The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Aiiwmizz Areerat, 2022-09-25 06:22:20

วิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ

วิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ

ช่ือเร่อื ง : การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนเรอื่ ง คำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ
ชดุ คำราชาศัพท์และคำสุภาพ สำหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2/1 โรงเรียนบา้ นตาวร

ช่อื ผู้วิจยั : นางสาวอารรี ัตน์ ภมู ิชยั
ปีทศ่ี ึกษา : 2565

บทคดั ยอ่

การวจิ ัยครง้ั นี้มีวตั ถปุ ระสงค์ คอื เพื่อเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเร่ือง คำราชาศัพท์ โดยใช้
เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ สำหรบั นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบา้ น
ตาวร และเพอื่ สำรวจความพึงพอใจต่อการใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ สำหรับ
นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นตาวร กลุม่ ตัวอยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คือ นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่

2/1 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 โรงเรยี นบา้ นตาวร อำเภอปราสาทจังหวัดสุรนิ ทร์ สังกัดสำนกั งานเขต
พ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาสรุ ินทร์ เขต 3 จำนวน 16คน ได้มาโดยการสุม่ แบบแบ่งกลุ่ม ( Cluster

Random Sampling ) เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั ประกอบดว้ ย
1.เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพทแ์ ละคำสุภาพ 2.) แผนการจัดการเรยี นรู้ ประกอบการใช้เกมหมาก
กระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสุภาพ 3.) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น 4.) แบบวดั ความพงึ
พอใจที่มตี ่อการเรียนรู้โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ เวลาที่ใชใ้ นการทดลอง
จำนวน 9 ชวั่ โมง สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ไดแ้ ก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ยี ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน

ผลการวจิ ัยพบว่า
1. ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรียนหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ยั สำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ
.05
2. ความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมีตอ่ การเรยี นด้วยเกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำ
สภุ าพ ภาพรวมโดยภาพรวม และรายข้ออยใู่ นระดบั มากที่สดุ โดยขอ้ เกมหมากกระดานขานคำ มีความ
กระตุน้ ความสนใจในการเรยี น มีค่าเฉล่ยี สงู กว่าขอ้ อน่ื ๆ และข้อเวลาที่ใชใ้ นการเลน่ มีเพียงพอและเหมาะสม มี
ค่าเฉลย่ี ต่ำกว่าขอ้ อื่นๆ

บทท่ี 1
บทนำ

1. ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

พ.ศ.2545 ซึ่งได้กำหนดแนวทางในการปฏิรูปการศึกษาโดยให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ โดยมุ่ง
ปลูกฝังและสร้างลักษณะที่พึงประสงค์ให้กับผู้เรียน อันได้แก่ การเป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม มีค่านิยมที่ดีงาม
และเป็นนักคิดที่ดีเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวและสามารถแ ข่งขันได้กับนานาชาติในโลกที่กำลัง
เปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สงั คมและเทคโนโลยีไปสคู่ วามไร้พรมแดน เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วย
ตนเองและเป็นผู้ที่รักการเรียนรู้ สามารถคิดวิเคราะห์แก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับชุมชนและสังคม
มาตรา 24 ได้กำหนดให้สถานศึกษาจัดกระบวนการเรียนรู้โดยการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การ
เผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ปัญหา และจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
จากการปฏิบัติให้คิดเป็นและทำเป็น (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ) จากพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศกั ราช 2524 และฉบบั แกไ้ ขเพ่ิมเติม พ.ศ.2545 สื่อการสอนจึงเขา้ มามีบทบาทสำคัญ
ต่อการศึกษาของไทยเป็นอย่างมากในการพัฒนาการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยที่สื่อการเรียน
การสอนนั้นไม่เพียงแต่จะใช้เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้อันจะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้สอนและผู้เรียนเท่านั้น ยัง
เป็นความจำเป็นที่จะต้องใช้สำหรับการเรียนการสอนในยุคโลกาภิวัฒน์ เพื่อนำความรู้ทีไ่ ด้ไปประยุกต์ใช้อย่าง
เหมาะสมในการถ่ายทอดความรใู้ นกระบวนการเรยี นการสอนในหอ้ งเรยี น

ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติของประเทศไทย ท่ีคนไทยใช้ติดต่อสื่อสารกันมาตั้งแต่อดีต
ซึ่งภาษาไทยเป็นภาษาเดียวในโลกที่ไม่ได้ใช้ร่วมกับประเทศอื่นๆ กล่าวได้ว่า ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของคน
ไทยก็ว่าได้ อีกทั้งในปัจจุบันคนไทยบางคนไม่ได้มองเห็นถึงความสำคัญของภาษาไทย มักใช้ภาษาที่ผิดๆ ไป
จากเดิม จนทำให้เกิดความเคยชินแล้วติดเป็นนิสัยและเกิดการใช้ภาษา การเขียน
การอ่าน และเกิดการใชร้ ูปประโยคในภาษาไทยท่ีผิดและอาจทำใหค้ วามหมายของประโยคนั้นๆ เปลี่ยนแปลง
ไปได้ วิชาภาษาไทยนับเป็นวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญ เป็นภาษาที่เราใช้ในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน
จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ คล่องแคล่ว ในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น การฟัง การพูด
การอ่าน การเขียน และการสะกดคำ ให้มีความถูกต้อง เพื่อให้สามารถนำความรู้ความสามารถไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและเพอื่ การศึกษาในระดบั ท่ีสูงขึ้น ( อ้างถงึ ใน นางสาววลัยพร ทองแท่ง,2559)

สำหรับประเทศไทยมีการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย นับถือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สงู สุด ประชาชนทุกคนจะจงรกั ภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริยเ์ ปน็ อยา่ งมากสืบเนื่องมาต้ังแต่สมยั โบราณ เมื่อ
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สูงสุด ทุกคนจะให้เคารพสูงสุด พระประมุขของเรา แต่ละพระองค์ทรง
พระปรีชาสามารถ จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความ เคารพสักการะอย่างสูงสุดและมีความจงรกภักดีอย่าง
แนบแนน่ ตลอดมานบั ต้งั แต่ โบราณกาลจนถงึ ปจั จบุ ัน ดังนั้นคำพูดท่ีจะใช้กบั พระมหากษัตรยิ ์นน้ั จึงไม่สามารถ
ใช้คำพูดสามัญธรรมดาได้ คำราชาศัพท์จึงถือว่าเป็นแบบอย่างวัฒนธรรมอันดีงามทางการใช้ภาษาอีกอย่าง
หนึ่ง คำราชาศัพท์ คือ คำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ คำราชาศัพท์เป็นการกำหนดคำ
และภาษาท่สี ะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอนั ดีงามของ ไทย แม้คำราชาศพั ท์จะมีโอกาสใชใ้ นชีวิตน้อย แต่เป็นส่ิง
ที่แสดงถึงความละเอยี ดอ่อนของภาษาไทยที่มคี ำหลายรูปหลายเสยี งใน ความหมายเดียวกัน และเป็น ลักษณะ
พิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะ ซึ่งใช้กับบุคคลกลุ่มต่างๆ เช่น พระมหากษัตริย์ และ พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น
สงั คมมนษุ ยเ์ ราถือว่าการใหเ้ กยี รติแกบ่ ุคคลทเี่ ป็นหวั หน้าชุมชน หรือผทู้ ี่ชมุ ชนเคารพนับถือน้ัน เป็นวัฒนธรรม

อยา่ งหน่ึงของมนุษยชาติ ทุกชาติ ทกุ ภาษา ต่างยกยอ่ งใหเ้ กียรติแกผ่ ู้เปน็ ประมุขของชมุ ชนดว้ ยกันท้ังสน้ิ ดังนนั้
แทบทกุ ชาติ ทกุ ภาษาจงึ ต่างก็มี คำสภุ าพ สำหรบั ใช้กับประมขุ หรือผู้ท่ีเขาเคารพนับถอื จะมากนอ้ ยย่อมสุดแต่
ขนบประเพณีของชาติ และจิตใจของประชาชนในชาติว่ามีความเคารพในผู้เป็นประมุขเพียงใด ปัจจุบัน การ
เรียนรู้คำราชาศัพท์ในปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่ได้ใช้บ่อยเท่ากับภาษาสามัญ แต่คำราชาศัพท์ก็มีประโยชน์ทั้ง
ทางตรงและทางออ้ ม เช่น สามารถใชค้ ำราชาศัพทไ์ ดอ้ ย่างถกู ต้องได้ตามฐานะของบุคคล และ ได้รบั ประโยชน์
จากการเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นจากการอ่านหนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ เพราะคำราชาศัพท์
ส่วนมากจะพบเจอในรูปแบบของการนำไปใช้ในการแต่งวรรณกรรม สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ และ การแสดงหลายๆ
แขนง เช่น โขน ลิเก ภาพยนตร์ ละคร เป็นต้น

ในยคุ ปจั จุบนั การเรียนการสอนจะตอ้ งเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ หลกั โดยมเี ป้าหมายท่สี ำคญั กค็ ือ สามารถดงึ ดูด
ความสนใจของผเู้ รียน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการท่ีจะเรียนรู้ จากการไดค้ ้นควา้ หาข้อมลู ท่ีผ่านมาพบว่า
การเรยี นรู้ในเรื่องคำราชาศัพท์ ของผู้เรียนในปจั จบุ นั ผู้เรียนมักขาดความสนใจ และขาดความกระตือรือร้น
และขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง ใชใ้ นการส่อื สารหรือนำไปใชใ้ นการเรยี นการสอนไมถ่ ูกต้อง ซึ่งอาจจะเกดิ ปัญหา
เน่อื งมาจากรูปแบบการสอนทไ่ี มน่ ่าสนใจ ไม่กระตนุ้ ความสนใจของผู้เรียน การเรียนการสอนเป็นรปู
แบบเดิมๆ หรอื สื่อการสอนท่ไี ม่เหมาะสมกบั การเรยี นการสอน ทำใหก้ ารเรียนการสอนและการเรยี นรู้เรื่องคำ
ราชาศัพท์ เปน็ เรื่องท่ีไม่นา่ สนใจ

จากเหตุผลทกี่ ล่าวมาข้างต้น ผวู้ ิจยั จงึ เห็นวา่ การจัดการเรียนการสอนตอ้ งมีความแปลกใหม่ ทำให้
ผเู้ รียนจำง่าย และมีความสุขในการเรยี นรู้ ประกอบกบั ผเู้ รยี นมคี วามแตกตา่ งของแต่ละบุคคล การได้ทำ
กจิ กรรมรว่ มกัน จะทำให้เกดิ การเรียนรรู้ ว่ มกัน ผวู้ จิ ยั จงึ สรา้ ง เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และ
คำสภุ าพ ขน้ึ เพือ่ ให้นกั เรยี นฝึกการอ่าน สามารถบอกคำสามญั ของคำราชาศัพท์ได้ และมีความสนกุ สนาน ขณะ
เรียนรู้ดว้ ยกระดานขานคำ โดยฝกึ ฝนบอ่ ยๆซำ้ ๆ จนเกดิ การพัฒนาทกั ษะการอ่านและรู้คำสามัญของคำราชา
ศัพท์ได้ ซง่ึ ผู้วจิ ยั ไดน้ ำเกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสภุ าพ ไปใช้พัฒนาการเรยี นการสอน
กับนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 จำนวน 16 คน เพื่อพัฒนาสอ่ื การเรยี นรู้ และประเมนิ ความพึงพอใจของ
ผเู้ รียน โดยผลการวจิ ัยท้งั หมดจะมีประโยชนต์ อ่ การเรยี นการสอนและนำไปปรบั ปรงุ ให้มีประโยชนใ์ นการเรียน
การสอนให้มีประสิทธภิ าพมากยงิ่ ขน้ึ เปน็ อกี หน่งึ วธิ ีทีจ่ ะช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรยี นสามารถ
เรียนรไู้ ดอ้ ย่างมคี วามสุขใช้คำราชาศัพท์ได้ถูกต้อเหมาะสมแก่ฐานะของบุคคล และทสี่ ำคัญเพื่อเปน็ การพฒั นา
และอนรุ ักษค์ วามเป็นไทยให้สืบเนื่องต่อไป

2. วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั
2.1 เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเร่ือง คำราชาศพั ท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชุด

คำราชาศพั ทแ์ ละคำสภุ าพ สำหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นตาวร
2.2 เพอ่ื สำรวจความพงึ พอใจต่อการใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ

สำหรับนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นตาวร

3. สมมติฐานของการวิจยั
3.1 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเรือ่ ง คำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศพั ท์และ

คำสภุ าพ สำหรบั นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นตาวร หลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียน
3.2 นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบ้านตาวร มีความพึงพอใจตอ่ การใช้เกมหมากกระดานขาน

คำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ อยู่ในระดับมาก

4. ขอบเขตของการวิจัย
4.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบ้าน

ตาวร ตำบลโคกสะอาด อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์
เขต 3 จำนวน นักเรียนทง้ั หมด 16 คน ซ่ึงในหอ้ งเรยี นมีนกั เรยี นความสามารถแตกต่างกัน

4.2 กลุ่มตวั อย่าง ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านตาวร ตำบลโคกสะอาด อำเภอ
ปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ที่เรียนในสาระการเรียนรู้ภาษาไทย จำนวน 16 คน ภาคเรียนที่ 2
ปีการศกึ ษา 2562

4.3 ตวั แปรทใี่ ชใ้ นการวิจัย
4.3.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสุภาพ สำหรับ

นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2
4.3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
1. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เรือ่ ง คำราชาศัพท์
2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต่อการเรียนด้วย เกมหมากกระดาน

ขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และคำสุภาพ
4.4 เนอ้ื หาท่ใี ชใ้ นการวิจัย
เนื้อหารายวิชาภาษาไทย เรื่อง คำราชาศัพท์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รหัสวิชา ท22102 หน่วย

การเรยี นรูท้ ี่ 1 เรื่อง กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โดยสรา้ งเน้ือหาที่เกี่ยวเนื่องกัน ให้เป็นเกมหมากกระดาน
ขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ

หมวด
- คำราชาศัพทห์ มวดเครอื่ งใช้ทั่วไป
- คำราชาศพั ท์หมวดรา่ งกาย
- คำราชาศพั ท์หมวดเครือญาติ ราชตระกูล
- คำราชาศพั ท์หมวดคำกิริยา
- คำราชาศพั ทห์ มวดอาหาร
- คำราชาศัพทห์ มวดสัตว์ พชื
- คำราชาศัพทห์ มวด พระสงฆ์

4.5 ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ยั
การจัดการเรียนรูด้ ้วย เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ ทดลองในภาค

เรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2562 ระหว่างเดอื น พฤศจิกายน 2562 ถึงเดอื น มกราคม 2563 เวลาเรียน 3 ชัว่ โมง/

