The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 2 สมบัติทางกายภาพของดิน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rujiraphon, 2022-07-09 04:29:39

บทที่ 2 สมบัติทางกายภาพของดิน

บทที่ 2 สมบัติทางกายภาพของดิน

1

หน่วยการเรียนที่ 2

เรื่อง สมบัติทางกายภาพของดนิ

แผนผังความคดิ รายหน่วย

2

สาระสำคญั

สมบตั ิทางกายภาพของดินเป็นสมบัติท่ีสำคญั ประการหนึ่งของดิน ประกอบด้วย 1) หนา้ ตัด
ดนิ และชนั้ ดิน ได้แก่ ชั้น O เป็นช้ันที่มกี ารสะสมอินทรยี วัตถทุ ั้งท่ีมาจากพืชและสัตว์ ชั้น A เป็นชั้น
ดนิ ที่ประกอบด้วยอินทรยี วตั ถุที่สลายตัวแล้วผสมคลุกเคล้าอยู่กบั แรธ่ าตุในดิน ชนั้ E เป็นชั้นชะล้าง
เป็นชั้นดินท่ีมีสีซีดจางมีปริมาณอินทรียวัตถุน้อย ชั้น B เป็นช้ันดินล่างแสดงถึงการเคลื่อนย้ายมา
สะสมของวสั ดุตา่ งๆ เช่น อนภุ าคดนิ เหนียว ชน้ั C ชน้ั วัตถุตน้ กำเนิดดิน เป็นช้นั ของวัสดุที่เกาะตัวกัน
อยหู่ ลวมๆ อยใู่ ต้ชั้นท่ีเปน็ ดิน ประกอบดว้ ยหนิ และแร่ที่กำลังผพุ งั สลายตัว และชั้น R เป็นชัน้ ของหิน
แข็งชนิดต่างๆ ที่ยังไม่มีการผุพังสลายตัว 2) สีของดิน เป็นสมบัติที่สะท้อนถึงสภาพแวดล้อม
กระบวนการเกิดดิน แร่ทเ่ี ปน็ องค์ประกอบของดิน หรือวัสดุอื่นๆ ทอ่ี ยู่ในดนิ สขี องดิน มหี ลายสี ส่วน
ใหญอ่ ยใู่ นชว่ งสีดำ น้ำตาล แดง เหลือง เหลืองแดง เหลอื งเทา หรอื สเี ทา การสังเกตสีของดิน ทำให้เรา
สามารถประเมนิ สมบัติทางกายภาพและเคมีบางอย่างของดินได้ เชน่ สภาพการระบายนำ้ ของดิน ระดับ
น้ำใต้ดนิ หรือ ความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยสีดนิ ทั่วไปจะมเี ฉดสีท่ีแตกต่างกันประมาณ 20 สี ด้วย
การเทยี บกบั ระบบสมี ุนเซลล์ (Munsell) 3) เน้ือดิน ซง่ึ เปน็ องค์ประกอบเชิงกายภาพของดิน ในแตล่ ะ
แหลง่ จะมีลักษณะแตกต่างกนั เนอ่ื งจากดินประกอบขน้ึ จากของอนุภาคตะกอนหลายขนาด อนภุ าคท่ี
ใหญ่ทส่ี ุดคืออนภุ าคทราย อนภุ าคขนาดรองลงมาคืออนภุ าคทรายแปง้ และอนุภาคท่มี ขี นาดเล็กทีส่ ุด
คอื อนุภาคดินเหนียว เน้ือสัมผัสของดินเป็นการประมาณปริมาณสัมพัทธ์ของอนุภาคทราย ตะกอน
และดินเหนียวในดิน และ 4) โครงสรา้ งของดนิ เป็นการจัดเรียงอนุภาคของดิน เม็ดดินแต่ละชนดิ มี
ความแตกต่างกนั ทง้ั ดา้ นขนาดและรูปรา่ ง แบง่ ออกเป็น 7 แบบ ไดแ้ ก่ แบบกอ้ นกลม แบบกอ้ นเหลยี่ ม
แบบแผ่น แบบแท่งหวั เหล่ียม แบบแท่งหัวมน แบบกอ้ นทึบ และแบบอนุภาคเด่ยี ว โครงสร้างของดิน
ดีสามารถวัดด้วยคะแนนที่เรียกว่า วิช่วลสกอร่ิง (visual scoring) ที่มีคะแนน 3 ระดับ คะแนน 0
หมายถงึ ดนิ เลว คะแนน 1 หมายถงึ ดนิ ปานกลาง คะแนน 2 หมายถงึ ดนิ ดี

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เพ่อื ให้

1. ผเู้ รยี น รู้ และเข้าใจ เก่ยี วกบั สมบตั ิทางกายภาพของดิน
2. ผเู้ รยี น รู้ และเข้าใจเกย่ี วกับช้นั ดิน
3. ผเู้ รยี น รู้ และเข้าใจเกี่ยวกบั สดี นิ
4. ผเู้ รียน รู้ และเข้าใจเกีย่ วกบั เนื้อดิน
5. ผเู้ รยี น รู้ และเข้าใจเกี่ยวกบั โครงสร้างของดิน

3

จดุ ประสงคเ์ ชงิ สมรรถนะ

1. ผเู้ รียนสามารถอธบิ ายสมบัตทิ างกายภาพของดินไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
2. ผเู้ รียนสามารถจำแนกชน้ั ดินและแปลความหมายไดอ้ ย่างถูกต้อง
3. ผเู้ รยี นสามารถจำแนกสดี ินและแปลความหมายได้อย่างถกู ตอ้ ง
4. ผเู้ รียนสามารถจำแนกเนื้อดนิ และแปลความหมายไดอ้ ย่างถกู ต้อง
5. ผเู้ รยี นสามารถจำแนกโครงสรา้ งของดินและแปลความหมายได้อย่างถกู ต้อง
6. ผเู้ รียนมีคุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ในเรือ่ งความกระตือรือร้น ใฝ่รู้ ทำงานรว่ มกบั ผู้อ่ืนได้
ละเอียด รอบคอบ ชา่ งสังเกต และการวิเคราะหผ์ ลจากการสังเกตและคน้ ควา้ ไดอ้ ย่างถกู ต้อง

เนือ้ หาสาระการเรียนรู้

ภายใต้สภาพภูมิอากาศ หรือบรรยากาศโลก แร่ในดินจะมีการสลายตัวผุพัง (weathering)
ตลอดเวลา คำว่า “weathering” ได้ถูกนำมาใช้แต่ดั้งเดิม โดยหมายถึงการถูกทำลายหรือแตก
สลักหักพังของแร่ อันเน่ืองมาจากการกระทำโดยสภาพแวดล้อมหรือภูมิอากาศ (weather) การ
สลายตัวผพุ ังของแรเ่ ก่ยี วขอ้ งการเปลี่ยนแปลงทง้ั ทางกายภาพและเคมี การเปลยี่ นแปลงทางกายภาพ
เปน็ การสลายตัวแบบเชิงกลหรือการแตกหกั (mechanical weathering or distingration) มีผลให้
ขนาดของอนุภาคเล็กลงโดยองค์ประกอบทางเคมีของแร่ยังคงเดิม ส่วนการสลายตัวผุพังทางเคมี
(chemical weathering or decomposition) จะทำให้แรม่ ีการเปล่ียนแปลงองค์ประกอบทางเคมี
อย่างเดน่ ชัด พร้อมทั้งมีการปลดปลอ่ ยธาตุหรอื สารบางอยา่ งออกมาในสารละลายดิน ซง่ึ ถ้าหากไม่ถูก
ชะล้างสญู หายไป สารตา่ งๆ ท่ีอย่ใู นรูปสารละลายดินน้อี าจเกิดการรวมตวั กนั เปน็ แร่ชนิดใหมข่ ้ึนมาได้
อย่างไรก็ตามกระบวนการท้ังทางกายภาพ และเคมี (physicochemical processes) มักเกิดข้ึน
พร้อมๆ กันไป โดยมีน้ำเป็นตัวการท่ีสำคัญต่อการสลายตัว ท้ังนี้รวมท้ังอัตราการชะล้างเคล่ือนย้าย
สูญหายของไอออนต่างๆ ไปจากดนิ ในระหวา่ งกระบวนการดงั กล่าว (ไพบลู ย์ ววิ ัฒนว์ งศ์วนา, 2546)
ลกั ษณะของดนิ ส่วนใหญ่ข้ึนอยู่กบั แหลง่ กำเนดิ ดิน สมบัตสิ ำคัญประการหนึ่ง คือ เนือ้ ดิน ซึ่งเปน็ ผลมา
จากสว่ นประกอบของดินนั้น เนอ้ื ดินท่ีต่างกันเกดิ จากสว่ นประกอบของอนุภาคดินที่ตา่ งกนั ได้แก่ ดิน
ทราย ดินโคลน และดินเหนียว เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงเนื้อดินทำได้ไม่ง่ายนกั แตส่ ามารถจัดการให้
มีความอุดมสมบูรณไ์ ด้อย่างย่ังยืน เน้ือดินมีผลต่อสมบตั ิของดนิ หลายประการ เชน่ ความเรว็ ของน้ำที่
ซมึ ลงดนิ ปรมิ าณนำ้ ทด่ี ินกกั เก็บได้ และปรมิ าณปุ๋ยในดิน เป็นตน้ ตวั อยา่ ง เชน่ ดนิ ที่มีเปอร์เซ็นตด์ ิน
เหนียวมากจะระบายน้ำได้ช้ากว่าดินท่ีมีเปอร์เซ็นต์ดินทรายมาก เนื่องจากดินเหนียวมีรูระหว่าง
อนุภาคเล็กกว่า ขณะที่ดินทรายจะกักเก็บน้ำได้น้อยกว่าเนื่องจากมีรูระหว่างอนุภาคใหญ่กว่า
(Idowu, 2019) ดินที่ทำการเกษตรโดยทั่วไป ประกอบด้วยส่วนผสมที่คลุกเคล้ากันกับของแข็ง น้ำ

