The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มรดกโลกล้ำค่า พระนครศรีอยุธยาธานี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by BS_Library, 2019-11-24 08:29:54

มรดกโลกล้ำค่า พระนครศรีอยุธยาธานี

มรดกโลกล้ำค่า พระนครศรีอยุธยาธานี

Keywords: พระนครศรีอยุธยา,ประวัติศาสตร์

94 95

พระบรมราชานุสาวรียส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ประตมิ ากรรมนูนสูงรอบฐาน บรเิ วณการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ ประกอบด้วย พระบรม-
พระบรมราชานุสาวรยี ์ ราชานุสาวรียส์ มเด็จพระนเรศวรมหาราช องคพ์ ระบรมรูปทรงม้ามีขนาด
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตรยิ ์ที่ไดร้ ับการ ๓ เทา่ ของจริง แท่นฐานและลานบันไดเป็นหินอ่อนและหนิ แกรนติ ฐานของ
ยกยอ่ งวา่ เปน็ กษตั รยิ ท์ ย่ี งิ่ ใหญ่ เปน็ มหาราช ของชาตไิ ทย พระองคท์ รงเปน็ สมเด็จพระนดรศวรมหาราช พระบรมรปู มีภาพนูนต�่ำเกยี่ วกับพระราชประวัตจิ �ำนวน ๑๑ ภาพ รวมท้ัง
วรี กษัตริย์ ผูก้ อบกู้ เอกราช ใหก้ ับกรุงศรีอยธุ ยาซ่งึ ตกเป็นเมอื งขึ้นของพมา่ อาคารพพิ ธิ ภณั ฑส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช และอา่ งเกบ็ นำ�้ ความจปุ ระมาณ
ในระหวา่ ง พ.ศ. ๒๑๑๒ - ๒๑๒๗ (๑๕ ป)ี พระองค์ทรงพระปรชี าสามารถ ๒ ล้านลูกบาศกเ์ มตร มีการปลกู สวนปา่ เพม่ิ ความงดงามในพน้ื ทโี่ ดยรอบ
ในการสงคราม สามารถสถาปนาอาณาจกั รอยธุ ยาให้มอี �ำนาจและย่ิงใหญ่ จงึ เปน็ สถานทที่ อ่ งเทย่ี วเพอ่ื การพกั ผอ่ น และแหลง่ เรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรอ์ ยธุ ยา
จนประเทศเพื่อนบ้านตา่ งเกรงขาม ไมก่ ล้ารุกรานไทยสบื ตอ่ มาอกี นาน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถไดเ้ ปดิ พระบรมราชานสุ าวรยี ์ เมื่อ
การกอ่ สร้างพระบรมราชานุสาวรยี ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็น ๑ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๔
โครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามพระราชเสาวนีย์ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เปน็ พระโอรสของสมเดจ็ พระมหาธรรมราชา
ของสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ เทดิ พระเกยี รติ กบั พระวิสุทธกิ ษตั รยิ ์ ซึ่งเป็นพระราชธดิ าของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกบั
และเปน็ อนสุ รณ์แด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเพือ่ เฉลิมพระเกยี รติ สมเดจ็ พระสรุ โิ ยทยั วีรสตรขี องไทย พระองคม์ พี ระเชษฐภคินี ๑ องค์ คอื
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช เนอื่ งในมหามงคลทรงครองราชย์ พระสุพรรณกัลยา และพระอนุชา ๑ องค์ คือ พระเอกาทศรถ ในช่วงเวลา
สมบัติครบ ๕๐ ปี ท้ังยงั เป็นการอนุรกั ษบ์ รเิ วณประวตั ิศาสตรแ์ ละโบราณคดี ทีพ่ ระองค์ทรงพระเยาว์อยนู่ น้ั อยุธยากำ� ลังเผชญิ กบั การรกุ รานของพมา่ ที่มี
รวมท้ังเป็นแหลง่ ทอ่ งเทีย่ วของจังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา อำ� นาจเขม้ แขง็ มากทเ่ี รารจู้ กั กนั ในนาม บเุ รงนองผชู้ นะสบิ ทศิ เมอื่ พระชนมายุ
ได้ ๙ พรรษา พระองค์ถูกสง่ ไปเป็นตวั ประกนั ทเ่ี มอื งหงสาวดี เพอื่ ประกนั
ความจงรกั ภกั ดตี อ่ พม่า
เมอ่ื พมา่ ยดึ กรงุ ศรอี ยธุ ยาไดใ้ น พ.ศ. ๒๑๑๒ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา
ได้ขนึ้ ครองกรุงศรอี ยธุ ยาในฐานะเมอื งขน้ึ ของพมา่ พระนเรศวรขณะน้ันมี
พระชนมายไุ ด้ ๑๖ พรรษา จงึ ไดเ้ สดจ็ กลบั จากเมอื งหงสาวดแี ละรบั การสถาปนา
เป็นพระอุปราช หรอื วงั หน้า ครองเมอื งพิษณุโลก ในชว่ งเวลาน้นั พระองค์
ทรงตระเตรยี มกำ� ลงั ไพรพ่ ลใหพ้ รอ้ มเพอื่ เตรยี มการกเู้ อกราช ในทส่ี ดุ พระองค์
กไ็ ดป้ ระกาศอสิ รภาพ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๒๗ ดว้ ยการหลง่ั นำ�้ เหนอื แผน่ ดนิ ประกาศ
แกเ่ ทพยดาวา่ ตงั้ แตว่ นั นไ้ี ป กรงุ พระมหานครศรอี ยธุ ยากบั เมอื งหงสาวดมี ไิ ด้
เปน็ สวุ รรณปฐั พเี ดยี วกนั ดจุ หนง่ึ แตก่ อ่ น หลงั จากนน้ั พระองคต์ อ้ งทำ� ศกึ สงคราม
กบั พมา่ หลายครงั้ ท่สี ำ� คัญคือ สงครามยุทธหตั ถี เมอื่ พ.ศ. ๒๑๓๕ ใน
การศกึ ครั้งน้ัน พระมหาอปุ ราชแมท่ ัพพมา่ ถกู สมเด็จพระนเรศวรฟนั ด้วย
พระแสงของา้ วสน้ิ พระชนม์ ภายหลงั สงครามครง้ั นไ้ี ทยกบั พมา่ วา่ งเวน้ สงคราม
นานกวา่ ๑๐๐ ปี
ตลอดรชั สมยั ทพ่ี ระองคค์ รองราชย์ ๑๕ ปี ไดท้ รงสถาปนาอาณาจกั ร
อยธุ ยาให้เป็นปึกแผน่ ทรงขยายอาณาเขตออกไปอยา่ งกว้างขวาง ไดเ้ ขมร
และลา้ นนาเปน็ เมอื งขึน้ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช สวรรคตทเ่ี มอื งหาง

96 97

ในรฐั ฉานของพม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๘ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช หอศิลปแหง่ ชาติ จังหวดั พระนครศรีอยุธยา แพลระะอบนรมุสรราณช์สาถนาุสนาบว้ารนีย์สพมรเาดน็จนพกระเจา้ ตากสนิ มหาราช
สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช (ศาลากลางเกา่ ) ปจั จุบันเป็นศูนยท์ อ่ งเท่ยี วอยธุ ยา
พระบรมรปู มหาราชหนา้ ศาลากลางจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและอนุสรณ์
ประสาทนครหลวง สถานบา้ นพรานนก ตง้ั อยูท่ ีโ่ รงเรียนวัดพรานนก ต�ำบลโพสาวหาญ อำ� เภอ
หน้าศาลากลางจงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา ซ่งึ สรา้ งเมอื่ พ.ศ. ๒๔๘๔ อุทัย จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา
มีพระบรมรปู พระมหากษัตริยแ์ ละวรี กษตั รียไ์ ทย ทไี่ ด้ประกอบคณุ ประโยชน์ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช มพี ระนามเดมิ วา่ สนิ บดิ าเปน็ ชาวจนี
อย่างใหญ่หลวงใหแ้ ก่จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ๖ พระองค์ คือ สมเด็จพระ- ชือ่ “ไหฮอง” ต�ำแหน่งขนุ พฒั นน์ ายอากรบอ่ นเบ้ยี มารดาชอื่ นางนกเอยี้ ง
รามาธบิ ดที ี่ ๑ (พระเจา้ อทู่ อง) สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ สมเดจ็ พระสรุ โิ ยทยั ตอ่ มาบดิ าไดย้ กใหเ้ ปน็ บตุ รบญุ ธรรมของพระยาจกั รี เมอ่ื ถวายตวั เขา้ รบั ราชการ
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช และสมเดจ็ พระเจา้ มคี วามดคี วามชอบจนไดเ้ ปน็ เจา้ เมอื งตาก ในปลายสมยั อยธุ ยาราว พ.ศ. ๒๓๐๘
ตากสินมหาราช ดงั นน้ั เมอื่ ได้มาเย่ยี มชมหอนิทรรศการประวัตศิ าสตรอ์ ยุธยา พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่าได้ยกทัพมาตีหัวเมืองของไทยและเข้าล้อม
แล้วจึงควรนอ้ มรำ� ลึกถงึ คณุ ความดขี องพระองค์ท่านไวด้ ้วย ในท่นี ี้ขอกลา่ วถึง กรงุ ศรีอยุธยา สมเด็จพระที่น่งั สรุ ยิ าศน์อมรินทร์ (พระเจา้ เอกทศั ) จงึ ให้
มหาราชอีกพระองคห์ นงึ่ คอื หวั เมอื งต่างๆ รวบรวมไพรพ่ ลเขา้ มารักษาพระนครศรีอยุธยา เพอ่ื ป้องกนั
สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช การโจมตีจากพมา่ สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราชซ่งึ ขณะนัน้ เป็นพระยาตาก
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตรยิ ์ทไ่ี ดร้ ับการ ไดถ้ ูกเกณฑใ์ ห้ลงมาช่วยรกั ษาพระนครด้วย ปรากฏฝมี อื ในการรบมีความ
ยกยอ่ งวา่ เปน็ “มหาราช” ของไทยอกี พระองคห์ นงึ่ เพราะรชั สมยั ของพระองค์ เข้มแข็งสามารถรักษาค่ายและตีทัพพม่าให้พ่ายแพ้ได้หลายคร้ังมีบ�ำเหน็จ
เจรญิ รุ่งเรืองทางด้านวรรณคดแี ละการตา่ งประเทศ ความชอบในการสงคราม จึงโปรดเกล้าฯ ใหเ้ ลอ่ื นเปน็ พระยาวชริ ปราการ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้า เจ้าเมืองก�ำแพงเพชร ใน พ.ศ. ๒๓๐๙ ขณะที่ไทยรบกับพมา่ นน้ั พระยา
ปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๒ - ๒๑๙๙) พระองคท์ รงปราบดาภเิ ษกขน้ึ เปน็ กษตั รยิ ์ วชริ ปราการ (สิน) เกดิ ความทอ้ แท้ใจด้วยเหตุหลายประการ ข้าศึกที่ล้อม
โดยรว่ มมือกบั พระศรีสุธรรมราชา ซง่ึ เป็นพระปิตลุ าชงิ ราชสมบัติจากสมเดจ็ พระนครศรีอยธุ ยายาวนาน และเห็นวา่ กรงุ ศรอี ยุธยาคงจะเสยี แกพ่ ม่าแน่
เจา้ ฟา้ ไชย พระเชษฐาของพระองค์ ภายหลงั พระองคม์ คี วามขดั แยง้ กบั สมเดจ็ พระยาวชิรปราการ (สิน) ขณะนน้ั ได้ตง้ั คา่ ยวดั พิชยั ฝ่ังตะวนั ออกของแมน่ ำ�้
พระศรีสธุ รรมราชาจงึ ปราบดาภเิ ษกและขึน้ ครองราชสมบตั ิแทน เจา้ พระยา จงึ ไดร้ วบรวมผคู้ นโดยมที หารมา้ ประมาณ ๕๐ มา้ ตฝี า่ ขา้ ศกึ ทล่ี อ้ ม
ในรชั สมัยของพระองค์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑) ทรงพยายามสรา้ ง กรงุ ศรอี ยธุ ยาอยู่น้ันออกมาได้ โดยเดินทางมาสว่างทต่ี ำ� บลอทุ ยั พมา่ ได้น�ำ
อยธุ ยาใหม้ น่ั คงดว้ ยการสง่ กองทพั ตไี ดเ้ มอื งเชยี งใหม่ และเมอื งตา่ งๆ ของพมา่ กองทพั ทหารมา้ ประมาณ ๕๐๐ มา้ ตดิ ตามมาทนั ทบ่ี า้ นพรานนก จงึ เกดิ การ
ไดเ้ มอื งมะรดิ ตะนาวศรี เพอ่ื ใหเ้ ปน็ เมอื งทา่ คา้ ขายกบั อนิ เดยี และชาวตะวนั ตก ตอ่ สกู้ นั ขนึ้ พระยาวชริ ปราการ (สนิ ) และทหารไทยแมว้ า่ จะมจี ำ� นวนนอ้ ยกวา่
ทเี่ ขา้ มาเจรญิ พระราชไมตรแี ละคา้ ขายเปน็ จำ� นวนมาก ชาตติ ะวนั ตกทมี่ คี วาม สามารถมชี ยั ทัพพมา่ ได้ วรี กรรมของทหารม้าพระยาวชิรปราการได้สรา้ ง
ส�ำคญั ในชว่ งสมัยน้คี อื ฮอลันดา องั กฤษ และฝร่ังเศส ชอ่ื เสยี งไว้ท่ีบา้ นพรานนกมาจนถึงทุกวนั นี้
ฮอลนั ดาพยายามทจ่ี ะผกู ขาดการคา้ จนเกดิ การกระทบกระทง่ั กบั ไทย ใน พ.ศ. ๒๕๓๘ กรมทหารมา้ ท่ี ๒๕ จงั หวดั สระบุรไี ด้มาสรา้ ง
จงึ นำ� เรอื รบมาปดิ อา่ วไทยเมอื่ ปลาย พ.ศ. ๒๒๐๖ ซงึ่ ไดท้ รงแกป้ ญั หานไ้ี ดส้ ำ� เรจ็ พระบรมราชานสุ าวรยี ์สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชในลักษณะทรงม้า เพ่อื
สำ� หรบั ฝรั่งเศส คณะบาทหลวงของฝร่งั เศสได้เขา้ เฝ้าฯ สมเดจ็ พระนารายณ์ เทิดพระเกยี รติเป็นอนสุ รณส์ ถานแหง่ ชัยชนะ ณ บ้านพรานนกแหง่ นี้
มหาราช ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไดส้ ่งคณะทตู ชุดแรกไปเจรญิ ยงั มีแหล่งโบราณสถานอกี หลายแหง่ ทอี่ ยู่อำ� เภออน่ื ๆ นอกเมือง
สมั พนั ธไมตรกี ับพระเจ้าหลุยสท์ ่ี ๑๔ ณ กรงุ ฝร่งั เศส เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๒๓ และ พระนครศรีอยุธยาที่น่าไปชมความงดงามทางศิลปกรรมของอยุธยาในอดีต
ชดุ ทสี่ องเมอื่ พ.ศ. ๒๒๒๕ พรอ้ มเข้าเฝา้ ฯ ถวายพระราชสาสนพ์ ระเจา้ ชารล์ เชน่
ท่ี ๒ แห่งอังกฤษดว้ ย ส่วนคณะทตู ชดุ แรกของฝรัง่ เศสเข้าเฝ้าฯ สมเดจ็ พระตำ� หนักนครหลวง ต้งั อยรู่ มิ แมน่ �้ำป่าสักฝง่ั ตะวันออก ตำ� บล
พระนารายณม์ หาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘ เม่อื จะเดนิ ทางกลับสมเด็จ นครหลวง อำ� เภอนครหลวง เปน็ สถานทสี่ ำ� หรบั พระเจา้ แผน่ ดนิ เสดจ็ มาประทบั
พระนารายณม์ หาราชได้ส่งคณะทตู ซ่งึ มอี อกพระวสิ ุทธสนุ ทร (ปาน) เปน็ ในระหวา่ งทางทเี่ สดจ็ ไปนมสั การพระพทุ ธบาท จงั หวดั สระบรุ ี พระตำ� หนกั นี้
ราชทตู ไปเฝา้ พระเจ้าหลยุ สท์ ี่ ๑๔ ดว้ ย เรียกวา่ ปราสาทนครหลวง ซึ่งสมเดจ็ พระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้าฯ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีแห่ง ใหส้ ร้างข้ึนโดยให้ช่างถา่ ยแบบมาจากปราสาทศิลา จากพระนครหลวงของ
ท่ีสอง และเสดจ็ ประทับมากกวา่ กรงุ ศรีอยุธยา ตลอดระยะเวลา ๓๒ ปี ท่ี ประเทศกมั พชู า เพือ่ เฉลมิ พระเกยี รติทีท่ รงชนะศกึ กัมพูชา ต่อมาไดม้ กี าร
พระองค์ครองราชย์เป็นช่วงเวลาท่ีมีความเจริญทางด้านศิลปวิทยาการมาก สรา้ งมณฑปและพระพุทธบาทสีร่ อยข้นึ บนปราสาทแหง่ นี้
วรรณกรรมที่มีชื่อเสียง เชน่ จินดามณี ราโชวาทชาดก พระราชพงศาวดาร
กรงุ ศรีอยุธยาฉบบั หลวงประเสรฐิ อักษรนติ ิ นอกจากนีย้ งั ทรงสนพระทยั ใน
วิทยาการสมัยใหม่ของตะวันตก เชน่ เร่อื งดาราศาสตร์ การสร้างวัง และ
ป้อมปราการ เปน็ ตน้