สัปดาห์ ระยะเวลาของการจดั กจิ กรรม รวม 9 ชั่วโมง ท้งั นร้ี วม การปฐมนิเทศ ทดสอบก่อนเรียน และทดสอบ
วดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรยี น

5. นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
5.1 เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ หมายถึง การเลน่ ชนดิ หน่งึ ใช้ตัว

หมากเดนิ บนกระดานส่ีเหลี่ยมจัตรุ สั แบง่ เปน็ 64 ตาเท่า ๆ กันเหมอื นกระดานหมากรกุ แตร่ ะบายสี 2 สี
สลับกนั ทุกตา เดนิ หมากตามตาทแยง กติกาการเล่นเกมเช่นเดยี วกับหมากฮอส แต่จะเพิ่มขนั้ ตอนการเล่น คือ
ผ้เู ลน่ ท่ี 1 มหี น้าทีอ่ ่านคำราชาศพั ท์ คำสามญั ใหผ้ ู้เลน่ ท่ี 2,3 ฟงั ผเู้ ล่นท่ี 1 จะต้องเฉลยคำราชาศัพท์ที่ผู้เลน่ ที่
2,3 บอกทุกคร้ัง และผู้เล่นท่ี 2,3 มีหนา้ ทผี่ ลดั กนั เดนิ หมาก ซงึ่ ในการเดินหมาก เด็กเเต่ละคนคร้ังจะต้องบอก
คำสามัญจากคำราชาศัพท์ทีก่ ำหนดใหก้ อ่ นเดินทุกคร้ัง

5.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่นักเรียนได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท22102 ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 เร่ือง ราชาศพั ท์ ทผ่ี ้วู ิจัยสร้างข้ึนเป็น
ข้อสอบแบบปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 4 ตวั เลือก จาํ นวน 30 ขอ้

5.3 ความพึงพอใจ หมายถึง ระดับคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบสอบถามความพึงพอใจของ
นกั เรียนท่มี ีต่อการเรียนรู้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และคำสุภาพ ที่ผู้วิจัยสรา้ งข้ึน จำนวน 8
ข้อ

6. ประโยชน์ทไ่ี ด้รับจากการวจิ ยั
6.1 ไดเ้ กมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ทแ์ ละคำสภุ าพ สำหรับนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่

2 ทมี่ ปี ระสิทธิภาพ สามารถนำไปพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึน้
6.2 ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย เกดิ แนวทางในการพัฒนาสอื่ และนวัตกรรมทางการศึกษา

เพื่อพฒั นาความรู้ความสามารถ และผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรยี น
6.3 เป็นแนวทางในการสร้างหมากกระดานขานคำ ในเรื่องอ่นื ๆ เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ

ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึน้

บทท่ี 2

เอกสารและงานวิจยั ท่เี กย่ี วข้อง

เพื่อให้รายงานการใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสุภาพ สำหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 บรรลุวัตถุประสงค์ ได้สื่อการเรียนรู้ทีม่ ีประสทิ ธิภาพสามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนร้ทู ี่
สามารถพัฒนาทักษะและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้นได้ ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ี
เก่ยี วข้อง เพ่อื ใช้เปน็ แนวทางในการวจิ ัย การออกแบบการวจิ ัย และการวิเคราะหข์ ้อมลู ดังรายละเอียดต่อไปน้ี

1. หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551
2. ส่อื การเรียนการสอน
3. เกมหมากฮอส
4. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
5. แผนการจัดการเรียนรู้
6. ความพงึ พอใจ

1. หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

1.1 วสิ ัยทศั น์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนานักเรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็น

มนุษยท์ ีม่ คี วามสมดลุ ทง้ั ด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจติ สำนกึ ในความเปน็ พลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึด
ม ั ่ น ใ น ก า ร ป ก ค ร อ ง ต า ม ร ะ บ อ บ ป ร ะ ช า ธ ิ ป ไ ต ย อ ั น ม ี พ ร ะ ม ห า ก ษ ั ต ร ิ ย ์ ท ร ง เ ป ็ น ป ร ะ มุ ข
มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอด
ชีวิต โดยมุ่งเน้นนักเรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม
ศักยภาพ

1.2 หลกั การ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน มหี ลักการท่ีสำคญั ดงั นี้
1. เปน็ หลักสูตรการศึกษาเพอ่ื ความเปน็ เอกภาพของชาติ มจี ดุ หมายและมาตรฐานการเรียนรู้

เป็นเป้าหมายของการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม
บนพ้ืนฐานของความเป็นไทยควบคูก่ ับความเปน็ สากล

2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา
อย่างเสมอภาคและมคี ุณภาพ

3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วม
ในการจดั การศกึ ษา ให้สอดคลอ้ งกับสภาพและความตอ้ งการของท้องถน่ิ

4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและ
การจัดการเรยี นรู้

5. เป็นหลกั สตู รการศกึ ษาทีเ่ น้นนักเรียนเป็นสำคัญ
6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย
ครอบคลมุ ทุกกล่มุ เปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียน และประสบการณ์

1.3 จุดหมาย

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนานักเรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา
มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมาย เพื่อให้เกิด
กบั นกั เรยี นเมอื่ จบการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน ดงั นี้

1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตน มีวินัย
ในตนเอง ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง

2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และทักษะ
ชวี ติ

3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตทด่ี ี มีสขุ นิสยั และรักการออกกำลงั กาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ
ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข
5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และ
การพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกัน
ในสงั คมอย่างมคี วามสุข

1.4 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน

หลักสตู รสถานศึกษา มุ่งให้ผู้เรยี นเกิดสมรรถนะสำคญั 5 ประการ ดังน้ี

1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวั ฒนธรรม

ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล

ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อ

ขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วย

หลักเหตผุ ลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใชว้ ิธีการส่ือสารท่ีมีประสิทธภิ าพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่มี

ตอ่ ตนเองและสงั คม

2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด

อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้าง

องคค์ วามรู้ หรอื สารสนเทศเพ่อื การตัดสนิ ใจเกยี่ วกับตนเองและสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค

ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ

ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ใน

การป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง

สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน

การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และ การอยู่

ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหา

และความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม

และการรู้จกั หลกี เลยี่ งพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่สง่ ผลกระทบต่อตนเองและผอู้ ่นื

5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลอื ก และใชเ้ ทคโนโลยี ดา้ นตา่ งๆ

และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้าน

การเรยี นรู้ การสอ่ื สาร การทำงาน การแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมคี ณุ ธรรม

1.5 คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
หลักสูตรสถานศึกษา มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถ

อยูร่ ว่ มกบั ผ้อู ื่นในสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลเมืองโลก ดังนี้
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ซ่อื สตั ย์สจุ ริต
3. มีวินยั
4. ใฝ่เรยี นรู้
5. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
6. มุ่งมัน่ ในการทำงาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มีจติ สาธารณะ
9 รกั ความสะอาด

ทำไมต้องเรียนภาษาไทย

ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ
เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ
และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม
ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณจ์ ากแหล่งข้อมูลสารสนเทศ
ตา่ งๆ เพอื่ พฒั นาความรู้ พฒั นากระบวนการคิดวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงทาง
สงั คม และความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพฒั นาอาชีพใหม้ ีความมน่ั คงทาง
เศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ
เป็นสมบัตลิ ้ำคา่ ควรแกก่ ารเรยี นรู้ อนุรกั ษ์ และสืบสานใหค้ งอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

เรยี นรูอ้ ะไรในภาษาไทย

ภาษาไทยเป็นทกั ษะท่ีต้องฝกึ ฝนจนเกดิ ความชำนาญในการใชภ้ าษาเพื่อการส่ือสาร การเรยี นรู้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ และเพอื่ นำไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ

• การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่างๆ การ
อ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนำไป ปรับใช้ใน
ชีวติ ประจำวัน

• การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่างๆ ของการ
เขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดตา่ งๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์
และเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์

• การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น
ความรสู้ ึก พูดลำดบั เร่ืองราวต่างๆ อยา่ งเป็นเหตุเปน็ ผล การพูดในโอกาสตา่ งๆ ทงั้ เปน็ ทางการและไม่เป็น
ทางการ และการพดู เพอ่ื โนม้ นา้ วใจ

• หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสม
กบั โอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่างๆ และอิทธพิ ลของภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย

• วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด
คุณคา่ ของงานประพนั ธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรแู้ ละทำความเข้าใจบทเห่ บทรอ้ งเลน่ ของเด็ก เพลง
พื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี
เรือ่ งราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพ่ือให้เกิดความซาบซ้ึงและภูมิใจ ในบรรพบุรุษที่ได้
สงั่ สมสบื ทอดมาจนถงึ ปจั จุบัน
ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง

สาระที่ 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอ่านสรา้ งความรแู้ ละความคดิ เพ่ือนำไปใชต้ ัดสนิ ใจ แก้ปญั หาในการ
ดำเนินชีวติ และมีนสิ ัยรักการอ่าน

ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
ม.2 1. อา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยแกว้ และบทร้อย
 การอ่านออกเสยี ง ประกอบดว้ ย
กรองไดถ้ ูกต้อง - บทร้อยแกว้ ท่ีเปน็ บทบรรยายและบท
พรรณนา
2. จับใจความสำคัญ สรปุ ความ และ - บทรอ้ ยกรอง เช่น กลอนบทละคร
อธิบายรายละเอียดจากเรื่องท่ีอา่ น กลอนนทิ าน กลอนเพลงยาว และกาพย์
3. เขยี นผงั ความคิดเพื่อแสดงความเข้าใจใน ห่อโคลง

บทเรยี นต่างๆ ท่ีอา่ น  การอา่ นจับใจความจากสื่อตา่ งๆ เช่น
4. อภปิ รายแสดงความคิดเห็น และ ข้อ - วรรณคดีในบทเรียน
- บทความ
โต้แย้งเก่ียวกับเรื่องที่อา่ น - บนั ทกึ เหตุการณ์
5. วิเคราะห์และจำแนกข้อเท็จจรงิ ข้อมลู - บทสนทนา
- บทโฆษณา
สนับสนนุ และข้อคดิ เห็นจากบทความท่ี - งานเขียนประเภทโนม้ นา้ วใจ
อา่ น - งานเขียนหรือบทความแสดงข้อเท็จจรงิ
6. ระบขุ ้อสังเกตการชวนเชือ่ การ โน้ม - เร่ืองราวจากบทเรียนในกลุ่มสาระการ
น้าว หรอื ความสมเหตสุ มผลของงาน เรยี นรภู้ าษาไทย และกล่มุ สาระการ
เขยี น เรียนร้อู ่นื

7. อ่านหนงั สอื บทความ หรือคำประพนั ธ์  การอ่านตามความสนใจ เชน่
อย่างหลากหลาย และประเมินคุณค่า - หนังสอื อ่านนอกเวลา
หรอื แนวคิดท่ีได้จากการอ่าน เพอ่ื - หนังสอื ทนี่ กั เรยี นสนใจและเหมาะสมกับ
นำไปใช้แก้ปัญหาในชีวติ วยั
- หนังสอื อา่ นที่ครูและนักเรียนกำหนด
8. มมี ารยาทในการอา่ น ร่วมกนั

 มารยาทในการอา่ น

สาระที่ 2 การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบ

ต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอยา่ งมีประสิทธภิ าพ

ชนั้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
ม.2 1. คดั ลายมอื ตวั บรรจงคร่ึงบรรทัด  การคัดลายมือตวั บรรจงคร่ึงบรรทัดตาม

2. เขียนบรรยายและพรรณนา รปู แบบการเขยี น ตวั อักษรไทย
3. เขียนเรยี งความ  การเขยี นบรรยายและพรรณนา
 การเขยี นเรียงความเก่ยี วกบั
4. เขียนย่อความ ประสบการณ์
 การเขยี นย่อความจากสื่อตา่ งๆ เช่น
5. เขียนรายงานการศกึ ษาค้นควา้
6. เขยี นจดหมายกิจธุระ นิทาน คำสอน บทความทางวิชาการ
บันทึกเหตกุ ารณ์ เรอ่ื งราวในบทเรยี นใน
กล่มุ สาระการเรียนรู้อ่นื นทิ านชาดก

 การเขยี นรายงาน

- การเขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า

- การเขียนรายงานโครงงาน

 การเขยี นจดหมายกจิ ธุระ

- จดหมายเชิญวิทยากร

- จดหมายขอความอนุเคราะห์

7. เขยี นวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และแสดงความรู้  การเขยี นวิเคราะห์ วจิ ารณ์ และแสดง

ความคิดเหน็ หรอื โตแ้ ย้งในเร่ืองท่ีอ่าน ความรู้ ความคดิ เห็น หรือโต้แยง้ จากสื่อ

อยา่ งมเี หตผุ ล ต่างๆ เชน่

- บทความ

- บทเพลง

- หนังสอื อา่ นนอกเวลา

- สารคดี

- บันเทิงคดี

8. มมี ารยาทในการเขียน  มารยาทในการเขยี น

สาระที่ 3 การฟงั การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟงั และดูอย่างมวี จิ ารณญาณ และพดู แสดงความรู้ ความคิด และความรสู้ กึ
ในโอกาสตา่ งๆ อยา่ งมีวิจารณญาณและสรา้ งสรรค์

ชั้น ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ม.2
1. พดู สรปุ ใจความสำคัญของเรือ่ งที่ฟังและ  การพูดสรปุ ความจากเร่อื งท่ฟี ังและดู

ดู

2. วิเคราะห์ข้อเทจ็ จรงิ ข้อคดิ เห็น และ  การพูดวิเคราะหแ์ ละวิจารณจ์ ากเร่ืองท่ี

ความน่าเชอ่ื ถือของขา่ วสารจากส่ือต่างๆ ฟังและดู

3. วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องทฟ่ี งั และดู

อย่างมเี หตผุ ลเพือ่ นำขอ้ คิดมาประยกุ ตใ์ ช้

ในการดำเนนิ ชวี ิต

4. พดู ในโอกาสต่างๆ ได้ตรงตาม  การพดู ในโอกาสตา่ งๆ เช่น

วัตถปุ ระสงค์ - การพูดอวยพร

- การพูดโนม้ นา้ ว

- การพูดโฆษณา

5. พูดรายงานเรอ่ื งหรือประเด็นที่ศกึ ษา  การพูดรายงานการศึกษาคน้ ควา้ จาก

ค้นคว้า แหล่งเรยี นรตู้ า่ งๆ

6. มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด  มารยาทในการฟงั การดู และการพูด

สาระที่ 4 หลักการใชภ้ าษาไทย

มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลังของ

ภาษา ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบัตขิ องชาติ

ชั้น ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ม.2 1. สร้างคำในภาษาไทย  การสรา้ งคำสมาส

2. วเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งประโยคสามญั ประโยค  ลักษณะของประโยคในภาษาไทย

รวม และประโยคซ้อน

3. แตง่ บทร้อยกรอง  กลอนสภุ าพ

4. ใช้คำราชาศัพท์  คำราชาศพั ท์

5. รวบรวมและอธบิ ายความหมายของ คำ  คำทม่ี าจากภาษาต่างประเทศ

ภาษาต่างประเทศท่ีใช้ในภาษาไทย

วรรณี โสมประยูร (2544 : 193-194) ได้อธิบายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการจัด

กจิ กรรมการเรียนการสอนภาษาไทยในระดบั ประถมศึกษาควรคำนึงถึงจุดประสงค์ความพร้อมของผู้เรียนควร

ให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทั้ง 4 ทักษะคือฟัง พูด อ่าน เขียน และมีการฝึกฝนทางภาษา มี

การบูรณาการสอนกบั วิชา อืน่ ๆ ตามความเหมาะสม เปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนร่วมกิจกรรมการเรยี นการสอนมาก

ที่สุด เน้น ให้ผู้เรียนรู้จักคิด ตัดสินใจเอง รู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเองอยู่เสมอ ควรใช้การสอน

หลาย ๆ วิธนี อกจากนี้ครูควรสอดแทรก คณุ ธรรม และใหร้ จู้ ักการทำงานร่วมกับคนอ่ืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเรียนการสอนนอกจากจะมี ความสำคัญในตัวมันเองแล้วยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียน

วิชาอื่น ๆ ได้อีก ดังนั้นการเรียน การสอนภาษาไทยจึงไม่น่าจำกัดอยู่เฉพาะในชั่วโมงภาษาไทยเท่านั้นซึ่งการ

สอนภาษาไทยควรยดึ หลกั ดังน้ี

ด้านตัวผูส้ อน ควรสอนให้สอดคลอ้ งกับธรรมชาติของผเู้ รยี น ผูส้ อนควรเป็นแบบอยา่ งที่ดีใน การใช้

ภาษาในการทำ กิจกรรมการเรียนการสอนควรสอนเรื่องใกล้ตัวผู้เรียนและสอนให้สัมพันธ์กับ วิชาอื่น ๆ

นอกจากนแ้ี ล้วควรมีการประเมินผลเป็นระยะ เพ่ือผู้เรยี นจะไดท้ ราบความกา้ วหนา้ ทที่ างการเรียนของตวั เอง

ด้านผู้เรียน ควรมีความพร้อมในการเรียนมีการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองและมีการฝึกฝนอยู่ เสมอ

ด้านส่ือการเรียนการสอน ควรมีการใชส้ อื่ การเรยี นการสอนเพื่อให้ผู้เรยี นรู้คำ

2. สือ่ การเรยี นการสอนภาษาไทย
สือ่ การเรียนการสอนภาษาไทยมคี วามสำคัญต่อการเรียนการสอนมาก เพราะส่ือเป็นตัวกลางท่ี

จะช่วยให้การส่ือสารระหว่างครูกับนักเรยี นให้เขา้ ใจตรงกัน และนกั เรียนก็สามารถทำความเข้าใจกับ บทเรียน
ได้ง่ายขึ้น ทำให้นกั เรยี นมีความสนใจบทเรียนมากกวา่ การสอนท่ีมีแตค่ รูอธิบายเพยี งอย่างเดียว
สื่อการเรียนการสอนจะช่วยนำความมีประสิทธิภาพมาสู่การเรียนการสอนและนา ความสำเร็จมาสู่
วัตถุประสงค์ท่์ตั้งไว้

ส่อื การสอน หมายถึงวสั ดอุ ุปกรณ์ เคร่ืองมือวธิ กี ารและกจิ กรรมต่าง ๆ ที่ครูผูส้ อนใชถ้ ่ายทอดความรู้
และประมวลประสบการณ์ไปสู่ผู้เรยี นอย่างมีประสิทธภิ าพ เพ่อื ให้บรรลตุ ามจดุ ประสงคท์ ่์ตั้งไว้
พอจำแนกสอื่ การสอนออกเปน็ 3 ประเภทดงั น้ี

1. สือ่ ประเภทวัสดุ (Materials) หรอื บางทีเ่ รียกว่า สื่อประเภทเบา (Software) หมายถึง
ส่ือทเ่ี ก็บความร้อยู่ในตวั เอง ซึ่งจำแนกยอ่ ยออกเปน็ 2 ลกั ษณะคอื

ก. สื่อประเภทที่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองไม่จำเป็นตองอาศัยอุปกรณ์อื่นช่วย เช่น
แผนท่ีลกู โลกรูปภาพหุ่นจำลอง ฯลฯ

ข.วัสดุที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้โดยตัวเองจำเป็นตองอาศัยอุปกรณ์อื่นช่วย เช่น แผ่นเสียง
ฟิล์ม ภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ

2. สอ่ื ประเภทอปุ กรณ์หรเื ครื่องงมือ (Equipment) หมายถงึ ส่วนทเ่ี ป็นตวั กลางหรือตวั
ผ่านทำให้ข้อมูลหรือความรู้ที่บันทึกไว้ในวัสดุสามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็น หรือได้ยิน เช่น เครื่องฉายแผ่น
ภาพโปรง่ ใส เครือ่ งฉายสไลดเ์ ครื่องฉายภาพยนตร์เคร่ืองรบั โทรทัศนเ์ ครื่องเล่นแผ่นเสยี ง เป็นต้น

3. สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ(Techniques or methods) หมายถึง สื่อที่มีลักษณะเป็นแนวคิดี
หรือรูปแบบขั้นตอนในการเรียนการสอน โดยสามารถนำ สื่อวัสดุและอุปกรณ์มาช่วยในการสอนได้เช่น เกม
และสถานการณจ์ ำลองการสอนแบบจลุ ภาค การสาธติ เปน็ ตน้

สอื่ การเรยี นการสอนภาษาไทยมีหลายชนิด ซง่ึ จะขอกล่าว ดงั น้ี
1. เกมต่าง ๆ การเลน่ เี้ ป็นส่งิ ที่เดก็ ๆ ชอบเป็นชวี ิตจติ ใจอย่แู ล้ว ผสู้ อนสามารถพลิกแพลงการเล่นแบบ

ต่าง ๆ ของเด็กมาใช้เสริมทักษะทางภาษาของเด็กได้มากมายเช่นการเล่นเกมกระซิบฝึกทักษะการฟังการเล่น
ทักทายฝึกทักษะการพูด นอกจากนี้ยังมีเกมีอกมากมายที่ผู้สอนจะประยุกต์ให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะสอน
เกมต่าง ๆ สามารถใช้ได้ทุกขั้นตอนของการสอน ไม่ว่า จะเป็นขั้นนำ เข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน ขั้นสรุปบทเรียน
การเล่นเกมในแต่ละครั้งผู้สอนควรบอกจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนที่ราบแน่ชัดว่า ฝึกทักษะใดกำหนดกติกา และ
เวลาในการเล่นให้แน่นอน การเล่นเกมทั้งที่ไม่ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์และต้องใช้เกมที่ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ผู้สอน
ต้องเตรียมไวล้ ่วงหน้า หรือให้ผู้เรียนเตรียม และเก็บให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเมื่อเล่นเสรจ็ ตัวอย่างเกมต่าง ๆ
เช่น เกมบิงโกแข่งเครื่องบินตกปลาตอบัตรคำจ่ายตลาด เกมกระซิบ เรียงคำย่ีสิบคำถาม เกมหมากกระดาน
ขานคำ ฯลฯ

2. บัตรคำเป็นสอื่ การเรียนการสอนท่ีใช้ฝึกทกั ษะด้านการอ่านและการเขียนได้ดีเป็นสอ่ื ทผ่ี ้สู อนนยิ ม
ใช้กันมากเพราะใชป้ ระกอบการเรียนการสอนได้หลายลักษณะ เชน่ สอนคดั ลายมอื สอนคำ
ใหมส่ อนคำยาก สอนอ่านออกเสียง สอนอ่านในใจ เล่นเกมเสรมิ ทักษะตา่ ง ๆ

3. ปรศิ นาคำทาย เปน็ การเลน่ ของคนไทยมาแต่โบราณนยิ มเลน่ กนั ในหมเู่ ดก็ และผใู้ หญ่ การทาย
ปญั หานน้ั ฝกึ ทักษะหลายด้าน ทัง้ การฟังการพดู การคดิ ไหวพริบในการแกป้ ญั หา จินตนาการ การแสดงออก
ทางภาษา ปริศนาคำทาย มกี ารจัดหมวดหมไู่ วหล้ายหมวดหมู่ เชน่ ประเภทสัตวข์ องใช้พืช เป็นตน้

4. เทปบันทกึ เสยี ง เปน็ ส่ือการเรียนการสอนทีโ่ รงเรียนจัดหามาไวใ้ ห้ครผู สู้ อน เพราะใช้งา่ ย
เคลอ่ื นย้ายได้สะดวกราคาไม่แพงครูใช้เทปบนั ทึกเสียงประกอบการสอนภาษาไทย โดยใช้สอนอา่ น
ทำนองเสนาะ สมั ภาษณ์บันทึกขา่ วนิทาน เป็นตน้

5. แผ่นปา้ ยสำลีเหมาะสำหรับใชเ้ ป็นสื่อการสอนในระดับชั้นเดก็ เล็ก ชั้นประถมศกึ ษาแต่กอ็ าจ
นำไปใชใ้ นระดับ ชน้ั มธั ยมหรืออุดมศึกษากไ็ ด้แผ่นป้ายสำลสี ามารถใช้ติดบัตรคำบตั รภาพหรอื รูปภาพได้แต่เรา
ตอ้ งยอมรับวา่ บัตรคำหรือบตั รภาพท่ีติดบนปา้ ยสำลนี ั้นอาจจะไม่มั่นคงอาจร่วงหลน่ ได้

6. สไลด์ประกอบเสียง นำมาใชง้ ่ายและสามารถนำมาเรียนแบบเอกตั บุคคลหรือประกอบการเรยี น
การสอนเ้ ปน็ กล่มุ สไลด์ประกอบเสยี งชุดใดท่จี ดั ทำ อย่างดีกจ็ ะให้คณุ ค่าตอ่ กระบวนการเรยี นรอู้ ยา่ งมาก

7. กระเป๋าผนัง เป็นแผ่น ไม้บาง ๆ ที่เป็นรูปส่ีเหล่ยี มผนื้ ผาขนาดเทา่ กบั แผ่น ปา้ ยผ้าสำลี
ใชก้ ระดาษแขง็ ทา เป็นร่องหรือก่ีระเป๋าขนาดใหญ่พอท่จี ะเสียบบตั รคั ำไดว้ ธิ ใี ช้กระเป๋าผนังกจ็ ะใช้คล้ายกบั แผน่
ปา้ ยผนงั สำลคี ือใช้กับบตั รัคาบตรัข้อความบัตรภาพ

8. สถานการณ์ จำลองเปรียบเหมือนนาม ธรรมของชวี ิตจรงิ หรอื การทำให้สภาพแวดล้อมหรือกีร่ ะ
บวนการของชวี ิตจริงใหง้ ่ายข้ึน โดยทั่ว ไปสถานการณ์จำลองจะเป็นการแสดงบทบาททเี่ กี่ยวขอ้ งกบั บคุ คล
หรอื สง่ิ แวดล้อมสมมตุ ิข้ึน เชน่ อาชีพตา่ ง ๆ ความเป็นอยู่ฯลฯ

3. เกมหมากฮอส
ประวตั คิ วามเป็นมา
ประวัติกีฬาหมากฮอส เชื่อกันว่า หมากฮอส ก็คือกีฬาที่ดัดแปลงมาจาก หมากรุก นั่นเอง โดย

ดัดแปลงนำเอามาแต่เบ้ีย และกำหนดกฎกติกาให้มีความง่ายขึ้น เล่นง่ายขึ้น แมแ้ ต่เดก็ ยังเรียนรู้การเล่นหมาก
ฮอสไดอ้ ย่างรวดเรว็ ซ่งึ การเดินของหมากฮอส จะคล้ายกับการเดนิ ของควนี ในหมากรกุ แต่ไม่สามารถเดินถอย
หลังได้ จนกว่าจะเดินไปยังสุดกระดาน ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการเดินตามกติ กา ท่ี
ตั้งไว้ หมากรกุ มีตน้ กำเนิดจากประเทศอินเดยี ทางตอนเหนือ เมอื่ ประมาณปี พ.ศ. 1113 ส่วนหมากฮอสเร่ิมเล่น
กันที่ประเทศสเปน เมื่อ พ.ศ. 2090 ก่อนที่จะเริ่มแพร่หลายและได้รับความนิยมไปทั่วโลก
ในระยะแรก หมากฮอสยังไม่ได้รับการยอมรับ และได้รับการขนานนามว่าเป็นหมากสำหรับผู้หญิง และกติกา
ของหมากฮอสแต่ละท้องถิ่นก็ไม่เหมือนกัน เช่น บางประเทศ หมากจะกินฮอสไม่ได้ บางประเทศใช้ตาราง 10
x 10 ช่อง มีหมากข้างละ 20 เป็นต้น หมากฮอสสากล มีการแข่งขันในระดับประเทศและต่างประเทศ ได้รับ
การยอมรบั กันทวั่ โลก ผเู้ ล่นจะมีหมากข้างละ 12 ตวั ฝา่ ยสีดำจะเปน็ ผู้เร่มิ เล่นก่อน เมื่อฝ่ายใดเข้าฮอส ก็จะนำ
หมากสีเดียวกัน วางซ้อนกันอีก 1 ตัว ฮอสจะเดินหน้าหรือถอยหลังกี่ช่องก็ได้ แต่ได้แค่แนวทแยงแนวเดียว
เท่านั้น และการเล่นหมากฮอสในปัจจุบันได้ถูกค้นคว้าทดลองการเดินในแง่มุมต่าง ๆ มาแล้วหมดสิ้น นักเล่น
หมากฮอสที่เก่ง ๆ สามารถเดินเพื่อให้เสมอกันได้กี่กระดานก็ได้ ยกเว้นต้องการเดินเสี่ยงเพื่อเอาชนะ ในการ
แ ข ่ ง ข ั น ห ม า ก ฮ อ ส จ ึ ง เ ต ็ ม ไ ป ด ้ ว ย ก า ร เ ล ่ น ท ี ่ เ ส ม อ ก ั น เ ช่ น
การแข่งขันชิงแชมป์ระหว่างแอนดรูว์ แอนเดอสัน แชมป์โลกหมากฮอสคนแรก กับเจมส์ วิลลีย์ นักหมากฮอ
สที่มีชื่อเสียงที่สุดในอดีต มีการเสมอกันถึง 54 กระดาน กีฬาหมากฮอสจึงได้ฉายาว่า เป็นกีฬา
แห่งการเสมอกัน ภายหลังได้เปลี่ยนกติกามาใช้กติกา 2 ก้าวบังคับ 47 วิธี และ 3 ก้าวบังคับ 137 วิธี สำหรับ
การเปิดหมาก ซึ่งเราได้ดัดแปลงนำมาใช้ เมื่อปี พ.ศ. 2427 ได้มีการจัดการแข่งขันประเภททีมระหว่างประเทศ
ขึ้นครั้งแรก ระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ ปี พ.ศ. 2448 อังกฤษแข่งกับสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันยังจัดการ
แขง่ ขันกนั อยู่ (สานุกรมเสรี)