4

และอากาศ ในส่วนทเ่ี ป็นของแข็งประกอบด้วยอินทรยี วตั ถุประมาณ 1-5% โดยนำ้ หนัก สว่ นอีก 95-
99% จะเป็นอนินทรียสารซงึ่ มีแรซ่ ลิ ิแกต (silicate minerals) เปน็ องค์ประกอบหลัก และมีออกไซด์
(oxide) ออกซีไฮดรอกไซด์ (oxyhydroxide) และไฮดรอกไซด์ (hydroxide) ของเหล็ก และ
อลูมเิ นียม หรอื ที่รวมเรียกว่า เซสควิออกไซด์ (sesquioxides) สว่ นอินทรียวตั ถุในชั้นบนของดิน (ลึก
0 – 15 เซนติเมตร) ทีท่ ำการเกษตรทว่ั ไป มี 0.5 – 5.0% โดยนำ้ หนัก ซึง่ มีอิทธพิ ลสำคัญอย่างมากตอ่
สมบัติทางกายภาพ เคมี และชีวเคมีของดิน (ไพบูลย์ วิวัฒน์วงศ์วนา, 2546) แม้ว่าดนิ จะมีลักษณะ
และสมบัติหลายประการ แต่ลักษณะและสมบัติท่ีสำคัญท่ีควรทำความเข้าใจ โดยเฉพาะสมบัติท่ี
เกย่ี วข้องกับการเพาะปลูกพืชและการจัดการดิน และไมต่ อ้ งอาศยั เครอ่ื งมอื ทางวิทยาศาสตร์ท่ียุง่ ยาก
ในการตรวจสอบ ในทางการเกษตรได้แบ่งความลึกของดนิ ออกเป็น 5 ชัน้ โดยยึดเอาความลกึ ท่วี ดั จาก
ผวิ ดินถึงชั้นท่ีขดั ขวางการเจรญิ เติบโตหรือการชอนไชของรากพืช ซงึ่ ช้นั ที่ขัดขวางการเจริญของราก
พืช ได้แก่ ชั้นหินพ้ืน ช้ันดาน ช้ันศิลาแลง ชั้นกรวด หิน หรือลูกรังท่ี หนาแน่นมากๆ 1) พบชั้น
ขัดขวางภายในความลึก 25 เซนติเมตร จากผิวดิน เป็น ดินตื้นมาก 2) พบช้ันขัดขวางระหว่างความ
ลกึ 25-50 เซนติเมตร จากผิวดนิ เปน็ ดินตื้น 3) พบชน้ั ขัดขวางระหวา่ งความลึก 50-100 เซนตเิ มตร
จากผิวดิน เป็น ดนิ ลึกปานกลาง 4) พบชั้นขัดขวางระหวา่ งความลกึ 100-150 เซนติเมตร จากผิวดิน
เป็น ดินลกึ 5) พบช้ันขัดขวางลึกกว่า 150 เซนติเมตร จากผิวดิน เป็น ดนิ ลึกมาก ความลึกความต้ืน
ของดินมีผลต่อการเลือกชนิดของพืชที่ปลูก การยึดเกาะของรากและทรงตัวของต้นพืช อุณหภูมิดิน
ปริมาณความช้นื และธาตุอาหารในดิน สมบัตทิ ีส่ ำคัญของดินแบ่งออกเปน็ 4 กล่มุ ใหญๆ่ ไดแ้ ก่ สมบตั ิ
ทางกายภาพ สมบัติทางเคมี สมบัติทางชีวภาพ และสมบัติของดินที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก ใน
หน่วยการเรยี นท่ี 2 จะกล่าวถึงสมบัตทิ างกายภาพของดนิ ดงั น้ี

สมบตั ิทางกายภาพของดนิ

สมบัตทิ างกายภาพของดนิ เป็นสมบัตทิ ี่สำคัญประการหนึ่งของดิน ประกอบด้วย หนา้ ตัดดิน
และชนั้ ดนิ สีดิน เนื้อดนิ และโครงสร้างของดนิ ดงั น้ี

1. หน้าตดั ดนิ และชั้นดิน (soil profile and soil horizon)

1.1 หนา้ ตดั ดิน
ดินเป็นเพียงแผ่นดินหรือพ้ืนผิวที่มี 2 มิติ คือ มีความกวา้ งและความยาว แต่หากว่าเรา

ขดุ ดนิ ลงไปจนเปน็ หลมุ ขนาดใหญ่ จะเหน็ วา่ ดนิ มีมติ ทิ ่ี 3 คอื มีความลกึ หรอื ความหนา และเมื่อมองตาม
ความลึกลงไปตามแนวดิ่งจะเห็นว่าดินนั้นมีการทับถมกันเป็นชั้นๆ โดยท่ีแต่ละช้ันจะแสดงให้เห็นถึง
ความแตกต่างของสง่ิ ทม่ี อี ยูภ่ ายในดิน เช่น สีดนิ เนอ้ื ดนิ ชนดิ ของวสั ดหุ รอื ส่ิงที่ปะปนอยูใ่ นดิน เป็นต้น

5

นักวิทยาศาสตร์ทางดินหรือนักปฐพีวิทยา เรยี กผิวดา้ นข้างของหลมุ ดนิ ทต่ี ัดลงไปจากผิวหนา้ ดินตาม
แนวดง่ิ ซ่ึงปรากฏใหเ้ ห็นชนั้ ตา่ งๆ ภายในดินน้วี า่ หน้าตดั ดิน (soil profile) และเรยี กช้ันตา่ งๆ ในดินที่
วางตวั ขนานกับผิวหนา้ ดนิ ว่า ชั้นดิน (soil horizon) การศกึ ษาหน้าตดั ดินมักจะทำกนั ในช่วงความลึก
ตัง้ แต่ผิวหน้าดินลงไปประมาณ 2 เมตร ข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาลักษณะที่ปรากฏอยู่ในหน้าตัดดิน
บริเวณใดบริเวณหนึ่ง ประกอบกับข้อมูลผลการตรวจสอบสมบัติทางกายภาพและเคมีของ
ดินบนและดินล่าง จะทำให้เราสามารถแบง่ ชนิดของดนิ ออกเป็นกลมุ่ และจดั หมวดหมู่ดินได้

1.2 ช้ันดิน หรอื ช้ันกำเนิดดนิ
ในหนา้ ตดั ของดินหน่งึ ๆ น้นั ประกอบด้วยชน้ั ตา่ งๆ มากมาย โดยทีช่ ้ันเหลา่ นีอ้ าจเป็นช้ัน

ที่เกิดจากกระบวนการทางดนิ หรือเปน็ ชน้ั ของวัสดุต่างๆ ก็ได้ ช้ันดนิ หลกั ๆ มอี ยดู่ ้วยกัน 5 ชนั้ คอื ชั้น
O, A, E, B และ C แต่ในบางหนา้ ตดั ดนิ อาจพบ ชนั้ R ซึ่งเปน็ ชั้นหนิ พื้นที่อาจจะมคี วามเกี่ยวขอ้ งกับ
ชั้นดนิ หลักตอนบนหรือไม่ก็ได้ การสังเกตความแตกต่างของลักษณะท่ปี รากฏอยู่ในแต่ละชั้นดนิ และ
การเรยี งตวั ของชน้ั ดินทใี่ นหน้าตัดดินนี้เอง ท่ที ำใหน้ กั ปฐพวี ิทยาสามารถจัดแบง่ ดนิ ทพี่ บออกเปน็ ชนิด
ตา่ งๆ ได้ ซึง่ จะเป็นประโยชน์อย่างยง่ิ ในการใหค้ ำแนะนำแก่เกษตรกรในการใชป้ ระโยชน์ท่ีดนิ ไดอ้ ยา่ ง
เหมาะสมกับดินในพ้นื ที่นนั้ ๆ แสดงดังภาพที่ 2.1

ภาพท่ี 2.1 ชัน้ ของดิน
ทีม่ า : ดดั แปลงจาก Nuntawong (2556) และ Shomrat (2019)

“ชั้น O” หรือเรียกว่า ชั้นดินอินทรีย์ คือ ชั้นที่มีการสะสมอินทรียวัตถุท้ังที่มาจากพืช
และสัตว์ ซ่ึงส่วนใหญ่มักจะมาจากพืช เช่น ใบไม้ ก่ิงไม้ หญ้า และพืชอ่ืนๆ ท้ังพวกท่ีมีการสลายตัว

6

เพียงเล็กน้อย สลายตัวปานกลาง หรือสลายตัวมากจนไม่สามารถสังเกตเห็นลักษณะของช้ินส่วน
ดงั้ เดมิ

“ชัน้ A” หรือ ช้ันดินบน ช้ันดินทีป่ ระกอบดว้ ยอนิ ทรยี วัตถุท่สี ลายตัวแล้วผสมคลุกเคล้า
อยกู่ ับแร่ธาตใุ นดิน มกั มสี คี ล้ำ

“ช้ัน E” หรือ ชั้นชะล้าง เป็นชั้นดินที่มีสีซีดจาง มีปริมาณอินทรียวัตถุน้อยกว่าชั้น A
และมักจะมีเนอื้ ดินหยาบกวา่ ชัน้ B ที่อยตู่ อนลา่ งลงไป

“ช้นั B” หรือ ชั้นดินล่าง เป็นช้ันทแี่ สดงถึงการเคลื่อนยา้ ยมาสะสมของวสั ดุต่างๆ เช่น
อนุภาคดินเหนยี ว

“ชัน้ C” หรือ ชั้นวัตถุต้นกำเนิดดิน เป็นชัน้ ของวัสดุทเี่ กาะตวั กันอย่หู ลวมๆ อยใู่ ต้ชั้นท่ี
เปน็ ดิน ประกอบด้วยหนิ และแรท่ กี่ ำลงั ผพุ งั สลายตวั ช้นั หินพน้ื ฐาน หรือทีเ่ รียกกนั ว่า ช้ัน R ซ่งึ เป็นช้ัน
ของหินแข็งชนิดตา่ งๆ ท่ยี ังไมม่ ีการผุพงั สลายตัวอย่ใู นหนา้ ตดั ดนิ ดว้ ย

