้ กู ต้อง
4. ผเู้ รียนสามารถนำสง่ิ ชีวติ ในดินมาใชป้ รบั ปรงุ ดนิ เพอ่ื การเกษตรได้ อย่างนอ้ ย 1 ชนิด
5. ผู้เรยี นมีคณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ในเรื่องมคี วามกระตือรือรน้ สนใจใฝร่ ู้ ทำงานรว่ มกบั ผ้อู ืน่
ได้ และกล้าแสดงออก
3
เน้ือหาสาระการเรียนรู้
สมบตั ทิ างชีวภาพของดิน
ดร.จิลล์ แคลปเปอร์ตัน (Dr. Jill Clapperton) นักนิเวศวิทยาชีวมณฑล หรือ ไรโซสเฟียร์
(rhizosphere) ที่ทำงานวิจยั ด้านเกษตรและอาหารในประเทศแคนาดากล่าววา่ “เม่ือคุณยนื อยู่บน
พ้ืนดิน คุณกำลังยืนอยู่บนหลังคาของอีกโลกหนึ่งจริงๆ” (Foster et al., 2012) เนื่องจาก ไรโซส
เฟียร์หรือระบบนิเวศของดินที่เกาะอยู่ตามบริเวณรอบรากพืชหลังจากเขย่าดินท่ีเกาะอยู่หลวมๆ
ออกไปแล้วคล้ายเปน็ อีกโลกหนง่ึ ในการเป็นแหลง่ ทอ่ี ยู่อาศัยของจุลนิ ทรยี ์ ซง่ึ มีการพึง่ พาอาศยั ระหวา่ ง
รากพชื กับจุลินทรยี ์ บรเิ วณพ้ืนผิวของรากพืชที่เรยี กว่าไรโซแพลน (rhizoplane) ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง
รากพืชกับจุลนิ ทรีย์อีกแบบหนึ่งเรียกวา่ ไรโซชที (rhizosheath) เป็นช้นั หนาของดนิ ท่ีเกาะกับรากพืช
เป็นทอ่ ยึดเกาะกันดว้ ยสารคลา้ ยเมือกทีร่ ากพืชหล่งั ออกมา ส่วนใหญพ่ บในหญา้ ทะเลทราย เป็นการ
ปรับตัวของรากพืช เพ่ือเพ่ิมความช้ืนและความสัมพันธ์ระหว่างรากกับจุลินทรีย์ ตลอดจนการตรึง
ไนโตรเจน ดินเป็นวัตถุที่สำคัญและจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ พืช สัตว์ และ
จุลินทรีย์ ในทางกลบั กัน พชื สตั ว์ และจุลินทรยี ์ จะชว่ ยใหห้ ินแร่ผพุ ัง รวมทั้งชว่ ยเพิ่มอนิ ทรียวัตถลุ ง
ในดิน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไพบูลย์ วิวฒั น์วงศ์วนา (2546) กล่าวว่า อินทรียวตั ถุใน
ดิน (soil organic matter) และฮิวมัส (humus) มักจะใช้แทนซึ่งกันและกันในความหมายเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม อินทรียวัตถุในความหมายของส่วนที่เป็นอินทรียสารท้ังหมดในดิน ซึ่งได้มาจาก
การสะสม ทบั ถมของซากพืช ซากสัตว์ และสิ่งมีชีวิตอ่ืนๆ ทง้ั ทย่ี ่อยสลายแล้วและยังไม่สลาย หรือท่ี
กำลังสลายตัวผพุ งั ทัง้ นี้รวมทงั้ สารอินทรีย์ที่เป็นองค์ประกอบของจลุ ินทรีย์ในดนิ ที่ยังมีชวี ิตอยู่หรือที่
เรียกว่ามวลชีวดิน (soil biomass) ส่วนคำว่าฮิวมัสนั้นหมายถึงอินทรียสารที่ไม่รวมถึงส่วนที่ยังไม่
สลายตวั หรอื ทย่ี ่อยสลายไปเพียงบางส่วน (partial decomposition) และไมร่ วมถึงสว่ นทีเ่ ปน็ มวลชีวดิน
อินทรียวัตถุมีคุณสมบัติเป็นบัฟเฟอร์ (buffer) ในดิน โดยอินทรียวัตถุโดยเฉพาะสารฮิวมิกซ่ึงเป็น
สารอินทรีย์ สว่ นใหญ่ทส่ี ะสมตกค้างในดนิ ประกอบดว้ ยกรดฮิวมิกและที่สำคัญคือกรดฟุลวิก (fulvic
acid) ซ่ึงละลายไดท้ ้ังในสภาพท่ีเป็นกรดและเป็นด่างเจอื จางในสารละลายดนิ ทั่วไป กรดอินทรีย์ทั้ง
สองนปี้ ระกอบด้วยหมฟู่ ังก์ชันนัล (functional group) มากมายท่สี ำคญั Foster et al. (2012) กลา่ วว่า
นับตั้งแต่การนำปุ๋ยสังเคราะห์ (อนินทรีย์) มาใช้ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม การวิจัยส่วนใหญ่
มงุ่ เน้นไปที่การรักษาสมดุลของธาตุอาหารในดิน สารอาหารเหลา่ น้ีประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก 6
ชนิด ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และ
กำมะถนั (S); และธาตุอาหารรอง 7 ชนิด ได้แก่ โบรอน (B) คลอรีน (Cl) ทองแดง (Cu) เหล็ก (Fe)
แมงกานีส (Mn) โมลิบดีนัม (Mo) และสังกะสี (Zn) อย่างไรกต็ าม นักวิจัยและผู้ผลิตทางการเกษตร
4
จำนวนมากตระหนักดีวา่ สารอาหารในดินไม่เพียงมีความสำคัญ แต่ยังรวมถึงลกั ษณะที่ดีทางชีวภาพ
ของดินด้วย
ดินดี (healthy soil) หมายถึง ดินที่มีคุณภาพดี กล่าวคือ ความสามารถของดินในการทำ
หน้าท่ีเป็นระบบสำคญั ในการรักษาผลผลิตของสัตวแ์ ละพืช รักษาหรือปรับปรุงคุณภาพน้ำ อากาศ
สขุ ภาพของพชื และสตั วภ์ ายในขอบเขตของระบบนิเวศ เรารู้วา่ ส่งิ มชี ีวติ ในดินสลายอินทรียวัตถุ ทำให้
ได้สารอาหารพร้อมสำหรับการดูดซึมโดยพืชและส่ิงมีชีวิตอ่ืนๆ สารอาหารที่เก็บไว้ในร่างกายของ
สิ่งมีชีวิตในดินยังป้องกันการสูญเสียสารอาหารจากการชะล้าง จุลินทรีย์ผลิตของเสียที่ช่วยรักษา
โครงสร้างของดิน และไส้เดือนช่วยกระจายของเสียที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ผ่านโปรไฟล์ของ
ดนิ อย่างไรกต็ าม จากการค้นพบโกลมาลนิ (glomalin) ซ่ึงเป็นไกลโคโปรตีนทีผ่ ลติ ขน้ึ จำนวนมากบน