วธิ ีการเลน่ หมากฮอส
หมากฮอส เป็นกีฬาประเภทหมากกระดาน มีผู้เล่น 2 ฝ่าย นิยมเล่นฝ่ายละ 1 คน หรือมากกว่า 1 คน

ชว่ ยกันคิดช่วยกันเล่น ป้องกันการเดินผดิ พลาด ก็ไมผ่ ิดกตกิ าแตอ่ ยา่ งใด
อุปกรณ์การแข่งขนั หมากฮอส ได้แกก่ ระดานและหมาก SBOBET กระดานเปน็ ทรงสี่เหลยี่ มจตั รุ สั มีตาราง

8 คณู 8ช่องเท่า ๆ กัน มชี ่องตารางส่เี หลี่ยมรวม 64 ตาราง เรียกวา่ ชอ่ ง หรอื ตา สลับสีกันแตล่ ะชอ่ ง อาจเป็น
ขาวหรือดำ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ความแตกตา่ ง

วิธกี ารเล่น ทัง้ 2 ฝา่ ยจะผลัดกนั เดนิ หมากทกุ ตัวเดินเหมอื นกนั หมด คือเดนิ แบบทแยงมุมไปขา้ งหน้าตาม
ช่องสีของตน เดินถอยหลังไม่ได้ เมื่อสามารถเดินไปจนสุดกระดานของอีกฝ่ายได้ หมากก็จะเปลี่ยนเป็นฮอส
ความสามารถก็จะเพิม่ ขึน้ คอื สามารถเดนิ ตามแนวทแยงกีช่ ่องก็ได้ เมือ่ เข้าฮอสแลว้ ก็จะนำหมากอีกตัวมาวาง
ซ้อนกัน เปน็ ฮอส

การกิน โดยการยกหมากข้ามหมากของฝ่ายตรงขา้ ม ทเ่ี ดนิ มาชิดหมากของเราในแนวทแยง เม่ือถูกกิน
หมากที่ถูกกิน ก็จะถูกเอาออกจากกระดาน การกินจะกินครั้งละตัว หรือหลายตัวก็ได้ หากตำแหน่งของหมาก
ตรงกับแนวเดินของเราท่สี ามารถกินได้

การตัดสิน เมื่อฝา่ ยใดถกู จับกินหมากจนหมด กจ็ ะถือวา่ แพ้ หรอื ฝ่ายใดทางตนั ไมส่ ามารถเดินได้ต่อไป
หรือเห็นว่าเดินต่อไปก็ไม่มีอนาคตแล้ว ก็จะขอยอมแพ้ก็ได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างมีหมากเหลืออยู่ แต่ไม่สามารถกิน
กนั ได้ ก็ถอื ว่า เสมอกัน

การบันทึก คือการจด หรือพิมพ์ หรือโดยวิธีการใดก็ได้ เพื่อให้ทราบถึงการแข่งขันของทั้งสองฝ่าย
นับตั้งแต่เริ่มเดิน จนถึงเกมสิ้นสุด เพื่อเป็นหลักฐาน และประโยชน์ในการวิเคราะห์รูปแบบการเดินหมากครั้ง
ตอ่ ไป

4. ความหมายของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น
จากการศึกษาเอกสารปรากฏว่าได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังน้ี
พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2550 : 74) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ

และทักษะทางด้านวิชาการ รวมทั้งสมรรถภาพทางสมอง และมวลประสบการณ์ทั้งปวง ที่เด็กได้รับการเรียน
การสอนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งแสดงให้เหน็ ได้ด้วยคะแนนจากแบบทดสอบวดั
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น

สถาปนา เกษมศิลป์ (2551 : 35) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การตรวจสอบความรู้
ความสามารถของนกั เรียนในสง่ิ ท่ีเรยี นไปแลว้ วา่ ตรงตามวัตถุประสงคท์ ่ีครตู ง้ั ไวห้ รือไม่ เพื่อจะได้นำมาปรับปรุง
ด้านการเรยี นการสนของครูต่อไป

สรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การตรวจสอบความรู้ความสามารถของนักเรียนในสิ่งที่
เรียนไปแล้วว่าตรงตามวัตถุประสงค์ที่ครูตั้งไว้หรือไม่ ทั้งด้านความรู้ ความจำ ความเข้าใจและรวมทั้งทักษะ
กระบวนการอันเกิดจากการเรียนการสอนทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้
จากการวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น

4.1 การวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น

การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการวัดดูว่านักเรียนมีพฤติกรรมต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ใน
จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนมากน้อยเพียงใดเป็นการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในด้นต่างๆ ของ
สมรรถนะภาพทางสมอง ซ่ึงเป็นผลจากการไดร้ ับการฝึกฝนอบรมในชว่ งท่ผี ่านมา

วารี ว่องพนิ ยั รตั น์ (2552 : 31) กล่าววา่ การวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นสามารถวัดได้
2 แบบ คือ วัดตามจดุ มุง่ หมายและวัดตามลักษณะวชิ าท่สี อน ดงั น้ี

1) การวดั ดา้ นการปฏิบตั ิ เปน็ การตรวจสอบระดบั ความสามารถในการปฏิบัตหิ รือทักษะของ
นักเรียน โดยมุ่งเน้นให้นักเรียนได้แสดงความสามารถดังกล่าวในรูปของการกระทำจริง
ให้ออกเป็นผลงานจริง เช่น วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา เป็นต้น การวัดแบบนี้จะต้องใช้แบบทดสอบภาคปฏิบัติ
(Performance Test)

2) การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาอันเป็นประสบการณ์
เรียนรู้ของนักเรียนรวมถึงพฤติกรรมความสามารถในดา้ นต่างๆ สามารถวัดได้โดยใช้ข้อสอบการวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น (Achievement Test)

สรุปได้ว่า ในการการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี 2 แบบ คือ การวัดด้านปฏิบัติและ
การวัดด้านเนื้อหาตามจุดมุ่งหมายและลักษณะวิชาที่สอนซึ่งในวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนโดยการใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เรอ่ื ง พนื้ ท่ผี ิวและปริมาตร โดยวัดจากแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก

4.2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
เปน็ แบบทดสอบท่วี ดั ความรู้ของนักเรยี นท่ีไดเ้ รียนไปแลว้ ซ่ึงมักจะเป็นขอ้ คำถามให้นักเรียนตอบ

ด้วยกระดาษและดินสอกับให้นักเรียนปฏิบัติจริง แบบทดสอบนี้แบ่งได้เป็น 2 พวก
คือ แบบทดสอบของครทู ่สี ร้างขึน้ กบั แบบทดสอบมาตรฐาน (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ,2548)

1) แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของข้อคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งจะเป็น
ข้อคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรียนว่านักเรียนมีความรู้มากแค่ไหนบกพร่อง
ที่ตรงไหนจะได้สอนซอ่ มเสริมหรอื วัดความพร้อมทจ่ี ะขน้ึ บทใหมต่ ามที่ครปู รารถนา

2) แบบทดสอบมาตรฐาน แบบทดสอบประเภทน้สี ร้างข้ึนจากผู้เชี่ยวชาญในแตล่ ะสาขาหรือจาก
ที่ครูสอนวิชานั้นแต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้งจนกระทั้งมีคุณภาพดีพอ
จึงสร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบนั้นสามารถใช้เป็นหลักและการเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการ
เรียนการสอนในเรื่องนั้นๆ ก็ได้ จะใช้อัตราความงอกงามของเด็กแต่ละวัยในแต่ละกลุ่มแต่ละภาคก็ได้ จะใช้
สำหรบั ให้ครวู ินิจฉัยผลสมั ฤทธ์ริ ะหว่างวชิ าต่างๆ ในเด็กแต่ละคนกไ็ ด้

บญุ ชม ศรีสะอาด (2553 : 53) กล่าววา่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถงึ แบบทดสอบที่ใช้วัด
ความรู้ความสามารถของบุคคลด้านวิชาการซึ่งเป็นผลในการเรียนรู้สาระและ
ตามจุดประสงค์ของวิชาหรือเนื้อหาที่สอนนั้น โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ในวิชาต่างๆที่เรียนในโรงเรียน
วิทยาลัย มหาวิทยาลยั หรอื สถาบันการศึกษาต่างๆ อาจจำแนกได้เปน็ 2 ประเภทคือ

1) แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterin Referenced) หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตาม
จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม มีคะแนนจุดตดั หรอื คะแนนเกณฑส์ ำหรับใช้ตัดสินวา่ ครมู คี วามรู้ตามเกณฑท์ ่ีกำหนด
ไวห้ รอื ไมก่ ารวัดตรงตามจุดประสงค์เป็นหวั ใจสำคญั ของขอ้ สอบในแบบทดสอบประเภทนี้

2) แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวัด
ครอบคลมุ หลักสูตร จงึ สร้างตามตารางวิเคราะหห์ ลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้สอบตามความเก่งอ่อน
ได้ดี เป็นหัวใจของแบบทดสอบประเภทนี้ การรายงานผลการสอบอาศัยคะแนนมาตรฐาน ซึ่งเป็นคะแนนท่ี
ส า ม า ร ถ ใ ห ้ ค ว า ม ห ม า ย แ ส ด ง ส ถ า น ภ า พ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง บ ุ ค ค ล น้ั น
เม่อื เปรียบเทียบกบั บคุ คลอื่นๆ ทใ่ี ชเ้ ป็นกลุ่มเปรียบเทยี บ

สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้
ความสามารถของบุคคลซึ่งเป็นผลการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอบนั้นๆ ซึ่งในการวิจัยครั้งน้ี
ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นท่เี ปน็ แบบทดสอบอิงกลุ่มและเป็นแบบทดสอบมาตรฐาน

4.3 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
บญุ ชม ศรีสะอาด (2553: 127) ได้กล่าวถึง การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ าง

การเรยี น ดังตอ่ ไปนี้
1) วิเคราะห์จุดประสงค์ เนื้อหา และทำตารางกำหนดลักษณะข้อสอบโดยจะต้องทำการ

วิเคราะห์ว่า วิชาหรือหัวข้อที่จะสร้างข้อสอบวัดนั้นมีจุดประสงค์การเรียนรู้อะไรบ้าง ทำการวิเคราะห์
เนื้อหาวิชาว่ามีโครงสร้างอย่างไร จัดเขียนหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยทุกหัวข้อ พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง
เนื้อหาเหล่านั้น จากนั้นจัดทำตารางวิเคราะห์หลักสูตรตารางนี้มี 2 มิติ คือ ด้านเนื้อหาและด้านสมรรถภาพท่ี
ต้องการวัด และพิจารณาว่าจะออกข้อสอบทั้งหมดกี่ข้อ เขียนจำนวนข้อลงในช่องรวมช่องสุดท้าย จากนั้น
พิจารณาหัวเร่ือง เรื่องใดสำคัญมากน้อยและเขียนลำดับความสำคัญลงไปแลว้ กำหนดจำนวนข้อท่ีจะวัดในแต่
ล ะ ห ั ว ข ้ อ ต า ม ล ำ ด ั บ ค ว า ม ส ำ ค ั ญ จ า ก น ั ้ น ก ำ ห น ด จ ำ น ว น ข้ อ
ในแตล่ ะชอ่ งจำนวนข้อสอบท่ีจะวัดในแตล่ ะช่องข้ึนอยู่กับว่าเรื่องน้ันต้องการให้เกิดสมรรถภาพด้านใดมากน้อย
กว่ากัน

2) การกำหนดรูปแบบของข้อคำถาม และการศึกษาวิธีเขยี นข้อสอบโดยจะทำการพิจารณาและ
ตัดสินใจว่าจะใช้ข้อคำถามในรูปแบบใดศึกษาวิธีเขียนข้อสอบสมรรถภาพต่างๆ หลักในการเขียนข้อคำถาม
ศึกษาเทคโนโลยีในการเขียนข้อสอบเพอ่ื นำมาใช้เป็นหลักในการเขียนข้อสอบ

3) เขียนข้อสอบโดยใช้ตารางกำหนดลักษณะของข้อสอบที่จัดทำไว้ ในขั้นที่ 1
เป็นกรอบ ซึ่งจะทำให้สามารถออกข้อสอบได้ครอบคลุมทุกหัวข้อเนื้อหาและทุกสมรรถภาพรูปแบบและ
เทคนิคในการเขยี นขอ้ สอบท่ศี ึกษาในข้นั ท่ี 2

4) ตรวจทานข้อสอบ นำข้อสอบที่เขียนไว้ในขั้นที่ 3 มาพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง โดย
พิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง โดยพิจารณาถึงความถูกต้องตามหลักวิชา พิจารณาว่าแต่ละข้อวัด
ในเนื้อหาและสมรรถภาพตามตารางกำหนดลักษณะข้อสอบ หรือภาษาที่ใช้เขียนมีความชัดเจนเข้าใจง่าย
เหมาะสมดีหรือไม่ตัวถูก ตัวลวง เหมาะสมเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ หลังจากพิจารณาทบทวนเองแล้วนำไปให้
ผ้เู ชีย่ วชาญดา้ นวัดผลและด้านเนื้อหาสาระพิจารณาข้อบกพร่องแล้วนำข้อวจิ ารณ์เหล่าน้ันมาปรับปรุงแก้ไขให้
เหมาะสมยิง่ ขนึ้

5) พิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง นำข้อสอบทั้งหมดมาพิมพ์เป็นแบบทดสอบโดยจัดพิมพ์ คำ
ชี้แจงหรือคำอธิบายวิธีทำแบบทดสอบไว้ที่ปกของแบบทดสอบอย่างละเอียดและชัดเจนและวาง รูปแบบ
จดั พมิ พใ์ ห้เหมาะสม

6) ทดลองใช้ วิเคราะห์คุณภาพและปรับปรุงนำมาทดสอบไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่คล้าย
กับกลุ่มตัวอย่างที่จะสอบจริงซึ่งได้เรียนในเนื้อหา หรือ วิชาที่จะสอบแล้วนำผลมาตรวจ
ใหค้ ะแนนทำการวเิ คราะห์หาค่าอำนาจจำแนกค่าความยากของข้อสอบแต่ละข้อ โดยใชว้ ิธีการวิเคราะห์แบบอิง