“ชั้น R” หรอื ชั้นหนิ พ้ืนเป็นชั้นหนิ แข็งที่ยังไมผ่ ุพังสลายตัว อาจจะมหี รอื ไม่มีในหนา้ ตัด
ดนิ กไ็ ด้

ช้นั ตา่ งๆ ในดินทีเ่ ราใช้เพาะปลูกพืช อาจจะแบง่ อย่างงา่ ยๆ ดังน้ี
(1) ชั้นดินบน หรือเรียกว่า “ช้ันไถพรวน” โดยท่ัวไปมีความหนาประมาณ 15-30 ซม.
จากผิวหน้าดิน ช้ันดินบนนี้เป็นชั้นท่ีเหมาะสมต่อการเพาะปลูก เพราะเป็นชั้นท่ีมีอินทรียวัตถุหรือ
ฮวิ มสั สูงกว่าชนั้ ดินอื่นๆ โดยปกติจะมีสีคลำ้ หรือดำกว่าชั้นอืน่ ๆ รากพชื ส่วนใหญ่จะชอนไชหาอาหาร
อยู่ในช่วงชนั้ น้ี
(2) ช้ันดนิ ล่างเป็นชัน้ ท่ีมอี ินทรยี วัตถุน้อยกวา่ รากพืชท่ชี อนไชลงมาถงึ ชั้นน้ีส่วนใหญ่จะ
เป็นรากของไม้ผลหรอื ไม้ยนื ต้นทีม่ ขี นาดใหญ่ ท้งั นเี้ พื่อยดึ เกาะดินไว้ให้พืชทรงตวั อยไู่ ด้ ไมโ่ ค่นลม้ ลงได้
ง่ายเม่ือมีลมพัดแรง โดยทั่วไปรากพืชเจริญเติบโต และดูดธาตุอาหารเฉพาะในส่วนท่ีเป็นดินบนและ
ดนิ ล่าง ซึ่งดินแต่ละชนิดมีความลึกไม่เท่ากัน ดินที่ลึกจะมีพ้ืนท่ีให้พืชหยั่งราก และดูดธาตุอาหารได้
มากกวา่ ดนิ ทีต่ ื้น การปลกู พืชใหไ้ ด้ผลดีจึงควรคำนงึ ถงึ ความลึกของดินด้วย

2. สดี ิน (soil color)

สดี นิ เป็นสมบัติของดินท่ีมองเห็นได้ชดั เจน สะทอ้ นถงึ สภาพแวดลอ้ ม กระบวนการเกิดดิน
แร่ที่เป็นองคป์ ระกอบของดิน หรอื วัสดุอื่นๆ ที่อยู่ในดิน สีของดิน มีหลายสี ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงสีดำ
นำ้ ตาล แดง เหลือง เหลืองแดง เหลืองเทา หรือสีเทา การสังเกตสีของดิน ทำให้เราสามารถประเมิน
สมบัติทางกายภาพและเคมีบางอย่างของดินได้ เช่น สภาพการระบายน้ำของดิน ระดับน้ำใต้ดิน หรือ
ความอุดมสมบูรณ์ของดิน (แสดงดังภาพท่ี 2.2) โดยสีดินท่ัวไปจะมเี ฉดสที แ่ี ตกต่างกันประมาณ 20 สี

7

(แสดงดงั ภาพท่ี 2.3) ท้งั น้ีท่ัวโลกยอมรับวิธมี าตรฐานในการอธิบายสีของดินดว้ ยการเทยี บกับระบบสี
มนุ เซลล์ (Munsell) สขี องดินบ่งบอกความหมายได้ ดังน้ี

2.1 ดินสนี ้ำตาลเขม้ หรือสดี ำ แสดงวา่ ดินน้ันมอี นิ ทรยี วตั ถุอยู่ในดนิ มาก หรอื เปน็ ดนิ สดี ำ บาง
ชนิดตรวจสอบอินทรียวัตถุมีค่อนข้างต่ำแต่มีแร่ธาตุค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นดินท่ีเกิดจากการผุพัง
สลายตัวของหิน แร่ ที่มีสีเข้ม เช่น หินภูเขาไฟพวกบะซอลท์ และแกบโบร ส่วนดินสีดำท่ีมีความ
อดุ มสมบูรณ์สูง เนอ่ื งจากมีอนิ ทรียวัตถุมาก หากเป็นโคลนสดี ำนมุ่ ๆ จะสามารถบรรจุอินทรยี วตั ถุได้
มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เช่น ดินพรุ เป็นต้น ดนิ สีดำมักมโี ครงสรา้ งเป็นเม็ดละเอียด สามารถกอ่ ตัวข้ึน
บนทุ่งหญ้าพ้ืนเมืองได้ ดินสีดำจะเกิดขึน้ ภายใต้สภาพการระบายน้ำท่ไี มด่ ี และมีตั้งแต่เนอ้ื ดินเปน็ พรุ
ไปจนถงึ ดนิ เหนียวเป็นส่วนใหญ่ ดินเหลา่ นี้สามารถให้ผลผลิตสงู สำหรับผักและพืชไร่ แต่หากเป็นดิน
ที่ลมุ่ ต่ำหนา้ ดินมีสคี ล้ำ และดนิ ชัน้ ลา่ งมสี เี ทา เพราะมสี ภาพอบั อากาศ จะตอ้ งเตรยี มการระบายน้ำดว้ ย

2.2 ดินสีขาวหรือสีเทาอ่อน แสดงว่า อาจเกิดจากวัตถุต้นกำเนิดดิน มาจากหินท่ีมี
สจี าง เปน็ ทราย หรอื ปูนขาวมาก (หากถูดินเหลา่ นี้ด้วยนิ้วจะรู้สกึ วา่ เปน็ ทราย) หรือบริเวณท่ีมีสีจาง
น้ันเกิดกระบวนการทางดนิ ทีท่ ำให้ธาตุตา่ งๆ ถกู ชะล้างออกไปจากชั้นดินจนหมด เชน่ ชนั้ ดิน E หรือ
เกดิ จากการสะสมของปนู (lime) หรือยปิ ซมั (gypsum) หรือเกลอื ชนิดต่างๆ ก็ได้ มักเปน็ ดนิ ทีม่ คี วาม
อุดมสมบูรณ์ต่ำ แม้ว่าดินเหล่าน้ีมักจะระบายน้ำได้ดี แต่ก็อาจมีปัญหาในการอุ้มน้ำและสารอาหาร
นานพอท่ีพืชจะดูดซับได้ ในดินที่เป็นทรายอาจมีปัญหาเรื่องการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นปัญหาทั่วไป
สำหรบั พืชสวนผลไม้ และพืชไมป้ ระดับอื่นๆ

2.3 ดินสีเหลืองหรือสีแดง แสดงว่า เป็นดินท่ีมีอัตราการผุพังสลายตัวสูง เนื่องจากมีพวก
ออกไซด์ของเหล็กเคลือบผิวอนุภาคมาก มักจะขาดสารอาหารท่ีจำเป็นสำหรับความแข็งแรงของ
พืช โดยปกติแลว้ จะขาดไนโตรเจน ซ่งึ จำเปน็ ตอ่ การเจรญิ เติบโตของใบทส่ี มบูรณ์ ดนิ สีแดงมกั ขาดธาตุ
สังกะสี กำมะถนั และฟอสฟอรัส สารอาหารเหลา่ น้ีลว้ นจำเปน็ สำหรับการพฒั นาใบ ราก และผลของ
พชื ดงั น้นั การทำสวนในดนิ สีแดงควรมีการปรบั ปรุงดนิ กอ่ นปลกู พชื ดนิ หนา้ ผาที่มขี อบโล่งและแนวไม้
ทีส่ ัมผสั กบั ฤดูร้อนและฝนตกชกุ จึงมกั เป็นสีแดง บริเวณท่ีสงู ตามเนินเขาหรือที่ราบไหลเ่ ขา ดินเหล่าน้ี
มีการระบายน้ำดถี ึงดีมาก หากดนิ มีการระบายน้ำในหน้าตดั ดนิ ดอี ย่เู สมอ ส่วนใหญ่จะมีสแี ดง แตห่ าก
การระบายน้ำของดนิ ไม่ดเี ท่ากรณีแรก ดนิ จะมีสเี หลือง

2.4 ดนิ สีเทาปนน้ำเงิน แสดงว่า อยใู่ นสภาวะทีม่ ีน้ำขังตลอด มีการระบายน้ำไมเ่ พียงพอ ทำให้
สารประกอบของเหล็กอยใู่ นรปู ที่มีสเี ทา ดนิ โคลนสีน้ำเงินหรอื น้ำเงินเทาที่มีกล่นิ เหม็นและอาจมกี ล่ิน
เหมือนทอ่ ระบายน้ำ มักเป็นผลมาจากดินใต้ผวิ ดินทม่ี ีการเติมอากาศไมด่ ี อนิ ทรียวัตถุมีออกซเิ จนไม่
เพียงพอที่จะย่อยสลายวัสดุทั้งหมด ดินที่ย่อยไม่ดีพอเหล่านี้ไม่ดีต่อพืช เน่ืองจากวัสดุและก๊าซ
ทล่ี ะลายในดินเหลา่ นี้เป็นพิษต่อรากพืช ในการฟน้ื ฟูดินสีฟ้าและมีกลิ่นเหม็นนี้ จำเป็นต้องมีการเติม
อากาศจำนวนมากเพื่อทำใหก้ ารย่อยสลายทางชีวภาพสมบูรณ์ เพ่ือเตรียมสภาพแวดล้อมท่ีดีสำหรับ
การเจริญเตบิ โตของพชื ตอ่ ไป