เส้นใยและสปอรข์ องเช้ือราไมคอรไ์ รซาในดินและในราก รวมทั้งปฏิกิริยาทางเคมีท่ีมีอยู่ระหว่างชั้น
บรรยากาศ ไฮโดรสเฟยี ร์ ธรณีภาค และชีวมณฑลในดิน ทำให้รูถ้ ึงความเช่ือมโยงระหว่างสิ่งมีชีวิตใน
ดนิ กบั หน้าทีข่ องดินน้ันซบั ซ้อนอยา่ งมาก ความเชื่อมโยงและความซับซอ้ นของ “ใยอาหาร” ของดนิ น้ี
หมายถึงการประเมินการทำงานของดินใดๆ จะต้องคำนึงถึงปฏิสัมพันธ์กับกล่มุ ท่ีมีชีวิตที่มีอยู่ในดิน
ด้วย มสี ัตวห์ ลายชนดิ ทอี่ าศยั อยู่ในดินชั้นบนตา่ งมีบทบาทในการทำงานเพอ่ื ประโยชน์ด้านการเกษตร
ปกติดินชั้นบนท่ีมีชีวิต 1 เอเคอร์ประกอบด้วยไส้เดือนประมาณ 900 ปอนด์ เชื้อรา 2,400 ปอนด์
แบคทีเรีย 1,500 ปอนด์ โปรโตซัว 133 ปอนด์ สัตวข์ าปล้องและสาหร่าย 890 ปอนด์ และสัตว์เลีย้ ง
ลูกด้วยนมขนาดเล็กในบางกรณี (Pimentel et. al., 1995) ในขณะที่ส่ิงมีชีวติ ท่ีหลากหลายน้ีมีส่วน
ทำให้เกิดความอดุ มสมบรู ณข์ องดิน โดยเฉพาะ ไส้เดือน สัตว์ขาปล้อง และจลุ ินทรีย์ตา่ งๆ ดังน้ี
1. แบคทเี รยี
แบคทีเรียเป็นสง่ิ มีชีวติ ในดนิ ทมี่ ีจำนวนมากที่สุด ดินทกุ กรัมมีสง่ิ มีชีวิตเซลลเ์ ดียวขนาดเล็ก
อย่างน้อยหน่ึงล้านตัว ประโยชน์หลักประการหนึ่งที่แบคทีเรียมีให้พืชคือการทำให้ธาตุอาหารพืช
บางชนดิ ถูกปล่อย เชน่ ไนโตรเจน กำมะถนั ฟอสฟอรัส และธาตตุ ่างๆ ออกจากอนิ ทรยี วตั ถุ บางชนิด
ทำลายแร่ธาตุในดนิ ปล่อยโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แคลเซียม และเหล็ก ยังมีสายพันธุ์
อน่ื สร้างและปล่อยฮอรโ์ มนเกี่ยวกับการเจรญิ เตบิ โตของพชื กระตุน้ หรือยบั ย้งั การเจริญเตบิ โตของราก
แบคทีเรยี หลายชนดิ เปลยี่ นไนโตรเจนจากก๊าซในอากาศใหอ้ ย่ใู นรูปแบบท่ีพืชสามารถใชไ้ ด้ และจาก
รปู แบบเหลา่ น้ีกลบั เป็นกา๊ ซอกี คร้ัง แบคทเี รยี บางชนดิ ตรงึ ไนโตรเจนในรากของพืชตระกูลถั่ว ในขณะ
ทบ่ี างชนดิ ตรงึ ไนโตรเจนโดยไม่ขนึ้ กับความสมั พนั ธ์ของพืช แบคทเี รียมีหน้าทใ่ี นการเปลยี่ นไนโตรเจน
จากแอมโมเนียมเป็นไนเตรตและกลับมาเป็นเหมือนเดิม ข้ึนอยู่กบั สภาพดินบางประการ ประโยชน์
อ่ืนๆ สำหรับพืชที่มาจากแบคทีเรียหลายชนิด ได้แก่ การเพ่ิมความสามารถในการละลายของ
สารอาหาร การปรบั ปรงุ โครงสรา้ งของดิน การตอ่ สูโ้ รคของราก และการลา้ งพิษในดิน แบคทีเรียที่
5
สำคญั ต่อดนิ ท่ีได้รับการยอมรบั ในวงกว้าง คอื แอกตินโนไมซีต (Actinomycetes อ่านว่า ac-tin-o-
my-cetes) เป็นแบคทีเรียแกรมลบ (ย้อมไม่ติดสี) มีลักษณะคล้ายเกลียวคล้ายเชื้อรา สร้างเส้นใย
คล้ายเส้นด้ายในดิน (แสดงดังภาพท่ี 4.1) ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็นฮิวมัสและปล่อย
สารอาหารจากกระบวนการเผาผลาญใหแ้ กพ่ ืช ทำให้เกดิ กลน่ิ ดนิ ทีส่ งั เกตได้ทุกครัง้ ท่มี กี ารไถพรวนดนิ
สร้างความสัมพันธก์ บั พชื ท่ีไมใ่ ช่พชื ตระกูลถั่วบางชนิด และตรึงไนโตรเจนให้แกร่ ากพืชบรเิ วณทอ่ี าศัยอยู่
เป็นประโยชน์ต่อดนิ ดังน้ี
1) ช่วยยอ่ ยสลายเซลลูโลส
2) ชว่ ยตรึงและสงั เคราะหแ์ อมโมเนียม
3) ช่วยยอ่ ยสลายฮวิ มัส
4) ชว่ ยให้พืชตา้ นทานโรค
5) ทำหนา้ ทเ่ี ปน็ ตัวแทนควบคมุ ทางชีวภาพ
6) ช่วยในการบำบัดทางชีวภาพของลกิ นนิ เซลลโู ลส ปิโตรเลยี ม และสารปนเปอ้ื นโลหะหนกั
แอกตินโนไมซิต มีบทบาทสำคัญในการหมนุ เวยี นของสารอินทรยี ์ ยับย้ังการเจรญิ เตบิ โตของ
เชื้อกอ่ โรคพชื หลายชนดิ ในไรโซสเฟียร์และยอ่ ยสลายสารผสมท่ีซับซ้อนของพอลิเมอร์ (polymer) ใน
พืชที่ตายแลว้ สัตวแ์ ละเช้ือรา ส่งผลให้เกดิ การผลิตเอนไซม์นอกเซลล์จำนวนมากซึง่ นำไปสู่การผลิต
พืชผล ช่วยให้เกิดบัฟเฟอร์ในดิน การควบคุมทางชีวภาพของสภาพแวดล้อมของดินโดยการตรึง
ไนโตรเจนและการเสื่อมสภาพของสารประกอบที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง เช่น ไฮโดรคาร์บอนในดินท่ี
ปนเปอื้ นเป็นลักษณะเดน่ ของแอคตโิ นมัยซตี นอกจากนี้ ยังเปน็ ที่รูจ้ ักในการปรับปรุงความพร้อมของ
สารอาหาร แรธ่ าตุ เพิ่มการผลิตสารเมตาบอลซิ ึม และส่งเสรมิ สารควบคมุ การเจริญเติบโตของพืช
•
ภาพที่ 4.1 แอกตนิ โนไมซิเทส (Actinomycetes)
ทีม่ า: Emnz (2020)
6
แอคตโิ นมัยซีตในอีเอ็ม (EM) ที่เกษตรกรนิยมใช้เป็น Actinobacteria และ Streptomycetes
เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นส่วนใหญ่ของจุลินทรีย์ทั้งหมดท่ีอยู่ในร่างกายส่ิงมีชีวิต (microbiota) ของ
ไรโซสเฟียร์ (rhizosphere) โดยอาจอาศัยอยู่แบบกินส่ิงท่ีเน่าเปื่อย (saprophytical) และอาศัย