กลุ่มคัดเลือกเอาข้อที่มีคุณภาพเข้าเกณฑ์ตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งเป็นข้อที่มีอำนาจจำแนกต่ำสุดออก
ตามลำดับนำเอาผลการสอบที่คิดเฉพาะข้อที่เข้าเกณฑ์เหล่านั้นมาคำนวณหา
คา่ ความเชอ่ื มั่น

7) พิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง นำแบบทดสอบที่มีอำนาจจำแนก และระดับความยากเข้าเกณฑ์
ตามจำนวนที่ต้องการในขั้นท่ี 6 มาพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับที่จะใช้จริง ซึ่งจะต้อง มี
คำชแี้ จงวธิ ที ำดว้ ย และในการพิมพ์นอกจากจะใช้รปู แบบทีเ่ หมาะสม แล้วควรคำนึงถงึ ความประณตี

สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้ความรู้
ความสามารถของบุคคล ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอบนั้น ซึ่งในวิจัยครั้งนี้
ใชแ้ บบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นทเ่ี ป็นแบบทดสอบอิงเกณฑ์และเปน็ แบบทดสอบมาตรฐาน

5. แผนการจดั การเรียนรู้

5.1 ความหมายของแผนการจัดการเรยี นรู้
กรมวิชาการ (2551) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ คือ การนำเนื้อหาในรายวิชา

หรือการจัดประสบการณ์เพือ่ ให้เกิดการเรียนรู้กับผู้เรียน ที่ต้องทำการสอนจริง ตลอดภาคการศึกษา หรือราย
ชั่วโมง มาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อ อุปกรณ์ การสอน การวัดและการ
ประเมินผล สำหรับเนื้อหาสาระและจุดประสงค์การเรียนการสอนย่อยๆ ให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์หรือ
จุดเน้นของหลักสูตร รายวิชา ในแผนการสอนมักจะกล่าวถงึ สภาพผู้เรียน ความพร้อมและการ จัดเตรียมของ
วัสดุอุปกรณ์ที่จะต้องใช้ในการเรียนการสอน เป็นต้น ซึ่งถ้ากล่าวอีกนัยหนึ่ง แผนการสอนคือ การเตรียมการ
ส อ น เ ป ็ น ล า ย ล ั ก ษ ณ ์ อ ั ก ษ ร ไ ว ้ ล ่ ว ง ห น ้ า ห รื อ
คอื การบนั ทึกการสอนตามปกตินัน่ เอง

สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า (2553) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่าเป็น
แผนงานหรอื โครงการท่ีครูผ้สู อนได้เตรียมการจัดการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร เพ่ือใช้ปฏิบัติการ
เรียนรู้ในรายวิชาใดวิชาหนึ่งอย่างเป็นระบบระเบียบ โดยใช้เป็นเครื่องมือสำหรับจัดการเรียนรู้เพื่อนำผู้เรียน
ไปสจู่ ุดประสงคก์ ารเรยี นรู้และจุดหมายของหลกั สูตรอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผนจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอน เพื่อเป็นแนวดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละครั้ง โดยกำหนดสาระสำคัญ
จุดประสงค์ เนื้อหากจิ กรรมการเรยี นการสอน ส่ือ ตลอดจนการวดั และประเมนิ ผล

5.2 ความสำคญั ของแผนการจดั การเรียนรู้
รุจิร์ ภู่สาระ (2551) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ เป็น

การพัฒนาวิชาชีพและมาตรฐานวิชาชีพครู ที่แสดงว่างานสอนต้องได้รับการฝึกฝนโดยเฉพาะ
มเี ครอ่ื งมือและเอกสารท่ีจำเปน็ สำหรับการประกอบวิชาชีพดว้ ย

สำลี รักสุทธี (2553) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรไู้ ว้ดงั นี้
1) ช่วยให้ครไู ด้มโี อกาสศึกษาหลกั สูตร แนวการสอน วิธวี ดั ผลประเมนิ ผล ศึกษาเอกสารที่
เกยี่ วขอ้ ง และการบูรณาการกบั วชิ าอนื่
2) ช่วยให้ครูสามารถจัดเตรียมกระบวนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพความเป็น
จริง ทั้งในเรื่องทรัพยากรโรงเรียน ทรัพยากรท้องถิ่น ค่านิยม ความเชื่อ และสภาพ
ท่เี ป็นจรงิ ของทอ้ งถิ่น ตลอดจนการเช่อื มโยงสัมพนั ธก์ บั วิชาอ่ืน

3) เป็นเครื่องมือของครูในการจัดการเรียนการสอน ได้อย่างมีคุณภาพ มีความมั่นใจในการ
สอนมากขน้ึ

4) ครูสามารถใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง เสนอแนะแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องและ
หนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วข้องรวมทั้งเพอ่ื นครูท่สี อนวิชาอนื่

5) ใช้เป็นค่มู อื สำหรบั ครทู ่ีสอนแทนได้
จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นการวางแผนจัดเตรียมรายละเอียด
ของการสอนที่ครูสามารถนำไปใช้ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนและช่วยให้ครูสามารถจัดเตรียมกระบวนการ
เ ร ี ย น ก า ร ส อ น ใ ห ้ ส อ ด ค ล ้ อ ง ก ั บ ส ภ า พ ค ว า ม เ ป ็ น จ ร ิ ง เ ป ็ น เ ค ร ื ่ อ ง ม ื อ ข อ ง ค รู
ในการจดั การเรยี นการสอนไดอ้ ยา่ งมคี ุณภาพ ทำให้ครูมคี วามมั่นใจในการสอนมากข้ึน

5.3 ลกั ษณะท่ีดีของแผนการจัดการเรยี นรู้
สมนึก ภัททิยธนี (2558: 34) ได้กล่าวถึงลักษณะที่ดีของ แผนต้องมีขั้นตอน ดังนี้ รายละเอียด

แ ผ น ก า ร เ ร ี ย น ร ู ้ แ ผ น ก า ร เ ร ี ย น ร ู ้ ( Lesson Plan) ป ร ะ ก อ บ ด ้ ว ย 9 ห ั ว ข ้ อ โ ด ย
การบูรณาการของหน่วย ศกึ ษานิเทศก์

1. สาระสำคญั (Concept) เป็นความคิดรวบยอดหรอื หลกั การของเรื่องหน่ึงทีต่ ้องการให้เกิด กบั
นักเรยี น เม่ือเรียนตามแผนกาสอนแล้ว

2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ (Learning Objective) เปน็ การกำหนดจุดประสงค์ทตี่ อ้ งการให้ เกดิ
กับผู้เรียน เมอื่ เรียนจบตามแผนการสอนแล้ว

3. เนื้อหา (Content) เป็นเนื้อหาที่จัดกิจกรรมและต้องการให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้
4. กิจกรรมการเรียนการสอน (Instructional Activities) เป็นการสอนขั้นตอนหรือ
กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ซึ่งนำไปสู่จดุ ประสงคท์ ี่กำหนด
5. สื่อและอุปกรณ์ (Instructional Media) เป็นสื่อ และอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรม
การเรียนการสอน ทกี่ ำหนดไวใ้ นแผนการสอน
6. การวัดผลและประเมินผล (Measurement and Evaluation) เป็นการกำหนดขั้นตอน หรือ
วิธีการวัดและประเมินผล ว่านักเรียนบรรลุจุดประสงค์ตามที่ระบุไว้ในกิจกรรมการเรียนการสอน แยก เป็น
กอ่ นสอน ระหว่างสอน และหลังสอน
7. กจิ กรรมเสนอแนะ เป็นกจิ กรรมท่บี นั ทึกการตรวจแผนการสอน
8. ข้อเสนอแนะของผู้บังคับบัญชา เป็นการบันทึกตรวจแผนการสอนเพื่อเสนอแนะหลังจากได้
ตรวจสอบความถูกต้อง การกำหนดรายละเอียดในหัวข้อต่างๆ ในแผนการสอน
9. บันทึกการสอน เป็นการบันทึกของผู้สอน หลังจากนำแผนการสอนไปใช้แล้วเพ่ือ
เป็นการปรบั ปรุงและใชใ้ นคราวตอ่ ไป มี3 หัวข้อ คือ

9.1 ผลการเรียน เป็นการบนั ทึกผลการเรียนด้านสุขภาพและปริมาณทง้ั 3 ด้าน คอื ด้าน พุทธิ
พิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งกำหนดในขั้นกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมิน

9.2 ปัญหาและอุปสรรค เป็นการบันทึก ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในขณะสอน ก่อนสอน
และหลังทำการสอน

9.3 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข เป็นการบันทึกข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปรับปรุง
การเรยี นการสอน ใหเ้ กิดการเรียนรู้ บรรลจุ ดุ ประสงคข์ องบทเรยี นที่หลักสูตรกำหนด

6. ความพึงพอใจ

6.1 แนวคดิ ทฤษฎีเกย่ี วกับความพงึ พอใจ
ในการปฏิบัติกิจกรรมใดๆ ก็ตามการที่ผู้ปฏิบัติจะเกิดความพึงพอใจในกิจกรรมหรือ

การทำงานนั้นมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสิ่งจูงใจที่มีอยู่ในการงานนั้น การสร้างสิ่งจูงใจหรือ
แรงกระตุ้นให้เกิดกับผู้ปฏิบัติงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์
ท่ีวางไว้มผี ้ทู ำการศกึ ษาค้นควา้ จนเกดิ แนวคิดทฤษฏเี ก่ียวกบั แรงจูงใจในการทำงานไว้ ดังน้ี

สก็อต (Scott, 1990 อ้างถึงใน ศุภศิริ โสมาเกตุ, 2551: 34) ได้เสนอแนวคิดในการสร้าง
แรงจูงใจใหเ้ กดิ ความพึงพอใจตอ่ การทำงานที่จะให้ผลทางปฏบิ ัตมิ ลี ักษณะ ดังนี้

1) งานควรมคี วามสัมพันธก์ บั ความปรารถนาสว่ นตัว งานจะมีความหมายต่อผูท้ ำ
2) งานนั้นต้องมีการวางแผนและวัดความสำเร็จได้ โดยใช้ระบบการทำงานและ
การควบคมุ ทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ
3) เพื่อให้ไดผ้ ลในการสรา้ งแรงจงู ใจภายใน เปา้ หมายของงานต้องมีลกั ษณะ ดงั นี้

3.1) คนทำงานมีส่วนในการตง้ั เปา้ หมาย
3.2) ผู้ปฏิบตั ิไดร้ บั ทราบผลสำเร็จจากการทำงานโดยตรง
3.3) งานนน้ั สามารถทำใหส้ ำเร็จได้
จากแนวคดิ ของสกอ็ ต (Scott) สามารถนำมาประยกุ ตใ์ ชก้ ับการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
เพือ่ สรา้ งแรงจงู ใจใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจต่อการจัดการเรยี นรู้ สรุปการแนวทางในการปฏบิ ัตไิ ด้ ดงั นี้
1) ศึกษาความตอ้ งการ ความสนใจของนกั เรยี น และระดับความสามารถหรือ
พัฒนาการตามวัยของนักเรียน
2) วางแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้อยา่ งเปน็ กระบวนการ และมีการประเมนิ ผล
อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
3) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนมีส่วนร่วมและกำหนดเป้าหมายในการทำงานสะท้อน
ผลงานและการทำงานร่วมกันได้
ใกล้รุ่ง นคราวนากุล (2551 : 57-59) ได้นำแนวคิดพื้นฐานที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ
มาประยุกต์ในการดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เนื่องจากเห็นว่า ความพึงพอใจเป็นสิ่งสำคัญ
ในการกระตุ้นให้นักเรยี นทำงานท่ีดีรบั มอบหมาย หรือต้องปฏิบัติให้บรรลุวัตถปุ ระสงคข์ องการเรียน ดังนั้นครู
ครูจงึ มีบทบาทสำคัญในการสร้างความพงึ พอใจให้เกดิ ขึน้ ในนักเรียน ซง่ึ สามารถทำไดห้ ลายวิธีการ ดงั น้ี
1) จดั กิจกรรมการเรียนรทู้ ี่หลากหลายวธิ กี ารเรยี นรู้ เพ่อื กระต้นุ ความสนใจในการ
เรยี นสนใจในการเรยี น
2) จดั หาสือ่ อปุ กรณ์ทเ่ี ออ้ื ต่อการเรียนรู้ เพือ่ ใหเ้ กดิ แรงจูงใจในการเรียน
3) ใหน้ กั เรียนไดร้ บั ผลตอบแทนภายใน จากการเรียนร้ใู นแต่ละครง้ั โดยการให้
รางวลั ภายในท่ที ำใหน้ กั เรียนเกิดความร้สู ึกท่ดี ี เชน่ ความรู้สึกในความสำเร็จของตนเองที่สามารถเอาชนะความ
ย่งุ ยากต่าง ๆ ได้ ความภาคภูมิใจ ความม่นั ใจ
4) เมื่อบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ในการเรียนการสอน ครอู าจใหผ้ ลตอบแทน
ภายนอก เช่น คำชมเชย รางวัล หรือให้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับที่น่าพึงพอใจ
สรุปได้ว่าความพึงพอใจเป็นสิ่งสำคัญในการกระตุ้นให้นักเรียนทำงานที่ได้รับมอบหมาย หรือ
ต้องปฏิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียน ดังนั้นครูจึงมีบทบาทสำคญั ในการสรา้ งความพงึ พอใจให้เกิดขน้ึ
ในนกั เรยี น ซงึ่ สามารถทำไดห้ ลายวิธีการ

6.2 ความหมายของความพึงพอใจ
ความพึงพอใจหรือความพอใจตรงกับภาษาอังกฤษว่า “ Satisfaction ” ได้มีผู้ให้ความหมาย

เก่ยี วกบั ความพงึ พอใจไวห้ ลายความหมาย ซง่ึ พอสรุปได้ดังนี้
สมศกั ด์ิ คงเที่ยง และอัญชลี โพธท์ิ อง (2549 : 278 -279 ) กล่าววา่ ความพงึ พอใจ หมายถึง
1) ความพึงพอใจเปน็ ผลของความร้สู กึ ของบคุ คลที่เกี่ยวกับระดบั ความชอบ

หรือไมช่ อบตอ่ สภาพจริงต่างๆ
2) ความพงึ พอใจเปน็ ผลของทัศนคติที่เกยี่ วข้องกับองคป์ ระกอบต่างๆ
3) ความพึงพอใจในการทำงานเป็นผลมาจากการปฏบิ ัติงานและสำเรจ็ จนเกดิ เปน็