98 99

สภาคารราชประยูร พระท่นี ัง่ วโรภาษพิมาน พระราชวงั บางปะอนิ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ พระราชฐานชัน้ นอก
พระทน่ี ่ังเวหาศน์จำ� รูญ ส�ำหรับพระเจ้าอยหู่ ัวเสด็จออกมหาสมาคม และส่วนพระราชฐานชน้ั ในเปน็
พระท่นี ง่ั ไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พระที่นง่ั อุทยานภมู เิ สถยี ร ทป่ี ระทับของพระเจ้าอย่หู วั และพระบรมวงศานวุ งศ์
หอวฑิ รู ทัศนา เขตพระราชฐานชั้นนอก ประกอบดว้ ยอาคารตา่ งๆ เชน่
พระราชวงั บางปะอนิ หอเหมมณเฑยี รเทวราช เปน็ ปรางคศ์ ิลาทรงปราสาทแบบขอม
รชั กาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ เพอื่ อุทศิ ถวายแด่
สถานท่ีส�ำคัญท่ีขาดไม่ได้ คือ การเดินทางไปอำ� เภอบางปะอนิ เพ่ือ สมเดจ็ พระเจ้าปราสาททอง จึงเรียกวา่ ศาลเจา้ ปราสาททอง
ชมพระราชวงั บางปะอินท่ีมรี ปู แบบสถาปัตยกรรมของพระที่น่ังตา่ งๆ ทง้ั สภาคารราชประยูร เปน็ ตึกสองชน้ั ริมน้ำ� สถาปัตยกรรมยโุ รป
แบบไทย แบบจีน และแบบตะวนั ตก ทส่ี ร้างขนึ้ ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จ รชั กาลที่ ๕ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๒๒ เปน็ ท่ปี ระทบั ของ
พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั เจา้ นายฝ่ายหน้า และข้าราชบรพิ ารท่ตี ามเสด็จ
พระราชวงั บางปะอิน ต้ังอยูใ่ นอ�ำเภอบางปะอิน หา่ งจากตัวเมอื ง พระท่ีนง่ั ไอศวรรย์ทิพยอาสน์ เป็นพระทีน่ ่งั โถงเปิดโลง่ มยี อดเป็น
พระนครศรอี ยุธยา ประมาณ ๒๐ ก.ม. มีตำ� นานเลา่ ขานวา่ บางปะอินเดิม ปราสาทหลงั คาซ้อนลดหลั่นลงมาถงึ ส่ชี ัน้ ต้ังอยู่กลางสระน�้ำ รชั กาลที่ ๕
ชอ่ื เกาะบา้ นเลน ในสมยั สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเดจ็ พระเอกาทศรถ โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ำ� ลองแบบมาจากพระทนี่ งั่ อาภรณภ์ โิ มกขป์ ราสาทในพระบรม-
เมอ่ื ครงั้ ยงั ทรงเปน็ วงั หนา้ ไดเ้ สดจ็ ประพาสไปตามลำ� นำ้� และเกดิ พายกุ ระหนำ�่ ราชวงั
จนเรอื ลม่ ท่ีเกาะบ้านเลน พระองค์จงึ ว่ายนำ�้ ขน้ึ ฝง่ั และพกั แรมอยบู่ นเกาะนน้ั พระท่ีน่งั วโรภาษพมิ าน เปน็ พระที่นงั่ ตกึ ชน้ั เดียวสร้างข้ึนในสมยั
และได้หญิงชาวบ้านช่อื อออนิ เปน็ บาทบริจาริกา คร้ันนางตงั้ ครรภ์คลอดบุตร รัชกาลที่ ๕ ตามแบบสถาปัตยกรรมยโุ รป ใชเ้ ป็นท่ปี ระทบั และทอ้ งพระโรง
เป็นชาย ต่อมาได้ขึน้ เป็นกษตั รยิ อ์ ยุธยา (สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง) สำ� หรบั เสดจ็ ออกวา่ ราชการ และจดั งานพธิ กี ารตา่ งๆ ปจั จบุ นั ยงั ใชเ้ ปน็ ทป่ี ระทบั
เมื่อสมเด็จพระเจา้ ปราสาททองขน้ึ ครองราชย์ โปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้าง ของพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกครั้งที่เสด็จแปรพระราชฐาน
วดั ชมุ พลนกิ ายารามขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๗๕ ภายในบริเวณนวิ าสสถานเดมิ ของ ยงั พระราชวังบางประอิน
พระมารดา เพอื่ อทุ ศิ ส่วนกุศลให้พระมารดา และโปรดเกล้าฯ ใหข้ ุดสระน�ำ้ เขตพระราชฐานชั้นใน ประกอบด้วยอาคารตา่ งๆ เชน่
ขึ้นกลางเกาะบางปะอนิ พรอ้ มสร้างพระทนี่ ่ังไอศวรรย์ทพิ ยอาสนข์ น้ึ เพ่อื ใช้ พระท่นี ง่ั อุทยานภมู เิ สถียร เปน็ พระทน่ี ั่งเรอื นไม้สองชน้ั ตามแบบ
เป็นท่ีประทับขณะเสดจ็ ประพาสของพระมหากษตั ริย์อยธุ ยาสบื ต่อมา ครั้น สถาปัตยกรรมของประเทศสวติ เซอรแ์ ลนต์ มีเฉลยี งทง้ั ดา้ นลา่ งและด้านบน
เมอื่ เสียกรุงคร้งั ที่ ๒ พระทนี่ ่งั ถูกทงิ้ ร้างทรุดโทรมจนกระทงั่ พระบาทสมเด็จ ภายในตกแตง่ แบบยโุ รปดว้ ยเครอื่ งเรอื นแบบฝรงั่ เศส (พระทน่ี งั่ องคน์ เี้ กดิ ไฟไหม้
พระจอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว (รชั กาลท่ี ๔) แหง่ กรงุ รัตนโกสินทรเ์ สดจ็ ประพาส เสียหาย ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๕๓๗ สมเด็จพระนางเจา้ สริ ิกิต์ิ พระบรมราชนิ นี าถ
จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหบ้ ูรณะและสรา้ งพระทนี่ ง่ั เพ่มิ เติมข้นึ ในสมยั รัชกาลที่ ๕ ได้ขอพระบรมราชานุญาตสร้างพระทน่ี ง่ั องค์น้ีขน้ึ ใหม่ ดังปรากฏในปจั จุบนั )
โปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างพระทน่ี ง่ั ต่างๆ ขน้ึ อกี หลายองค์ เพอื่ ใช้เปน็ ท่ีประทบั หอวฑิ ูรทศั นา เมอื่ พ.ศ. ๒๔๒๔ รัชกาลที่ ๕ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ ง
และออกวา่ ราชการ เมอ่ื เสดจ็ ประพาสอยธุ ยาและใชต้ อ้ นรบั พระราชอาคนั ตกุ ะ หอสูง เพอื่ ใชส้ ำ� หรับส่องดดู าวและชมทัศนยี ภาพรอบพระราชวังบางปะอนิ
ในรชั กาลปจั จบุ นั พระราชวงั แหง่ นยี้ งั ใชเ้ ปน็ ทป่ี ระทบั และพระราชทานงานเลยี้ ง พระท่นี ่ังเวหาศน์จ�ำรญู หรอื พระทนี่ ่ังเกง๋ จีน สร้างข้ึนตามแบบ
ในโอกาสตา่ งๆ ด้วย สถาปตั ยกรรมจนี อย่างวิจิตรบรรจงเปน็ เกง๋ สองช้นั มชี อื่ ตามภาษาจีนว่า
เทียนเหม่งเต้ย แปลวา่ พระทีน่ ั่งฟา้ สว่าง
ปจั จุบนั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั โปรดเกล้าฯ ให้บ�ำเพญ็ พระ-
ราชกศุ ลในวันตรุษจีนทุกปี
อนสุ าวรียร์ าชานสุ รณ์ รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขนึ้ ในปี
พ.ศ. ๒๔๓๐ เมอ่ื คร้ังท่พี ระองคส์ ูญเสยี พระอัครชายา พระราชโอรส และ
พระราชธดิ าไปในปเี ดียวกัน
อนสุ าวรยี ส์ มเดจ็ พระนางเจา้ สนุ นั ทากมุ ารรี ตั น์ เปน็ อนสุ าวรยี ห์ นิ ออ่ น
ซึ่งรชั กาลท่ี ๕ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งข้ึนเพ่ือเปน็ ท่ีระลึกถงึ สมเด็จพระนางเจ้า
สุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวีที่เสด็จทิวงคตเนื่องจากเรือพระท่ีน่ังล่มใน
แมน่ ้�ำเจา้ พระยา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓

100 101

ด้านนอกพระอโุ บสถ ศิลปกรรมยโุ รป พระบรมสาทสิ ลักษณ์ รชั กาลท่ี ๕ ศูนยศ์ ิลปาชีพบางไทร
ท�ำด้วยกระจกสี (STAINED GLASS)
ท่ีอำ� เภอบางไทร จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา มีแหล่งท่องเท่ียวสำ� คัญ
พระประธานภายในพระอโุ บสถ คือศนู ย์ศลิ ปาชพี บางไทร ในสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ิต์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ
สมเด็จพระนางเจา้ สริ กิ ิติ์ พระบรมราชนิ ีนาถ ทรงมีพระราชประสงค์
วดั นเิ วศธรรมประวตั ิ ท่จี ะให้ราษฎรมคี วามเป็นอยทู่ ่ีดขี นึ้ และเนือ่ งจากสนพระทยั ในศิลปกรรม
พนื้ บา้ นหรอื งานฝมี อื ของราษฎรจงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ง้ั ศนู ยศ์ ลิ ปาชพี บางไทรขนึ้
รชั กาลที่ ๕ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งขน้ึ ตรงขา้ มกบั พระราชวงั บางปะอนิ รมิ แมน่ ำ้� เจา้ พระยา ในเขตทดี่ นิ ปฏริ ปู เพอ่ื เกษตรกรรม พนื้ ทก่ี วา้ ง ๑,๐๐๐ ไร่
เพอ่ื ไวป้ ระกอบศาสนกจิ เปน็ เสมอื นวดั หลวงทเี่ คยี งคอู่ ยกู่ บั พระราชวงั บางปะอนิ ใช้ฝึกงานช่างฝีมือแบบศิลปะไทยโบราณให้แก่เกษตรกรท่ีสนใจฝึกอาชีพ
โบสถ์วัดน้ีสวยงามด้วยสถาปตั ยกรรมแบบกอทิก มลี กั ษณะเด่นคอื มียอด เป็นรายไดพ้ เิ ศษในช่วงว่างจากงานเกษตร โดยสมเดจ็ พระนางเจ้าสิริกติ ิ์
แหลมสงู ขน้ึ ไป ผนงั โบสถป์ ระดบั ดว้ ยกระจกสีเพอ่ื ใหแ้ สงผ่านเข้ามาปรากฏ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชด�ำเนินเปิดศูนย์ศิลปาชีพบางไทรเม่ือวันที่
เป็นสีต่างๆ ขน้ึ ภายใน ๗ ธนั วาคม ๒๕๒๗
ปจั จบุ นั นศ้ี นู ยฯ์ จดั ฝกึ อบรมงานชา่ งฝมี อื ดา้ นศลิ ปหตั ถกรรมพนื้ บา้ น
ทงั้ หมด ๓๒ แผนก เชน่ แผนกตดั เยบ็ เสอื้ ผา้ และปกั จกั ร แผนกทอผา้ ลายตนี จก
แผนกเครื่องเรอื นไม้ เป็นต้น สำ� หรับผลงานทผ่ี ลติ ออกมา นอกจากจำ� หนา่ ย
ทศี่ นู ยฯ์ แลว้ ยงั ส่งไปจำ� หนา่ ยที่รา้ นจติ รลดาซ่งึ มีสาขาทั่วประเทศ รวมท้งั
สง่ ออกต่างประเทศด้วย
ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรมีพื้นที่กว้างต้ังอยู่ริมแม่น้�ำเจ้าพระยา
นกั ทอ่ งเทยี่ วสามารถชมการสาธติ การผลิตสินคา้ ของศนู ย์ศลิ ปาชีพ และ
เลอื กซอ้ื ผลิตภณั ฑข์ องศนู ยฯ์ รวมท้ังยงั มีสถานทน่ี ่าสนใจ เช่น วงั ปลาน�้ำจดื
สวนนก เป็นตน้ ในชว่ งเทศกาลลอยกระทง ทางศูนย์ฯ จัดงานลอยกระทง
ในแมน่ ้ำ� เจ้าพระยาเป็นงานใหญ่ของทกุ ปี ได้รบั ความนยิ มจากนักทอ่ งเท่ียว
ทั่วไปด้วย

102 103

อนสุ รณส์ ถานแหง่ ความจงรกั ภกั ดี อนสุ รณ์สถานปรดี ี พนมยงค์

ท่อี �ำเภอหนั ตรา จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยามีแหลง่ ท่องเทย่ี วสำ� คัญ อนสุ รณส์ ถานปรดี ี พนมยงค์ ตงั้ อยทู่ ถ่ี นนอทู่ อง ตรงขา้ มวดั พนมยงค์
คอื อนสุ รณส์ ถานแห่งความจงรักภกั ดี ซ่ึงจังหวัดไดส้ ร้างขนึ้ เพอื่ เปน็ สถานที่ ตำ� บลทา่ วาสกุ รี อำ� เภอพระนครศรอี ยธุ ยา เพอื่ ระลกึ ถงึ ผนู้ ำ� การเปลยี่ นแปลง
รวมจิตใจ และแสดงความจงรกั ภักดตี อ่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ที่เสด็จ การปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชยม์ าเปน็ ระบอบประชาธิปไตย
พระราชด�ำเนินประกอบพระราชกรณียกิจท่ีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหลาย รฐั บรุ ษุ อาวุโส ศาสตราจารย์ ดร.ปรดี ี พนมยงค์ เกิดเม่ือ ๑๑
คร้งั โดยเฉพาะเมื่อพระองคท์ รงเกีย่ วข้าวทีท่ ุ่งมะขามหยอ่ ง พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ณ เรอื นแพ หน้าวัดพนมยงค์ อ�ำเภอกรุงเกา่ จงั หวดั
ภายในอนุสรณ์สถานฯ นอกจากแสดงอตั ลักษณ์ของแตล่ ะอ�ำเภอ พระนครศรอี ยธุ ยา ในครอบครัวชาวนา และไดถ้ ึงแก่อสัญกรรมเมอ่ื วันที่ ๒
แล้วยังไดส้ รา้ งพระพุทธรปู ประจำ� พระชนมวารขนาดความสูง ๙.๘๔ เมตร พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ณ กรุงปารสี บรรดาญาติมติ ร ศิษยานุศษิ ย์ และ
(มคี วามหมายเพื่อเฉลิมพระเกยี รติ ในรชั กาลท่ี ๙ ด้วยความสูง ๙ เมตร ผศู้ รทั ธาในอดุ มการณข์ องทา่ น ไดเ้ หน็ พอ้ งตอ้ งกนั วา่ โดยทท่ี า่ นรฐั บรุ ษุ อาวโุ ส
และวาระการครบรอบ ๘๔ พรรษา) ถอื กำ� เนดิ ในเรอื นแพ ซงึ่ จอดอยใู่ นแมน่ ำ�้ ตรงขา้ มวดั พนมยงค์ ควรเปน็ สถานที่
สร้างอนสุ รณ์สถานขน้ึ ปัจจุบนั อยู่ในความดูแลของมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
อนุสรณส์ ถานปรดี ี พนมยงค์ ประกอบด้วย
๑. เรอื นไทยพพิ ธิ ภณั ฑ์ เดิมเป็นเรือนแพทรงปน้ั หยา มีอายกุ วา่
๑๐๐ ปีไดส้ ร้างโดยดดั แปลงหลงั คาเปน็ ทรงไทยโบราณ เรือนหลังนีจ้ �ำลอง
เปน็ เรือนแพทเี่ กิดของท่าน
๒. เรอื นไทยหอประชมุ เรอื นหลงั นเ้ี ปน็ เรอื นประวตั ศิ าสตร์ อายกุ วา่
๑๒๐ ปี ใช้เป็นทแี่ สดงผลงานของท่านรัฐบุรษุ อาวุโส จึงเรยี กเรอื นหลงั นี้ใน
เวลาต่อมาวา่ พพิ ิธภัณฑ์
๓. อนุสาวรยี ป์ รดี ี พนมยงคส์ รา้ งเปน็ รปู สัญลกั ษณ์แสดงอุดมการณ์
๖ ประการ ของคณะราษฎร ซงึ่ ทา่ นเปน็ ผคู้ ดิ ขนึ้ ฉะนนั้ อนสุ าวรยี จ์ งึ ประกอบดว้ ย
เสากลม ๖ ต้น รองรับหลังคาเรือนไทย ตง้ั อยู่ในสระวงกลมซงึ่ มนี ำ้� ลอ้ มรอบ
ความสงบนง่ิ ของนำ้� ในสระหมายถงึ สันติภาพ และภายใตห้ ลงั คามีไฟไม่รดู้ ับ
ส่องสว่างหมายถงึ ความเป็นอมตะของอดุ มการณข์ องท่าน
นอกจากเทยี่ วชมเมอื งประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรมแลว้ นกั ทอ่ งเทย่ี ว
อาจแวะชมิ อาหารที่ขน้ึ ชอ่ื รวมทง้ั ซอื้ ของฝากอันแสดงถึงภูมปิ ญั ญาของชาว
พระนครศรอี ยธุ ยาไปพรอ้ มๆ กันดว้ ย

104 พระอารามหลวง

ประเพณกี ารทอดกฐิน ในแต่ละปกี �ำหนดใหม้ ีการจดั ทอดกฐินภายใน ๑ เดอื น หลังประเพณอี อกพรรษา ซึ่งมีอยู่ ๓ ประเภทคือ พระอารามหลวง หรือวัดหลวง เป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ หรือ
๑. กฐนิ หลวง เป็นกฐินท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั เสด็จพระราชดำ� เนินไปถวายผ้าพระกฐนิ ดว้ ยพระองค์เอง หรอื พระราชทาน พระบรมวงศานวุ งศ์ เช่น สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระยุพราช ทรงสร้าง
ให้พระบรมวงศานุวงศ์และองคมนตรี เปน็ ผ้แู ทนพระองค์ไปถวาย ณ พระอารามหลวงที่ส�ำคัญ ๑๖ พระอาราม ท่ีสงวนไว้ไมใ่ หม้ ีการ หรือทรงบูรณปฏิสังขรณ์ หรือมีผู้สร้างน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็น
ขอพระราชทาน ซึง่ ๒ พระอารามหลวงในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาท่ีได้รบั พระกฐินหลวง คือ วัดนเิ วศธรรมประวัติราชวรวิหาร และวัด วดั หลวง และเปน็ วดั ราษฎรสร้างหรอื บรู ณปฏสิ งั ขรณ์ แล้วขอพระราชทาน
สวุ รรณดารารามราชวรวหิ าร ใหท้ รงรบั ไวเ้ ปน็ พระอารามหลวง หรอื วดั ราษฎรท์ ที่ รงโปรดเกลา้ ฯ ใหย้ กฐานะ
๒. กฐนิ พระราชทาน เป็นกฐินทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั พระราชทานผ้าพระกฐนิ บริขาร และบรวิ ารกฐิน แกผ่ กู้ ราบบงั คมทูล เปน็ พระอารามหลวง ในวโรกาสสำ� คญั เชน่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว
ขอพระราชทาน อัญเชิญไปถวายยงั พระอารามหลวงอ่ืนๆ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้ยกวดั ราษฎร์ขน้ึ เปน็ พระอารามหลวง ชน้ั ตรี
๓. กฐินทวั่ ไป หรือทเี่ รียกว่า “กฐินราษฎร”์ เป็นการถวายผ้ากฐนิ ท่ีพทุ ธศาสนิกชนท่วั ไป มีความประสงค์จะน�ำไปถวายแดพ่ ระสงฆ์ เนอ่ื งในโอกาศมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๔
ที่จ�ำพรรษา ในวโรกาสนี้ วัดชูจิตธรรมาราม อ�ำภอวงั น้อย จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ไดร้ ับ
การโปรดเกลา้ ฯ ให้เปน็ พระอารามหลวง
การแบ่งช้ันพระอารามหลวงออกเปน็ ๓ ชัน้ คอื ชนั้ เอก ชัน้ โท และ
ชน้ั ตรี แต่ละชั้นยงั แยกระดบั ออกไปอีกหลายระดับ โดยมีสรอ้ ยต่อท้ายชือ่ วัด
ตามฐานะดังนี้
๑. พระอารามหลวง ชนั้ เอก ไดแ้ ก่ วดั ทม่ี คี วามสำ� คญั มเี จดยี สถาน
บรรจุพระบรมอัฐิ หรอื เปน็ วดั ท่มี ีเกยี รติสูง มี ๓ ระดับ คอื ราชวรมหาวิหาร
ราชวรวิหาร วรมหาวหิ าร
๒. พระอารามหลวง ชน้ั โท ไดแ้ กว่ ดั ทมี่ เี จดยี สถานสำ� คญั หรอื วดั ท่ี
มเี กยี รติ มี ๔ ระดบั คอื ราชวรมหาวหิ าร ราชวรวหิ าร วรมหาวหิ าร วรวหิ าร
๓. พระอารามหลวง ชนั้ ตรี ไดแ้ กว่ ดั ทม่ี เี กยี รติ วดั ประจำ� หวั เมอื ง
หรอื วดั ทมี่ คี วามสำ� คญั ชนั้ รอง มี ๓ ระดบั คอื ราชวรวิหาร วรวิหาร วัดทไี่ ม่มี
สรอ้ ยต่อท้าย (สามญั )
พระอารามหลวงมปี ระวัตคิ วามเปน็ มาทส่ี ำ� คัญ มสี ถาปตั ยกรรม
ศิลปกรรม จิตรกรรม ทโ่ี ดดเดน่ สวยงาม ตามความนิยมในยคุ ท่สี ร้างวดั
การจดั วางผงั วดั สวยงาม รม่ รน่ื นอกจากนพี้ ระอารามหลวงยงั ไดร้ บั กฐนิ หลวง
และกฐนิ พระราชทาน