ภายในเซลล์พืช (endophytical) ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาตแิ ละทางการเกษตรซึ่งอาจอาศัยอยู่
ถาวรในไรโซสเฟียร์ และส่วนทางสัณฐานวิทยาท่ีแตกต่างกันของรากพืช ดังน้ัน เม่ือพิจารณาถึง
กจิ กรรมสง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตของพืช สเตรปโตมัยซิตจึงเป็นทางเลือกท่ีดีสำหรับเตรยี มความพรอ้ ม
ของธาตุอาหารสำหรบั พชื ทีป่ ลูก โดยส่งเสริมการเจรญิ เตบิ โตของพืช กระตนุ้ และสง่ เสรมิ เสน้ ทางการ
สังเคราะห์ทางชีวภาพท้ังทางตรงและทางอ้อมในพืช เช่น การละลายฟอสเฟตอนินทรีย์ การ
สังเคราะห์สารประกอบคเี ลต (chelate) ทางชีวภาพ การผลิตไฟโตฮอร์โมน การยบั ยงั้ เช้อื โรคในพืช
และการบรรเทาความเครียดจากสงิ่ มีชีวิตต่างๆ รวมทัง้ ปฏิกิริยาระหว่างพชื กบั จุลนิ ทรีย์ ซึ่งสนับสนุน
การเจริญเติบโตของพืชและ/หรือการควบคุมทางชีวภาพของสารก่อโรคจากพืช (Emnz, 2020)
(แสดงดงั ภาพท่ี 4.2)
2. เชื้อรา
เชื้อรามีหลายสายพันธุ์ ขนาด และรูปร่างในดิน บางชนิดมีลักษณะเป็นอาณานิคม
คล้ายเส้นด้าย ในขณะท่ีบางชนิดมีลักษณะเป็นยีสต์เซลล์เดียว เช้ือราหลายชนิดช่วยพืชโดย
การทำลายอินทรียวัตถุหรือโดยการปล่อยสารอาหารจากแร่ธาตุในดิน โดยท่ัวไปแลว้ เช้ือราจะจบั ตัว
เปน็ อาณานิคมของอนิ ทรยี วัตถุขนาดใหญอ่ ยา่ งรวดเร็วและเร่ิมกระบวนการย่อยสลาย เชื้อราบางชนดิ
ผลิตฮอร์โมนพืช ในขณะที่เชื้อราบางชนิดผลิตยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลิน มีแม้กระท่ังเช้ือรา
หลายสายพันธุท์ ่ีดกั จบั ไสเ้ ดือนฝอยทเี่ ป็นอนั ตรายต่อพืช ไมคอรไ์ รซา (Mycorrhizae) (แสดงดังภาพท่ี
4.3) เปน็ เชอื้ ราที่อาศัยอยบู่ นหรือในรากพืช และทำหนา้ ที่ขยายการเขา้ ถงึ ของขนรากในดนิ
7
ภาพที่ 4.2 การทำงานของ Actinomycetes
ทมี่ า: Emnz (2020)
ไมคอร์ไรซาเพ่ิมการดูดซึมน้ำและสารอาหาร โดยเฉพาะฟอสฟอรัส มีความสำคัญอย่างย่ิงในดิน
เสื่อมโทรมหรืออุดมสมบูรณ์น้อย รากท่ีเป็นอาณานิคมของไมคอร์ไรซามีโอกาสน้อยท่ีจะถูกเจาะ
โดยไส้เดือนฝอยที่กินรากเน่ืองจากศัตรูพืชไม่สามารถเจาะโครงข่ายของเช้ือราหนาได้ ไมคอร์ไรซา
ยังผลิตฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะที่ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของรากและยับย้ังโรค เชื้อราได้รับ
ประโยชน์จากสารอาหารและคาร์โบไฮเดรตท่ขี บั ออกมาจากรากพชื ทพ่ี วกมนั อาศยั อยู่ (Todd, 2020)
ภาพที่ 4.3 เช้อื รา Mycorrhizae
ท่มี า: Todd (2020)
8
เส้นใยเชื้อราไมคอร์ไรซา หรือ ไมซีเลีย (mycelia) แผ่เข้าสู่ดินจากปลายรากไมคอร์ไรซา
โคโลไนซ์ ขยายความสามารถของระบบรากของพืชในการดูดซับน้ำและสารอาหาร กว่า 460 ล้านปี
ทีแ่ ล้ว พืชและเช้อื ราไมคอร์ไรซาสรา้ งความสมั พนั ธท์ เ่ี ป็นประโยชน์ใต้ผวิ ดินทีห่ ลอ่ เลย้ี งและปกปอ้ งพชื
ในขณะที่ให้อาหารเชื้อราและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในบริเวณรากของพืช ความสัมพันธ์ดังกล่าวยังคงมีอยู่
ในปจั จุบนั กวา่ ร้อยละเก้าสบิ ของชนดิ พันธุ์บนบกในสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ ทำให้พืชสามารถอยู่
รอดได้ในสภาวะท่ีแห้งแล้ง โรคภัย อุณหภูมิสุดขั้ว ดินที่ไม่เอื้ออำนวย และการแข่งขัน
เป็นรปู แบบชีวิตจุลินทรีย์ท่ีโดดเด่นในดินที่ไม่ถูกรบกวน คิดเป็นร้อยละหกสิบถึงแปดสบิ เปอร์เซ็นต์
ของมวลจลุ นิ ทรยี ใ์ นดิน ตัวอย่างเชน่ หากไมม่ ีเชื้อราไมคอร์ไรซา ตน้ โอ๊กขนาดใหญ่ ซง่ึ ใชน้ ำ้ หลายรอ้ ย
แกลลอนต่อวันในช่วงร้อนจัดของฤดูร้อน จะไม่เติบโตหรือเติบโตบนเนินเขาท่ีแห้งแล้ง แม้ว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างรากและเช้ือราจะรู้จักกันดีมาต้ังแต่สมัยกรีกโบราณ เมื่อธีโอฟราสตุส
(Theophrastus) สืบเสาะหาเส้นใยของเห็ดกลับไปใส่ที่รากของต้นโอ๊ค ความสัมพันธน์ ี้ได้ถูกนำไป
ใช้เพื่อการเกษตร ป่าไม้ สนามกอล์ฟ การจัดการพืชสวนประดับ การผลิตเชิงพาณิชย์ของเช้ือรา
ไมคอร์ไรซาสำหรับอุตสาหกรรมท่ีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาเป็นเวลากว่าทศวรรษแล้ว และเร่ิมมี
การส่งเสริมให้ใช้ในเกษตรแบบยั่งยืน เพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และสารกำจัดวัชพืช คำว่า
"ไมคอรไ์ รซา" มาจากคำภาษากรีกสำหรับเช้ือราและราก และหมายถึงความสัมพันธ์ทางชวี ภาพที่มีอยู่
ระหว่างรากพืชและเช้ือราบางชนิด ในการตั้งค่าตามธรรมชาติ เชื้อราไมคอร์ไรซาเหลา่ น้ีมีอยู่ในดิน
ร่วมกับรากพืช เชื้อราตั้งรกรากโดยยึดติดกับพื้นผิวของราก (ectomycorrhizal) หรือภายในเซลล์