8
2.5 ดินสีประ (mottle color) หรือดินที่มีหลายสีผสมกัน แสดงว่า ดินบริเวณน้ัน อยู่ใน
สภาพทม่ี ีน้ำแช่ขังสลับสภาพท่ดี ินแห้ง โดยทั่วไปมักปรากฏเป็นจุดประสีเหลืองหรือสแี ดงบนวสั ดุพ้ืน
สีเทา เปน็ ผลมาจาก การเปลีย่ นแปลงของสารประกอบของเหลก็ ที่จะแสดงสเี ทาเมอ่ื อยู่ในสภาวะที่มี
น้ำขัง (ขาดออกซเิ จน) และเปล่ียนรูปเป็นสารทใี่ ห้สีแดงเมื่ออยู่ในสภาวะดินแห้ง (มีออกซิเจนมาก)
มักจะพบในดินนาซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลพอสมควร ซึ่งน้ำระบายจากหน้าตัดจนแห้งได้ใน
ฤดูแลง้ หลงั การเก็บเก่ยี ว

ภาพท่ี 2.2 สขี องดินขึน้ อยู่กบั อินทรยี วัตถุและปรมิ าณแรธ่ าตุและไดร้ ับอิทธิพลจากการระบายน้ำ
ทีม่ า : Science Learning Hub (2013)

ภาพท่ี 2.3 สีของดนิ ทวั่ ไป
ทีม่ า : United States Department of Agriculture (2017)

9

การเทียบสีดินของดินนิยมใช้ระบบสีมุนเซลล์ที่สร้างและพัฒนาโดยศาสตราจารย์จิตรกรชาว
อเมริกนั อัลเบิรต์ เอช. มุนเซลล์ (Albert H. Munsell) เผยแพร่ในปี 1913 ดว้ ยการตีพิมพ์ใน Atlas
of the Munsell Color System ได้รบั การรับรองโดยกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมรกิ า (USDA) เป็น
ระบบสีอย่างเป็นทางการสำหรับการวจิ ัยดินในช่วงทศวรรษท่ี 1930 และยังคงใช้กนั อย่างแพรห่ ลาย
ในปจั จบุ นั มีแผนภูมิสี 15 สี ซงึ่ ประกอบด้วยชิปสหี ลายร้อยสีที่จดั เรยี งตามลักษณะสามสี ค่า และความ
เข้มของสี มกี ารกำหนดสีตามมาตราสว่ นของสี ค่า และสีทีว่ ดั ได้ ซง่ึ สอดคลอ้ งตามลำดบั กับความยาว
คล่นื ความสว่างและความแรงหรอื ความบริสุทธิต์ ามลำดับ ระบบนใี้ ชใ้ นระดับสากลเพื่อระบสุ ีทึบของ
พืน้ ผิวทย่ี ้อมหรือเปน็ เม็ดสี (แสดงดังภาพที่ 2.4) หลงั จากมนุ เซลล์เสยี ชีวิตในปี 1918 บรษิ ัทสีมนุ เซลล์
(Munsell Color Company, Inc.) ได้ดำเนินการต่อไปโดยจัดพิมพ์ในแอดลาส (Atlas) ฉบับใหม่
ภายใตช้ ื่อหนังสือสีมุนเซลล์ ในปี 1929 โดยมีการสร้างแผนภูมิสีดิน Munsell™ เป็นตัวแทนสามมิติ
ของระบบมุนเซลล์ บางครั้งเรยี กว่าต้นไม้สีมุนเซลล์ (แสดงดงั ภาพท่ี 2.5) เพอ่ื ใช้ในการเทยี บสขี องดิน
อยา่ งละเอยี ดโดยเฉพาะ (แสดงดงั ภาพที่ 2.6)

ภาพท่ี 2.4 ระบบสมี นุ เซลล์
ท่มี า : Pallardy (2018)

10

ภาพที่ 2.5 ต้นไม้สีมุนเซลล์
ทมี่ า : Pallardy (2018)

11

ภาพท่ี 2.6 แผนภูมิสีดิน Munsell™
ท่มี า : Munsell Color Company (1975)

12

3. เนอ้ื ดนิ (soil texture)

เนื้อดิน หมายถึง องค์ประกอบเชงิ กายภาพของดิน ซงึ่ ดินในแตล่ ะแหลง่ จะมีลักษณะแตกต่าง
กัน เนื่องจากดินประกอบข้ึนจากอนุภาคตะกอนหลายขนาด อนุภาคท่ีใหญ่ที่สุดคืออนุภาค
ทราย (sand) อนุภาคขนาดรองลงมาคืออนุภาคทรายแป้ง (silt) และอนุภาคที่มีขนาดเล็กท่ีสุดคือ
อนภุ าคดินเหนียว (clay) (ศูนย์การเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรโ์ ลกและดาราศาสตร์, 2562) เน้อื สัมผัสของดิน
เป็นการประมาณปรมิ าณสัมพัทธ์ของอนภุ าคทราย ตะกอน และดินเหนียวในดิน สมบตั ทิ างกายภาพ
และเคมีของดินได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเน้ือสัมผัสของดิน (Bowman & Hutka, 2002) ซ่ึงจะ
แตกต่างกันไปตามประเภทและองค์ประกอบแร่ของวัสดุต้นกำเนิด ตำแหน่งขอ งดินใน
ภมู ิประเทศ และทางกายภาพ และกระบวนการผุกร่อนทางเคมีท่เี กี่ยวข้องกับการก่อตวั ของดนิ เน้ือ
สัมผสั ของดินส่งผลตอ่ การเคลอื่ นที่ และความพรอ้ มของอากาศ สารอาหาร และน้ำในดนิ (Hunt and
Gilkes, 1992) และมกั ใช้เพ่ือประเมินคุณสมบัตขิ องดินอืน่ ๆ โดยเฉพาะคุณสมบัตขิ องน้ำในดิน หาก
ไมม่ กี ารวดั โดยตรง ( NLWRA, 2001) การวัดพื้นผิวดนิ อยา่ งงา่ ยคือความรสู้ ึกทด่ี ินสมั ผัสด้วยมอื เน้อื ดิน
เปน็ คณุ สมบตั ิเฉพาะของดนิ ซ่งึ จะมผี ลอย่างมากต่อพฤติกรรมของดิน เชน่ ความสามารถในการกักเกบ็
น้ำ การกักเกบ็ และการจา่ ยธาตอุ าหาร การระบายน้ำ และการชะลา้ งธาตุอาหาร ในความอุดมสมบูรณ์ของ
ดิน ดินที่หยาบกว่ามักจะมีความสามารถในการกักเกบ็ และกักเกบ็ สารอาหารไดน้ อ้ ยกวา่ ดนิ ทลี่ ะเอยี ด
กวา่ อย่างไรกต็ าม ความสามารถน้ลี ดลงเนื่องจากดนิ ท่ีมีเน้ือละเอยี ดได้รับการชะลา้ งอย่างรุนแรงใน
สภาพแวดลอ้ มที่ชื้น เนือ้ ดนิ มีบทบาทสำคัญในการจัดการธาตอุ าหาร เนอื่ งจากมผี ลตอ่ การกกั เกบ็ ธาตุ
อาหาร ตัวอย่างเช่น ดินท่ีมีพื้นผิวละเอียดกว่ามักจะมีความสามารถในการเก็บสารอาหารในดิน
มากกวา่ อนุภาคแร่ของดินมอี ยู่หลากหลายขนาด เศษดินละเอยี ดรวมถึงอนุภาคดินทั้งหมดที่มีขนาด
นอ้ ยกว่า 2 มิลลเิ มตร อนุภาคของดินแบ่งออกเป็น 3 ช้ันขนาดทแี่ ยกจากกัน ซึ่งรวมถึงทราย ทราย
แปง้ และดนิ เหนียว ขนาดของอนุภาคทรายอยู่ระหวา่ ง 2.0 ถงึ 0.05 ม.ม. ทรายแปง้ 0.05 ถงึ 0.002
ม.ม. และดินเหนียวน้อยกว่า 0.002 ม.ม. (แสดงดังภาพที่ 2.7) สังเกตได้ว่าอนุภาคดินเหนียวอาจมี
ขนาดเลก็ กว่าอนุภาคทรายหน่ึงพันเทา่ ความแตกต่างของขนาดน้ีสว่ นใหญเ่ กิดจากชนดิ ของวัสดหุ ลัก
และระดับของสภาพดินฟา้ อากาศ อนภุ าคทรายมักเป็นแร่ธาตหุ ลกั ทีย่ งั ไมไ่ ด้รับสภาพดนิ ฟา้ อากาศมาก
นัก ในทางกลับกัน อนุภาคดินเหนียวเป็นแร่ธาตุรองที่เป็นผลิตภัณฑ์จากการผุกร่อนของ
แรธ่ าตหุ ลัก เมือ่ สภาพดนิ ฟา้ อากาศเปลีย่ นแปลงไป อนุภาคของดินจะแตกตัวและเล็กลงเรื่อยๆ (Soil
Nutrient Management for Maoi County, 2020)

ดนิ มีหลายชนิด เช่น ดินทราย ดินร่วน ดินเหนียว ขึน้ อย่กู ับขนาดอนุภาคของตะกอนที่ผสมกัน
เป็นดิน เช่น ดินทรายมีเนื้อหยาบ เน่ืองจากประกอบด้วยอนุภาคขนาดใหญ่เช่นเม็ดทรายซึ่งมีขนาด
ใหญ่ จงึ มีชอ่ งวา่ งใหน้ ำ้ ซึมผา่ นอยา่ งรวดเร็ว ดินเหนียวมีเนอ้ื ละเอียดมาก เนอื่ งจากประกอบด้วยอนภุ าค