106 107

จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา มพี ระอารามหลวงทงั้ หมด ๑๕ วดั ไดแ้ ก่ พระอุโบสถ
พระอารามหลวงช้ันเอก
๑. วดั สวุ รรณดารารามราชวรวหิ าร (ชนดิ ราชวรวหิ าร) ตำ� บลหอรตั นไชย วดั สวุ รรณดารารามราชวรวหิ าร
อำ� เภอพระนครศรอี ยุธยา
๒. วดั นเิ วศธรรมประวตั ริ าชวรวหิ าร (ชนดิ ราชวรวหิ าร) ตำ� บลบา้ นเลน วดั สวุ รรณดารารามราชวรวหิ าร ถอื วา่ เปน็ พระอารามประจำ� ราชวงศจ์ กั รี
อ�ำเภอบางปะอิน ธรรมยุตกิ นกิ าย เนอื่ งจากพระมหากษัตริยแ์ หง่ ราชวงศจ์ กั รเี กอื บทกุ พระองค์ ทรงสรา้ ง และ
๓. วดั เสนาสนารามราชวรวิหาร (ชนิดราชวรวิหาร) ตำ� บลหัวรอ ปฏิสงั ขรณ์ พระวิหารพระเจดยี ์ ก�ำแพงแกว้ และปูชนยี สถานอื่นๆ ภายใน
อ�ำเภอพระนครศรีอยุธยาธรรมยตุ ิกนิกาย พระอารามแห่งนอี้ ย่างต่อเนอื่ ง มพี ระอุโบสถทสี่ วยงามอยา่ งยิง่ และภาพ
พระราชประวตั สิ มเด็จพระนเรศวรมหาราช ท่วี าดแบบตะวันตกภายใน
พระอารามหลวงชั้นโท พระวิหาร พระวหิ าร
๔. วดั ชมุ พลนกิ ายารามราชวรวหิ าร (ชนดิ ราชวรวหิ าร) ตำ� บลบา้ นเลน วดั สุวรรณดารารามราชวรวหิ าร เป็น พระอารามหลวง ช้ันเอก ชนิด
อ�ำเภอบางปะอนิ ราชวรวหิ าร ต้ังอยู่ภายในกำ� แพงกรงุ ศรีอยธุ ยาทางทศิ ใต้ ริมปอ้ มเพชร
๕. วดั พนัญเชิงวรวหิ าร (ชนดิ วรวหิ าร) ตำ� บลคลองสวนพลู อ�ำเภอ พระราชบดิ าของรชั กาลที่ ๑ ได้สรา้ งขึน้ ในแผน่ ดินของสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั
พระนครศรอี ยุธยา บรมโกศ ใกลก้ บั บรเิ วณนิวาสถานเดิมช่อื ว่า วัดทอง
๖. วดั ศาลาปนู วรวหิ าร (ชนิดวรวิหาร) ตำ� บลท่าวาสกุ รี อำ� เภอ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๑๐ ขา้ ศกึ ได้ยกกองทพั มาตีกรงุ ศรีอยธุ ยาแตก วัดทอง
พระนครศรอี ยธุ ยา ก็ถูกขา้ ศึกทำ� ลาย กลายเปน็ วัดรา้ งมานานถึง ๑๘ ปี ครัน้ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็
๗. วดั บรมวงศ์อิศรวรารามวรวหิ าร (ชนดิ วรวหิ าร) ต�ำบลสวนพริก พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษกในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ และ
อ�ำเภอพระนครศรอี ยุธยา สรา้ งกรุงเทพมหานครเป็นราชธานี
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ไดท้ รงโปรดเกลา้ ฯ ให้ปฏิสังขรณว์ ดั ทอง
พระอารามหลวงชั้นตรี แหง่ นี้ โดยมกี รมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาท พระอนชุ าไดท้ รงรว่ มปฏสิ งั ขรณ์
๘. วดั พรหมนวิ าสวรวหิ าร (ชนิดวรวิหาร) ตำ� บลทา่ วาสกุ รี อ�ำเภอ และก่อสรา้ งพระอุโบสถ พระเจดยี ์ และหมกู่ ฏุ ิทงั้ หมดด้วย เม่ือการบูรณะ
พระนครศรีอยธุ ยา ปฏสิ งั ขรณแ์ ลว้ เสรจ็ พระองคไ์ ดพ้ ระราชทานนามใหมต่ ามชอื่ ของพระราชบดิ า
๙. วดั กษตั ราธริ าชวรวหิ าร (ชนดิ วรวหิ าร) ตำ� บลบา้ นป้อม อ�ำเภอ (ทองดี) และพระราชมารดา (ดาวเรอื ง) ว่า วดั สวุ รรณดาราราม
พระนครศรีอยุธยา
๑๐. วัดหนา้ พระเมรุราชกิ าราม (ชนดิ สามัญ) ต�ำบลทา่ วาสกุ รี อำ� เภอ เจดยี ์ประธาน ทรงระฆงั
พระนครศรอี ยธุ ยา
๑๑. วดั วรนายกรงั สรรคเ์ จตยิ บรรพตาราม (ชนดิ สามญั ) ตำ� บลบางปะหนั
อำ� เภอบางปะหนั
๑๒. วดั วเิ วกวายุพดั (ชนิดสามญั ) ตำ� บลคลองจิก อำ� เภอบางปะอิน
๑๓. วัดตมู (ชนดิ สามญั ) ต�ำบลวดั ตูม อำ� เภอพระนครศรอี ยุธยา
๑๔. วดั พุทไธศวรรย์ (ชนิดสามัญ) ต�ำบลส�ำเภาล่ม อำ� เภอพระนคร-
ศรอี ยุธยา
๑๕. วดั ชจู ติ ธรรมาราม (ชนดิ สามญั ) ต�ำบลสนบั ทึบ อ�ำเภอวังน้อย
ธรรมยุติกนิกาย เป็นวัดท่ีได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงล่าสุดของ
จงั หวัดพระนครศรีอยุธยาเม่ือ เน่อื งในโอกาสมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา
๘๔ พรรษา ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๔

108 109

ปูชนยี วตั ถแุ ละถาวรวตั ถุท่สี �ำคัญ ได้แก ่ พระประธานภายในพระวหิ าร จิตรกรรมฝาผนังในพระวิหาร
๑. พระอุโบสถทีส่ วยงามสะดุดตาก็คอื หลังคาพระอโุ บสถประดบั ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ภายในพระอโุ บสถวดั สวุ รรณดาราราม
ชอ่ ฟ้า ใบระกา หางหงส์ หนา้ บันทำ� ด้วยไม้สกั แกะสลักลายกนกเปน็ รูป
นารายณท์ รงครฑุ ปดิ ทองประดับกระจก โดยเฉพาะคนั ทวยทปี่ ระดบั รับเชงิ
ชายคาพระอโุ บสถทุกตวั ได้แกะสลกั เป็นลายนกพนั รอบคนั ทวย ลวดลาย
อ่อนชอ้ ยงดงาม พระอุโบสถภายนอกเป็นรูปทรงเรอื สำ� เภา ซึง่ นับเปน็ ศลิ ปะ
สมัยกรงุ ศรีอยธุ ยาตอนตน้ ทยี่ งั เหลอื ไวใ้ หไ้ ดศ้ ึกษา
๒. พระประธานในพระอโุ บสถ ไดจ้ ำ� ลองการขยายสว่ นจากพระพทุ ธ-
มหามณรี ตั นปฏมิ ากร (พระแกว้ มรกต) วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม เปน็ พระพทุ ธรปู
ปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย ด้านซ้ายและขวาเป็นที่ประดิษฐานนพดล
มหาเศวตรฉัตร เพดานพระอุโบสถเป็นไม้จ�ำหลักลายดวงดาราบนพื้นสีแดง
ลงรักปิดทองประดับกระจก ตรงกลางเป็นดาวประธาน ล้อมรอบด้วยดาว
บริวาร ๑๒ ดวง ภายในกรอบย่อมุมไมส้ บิ สอง
๓. พระวหิ าร มลี กั ษณะเปน็ อาคารกอ่ อฐิ ถอ่ ปนู โครงสรา้ งพระวหิ าร
เหมอื นกบั อโุ บสถแตฐ่ านตรง ไมม่ คี นั ทวย หนา้ บนั เปน็ รปู ชา้ งเอราวณั ยนื แทน่
ทนู แวน่ ฟา้ บนพานมฉี ตั ร ๕ ชนั้ ภายในพระวหิ ารประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู โลหะ
ลงรักปิดทอง มีเรือนแกว้ แบบพระพทุ ธชินราช แต่เปน็ จำ� หลกั เขยี นสีปดิ ทอง
๔. ภาพจิตรกรรมฝาฝนังในพระอุโบสถ ด้านหลังพระประธาน
เปน็ ภาพไตรภมู ิ ฝาผนงั ดา้ นขา้ งทงั้ สองดา้ น แบง่ เปน็ ๒ สว่ น คอื สว่ นบนเหนอื
ขอบหน้าตา่ ง เขยี นภาพเทพชมุ นุม ๒ ชน้ั ๆ ละ ๑๖ องค์ ชนั้ บนเปน็ รูปเทพ
ชัน้ ลา่ งเปน็ รปู เทพและยกั ษ์ สว่ นลา่ งระหว่างชอ่ งหน้าตา่ งเป็นภาพเวสสนั ดร
ชาดก เตมยี ช์ าดกและสวุ รรณสามชาดก สว่ นผนงั ดา้ นหนา้ เปน็ ภาพพทุ ธประวตั ิ
ตอนมารวชิ ัย
๕. ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ในพระวหิ ารเปน็ ภาพจติ รกรรมแบบตะวนั ตก
รชั กาลที่ ๗ ซ่งึ โปรดเกลา้ ฯ ให้ พระยาอนุศาสนจ์ ติ รกร (จันทร์ จติ รกร) เปน็
ผวู้ าด เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ เปน็ พระราชประวัตสิ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
โดยมภี าพยทุ ธหัตถที ีเ่ ปน็ ภาพขนาดใหญ่ อยู่เหนอื ประตดู ้านหน้า
๖. เจดยี ป์ ระธาน ตง้ั อยดู่ า้ นหลงั พระวหิ าร เปน็ เจดยี ท์ รงระฆงั ตงั้ อยู่
บนลานประทักษิณ ล้อมรอบดว้ ยเจดีย์ราย บรรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุ
๗. ตน้ พระศรมี หาโพธิ์ ดา้ นหนา้ พระอโุ บสถ รชั กาลที่ ๔ ทรงนำ� หนอ่
มาจากประเทศอนิ เดีย

พระประธานในพระอุโบสถ

110 111

วดั นิเวศธรรมประวัตริ าชวรวิหาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัว รชั กาลท่ี ๕ ได้ทรงมี
พระราชศรัทธาสร้างวดั นิเวศธรรมประวตั ขิ ้ึน เพ่ือเปน็ ทบ่ี ำ� เพญ็ พระราชกศุ ล
แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วในจงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา บรรยากาศแบบยโุ รป ใกล้พระราชวงั ในการสร้างวัดนไ้ี ด้ทรงบรจิ าคพระราชทรัพยใ์ หเ้ จา้ พนกั งาน
ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหร้ งั สรรคศ์ ลิ ปะ ในรปู แบบ จา้ งเหมาชาวตา่ งตะวันตกมาวางแผนรูปแบบสถาปตั ยกรรม ศิลปะที่นำ� มา
ของศาสนสถาน เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๙ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ทที่ รงบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลตา่ งๆ ใชใ้ นการกอ่ สรา้ ง อนั เปน็ ศลิ ปะสมยั กลางของยุโรปแบบโกธิค พระอุโบสถ
ขณะเสดจ็ ประทบั ทพี่ ระราชวงั บางปะอนิ วดั นมี้ ลี กั ษณะพเิ ศษคอื มกี ารตกแตง่ ก�ำแพง ซุ้มประตู หอระฆัง ศาลาการเปรียญ หมูก่ ฏุ ิ และอาคารทกุ หลัง
เปน็ แบบตะวนั ตกพระอโุ บสถคลา้ ยกบั โบสถใ์ นศาสนาครสิ ต์ มหี ลงั คายอดแหลม ลว้ นแต่ก่ออฐิ ถือปูนตามแบบโกธคิ ทง้ั ส้ิน ส่วนภายในมีความงามสงบตาม
และชอ่ งหน้าต่างเจาะโคง้ แบบโกธคิ แบบวัดในพระพทุ ธศาสนา สรา้ งเสร็จทรงฉลองเมื่อในปี พ.ศ. ๒๐๒๑ ทรง
วัดนิเวศธรรมประวตั ิ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนดิ ราชวรวหิ าร พระราชทานนามวา่ “วดั นิเวศธรรมประวัต”ิ
ตง้ั อยบู่ นเกาะกลางแมน่ ำ�้ เจา้ พระยาดา้ นทศิ ใตค้ นละฝง่ั กบั พระราชวงั บางปะอนิ วดั นเิ วศธรรมประวตั ิ เจริญรุ่งเรอื งมาตลอด รชั กาลท่ี ๕ คร้ังมาถึง
ตำ� บลบา้ นเลน อำ� เภอบางปะอนิ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา รัชกาลที่ ๗ เขอื่ นก้ันดินรมิ แมน่ ำ�้ เจ้าพระยาท้งั สองข้างวดั เร่ิมผุพัง สมเด็จ
วดั นี้ เป็นพระอารามหลวงที่สำ� คัญวัดหนึง่ ในจำ� นวน ๑๖ วัด ที่ พระศรสี วรินทริ าบรมราชเทวี (สมเดจ็ พระพันวัสสาอยั ยิกาเจ้า) ไดโ้ ปรดให้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั รชั กาลปัจจุบนั เสดจ็ พระราชดำ� เนินมาถวาย สรา้ งใหมเ่ ปน็ เขอ่ื นคอนกรตี เมอื่ พ.ศ. ๒๔๗๑ สว่ นกฏุ ิ ศาลา และปชู นยี สถาน
ผา้ พระกฐนิ หลวงเปน็ ประจำ� ทกุ ปี ตงั้ อยตู่ อนทา้ ยบนเกาะลอยหนา้ พระราชวงั อ่ืนๆ ทท่ี รุดโทรมได้รบั การบูรณะปฏสิ ังขรณ์รวมทัง้ ก่อสรา้ งถาวรวัตถุต่างๆ
บางปะอนิ ลกั ษณะพน้ื ทต่ี งั้ วดั เปน็ พน้ื ทรี่ าบลมุ่ ไดร้ บั การถมดนิ สงู กวา่ พน้ื ทที่ อ่ี ยู่ เพ่มิ เติมในสมัยรชั กาลปจั จบุ นั
นอกเขตวดั ซง่ึ เปน็ ทป่ี ลกู สรา้ งบา้ นเรอื นของราษฎรและทท่ี ำ� การอไู่ มบ้ างปะอนิ ปชู นียวตั ถุและถาวรวตั ถุทสี่ �ำคัญๆ ได้แก่
๑. พระตำ� หนกั สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ
๒. หอพระไตรปฎิ ก เป็นหอเกบ็ พระคัมภีร์
๓. พระพทุ ธรปู คนั ธารราฐ เปน็ พระพทุ ธรปู ยนื ปางขอฝนประดษิ ฐาน
อยูใ่ นซุ้มก�ำแพงอุโบสถดา้ นทศิ ตะวันออก
๔. พระปางนาคปรกเป็นพระพทุ ธรปู ศลิ ปะสมัยลพบุรีซง่ึ พระบาท
สมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ได้ทรงอัญเชิญมาจากวดั มหาธาตุ จงั หวัด
ลพบรุ ี เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๒๑
๕. พพิ ธิ ภณั ฑ์ จปร. เปน็ ทร่ี วบรวมวตั ถโุ บราณภายในวดั ทมี่ มี าตงั้ แต่
ดัง้ เดมิ
๖. อุโบสถ

112 113

วดั เสนาสนาราม วรวิหาร เม่อื พ.ศ. ๒๔๒๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั
รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างกฏุ ิ และขยายเขตวิสงั คามสมี า ตอ่ มาทางวดั
วดั เสนาสนาราม เดมิ ชือ่ วัดเส่อื เป็นพระอารามหลวงชัน้ เอก ชนิด ได้จัดการสอนพระปริยัติธรรมท้ังแผนกธรรมและบาลีเพ่ือรองรับแก่พระสงฆ์
ราชวรวิหาร มีปรากฏในหลักฐานพระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับ สามเณรในวดั และจากวัดอ่นื ๆ
พระราชหตั ถเลขาวา่ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งวงั จนั ทร์ วัดเสนาสนารามยังมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายการจัดการศึกษา
บวรหรือวงั หนา้ ปจั จุบันคือพระราชวงั จันทรเกษม เม่อื พ.ศ. ๒๑๒๐ เพือ่ ให้ ของชาติ ในการจดั การศึกษาขั้นพน้ื ฐานแก่ราษฎรในหัวเมือง โดยใชว้ ดั เปน็
เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในขณะทรงด�ำรงต�ำแหน่งพระ- สถานศกึ ษา ระยะเรมิ่ แรกนนั้ พระสงฆท์ ำ� หนา้ ทเี่ ปน็ ครดู ว้ ย โดยการตง้ั โรงเรยี น
มหาอปุ ราชครองเมืองพิษณุโลกเม่อื เสดจ็ มากรุงศรีอยุธยา โดยดา้ นทิศใต้ วดั เสนาสนาราม หรอื โรงเรยี นมลู ศกึ ษาสามญั ขนึ้ พ.ศ. ๒๔๒๘ ตอ่ มาไดม้ กี าร
ของวงั ติดกบั วัดเส่อื อยู่ในอาณาเขตของวังดว้ ย ดงั นัน้ วัดเสอื่ จงึ ไมม่ พี ระสงฆ์ ขยายการศกึ ษาเปน็ ระดบั ตา่ งๆ ไดแ้ ก่ระดบั ประถมศกึ ษา ระดบั มธั ยมศึกษา
จำ� พรรษา เช่นเดียวกบั วัดพระศรสี รรเพชญใ์ นพระราชวังหลวงกรงุ ศรีอยธุ ยา และระดบั ฝึกหัดครโู ดยใชบ้ รเิ วณจดั ต้ังโรงเรียนตัวอย่างมณฑลกรุงเก่า เมอ่ื
เมอ่ื ครง้ั สน้ิ กรงุ ศรอี ยธุ ยา พ.ศ. ๒๓๑๐ วดั เสอื่ มสี ภาพเปน็ วดั รา้ งและ พ.ศ. ๒๔๔๘ ปัจจบุ นั เป็นที่ตั้งของโรงเรียนอยุธยานสุ รณ์
ปรักหักพังทรุดโทรมมาก จนถึงรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ปชู นียวตั ถุและถาวรวตั ถุที่ส�ำคัญ ไดแ้ ก่
เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๔ โปรดใหพ้ ระยาราชสงคราม (ทดั หงสกลุ ) เปน็ แมก่ อง ๑. พระอโุ บสถ เปน็ สถาปตั ยกรรมในสมยั อยธุ ยากอ่ อฐิ ถอื ปนู มมี ขุ หนา้
อำ� นวยการปฏสิ ังขรณ์วัดเสื่อใหม่ทง้ั วดั การดำ� เนนิ งานแล้วเสรจ็ พ.ศ. ๒๔๐๖ และหลงั ทมี่ ขุ หน้า มพี ระพุทธรูปปูนป้นั ประทับยนื
และพระราชทานนามวัดใหมว่ า่ วัดเสนาสนาราม หรือเรียกสั้นๆ ว่า วดั ๒. พระวหิ าร เป็นอาคารกอ่ อิฐถือปูนศลิ ปประยกุ ตต์ ัง้ อยดู่ ้านหลัง
เสนาสน์ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่สถติ ยแ์ หง่ สงฆฝ์ า่ ยธรรมยตุ กิ นิกาย เพอ่ื ให้ พระอโุ บสถ ประกอบดว้ ยพระวหิ ารพระพทุ ธไสยาสนแ์ ละพระวหิ ารพระอนิ ทรแ์ ปลง
แพรห่ ลายในหวั เมอื งทรงอาราธนาพระพรหมเทพาจารย์ (บญุ รอด พรหมเทโว) ที่หน้าบันหน้าและหน้าบันหลังเป็นลายรูปปั้นปิดทองพระราชลัญจกรใน
จากวดั ขนุ ยวน มาเปน็ เจา้ อาวาสรปู แรก รัชกาลท่ี ๔ คือ พระมหามงกฎุ
๓. พระเจดยี ์ เปน็ องค์ประธานของวัดทรงระฆังศิลปะอยุธยา
จติ รกรรมพระวหิ าร