ราก (endomycorrhizal) จากนั้นพวกเขาก็สง่ เสน้ ใย (เรียกวา่ ไมซีเลียม) ไปในดินโดยรอบ ขยายราก
และความสามารถในการดูดซับรากของพืชได้อย่างมีประสิทธภิ าพ 10 ถึง 1,000 เท่า เกินกว่าที่พืช
จะทำเพยี งลำพงั ได้ ไมคอรไ์ รซาส่งน้ำและสารอาหารท่ีจำเป็นต่อพืชสำหรบั การสร้างและการอยรู่ อด
และในทางกลับกัน จะได้รับน้ำตาลจากรากพืชและสารประกอบอ่ืนๆ ที่เชื้อราต้องการ ไมคอร์ไรซา
มีขนาดเล็กกว่ารากมาก จึงสามารถแทรกซึมเข้าไปในช่องว่างขนาดเล็กระหว่างอนุภาคในดิน
โดยปล่อยเอนไซม์ละลายแร่ธาตุท่ีเกาะติดกันแน่น เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน เหล็ก และสารอาหาร
หลักและธาตุรองท้งั หมดที่พืชต้องการ สารอาหารจะถูกเก็บไว้โดยไมคอร์ไรซาและพร้อมสำหรบั พืช
ไมคอร์ไรซามีประโยชน์อ่ืนๆ มากมายต่อพืช เส้นใยของเช้ือราดูดซับและกักเก็บน้ำ ช่วยลด
ความเครยี ดจากภัยแลง้ ในช่วงท่แี หง้ แลง้ เสน้ ใยของเช้อื ราจบั อนภุ าคของดินให้เปน็ กอ้ นขนาดใหญ่ขึ้น
ดว้ ยกาวอินทรีย์ เช่น สารประกอบฮิวมิก โครงสร้างของดินที่เกดิ ข้ึนช่วยให้อากาศและน้ำเคล่ือนตัว
เข้าสู่ดนิ สง่ เสริมการเจรญิ เติบโตและการกระจายของราก เชอื้ ราไมคอรไ์ รซาทำลายสิ่งมชี ีวติ อืน่ ทีเ่ ข้า
สบู รเิ วณรากไดห้ ลายวธิ ี บางตัวผลิตยาปฏิชีวนะท่ีทำให้เคล่ือนท่ีไม่ได้หรือฆ่าสิ่งมีชีวิตอืน่ ท่ีก่อให้เกิด
โรค รวมทงั้ ดักจบั และฆ่าไส้เดือนฝอยท่ีกินราก บางชนิดปกป้องรากจากแมลงที่โจมตีด้วย "ตาข่าย"
ของไมซีเลยี มหนา บางชนิดปกปอ้ งพืชจากเชื้อราท่ีกอ่ ให้เกิดโรค เช่น ฟิวซาเรียม (Fusarium) ไฟทอป
โธรา (Phytophthora) และ ไรซอกโทเนีย (Rhizoctonia) เป็นต้น กิจกรรมเหล่าน้สี ่งผลให้การอยู่รอด
9
ดขี ึน้ การเจริญเตบิ โตของยอดและรากเพม่ิ ขน้ึ การผลติ ดอกและผลเพม่ิ ขนึ้ รวมถงึ การปอ้ งกันโรคและ
โครงสร้างของดินท่ีดีข้ึน พืชสามารถแข่งขันกับการบุกรุกของวัชพืชได้ดีข้ึนและสามารถอยู่รอด
ในสภาวะแห้งแล้งได้ดีขึ้น (แสดงดังภาพที่ 4.4) ส่วนใหญ่มนุษย์สร้างสภาพแวดล้อมขึ้นโดยใช้
วิธีปฏิบัติที่ทำลายสภาพดินท่ีสนับสนุนส่ิงมีชีวิตในดินท่ีเป็นประโยชน์ โครงทางภูมิทัศน์ใน
สภาพแวดล้อมในเมือง ส่งผลให้พืชชนดิ ใหม่ไม่ไดส้ รา้ งความสัมพันธ์แบบไมคอรไ์ รซาเป็นเวลาหลายปี
หลังจากปลกู และอยู่รอดได้ด้วยการดูแลด้วยการจัดการเท่านั้น เช่น ใส่ปุย๋ ยาฆ่าแมลง และน้ำปริมาณ
มาก ในกรณีท่ีมกี ารบดอดั การกัดเซาะ การคดั เกรด การกำจดั ดนิ ช้นั บน การให้หญา้ มากเกนิ ไป การไถ
พรวน การปฏิสนธิ การปูผิวทาง มลภาวะ และการใช้พืชพันธ์ุไร้ดินในเรือนเพาะชำ จะทำให้เช้ือรา
ไมคอร์ไรซาถูกกำจัดให้หมดสนิ้ เชอ้ื ราไมคอไรซาจำนวนมากไม่กระจายสปอร์ของพวกมันในสายลม
แตต่ ้องเตบิ โตจากรากสู่ราก หรือสัตว์นำการกระจายไป ดังนนั้ ความใกล้ชดิ กับแหล่งธรรมชาตทิ ี่อุดม
สมบูรณ์และไม่ถูกรบกวนจงึ เปน็ สง่ิ จำเป็นในการแก้ปัญหาให้ดินที่ถูกรบกวน และควรเตมิ ไมคอร์ไรซา
ลงดนิ ในขณะเพาะปลกู ดว้ ย
ภาพที่ 4.4 ปลายรากเดย่ี วท่ีมเี ชือ้ รา Rhizopogon mycorrhizal ขนึ้ เปน็ อาณานคิ มจะแตกแขนง
ออกเปน็ ปลายรากจำนวนมากทหี่ นาแนน่ เหมือนปะการงั
ทม่ี า: Todd (2020)
ปุ๋ยจะกระตุ้นการเจริญเติบโตบนยอดโดยท่ีรากต้องเติบโต ทำให้พืชเขียวชอุ่มซ่ึงอ่อนไหวต่อความ
แห้งแล้งและความเครียดอื่นๆ ถ้าดินเป็นดินเหนียวแข็ง หลุมปลูกแต่ละหลุมอาจทำหน้าที่เหมือน
ภาชนะทไ่ี มม่ ีรรู ะบายนำ้ พชื ทร่ี ากขยายเพอื่ ให้ทันกบั การเจรญิ เติบโตด้านบนอาจกลายเป็นโรคหรือ
10
มกี ารหยั่งรากอย่างสมบูรณ์ภายในเวลาไม่กป่ี ี เหน็ ได้ชัดว่าการปลูกท่ีไม่ดีมีส่วนทำให้เกิดปัญหา แต่
ไมคอร์ไรซาสามารถปรับปรุงโครงสร้างของดิน กระตุ้นการเจริญเติบโตของราก และให้อาหาร
พืชได้ ปุ๋ยไม่สามารถปรับปรุงโครงสร้างของดิน ป้องกันโรคของราก หรือดูดซับและกักเก็บน้ำได้
ปยุ๋ ยังส่งผลใหเ้ กดิ มลพิษทางน้ำ เกลือในดนิ มากเกินไป และทำให้โครงสร้างของดินแย่ลงถ้าปราศจาก
ไมคอรไ์ รซา Todd (2020) ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการเจริญเติบโตและสุขภาพที่เหนือกว่าของพืชท่ีฉีด
วัคซีนไมคอร์ไรซา การศึกษาหน่ึงโดยเฉพาะอย่างย่ิง แสดงให้เห็นว่ากล้าไม้ที่ปลูกด้วยไมคอร์ไรซาของ
หญ้างอ (Agrostis) ท่ีปลูกโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยทป่ี ล่อยตามเวลาหรอื ละลายน้ำได้ในบริเวณที่สูงชันหักงอ
รุนแรง ไม่เพียงแต่รอดชีวิตแต่ยังมีสารอาหารหลักท่ีมีความเข้มข้นของใบสูงกว่า กว่าต้นกลา้ ท่ีไม่ได้