13

ขนาดเล็กมาก จึงไม่มีน้ำช่องว่างให้น้ำซึมผ่าน ส่วนดินร่วนมีส่วนผสมเป็นอนุภาคขนาดปานกลาง
เช่น ทรายแปง้ เปน็ สว่ นใหญ่ จงึ มคี วามเหมาะสมในการปลูกพืชสว่ นใหญ่ เนื่องจากน้ำซึมผา่ นไดไ้ มร่ วดเรว็
จนเกินไปจึงสามารถเก็บกับความช้ืนได้ดี นักปฐพีวิทยาแบ่งดินออกเป็น 12 ชนิด โดยการศึกษา
สดั ส่วนการกระจายอนุภาคของดิน หลังจากได้เปอร์เซ็นต์ของดินเหนียว ทรายแป้ง และทรายในดิน
จากการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ จะสามารถใช้สามเหลยี่ มเพอ่ื กำหนดระดบั พนื้ ผวิ ของดนิ ทตี่ อ้ งการ
ศกึ ษาได้ (แสดงดังภาพท่ี 2.7) ตัวอย่างเช่น ดินทราย ประกอบด้วยอนุภาคทราย 80 เปอร์เซน็ ต์ อนุภาค
ทรายแป้ง 10 เปอรเ์ ซ็นต์ อนภุ าคดนิ เหนียว 10 เปอร์เซ็นต์ สว่ นดนิ ร่วนประกอบดว้ ยอนุภาคทราย 40
เปอร์เซ็นต์ อนุภาคทรายแป้ง 40 เปอร์เซ็นต์ อนุภาคดินเหนียว 20 เปอร์เซ็นต์ และดินเหนียว
ประกอบด้วยอนุภาคทราย 20 เปอร์เซ็นต์ อนุภาคทรายแป้ง 20 เปอร์เซ็นต์ อนุภาคดินเหนียว 60
เปอร์เซ็นต์ การจำแนกดนิ ชว่ ยให้เราเขา้ ใจถึงคุณสมบัติของดนิ ประเภทต่างๆ ได้แก่ ความสามารถใน
การกักเก็บนำ้ และการถา่ ยเทพลังงานความรอ้ น ซึ่งสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ในทางเกษตรกรรมและ
วิศวกรรม เป็นต้น การรวมตัวกันของอนุภาคขนาดทราย ทรายแป้ง และดินเหนียว ในสัดส่วนท่ี
แตกต่างกัน ทำให้เกิดเป็นเนื้อดินชนิดต่างๆ ข้ึนมา ในการจำแนกประเภทของเน้ือดินนั้นจะถือเอา
เปอร์เซ็นต์ของอนุภาคขนาดเหล่านี้ที่มีอยู่ในดินนั้นๆ เป็นหลัก โดยท่ัวไปเน้ือดินอาจแบ่งเป็นกลุ่ม
ใหญๆ่ ได้ 3 กลุ่ม (แสดงดังภาพท่ี 2.8) ดังนี้

3.1 ดนิ ทราย (sand)
เป็นดินท่มี อี นุภาคขนาดทรายเปน็ องค์ประกอบอยูม่ ากกวา่ รอ้ ยละ 85 ลกั ษณะโดยทว่ั ไป

จะเกาะตัวกันหลวมๆ และมองเห็นเป็นเม็ดเด่ียวๆ ได้ ถ้าสัมผัสดินทอี่ ยู่ในสภาพแห้งจะรู้สึกสากมือ
เม่ือลองกำดินท่ีแห้งนีไ้ วใ้ นอุ้งมอื แลว้ คลายมอื ออกดนิ กจ็ ะแตกออกจากกนั ได้ แต่ถา้ กำดินท่ีอยู่ในสภาพ
ช้ืนจะสามารถทำให้เป็นก้อนหลวมๆ ได้ แต่พอสัมผัสจะแตกออกจากกันทนั ที ดินทรายเป็นดนิ ที่มกี าร
ระบายน้ำและอากาศดีมาก แต่มีความสามารถในการอุม้ นำ้ ต่ำ มีความอุดมสมบูรณต์ ่ำ เพราะ
ความสามารถในการดูดยึดธาตุอาหารพืชมีน้อย พืชท่ีขนึ้ บนดินทรายจึงมักขาดทั้งธาตุอาหารและน้ำ
เน้อื ดินทีจ่ ดั อย่ใู นกลุ่มนี้ ไดแ้ ก่ ดนิ ทราย ดินทรายปนดินร่วน และดินรว่ นปนทราย

3.2 ดินรว่ น (mold)
โดยท่ัวไปจะประกอบด้วยอนุภาคขนาดทราย ทรายแป้ง และดินเหนียวในปริมาณ

ใกล้เคียงกัน (อนุภาคขนาดดินเหนียวร้อยละ 7-27 อนุภาคขนาดทรายแป้งร้อยละ 28-50 และมี
อนุภาคขนาดทรายน้อยกวา่ รอ้ ยละ 52) ดินร่วน เป็นดินท่ีเนอ้ื ดินคอ่ นข้างละเอียดนุ่มมือในสภาพดิน
แห้งจะจับกนั เปน็ กอ้ นแขง็ พอประมาณ ในสภาพดินช้ืนจะยดื หยนุ่ ได้บา้ ง เมอื่ สมั ผัสหรอื คลึงดินจะรสู้ กึ
นมุ่ มอื แตอ่ าจจะรูส้ กึ สากมืออย่บู ้างเล็กนอ้ ย เมื่อกำดินใหแ้ นน่ ในฝา่ มอื แลว้ คลายมือออก ดินจะจับกัน
เปน็ กอ้ นไมแ่ ตกออกจากกนั เปน็ ดินที่มีการระบายนำ้ ไดด้ ปี านกลาง จัดเป็นเน้ือดนิ ทม่ี ีความเหมาะสม
สำหรับการเพาะปลูก เนื้อดินที่อยู่ในกลุ่มน้ี ได้แก่ ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินร่วนปนทรายแป้ง
ดินร่วนเหนยี ว ดินรว่ นเหนยี วปนทราย ดินร่วนเหนยี วปนทรายแป้ง

14
3.3 ดินเหนียว (clay)

เน้ือดินประกอบด้วยอนุภาคขนาดดินเหนียวตั้งแต่ร้อยละ 40 ข้ึนไป มีอนุภาคขนาด
ทราย รอ้ ยละ 45 หรอื น้อยกว่า และมอี นุภาคขนาดทรายแป้งน้อยกวา่ ร้อยละ 40 ดนิ เหนียวเปน็ ดนิ ท่ี
มเี นื้อละเอียด ในสภาพดนิ แห้งจะแตกออกเป็นก้อนแข็งมาก เมื่อเปยี กน้ำแลว้ จะมีความยดื หยนุ่ สามารถ
ปน้ั เป็นก้อนหรอื คลงึ เปน็ เส้นยาวได้ เหนียวเหนอะหนะติดมือ เปน็ ดินทม่ี กี ารระบายน้ำและอากาศไม่
ดี แตส่ ามารถอมุ้ นำ้ ดดู ยดึ และแลกเปล่ียนธาตุอาหารพืชได้ดี เหมาะทจ่ี ะใช้ทำนาปลกู ข้าวเพราะเก็บ
น้ำไดน้ าน เนอื้ ดินทอี่ ยใู่ นกล่มุ นี้ ไดแ้ ก่ ดินเหนียว ดินเหนียวปนทราย ดินเหนียวปนทรายแป้ง

ภาพที่ 2.7 สามเหลีย่ มทอ่ี ธิบายสดั ส่วนการกระจายตัวของอนุภาคทราย ทรายแปง้ และดนิ เหนียว
ในดนิ ประเภทต่างๆ
ท่มี า : ดดั แปลงจาก ศูนย์การเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรโ์ ลกและดาราศาสตร์ (2562)

15

ภาพถา่ ย ภาพขยาย ขนาด
0.05 – 2 มม.
ดนิ ทราย
ดนิ รว่ น 10x
0.002 – 0.05 มม.

ดนิ เหนียว 10x

< 0.002 มม.
1,000x

ภาพท่ี 2.8 ลกั ษณะของดนิ ทราย ดนิ รว่ น และดนิ เหนยี ว
ท่มี า : ดดั แปลงจาก Madhav University (2014)

กล่าวได้ว่า “เน้ือดิน” เป็นสมบัติของดินตามธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างย่ิงต่อการ
เจรญิ เติบโตของพชื เพราะมีผลตอ่ คุณภาพของดนิ สภาพการระบายนำ้ ระบบนิเวศ และปรมิ าณธาตุ
อาหาร รวมทงั้ ความหลากหลายทางชวี ภาพในดิน ในดินที่เป็นดนิ ทราย มักจะมีการระบายนำ้ ดจี นถึง
ดีเกนิ ไป อุ้มน้ำได้ไมด่ ี ดินจะแห้งง่าย และมีธาตุอาหารอยู่น้อยกว่าดินชนิดอื่น ส่วนดินเหนียวนั้นจะ
อมุ้ น้ำได้มาก และมีธาตุอาหารอยู่มาก แต่กม็ ีข้อเสียทกี่ ารระบายน้ำไม่ดี มักจะมีน้ำขงั ทำให้มีอากาศ
ไม่พอสำหรบั รากพืชใช้ในการหายใจ นอกจากน้ยี ังทำการไถพรวนลำบากเพราะดินแห้งจะแข็งมากและ
ดนิ เหนียวจัดเมอ่ื เปยี ก ดินร่วนจงึ นบั เปน็ ดินทเี่ หมาะสมกบั การเจริญเติบโตของพืชมากกวา่ ดนิ เหนียวและ
ดินทราย เน่อื งจากไถพรวนง่าย อ้มุ น้ำไดป้ านกลาง มีการระบายน้ำดี และมีความอุดมสมบรู ณ์

4. โครงสรา้ งของดิน (soil structure)