ความภูมิใจและไดผ้ ลตอบแทนในรปู ต่างๆตามทหี่ วงั
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553 : 33) กล่าวว่าความพึงพอใจในการปฏิบัติงานหมายถึง

ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อการทำงานในทางบวก เป็นความสุขของบุคคลที่เกิดจาก
การปฏิบัติงานและได้รับผลตอบแทนคือ ผลที่เป็นความพึงพอใจที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกกระตือรื อร้นมี
ความมุ่งมัน่ ท่จี ะทำงาน มีขวญั กำลังใจ ส่ิงเหล่านี้จะมีผลต่อประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลของการทำงานท้ังผล
ตอ่ ความสำเรจ็ และเปน็ ไปตามเปา้ หมายขององค์กร

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546: 23) กล่าวว่า
พอใจ หมายถึง สมใจ ชอบใจ เหมาะ พึงใจ หมายถงึ พอใจ ชอบใจ

จากความหมายดังกล่าวพอสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ดี
ความประทับใจ ท่าทีของบุคคลที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ในสถานการณ์หนึ่ง ๆ ที่เอนเอียงไปในทางบวก
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมา หลังจากที่ได้รับประสบการณ์ในสิ่งที่ตรงตามความต้องการ หรือเป็น
ความรู้สึกที่มีความสุขเมื่อได้รับผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย ดังนั้น ความพึงพอใจในการเรียน
จึงหมายถึงความรู้สกึ ของนกั เรยี นต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู

6.3 ปจั จัยทท่ี ำใหเ้ กิดความพึงพอใจ
วลั ยา บุตรดี (2552 อ้างอิงมาจาก ดำริ มุศรีพันธ์.ุ 2557) ได้กลา่ วถงึ สิง่ จูงใจทีเ่ ป็นเครือ่ งมอื

กระต้นุ เพื่อให้บุคคลเกิดความพงึ พอใจในการปฏิบัติงาน ดังนี้
1) สิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ (Material Inducement) สิง่ เหล่าน้ี ไดแ้ ก่ สภาวะทางกายท่ีมี

ให้แก่ผู้ปฏิบัติ เงินทอง สิ่งของ และสิ่งจูงใจที่ไม่ใช่วัตถุ (Personal Non-Material Opportunities) เช่น
อำนาจ เกยี รติภูมิ การใช้สิทธิพเิ ศษมากกว่าคนอ่ืน

2) สภาพทางกายภาพที่พึงปรารถนา (Desirable Physical Condition) หมายถึง การจัด
สภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขในการทำงาน เช่น สิ่งอำนวย ความสะดวกใน
สำนักงาน ความพร้อมของเครื่องมอื

3) ผลประโยชน์ทางอุดมคติ (Ideal Benefactions) หมายถึง การสนองความต้องการด้าน
ความภูมิใจท่ีได้แสดงฝีมือ การแสดงความภกั ดีต่อองคก์ ารของตน

4) ความดึงดูดใจทางสังคม (Associational Attractiveness) หมายถึง การมีความสัมพันธ์
ของบุคคลในหนว่ ยงาน การอยรู่ ่วมกนั ความม่ันคงของสงั คมจะเป็นหลักประกนั ใน การทำงาน

5) การปรับทัศนคติและสภาพของงานให้เหมาะสมกับบุคคล (Adaptation of
Condition to Habitual Method and Attitudes) คือ การปรับปรุงตำแหน่งให้เหมาะสมให้สอดคล้อง
กนั ระหวา่ งงานกับคน

6) โอกาสในการมีส่วนร่วมในการทำงาน (Opportunity of Enlarged
Participation) คือ เปิดโอกาสให้บุคคลมีส่วนร่วมในการทำงาน จะทำให้เขาเป็นผู้มีควา มสำคัญ
ในหน่วยงาน ทำให้บุคคลมีกำลงั ใจในการทำงานมากข้นึ

สรุปได้ว่านักเรียนจะมีความพึงพอใจต่อการทำงานหรือทำกิจกรรมนั้น ขึ้นอยู่กับ
การกระตุ้นของสิ่งจูงใจ ซึ่งในงานวิจัยนีใ้ ชช้ ุดกิจกรรมกระตุ้นให้นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทำงานหรือทำ
กจิ กรรม

6.4 การวัดความพงึ พอใจ
บญุ เรอื ง ขจรศลิ ป์ (2550, อา้ งถึงใน ใกลร้ ุง่ นคราวนากุล, 2551: 53) ไดก้ ลา่ วถงึ เรื่องเกี่ยวกับ

การวัดความพึงพอใจ โดยสรุปไว้ว่า การวัดความพึงพอใจ เป็นการวัดด้านทัศนคติ หรือ
เจตคตทิ ีเ่ ปน็ นามธรรม เป็นการแสดงออกทค่ี ่อนขา้ งซบั ซ้อนยากที่จะวดั ได้โดยตรง ดงั น้ัน การวดั ความพึงพอใจ
จ ึ ง ใ ช ้ ก า ร ว ั ด โ ด ย อ ้ อ ม ด ้ ว ย ก า ร ว ั ด ค ว า ม ค ิ ด เ ห ็ น ข อ ง บ ุ ค ค ล เ ห ล ่ า น ั ้ น แ ท น แ ต ่ ก า ร วั ด
ความพึงพอใจมีขอบเขตจำกัด คือการวัด จะเกิดความคลาดเคลื่อนได้ตลอดเวลาที่วัด ถ้าบุคคลแสดงความ
คิดเห็นไม่ตรงกับความรู้สกึ ที่แท้จริง ซึ่งความคลาดเคลื่อนดังกล่าวย่อมเกิดขึ้นได้เปน็ ธรรมดาของการวัดทั่ว ๆ
ไป

ความพึงพอใจเป็นคุณลักษณะทางจิตของบุคคลที่ไม่อาจวัดได้โดยตรง การวัดความ
พึงพอใจจึงเป็นการวัดโดยอ้อม วิธีการวัดความพึงพอใจในงานที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบันน้ัน
มีหลากหลายวธิ ีด้วยกนั จากการศึกษาวธิ ีการวดั ความพึงพอใจของนักวชิ าการหลายท่านพบประเดน็ ของวิธีการ
วดั ทคี่ ล้ายกนั จึงพอสรุปประมวลไดด้ ังนี้

กาญจนา อรุณสุขรุจี (2554: 32-33) กล่าวว่า มาตราวัดความพึงพอใจสามารถวัดได้หลายวิธี
ไดแ้ ก่

1) การใช้แบบสอบถาม โดยผสู้ อบถามจะออกแบบสอบถามเพ่ือต้องการทราบ
ความคดิ เห็น ซึง่ สามารถทำได้ในลักษณะท่ีกำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอสิ ระ คำถามดังกล่าว อาจ
ถามความพงึ พอใจในดา้ นต่างๆ เช่น การบรหิ าร และการควบคมุ งาน และเงื่อนไขต่างๆ

2) การสมั ภาษณ์ เปน็ วิธีการวดั ความพงึ พอใจทางตรงทางหนง่ึ ซึง่ ตอ้ งอาศยั เทคนคิ
และวิธีการทดี่ จี งึ จะทำให้ได้ข้อมลู ท่เี ป็นจริงได้

3) การสังเกต เป็นวิธกี ารวัดความพึงพอใจ โดยสงั เกตพฤตกิ รรมของบุคคลเปา้ หมาย ไมว่ ่าจะ
แสดงออกจากการพูด กิริยาท่าทาง วิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจัง และการสังเกตอย่างมีระเบียบ
แบบแผน

ซึ่งนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องความพึงพอใจส่วนใหญ่จะใช้วิธีการวัดโดยใช้แบบสอบถาม โดยนำ
รูปแบบของแบบสอบถามมาจากแบบสอบถามที่มีผู้พัฒนาขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลในการวัดความ พึงพอใจท่ี
ได้รับความนิยมและน่าเชื่อถือ เช่น มาตรการวัดของลิเคิร์ต (Likert Scale) ซึ่งผู้วัดจะต้องสร้างข้อความ
เกี่ยวกับเป้าหมายจำนวนข้อความมีเท่าใดก็ได้ นำข้อความนี้ให้ตัวแทน
กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดที่เราต้องการทราบความพึงพอใจของเขาและให้เขาให้คะแนนข้อความหน่ึง
ตามค่ามาตรฐาน 5 มาตรฐาน โดยมีหลกั ในการสรา้ งขอ้ คำถามในมาตรของลิเคิร์ตดังน้ี

1) กำหนดเปา้ หมายของความพึงพอใจ
2) รวบรวมและคัดเลือกข้อความทเ่ี ป็นบวกและเป็นลบของความพงึ พอใจต่อ
เป้าหมายใหม้ ากท่ีสดุ เทา่ ที่จะมากได้
3) ใหก้ ลุม่ ตวั อย่างตอบข้อคำถามตรงตามความเหน็ หรอื ความรสู้ กึ ของตนว่า
พึงพอใจมากทส่ี ุด พงึ พอใจมาก หรอื ไมพ่ ึงพอใจ
4) วเิ คราะห์ความสมั พันธร์ ะหว่างขอ้ คำถามแต่ละขอ้ กับข้อคำถามท้งั หมดและ
ตัดขอ้ ท่ีมคี วามสมั พันธ์ต่ำออก ข้อที่มคี วามสมั พนั ธส์ งู แต่มคี ่าเป็นลบใหส้ ลับเครือ่ งหมายของคะแนน
5) จัดพิมพเ์ ปน็ แบบสอบถามและส่งใหก้ ลุ่มตัวอยา่ งตอบ
6) คะแนนความพงึ พอใจของผตู้ อบแต่ละคนมีคา่ เทา่ กับคะแนนรวมของข้อความ
ทงั้ หมดหรอื คำนวณเปน็ ค่าเฉลย่ี ของคะแนนทัง้ หมดกจ็ ะทำให้ง่ายต่อการตีความย่ิงข้นึ

6.5 การสร้างแบบวดั ความพึงพอใจ
บุญชม ศรีสะอาด (2553: 55) การวิเคราะห์ความพึงพอใจการใช้แบบวัดชนิดมาตราส่วน

ประมาณค่านั้น ผวู้ จิ ยั อาจตอ้ งการรายงานผลของการตอบของกลุ่มเป้าหมายทต่ี อบในแต่ละข้อหรือแต่ละด้าน
( ซ ึ ่ ง ต ่ า ง ก ็ ป ร ะ ก อ บ ไ ป ด ้ ว ย ห ล า ย ๆ ข ้ อ ) ว ่ า ม ี ค ว า ม เ ห ็ น อ ย ู ่ ใ น ร ะ ด ั บ ใ ด ก ร ณ ี เ ช ่ น นี้
จะต้องหาค่าเฉลี่ยของกลุ่มในแต่ละข้อ (หรือแต่ละด้าน) แล้วแปลความหมายค่าเฉลี่ยอีกที
ในการแปลความหมายนั้น จะใช้เกณฑ์ซึ่งเป็นระบบเดียวกันกับระบบการตรวจให้คะแนน ถ้าระบบการให้
คะแนนกับทไ่ี ดอ้ ธบิ ายมาแลว้ จะใชเ้ กณฑก์ ารแปลความหมายค่าเฉลยี่ ของกล่มุ เปา้ หมาย ดังน้ี

ระดับ 4.51 – 5.00 หมายถงึ พงึ พอใจมากท่ีสดุ
ระดับ 3.51 – 4.50 หมายถึง พึงพอใจมาก
ระดับ 2.51 – 3.50 หมายถงึ พึงพอใจปานกลาง
ระดบั 1.51 – 2.50 หมายถงึ พึงพอใจน้อย
ระดับ 1.00 – 1.50 หมายถึง พึงพอใจน้อยทสี่ ดุ
จากที่กล่าวมาข้างต้นสำหรับการศึกษาในครั้งนี้จะเกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีต่อ ที่มีต่อการ
เรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง กลไกราคากับปัญหาเศรษฐกิจ เป็นแบบประเมินแบบมาตร
ส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับซึ่งแบ่งความพึงพอใจออกเป็น 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปาน
กลาง น้อยและน้อยทีส่ ุด

บทที่ 3
วิธดี ำเนนิ การวจิ ยั

ในการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นเร่ือง คำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ
คำราชาศัพทแ์ ละคำสุภาพ สำหรบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 คร้ังนผี้ วู้ ิจยั ไดด้ ำเนินการวจิ ัย ตามข้นั ตอน
ดงั ต่อไปนี้

1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
2. แบบแผนท่ีใช้ในการวจิ ัย
3. เครื่องมอื ท่ีใช้ในการวิจยั
4. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเคร่ืองมือ
5. สถิตทิ ใี่ ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู

1. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง
1.1 ประชากร ได้แก่ นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้าน

ตาวร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 จำนวน 1
หอ้ งเรียน รวมนักเรยี นทงั้ หมด 16 คน ซึง่ จดั ห้องเรียนโดยคละความสามารถของนักเรยี น

1.2 กลุ่มตวั อยา่ ง ได้แก่ นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2/1 โรงเรียนบ้านตาวร อำเภอปราสาท จังหวัด
สุรินทร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ที่เรียนในรายวิชาภาษาไทย ในภาคเรียนท่ี
1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 16 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้
นักเรยี นเป็นหนว่ ยการสุม่

2. แบบแผนท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
ด ำ เ น ิ น ก า ร ต า ม แ บ บ แ ผ น ก า ร ว ิ จ ั ย แ บ บ The One - Group Pretest - Posttest Design

(มาเรียม นิลพันธุ์, 2553: 72) ทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนบ้านตาวร อำเภอ
ปราสาท จังหวดั สุรนิ ทร์ สำนกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสุรนิ ทร์ เขต 3 ทเ่ี รียนในรายวิชาภาษาไทย
ในภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรยี น ทั้งหมด 16 คน ดังตารางที่ 1

ตารางท่ี 1 แบบแผนท่ีใชใ้ นการวิจยั

สอบก่อนก่อนเรยี น ทดลอง ทดสอบหลงั เรียน
T1 X T2

สญั ลกั ษณ์ที่ใชใ้ นแบบแผนการวิจยั

T1 แทน การทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test)
X แทน การสอนโดยใช้หมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ
T2 แทน การทดสอบหลงั เรียน (Post-test)

3. เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการวิจัยครง้ั นี้แบง่ เปน็ เคร่ืองมือที่ใช้ในการทดลองและเครื่องมือที่ใช้

ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ดังนี้
3.1 เคร่ืองมือที่ใช้ในการทดลองประกอบดว้ ย
3.1.1 จำนวน หมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสภุ าพ 7 หมวด ดังนี้
หมวดท่ี 1 คำราชาศัพท์หมวดเครื่องใช้ทั่วไป
หมวดท่ี 2 คำราชาศัพทห์ มวดร่างกาย
หมวดท่ี 3 คำราชาศัพทห์ มวดเครอื ญาติ ราชตระกูล
หมวดที่ 4 คำราชาศัพทห์ มวดคำกิริยา
หมวดท่ี 5 คำราชาศัพทห์ มวดอาหาร
หมวดที่ 6 คำราชาศัพท์หมวดสตั ว์ พชื
หมวดท่ี 7 คำราชาศพั ท์หมวด พระสงฆ์
3.1.2 แผนการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ประกอบการใช้หมากกระดานขาน

คำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ จำนวน 3 แผนการเรยี นรู้ เวลา 3 ช่วั โมง
3.2 เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ประกอบดว้ ย
3.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท22102 หน่วยการ

เรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง คำราชาศัพทแ์ ละคำสุภาพ สำหรับช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 ขอ้
3.2.1 แบบวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อ

การเรียนด้วย หมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ

4. การสรา้ งและการหาประสทิ ธิภาพของเคร่ืองมอื
4.1 หมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ สำหรับนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2

จำนวน 7 หมวด มขี ้ันตอนการสรา้ งดงั น้ี
4.1.1 ศึกษารายละเอียดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 และคู่มือครูแบบเรียน

รายวชิ าภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2
4.1.2 ศึกษาวิธีการออกแบบ และการสร้างหมากกระดานขานคำ เพื่อให้การออกแบบบทเรียน

ตรงตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับงานวจิ ยั มากที่สดุ
4.1.3 วิเคราะห์เนื้อหาและคัดเลือกเนื้อหา โดยพิจารณาจากลักษณะเนื้อหาและปริมาณเนื้อหา

กำหนดกิจกรรมการเรียน รวมทั้งแบบทดสอบหลังเรียน ที่เหมาะสม มีการกำหนดกรอบเนื้อหา แยกเป็น
เนอ้ื หายอ่ ยและกำหนดเน้ือหา จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เพอ่ื กำหนดการเรียนรู้ใหผ้ ูเ้ รียนรูว้ า่ เมื่อเรียนจบกิจกรรม
แล้วนกั เรยี นมคี วามรู้ความสามารถและความเข้าใจในเนอ้ื หา เร่ือง คำราชาศัพทแ์ ละคำสภุ าพ

4.1.4 ดำเนนิ การออกแบบ (Design) หมากกระดานขานคำชดุ คำราชาศัพท์และคำสุภาพ ได้
ท้งั หมด 7 หมวด

4.1.5 นำหมากกระดานขานคำชุด คำราชาศัพท์และคำสุภาพ ที่ปรับปรุงแล้วเสนอต่อ
ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาภาษาไทย เพื่อตรวจสอบด้านการออกแบบ เช่น สี ภาพ เนื้อหา ด้านการจัดการของ
บทเรียน โดยใชแ้ บบประเมินคุณภาพหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ ทีผ่ วู้ ิจัยสร้างข้ึน แบบ
ประเมินคณุ ภาพเป็นแบบมาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดบั

คะแนน ระดับความคดิ เหน็
5.00 พึงพอใจในระดับดีมาก
4.00 พึงพอใจในระดบั ดี
3.00 พึงพอใจในระดับปานกลาง
2.00 พงึ พอใจในระดบั พอใช้
1.00 พึงพอใจในระดบั ควรปรบั ปรุง
4.1.6 นำหมากกระดานขานคำชุด คำราชาศัพท์และคำสุภาพ ทดลองใชก้ บั กลมุ่ ตัวอย่าง นกั เรียน
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2/1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรยี นบา้ นตาวร จำนวน 16 คน
4.2 แผนการจดั การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เร่อื ง คำราชาศัพทแ์ ละคำสุภาพ ชน้ั
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 จำนวน 3 แผนการจัดการเรยี นรู้ มีขนั้ ตอนการดำเนินการสร้าง ดังนี้
4.2.1 ศกึ ษาและวิเคราะห์หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 กล่มุ สาระ
การเรยี นรู้ภาษาไทย ช่วงชนั้ ที่ 2 (ม.2) คูม่ ือการสอนภาษาไทย เกยี่ วกบั เนื้อหา มาตรฐานการเรยี นรู้ ตัวชวี้ ัด
เร่อื ง คำราชาศัพท์และคำสุภาพ
4.2.2 ศกึ ษารายละเอยี ดของมาตรฐานการเรยี นรู้ และ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ
สำหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2
4.2.3 ศกึ ษาวธิ เี ขยี นแผนการจดั การเรยี นร้จู ากเอกสารการสอนภาษาไทย ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2
4.2.4 ศึกษาการจดั การเรียนรู้ดว้ ยเกม
4.2.5 ศึกษาวิธกี ารวเิ คราะห์เนื้อหาและจดุ ประสงคจ์ ากหนงั สือการวัดผลการศึกษาของสมนึก
ภทั ทิยธนี (2558)
4.2.6 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหา สาระสำคัญ ความคิดรวบยอด และจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรม จากคู่มือครูวิชาภาษาไทย เรื่อง คำราชาศัพท์และคำสุภาพ เพื่อเป็นแนวทางในการเขียนแผนการ
จดั การเรยี นรใู้ หส้ มั พนั ธก์ นั อยา่ งเปน็ ระบบ

4.2.7 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ เรื่อง คำราชาศัพท์และคำสุภาพ ให้
สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ รายวชิ าภาษาไทย รหัสวิชา
ท21102 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง คำราชาศัพท์และคำสุภาพ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้จำนวน 3แผนการ
จัดการเรียนรู้ ซึง่ ประกอบด้วย

1) สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวชี้วดั
2) สาระสำคัญ
3) จดุ ประสงค์การเรียนรู้
4) สาระการเรียนรู้
5) สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
6) คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
7) ร่องรอยการเรยี นรู้
8) กจิ กรรมการเรียนรู้ดว้ ยบทเรียนบนเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต

9) สื่อ / อปุ กรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้
10) การวดั และประเมินผล
11) คำรับรองของผ้บู ังคับบัญชา
12) บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรียนรู้
13) คะแนนใบกจิ กรรม คะแนนแบบทดสอบระหว่างเรยี น คะแนน
การประเมนิ คุณลักษณะ และกระบวนการ
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามแผนการสอนตามปกติ โดยครอบคลุมเนื้อหาในการ
อา่ นคำราชาศัพท์และคำสุภาพ อา่ นเน้อื เรือ่ งจากหนังสือแบบเรยี นภาษาไทย และทดสอบก่อนเรียนหลังเรียน
ในภาคเรยี นที่ 1 โดยดำเนนิ การสอนในตาราง ดงั น้ี

สัปดาห์ท่ี เนอ้ื หา กจิ กรรม เคร่ืองมือ
ช่ัวโมงที่ 1 - ทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ก่อนเรียน - แบบทดสอบ 10 ข้อ
ชั่วโมงที่ 2 - - สอนตามปกติ - เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ
- ทดสอบก่อนเรียน คำราชาศพั ท์
ชั่วโมงที่ 3 หมวดสัตว์พชื - เลน่ เกมหมากกระดานขานคำ ชุด - แบบทดสอบก่อนเรยี น
หมวดร่างกาย คำราชาศพั ท์ และคำสภุ าพ - - แบบทดสอบหลังเรยี น
หมวดกริยา ทดสอบหลงั เรียน
หมวดเคร่อื งใช้ - แบบทดสอบ 10 ข้อ
ทว่ั ไป - ทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิหลงั เรยี น
หมวดอาหาร
หมวดพระสงฆ์
หมวดเครือญาติ

-

4.3 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น เรื่อง คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรอื่ ง คำราชาศพั ทแ์ ละคำสภุ าพ รายวชิ าภาษาไทย รหัส

วิชา ท21102 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง คำราชาศัพท์และคำสุภาพ เป็น
แบบทดสอบแบบปรนัยชนดิ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 10 ขอ้ ได้ดำเนินการสรา้ งตามขนั้ ตอนต่อไปน้ี

4.3.1 ศึกษาเอกสารหลกั สูตร ไดแ้ ก่ คู่มือครู การวัดผลประเมินผลสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย การ
สรา้ งตารางวเิ คราะห์หลักสตู ร เทคนิคการเขยี นข้อสอบ และวิธกี ารสรา้ งแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ

4.3.2 วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ เรื่อง คำราชาศัพท์และคำสุภาพ กำหนด
ความสำคัญของจดุ ประสงค์เพื่อกำหนดอัตราส่วนข้อสอบตามความเหมาะสมและสรา้ งแบบทดสอบแบบปรนัย
ชนดิ 4 ตัวเลือก

4.4 แบบวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนด้วยหมาก
กระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ ผู้วิจยั ได้ดำเนินการสร้างตามขนั้ ตอน ดังน้ี

4.4.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ในการจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอนสังคมศกึ ษา

4.4.2 ศกึ ษาวธิ ีการสรา้ งแบบวัดความพึงพอใจ ชนดิ มาตราสว่ นประมาณค่าและเกณฑ์การแปล
ผ ล ( บ ุ ญ ช ม ศ ร ี ส ะ อ า ด , 2553) แ ล ะ ก ำ ห น ด จ ำ น ว น ข ้ อ ค ำ ถ า ม ใ น เ ร ื ่ อ ง ท ี ่ จ ะ ส ร ้ า ง แ บ บ วั ด
ความพึงพอใจ

4.4.3 สร้างแบบวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ด้วยบทเรียนบนเครือข่าย จำนวน
1 ฉบับ มี 8 ขอ้

4.4.4 นำแบบวัดความพึงพอใจให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความถูกต้องเหมาะสมและความชัดเจน
ของข้อคำถามในแบบวัดความพึงพอใจ แล้วปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ เช่น เกี่ยวกับการใช้ข้อความให้
กระชับ สอ่ื ความหมายตรงกับพฤติกรรมชีว้ ดั ด้านความพึงพอใจในการเรยี นรู้ด้วยหมากกระดานขานคำ ชุด คำ
ราชาศพั ทแ์ ละคำสุภาพ

5. สถติ ทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล
สถติ ิพื้นฐาน (มาเรยี ม นลิ พันธ,ุ์ 2553: 79) ได้แก่
1. ร้อยละ คำนวณจากสูตร ดงั น้ี

p = f 100
N

เมื่อ p แทน ร้อยละ
f แทน คะแนนแต่ละคน
N แทน จำนวนความถท่ี ้ังหมด

2. คา่ เฉล่ีย ( X )

X = X
N

เมอื่ X แทน ค่าเฉลี่ย
 X แทน ผลรวมทัง้ หมดของคะแนน
N แทน จำนวนคนทง้ั หมด

3. ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน

S.D = NX2 − (X)2
N(N −1)

เมอ่ื S.D แทน สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน
 X แทน ผลรวมคะแนนของแต่ละคน
N แทน จำนวนคนทั้งหมด

บทที่ 4
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล

การวิจัยครั้งนม้ี วี ตั ถุประสงค์เพ่ือเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนเรอ่ื ง คำราชาศัพท์ โดยใช้เกม
หมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศพั ท์และคำสภุ าพ สำหรับนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นตาวร
และเพื่อสำรวจความพึงพอใจต่อการใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ สำหรับ
นกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบ้านตาวร

1. สญั ลักษณท์ ใี่ ช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
ผู้วิจัยได้กำหนดความหมายสัญลกั ษณ์ในการวเิ คราะห์ข้อมูลเพ่ือให้เกดิ ความเข้าใจ

ในการแปลความ และการเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ดงั ต่อไปน้ี
N แทน จำนวนนกั เรียน
X แทน ค่าคะแนนเฉลย่ี (Mean)
S.D. แทน สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
% แทน รอ้ ยละ (Percentage)

2. ลำดับขนั้ ทใี่ ชใ้ นการนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย เกมหมากกระดาน

ขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสภุ าพ สำหรับนักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2
ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนด้วยเกม

หมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ

3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
จากการดำเนนิ การศึกษาผลการใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และคำสุภาพ ระดับชั้น

มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 สามารถวเิ คราะห์ผลไดด้ งั นี้

ตอนที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียน

และหลงั เรยี นโดย เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ ดงั ตารางตอ่ ไปนี้

ตารางที่ 1 คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรยี น การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดาน

ขานคำ

ชดุ คำราชาศพั ทแ์ ละคำสภุ าพ หมวดเครอื่ งใชท้ ่ัวไป ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2

การทดสอบ คะแนนสอบ (n = 30) S.D. ร้อยละ

คะแนนเตม็ คะแนนเฉลยี่

กอ่ นเรียน 32 17.60 2.13 51.5625

หลงั เรยี น 32 30.67 1.70 89.8438

หมายเหตุ* p  .05

จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรยี น การอา่ นคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมาก
กระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ หมวดเคร่ืองใชท้ ่ัวไป ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 มี
คา่ เฉล่ียเทา่ กบั 17.60 คะแนน และ 30.67 คะแนน ตามลำดบั คดิ เปน็ รอ้ ยละ 51.56 และ 89.84 ตามลำดับ
เมอื่ เปรียบเทียบระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน พบว่าคะแนนทดสอบหลังเรยี นสูงกวา่ ก่อน
เรยี นอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05

ตารางท่ี 2 คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดาน
ขานคำ
ชุด คำราชาศัพทแ์ ละคำสภุ าพ หมวดรา่ งกาย ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2

การทดสอบ คะแนนสอบ (n = 30) S.D. ร้อยละ

ก่อนเรียน คะแนนเตม็ คะแนนเฉล่ีย 2.08 51.95
หลงั เรียน 1.695 90.14
32 17.73

32 30.76

หมายเหตุ* p  .05

จากตารางที่ 2 พบวา่ คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรยี น การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมาก
กระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสุภาพ หมวดร่างกาย ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 มีคา่ เฉลี่ย
เท่ากับ 17.73 คะแนน และ 30.76 คะแนน ตามลำดบั คิดเป็นรอ้ ยละ 51.95 และ 90.14 ตามลำดับ เม่ือ
เปรยี บเทียบระหวา่ งคะแนนทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน พบว่าคะแนนทดสอบหลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียน
อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิที่ระดับ .05

ตารางที่ 3 คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรียน การอา่ นคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดาน
ขานคำ
ชุด คำราชาศัพทแ์ ละคำสุภาพ หมวดเครอื ญาติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

การทดสอบ คะแนนสอบ (n = 30) S.D. ร้อยละ

ก่อนเรียน คะแนนเต็ม คะแนนเฉลย่ี 2.65681 53.03
หลงั เรยี น 1.64177 90.33
32 18.1

32 30.83

หมายเหตุ* p  .05

จากตารางที่ 3 พบว่า คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรียน การอา่ นคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมาก
กระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสุภาพ หมวดเครือญาติ ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 มีค่าเฉลีย่
เทา่ กบั 18.1 คะแนน และ 30.83 คะแนน ตามลำดับ คดิ เป็นร้อยละ 53.03 และ 90.33 ตามลำดับ เม่ือ
เปรยี บเทียบระหวา่ งคะแนนทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น พบว่าคะแนนทดสอบหลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี น
อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั .05