114 115

วดั ชุมพลนกิ ายารามราชวรวิหาร วดั พรหมนวิ าสวรวิหาร

ใกลๆ้ กบั พระราชวังบางปะอิน มพี ระอารามหลวงท่ีมีความสวยงาม ชาวบา้ นที่อาศยั อย่เู ดมิ เลา่ กันสืบมาวา่ ผูท้ ี่สรา้ งวัดมียศเปน็ “ขนุ ”
ทางด้านสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอนปลายผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบ ไดเ้ ปน็ แมท่ พั ไปรบกบั ขา้ ศกึ ทเี่ มอื งโยนก (นครเชยี งใหม)่ และมชี ยั ชนะกลบั มา
กับรตั นโกสนิ ทร์เหมาะที่เป็นสถานที่ทอ่ งเท่ยี วทางวัฒนธรรม และศึกษางาน จงึ ได้สร้างวัดเป็นอนสุ รณ์ ตั้งช่อื ว่า วัดขนุ ยวน ครงั้ ถงึ สมัยกรงุ รตั นโกสินทร์
ดา้ นสถาปัตยกรรมไดเ้ ป็นอย่างดี คอื วัดชมุ พลนิกายาราม ในรชั กาลท่ี ๓ ไดเ้ รมิ่ ปฏสิ งั ขรณข์ น้ึ โดยซอ่ มแซมถาวรวตั ถใุ นสว่ นทท่ี รดุ โทรม
วดั ชุมพลนิกายาราม เป็นพระอารามหลวงชนั้ โท ชนดิ ราชวรวหิ าร ต่อมาสมยั รชั กาลท่ี ๔ ไดม้ ีการปฏสิ ังขรณ์เพม่ิ เติม เนื่องจากทรงประทบั อย่ทู ี่
ต้งั อยทู่ ่ีตำ�บลบา้ นเลน อำ�เภอบางปะอนิ จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา บรเิ วณ วดั นี้ครัง้ เม่อื ทรงผนวช
หวั เกาะตดิ กับพระราชวังบางปะอิน สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททองโปรดเกล้าฯ วัดพรหมนิวาสวรวหิ าร เป็นพระอารามหลวงชัน้ ตรชี นิดวรวิหาร ตง้ั
ให้สร้างวดั น้ขี ึ้นเมือ่ พ.ศ. ๒๑๗๕ ในบริเวณเคหสถานเดิมของพระราชมารดา อยูต่ ำ� บลท่าวาสุกรี อำ� เภอพระนครศรีอยธุ ยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ของพระองค์ และพระราชทานชื่อวา่ วัดประชมุ พล ต่อมาพระเจ้าท้ายสระได้ มพี ้นื ที่ของวัด ๖ ไร่ และทธี่ รณสี งฆ์ เนื้อท่ี ๓ ไร่ ๑ งาน ๓๖ ตารางวา โดยมี
เสดจ็ มาปฏิสังขรณ์ อาณาเขต ดงั น้ี
ในสมัยรชั กาลที่ ๔ ไดท้ รงปฏิสังขรณแ์ ละพระราชทานนามใหมว่ า่ - ทิศเหนอื ตดิ ตอ่ คลองมหานาค
วดั ชุมพลนกิ ายาราม ในสมัยรชั กาลที่ ๕ ได้ทรงปฏสิ งั ขรณ์ ซอ่ มพระอโุ บสถ - ทศิ ใต้ตอ่ คลองเมือง (แมน่ ้ำ� ลพบรุ ีเก่า)
พระวิหาร และพระประธานปูนป้นั หนิ ทรายในพระอโุ บสถทัง้ ๗ พระองค์ - ทศิ ตะวันออกติดต่อวดั ศาลาปนู วรวิหาร
ปูชนยี วตั ถุและถาวรวัตถทุ ่สี ำ�คัญ ได้แก่ - ทศิ ตะวนั ตกติดตอ่ กบั ท่ดี ินของราษฎร
๑. พระอโุ บสถ ด้านหน้าประดษิ ฐานพระศรอี ริยเมตไตรยโพธสิ ตั ว์ ปูชนียวัตถุและถาวรวัตถุท่ีส�ำคญั ได้แก่
ประดษิ ฐานในกรอบซมุ้ ประตู มลี กั ษณะเปน็ พระพทุ ธรปู ทรงเครอ่ื ง ซง่ึ เชอ่ื กนั ๑. พระอุโบสถ กอ่ อฐิ ถอื ปูน ฐานเป็นเสน้ โคง้ เรยี กวา่ โค้งสำ� เภา
ว่าสร้างขึ้นในสมยั รชั กาลที่ ๔ พระประธานในพระอุโบสถเปน็ พระพทุ ธเจ้า เปน็ ศิลปะสมัยกรุงศรอี ยุธยาตอนปลาย ยาว ๙ วาเศษ มุงกระเบ้อื งไทย
๗ พระองค์ ถอื วา่ เป็นคตกิ ารประดษิ ฐานพระประธานท่ีแปลก องคก์ ลางท่ี พระประธานเปน็ พระพทุ ธรปู ปน้ั ลงรกั ปดิ ทอง ปางมารวชิ ยั เรยี กวา่ พระพทุ ธ-
ใหญท่ ่สี ดุ คือ พระวปิ สั สพี ระพทุ ธเจา้ อกี ๖ องค์ เปน็ อดตี พระพทุ ธเจ้า อนนั ตชโิ ณภาส หมายถงึ พระพทุ ธรปู ซง่ึ มแี สงสวา่ งหาความสนิ้ สดุ มไิ ด้ ขนาด
คือ พระสขิ ี พระเวสสภู พระกกสุ ันธะ พระโกนาคมน์ พระกสั สป และพระ หนา้ ตกั กว้าง ๔ ศอก ๑๕ นิ้ว สงู ๖ ศอก
สมณโคดม มพี ระประวตั จิ ารกึ แผน่ ศลิ าตดิ อยตู่ ามผนงั พระอโุ บสถดว้ ยทกุ พระองค์ ๒. พระเจดยี ์ มพี ระเจดีย์ใหญฐ่ านสเ่ี หล่ยี มหนา้ พระอโุ บสถ ๑ องค์
และพระอคั รสาวก ๔ องค์ กวา้ ง ๕ วา ยาว ๕ วา สงู ๗ วาเศษ และยงั มพี ระเจดยี ท์ รงเครอ่ื งมมุ กำ� แพงแกว้
๒. ประติมากรรมภกิ ษณุ ี สังเกตได้จากการครองจวี รมดิ ชดิ อยู่ มุมละ ๒ องค์ รวมองค์ ปจั จุบนั ชำ� รุดมาก จึงไดย้ ้ายมาสร้างด้านหลงั พระ-
ดา้ นหลังพระประธานองค์ใหญ่ อโุ บสถแทน
๓. ภาพจติ รกรรมฝาผนงั พทุ ธประวตั ทิ ผ่ี นงั พระอโุ บสถ  ทบ่ี านประตู ๓. พระต�ำหนกั เปน็ พระตำ� หนักท่ีรัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกลา้ ฯ
มีภาพจติ รกรรมฝาผนังเปน็ ภาพเครือ่ งบูชาของชาวจีนที่งดงาม สรา้ งขนึ้ แทนพระตำ� หนักเดมิ โดยใหร้ ้ือย้ายไปปลูกเป็นพระตำ� หนกั สมเด็จ
๔. พระวิหาร เปน็ อาคารก่ออฐิ ถอื ปูน ประดับชอ่ ฟ้าเป็นรปู ครฑุ พระยาปวเรศรยิ าลงกรณ์
จบั นาค ๒ ด้าน หนา้ บันเปน็ ลายดอกไม้ ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู หล่อ
ปางมารวิชัยและปางสมาธิ ๑๑ องค์
๕. เจดีย์ทรงยอ่ มมุ ไมส้ ิบสอง เป็นเจดยี ท์ ่มี ีลกั ษณะสถาปัตยกรรม
เปน็ เอกลกั ษณ์ของศลิ ปะอยธุ ยา สรา้ งในสมยั พระเจ้าปราสาททอง
๖. หอระฆัง มีระฆังขนาดใหญแ่ ละเสยี งดังกังวานมาก

116 117
วัดพนัญเชิงได้รับการปฏิสังขรณ์จากพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี
วดั พนัญเชิงวรวิหาร ตอ่ ๆ กนั มา และใน พ.ศ. ๒๓๙๗ รัชกาลท่ี ๔ เสดพ็ ระราชด�ำเนินปิดทอง
พระพักตร์ พระพุทธเจา้ พนญั เชงิ และทรงถวายพระนามว่า พระพทุ ธไตร-
วัดพนัญเชิง เปน็ วัดเกา่ แก่และส�ำคญั วัดหนึง่ ของจังหวดั พระนคร- รัตนนายก
ศรอี ยธุ ยา โดยเฉพาะหลวงพ่อโตหรือ เจ้าพอ่ ซ�ำปอกง ท่ีพทุ ธศาสนกิ ชนทง้ั ปชู นยี วตั ถุและถาวรวัตถุทส่ี �ำคัญ ได้แก่
ชาวไทย และชาวจีนตา่ งให้ความเคารพนบั ถือมาช้านาน ๑. พระอุโบสถ พระยาชาวรามญั เปน็ ผสู้ ร้าง มีหนา้ มุขเป็นมขุ ลด
วดั พนญั เชิง เปน็ พระอารามหลวงชนั้ โท ชนิดวรวหิ าร ตงั้ อย่ทู าง ประตดู า้ นหนา้ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ภายในมภี าพจติ รกรรมฝาผนงั ทสี่ วยงาม
ทิศตะวนั ออกเฉียงใตน้ อกเกาะเมอื ง ตำ� บลคลองสวนพลู อำ� เภอพระนคร- ๒. พระวหิ ารหรอื ทเี่ รยี กกนั วา่ พระวหิ ารเขยี นเพราะวา่ มภี าพเขยี น
ศรอี ยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ตงั้ อยรู่ มิ แมน่ ำ้� ปา่ สกั และแมน่ ำ้� เจา้ พระยา อยู่ข้างใน สร้างโดยบุตรเขยพระยาชาวรามญั สร้างพร้อมพระอโุ บสถ มีหนา้
ทม่ี าบรรจบกนั ในพระราชพงศาวดารเหนอื กลา่ วไวว้ า่ พระเจา้ สายนำ้� ผงึ้ ทรง มขุ เป็นมขุ ลด มภี าพจติ รกรรมฝาผนังแบบจนี และลายกระถางต้นไมต้ ่างๆ
สรา้ งขนึ้ ในพน้ื ทที่ พี่ ระราชทานเพลงิ ศพพระนางสรอ้ ยดอกหมาก พระอคั รมเหสี ๓. พระวหิ ารใหญ่ ประดษิ ฐานพระพทุ ธไตรรตั นนายก เปน็ พระพทุ ธรปู
และไดส้ ถาปนาขึน้ เปน็ พระอารามตัง้ ชื่อว่า วดั เจ้าพระนางเชงิ เมื่อจุลศักราช ปูนปน้ั ปางมารวชิ ยั หนา้ ตกั กว้าง ๗ วา ภายในพระวหิ าร ฝาผนงั ทำ� เป็น
๔๐๖ พ.ศ. ๑๕๘๗ ต่อมาในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเป็นราชธานี เรียกกนั วา่ ชอ่ งๆ บรรจุพระพทุ ธรูป ๘ หมืน่ ๔ พันองค์ เปน็ พระพุทธรูปท่มี ีขนาดเลก็
วดั พแนงเชงิ บ้าง วดั พระเจา้ พแนงเชงิ บา้ ง แตโ่ ดยมากเรียกวา่ “วดั พแนงเชงิ ” ชาวบ้าน เรียกกนั ว่า พระงง่ั พระพทุ ธไตรรัตนนายกได้รบั การปฏิสังขรณ์มา
อย่างตอ่ เนือ่ ง
๔. พระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั ภายในพระอโุ บสถ คอื พระพทุ ธรปู ทอง
สมยั สโุ ขทยั พระพทุ ธรปู ปนู ปน้ั สมยั อยธุ ยาเปน็ พระประธาน และพระพทุ ธรปู นาก
สมยั สโุ ขทัย

118 119
ปูชนียวัตถุและถาวรวัตถทุ ส่ี ำ� คญั ได้แก่
วัดศาลาปนู วรวหิ าร ๑. พระอโุ บสถ สรา้ งในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ภายในเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐาน
พระประธานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองปางมารวิชัยเป็นศิลปกรรมแบบ
วดั ศาลาปนู นบั วา่ เปน็ วดั สำ� คญั อกี วดั หนง่ึ ในจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา สโุ ขทยั มีอคั รสาวกยนื ประนมหัตถ์ทางขวาและซา้ ยพร้อมทงั้ มีภาพจติ รกรรม
มีพระพุทธรูปโบราณศักด์ิสิทธิ์ ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อแขนลาย เป็น ฝาผนังฝมี อื ชา่ งสมัยอยุธยาตอนปลายและรัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น
พระพทุ ธรปู นงั่ ขนาดหนา้ ตกั กวา้ งประมาณ ๒๙ นว้ิ ลกั ษณะคลา้ ยพระอคั ร- ๒. พระเจดยี ์ ทรงระฆงั ขนาดใหญ่ ประดษิ ฐานอยดู่ า้ นหลงั พระอโุ บสถ
สาวกของสมเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ คอื พระโมคคัลลา พระสารบี ุตร ๓. พระปรางค์ หนา้ อโุ บสถมพี ระปรางค์ ๒ องค์ เจดยี ย์ อ่ มมุ สบิ สอง
วัดศาลาปูนวรวิหาร เปน็ พระอารามหลวงช้ันโท ชนิดวรวิหาร ตงั้ อยู่ ๒ องค์ อยู่ในบรเิ วณก�ำแพงแกว้
รมิ คลองคเู มืองทางทศิ เหนอื ของเกาะเมอื ง ตำ� บลท่าวาสุกรีอำ� เภอพระนคร- ๔. ตน้ โพธิ์ลังกา ซง่ึ รชั กาลท่ี ๕ ไดพ้ ระราชทานให้น�ำมาปลูก
ศรอี ยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งหรอื ปฏสิ งั ขรณค์ รง้ั ใหญ่ ๕. ธรรมาสน์ เปน็ ศิลปกรรม เครอ่ื งไมจ้ ำ� หลกั สมัยอยุธยาตอนตน้
ในสมยั อยธุ ยาตอนกลางในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เม่อื คราว รูปทรงงดงามจ�ำลองมาจากพระแทน่ ประทบั ของพระมหากษัตรยิ ์ มีชอ่ ฟ้า
เสยี กรงุ คร้งั ที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ วดั ศาลาปนู โดนขา้ ศึกท�ำลายและปลอ่ ยทิ้ง ใบระกา หางหงส์ ซมุ้ รังไก่ ยอดเหมปราสาท เชน่ เดียวกับปราสาทจรงิ ๆ
ร้างมาเป็นเวลานาน ๖. สังเคด็ เป็นธรรมาสน์ส�ำหรับพระสงฆ์ขน้ึ ไปเทศนพ์ ร้อมๆ กนั
สมยั กรุงศรีอยุธยา วัดศาลาปนู มคี วามส�ำคัญทางยุทธศาสตร์ เพราะ หลายรูป (แต่ไม่เกิน ๕ รปู ) ซ่ึงเรยี กการเทศนแ์ บบนี้วา่ ปจุ ฉา วสิ ัชชนา
บริเวณวดั เป็นคลองยทุ ธศาสตร์ สว่ นหลังคาท�ำเปน็ หลังคาปราสาทซ้อนขนึ้ ไปเปน็ ช้นั ๆ คล้ายหลงั คาโบสถ์เปน็
พงศาวดารกลา่ วไว้ว่า ในแผ่นดนิ สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิพระเจา้ สังเค็ดท่เี ก่าแกแ่ ละสวยงาม
หงสาวดียกทพั มาตีกรุงศรีอยธุ ยา วัดศาลาปนู เป็นจดุ หน่ึงทม่ี กี ารตั้งคา่ ยกัน ๗. พระพทุ ธรูปโบราณศักด์สิ ทิ ธ์ิ
ขา้ ศกึ มาประชิด ๘. ศาลาพพิ ิธภณั ฑ์ เป็นที่รวบรวมต้พู ระธรรมตัง้ แต่สมัยอยุธยาถงึ
สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์

120 121
ช่องกลางก่อเป็นซุ้มบัญชร ช่องหน้าต่าง ด้านหลังมีมุขเด็จ ที่ประตูกลาง
วดั กษตั ราธริ าชวรวหิ าร ของมขุ เดจ็ ดา้ นหลงั กอ่ เปน็ ซมุ้ กนั้ หอ้ งประดษิ ฐานพระพทุ ธปฏมิ า ปางปา่ เลไลยก์
ส่วนหลังคาพระอุโบสถช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ประกอบด้วยเครื่องไม้หลังคา
ถ้าเรายืนอยู่ฝั่งเจดีย์ศรีสุริโยทัย มองข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้�ำ มงุ ดว้ ยกระเบอ้ื งกาบู หรอื กระเบอ้ื งกาบกลว้ ยดนิ เผา หนา้ บนั ทงั้ ๒ ดา้ น จำ� หลกั
เจา้ พระยา จะมองเหน็ วดั ทมี่ คี วามสวยงาม ความตระการตา ยงิ่ ยามทแ่ี สงแดด ลายดอกพดุ ตาน มสี าหรา่ ยรวงผง้ึ คน่ั สลบั ระหวา่ งเสา ลงรักปิดทองประดบั
ส่องกระทบกับชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์ หลงั คา ของสิง่ กอ่ สรา้ งในวัด ยง่ิ เพ่มิ กระจก มคี นั ทวย รองรบั ระหวา่ งชายคา ทแี่ กะสลกั อยา่ งงดงามสบื ทอดรปู แบบ
ความสวยงามเป็นอย่างมาก ท�ำให้จนิ ตนาการถงึ ความงามของวดั ปราสาท มาจากสมัยกรงุ ศรอี ยุธยาภายในพระอุโบสถเสากลมมบี วั ท่ีหัวเสาเป็นแบบ
พระที่นั่งตา่ งๆ ทม่ี อี ยู่ในกรงุ ศรีอยุธยา เพราะในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยาเป็นสมยั ดอกบวั ตมู จำ� นวน ๖ คู่ รองรบั เครอ่ื งบน เพดานเขยี นลายทองเปน็ ลายราชวตั ร
ท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมอย่างเห็นได้ชัด สามารถ ดอกกลมและพุ่มข้าวบิณฑ์ สลับกันเป็นระยะบนพ้ืนสีแดง เพดานสลับไม้
ดจู ากการสรา้ งวดั และสถานทส่ี ำ� คญั ตา่ งๆ ซงึ่ มคี วามประณตี และงดงาม อกี ทง้ั ลงรักปิดทอง พ้ืนภายในพระอุโบสถปูด้วยหินอ่อนจากประเทศอติ าลี
รปู แบบของสถาปตั ยกรรมทบี่ ง่ บอกความเปน็ แบบเฉพาะของอยธุ ยาในแตล่ ะวดั ๒. พระประธาน เปน็ พระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั ประทบั นง่ั สมาธริ าบ
ได้อยา่ งลกึ ซ้ึง ซ่งึ วัดกษตั ราธิราชวรวหิ าร ก็เปน็ วดั หนีง่ ที่มีความงามไม่แพ้ พระพกั ตรม์ ลี กั ษณะคลา้ ยรปู สเี่ หลยี่ ม เมด็ พระศกมขี นาดเลก็ เหนอื จากอษุ ณษี ะ
วัดอ่ืนๆ ในกรงุ ศรอี ยุธยา คอื เกตมุ าลาทำ� เปน็ รศั มเี ปลว พระพทุ ธรปู ทป่ี ระดษิ ฐานในพระอโุ บสถทกุ องค์
วัดกษัตราธิราชวรวิหาร ต้ังอยู่ตรงข้ามกับวังหลังและวัดสวนหลวง ครองจวี รหม่ เฉียง เปิดพระอังสาขวา ชายจวี รยาวจรดพระนาภี ปลายแยก
ตำ� บลบ้านป้อม อ�ำเภอพระนครศรีอยุธยา เปน็ พระอารามหลวงชั้นตรี (ชนดิ ออกเป็นเขยี้ วตะขาบ
สามญั ) ตงั้ อยรู่ มิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ เจา้ พระยาดา้ นทศิ ตะวนั ตก เปน็ วดั โบราณทมี่ มี าตงั้ แต่ ๓. พระวหิ าร มี ๔ หลงั คอื พระวหิ ารใหญ่ ๒ หลัง ตงั้ อยดู่ ้านหน้า
สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็ ราชธานี เดมิ เรยี กวา่ วดั กษตั ราราม ไมม่ หี ลกั ฐานแนช่ ดั พระอุโบสถ และพระวิหารเล็ก ๒ หลงั พระวหิ ารใหญ่ ด้านหน้า ท�ำประตูซ้มุ
วา่ ใครเปน็ ผสู้ รา้ ง สนั นษิ ฐานวา่ เปน็ วดั ทพ่ี ระมหากษตั รยิ ์ หรอื พระบรมวงศานวุ งศ์ ยอดมณฑป หนา้ บนั ของพระวหิ าร จำ� หลกั รปู พระนารายณท์ รงครฑุ ลอ้ มรอบ
ทรงสร้างหรือปฏสิ ังขรณข์ ึน้ จากคำ� ให้การของชาวกรงุ เก่า เรียกชือ่ วัดนว้ี ่า ดว้ ยลายกระหนก ภายในประดิษฐานพระพทุ ธรปู ยนื ปางถวายเนตร และ
วดั กสุ ติ ราม พ.ศ. ๒๓๐๓ กองทพั พมา่ มาลอ้ มกรงุ ศรอี ยธุ ยา ไดเ้ อาปนื ใหญ่ ปางประทานอภยั สว่ นพระวหิ ารอกี หลงั จำ� หลกั ภาพพราหมณอ์ าลมั พายนจ์ บั
มาต้ังท่วี ัดกษตั ราธิราชแลว้ ยิงปืนใหญเ่ ขา้ ไปในกรงุ จนกระทัง่ พ.ศ. ๒๓๑๐ พญานาคภรู ิทตั ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปปางสมาธิ และพระศรีอาริย-
วดั นี้ก็ไดถ้ กู เผาท�ำลายยับเยินจนกลายเป็นวดั ร้าง เมตไตรย์ พระวหิ ารอีกสองด้านเปน็ ท่ีตง้ั รปู หล่อสมเดจ็ พระพนรัตน์ เป็นพระ
สมยั รัชกาลที่ ๑ สมเด็จพระเจา้ หลานเธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงอนุรกั ษ์ อาจารยข์ องสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช หรอื ทช่ี าวบา้ นเรยี กกนั วา่ หลวงพอ่ แก่
เทเวศร์ (ทองอนิ ) กรมพระราชบวรสถานภิมขุ (กรมพระราชวังหลงั ) พระเจา้ รปู หล่อของสมเดจ็ พระพนรตั น์
หลานเธอในรชั กาลที่ ๑ ทรงปฏสิ งั ขรณ์ พ.ศ. ๒๓๖๑ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อสิ รานรุ กั ษ์ ๔. พระปรางคป์ ระธานตงั้ อยดู่ า้ นหลงั พระอโุ บสถ บรเิ วณเรอื นธาตุ
(เกศ) เปน็ พระราชโอรสของรชั กาลท่ี ๒ เปน็ ตน้ สกลุ อศิ รางกรู ไดป้ ฏสิ งั ขรณ์ ประกอบด้วยซุ้มจระน�ำทง้ั ๔ ด้าน ภายในมเี จดยี ป์ ูนปน้ั ยอ่ มุมไม้สบิ สอง ซงึ่
รัชกาลท่ี ๕ ได้พระราชทานหนิ ออ่ นจากประเทศอติ าลปี พู นื้ พระอโุ บสถแลว้ แตกตา่ งจากวดั อ่ืนทัว่ ไปทมี่ ักจะประดิษฐานพระพทุ ธรปู ภายในซ้มุ จระนำ�
พระราชทานนามวดั นวี้ ่า วดั กษตั ราธริ าช พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ๕. รปู ปน้ั หลวงปเู่ ทยี ม ประดษิ ฐานในพระวหิ าร หลวงปเู่ ทยี มสริ ปิ ญุ โญ
ภมู ิพลอดลุ ยเดช สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชนิ นี าถ พร้อมด้วยสมเดจ็ หรือพระวิสุทธาจารเถร อดีตเจ้าอาวาสวดั กษตั ราธิราชวรวหิ าร หลวงปเู่ ทียม
พระเจ้าลกู เธอทง้ั ๓ พระองค์ ได้เสด็จพระราชด�ำเนินมาวดั น้ถี ึง ๔ ครั้ง ไดร้ ับขนานนามวา่ เทพเจ้าแห่งตะกรดุ มีชอื่ เสยี งในดา้ นอย่ยู งคงกระพัน
พรอ้ มทงั้ พระราชทานทรพั ยส์ ว่ นพระองค์ ปฏสิ งั ขรณ์ ทรงยกชอ่ ฟา้ เททองหลอ่ แคล้วคลาดปลอดภยั ไดศ้ ึกษาอาคมจากอาจารยห์ ลายทา่ นทีส่ �ำคัญคอื ไดไ้ ป
พระพุทธลีลาจำ� ลอง ศกึ ษาจากสำ� นกั วดั ประดทู่ รงธรรม หรอื ตกั ศลิ าแหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา หลวงปเู่ ทยี ม
ปูชนียสถานและถาวรวัตถุท่สี �ำคัญ ไดแ้ ก่ ยังมคี วามชำ� นาญทางด้านชา่ ง การกอ่ สร้าง ได้เปิดโรงเรียนช่างสบิ หมู่ขน้ึ ท่ี
๑. พระอุโบสถรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนกลาง ผนัง วดั กษตั ราธิราช
กอ่ อฐิ เจาะชอ่ งแสงแบบเสาลกู มะหวด ดา้ นหนา้ พระอโุ บสถมบี นั ไดขนึ้ ๒ ทาง