ปลูกด้วยปุ๋ยท่ีปล่อยช้า นอกจากน้ี ตน้ กล้าทฉ่ี ีดวัคซีนแล้วรอดชีวิต 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกบั ต้น
กลา้ เพยี ง 26.4 เปอร์เซน็ ต์ทป่ี ลกู โดยใช้ป๋ยุ ท่ีปลอ่ ยช้าเทา่ นั้น หากข้อมูลน้ยี ังไม่ทำให้คุณเช่อื วา่ ไมคอร์
ไรซาเป็นสิง่ ที่ดี ให้พิจารณาถงึ ความตกใจเมอ่ื พืชจากเรือนเพาะชำที่รดน้ำทุกวันและให้ปุ๋ยทุกสัปดาห์
ในสภาพแวดล้อมทไี่ ด้รับการคุ้มครอง-ถูกปลกู ในองค์ประกอบท่ีมีเพียงระบบรากเลก็ ๆ และคาดหวัง
เพื่อป้องกันตัวเองโดยไม่ตอ้ งดมื่ น้ำทุกวันหรอื ให้อาหารทกุ สัปดาห์ ทนั ใดน้ันก็เหมือนเด็กวัยหดั เดินท่ี
ไม่มีแม่ รากของมันไม่สามารถเข้าถึง "ตู้เย็นของอาหาร" ที่อาจอยู่นอกหลุมปลูกได้ สถานการณ์จะ
เลวร้ายลงหากวางพืชไว้ในสถานที่ก่อสร้างที่ปลอดโปร่งและไม่มีดินชั้นบนหรือพืชพันธุ์พื้นเมือง
ใกลเ้ คียง เชือ้ ราไมคอรไ์ รซาและส่งิ มีชีวิตในดนิ ที่เป็นประโยชน์อน่ื ๆ เป็นวิธีแกป้ ัญหาเดียวทสี่ ามารถ
หล่อเล้ียงต้นอ่อนน้นั ได้ (แสดงดงั ภาพท่ี 4.5)
ภาพท่ี 4.5 ระบบรากของ Crabapple (Malus) ขวา: รกั ษาดว้ ย mycorrhizae ซ้าย: ไมร่ กั ษา
ทมี่ า: Todd (2020)
11
ไมเคิล อมาแรนธัส (Michael Amaranthus) จากรัฐโอเรกอน กล่าวว่า "หัวเช้ือที่มีเชื้อราไมไรซา
หลากหลายสายพนั ธุ์มกั จะใหก้ ารตอบสนองทด่ี ที ่ีสดุ ความหลากหลายของสายพนั ธุ์เชื้อราอาจเพิม่ การ
อยู่รอดของพืชในสภาพทางเคมีและทางกายภาพที่หลากหลาย ต้นสน ต้นโอ๊ก และไม้เน้อื แข็งอื่นๆ
โดยท่ัวไปมีความสัมพันธ์กบั เช้ือรากลุ่ม เอ็กโตไมคอร์ไรซา ในขณะที่พืชสวนและพืชทางการเกษตร
อ่ืนๆ ส่วนใหญ่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างเอ็นโดไมคอร์ไรซา สวนในบ้านโดยเฉล่ียต้องการ
การรวมกันของเช้ือราไมคอร์ไรซาทั้งสองกลุ่ม ปัจจุบันมีบริษัทท่ีทำธุรกิจจำหน่ายสปอร์ของเช้ือรา
ไมคอร์ไรซา มีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยสิบแปดเดือนหลังจากผลิตสปอร์มาในรูปแบบต่างๆ รูปแบบเม็ด
สามารถผสมลงในดินปลูก ผสมกับน้ำและเปียกโชกในดินที่มีรพู รุนเป็นหิน ใชเ้ ป็นเจลจุ่มรากบนต้น
เปลือย หรอื ฉีดเข้าไปในบรเิ วณรากของพืชท่มี หี วั อยไู่ ตด้ นิ
3.ไส้เดือนฝอย
ช่ือสามัญ คือ ไส้เดือนฝอย (Nematode) ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Steinernema siamkayai
เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีลักษณะลำตัวกลมยาวคล้ายเส้นด้าย
มีความยาวลำตัวเฉลี่ย 0.432 มลิ ลิเมตร และความกว้างเฉล่ยี 0.022 มิลลิเมตร (แสดงดังภาพที่ 4.6)
ลำตัวไม่แบ่งเป็นข้อเป็นปล้อง มีผนังช้ันนอกเป็นรอยหยัก ยืดหยุ่นได้ มีอวัยวะเพ่ือการดำรงชีวิต
ประกอบด้วย ช่องขับถ่ายทางผิวหนัง เส้นประสาท ทางเดินอาหาร อวัยวะสืบพันธุ์แบบแยกเพศผู้
เพศเมยี และกลา้ มเนื้อ แต่ไมพ่ บระบบไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจ มีมากในดนิ ส่วนใหญ่ และมี
เพยี งไม่ก่ชี นดิ เทา่ นัน้ ที่เปน็ อนั ตรายต่อพืช สายพนั ธ์ทุ ไี่ มเ่ ป็นอันตรายกินเศษซากพชื แบคทีเรีย เชื้อรา
สาหร่าย โปรโตซัว และไส้เดือนฝอยอ่ืน เช่นเดียวกับสัตว์กินเนื้อในดินอื่นๆ ไส้เดือนฝอยเร่งอัตรา
การหมนุ เวยี นสารอาหาร (นชุ นารถ ต้งั จิตสมคิด, 2558)
ภาพที่ 4.6 ไสเ้ ดือนฝอย
ที่มา: ดดั แปลงจาก นชุ นารถ ตง้ั จิตสมคดิ (2558)
12
อนงคน์ ชุ สาสนรักกิจ และคณะ (มปป.) รายงานวา่ ไส้เดือนฝอย จัดเปน็ สัตว์ชนิดหน่ึง
มรี ูปร่างลักษณะคล้ายเส้นด้าย อาศัยอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งทั่วโลก เช่น ในดิน ทะเล แม่น้ำ แม้กระท่ัง
น้ำพุร้อนหรือทะเลทราย ไส้เดือนฝอยเป็นสัตว์ในกลุ่มของพยาธิตัวกลม มีหลายชนิด ทั้งท่ี
เป็นประโยชน์ ดำรงชีพอย่างอิสระ เป็นศัตรูของคน สัตว์ และพืช ไส้เดือนฝอยศัตรูพืช (plant
parasitic nematodes) เป็นสัตว์ขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายเส้นด้าย มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องมอง
ผ่านกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ความยาวเฉลย่ี อยรู่ ะหวา่ ง 0.2-2 มลิ ลเิ มตร สว่ นปากมีอวยั วะทีม่ ีลักษณะคลา้ ย
เข็ม เรียกว่า สไตเล็ต (stylet) เป็นส่วนท่ีใช้แทงเซลล์พืชและปล่อยเอ็นไซม์เพื่อเข้าทำลายและ
ดูดสารอาหารจากพืช เปรียบเสมือนพยาธิพืชนั่นเอง ไส้เดือนฝอยเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยโดย
การลอกคราบคร้ังแรกเกิดขึน้ ในไข่ เปน็ ตัวอ่อนระยะที่สองซ่ึงเป็นระยะเขา้ ทำลายพืช จากน้ันจะทำ