ตารางท่ี 4 คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรยี น การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขาน
คำ ชดุ คำราชาศพั ทแ์ ละคำสุภาพ หมวดคำกิริยา ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2

การทดสอบ คะแนนสอบ (n = 30) S.D. รอ้ ยละ

ก่อนเรียน คะแนนเตม็ คะแนนเฉลยี่ 2.70376 52.73
หลงั เรียน 1.66782 89.84
32 18

32 30.67

หมายเหตุ* p  .05

จากตารางท่ี 4 พบว่า คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรยี น การอา่ นคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมาก
กระดานขานคำ ชุด คำราชาศพั ท์และคำสภุ าพ หมวดคำกิรยิ า ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 มคี า่ เฉล่ยี
เท่ากับ 18 คะแนน และ 30.67 คะแนน ตามลำดบั คิดเป็นร้อยละ 52.73 และ 89.84 ตามลำดับ เม่อื
เปรยี บเทียบระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น พบว่าคะแนนทดสอบหลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี น
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .05

ตารางท่ี 5 คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขาน
คำ ชดุ คำราชาศพั ทแ์ ละคำสุภาพ หมวดอาหาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

การทดสอบ คะแนนสอบ (n = 30) S.D. ร้อยละ

กอ่ นเรยี น คะแนนเต็ม คะแนนเฉลย่ี 3.13471 53.81
หลังเรียน 1.61031 89.65
32 18.37

32 30.6

หมายเหตุ* p  .05

จากตารางท่ี 5 พบว่า คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรียน การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมาก
กระดานขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ หมวดอาหาร ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 มีค่าเฉลี่ย
เทา่ กับ 18.37 คะแนน และ 30.6 คะแนน ตามลำดับ คิดเปน็ รอ้ ยละ 53.81 และ 89.65 ตามลำดับ เม่ือ
เปรยี บเทียบระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าคะแนนทดสอบหลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรียน
อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติที่ระดบั .05

ตารางที่ 6 คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรียน การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขาน
คำ ชุด คำราชาศัพทแ์ ละคำสุภาพ หมวดสัตว์ พชื ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2

การทดสอบ คะแนนสอบ (n = 30) S.D. รอ้ ยละ

ก่อนเรยี น คะแนนเตม็ คะแนนเฉลี่ย 3.35693 55.08
หลังเรยี น 1.25762 90.10
32 18.8

32 30.73

หมายเหตุ* p  .05

จากตารางที่ 6 พบว่า คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรียน การอา่ นคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมาก
กระดานขานคำ ชุด คำราชาศพั ท์และคำสภุ าพ หมวดสัตว์ พืช ของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 มีคา่ เฉลีย่

เท่ากับ 18.8 คะแนน และ 30.73 คะแนน ตามลำดับ คดิ เป็นรอ้ ยละ 55.08 และ 90.10 ตามลำดบั เมื่อ
เปรยี บเทยี บระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น พบว่าคะแนนทดสอบหลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี น
อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ตารางท่ี 7 คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ
ชุด คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ หมวดพระสงฆ์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2

การทดสอบ คะแนนสอบ (n = 30) S.D. ร้อยละ

กอ่ นเรยี น คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย 3.25 53.52
หลังเรียน 1.23 90.33
32 18.27

32 30.83

หมายเหตุ* p  .05

จากตารางที่ 7 พบว่า คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรยี น การอา่ นคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมาก
กระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ หมวดสัตว์ พืช ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 มีค่าเฉลย่ี
เทา่ กบั 18.27 คะแนน และ 30.83 คะแนน ตามลำดับ คิดเปน็ ร้อยละ 53.52 และ 90.33 ตามลำดับ เมื่อ
เปรียบเทียบระหวา่ งคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น พบว่าคะแนนทดสอบหลงั เรียนสงู กว่ากอ่ นเรยี น
อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติท่ีระดบั .05

ตารางที่ 8 คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรียน การอา่ นคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขาน
คำ ชุด คำราชาศัพทแ์ ละคำสุภาพ ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2

การทดสอบ คะแนนสอบ (n = 30) S.D. รอ้ ยละ

กอ่ นเรียน คะแนนเตม็ คะแนนเฉลีย่ 1.28877 51.67
หลงั เรียน 0.81931 91.33
10 5.17

10 9.13

หมายเหตุ* p  .05

จากตารางที่ 8 พบว่า คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมาก
กระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสุภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5.17
คะแนน และ 9.13 คะแนน ตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 51.67 และ 91.33 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบ
ระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสำคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05

ตอนท่ี 2 ผลการวิเคราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ที่มีต่อการเรยี นด้วยเกมหมาก
กระดานขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และคำสุภาพ

การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนด้วยเกมหมาก
กระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสุภาพ ผลวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดงั ตารางที่ 9

ตารางที่ 9 คา่ เฉลีย่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจของนักเรียน ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ท่ีมี
ตอ่ เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศพั ท์และคำสุภาพ

รายการ X SD. ความพึงพอใจ
1. กติกาการเลน่ เกมหมากกระดานขานคำ มคี วามชดั เจนเข้าใจง่าย 4.52 9.670 มากทส่ี ดุ

2. เกมหมากกระดานขานคำ มคี วามเหมาะสมกับผู้เรียน 4.67 7.908 มากทส่ี ดุ

3. เวลาท่ีใช้ในการเลน่ มเี พียงพอและเหมาะสม 4.51 8.078 มากท่สี ุด

4. เกมหมากกระดานขานคำ มีความกระตุ้นความสนใจในการเรยี น 4.77 7.609 มากทส่ี ุด

5. ขนั้ ตอนของกจิ กรรมนักเรียนสามารถปฏิบัติได้ 4.63 8.430 มากทส่ี ุด

6. นักเรียนมีความรูแ้ ละจดคำราชาศัพท์ไดม้ ากขึน้ 4.56 8.907 มากที่สุด

7. การทดสอบก่อน – หลัง เล่น เกมหมากกระดานขานคำ ให้นักเรียนทราบ

ความกา้ วหน้าของตนเอง 4.63 6.450 มากท่ีสุด

8. นกั เรยี นมเี จตคตทิ ี่ดีตอ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย เรอื่ ง คำราชาศพั ท์ 4.57 7.631 มากทส่ี ุด

รวมเฉลี่ย 4.58 8.563 มากทีส่ ุด

จากตาราง 9 พบว่า ผูต้ อบแบบสอบถามมีความพึงพอใจโดยภาพรวม และรายข้ออย่ใู นระดบั มาก
ทสี่ ุด โดยขอ้ เกมหมากกระดานขานคำ มีความกระตนุ้ ความสนใจในการเรียน มคี ่าเฉลยี่ สูงกว่าขอ้ อืน่ ๆ และข้อ
เวลาท่ใี ชใ้ นการเลน่ มีเพียงพอและเหมาะสม มคี ่าเฉลยี่ ตำ่ กวา่ ข้ออืน่ ๆ

บทที่ 5
สรุปผลการวจิ ัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การวิจยั ครั้งนมี้ วี ตั ถุประสงค์ คือ เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเรือ่ ง คำราชาศัพท์ โดยใช้
เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสภุ าพ สำหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนบา้ น
ตาวร และเพ่อื สำรวจความพึงพอใจตอ่ การใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศพั ท์และคำสภุ าพ สำหรับ
นกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นบา้ นตาวร ผ้วู จิ ัยได้สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะตามลำดบั ดังนี้

1. สรปุ ผลการวิจัย
2. อภปิ รายผลการวิจัย
3. ขอ้ เสนอแนะ

1. สรุปผลการวิจยั
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ท่รี ะดบั .05
2. ความพงึ พอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรยี นด้วย เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และคำ

สภุ าพภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซ่ึงมคี ่าเฉลี่ยเทา่ กับ 4.58

2. อภปิ รายผลการวิจัย
จากผลการวเิ คราะห์ข้อมลู มปี ระเด็นท่สี มควรนำมาอภิปรายได้ดังต่อไปน้ี

2.1 ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กอ่ นเรยี นและหลังเรียนโดย เกมหมาก
กระดานขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ

2.1.1 คะแนนทดสอบกอ่ นและหลังเรียน การอ่านคำราชาศพั ท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ
คำราชาศัพทแ์ ละคำสภุ าพ หมวดเคร่ืองใชท้ ่วั ไป ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 มคี า่ เฉลี่ยเทา่ กับ 17.60
คะแนน และ 30.67 คะแนน ตามลำดบั คดิ เป็นร้อยละ 51.56 และ 89.84 ตามลำดับ เม่ือเปรยี บเทียบ
ระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน พบวา่ คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี นอยา่ งมี
นยั สำคญั ทางสถิติท่ีระดับ .05

2.1.2 คะแนนทดสอบกอ่ นและหลงั เรียน การอ่านคำราชาศพั ท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชุด
คำราชาศัพทแ์ ละคำสุภาพ หมวดร่างกาย ของนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 มีค่าเฉล่ยี เท่ากับ 17.73 คะแนน
และ 30.76 คะแนน ตามลำดบั คิดเปน็ ร้อยละ 51.95 และ 90.14 ตามลำดบั เมื่อเปรียบเทยี บระหวา่ ง
คะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น พบว่าคะแนนทดสอบหลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสำคญั ทาง
สถติ ทิ รี่ ะดับ .05

2.1.3 คะแนนทดสอบกอ่ นและหลังเรยี น การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชุด
คำราชาศพั ทแ์ ละคำสภุ าพ หมวดเครือญาติ ของนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 2 มีคา่ เฉล่ียเท่ากบั 18.1 คะแนน
และ 30.83 คะแนน ตามลำดบั คิดเปน็ ร้อยละ 53.03 และ 90.33 ตามลำดับ เมอ่ื เปรียบเทยี บระหว่าง
คะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน พบวา่ คะแนนทดสอบหลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมีนัยสำคญั ทาง
สถติ ทิ รี่ ะดบั .05

2.1.4 คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชุด
คำราชาศัพท์และคำสุภาพ หมวดคำกิริยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18 คะแนน และ
30.67 คะแนน ตามลำดบั คิดเปน็ รอ้ ยละ 52.73 และ 89.84 ตามลำดับ เมอื่ เปรยี บเทียบระหวา่ งคะแนนทดสอบ
ก่อนเรียนและหลังเรียน พบวา่ คะแนนทดสอบหลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .05

2.1.5 คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน การอ่านคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชุด
คำราชาศัพท์และคำสุภาพ หมวดอาหาร ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลยี่ เทา่ กบั 18.37 คะแนน และ
30.6 คะแนน ตามลำดับ คดิ เปน็ ร้อยละ 53.81 และ 89.65 ตามลำดับ เมือ่ เปรียบเทียบระหวา่ งคะแนนทดสอบ
ก่อนเรียนและหลังเรยี น พบว่าคะแนนทดสอบหลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียนอย่างมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .05

2.1.6 คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรยี น การอ่านคำราชาศพั ท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำ
ราชาศพั ท์และคำสภุ าพ หมวดสตั ว์ พชื ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 มคี ่าเฉลยี่ เทา่ กบั 18.8 คะแนน และ
30.73 คะแนน ตามลำดับ คิดเป็นรอ้ ยละ 55.08 และ 90.10 ตามลำดบั เมื่อเปรยี บเทียบระหว่างคะแนน
ทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น พบวา่ คะแนนทดสอบหลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติท่ีระดับ
.05

2.1.7 คะแนนทดสอบก่อนและหลงั เรยี น การอา่ นคำราชาศัพท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำ
ราชาศพั ท์และคำสภุ าพ หมวดสัตว์ พชื ของนักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 มคี า่ เฉล่ียเทา่ กับ 18.27 คะแนน และ
30.83 คะแนน ตามลำดบั คิดเปน็ รอ้ ยละ 53.52 และ 90.33 ตามลำดบั เม่ือเปรยี บเทียบระหวา่ งคะแนน
ทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น พบว่าคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิท่ีระดับ
.05

2.1.8 คะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน การอา่ นคำราชาศพั ท์ โดยใช้เกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำ
ราชาศัพท์และคำสุภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5.17 คะแนน และ 9.13 คะแนน
ตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 51.67 และ 91.33 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและ
หลงั เรียน พบวา่ คะแนนทดสอบหลังเรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียนอย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05

2.1.9 ผู้ตอบแบบสอบถามมคี วามพึงพอใจโดยภาพรวม และรายขอ้ อยใู่ นระดับมากท่ีสดุ โดยข้อเกม
หมากกระดานขานคำ มคี วามกระตนุ้ ความสนใจในการเรยี น มคี ่าเฉลี่ยสูงกวา่ ข้ออ่นื ๆ และข้อเวลาที่ใชใ้ นการเล่น
มเี พียงพอและเหมาะสม มคี า่ เฉล่ยี ตำ่ กว่าขอ้ อนื่ ๆ

3. ขอ้ เสนอแนะ
1. ขอ้ เสนอแนะในการนำไปใช้
1.1 ในการนำ เกมหมากกระดานขานคำ ชุด คำราชาศัพท์และคำสภุ าพ ไปใช้ ครผู ้สู อนควรศึกษา

ขน้ั ตอนให้เขา้ ใจ เตรียมความพรอ้ มในดา้ นเนือ้ หา การลำดบั ขัน้ ตอนและการแบ่งเวลาในการจัดกิจกรรมการเรยี น
การสอนจะทำให้การจัดการเรยี นการสอนเกิดประสิทธิภาพสูงสดุ

1.2 ในการนำเกมหมากกระดานขานคำ ชดุ คำราชาศัพท์และคำสุภาพไปใช้ ครคู วรกระตุ้นให้
นักเรียนมีความซ่อื สัตย์ และภาคภมู ิใจในผลงานของตนเอง

2. ขอ้ เสนอแนะในการทำวิจัยคร้ังตอ่ ไป
2.1 ควรมีการพฒั นาหรือสง่ เสรมิ การใช้เกมหมากกระดานขานคำ ในกลมุ่ สาระการเรียนรู้อน่ื ๆ

เพราะผลการวจิ ัยพบวา่ นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงข้นึ
2.2 ควรมกี ารศกึ ษาความคงทนในการเรียนรู้เร่อื ง เกมหมากกระดานขานคำ กับการจัดการเรียนรู้

แบบอืน่ ๆ


Click to View FlipBook Version