โครงสร้างดิน หมายถึง รูปแบบของการยดึ และการเรยี งตัวของอนุภาคเด่ียวของดินเป็นเม็ด
ดินในหน้าตัดดนิ ซึ่งเป็นหนึ่งในปจั จัยที่สำคัญทสี่ ุดในการพจิ ารณาความสมบูรณ์ของดนิ และกำหนด
ความสำเร็จในการเพาะปลูก การรวมตัวของอนุภาคดินเปน็ ตัวบ่งช้ีท่ีสำคัญของความสามารถในการ
ใช้ได้ของดิน กล่าวคือ โครงสร้างดนิ จะสง่ ผลต่อความสามารถในการระบายน้ำและความสามารถใน
การกักเก็บน้ำของดิน ตลอดจนปัจจัยสำคัญอื่นๆ รวมถึงการเตมิ อากาศท่ีมีอยู่ในดิน อนั มีผลกระทบ
ทางกายภาพอยา่ งมากต่อพืชโดยส่งผลตอ่ การเจริญเตบิ โตของรากและการแทรกซึมของราก และช่วยให้

16

สารอาหารไหลเวียนไดด้ ขี ึน้ ดินจึงควรรว่ นซุยเพ่ือให้มคี วามสามารถในการกักเก็บความชน้ื ไดด้ ภี ายใน
เม็ดดินและรอบๆ เม็ดดิน มีการระบายน้ำและการเติมอากาศได้ดีเพื่อให้รากเจริญเติบโตได้
ดี นอกจากน้ี สิ่งมชี วี ติ ในดินอืน่ ๆ รวมถงึ จุลนิ ทรีย์และไสเ้ ดือนจะไดร้ ับประโยชน์จากโครงสร้างของดิน
ท่ดี ี เนือ่ งจากมีออกซเิ จนจำนวนมาก กกั เก็บความชน้ื ไดป้ รมิ าณมาก และเคลือ่ นที่ผ่านดนิ ได้งา่ ยขึ้น

University of Minnesota Extension (2002) รายงานวา่ กระบวนการสร้างโครงสรา้ งของ
ดิน ประกอบด้วย กระบวนการทางกายภาพ และเคมี ได้แก่ ไอออนบวกหลายวาเลนต์ (valence)
เช่น แคลเซียม (Ca2+) แมกนีเซียม (Mg2+) และอะลูมิเนียม (Al3+) จะจับอนุภาคดินเข้าด้วยกัน
อนุภาคของดินถูกผลักเข้ามาใกล้กันมากขึ้นโดยการแช่แข็งและละลาย ทำให้เปียกและทำให้แห้ง
รวมท้ังโดยรากท่ีแทรกผ่านดินเมอื่ พืชเจริญเตบิ โต สว่ นกระบวนการทางชีวภาพทีส่ รา้ งโครงสร้างของ
ดิน ได้แก่ อนุภาคของดินถูกประสานเข้าด้วยกันโดยฮิวมัส ซึ่งเป็นกาวอินทรีย์ท่ีเกิดจากเช้ือราและ
แบคทีเรยี ทยี่ อ่ ยสลายอนิ ทรียวตั ถุ และโดยโพลีเมอรแ์ ละนำ้ ตาลท่ีขับออกจากรากพชื ตลอดจนเส้นใย
ของเช้ือราและรากฝอยทำให้มวลดินรวมกันจนคงตัว อินทรยี วัตถุและรากพืชจึงเป็นหวั ใจสำคัญของ
โครงสร้างของดนิ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างดิน เป็นสมบัตทิ ี่เปล่ยี นแปลงสภาพไดง้ ่าย ในดินทีม่ กี ารใช้
ปลูกพืชมานาน โครงสร้างดินย่อมเสื่อมลง เน่ืองมาจากปริมาณอินทรียวัตถุในดินท่ีลดลง หรือเกิด
ความแนน่ ทึบ เนอ่ื งจากการไถพรวนบ่อยๆ ดว้ ยเครื่องจักรขนาดใหญ่ รวมทั้งการเสียดสีกับเครือ่ งมือ
เกษตรกรรม และการปะทะของเม็ดฝนท่ีตกลงมาด้วย ปัจจัยสำคัญท่ีทำลายโครงสร้างดินทำให้
โครงสร้างของดนิ เสอื่ มสภาพหรอื ทรุดโทรมลงไป ได้แก่ การบดอัด การเพาะปลกู การกำจดั พชื พรรณ
การเคลื่อนย้าย และการจัดการดินที่มากเกินไป เป็นต้น Queensland government (2016)
รายงานวา่ โครงสรา้ งดนิ มกี ารจัดเรียงอนภุ าคของดินออกเปน็ กลุ่มๆ การจัดกล่มุ เหล่านี้เรียกว่าเพด็ ส์
(peds) หรือแอกกรเิ กรทส์ (aggregates) ซ่งึ มักจะสรา้ งรูปรา่ งที่โดดเด่นซึง่ มกั พบในขอบเขตของดิน
ประเภทต่างๆ ของโครงสรา้ งดนิ กลไกต่างๆ ของการรวมตวั ของดิน ประกอบดว้ ย

1) จลุ ินทรยี ์ในดนิ จะขบั สารท่ที ำหนา้ ทเ่ี ปน็ ตวั ประสานและจบั อนุภาคของดินเขา้ ดว้ ยกัน
2) เชอ้ื รามเี สน้ ใยทเ่ี รยี กวา่ ไฮฟี (hyphae) ซ่ึงขยายเข้าไปในดนิ และผกู อนุภาคของดนิ ไว้
ด้วยกัน
3) รากพืชขบั นำ้ ตาลออกสูด่ นิ ท่ีชว่ ยจับแรธ่ าตุ
4) ออกไซดย์ ังทำหนา้ ทเ่ี ป็นกาวและเช่อื มอนุภาคเข้าดว้ ยกัน กระบวนการรวมกลมุ่ น้พี บได้
บ่อยในดนิ เขตรอ้ นที่มสี ภาพอากาศแปรปรวนสงู
5) อนุภาคในดนิ อาจถูกดงึ ดูดเขา้ หากันโดยธรรมชาตผิ ่านแรงไฟฟา้ สถิต คล้ายกบั แรงดงึ ดดู
ระหวา่ งเส้นผมกบั บอลลนู
การรวมตัวของดนิ ทม่ี ีความเสถียรภาพเปน็ คณุ สมบตั ทิ มี่ คี า่ มากต่อการให้ผลผลิต กระนัน้
ความคงตัวของการรวมตวั ของดินนัน้ ข้นึ อยกู่ บั ชนิดของแรธ่ าตุท่ีมอี ยใู่ นดินเปน็ อย่างมาก แร่ธาตจุ าก
ดนิ เหนียวบางชนดิ กอ่ ให้เกิดมวลรวมทเ่ี สถยี รมาก ในขณะทแี่ ร่ธาตจุ ากดนิ อ่ืนๆ จะสรา้ งมวลรวมท่ี

17

อ่อนแอซึง่ กระจัดกระจายได้ง่ายมาก เช่น ดินเหนยี วซลิ เิ กตทม่ี ีสภาพอากาศสูง ออกไซด์ และวัสดุ
ภูเขาไฟอสณั ฐานมแี นวโน้มทจ่ี ะกอ่ ตวั เป็นมวลรวมทีเ่ สถยี รท่ีสดุ การมีอยู่ของอินทรยี วัตถดุ ้วยวสั ดุ
เหลา่ นี้ชว่ ยปรบั ปรงุ การก่อตวั ของมวลรวมที่เสถียร ในการจดั การสารอาหาร ความคงตัวของมวลรวม
มีความสำคญั เน่ืองจากแร่ธาตุที่รวมตัวกนั เปน็ อย่างดจี ะระบายออกไดด้ แี ละสามารถทำงานได้
ค่อนขา้ งดี ในทางตรงกันขา้ ม ดินเหนียวซลิ ิเกตท่ีผกุ รอ่ นนอ้ ย เชน่ มอนต์มอรลิ โลไนต์ ก่อตัวเป็นมวล
รวมทีอ่ อ่ นแอ ดินเหนียวซลิ ิเกตบางชนิดมีศักยภาพในการหดตัว ซึง่ หมายความวา่ แร่ธาตใุ นดิน
ขยายตัวหรอื บวมเม่ือเปยี กทำให้ดนิ เหนยี วระบายน้ำได้ไมด่ ี แขง็ เม่อื แห้ง ดนิ เหล่านจี้ ะหดตวั และเกิด
รอยแตก การประกอบโครงสร้างขัดแตะของดนิ เหนียวซลิ เิ กตเป็นตวั กำหนดศกั ยภาพในการหดตวั
ของดนิ

อินทรยี วตั ถุ
อนุภาคดินเหนียว

อนภุ าคทรายแป้ง
อนภุ าคทราย

ภาพที่ 2.9 ลักษณะการรวมตวั ของดิน
ทม่ี า : Queensland government (2016)

ดินบางชนิดมีการจัดเรียงอนภุ าคของดิน ลกั ษณะเปน็ ก้อนใหญ่ แข็ง และไมม่ รี ปู รา่ ง เรียกว่า
มีมวลมาก และมีโครงสร้างน้อย หรือไม่มีเลย ตัวอย่างเช่น ดินทรายมากไม่มีโครงสร้างเพราะเม็ด
ทรายไมเ่ กาะติดกนั ดินท่มี ีโครงสร้างดีจะแตกตัวได้ง่ายเป็นทางแยกทมี่ รี ปู รา่ งที่แนน่ อน เช่น เมด็ เล็ก
หรอื เป็นก้อน ขนาด 1–60 มิลลเิ มตร (แสดงดงั ภาพที่ 2.9) ทั้งนี้ เม็ดดินแต่ละชนดิ มีความแตกต่างกัน
ทั้งด้านขนาดและรูปร่าง ซึ่งแบ่งออกเป็น 7 แบบ (University of Minnesota Extension, 2018)
(แสดงดังภาพที่ 2.10 และ 2.11) ดังน้ี

1) แบบก้อนกลม (granular) มีรูปร่างคล้ายทรงกลม เม็ดดินมีขนาดเล็กประมาณ 1 - 10
มลิ ลิเมตร มกั พบในดนิ ชั้น A มรี ากพชื ปนอย่มู าก เนื้อดินมคี วามพรุนมาก จงึ ระบายน้ำและอากาศไดด้ ี