การลอกคราบอีก 3 ครง้ั จนเปน็ ตวั เตม็ วยั ไสเ้ ดือนฝอยเพศเมยี บางชนิดมีการเปล่ียนแปลงรปู รา่ ง คือ
มีรูปร่างค่อนขา้ งกลมคล้ายผลมะนาว หรือมลี ักษณะคล้ายถุง และสามารถออกไข่ไดป้ ระมาณ 100-
250 ฟอง ได้โดยไม่ต้องรับน้ำเชื้อจากเพศผู้ โดยวงจรชีวิตของไส้เดือนฝอยใช้เวลาประมาณ 25 วัน
ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิเป็นหลัก โดยอุณหภูมิสูงจะครบวงจรชีวิตเร็วขึ้น ไส้เดือนฝอยศัตรูพืชส่วนใหญ่
ดำรงชวี ิตในดินและเข้าทำลายรากพืช ทำให้พืชเกิดอาการรากปม รากแผล รากกุด รากเนา่ เป็นต้น
แต่มีบางชนดิ ท่ีสามารถเข้าทำลายพืชในส่วนทอ่ี ยู่เหนือดนิ เช่น ใบ ดอก เมล็ด ทำให้เกิดโรคใบไหม้
บิดเบี้ยว เป็นต้น ทำความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับพืชโดยทำให้ผลผลิตเสียหายและคุณภาพ
ผลผลิตลดลง แนวทางการป้องกันกำจัดไส้เดือนฝอยรากปมในพืชโดยลดการใช้สารเคมีจึงมี
ความสำคัญ และพอสรปุ ได้ดังนี้
1) หลีกเลยี่ งการปลกู พืชชนิดเดมิ อย่างต่อเน่ืองบนพ้นื ท่ีเดิม ควรไถดินข้นึ และพกั ไวใ้ ห้
ความรอ้ นจากแสงแดดฆ่าตวั อ่อนและไข่ไสเ้ ดือนฝอยรากปมในดนิ
2) หลีกเลี่ยงการปลูกพืชเหล่าน้ีหลังจากปลูกพริก เช่น มะเขือเทศ พืชตระกูลแตง
พืชผักหลังจากการปลกู พริกเนื่องจากพืชเหล่านีเ้ ป็นแหล่งอาหารท่ีไส้เดอื นฝอยรากปมสามารถเจริญ
และแพรพ่ ันธุไ์ ดเ้ ป็นอยา่ งดี ให้ปลูกพืชเหลา่ น้ีสลับกับการปลกู พริก เช่น ดาวเรอื ง ถั่วลสิ ง หรือปอเทอื ง
เพ่อื ลดประชากรของไส้เดือนฝอยในดิน นอกจากนี้ปอเทืองยังเป็นพชื บำรุงดินอีกดว้ ย การปลกู ปอเทอื ง
สามารถทำได้โดยหว่านเมล็ดปอเทอื งในอตั รา 5 กิโลกรัมตอ่ พ้ืนท่ี 1 ไร่ เมอื่ ปอเทืองอายุได้ประมาณ
45 วนั ทำการไถกลบเพ่ือเพมิ่ ปรมิ าณปยุ๋ ไนโตรเจนในดิน ทำให้พริกทปี่ ลกู ในฤดถู ัดมามคี วามสมบรู ณ์
มากขึ้น สามารถเพิม่ ผลผลิตได้
3) เพ่ือลดการเข้าทำลายของไสเ้ ดือนฝอยรากปมในระยะแรก ใหใ้ ชฟ้ างขา้ วหรอื แกลบ
คลุมแปลงเพาะกลา้ พรกิ และเผาเพื่อให้ความรอ้ นทำลายไข่และตวั อ่อนของไส้เดือนฝอยและพักแปลง
ประมาณ 1 สัปดาหก์ อ่ นเพาะกล้าพรกิ รนุ่ ถัดไป
13
4. สัตว์ขาปล้อง
สตั วข์ าปล้อง (Arthropods) เป็นสงิ่ มีชวี ิตในดินท่ีสามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปลา่ (แสดง
ดังภาพท่ี 4.7) อยู่ในไฟลัม (phylum) หลักของสัตว์ไม่มีกระดูกสนั หลัง ท่ีมขี นาดของลำตวั แบ่งเป็น
สว่ นๆ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนอกและส่วนท้อง ซ่ึงสตั ว์ขาปล้องบางจำพวกอาจจะมีส่วนหัว และ
ส่วนอกที่เชื่อมต่อกันเป็นส่วนเดียวกันด้วยก็ได้จะมีเปลือกแข็งหุ้มบริเวณลำตัว สำหรับทำหน้าท่ี
ปอ้ งกันและช่วยพยุงรา่ งกายทอ่ี อ่ นนม่ิ ที่ซ่อนอยภู่ ายใต้เปลอื กแขง็ และท่ีสำคัญคอื ชว่ ยพยงุ ใหร้ า่ งกาย
ของพวกสตั วข์ าปลอ้ งมรี ูปรา่ งทแี่ นน่ อน สตั ว์ขาปลอ้ งจะมชี ่องเปดิ ทส่ี ำคญั มีลักษณะเป็นรูจำนวน 2 รู
และมีอวัยวะรับความรู้สกึ ท่ีดี เคล่ือนท่ีไปมาได้อยา่ งรวดเร็ว และหาอาหารได้อย่างง่ายดายอาศัยอยู่
เกือบทุกแห่งของโลก หรืออาจเรียกได้ว่าสัตว์ขาปล้องนั้นมีถ่ินอาศัยอยู่ทุกแห่งในโลก เรียกได้ว่า
ประมาณ 3/4 ของสัตว์ท้ังหลายภายในโลก การจดั จำแนกไฟลัมย่อย (สิรสิ วัสดิภ์ มุ วาร ปรดี ม์ิ านกมล
โรจน,์ 2553) มีดงั นี้
1) พวกไทรโลไบต์ (Trilobite) สญู พันธุ์ไปหมดแล้ว พบแต่ในซากชีวติ โบราณ ถือว่าเปน็
สตั วข์ าปลอ้ งกลมุ่ แรก
2) ไฟลมั ยอ่ ยเคลิเซราตา (Chelicerata) ลำตัวแบง่ เปน็ สองส่วนคอื สว่ นหัวและอก รวม
เปน็ ชิน้ เดยี วเรยี กเซฟาโลทอแรกซ์ (Cephalothorax) กบั สว่ นท้อง มีรยางค์สำคัญ 1 คู่ขา้ งหน้า ใช้หา
อาหาร แบ่งย่อยเป็น ช้ันเมโรสโตมาตา (Merostomata) เช่น แมงดาทะเล และชั้นอะแรกนิดา
(Arachinida) เช่น แมงมมุ แมงปอ่ ง เห็บแข็งในสนุ ขั
3) ไฟลัมย่อยครัสตาเชีย (Crustacea) มีระยางค์ 5 คู่ แต่ละคู่มี 2 ก้าน ส่วนท้ายมี
ระยางค์อีก 8 คู่ อวัยวะรับความรู้สึกมีตาประกอบเป็นก้าน ขนแข็งท่ัวตัวใช้รับสัมผัส และอวัยวะ
เก่ียวกบั การทรงตัวระบบสบื พันธ์ุแยกเพศกัน ปฏิสนธภิ ายใน ตัวอ่อนลอกคราบหลายคร้งั กว่าจะเป็น
ตัวเตม็ วยั ชั้นท่สี ำคัญ ไดแ้ ก่ ชนั้ แบรงคโิ อโพดา (Brachiopoda) เช่นไรน้ำ ไรแดง ไรสนี ้ำตาล ช้นั โคพีโพดา
(Chiopoda) เช่น เหาปลา ช้นั เซอรร์ พิ ีเดยี (Cirripedia) เชน่ เพรยี งคอห่าน เพรียงหิน ช้ันมาลาคอสตรากา
(Malacostraca) เช่น กุง้ ก้ามกราม กง้ั ตก๊ั แตน กงุ้ เตน้ จกั จั่นทะเล ปูมา้
4) ไฟลัมย่อยยูนิราเมีย (Uniramia) มีระยางค์ซึ่งไม่มีแขนง มีหนวด หรือแอนเทนนา