122 123

วดั วรนายกรังสรรค์เจตยิ บรรพตาราม วดั วิเวกวายุพัด

วดั วรนายกรงั สรรคเ์ จตยิ บรรพตาราม ตง้ั อยทู่ ต่ี ำ� บลบางปะหนั อำ� เภอ วดั วเิ วกวายพุ ดั ตง้ั อยนู่ อกเกาะเมอื ง ตำ� บลคลองจกิ อำ� เภอบางปะอนิ
บางปะหัน จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา สรา้ งในสมัยสมเด็จพระเจา้ ทรงธรรม จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา เดิมช่ือ วดั ชอ่ งลม สร้างเมือ่ พ.ศ. ๒๔๐๐ โดยมี
(พระบรมราชาท่ี ๑) กษัตริย์องคท์ ี่ ๒๑ แหง่ กรุงศรอี ยธุ ยา เดิมชอื่ วัดเขาดนิ ความศรทั ธาของชาวบ้านคลองจิก ยกท่นี าให้จ�ำนวน ๑๑ ไร่
ต�ำบลเขาดนิ บางท่านเรียกวา่ วดั ปากนำ�้ แมโ่ ภสพ (ปากน้�ำประสพ) ตง้ั อยู่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว ได้เสด็จประทับแรม
ปากน้ำ� แมป่ ระสพ ซง่ึ ไหลแยกจากแมน่ ้�ำลพบุรีตอนใต้ วดั นีเ้ ปน็ ทพ่ี �ำนักของ ณ พระราชวังบางปะอิน และได้เสดจ็ ทางชลมารคมาประพาสทีว่ ัดนี้เนอื งๆ
อาจารย์พรหมมุนี พระอาจารย์ของสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช และไดพ้ ระราชทานนามวดั นี้ใหม่ว่า วัดวิเวกวายุพัด และทรงเหน็ วา่ พระ-
สมัยพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยู่หัว รชั กาลที่ ๓ แหง่ ราชวงศ์ อธิการเมฆ เจา้ อาวาสวดั นี้เป็นผทู้ เี่ อาใจใสใ่ นหน้าทเี่ ป็นอยา่ งดี จนประชาชน
จกั รี เจา้ พระยาบดนิ ทร์เดชา (สงิ ห์ สงิ หเสนี) ไดม้ าปฏสิ งั ขรณค์ รงั้ หนงึ่ ซงึ่ มี ทว่ั ไปใหค้ วามเคารพศรัทธา จงึ ทรงพระราชทานสัญญาบัตรแตง่ ตั้งให้เป็น
ผเู้ ลา่ วา่ ทา่ นเคยยกกองทพั มาพกั อยู่ ณ วดั นหี้ ลายครงั้ พระครวู เิ วกกาภริ าม วดั นไ้ี ดร้ บั การปฏสิ งั ขรณอ์ าคาร เสนาสนะตา่ งๆ เรอ่ื ยมา
ตอ่ มาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๕ และไดร้ ับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวง เมอื่ ปพี ุทธศกั ราช ๒๔๔๐
เจา้ พระยาภธู ราภัย (นุช บญุ ยรตั นพันธ์) ที่สมหุ นายกในรชั กาลที่ ๔ - ๕ ไดม้ า ตลอดสมยั รชั กาลที่ ๕ ไดท้ รงโปรดเกลา้ ฯ อปุ ถมั ภว์ ดั วเิ วกวายพุ ดั มาโดยตลอด
ปฏสิ ังขรณว์ ดั นีค้ ร้งั ใหญ่ เช่น ก่อสร้างศาลาการเปรยี ญ กุฏิ และพระสถูปโดยพระราชทานนามว่า
ปชู นยี วัตถแุ ละถาวรวัตถุท่ีส�ำคัญ ไดแ้ ก่ ราชทู ศิ เจดีย์
๑. พระอโุ บสถ ตั้งอยูบ่ นเนินดนิ สูง มีก�ำแพงแกว้ ล้อม ๒ ชั้น ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระนาง
๒. พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปั้นปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง เจ้าร�ำไพพรรณี พระบรมราชินี พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จ
๕๘ นวิ้ สว่ นสงู จากยอดพระเกศมายังพระแท่นสงู ๕๘ นวิ้ พระราชดำ� เนนิ ทางชลมารคมาพระราชทานผ้ากฐนิ ตน้ โดยจัดขบวนแหต่ งั้ แต่
๓. พระเจดยี ป์ ระธาน สรา้ งขนึ้ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ พระราชวงั บางปะอนิ จนถงึ วดั วเิ วกวายพุ ดั มขี บวนเรอื โดยเสดจ็ เปน็ จำ� นวนมาก
เจ้าอยูห่ ัว โดยพระยาภธู ราภยั (นชุ บุญยรตั นพันธ)์ สูงประมาณ ๒๐ วา นบั เป็นเกียรติประวตั อิ นั ยิง่ ใหญ่
ฐานลา่ งวัดโดยรอบ ได้ ๒๔ วา ถมโคกกอ่ ก�ำแพงแกว้ ๒ ช้ัน เจดีย์แห่งน้ี ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภมู พิ ลอดุลยเดช
เป็นเจดียท์ ี่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและบรรจอุ ฐั ิของเจ้าพระยาภูธราภยั และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชด�ำเนิน
๔. รปู หล่อหลวงพอ่ ฟอง และหลวงพอ่ ชม อดีตเจา้ อาวาส เป็นที่ ประกอบพิธียกฉัตรประจ�ำองค์พระประธานในพระอุโบสถพร้อมทั้งได้
เคารพของประชาชนในท้องถ่ิน พระราชทรพั ย์ส่วนพระองค์เพ่อื สรา้ งอาคารเรยี นวดั วิเวกวายพุ ัด ซ่ึงก่อสร้าง
เสรจ็ เมอ่ื ๒๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๑๕ ไดพ้ ระราชทานนามอาคารว่า อาคาร
นวราชบพิตรนเุ คราะห์

124 125
วดั นี้ไมป่ รากฏหลักฐานวา่ ใครเปน็ ผสู้ รา้ ง และสรา้ งตงั้ แตเ่ ม่อื ไร
วดั ตูม ทราบกันแต่เพียงว่าเป็นวัดโบราณครัง้ เมอื งอโยธยา สรา้ งมากอ่ นทจ่ี ะตง้ั
กรุงศรอี ยธุ ยาเป็นราชธานี และวัดน้ีคงเปน็ วัดร้างมาครัง้ หน่ึงแลว้ เมือ่ คราว
วดั ตูม ตงั้ อยู่นอกเกาะเมือง ด้านทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ ต�ำบลวดั ตมู เสยี กรงุ ศรีอยธุ ยา ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ เพราะเปน็ วัดอยู่นอกเกาะเมอื ง
อำ� เภอพระนครศรอี ยุธยา วัดนี้มพี ระพุทธรปู สมั ฤทธท์ิ รงเครอื่ งปางมารวชิ ัย เมอ่ื ขา้ ศกึ เขา้ ลอ้ มกรงุ ผู้คนพากนั อพยพหลบหนีกนั หมด แมพ้ ระสงฆ์ก็ยงั
ที่เรียกกนั เปน็ สามัญว่า หลวงพอ่ ทองสุขสัมฤทธ์ิ เปน็ พระพทุ ธรูปทรง อยูไ่ มไ่ ดจ้ งึ รา้ งมาต้ังแต่ครง้ั นน้ั ครน้ั สมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ในรัชกาลที่ ๑
เคร่ืองแบบมหาจกั รพรรดิราชาธิวาส สวมมงกุฎมกี ณุ ฑล ทับทรวงสังวาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลก จงึ ได้มผี ้ปู ฏสิ ังขรณ์ข้นึ อีก และเป็น
พาหรุ ดั ประดับดว้ ยเนาวรัตน์ ประทบั นัง่ ขัดสมาธิ นบั วา่ เปน็ พระพทุ ธรูป วัดที่พระสงฆจ์ �ำพรรษามาจนทกุ วนั นี้
สำ� คญั องคห์ นง่ึ ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ทยี่ งั อยใู่ นสภาพบรบิ รู ณ์ มาจนถงึ ทกุ วนั นี้ ในสมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
พระพุทธรูปองค์น้ีมีลักษณะแปลกกว่าพระพุทธรูปองค์อ่ืนใน รชั กาลที่ ๔ และพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั รชั กาลท่ี ๕ ได้
ประเทศไทย คือพระเศยี รตอนเหนือพระนลาฎเปิดออกได้และพระเกศมาลา เสด็จพระราชด�ำเนนิ ไปทรงบำ� เพญ็ พระราชกุศลถวายผา้ พระกฐิน ณ วัดตูม
ถอดได้ เมอ่ื ปดิ ไวต้ ามเดมิ แลว้ จะแนบสนทิ เกอื บเปน็ ชนิ้ เดยี วกนั ไมป่ รากฏรอย หลายคร้งั ฉะนั้น วดั นจ้ี ึงเป็นพระอารามหลวง ที่มคี วามส�ำคัญวดั หน่ึงใน
ภายในพระเศยี รกลวงลกึ ลงไปเกอื บถงึ พระศอ มนี ้ำ� ไหลซึมออกมาตลอดเวลา จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยาตั้งแตร่ ัชกาลที่ ๔ เปน็ ต้นมา
เหมอื นหยาดเหงอื่ เปน็ นำ้� ใสเย็นบรสิ ุทธ์ิ สามารถรบั ประทานไดแ้ ละน�ำ้ ไหลซมึ
อยเู่ สมอ ปรากฏเปน็ อศั จรรยอ์ ยเู่ ชน่ นตี้ ลอดมา นำ้� ในพระเศยี รของพระพทุ ธรปู สระน�ำ้ ท่ีใชป้ ระกอบพธิ ีลงเคร่อื งพิชยั สงครามมาแต่ครง้ั กรงุ ศรีอยธุ ยาถึงกรุงรัตนโกสนิ ทร์
องคน์ ี้ถอื วา่ เป็น น้ำ� ศักดิส์ ทิ ธิ์

126 127
๔. พระปรางค์ประธาน ศิลปะแบบขอม ตง้ั อยบู่ นฐานไพที โดยอยู่
วัดพุทไธศวรรย์ ก่ึงกลางเขตพุทธาวาส บรเิ วณขา้ งปรางค์ประธานมีมณฑป ๒ หลัง คือ มณฑป
พระปลดั ซา้ ยและขวา ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ปนู ปน้ั ดา้ นนอกปรางค์
วดั พทุ ไธศวรรยต์ ง้ั อยทู่ ต่ี ำ� บลสำ� เภาลม่ อำ� เภอพระนครศรอี ยธุ ยา เปน็ ประธานลอ้ มรอบดว้ ยระเบยี งคด ซง่ึ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ปนู ปน้ั ตลอดแนว
พระอารามหลวงทสี่ ำ� คัญในสมยั กรุงศรอี ยธุ ยาตอนต้น สมเดจ็ พระรามาธิบดี ฐานไพทมี บี นั ไดทางขน้ึ ๒ แหง่ บนั ไดดา้ นหนา้ ขนึ้ สมู่ ขุ เดจ็ ซมุ้ คหู าขา้ งมขุ เดจ็
ท่ี ๑ (พระเจ้าอ่ทู อง) โปรดเกล้าฯ ใหส้ ถาปนาจากพระตำ� หนักเวียงเหลก็ ประดิษฐานพระรูปพระเจ้าอู่ทอง ซึ่งสร้างข้ึนใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่ง
ทป่ี ระทบั ของพระองคก์ ่อนทจ่ี ะสถาปนากรุงศรีอยุธยาเปน็ ราชธานี ต้ังอยู่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ สว่ นองคเ์ ดมิ ทเ่ี ปน็ เทวรูปพระเจา้ อู่ทองนัน้ ไดอ้ ัญเชิญมายงั
รมิ นำ้� เจา้ พระยานอกกรงุ ศรอี ยธุ ยาตรงกบั ปากคลองทอ่ หรอื คลองฉะไกรใหญ่ ปราสาทพระเทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ในสมัย
ซึ่งเป็นคลองทดี่ งึ น้�ำจากแมน่ ้�ำลพบุรหี รอื คลองคเู มืองตอนเหนอื โดยมีแนว รัชกาลที่ ๑ ภายในปรางค์ประธาน บริเวณผนังด้านข้างประดิษฐานรอย
คลองผา่ นดา้ นหลังของพระราชวงั โบราณ แลว้ มาบรรจบกับแมน่ ำ�้ เจ้าพระยา พระพทุ ธบาทปนู ปน้ั กงึ่ กลางปรางคม์ เี จดยี ข์ นาดเลก็ ซงึ่ บรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ
ตรงบรเิ วณหน้าวดั พอดี วัดนใ้ี นสมยั อยุธยามีชุมชนหลากหลายเช้อื ชาติ อย่ภู ายใน บรเิ วณดา้ นหลังประดษิ ฐานพระพุทธรปู ปางไสยาสน์
ศาสนาอยู่โดยรอบ ท้งั ชุมชนชาวจีน มุสลิม โปรตเุ กส ฝร่ังเศส และญวน ๕. ตำ� หนักสมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ เปน็ ต�ำหนกั ทปี่ ระทบั ของ
ซง่ึ นบั ถอื ศาสนาคริสต์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ เป็นอาคารก่ออิฐถอื ปนู ๒ ชัน้ ฐานอาคารมลี กั ษณะโค้ง
พระมหากษตั ริยแ์ หง่ กรงุ ศรีอยุธยาหลายพระองค์ ไดพ้ ระราชทาน แบบศลิ ปะอยธุ ยาตอนปลาย ชอ่ งหนา้ ตา่ งชน้ั ลา่ งโคง้ ยอดแหลมแบบตะวนั ตก
อปุ ถมั ภ์วัดมาอยา่ งต่อเนอ่ื ง ในสมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช วัดเจรญิ ชั้นบนมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเร่ืองทศชาติชาดก ไตรภูมิ และภาพต�ำนาน
ร่งุ เรืองมาก เนอื่ งจากสมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ผเู้ ป็นประมุขฝา่ ยสงฆ์ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารยไ์ ปนมสั การพระพทุ ธบาททล่ี งั กาทวปี ปจั จบุ นั ภาพ
คามวาสี เปน็ เจ้าอาวาส ล่วงมาในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ มหี ลักฐานปรากฏว่า จติ รกรรมมีสภาพเลอื นลางไปมาก
รชั กาลท่ี ๔ และรชั กาลท่ี ๕ ไดเ้ สดจ็ ฯ มายงั วดั โดยรชั กาลท่ี ๔ เสดจ็ ประพาส
อยุธยา และได้ประทับแรม ณ พลับพลาบริเวณป้อมเพชร หลักฐานจาก
พระราชหัตถเลขาที่รัชกาลที่ ๔ ทรงมถี งึ เจา้ จอมมารดาผ้ึง (เตา่ ) ปรากฏวา่
“วันน้แี หพ่ ยหุ ยาตรารอบเมอื ง ทอดกฐนิ ๔ วดั อันมี วัดพทุ ไธศวรรย์ หนึง่
วดั กษัตราราม หน่ึง วัดศาลาปนู หนึง่ วัดหน้าพระเมรุ หนึง่ ”
วดั พทุ ไธศวรรย์ ไดร้ ับสถาปนาขนึ้ เป็นพระอารามหลวง ช้นั ตรี ชนดิ
สามัญ เมื่อวันที่ ๒๓ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เนอื่ งในวโรกาสท่ีพระบาทสมเดจ็
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัตคิ รบ ๖๐ ปี
ปูชนยี วตั ถุและถาวรวัตถุที่ส�ำคญั ได้แก่
๑. พระอุโบสถ เป็นพระอโุ บสถท่ีได้ปฏสิ งั ขรณ์ ภายนอกลอ้ มรอบ
ดว้ ยเสมาหนิ ชนวนคู่ขนาดใหญ่ประดบั กระจกตั้งอยู่บนฐานปูนปั้นรูปบัวกลมุ่
สว่ นลา่ งเปน็ ฐานสิงห์ ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ศิลปะอยธุ ยาทั้งสาม
องค์
๒. พระวหิ ารหลวง เปน็ พระวหิ ารขนาดใหญ่ ตง้ั อยดู่ า้ นหนา้ ปรางค์
ประธาน สว่ นทา้ ยพระวหิ ารเชอื่ มตอ่ เนอ่ื งกบั ระเบยี งคดทล่ี อ้ มรอบปรางคป์ ระธาน
ฐานพระวิหารหลวงประดบั บวั ลกู แก้วอกไก่ สว่ นบนทีเ่ ป็นหลงั คา
๓. พระวหิ ารพระพทุ ธไสยาสน์ ตั้งอยูด่ า้ นขา้ งปรางคป์ ระธาน
ผนังบางสว่ นและหลังคาไดช้ �ำรดุ ลงไป ภายในประดษิ ฐานพระพุทธไสยาสน์
ศิลปะอยธุ ยาตอนตน้ ซ่ึงมีพทุ ธลกั ษณะทีง่ ดงาม

128 129
ปูชนียวัตถุและถาวรวตั ถทุ ่สี ำ� คัญ ไดแ้ ก่
วัดหน้าพระเมรรุ าชกิ าราม ๑. พระอุโบสถ สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ภายใน
ประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย
วัดหนา้ พระเมรุ เปน็ วดั ท่ีมคี วามส�ำคญั ทางประวตั ิศาสตร์ โดยเปน็ ทรงเครื่องพระมหากษัตราธิราชสมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างในรัชกาลสมเด็จ
วดั เดยี วในกรงุ ศรอี ยธุ ยาท่ีไม่ได้ถูกพม่าท�ำลายและยังคงปรากฏสถาปัตยกรรม พระรามาธบิ ดีท่ี ๒ มีพระนามวา่ พระพทุ ธนิมติ วชิ ติ รมารโมลีศรีสรรเพชญ์
แบบอยุธยา อยู่ในสภาพสมบรู ณ์มากท่สี ดุ ในจังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ตาม บรมไตรโลกนาถ
ตำ� นานกลา่ วถงึ วดั นวี้ า่ พระองคอ์ นิ ทรใ์ นสมยั สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๒ รชั กาล ๒. พระวิหารสรรเพชญ์ ต้ังอยู่ด้านข้างพระอุโบสถ นิยมเรียก
ท่ี ๑๐ แหง่ กรุงศรอี ยุธยา ทรงสรา้ งขึน้ เมื่อจลุ ศกั ราช ๘๖๔ (พ.ศ. ๒๐๔๖) กนั วา่ วหิ ารพระคนั ธาราฐหรอื วหิ ารเขยี น เพราะผนงั ภายในวหิ ารมจี ติ รกรรม
ประทานนามว่า วัดพระเมรรุ าชกิ าราม แตป่ ระชาชนสว่ นมากนิยมเรียกว่า ฝาผนงั พระยาไชยวชิ ติ (เผอื ก) เป็นผสู้ ร้าง เม่ือ พ.ศ. ๒๓๘๑ ในรชั กาลท่ี ๓
วดั พระเมรุ จึงเปน็ นามของวัดมาจนถึงปัจจุบัน แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และได้อัญเชิญพระพุทธรูปแกะสลักด้วยศิลาเขียว
ในพระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา กลา่ วถงึ เหตกุ ารณค์ ราวทำ� สญั ญา ประทบั น่งั หอ้ ยพระบาท พระนามว่า พระคนั ธารราฐ มาประดษิ ฐานเปน็
สงบศกึ ระหวา่ งสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดกิ บั พระเจา้ หงสาวดบี เุ รงนอง มกี าร พระประธานในวหิ าร เป็นพระพทุ ธรปู สมยั ทวาราวดี
ปลกู พลบั เพลาเปน็ ทปี่ ระทบั ซง่ึ อยดู่ า้ นหนา้ วดั พระเมรกุ บั วดั หสั ดาวาส (ปจั จบุ นั
วัดหสั ดาวาสเหลอื เพียงซากเจดีย)์
อีกตอนหน่ึงเม่ือคราวสมเด็จพระเจ้าอะลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา
เม่ือเดอื น ๖ ขนึ้ ๑ คำ่� พ.ศ. ๒๓๐๓ พมา่ เอาปนื ใหญม่ าต้ังทว่ี ัดพระเมรุ-
ราชิการามกับวัดหัสดาวาส พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการรบและทรง
ปนื ใหญเ่ อง ปนื ใหญท่ ต่ี งั้ อยใู่ นวดั พระเมรรุ าชกิ ารามแตกตอ้ งพระองคบ์ าดเจบ็
สาหัส ประชวรหนักในวนั นนั้ พอรุ่งข้นึ ๒ ค่ำ� เดอื น ๖ พ.ศ. ๒๓๐๓ พม่า
เลกิ ทพั กลบั ไปทางเหนอื หวงั ออกทางดา่ นแมล่ ะเมาะ แตย่ งั ไมพ่ น้ แดนเมอื งตาก
พระเจา้ อะลองพญากส็ ิ้นพระชนมร์ ะหว่างทาง