2) แบบก้อนเหลี่ยม (blocky) มีรูปร่างคล้ายกล่อง เม็ดดินมีขนาดประมาณ 1 - 5 เซนติเมตร
มักพบในดนิ ช้ัน B มกี ารกระจายของรากพชื ปานกลาง นำ้ และอากาศซึมผ่านได้

18

3) แบบแผ่น (platy) ก้อนดนิ แบนวางตวั ในแนวราบ และซอ้ นเหลื่อมกันเปน็ ชัน้ ขดั ขวางราก
พืช น้ำและอากาศซึมผ่านได้ยาก มักเป็นดินช้ัน A ท่ีถูกบีบอัดจากการบดไถของเคร่ืองจักรกล
การเกษตร

4) แบบแท่งหัวเหล่ียม (prismatic) ก้อนดินแต่ละก้อนมีผิวหน้าแบบและเรียบ เกาะตัวกัน
เป็นแท่งหัวเหล่ียมคล้ายปริซึม ก้อนดินมีลักษณะยาวในแนวดิ่ง ส่วนบนของปลายแท่งมักมีรูปร่าง
แบน เม็ดดินมีขนาด 1 - 10 เซนติเมตร มักพบในดนิ ชน้ั B นำ้ และอากาศซึมไดป้ านกลาง

5) แบบแท่งหัวมน (columnar) มกี ารจับตวั คล้ายคลึงกับแบบแท่งหวั เหลยี่ ม แต่สว่ นบนของ
ปลายแท่งมีลักษณะกลมมน ปกคลุมด้วยเกลือ เม็ดดินมีขนาด 1 - 10 เซนติเมตร มักพบในดิน
ชัน้ B และเกดิ ในเขตแห้งแล้ง นำ้ และอากาศซมึ ผา่ นได้น้อย และมกี ารสะสมของโซเดยี มสงู

6) แบบก้อนทึบ (massive) เป็นดินเน้ือละเอียดยึดตัวติดกันเป็นก้อนใหญ่ ขนาด
ประมาณ 30 เซนติเมตร ดนิ ไม่แตกตัวเป็นเมด็ จึงทำให้นำ้ และอากาศซมึ ผ่านได้ยาก

7) แบบอนภุ าคเดี่ยว (single grained) ไม่มกี ารยึดตวั ตดิ กนั เปน็ กอ้ น มักพบในดินทราย ซึ่ง
น้ำและอากาศซมึ ผ่านไดด้ ี

 โครงสรา้ งแบบกอ้ นกลม ขนาด 1 – 10 ม.ม. พบในดินช้นั บน
 โครงสร้างแบบกอ้ นเหลย่ี ม (blocky) ขนาด 5 – 50 ม.ม. พบในดนิ ช้นั รอง
ลงไป สำหรบั ดนิ ทมี่ โี ครงสร้างดี

 โครงสรา้ งแบบแผ่น (platy) พบในดินทีเ่ ปน็ แผ่นหนาจากการไถพรวน
 โครงสร้างแบบแทง่ หวั เหลย่ี ม (prismatic) จะมีรอยแตกเลก็ นอ้ ยสำหรบั
การไหลซมึ ของนำ้ หรอื ใหร้ ากพชื เจรญิ เติบโต พบในดนิ เหนยี วชั้นลา่ ง

ภาพท่ี 2.10 โครงสร้างทว่ั ไปของดิน
ทีม่ า: ดัดแปลงจาก University of Minnesota Extension (2018)

19

(ก) แบบก้อนกลม (granular) (ข) แบบกอ้ นเหลี่ยม (blocky)

(ค) แบบแทง่ หัวเหลย่ี ม (prismatic) (ง) แบบแทง่ หวั มน (columnar)

(จ) แบบแผ่น (platy) (ฉ) แบบกอ้ นทบึ (massive)
(ช) แบบอนุภาคเดี่ยว (single grained)

ภาพที่ 2.11 โครงสรา้ งดนิ แบบตา่ งๆ (ก) แบบก้อนกลม (ข) แบบกอ้ นเหลีย่ ม (ค) แบบแท่งหัวเหลย่ี ม
(ง) แบบแทง่ หัวมน (จ) แบบแผน่ (ฉ) แบบกอ้ นทบึ (ช) แบบอนภุ าคเดีย่ ว
ที่มา: ดัดแปลงจาก e-Krishi Shiksha (2019) และ Williams (2019)

20

โครงสร้างของดินดีสามารถวัดด้วยคะแนนที่เรียกว่า วิช่วลสกอร่ิง (visual scoring) ที่มี
คะแนน 3 ระดับ คะแนน 0 หมายถึง ดินเลว ส่วนใหญ่ดินจับกันเป็นก้อน มีดินร่วนน้อยมากรูปร่าง
เม็ดดินเป็นเหล่ียม ดินแน่นมีรูพรุนน้อยมากจนถึงไม่มีรูพรุน คะแนน 1 หมายถึง ดินปานกลาง มี
สัดส่วนระหว่างดินร่วนเม็ดกลม และดินท่ีจับกนั เป็นก้อน ร้อยละ 50 รปู ร่างเม็ดดินเป็นเหล่ยี ม มีรู
พรุนน้อย คะแนน 2 หมายถึง ดินดี ส่วนใหญ่เป็นดินร่วนเม็ดกลม ไม่จับกันเป็นก้อน และมีรูพรุน
(แสดงดังภาพที่ 2.12) การปรบั ปรงุ โครงสร้างดินมวี ิธี ดังนี้

1) เพิ่มอินทรียวตั ถุในรปู ของซากพืชหรอื ปุ๋ยพืชสด อินทรียวตั ถใุ นดินช่วยจับอนุภาคของดิน
เข้าดว้ ยกันเป็นช้นิ เลก็ ช้นิ นอ้ ย และยงั ช่วยเพิ่มความสามารถในการกักเกบ็ ความชื้นของดนิ โดยตรงอีกด้วย

2) ปลูกพืชหรอื หญา้ ท่มี ีรากลึกหรือเป็นเส้นใยเพอ่ื เพ่ิมความพรนุ และเพิ่มสารอินทรียท์ ี่ชว่ ยยึด
เกาะอนุภาคในดนิ เข้าด้วยกัน ในดินอัดแน่นหรือดินเหนียว รากท่ีกระจายออกไปจะทำลายดินและสร้าง
เสน้ ทางทนี่ ำ้ สามารถซมึ ลึกเขา้ ไปในดินช้ันล่างได้ การสลายตัวของมวลรากทำใหเ้ กิดสารอินทรียท์ ี่ดดู ซับ
น้ำเหมือนฟองนำ้ ในดินแห้ง ทราย หรือหิน สารอินทรยี ช์ ่วยยดึ ดนิ ไวด้ ้วยกันและเพ่ิมการกักเกบ็ น้ำ

3) เติมปูน ซ่งึ เป็นมแี ร่ธาตุแคลเซยี มทมี่ ีความพร้อมสามารถแตกตัวเปน็ แคลเซียมไอออนที่มี
ประจุบวกสอง (Ca2+) จะช่วยให้เกิดการตกตะกอนเมื่อแคลเซยี มไอออนจับตวั กับคอลลอยด์ ฮิวมัส
และอนุภาคดนิ เหนียวเข้าดว้ ยกนั ตะกอนของแคลเซยี มมีความสำคญั ต่อโครงสร้างดินทีด่ ี

4) ลดการวางทบั ดว้ ยของหนกั เพือ่ ลดโอกาสในการบดอัด
5) เพ่ิมเชื้อจุลินทรีย์ เช่น น้ำหมักชีวภาพที่มีกลุ่มจุลินทรีย์ท่ีมีประสิทธิภาพ (Effective
Microorganisms, EM) จะช่วยสร้างโครงสร้างของดิน โดย EM เพ่ิมท้ังเชื้อราและแบคทีเรียในดิน
และกระตุ้นจุลินทรีย์ท่ีอาศัยอยู่ เร่งการทำงานทางชีวภาพของดินเพ่ือสลายอินทรียวัตถุและสร้าง
โครงสร้างของดนิ ในเชงิ บวก

ก ขค
ภาพที่ 2.12 คะแนนโครงสร้างดนิ (ก) 2 = ดินดี (ข) 1 = ดินปานกลาง (ค) 0 = ดนิ เลว

ทีม่ า: EMNZ (2016)

21

สรปุ
สมบตั ิทางกายภาพของดนิ ประกอบด้วยสมบตั ติ ่างๆ ดังน้ี
หน้าตัดและช้ันของดิน ชน้ั ดินหลักๆ มีอย่ดู ้วยกัน 5 ชั้น ได้แก่ ชั้น O, A, E, B และ C แตใ่ น