(antenna) คู่เดียว กรามไม่แบง่ เป็นปลอ้ ง แบ่งเป็นชัน้ ไคโลโพดา (Chilopoda) เช่น ตะขาบ ชั้นซิม
ไฟลา (Symphyla) เช่น ตะขาบฝอย ชั้นดิโพลโพดา (Diplopoda) เช่น ก้ิงกือ กิ้งกือกระสุน ช้ัน
เปาโรโพดา (Pauropoda) ลักษณะโดยท่ัวไปคล้ายช้นั ซมิ ไฟลา ชน้ั อนิ เซคตา (Insecta) ได้แก่ แมลง
สัตว์ขาปล้องในดินช่วยตัวย่อยสลายที่สำคัญ ด้วยการกินและฉีกอนุภาคขนาดใหญ่ของเศษซากพืช
และสัตว์ และเหลือเศษบางส่วนตกค้างให้แก่ส่ิงมีชีวิตในดินอื่นๆ ได้ย่อยสลายต่อไป บางชนิดเป็น
แมลงขนาดเล็กท่กี ินเชอ้ื ราเปน็ สว่ นใหญ่ ของเสียที่เกดิ ขนึ้ จากการย่อยสลายเชอื้ ราและแบคทเี รียอืน่ ๆ
จะอดุ มไปด้วยธาตอุ าหารพชื ท่ปี ล่อยออกมา
14
ภาพท่ี 4.7 สตั วข์ าปลอ้ งชนิดต่างๆ ไดแ้ ก่ กงิ้ กือ ตะขาบ และแมงปอ่ ง
ท่ีมา: ภาพถ่ายโดย ปราสาท จลุ พวก
5. ไสเ้ ดือน
ชอื่ สามัญ คือ ไส้เดือน ชือ่ วิทยาศาสตร์ คือ Lumbricus terrestris เป็นสัตว์ไม่มีกระดูก
สันหลัง กินพืชเป็นอาหาร อายุขัยเฉล่ียในป่านานถึง 6 ปี ยาวได้ถึง 14 น้ิว และมีน้ำหนักมากได้ถึง
0.39 ออนซ์ (แสดงดังภาพท่ี 4.8) แตโ่ ดยท่ัวไปแลว้ จะมีความยาวเพยี งไมก่ ่ีน้ิว ส่วนของร่างกายแตล่ ะ
ส่วนคล้ายวงแหวนท่ีเรียกว่าแอนนูลี (annuli) ลำตัวถูกปกคลุมไปด้วยขนแปรงเล็กๆ คล้ายขนที่
เรยี กว่า เซ็ตต้ี (setae) เพ่ือช่วยให้ลำตวั เคล่ือนที่ผา่ นสิง่ สกปรก หากไม่มีขนแปรงเหล่าน้ี ไส้เดอื นจะ
ขุดใต้ดินได้ยากข้ึน ซึ่งไส้เดือนใช้ในการเคลื่อนท่ีจนเกิดเป็นโพรง หากินอยู่เหนือพื้นดินในตอน
กลางคืน โดยจะขุดโพรงในระหว่างวัน โดยทั่วไปจะอยู่ใกล้ผิวน้ำสามารถขุดได้ลึกถึง 6.5 ฟุต
ส่วนแรกของไสเ้ ดือนประกอบดว้ ยปากกนิ ดิน สกัดสารอาหารจากการย่อยสลายอินทรียวตั ถุ เช่น ใบ
และราก จึงมคี วามสำคญั ต่อคุณภาพของดินเพราะขนส่งสารอาหารและแร่ธาตุจากดา้ นล่างขึ้นสู่บน
ได้ นอกจากนี้โพรงดินจะระบายอากาศในดินได้อกี ด้วย ไสเ้ ดอื นสามารถกินไดม้ ากถึงหนงึ่ ในสามของ
น้ำหนักตัวในหน่ึงวัน ส่วนตัวไส้เดือนเป็นแหล่งอาหารของสัตว์หลายชนิด เช่น นก หนู และคางคก
และมกั ใชใ้ นการทำปุ๋ยหมักในท่ีพักอาศยั และสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว ไส้เดือนจึงเป็นตัว
บ่งช้ีทางชีววิทยาที่ดีของสุขภาพของดิน เน่ืองจากมีความไวต่อ pH น้ำขัง การบดอัด การหมุนรอบ
การไถพรวน และอินทรยี วัตถุ สามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภททางนเิ วศวิทยา ดังน้ี
15
1) ไส้เดือนดิน (epigeic earthworms) ไม่ได้สร้างโพรงแต่อาศัยอยู่บนผิวดิน มักอยู่ใน
เศษใบไม้และในปุ๋ยหมัก กินวัสดุปุ๋ยหมักอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ลำตัวมักจะเป็นสีแดงสดหรือ
สนี ้ำตาลแดง และโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ไส้เดือนปยุ๋ หมกั บริเวณลำตัวมกั จะเป็นลาย
2) ไสเ้ ดือนดนิ ที่ขุดโพรงตนื้ หรือดนิ ชัน้ บน (endogeic earthworms) มสี ซี ีดถงึ ชมพู เทา
เขียว หรอื น้ำเงิน และทำโพรงในแนวนอนผา่ นดนิ เพื่อเคล่ือนทีไ่ ปมาและให้อาหาร บางชนิดสามารถ
ขุดดินไดล้ ึกมาก
3) ไส้เดือนดินโพรงลึก (anecic earthworms) เป็นสายพันธุ์ทใี่ หญ่ที่สุด มักมีสีนำ้ ตาล
แดง และทำโพรงแนวตงั้ ถาวรในดิน ช่วยใหน้ ้ำซึมผ่านได้ ไส้เดือนกนิ ใบไม้บนผิวดินโดยลากเข้าไปใน
โพรงแลว้ โยนบนพ้นื ผวิ ทีม่ ักเห็นในหญ้ารอบทางเข้าโพรง โพรงไส้เดือนช่วยเพ่มิ การแทรกซึมของน้ำ
และการเติมอากาศในดนิ พ้ืนดินท่ีเกดิ จากการขดุ อุโมงค์ไส้เดือนสามารถดูดซับน้ำในอัตรา ส่ี ถงึ สิบ
เทา่ ของพื้นที่ทีไ่ มม่ ีโพรงไส้เดือน ซ่งึ จะช่วยลดการไหลบ่าของน้ำ เติมน้ำบาดาล และช่วยกักเก็บน้ำใน
ดิน โพรงไส้เดือนแนวต้ังจะเจาะท่ออากาศลึกลงไปในดิน กระตุ้นการหมุนเวียนสารอาหารของ
จุลินทรีย์ในระดับที่ลึกกว่า (Edwards and Bohlen, 1996) อาหารของไส้เดือนประกอบด้วย
สารอินทรีย์ที่เน่าเป่ือย เช่น เศษใบไม้ หรือเศษพืชผล ระบบย่อยอาหารของไส้เดือนจะไหลไปตาม
ความยาวของลำตัว ไส้เดือนเป็นแหล่งอาหารท่ีสำคัญสำหรับสัตว์หลายชนิด เช่น เม่น จิ้งจอก นก
หนอน และสัตว์คร่ึงบกครึ่งน้ำ ไส้เดือนทำการหายใจผ่านผิวหนัง ผิวหนังของพวกมนั ต้องการความ
ชุ่มช้ืนจึงจะหายใจได้ ดังนั้นหากไส้เดือนแห้ง มันก็จะตายภายในดิน ไส้เดือนจะก่อตัวเป็นห้องที่มี
เมือกเรียงราย ซง่ึ พวกมนั จะม้วนตัวเปน็ กอ้ นแนน่ เพอ่ื ปอ้ งกันการสูญเสียความชื้น ดงั ทดี่ าร์วินเขียนไว้
ว่า "มีสัตว์ไม่ก่ีตัวท่ีมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์โลกมากกว่าไส้เดือน" เป็นวิธีธรรมชาติในการ