130 131

พระอโุ บสถ ลวดลายหนา้ บันของพระอโุ บสถรูปครฑุ ประวัตวิ ัดบรมวงศอ์ ิศรวราราม วรวิหาร

วัดบรมวงศ์อิศรวราราม เปน็ พระอารามหลวงช้นั โท อันดับวรวิหาร วัดบรมวงศ์อิศรวราราม เดมิ เปน็ วัดราษฎรม์ ีนามวา่ วดั ทะเลหญ้า
ต้งั อยูฝ่ ั่งตะวนั ตก ริมแม่นำ�้ ปา่ สัก ทอ้ งทีห่ มบู่ า้ นเพนยี ด ตำ� บลบ้านสวนพริก หรอื วดั ทำ� เลหญา้ เพราะตง้ั อยกู่ ลางทงุ่ หญา้ พอถงึ ฤดฝู นนำ�้ ทว่ มบรเิ วณนที้ กุ ปี
อำ� เภอเมืองพระนครศรอี ยธุ ยา จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา เปน็ วัดท่ีสมเด็จ วัดทะเลหญ้าเป็นวดั โบราณ สร้างมาแตค่ รั้งกรงุ ศรีอยธุ ยาเป็นราชธานี แต่ได้
พระบรมวงศ์เธอเจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระยาบำ� ราบปรปักษ์ พระโอรสใน กลายสภาพเป็นวัดรา้ งมาเป็นเวลาช้านาน สิ่งกอ่ สรา้ งต่างๆ ทั้งศาสนสถาน
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั (รัชกาลที่ ๒ แหง่ พระบรมวงศจ์ ักรี) และศาสนวัตถุตา่ งพงั ทลายไปทง้ั หมด คงเหลอื แต่เนินพระเจดยี พ์ อเหน็ เปน็
ได้ทรงสถาปนาวดั ขนึ้ ใหมใ่ นบริเวณวดั รา้ ง และไดถ้ วายเปน็ พระอารามหลวง สญั ลักษณ์ว่าเปน็ วัดร้างมากอ่ นเทา่ นนั้
ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๕) โปรดเกลา้ ฯ ในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัว (รชั กาลท่ี ๔) ได้
พระราชทานนามว่า “วัดบรมวงศอ์ ิสรวรารามวรวหิ าร” โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้ามหามาลา กรมพระยาบ�ำราบ
ปรปกั ษ์ ซงึ่ ขณะนัน้ ด�ำรงพระยศเป็นกรมขนุ บำ� ราบปรปักษ์ ว่าการกรม-
ด้านหนา้ พระอโุ บสถ พระคชบาล เน่อื งจากได้ทรงศึกษาคชกรรมศาสตรจ์ ากพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
กรมหลวงเทพพลศักด์ิ (พระนามเดมิ วา่ พระองคเ์ จา้ อภยั ทัต พระโอรสใน
รชั กาลท่ี ๑ ซง่ึ ทรงว่าการกรมพระคชบาลในรัชกาลที่ ๒) นอกจากนี้ยังทรง
ได้รบั พระราชทานวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงเทพพลศักด์ิ และ
พระตำ� หนกั ประทบั แรมทต่ี ำ� บลเพนยี ด จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาเปน็ ทป่ี ระทบั
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาบำ� ราบปรปักษจ์ ึงทรงมหี นา้ ทด่ี ู แลเพนียดอนั เป็น
ทีส่ ำ� หรบั คล้องช้างปา่ ท�ำใหต้ อ้ งเสดจ็ ไปประทบั แรมที่ตำ� หนักเพนียดเสมอ
เม่ือไดท้ รงเหน็ วดั ทเลหญ้ากลายเปน็ วัดร้างอยู่กลางทุ่ง ไมห่ า่ งจากเพนยี ด
และตำ� หนักท่ปี ระทบั แรมของพระองคม์ ากนกั ทรงเห็นวา่ วัดน้ีตง้ั อยใู่ น
บริเวณเงียบสงดั สมควรเปน็ ท่ีจ�ำพรรษาบำ� เพญ็ สมณธรรมของสงฆ์สามเณร
ประกอบด้วยพระองคท์ รงมีพระหฤทัยต้ังมัน่ อยู่ในสจุ ริตยุติธรรม และทรง
ประพฤติพระองค์ม่นั คงอยูใ่ นพระไตรสรณาคมน์ มีพระศรทั ธาแรงกลา้ ใน
อนั จะทำ� นบุ �ำรุงพระบวรพทุ ธศาสนา อาศยั พระกศุ ลจริยาดังกลา่ วนจ้ี งึ เปน็
ปัจจยั นำ� ให้พระองคท์ รงสร้างวัดบรมวงศอ์ ิศราวราราม วรวิหารขนึ้

132 133
บรเิ วณน้ี พวกเล้ียงชา้ งกไ็ มม่ เี วลาจะไปทำ� บุญตามวดั ตา่ งๆ เห็นควรจะสรา้ ง
ประวตั ิสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา ภาพปนั้ ลอยตัว วัดขึ้นใหม่ ให้พวกกรมชา้ งได้อาศยั ทำ� บุญ
กรมพระยาบ�ำราบปรปกั ษ์ ผู้สร้างวดั บรมวงศ์อิศรวราราม สมเด็จพระบรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้ามหามาลา ประจวบกับเจ้าหนา้ ทก่ี รมพระคชบาล มาเฝ้ากราบทลู วา่ ยงั ไม่พบ
วรวิหาร กรมพระยาปราบปรปกั ษ์ ตน้ ราชสกุลมาลากุล ชา้ งเผอื ก สอบถามพวกชาวบา้ นไดค้ วามวา่ เคยเหน็ ชา้ งเผอื กในปา่ มจี รงิ สมเดจ็ ฯ
กรมพระยาบำ� ราบปรปกั ษ์ ทรงรบั สงั่ วา่ จะรอใหบ้ นบานหรอื อยา่ งไร ถา้ เชน่ นน้ั
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระยาบำ� ราบปรปกั ษ์ จับชา้ งเผือกไดส้ มประสงค์กจ็ ะสรา้ งวัดให้หนึ่งวดั ตอ่ จากนน้ั ประมาณ ๓ วนั
เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หนา้ นภาลยั แหง่ พระบรม ก็มีฝนตกหนกั ครนั้ รุ่งเชา้ ก็เห็นช้างเผือกพงั (ตวั เมยี ) ยนื อย่กู ลางโขลงน่ันเอง
ราชวงศจ์ กั รี กบั สมเด็จเจา้ ฟ้ากุณฑลทพิ ยวดี พระราชชายานารี ประสูติ ตอ่ มาอกี วนั หนง่ึ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาบำ� ราบปรปกั ษ์ เสดจ็ จากตำ� หนกั
ณ วนั เสาร์ขน้ึ ๑ ค�่ำ เดอื น ๖ ปีเถาะ ตรงกับวันที่ ๒๔ เมษายน พุทธศกั ราช เพนียดในเวลาเย็น เพอื่ ทอดพระเนตรช้างทไ่ี ดม้ าจากนครสวรรค์ ๑ เชอื ก
๒๓๖๒ พระนามเดมิ วา่ เจา้ ฟา้ ชายกลางมพี ระภาตาและพระภคนิ รี ว่ มพระชนนี ซ่งึ นำ� ไว้ทต่ี น้ สะตอื ใหญ่ ใต้วัดสว่างอารมณ์ พอเสด็จผา่ นหนา้ วดั ทะเลหญ้า
เดียวกนั อกี ๓ พระองค์ คือ เจ้าฟา้ ชายอาภรณ์ สน้ิ พระชนม์ในรชั กาล กม็ ีงใู หญ่ขวางทางเสด็จ ทรงประทับพระเสลยี่ งมาทอดพระเนตรเห็นแตไ่ กล
ที่ ๓ เจา้ ฟ้าหญงิ หนงึ่ องค์สน้ิ พระชนม์แตย่ ังทรงพระเยาว์ และเจ้าฟา้ ชายปิ๋ว ทรงรับสง่ั ว่ามาเตือนให้สร้างวัดหรือ รู้แลว้ งูนน้ั ก็เลือ้ ยหายไปทางโคกวดั น้ี
ส้นิ พระชนมใ์ นรัชกาลท่ี ๓ เม่ือพระชันษา ๑๙ ปี ส่วนพระชนนี สมเดจ็ เจ้าฟ้า การสรา้ งวดั บรมวงศฯ์ ของสมเดจ็ กรมพระยาบำ� ราบปรปกั ษน์ พ้ี ระบาท
กณุ ฑลทพิ ยวดพี ระราชชายานารนี ้ัน ส้ินพระชนม์ในรัชกาลท่ี ๓ พทุ ธศักราช สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รัชกาลท่ี ๕ ทรงมพี ระราชศรัทธาและทรง
๒๓๘๑ เม่อื พระชนมพรรษา ๔๒ ปี สนพระราชหฤทยั ไดท้ รงบรจิ าคพระราชทรพั ยส์ ว่ นพระองคส์ มทบการกอ่ สรา้ ง
เจ้าฟา้ ชายกลางเรมิ่ รับราชการในกรมวัง ในรัชกาลที่ ๓ คร้ันถงึ เป็นจำ� นวนมาก นอกจากน้ียงั ทรงสรา้ งกุฏถิ วายสงฆ์เปน็ ส่วนของพระองค์
รชั กาลท่ี ๔ พระราชทานนามว่า เจ้าฟ้ามหามาลา และทรงสถาปนาเปน็ หลงั หนงึ่ เมอ่ื ถงึ เทศกาลกฐนิ กไ็ ดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ ทางชลมารคจากกรงุ เทพฯ
กรมหม่ืนปราบปรปักษ์ ต่อมาทรงเลอ่ื นกรมขน้ึ เป็นกรมขนุ บ�ำราบปรปักษ์ ไปถวายผา้ พระกฐนิ เปน็ พธิ หี ลวง ตอ่ มาเมื่อถึงคราวงานพิธฝี ังลกู นิมิตและ
โปรดเกลา้ ฯ ใหว้ า่ การกรมวัง กรมพระคชบาล และกรมสังฆการีธรรมการ สมโภชพระอาราม กไ็ ดเ้ สด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเป็นประธานประกอบ
ในรชั กาลที่ ๕ โปรดเกลา้ ฯ เลอ่ื นกรมขึ้นเปน็ กรมพระบำ� ราบปรปกั ษ์ พระราชพธิ ี ยง่ิ กวา่ นน้ั ในพธิ กี รรมผกู พทั ธสมี า กไ็ ดม้ พี ระราชศรทั ธาแรงกลา้
คร้ันถงึ ปีพทุ ธศกั ราช ๒๔๒๘ ได้โปรดเกลา้ ฯ เล่อื นกรมขน้ึ สงู สดุ เป็นสมเด็จ ทรงรับพระราชภาระเป็นผู้ด�ำรัสตอบค�ำถามของพระสงฆ์เป็นภาษาบาลี
กรมพระยา ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบฏั วา่ สมเด็จกรม จนครบทง้ั ๘ ทศิ ดว้ ยพระองคเ์ อง โดยมไิ ดท้ รงถอื วา่ เปน็ การทพ่ี ระเจา้ แผน่ ดนิ
พระยาบำ� ราบปรปกั ษ์ มหศิ วรศกั ดสิ นุ ทรววิ งศ์ บรมพงศบ์ รพิ ตั ร ววิ ฒั นยโสดม ไมค่ วรทรงกระท�ำ ซง่ึ การทรงประกอบพระราชกรณยี กิจอนั พเิ ศษน้ี ยงั ไมพ่ บ
สรรพศิลปาคมอุดมกิจ พิฆเนศวรประสิทธิคชกรรมสาตร โหรกลานุวาท- หลกั ฐานปรากฏว่า พระมหากษตั รยิ พ์ ระองค์ใดทรงกระท�ำมาก่อน
กาพยปฏภิ าณ สกฤษฏิศภุ การสกลรษั ฎาธกิ กิจ ปรชี าวตโยฬาร สมบูรณคณุ นอกจากจะทรงสร้างถาวรวัตถุและปูชนียสถานอย่างประณีตถาวร
สารสุจรติ จรยิ าภิรมย์ ราชพงศานกุ รมมุขปดิษฐา สกลนราภิมานิต นรศิ รา ปพู น้ื ด้วยหินอ่อน ประกอบด้วยลวดลายศิลปะเปน็ รปู พระมหามาลา และ
ธิบดนิ ทร์ ปรมินทร มหาราชวโรปการ ปรชี าญาณยตุ ิธรรมาชวาธยาศรัย ภาพจิตรกรรมตา่ งๆ อยา่ งงดงามแลว้ ยงั ได้ทรงจดั หาเครื่องบรขิ ารไวเ้ ปน็
ศรรี ตั นไตรสรณคุณารกั ษ์ บรมอคั รมหาบรุ ษุ ยรรัตนส์ ุขุมาลกษตั รยิ ์วิสทุ ธชิ าติ พุทธบูชาอกี มากมาย ลว้ นเปน็ ศิลปวตั ถมุ คี ่า เชน่ แจกนั กังไสขนาดใหญ่
ธรรมิกนาถบพติ ร และในรัชกาลท่ี ๕ น้ี ที่ประชุมพระราชวงศานวุ งศ์และ เครือ่ งลายคราม เครือ่ งแก้วเจียระไน พระเจดีย์เงินบรรจพุ ระธาตุ เปน็ ต้น
ขา้ ราชการผู้ใหญ่ พรอ้ มกันสมมตใิ ห้เปน็ ผู้สำ� เรจ็ ราชการในพระราชส�ำนกั สิ่งของเหล่านี้เก็บรักษาไวท้ ก่ี ฏุ ิเจ้าอาวาส แตบ่ างอยา่ งก็สูญหายไป บางอย่าง
และว่าการพระคลงั ท้งั ปวง ต่อมาได้ทรงว่าการกระทรวงฯ มหาดไทยอกี กแ็ ตกหกั เป็นทีน่ า่ เสียดายยงิ่ นัก
กระทรวงหน่งึ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาบำ� ราบปรปกั ษ์สิน้ พระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ วดั บรมวงศ์อิศรวรารามถือวา่ เป็นวัดทงี่ ดงามวัดหนึ่งในสมัยนั้น และ
เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๔๒๙ พระชนมพรรษา ๖๗ ปี พระองคท์ า่ นทรงเปน็ ตน้ สกลุ เพราะตั้งอยูก่ ลางทงุ่ ใกล้ฝ่ังแมน่ �้ำ จงึ เพ่ิมความโดดเดน่ ยิ่งข้นึ ผทู้ สี่ ัญจรผา่ น
มาลากุล ไปมาท้ังทางน�ำ้ และทางบกสามารถมองเห็นความสงา่ งามของวดั นี้
มลู เหตุการสรา้ งวัดบรมวงศ์อิศรวรารามน้ีมผี ู้เลา่ ว่า สมเด็จฯ เจา้ ฟา้
กรมพระยาบ�ำราบปรปกั ษไ์ ด้ทรงปรารภว่าวดั ทะเลหญา้ อยู่ใกลเ้ พนยี ด เปน็
วดั ของพวกกรมชา้ งมาแตก่ อ่ น คนภายนอกจะมาทำ� บญุ กย็ าก เพราะกลวั ชา้ ง

134 135

พระอโุ บสถ พระวหิ ารตรีมุข

ปูชนียวัตถุและถาวรวัตถุท่สี ำ� คัญๆ ไดแ้ ก่ พระสถปู เจดีย์
อาคารและวัตถตุ า่ งๆ สมเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระยาบำ� ราบปรปกั ษ์ ทรง
สรา้ งไวด้ ว้ ยศลิ ปะฝมี ือชา่ งอยา่ งประณตี ในสมยั นน้ั นบั ว่าวจิ ิตรงดงามมาก ๒. พระวหิ ารตรมี ุข สรา้ งดว้ ยฝีมืออยา่ งประณตี กอ่ อิฐถอื ปนู พื้น
อาคารถาวรวัตถดุ ังกล่าว ประกอบด้วย ปูด้วยหินออ่ น ผนงั ภายในใตห้ น้าต่างประดับดว้ ยกระเบอ้ื งลายครามโดยรอบ
๑. พระอโุ บสถถาวรกอ่ อฐิ ถอื ปนู กวา้ ง ๙.๕๐ เมตร ยาว ๑๘.๐๐ เมตร ทกุ ดา้ น เครื่องบนไม้สกั หลังคามุงกระเบอื้ งเคลือบเขียว ซุม้ ประตหู น้าต่าง
พ้นื ปดู ้วยหินออ่ น ผนงั ภายในใต้หนา้ ตา่ งปูด้วยกระเบื้องลายครามโดยรอบ ช่อฟ้า ใบระกา และหนา้ บนั ป้นั เปน็ ลายเครอื วลั ย์ลอ้ มพระมหามาลา
ทง้ั ๔ ดา้ น หลงั คามุงด้วยกระเบ้อื งแบบโบราณ เครอ่ื งบนไมส้ ัก ซุม้ ประตู เช่นเดยี วกบั พระอโุ บสถ
หนา้ ต่างและช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ สร้างดว้ ยแบบปนู ปั้น เปน็ รูปลกั ษณะ ๓. พระสถปู เจดยี ์บรรจพุ ระบรมสารรี ิกธาตุและพระอฐั ิกับพระ-
นาคเกี้ยวภายในซุ้มประตูหน้าต่างท�ำเป็นลายเครือวัลย์ล้อมพระมหามาลา สรรี างคารของสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระยาบำ� ราบ
อยา่ งประณีตสวยงาม ปรปักษ์ เป็นพระสถปู เจดยี อ์ งคใ์ หญ่ แท่นฐานเป็นรูป ๘ เหลีย่ ม เหล่ยี มใหญ่
๔ เหล่ยี ม กวา้ งเหล่ียมละ ๖.๓๐ เมตร เหล่ยี มเลก็ ๔ เหล่ียม กวา้ งเหล่ียมละ
รูปหลอ่ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว ๓.๐๐ เมตร สว่ นสงู จากพืน้ ฐานถึงยอดพระเจดีย์ ๑๘.๐๐ เมตร พระสถูป
ภายในพระวิหารตรีมขุ เจดยี ์องค์นี้ตัง้ อยู่ระหวา่ งพระอุโบสถกับพระวิหารตรมี ขุ สร้างขนึ้ บนเนนิ
พระเจดยี ์โบราณของวดั ทะเลหญา้ เดิม