บางหนา้ ตดั ดนิ อาจพบ ชน้ั R ซงึ่ เป็นชัน้ หนิ พื้นท่ีอาจจะมคี วามเกย่ี วข้องกับชั้นดินหลักตอนบนหรอื ไม่
ก็ได้ “ชน้ั O” หรือเรียกวา่ ชั้นดินอินทรีย์ คอื ชน้ั ทีม่ กี ารสะสมอนิ ทรียวตั ถุทงั้ ที่มาจากพชื และสัตว์ ซง่ึ
ส่วนใหญ่มักจะมาจากพืช “ชนั้ A” หรือ ช้นั ดินบน ชั้นดินท่ปี ระกอบดว้ ยอินทรียวตั ถทุ ี่สลายตัวแล้ว
ผสมคลุกเคล้าอยู่กับแร่ธาตุในดิน มักมีสีคล้ำ “ชั้น E” หรือ ชั้นชะล้าง เป็นช้ันดินที่มีสีซีดจาง มี
ปรมิ าณอินทรียวัตถุน้อยกว่าชั้น A และมักจะมีเน้ือดินหยาบกว่าชั้น B ท่ีอยู่ตอนล่างลงไป “ช้ัน B”
หรือ ชั้นดินล่าง เป็นชั้นที่แสดงถงึ การเคล่ือนยา้ ยมาสะสมของวสั ดตุ ่างๆ เช่น อนุภาคดินเหนียว “ชั้น
C” หรือ ชั้นวัตถุต้นกำเนิดดิน เป็นชั้นของวัสดุที่เกาะตัวกันอยู่หลวมๆ อยู่ใต้ช้ันที่เป็นดิน
ประกอบด้วยหินและแรท่ ่กี ำลังผุพงั สลายตัว ชน้ั หนิ พ้ืนฐาน หรอื ท่ีเรยี กกนั วา่ ชั้น R ซงึ่ เปน็ ชน้ั ของหนิ
แขง็ ชนิดตา่ งๆ ทีย่ งั ไม่มีการผพุ งั สลายตวั อยใู่ นหนา้ ตดั ดนิ ด้วย “ชัน้ R” หรอื ช้ันหินพ้ืนเปน็ ช้ันหนิ แข็ง
ที่ยงั ไมผ่ พุ งั สลายตวั อาจจะมีหรอื ไม่มใี นหนา้ ตัดดินก็ได้

สีของดิน เป็นคุณสมบัติท่ีสะท้อนถึงสภาพแวดล้อม กระบวนการเกิดดิน แร่ท่ีเป็น
องค์ประกอบของดิน หรือวัสดุอื่นๆ ทอี่ ยู่ในดิน สีของดนิ สามารถประเมินสมบัติทางกายภาพและเคมี
บางอย่างของดินได้ เช่น สภาพการระบายน้ำของดิน ระดับน้ำใต้ดิน หรือ ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
โดยสีดนิ ทั่วไปจะมีเฉดสีท่ีแตกต่างกนั ประมาณ 20 สี ด้วยการเทียบกับระบบสีมุนเซลล์ (Munsell)
สขี องดินบง่ บอกความหมายได้ ดังน้ี ดินสนี ้ำตาลเขม้ หรือสีดำ แสดงว่า ดินนัน้ มีอินทรียวตั ถุอยู่ในดิน
มาก ดินสีขาวหรือสีเทาอ่อน แสดงว่า อาจเกิดจากวัตถุตน้ กำเนิดดิน มาจากหินที่มสี ีจาง เป็นทราย
หรือปูนขาวมาก หรอื บริเวณท่ีมีสีจางนั้นเกดิ กระบวนการทางดนิ ท่ีทำให้ธาตุต่างๆ ถูกชะล้างออกไป
จากช้ันดินจนหมด ดินสีเหลอื งหรือสแี ดง แสดงวา่ เป็นดินท่มี ีอัตราการผุพงั สลายตัวสงู เน่ืองจากมี
พวกออกไซด์ของเหล็กเคลอื บผวิ อนุภาคมาก มักจะขาดสารอาหารที่จำเป็นสำหรบั ความแขง็ แรงของ
พืช ดินสีเทาปนน้ำเงิน แสดงว่า อยู่ในสภาวะที่มีน้ำขังตลอด มีการระบายน้ำไม่เพียงพอ ทำให้
สารประกอบของเหล็กอย่ใู นรูปที่มีสีเทา ดนิ โคลนสีน้ำเงินหรือน้ำเงินเทาทม่ี กี ล่ินเหมน็ และอาจมีกล่ิน
เหมือนทอ่ ระบายนำ้ ดินสปี ระ หรือดินท่ีมีหลายสีผสมกนั แสดงวา่ ดินบริเวณน้ัน อยู่ในสภาพทีม่ นี ้ำ
แช่ขงั สลบั สภาพท่ีดนิ แห้งโดยทว่ั ไปมักปรากฏเปน็ จดุ ประสีเหลอื งหรอื สีแดงบนวัสดพุ ้ืนสีเทา

เนื้อดนิ หมายถงึ องค์ประกอบเชงิ กายภาพของดนิ ซงึ่ ดินในแต่ละแหล่งจะมีลกั ษณะแตกต่าง
กัน เนื่องจากดินประกอบขึ้นจากอนุภาคตะกอนหลายขนาด อนุภาคท่ีใหญ่ท่ีสุดคืออนุภาค
ทราย อนภุ าคขนาดรองลงมาคอื อนุภาคทรายแป้ง และอนภุ าคท่ีมีขนาดเล็กทสี่ ดุ คอื อนภุ าคดนิ เหนยี ว
เน้ือสัมผัสของดนิ เปน็ การประมาณปรมิ าณสัมพทั ธ์ของอนุภาคทราย ตะกอน และดนิ เหนียวในดนิ

โครงสรา้ งของดิน หมายถงึ การจดั เรียงอนุภาคของดิน เม็ดดนิ แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน
ทัง้ ด้านขนาดและรูปรา่ ง ซง่ึ แบ่งออกเปน็ 7 แบบ ได้แก่ แบบก้อนกลม มรี ูปรา่ งคล้ายทรงกลม แบบ

22

เหล่ียม มีรูปร่างคล้ายกล่อง แบบแผ่น ก้อนดินแบนวางตัวในแนวราบ และซ้อนเหล่ือมกันเป็น
ชนั้ แบบแท่งหัวเหล่ียม ก้อนดินแต่ละก้อนมีผิวหน้าแบนและเรยี บ เกาะตัวกันเป็นแท่งหัวเหลี่ยม
คล้ายปริซึม ก้อนดินมีลักษณะยาวในแนวดิ่ง ส่วนบนของปลายแท่งมักมีรูปร่างแบน แบบแท่งหัว
มน มกี ารจับตัวคล้ายคลึงกับแบบแท่งหวั เหลี่ยม แตส่ ว่ นบนของปลายแทง่ มลี ักษณะกลมมน ปกคลุม
ด้วยเกลอื และ แบบอนุภาคเดีย่ ว ไม่มีการยดึ ตวั ติดกันเป็นกอ้ น มักพบในดินทราย ซ่งึ นำ้ และอากาศ
ซึมผ่านไดด้ ี โครงสรา้ งของดนิ ดีสามารถวดั ด้วยคะแนน 3 ระดับ คะแนน 0 หมายถึง ดนิ เลว คะแนน
1 หมายถึง ดนิ ปานกลาง คะแนน 2 หมายถึง ดินดี

23

เอกสารอา้ งอิง

ไพบลู ย์ ววิ ัฒนว์ งศว์ นา. 2546. เคมดี นิ . เชียงใหม่ : เชยี งใหมพ่ มิ พส์ วย.
ศูนยก์ ารเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์. 2562. เนอ้ื ดนิ . [ออนไลน์] เขา้ ถึงได้
จากhttp://www.lesa.biz/earth/lithosphere/soil/soil-texture [15 มิถุนายน 2562].

สำนักวิทยาศาสตร์เพ่ือการพฒั นาทด่ี ิน. 2547. คมู่ ือการวเิ คราะห์ตัวอย่างดนิ นำ้ ป๋ยุ พชื วสั ดุ
ปรบั ปรงุ ดิน และการวิเคราะห์เพ่ือตรวจรับรองมาตรฐานสนิ คา้ เล่ม 1. กรุงเทพมหานคร:
กรมพฒั นาที่ดิน.

Bowman GM, and Hutka J. 2002. Particle Size Analysis. In Soil Physical
Measurement and Interpretation For Land Evaluation. Eds. NJ McKenzie:
HP Cresswell, KJ Coughlan.

e-Krishi Shiksha. 2019. Irrigation Engineering. [Online] Available from http://
ecoursesonline.iasri.res.in/mod/page/view.php?id=1993 [May 25, 2020].

EMNZ. 2016. Soil Health Series - Soil Structure. [Online] Available from https://
www.emnz.com/article/soil-structure [May 20, 2020].

Hunt N, and Gilkes R. 1992. Farm Monitoring Handbook. The University of Western
Australia: Nedlands, WA.

Madhav University. 2014. Different Types of Soil – Sand, Silt, Clay and Loam.
[Online] Available from https://madhavuniversity.edu.in/soil-types.html
[May 20, 2020].

NLWRA. 2001. Australian Agricultural Assessment. National Land and Water
Resources Audit.

Nuntawong, J. 2556. ชั้นของดนิ . [ออนไลน]์ เข้าถึงได้จากhttp://jakkaphampii.blogspot.
com/2013/02/blog-post.html [10 มกราคม 2556].

Pallardy, R. 2018. Munsell colour system. Encyclopedia Britannica. [Online]
Available from https://www.britannica.com/science/Munsell-color-system.
[May 20, 2020].

Queensland government. 2016. Soil structure. [Online] Available from https://
www.qld.gov.au/environment/land/management/soil/soil-properties/texture
[May 25, 2020].

24

Science Learning Hub. 2013. Soils are not all the same. [Online] Available from
https://www.sciencelearn.org.nz/images/1063-soils-are-not-all-the-same
[May 25, 2020].

Shomrat, A. 2019. Soil Horizon & Soil Profile. [Online] Available from https:/
/plantlet.org/about-plantlet/ [May 15, 2020].

Soil Nutrient Management for Maoi County, University of Hawaii. 2020. Soil Texture
and Soil Structure. [Online] Available from http://soils.usda.gov/technical/
manual/print_version/complete.html [May 21, 2020].

United States Department of Agriculture. 2017. Soil color. [Online] Available from
https://www.nrcs.usda.gov/wps/portal/nrcs/detail/wi/soils/?cid=NRCSEPRD137
0419 [May 25, 2020].

University of Minnesota Extension. 2018. Soil compaction. [Online] Available from
https://extension.umn.edu/soil-management-and-health/soil-compaction
[May 25, 2020].

Williams, M. 2019. Soil structure and typical processes of formation. [Online]
Available from https://www.researchgate.net/figure/Soil-structure-and-typical-
processes-of-formation_fig7_340681084 [May 15, 2020].


Click to View FlipBook Version