รกั ษาโครงสรา้ งและความอุดมสมบรู ณข์ องดินในขณะทีเ่ ติมอากาศใหด้ ิน ปรบั ปรุงการระบายน้ำ และ
นำสารอาหารข้ึนสู่ผิวน้ำ การดำเนินการเหล่านี้ช่วยสนับสนุนวิถีของระบบนิเวศในดิน (NFU the
voice of British farming, 2019) ไส้เดือนเจริญเติบโตได้ดีในที่ท่ีไม่มีการไถพรวน การไถพรวนลึก
และบ่อยครั้งจะทำให้จำนวนประชากรไส้เดือนลดลงได้มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ การไถพรวนทำลาย
โพรงไส้เดอื นแนวตั้งและสามารถฆ่าและตัดตัวไสเ้ ดือนได้ ในทางตรงกนั ข้าม การเพ่ิมมลู สัตว์และเศษ
พชื บนดนิ เป็นการเพ่ิมอาหารชว่ ยให้ไส้เดือนเจริญเติบโตขยายพันธุไ์ ดด้ ีอกี ด้วย
16
ภาพท่ี 4.8 ไสเ้ ดอื น
ท่มี า: ภาพถ่ายโดย ปราสาท จลุ พวก
สรุป
สิ่งมีชีวิตในดินต้องการสภาพแวดล้อมท่ีชื้นแต่ไม่แฉะ มีอุณหภูมิระหว่าง 50 – 90 องศา
ฟาเรนไฮต์ กิจกรรมของส่ิงมีชีวติ ในดนิ อาจลดลงเน่ืองจากสภาพดนิ แห้ง อย่างไรก็ตาม หลีกเลี่ยงการให้
นำ้ มากเกนิ ไป เน่ืองจากดินทม่ี ีน้ำขังจะเปน็ อนั ตรายต่อส่ิงมีชีวิตในดินทเ่ี ปน็ ประโยชน์ การลดลงของ
จำนวนสิง่ มีชีวติ ในดินจะส่งผลตอ่ ความพร้อมของธาตุอาหารพชื และการกอ่ ตวั ของอินทรยี วัตถุ ในการ
จดั การคณุ สมบตั ิทางชีวภาพของดิน การเอ้อื หรือสร้างท่ีอย่อู าศยั ให้แก่สงิ่ มีชวี ิตในดินเป็นข้ันตอนแรก
ในการจดั การคุณสมบัตทิ างชวี ภาพของดิน เพ่ือคุณภาพและผลผลิตของดินในระยะยาว ซงึ่ หมายถึง
การใช้แนวทางการจัดการดินที่ลดการรบกวนของดิน การจัดการวัชพืชและโรคด้วยการปลูกพืช
หมนุ เวียน การใช้นำ้ หมักชวี ภาพ รวมทั้งการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ตวั อยา่ งเชน่ ดินไมด่ ีจะมีอินทรียวตั ถุตำ่ ซ่ึง
มมี วลรวมหรอื ดินเหนยี วภายในช้ันไถจะใชเ้ วลาสามถึงหา้ ปใี นการสร้างคุณสมบัตทิ างชีวภาพของดินท่ี
จำเปน็ ในการปรับปรงุ โครงสรา้ งและเสถยี รภาพของดนิ โดยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและการจัดการดิน
ครั้งก่อน การจัดการดินทางชีวภาพเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของการรกั ษาดิน และสิ่งแวดล้อมแบบ
ยัง่ ยนื
17
เอกสารอ้างองิ
นชุ นารถ ตัง้ จิตสมคดิ . 2558. การผลติ ชวี ภัณฑไ์ ส้เดือนฝอยกำจดั แมลงศตั รูพืชแบบทำใช้เอง.
กรงุ เทพมหานคร: สำนกั วจิ ยั พฒั นาเทคโนโลยีชวี ภาพ กรมวชิ าการเกษตร.
ไพบลู ย์ ววิ ัฒนว์ งศ์วนา. 2546. เคมีดนิ . เชียงใหม่ : เชียงใหมพ่ มิ พส์ วย.
สิรสิ วัสด์ิภมุ วาร ปรดี มิ์ านกมลโรจน์. 2553. สัตวข์ าปลอ้ ง. [ออนไลน์] เข้าถงึ ได้จาก
https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=vinitsiri&month=09-
2010&date=01&group=72&gblog=46 [12 เมษายน 2562].
อนงค์นชุ สาสนรกั กิจ มนตรี เอยี่ มวมิ งั สา และ ดร.บญั ชา ชิณศรี. มปป. ความสำคญั ของไส้เดอื น
ฝอยศตั รพู ชื ต่อผลผลิตทางการเกษตรและการส่งออกนำเขา้ ของประเทศไทย. [ออนไลน์]
เขา้ ถึงได้จาก http://www3.rdi.ku.ac.th/exhibition/52/04-plant/anongnuch/
plant_00.html [1 เมษายน 2562].
Edwards, C.A. and Bohlen, P.J. (1996) Biology and Ecology of Earthworms. 3rd
Edition, London: Chapman & Hall.
Emnz. 2020. The Contribution of Actinomycetes. [Online] Available from
https://www.emnz.com/article/the-contribution-of-actinomycetes
[April, 1 2562].
Foster, S., McCuin, G., Schultz, B., Neibling, H., and Shewmaker, G. 2012, Soil
Properties, Part 2 of 3: Biological Characteristics, University of Nevada
Cooperative Extension [Online] Available from https://extension.unr.edu/
publication.aspx?PubID=2191 [April, 12 2562].
NFU the voice of British farming. 2019. Top 10 earthworm facts. [Online] Available
from https://www.nfuonline.com/cross-sector/environment/soil/top-10-
earthworm-facts/ [April, 11 2562].
Pimentel, D., Wilson, C., McCullum, C., Huang, R., Dwen, P., Flack, J., Tran, Q., Saltman, T.,
and Cliff, B. .1997 Economic and Environmental Benefits of Biodiversity.
BioScience Vol. 47: 11, pp. 747-757.
Todd, C. 2020. Mycorrhizal Fungi, Nature’s Key to Plant Survival and Success.
[Online] Available from https://www.pacifichorticulture.org/articles/
mycorrhizal-fungi-natures-key-to-plant-survival-and-success/ [April, 11 2562].