136 137

๔. กำ� แพงแกว้ ชนั้ ใน กอ่ อฐิ ถอื ปูนมลี ายบัว สงู ๒.๐๐ เมตร กว้าง ก�ำแพงแกว้ ชั้นใน ศาลาการเปรียญ กุฏิพระสงฆ์
๒๕.๐๐ เมตร ยาว ๗๐.๐๐ เมตร ประดษิ ฐานใบเสมาอันเป็นเขตแดน หอสวดมนต์ ศาลากรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศกั ดิ์ ศาลาท่าน�้ำหน้าวดั ริมแมน่ ำ้� ลพบุรี
แหง่ พัทธสีมาอยเู่ หนือก�ำแพงแก้วทั้ง ๘ ทศิ ใบเสมาท้ังหมดทำ� ด้วยหินออ่ น
เป็นรปู ลักษณะส่เี หล่ยี มอย่างสวยงามและตามแนวก�ำแพงด้านยาว มีศาลา
ตรีมุขดา้ นละ ๑ หลงั กว้าง ๔.๕๐ เมตร ยาว ๗.๕๐ เมตร รวม ๒ หลัง กบั
ศาลาขนาดยอ่ มอกี ๒ หลัง กวา้ ง ๒.๕๐ เมตร ยาว ๗.๕๐ เมตร ศาลาทั้งหมด
น้กี อ่ อิฐถอื ปูน เครื่องบนไม้สักหลงั คามุงกระเบ้อื งแบบโบราณ ทก่ี ำ� แพงแก้ว
ดา้ นหนา้ และด้านหลังพระอุโบสถมีซ้มุ ประตูแบบตรมี ขุ ประดับด้วยหนิ อ่อน
นับว่าเป็นศลิ ปะทีค่ วรอนุรักษ์อยา่ งยง่ิ
๕. กำ� แพงแก้วชัน้ นอก รอบบรเิ วณพระอุโบสถ พระสถปู เจดีย์
และพระวหิ ารตรีมุข ก่ออิฐถอื ปูนมีลาดบวั สงู ๑.๐๐ เมตร กวา้ ง ๓๕.๐๐
เมตร ยาว ๘๑.๐๐ เมตร
๖. ศาลาการเปรียญ กว้าง ๙.๐๐ เมตร ยาว ๑๘.๐๐ เมตร ผนงั
ทั้งส่ีด้านกอ่ อิฐถอื ปนู มปี ระตหู นา้ ต่างโดยรอบ เสาใช้ไม้เต็งรงั พื้นเครื่องบน
ฝาและเพดานใชไ้ มส้ กั ลว้ น หลงั คามงุ ดว้ ยกระเบอ้ื งแบบโบราณ ประกอบดว้ ย
ช่อฟา้ ใบระกา หางหงส์ ด้านหนา้ และดา้ นหลังของศาลาการเปรียญ มีแทน่
ฐานกอ่ อฐิ ถอื ปนู รองรบั บนั ไดกวา้ งดา้ นละ ๓.๕๐ เมตร ยาวดา้ นละ ๘.๐๐ เมตร
พนื้ ปดู ว้ ยหนิ ออ่ น กรงกอ่ อฐิ ถอื ปนู ประดบั ดว้ ยกระเบอื้ งเคลอื บตาขา่ ยแบบจนี
๗. กุฏแิ บบสถาปัตยกรรมไทย ๒ หลงั กวา้ ง ๖.๕๐ เมตร ยาว
๘.๕๐ เมตร เสาไม้เต็งรงั พน้ื ฝา ฝา้ และเพดานไมส้ กั หลังคา มงุ กระเบือ้ ง
แบบโบราณ
๘. แทน่ ฐานพระศรมี หาโพธ์ิ และแทน่ ฐานอชั ปาลนโิ ครธ รวม ๒ ฐาน
อยา่ งละตน้ ก่ออฐิ ถอื ปนู สงู ๑.๐๐ เมตร กวา้ ง ยาว ด้านละ ๑๑.๐๐ เมตร
๙. ศาลาทา่ น�้ำหนา้ วดั ริมแมน่ ้�ำลพบรุ ี กว้าง ๖.๐๐ เมตร ยาว
๑๑.๕๐ เมตร เป็นคอนกรีตเสรมิ เหล็ก
๑๐. ตามแนวถนนจากหนา้ พระอโุ บสถถงึ ศาลาทา่ นำ�้ มศี าลารายตาม
แนวถนนสร้างไว้เปน็ ระยะ ระยะละ ๒ หลงั กว้างหลังละ ๓.๐๐ เมตร ยาว
๖.๐๐ เมตร กอ่ อิฐถือปนู หลังคามุงกระเบื้องแบบโบราณ
นอกจากพระอุโบสถ พระสถูปเจดยี ์ พระวิหารตรมี ขุ และเสนาสนะ
ถาวรวตั ถทุ ่ีไดท้ รงสรา้ งอยา่ งเหมาะสมสวยงาม ดว้ ยศิลปะฝีมือชา่ งอยา่ ง
ประณตี แลว้ พระองคท์ า่ นยงั ไดท้ รงสรา้ งพระพทุ ธรปู พระประธานในพระอโุ บสถ
และพระพุทธรปู ปางต่างๆ ไว้เปน็ พุทธบูชาอกี หลายองค์ ได้แก่

138 139

พระประธานในพระอุโบสถ พระสารบี ุตรและพระมหาโมคคลั ลาน์ พระอัครสาวกขององคพ์ ระประธาน เจ้าอาวาสวดั นจี้ งึ ไดร้ ายงานมายังปลัดทลู ฉลองกระทรวงธรรมการ เพ่อื ขอให้
น�ำความขึ้นทูลพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว ขอพระบารมเี ปน็
๑. พระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพทุ ธรปู ปางสมาธิหลอ่ ด้วย ที่พึง่ แลว้ ได้เปดิ การเรีย่ ไรข้นึ เพื่อหาเงนิ สมทบในการซอ่ มกฏุ ิ ศาลาและ
โลหะลงรกั ปดิ ทอง หนา้ ตกั กวา้ ง ๑.๐๐ เมตร สงู ตลอดยอดพระรศั มี ๑.๖๐ เมตร เสนาสนะอ่ืนๆ ในวัดดว้ ย
ประดิษฐานเหนือแทน่ ฐานหินอ่อน ภายใตเ้ รือนแกว้ ท�ำเป็นรูปพระมหามาลา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั โปรดใหช้ ่วยเหลือใน
เมือ่ พ.ศ. ๒๕๐๐ มีผู้ลกั ลอบตัดพระเศียรพระพุทธรปู องค์น้ีไป กรมศลิ ปากร การซ่อมพระอโุ บสถและพระวิหารทแ่ี ตกร้าวให้คนื ดดี งั เดิม สว่ นเสนาสนะ
จึงได้หล่อพระเศียรใหม่ให้มีรูปลักษณ์เหมือนพระเศียรเดิมและได้ประกอบพิธี อน่ื น้นั พระปรยิ ัติวงศาจารย์ ไดท้ �ำการบรู ณปฏิสังขรณ์ เรอ่ื ยมาต้ังแต่ พ.ศ.
เจริญพระพุทธมนต์ สวดพทุ ธาภิเษก เป็นการสมโภชฉลองพร้อมกับงาน ๒๔๔๔ - ๒๔๕๑ เปน็ เวลา ๘ ปี
พระกฐินพระราชทาน ในปี ๒๕๐๒ วดั บรมวงศน์ ้ปี รากฏในจดหมายเหตพุ ระราชกิจรายวัน ของ ร.๕ ว่า
๒. รูปพระอัครสาวกเบ้ืองขวา คอื พระสารีบุตร พระอคั รสาวก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพระราชทานพระกฐิน
เบือ้ งซ้าย คือ พระมหาโมคคลั ลาน์ ในลกั ษณะนัง่ คุกเขา่ หลอ่ ด้วยโลหะลงรัก หลายคราวโดยเสด็จดว้ ยเรือพระที่นง่ั ไปจากพระราชวังบางปะอนิ บา้ ง และ
ปดิ ทอง ทั้ง ๒ องค์ ขนาดกวา้ ง ๔๕ เซนตเิ มตร สงู ๙๐ เซนตเิ มตร เสด็จตรงไปจากกรงุ เทพฯ บา้ ง การเสด็จไปพระราชทานกฐนิ ในคร้ังนั้น มี
๓. พระพทุ ธรปู หลอ่ ในลกั ษณะทา่ ยนื ปางประทานพร สงู ๒.๗๕ เมตร ขบวนตามเสด็จมากมาย มที ง้ั ฝ่ายนอกฝา่ ยในและเมื่อพระราชทานพระกฐนิ
ประดิษฐานบนแทน่ หนิ ออ่ น ในพระวหิ ารตรมี ขุ ดา้ นทศิ ใต้ เสร็จแล้วก็เลยเสด็จประพาสตามแม่น้�ำลำ� คลองตา่ งๆ ในพระนครศรอี ยธุ ยา
๔. พระพทุ ธรปู หลอ่ ในลกั ษณะทา่ ยนื ปางหา้ มสมทุ ร สงู ๑.๘๐ เมตร เปน็ ทสี่ ำ� ราญพระราชหฤทยั
ประดิษฐานบนแทน่ มีค�ำจารกึ ประวตั ิการสรา้ งไวบ้ นแผ่นหินออ่ นติดอยู่ที่ วดั บรมวงศ์อศิ รวรารามวรวหิ าร จึงเป็นอนุสรณข์ องสมเดจ็ พระเจา้
แทน่ ฐาน ในพระวหิ ารตรมี ขุ ดา้ นทศิ เหนอื ภายใตบ้ ษุ บกจำ� หลกั ลวดลายศลิ ปะ บรมวงศ์เธอเจ้าฟา้ มหามาลา กรมพระยาบ�ำราบปรปกั ษ์ ตน้ ราชสกุล มาลากุล
และลงรักปดิ ทองประดับกระจก
ครั้น พ.ศ. ๒๔๔๔ หลังจากสมเดจ็ ฯ กรมพระยาบำ� ราบปรปักษ์ พระพทุ ธรปู หลอ่ ปางประทานพร
สน้ิ พระชนมแ์ ลว้ ๑๕ ปี ผนงั วหิ ารดา้ นใตท้ รดุ แยกออกประมาณ ๘ เซนตเิ มตร
พน้ื พระอโุ บสถแยกออกประมาณ ๑๒ เซนตเิ มตร และฝาผนงั พระอโุ บสถดา้ น ราชสกลุ มาลากลุ พระพุทธรูปปางตา่ งๆ ภายในพระวหิ ารตรีมขุ พระญาณไตรโลก (สมคิด ป.ธ.๔)
ทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ ไดแ้ ยกออกประมาณ ๓ เซนตเิ มตร พระปรยิ ตั วิ งศาจารย์

140 141
สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร เสดจ็ พระราชดำ�เนนิ
วัดชจู ิตธรรมาราม ไปทรงเปดิ อาคารเรียน วันท่ี ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ และในปเี ดยี วกันน้ี
โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามาภิไธยเป็นนามวิทยาลยั สงฆ์วังน้อยวา่
วัดชูจิตธรรมารามเป็นวัดที่ได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวง มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย กบั พระราชทานอกั ษรพระนามาภไิ ธยยอ่ ว่า
ชนดิ สามญั วดั ลา่ สดุ ของจงั หวดั เพระนครศรอี ยธุ ยา เนอ่ื งในโอกาสมหามงคล มวก. และ พุทธสภุ าษติ วา่ วชริ ปู มจติ โฺ ตสิยา (พึงเปน็ ผูม้ จี ติ แกร่งประดจุ เพชร)
เฉลมิ พระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ของพระบาทสมเดจ็ เมื่อพระภิกษุสามเณรอยู่จำ�พรรษาเป็นจำ�นวนมาก คณะผู้บริหาร
พระเจา้ อย่หู ัวภมู พิ ลอดลุ ยเดช และเป็นพระอารามสำ�หรับจำ�พรรษาของ พิจารณาเห็นว่า ควรทจี่ ะดำ�เนนิ ขออนุญาตสรา้ งวัด และได้รับอนญุ าต เม่ือ
ภกิ ษุสามเณร ท่เี ขา้ มาศึกษาในมหาวชิราลงกรณราชวทิ ยาลัย วนั ท่ี ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐ มชี อ่ื วา่ วดั ชจู ติ ธรรมาราม เพอ่ื เปน็ เกยี รติ
ในปี ๒๕๑๓ นายฉบับ นางสงวน ชูจิตารมย์ ได้ถวายที่ดินจำ�นวน แกผ่ ู้ถวายทีด่ นิ
๑๘๕ ไร่ ทอ่ี ำ�เภอวงั นอ้ ย จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา แดส่ มเดจ็ พระอรยิ วงศา- ตอ่ มานางสงวน ชจู ติ ารมย์ ไดน้ ำ�เงนิ ขน้ึ ทลู เกลา้ ฯ ถวายแดพ่ ระบาท
คตญาณ สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปรนิ ายก (จวน อฎุ ฺฐาย)ี วดั มกุฏ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ จำ�นวนหนง่ึ เพอ่ื พระราชทานใหส้ รา้ งอโุ บสถจงึ กราบทลู
กษัตริยารามราชวรวหิ าร กรุงเทพมหานคร ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ทา่ น สมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรนิ ายก
เจ้าพระคณุ สมเด็จพระญาณสังวร วดั บวรนเิ วศวหิ ารราชวรวิหาร (สมณศกั ด์ิ (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพธิ สถิตมหาสมี ารามราชวรวหิ าร กรงุ เทพมหานคร
ขณะนน้ั ) ทรงวางเสาเอก เรม่ิ กอ่ สรา้ งสถานศึกษา เป็นวิทยาลัยสงฆ์ เรียกวา่ เสด็จทรงวางศิลาฤกษ์อุโบสถ เม่อื วนั ที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๕
วิทยาลัยสงฆ์วังน้อย ตอ่ จากนน้ั ไดท้ ำ�การกอ่ สรา้ งอโุ บสถและไดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสมี า
วันท่ี ๒๙ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๑๘ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม ปี ๒๕๒๕ สมเดจ็ พระญาณวโรดมวดั เทพศริ นิ ราวาสราชวรวหิ าร กรงุ เทพมหานคร
ราชนิ ีนาถ ไดเ้ สด็จพระราชดำ�เนนิ ไปทรงวางศลิ าฤกษอ์ าคารเรยี นถาวรและ รกั ษาการเจา้ อาวาสต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมา ถึงปัจจบุ นั
ดำ�เนนิ การกอ่ สร้างและก่อสร้างเสรจ็ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ จากนัน้ เริ่มกอ่ สรา้ ง ปชู นยี สถานและถาวรวัตถุทส่ี ำ�คัญ
ที่พกั กฏุ ิอาจารย์ โรงครวั เป็นการถาวรตามลำ�ดับ วัดชูจิตธรรมมารามเปน็ วัดท่สี รา้ งใหม่ แตก่ ารออกแบบการกอ่ สรา้ ง
อาคาร ทง้ั ภายในและภายนอกก็มคี วามสวยงาม ทั้งดา้ นศลิ ปะ
สถานทส่ี ำ�คญั ไดแ้ ก่ พระอโุ บสถสรา้ งทรงสมยั ใหม่ พระประธานภายใน
พระอโุ บสถ ปางสมาธิ อนุสาวรยี ส์ มเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรนิ ายก
(จวน อฎุ ฐายีมหาเถร) ตำ�หนกั หมอ่ มเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกลุ อาคารสันดิ-
พพิ ฒั น์พงศ์
วดั ชูจติ ธรรมาราม มีวัตถปุ ระสงค์ในการก่อตัง้ วดั คอื
๑. เพือ่ เปน็ สถาบนั การศึกษาช้นั สูงของคณะสงฆ์
๒. เพื่อเป็นสถานท่ีพกั อาศยั เล่าเรยี นของพระภกิ ษุ – สามเณร
๓. เพ่ือเป็นสถานที่พักอาศัยเล่าเรียนวิชาการทางพระพุทธศาสนา
ของชาวไทยและต่างประเทศ
๔. เพ่ือเป็นศูนย์กลางการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการชั้นสูงเกี่ยวกับ
พระพุทธศาสนา
๕. เพอ่ื เป็นสถานท่ีอบรมในด้านการปฏิบตั ิธรรม
๖. เพ่ือเป็นสถานท่ีศึกษาฝึกอบรมพระภิกษุผู้จะปฏิบัติศาสนกิจใน
ระดบั สูง

143

พระนครศรีอยธุ ยา
ในปจั จุบัน

พระนครศรอี ยธุ ยาในอดตี เปน็ ทตี่ ง้ั ของกรงุ ศรอี ยธุ ยาราชธานขี องไทย
เปน็ เวลายาวนานถึง ๔๑๗ ปี (พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐) ด้วยปัจจัยด้าน
ภมู -ิ รฐั ศาสตร์ คอื ตง้ั อยใู่ นทร่ี าบลมุ่ แมน่ ำ้� เจา้ พระยาอนั อดุ มสมบรู ณ์ ลอ้ มรอบ
ดว้ ยแมน่ ้�ำสามสาย คือ แม่น้�ำเจ้าพระยา แม่นำ้� ปา่ สัก และแม่น�้ำลพบรุ ี
อีกทั้งทต่ี ้ังราชธานอี ยใู่ กล้อา่ วไทย เมอ่ื ผนวกเขา้ กบั แสนยานุภาพทางด้าน
การทหาร สง่ ผลใหก้ รงุ ศรอี ยธุ ยาเจรญิ รงุ่ เรอื งในทกุ ๆ ดา้ นอยา่ งรวดเรว็ กลายเปน็
ศนู ยก์ ลางทางการเมอื งและการคา้ ทส่ี ำ� คญั ของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
จนถงึ ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ อาณาจักรอยุธยาได้เขา้ สู่ภาวะของ
ความเสอ่ื มถอยจนลม่ สลายลงใน พ.ศ. ๒๓๑๐ กรงุ ธนบรุ ี และกรงุ รตั นโกสนิ ทร์
ได้รบั การสถาปนาเป็นราชธานขี องไทยสบื ตอ่ มาจนถงึ ปจั จุบนั
พระนครศรีอยุธยาในปัจจุบันยังคงปรากฏร่องรอยความเจริญ
ทางด้านอารยธรรมอนั ย่งิ ใหญ่ งดงาม และทรงคุณค่าสะทอ้ นความสงา่ งาม
ของปราสาทราชวัง วัดวาอาราม ปอ้ มปราการ ตลอดจนวถิ ชี ีวิตของ
ชาวอยธุ ยาในอดตี
นครประวตั ศิ าสตรแ์ หง่ นี้ องคก์ ารการศกึ ษา วทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรม
แหง่ สหประชาชาติ (UNESCO) ไดย้ กย่องให้เป็น “มรดกโลกทางวัฒนธรรม”
The World Heritage” เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๔ นอกจากเปน็ แหลง่ มรดกโลก
ทางวฒั นธรรมแลว้ พระนครศรอี ยุธยายงั เปน็ แหล่งภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ท่ีได้รับ
การยอมรบั กันทั่วโลก ทง้ั ยงั เปน็ แหล่งเกษตรกรรมทส่ี ำ� คญั ของประเทศ
สมดังค�ำขวญั ของจงั หวัดวา่ ราชธานีเกา่ อขู่ า้ วอนู่ ำ้� เลิศลำ�้ กานทก์ วี
คนดศี รอี ยุธยา

144 145

สญั ลกั ษณ์ประจ�ำจังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา ศาลหลกั เมอื ง เนือ่ งในมหามงคลสมัยสมโภช
กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ๒๐๐ ปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๕
ตราประจำ� จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาไดด้ ำ� รใิ หส้ รา้ งศาลหลกั เมอื ง
ตราประจ�ำจังหวัดพระนครศรีอยุธยามาจากต�ำนานการสร้างเมือง ข้ึนใหม่ แทนศาลหลกั เมืองเกา่ ทีป่ รกั หักพงั สญู ไป
พระนครศรีอยธุ ยา เมอ่ื สมเด็จพระเจ้าอทู่ อง ทรงสถาปนากรงุ ศรอี ยธุ ยา เพอ่ื เปน็ สริ มิ งคลตามประเพณโี บราณทป่ี ฏบิ ตั สิ บื ทอด
ในพ้นื ทีบ่ ึงชขี ัน หรือ ตำ� บลหนองโสน พราหมณไ์ ด้ทำ� พิธกี ลบบาตรสมุ เพลิง กนั มา กรมศลิ ปากรเปน็ ผกู้ ำ� หนดภมู สิ ถาน ออกแบบ
(ชอื่ พธิ อี ยา่ งหนง่ึ ) เจา้ พนกั งานไดข้ ดุ พบสงั ขท์ กั ษณิ าวฏั สขี าวบรสิ ทุ ธใ์ิ ตต้ น้ หมนั และก่อสร้าง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จ
สมเดจ็ พระเจา้ อทู่ องจงึ ใหส้ รา้ งปราสาทนอ้ ยเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานหอยสงั ขด์ งั กลา่ ว พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรนิ ายก (วาสน์ วาสโน)
ทางราชการจงึ นำ� รปู หอยสังข์ประดษิ ฐานอยบู่ นพานแว่นฟ้า ภายในปราสาท เสดจ็ เป็นองคป์ ระธานฝ่ายสงฆ์
ใต้ต้นหมนั เป็นตราประจ�ำจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา
ธงประจ�ำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต้นโสนชอ่ื วิทยาศาสตร์วา่ SESBANIA ROXBURGHIMERR เปน็ ไม้พุ่มขนาดกลางเป็นไมเ้ นอื้ ออ่ น จดั อย่ใู นสกุลเดียวกับตน้ แค เป็น
ธงประจำ� จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาเปน็ ธงสเ่ี หลยี่ มผนื ผา้ แบง่ ออกเปน็ พืชท่ชี อบข้นึ บรเิ วณแหล่งน้ำ� ธรรมชาติ ใบโสนเป็นแบบใบประกอบคลา้ ยขนนก ดอกออกเป็นชอ่ สีเหลืองทองอร่าม ออกดอกมากในฤดูฝน
๓ แถบเทา่ ๆ กันมี ๒ สีคอื สฟี า้ และสีน้�ำเงิน โดยสีฟา้ อยตู่ รงกลาง ขนาบด้วย ดอกโสนจะบานตอนเยน็ จงึ ไมเ่ ป็นด่งั เพลงท่ีว่า “แมด่ อกโสนบานเชา้ ...”
สนี �ำ้ เงินทัง้ สองขา้ ง กลางธงมตี ราประจ�ำจังหวดั พระนครศรอี ยุธยาเปน็ ภาพ ในดา้ นคุณคา่ อาหาร ดอกโสนใชท้ �ำอาหารได้หลายอย่าง เช่น ลวกเปน็ ผักจ้ิมน้�ำพรกิ ผสมทำ� ไข่เจยี ว ชบุ แปง้ ทอด ผสมท�ำทอดมนั
ปราสาท ๓ หอ้ งอยูภ่ ายใตต้ น้ หมัน ภายในปราสาทมสี งั ข์ทักษิณาวัฏสขี าว ใสใ่ นแกงสม้ แกงจดื และยำ� หรือดองเกบ็ ไว้กนิ กบั นำ้� พริก และน�ำไปทำ� ขนมดอกโสนได้ ในกลบี ดอกมีสารสเี หลือง น�ำมาใชแ้ ต่งสี
ประดิษฐานอยู่บนพานแวน่ ฟ้า คนั ธงมแี ถบสเี หลืองและสฟี า้ ๒ แถบ ในขนมหลายชนิด เชน่ ขนมบวั ลอย ขนมข้หี นู ทง้ั นดี้ อกโสน ๑๐๐ กรมั จะมี แคลเซียม ๕๑ มิลลกิ รมั ฟอสฟอรสั ๕๖ มิลลิกรัม
ต้นไมป้ ระจ�ำจังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ธาตุเหล็ก ๘.๒ มลิ ลิกรัม วติ ามนิ เอ วิตามนิ ซี และมีเส้นใยอาหารสงู จึงดีตอ่ ล�ำไส้ ด้านสรรพคุณทางยา ดอกโสนชว่ ยสมานล�ำไส้
ตน้ ไมป้ ระจำ� จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาคอื ตน้ หมนั มชี อื่ ทางวทิ ยาศาสตร์ แกป้ วดมวนทอ้ ง และถอนพษิ ร้อนได้ ใบของโสนใช้ตำ� พอกแผลและแกป้ วดฝี ต้นมฤี ทธ์ิขบั ปสั สาวะ เมลด็ ใชเ้ ปน็ ยาช่วยให้ประจำ� เดือน
ว่า CODIA COCHIN CHINENSIS PIERRE วงศ์ EHRETIACEAE เป็นต้นไม้ มาปกติ และรากใช้แกร้ อ้ นในกระหายน้ำ�
ยืนตน้ ขนาดกลางสูงประมาณ ๕ - ๑๕ เมตร เปลอื กตน้ หนาสีเทาคลำ้� หรอื นอกจากนี้ ลำ� ตน้ ของตน้ โสนยงั สามารถนำ� มาประดษิ ฐเ์ ปน็ ดอกไม้ ใชป้ ระดบั ตกแตง่ แจกนั ดอกไม้ พวงหรดี งานศพ พวงมาลยั ไดอ้ กี ดว้ ย
เทาปนนำ�้ ตาลมีรอยแตกยาวไปตามลำ� ตน้ ใบเปน็ ใบเดยี่ วเรยี งสลับ แผน่ ใบ นับเปน็ พชื ทใ่ี ชป้ ระโยชนไ์ ด้ทุกสว่ น
รปู ไข่ ปลายใบหู่ โคนใบกวา้ งคลา้ ยรูปหวั ใจ ดอกสขี าว ผลเปน็ พวงสีเขียว
เมื่อสุกเปลือกเป็นสีชมพมู ขี องเหลวภายในเหนยี วมากห่อหมุ้ เมลด็ ไว้
ตน้ หมันชอบอากาศร้อนชืน้ สภาพดินเลน ถน่ิ กำ� เนิดอยู่บรเิ วณ
ป่าชายเลนที่ดินค่อนขา้ งแขง็ และชายฝัง่ ทะเลอ่าวไทย ขยายพนั ธ์ดุ ้วยเมลด็
ลูกหมันน�ำมาใช้อุดยาเรอื ไมใ่ หน้ ำ�้ ซึมตามรอ่ งไมข้ องตวั เรือ
ดอกไม้ประจำ� จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา
ดอกไมป้ ระจ�ำจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา คือ ดอกโสน มาจากการที่
สมเด็จพระรามาธิบดที ่ี ๑ (พระเจ้าอูท่ อง) ได้ทรงเลอื กชัยภมู ติ ง้ั พระราชวัง
ทต่ี ำ� บลดอกโสน ซงึ่ มีต้นโสนจ�ำนวนมาก ทางราชการจงึ ก�ำหนดให้ดอกโสน
เปน็ ดอกไมป้ ระจ�ำจังหวัดพระนครศรอี ยุธยา

146 147

การปกครองจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา ตารางแสดงข้อมูลขนาดพ้นื ท่ี จ�ำนวนประชากร และการปกครองจังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ปี ๒๕๕๖

ศาลากลางจงั หวดั หลังใหม่ การปกครองส่วนภูมภิ าค การปกครองส่วนท้องถิ่น

ในแผน่ ดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั พ.ศ. ๒๔๓๘ ล�ำดับ อ�ำเภอ พน้ื ที่ ประชากร ต�ำบล หมบู่ ้าน เทศบาล เทศบาล เทศบาล อบต.
พระนครศรีอยุธยามีฐานะเป็นเมืองหน่ึงที่สังกัดอยู่ในมณฑลกรุงเก่า นคร เมือง
(ประกอบดว้ ยพระนครศรอี ยธุ ยา อา่ งทอง สระบรุ ี ลพบรุ ี พรหมบรุ ี อินทรบ์ รุ ี ๑. พระนครศรีอยธุ ยา ๑๓๐.๕๗๙ ๑๓๙,๙๔๓
และสิงห์บรุ ี) โดยท่วี ่าการมณฑลตั้งอยู่ในเมืองพระนครศรอี ยธุ ยา ขา้ หลวง ๒ ท่าเรือ ๑๐๖.๑๘๙ ๔๗,๕๖๖ ๒๑ ๑๒๑ ๑ ๑ - ๑๓
มณฑลเทศาภบิ าลพระองคแ์ รก คอื พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมน่ื มรพุ งษ์ ๓ นครหลวง ๑๙๘.๙๑๙ ๓๖,๕๘๘
สริ พิ ฒั น์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั ) ต่อมา ๔ บางไทร ๑๕๐.๗๕๖ ๔๗,๖๗๙ ๑๐ ๘๔ - - ๒ ๙
พระยาโบราณราชธานนิ ทร์ (พร เดชะคุปต์) ไดด้ �ำรงตำ� แหน่งสมุหเทศบาล ๕ บางบาล ๙๑๙.๖๗๙ ๓๔,๕๑๒
มณฑลกรุงเก่า สืบต่อมา (จนถงึ พ.ศ. ๒๔๗๒) ใน พ.ศ. ๒๔๖๙ มณฑล ๖ บางปะอนิ ๑๓๕.๓๐๕ ๙๙,๒๙๑ ๑๒ ๗๔ - - ๒ ๖
กรงุ เก่าเปล่ยี นชอ่ื เปน็ มณฑลอยุธยา ๗ บางปะหนั ๑๒๑.๘๖๕ ๔๑,๖๓๒
รชั สมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั อยุธยามฐี านะ ๘ ผกั ไห่ ๒๒๙.๐๙๘ ๔๑,๘๙๕ ๒๓ ๑๓๖ - - ๒ ๙
เปน็ จงั หวดั หนึง่ ในมณฑลอยธุ ยา ภายหลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๙ ภาชี ๓๙.๐๘๗ ๓๐,๙๔๓
และประกาศใช้พระราชบญั ญตั กิ ารบรหิ ารราชการสว่ นภูมภิ าค พุทธศกั ราช ๑๐ ลาดบวั หลวง ๑๘๙.๐๐๘ ๓๑,๗๓๕ ๑๖ ๑๑๑ - - ๒ ๔
๒๔๗๖ อยุธยาจึงมีฐานะเป็นจังหวดั พระนครศรีอยุธยาจนถงึ ปจั จุบันนี้ ๑๑ วังน้อย ๑๐๔.๕๐๘ ๖๙,๘๙๔
ปจั จุบัน จงั หวดั พระนครศรีอยุธยาแบ่งเขตปกครองส่วนภูมิภาค ๑๒ เสนา ๑๒๐.๑๕๙ ๗๓,๔๐๙ ๑๘ ๑๔๙ - - ๙ ๙
ออกเป็น ๑๖ อำ� เภอ ๒๐๙ ตำ� บล ๑,๔๕๙ หมู่บา้ น เทศบาล ๓๖ แห่ง ๑๓ บางซ้าย ๑๙๙.๙๒๘ ๑๙,๔๖๔
(เทศบาลนคร ๑ แห่ง เทศบาลเมอื ง ๔ แห่ง เทศบาลตำ� บล ๓๑ แหง่ ) และ ๑๔ อุทยั ๒๑๙.๑๙๑ ๔๙,๐๕๙ ๑๗ ๙๔ - - ๑ ๑๐
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบล ๒๑ แห่ง จำ� นวนประชากรทง้ั สนิ้ ๗๙๖,๒๗๙ คน ๑๕ มหาราช ๒๐๕.๕๖๗ ๒๓,๖๑๘
เปน็ ชาย ๓๘๒,๙๔๑ คน และหญิง ๔๑๐,๕๖๘ คน (พ.ศ. ๒๕๕๖) ดงั นี้ ๑๖ บ้านแพรก ๑๘๖.๘๐๒ ๙,๐๕๑ ๑๖ ๑๒๙ - ๑ ๑ ๘
๒,๕๕๖.๖๔ ๗๙๖,๒๗๙
รวม ๘ ๗๒ - - ๑ ๗

๗ ๕๘ - - ๒ ๖

๑๐ ๖๘ - ๑ - ๙

๑๗ ๑๑๘ - ๑ ๔ ๙

๖ ๕๓ - - ๑ ๔

๑๑ ๑๐๗ - - ๑ ๑๑

๑๒ ๕๘ - - ๒ ๕

๕ ๒๗ - - ๑ ๒

๒๐๙ ๑,๔๕๙ ๑ ๔ ๓๑ ๑๒๑

ท่มี า : สำ� นกั งานสง่ เสรมิ การปกครองทอ้ งถ่ินจงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา และกรมการปกครอง วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖

รา้ นอาหารยามเช้าของชาวพระนครศรีอยุธยา
ตลาดหัวรอ ตลาดเจา้ พรหม และตลาดคลองถม

148 149
ปัจจุบันพระนครศรีอยุธยายังเป็นแหล่งปลูกข้าวส�ำคัญของประเทศ
แผนท่แี สดงเขตปกครอง แม้วา่ พ้นื ที่ทางเกษตรจะมแี นวโนม้ ลดลง พ้ืนที่ทางเกษตรส่วนใหญใ่ ชใ้ นการ
และอาณาเขตตดิ ตอ่ จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา ปลกู ข้าว นอกน้ันเป็นพชื ไร่อน่ื ๆ เชน่ มะม่วง ส้มเขียวหวาน กล้วยน้ำ� วา้
พืชผกั และไมด้ อกไมป้ ระดบั รองลงมาคือการเลีย้ งสตั ว์ สัตว์เศรษฐกจิ ได้แก่
เศรษฐกิจจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปด็ สกุ ร โค กระบอื และการประมงนำ้� จืด เช่น การเลย้ี งปลาและกุ้ง ทัง้ ใน
พระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง บอ่ รอ่ งสวน นาขา้ ว กระชัง และการเล้ยี งแบบผสมผสาน
เนื่องจากมที ีต่ ง้ั เหมาะสมสามารถติดตอ่ ไปยงั ภูมภิ าคอนื่ ๆ ของประเทศได้ อย่างไรก็ตามสาขาการผลิตที่ส�ำคัญและท�ำรายได้เป็นอันดับหน่ึง
สะดวกและรวดเรว็ ต้ังอยู่ใกล้กรงุ เทพมหานครและปริมณฑล ซง่ึ เป็นแหลง่ คอื สาขาอุตสาหกรรม รองลงมาคอื การค้าสง่ การค้าปลกี และสาขา
ทตี่ งั้ ของสนามบนิ และทา่ เรอื สามารถสง่ สนิ คา้ ไปจำ� หนา่ ยตา่ งประเทศไดส้ ะดวก เกษตรกรรม ผลิตภัณฑม์ วลรวมของจังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา (GPP)
จึงมีความเหมาะสมท่ีจะเป็นสถานประกอบการเพ่ือการส่งออกอย่างมาก ปี ๒๕๕๐ เปน็ อันดับ ๓ ของประเทศ รายได้เฉลยี่ ๔๓๒,๐๘๐ บาท/คน/ปี
นอกจากนี้จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยามพี ้นื ท่ีดินอุดมสมบูรณ์ ลกั ษณะของดนิ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยามีนคิ มอุตสาหกรรม ๓ แห่ง ได้แก่
สว่ นใหญ่เปน็ ดนิ เหนยี ว และมแี หลง่ นำ้� พอเพียงท้งั แหล่งน�้ำธรรมชาติ และ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอนิ นคิ มอตุ สาหกรรมบา้ นหว้า (ไฮเทค) และ
ระบบชลประทาน เป็นจังหวัดทม่ี ีโครงสร้างพ้นื ฐานพรอ้ มสำ� หรับการลงทนุ นคิ มอตุ สาหกรรมสหรตั นนคร มเี ขตประกอบอตุ สาหกรรม ๒ แหง่ ไดแ้ ก่ เขต
จากต่างประเทศ เป็นแหล่งท่รี วมของพลงั งานไฟฟ้า ผลผลติ การเกษตร ประกอบอตุ สาหกรรมแฟคเตอรแ่ี ลนดว์ งั นอ้ ย และเขตสวนอตุ สาหกรรมโรจนะ
ศูนย์ขนถ่ายแก๊สและน้�ำมันทางทอ่ ศนู ย์การนำ� เข้าและสง่ ออกสินค้าและ อตุ สาหกรรมการผลติ ๕ อนั ดบั แรกไดแ้ ก่ การผลติ เสอ้ื ผา้ และเครอื่ งแตง่ กาย
วตั ถดุ บิ ระหวา่ งประเทศเพอ่ื นบา้ น และศนู ยก์ ลางการคมนาคมระหวา่ งภมู ภิ าค การผลติ ผลติ ภณั ฑจ์ ากแร่อโลหะ การผลติ ผลิตภัณฑโ์ ลหะประดษิ ฐ์ การผลติ
ตา่ งๆ ผลติ ภณั ฑอ์ น่ื ๆ การผลติ ไมแ้ ละผลติ ภณั ฑจ์ ากไมแ้ ละไมก้ อ๊ ก (ยกเวน้ เฟอรน์ เิ จอร)์
และการผลิตสง่ิ ของจากฟางและวสั ดุจกั สานอน่ื ๆ

สินคา้ OTOP
ของฝากจาก
จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา

ภาพรวมเศรษฐกิจของจงั หวัดพระนครศรีอยุธยา

150 151
สังคมและวฒั นธรรม จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ทางรถยนต์ สมัยสมเด็จพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว
ประชากรสว่ นใหญข่ องจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา เมือ่ คร้ังปฏริ ูปการปกครองและจดั ตั้งมณฑลกรุงเกา่ ขนึ้ ได้มกี ารสร้างถนน
รอ้ ยละ ๙๕.๓ รองลงมานบั ถือศาสนาอสิ ลามรอ้ ยละ ๔.๓ ศาสนาคริสต์ รอบเมืองตดิ ต่อระหวา่ งสว่ นราชการตา่ งๆ จนถงึ ภายหลงั การเปล่ยี นแปลง
รอ้ ยละ ๐.๓ และศาสนาอน่ื ๆ ร้อยละ ๐.๑ การปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เปน็ ตน้ มา ทางราชการไดอ้ นุญาตให้ราษฎร
ประชากรสว่ นใหญท่ ี่อาศยั อยู่ในจงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ร้อยละ เขา้ ไปตง้ั บา้ นเรอื นอย่อู าศยั ท�ำมาหากินภายในเกาะเมือง จึงมีการสรา้ งถนน
๙๗.๗ เปน็ ผมู้ สี ญั ชาตไิ ทย รองลงมาเปน็ สญั ชาติพมา่ รอ้ ยละ ๑.๐ สัญชาติ เปน็ เครอื ขา่ ยหลายสาย รวมทงั้ สร้างสะพานข้ามแมน่ �้ำปา่ สกั คอื สะพาน
กมั พูชาร้อยละ ๐.๕ สัญชาตลิ าวร้อยละ ๐.๓ สัญชาตญิ ีป่ ุน่ รอ้ ยละ ๐.๒ ปรีด-ี ธ�ำรง เชอื่ มเกาะเมอื งกับพน้ื ทีด่ า้ นนอก แลว้ สรา้ งถนนเชอ่ื มตอ่ ถงึ ถนน
และทีเ่ หลอื เป็นผู้มสี ญั ชาติอนื่ ๆ ร้อยละ ๐.๓ พหลโยธนิ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑) ระยะทางระหวา่ งอยุธยา-วังน้อย-
ประชากรสว่ นใหญท่ ำ� งานนอกภาคเกษตรกรรม รอ้ ยละ ๘๖.๙ และ กรงุ เทพฯ ประมาณ ๘๐ กโิ ลเมตร นบั แตน่ นั้ เปน็ ตน้ มาจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา
ทำ� งานในภาคเกษตรกรรมรอ้ ยละ ๑๓.๑ โดยสว่ นใหญท่ ำ� งานในสาขาการผลติ กส็ ามารถตดิ ต่อกับพ้นื ท่ภี ายนอกไดโ้ ดยสะดวก
คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๔๙.๓ (สว่ นใหญท่ ำ� งานในฐานะลกู จา้ ง ทง้ั ลกู จา้ งรฐั บาล ลกู จา้ ง ตอ่ มาได้มกี ารสร้างถนนสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข ๓๒) ผา่ น
รฐั วิสาหกิจ และลูกจ้างเอกชน) รองลงมาคอื การขายสง่ และขายปลกี จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ทำ� ให้การเดินทางติดตอ่ ระหว่างอยุธยา-กรงุ เทพฯ
และงานบริการดา้ นทพี่ กั ด้านอาหาร และบรกิ ารดา้ นอนื่ ๆ สะดวกรวดเร็ว ปัจจบุ ันได้มีการสร้างสะพานขา้ มแมน่ ้�ำป่าสักเพิม่ ขน้ึ อีก
การคมนาคมทางบก ท้งั เส้นทางขาเข้าและขาออกตัวเมืองจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา คือ สะพาน
การคมนาคมทางบกของจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา มดี งั น้ี สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชคู่ขนานไปกบั สะพานปรีด-ี ธ�ำรง
ทางรถไฟ เส้นทางคมนาคมทางบกจากกรงุ เทพฯ ถึงจงั หวัดพระ- การคมนาคมทางนำ�้ ในปจั จบุ นั การคมนาคมทางนำ้� สว่ นใหญใ่ ชส้ ำ� หรบั
นครศรอี ยุธยาที่ทันสมยั สายแรก คอื เสน้ ทางรถไฟ ซงึ่ พระบาทสมเดจ็ พระ- การขนสง่ ผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรม และเพ่อื ใหน้ กั ทอ่ งเที่ยว
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งขน้ึ และเปดิ เสน้ ทาง เยย่ี มชมทศั นยี ภาพรมิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ นอกนน้ั มกั ใชภ้ ายในจงั หวดั สำ� หรบั ชมุ ชนทตี่ ง้ั
เดินรถมาตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๓๙ ระยะทางจากกรงุ เทพฯ-อยุธยา ประมาณ ๗๒ ถิ่นฐานรมิ แมน่ �้ำและล�ำคลองต่างๆ
กิโลเมตร ปจั จุบันทางรถไฟที่ผา่ นจังหวัดพระนครศรอี ยุธยามี ๒ สาย คือ
สายเหนอื และสายตะวนั ออกเฉยี งเหนอื โดยผ่านเขา้ มาที่อ�ำเภอบางปะอิน ภาพรวมการคมนาคมทางบก และทางนำ้�
พระนครศรอี ยธุ ยาแลว้ ไปแยกจากกนั ทอ่ี ำ� เภอภาชตี รง “สถานชี มุ ทางบา้ นภาช”ี

นกั ทอ่ งเทยี่ วชาวตา่ งชาติใชบ้ ริการจากการรถไฟ อยุธยา - กรุงเทพมหานคร

152 153
อำ� เภอบางไทร
คำ� ขวัญของอำ� เภอตา่ งๆ ในจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ศลิ ปาชีพเรืองช่ือ
เล่ืองลือหลวงพอ่ จง
อ�ำเภอพระนครศรีอยุธยา มนั่ คงหลวงพ่อนอ้ ย
เมืองหลวงเกา่ รอคอยท่ีลานเท
ชนเผา่ โบราณ
อำ� เภอบางบาล
สบื สานงานท้องถนิ่ อฐิ แกรง่
แผน่ ดินมรดกโลก
แหล่งดนตรไี ทย
อำ� เภอทา่ เรือ เลอ่ื มใสหลวงพ่อขนั
ถิ่นก�ำเนดิ หลวงพอ่ โต ผลิตภัณฑ์ก้านธูป

แดนตะโกดัดงาม อำ� เภอบางปะหัน
เยน็ สายนำ้� นามปา่ สกั งอบสวยวจิ ติ ร
ววิ สวยนกั เข่อื นพระรามหก อิฐทนทาน
มันเทศหอมหวาน
อ�ำเภอนครหลวง งามตระการบา้ นทรงไทย
อรญั ญกิ มดี ดี เมืองชยั พระเจ้าตาก

มีปราสาทสวรรค์ อ�ำเภอบางปะอิน
พระจนั ทรล์ อย พระราชวังเลศิ ล�้ำ
หลวงพอ่ ดำ� คูเ่ มือง
อำ� เภอบางซ้าย รงุ่ เรืองอตุ สาหกรรม
บางซา้ ยถ่นิ ทงุ่ ทอง มศี ีลธรรมชาวบางปะอิน
เรอื งรองพนั ธ์ไุ ม้ผล

ชีวิตรมิ สายชล
มากลน้ แหล่งพันธ์ปุ ลา

154 155
อำ� เภอบา้ นแพรก อ�ำเภอลาดบัวหลวง
เมืองเกษตรปลอดภยั
หลวงพ่อเขยี ว ใหอ้ าหารข้าวทางใบเลื่องช่อื
หลวงพ่อขาว โอทอปขึ้นชนั้ บันลือ
หลวงพ่อเภาคู่บ้าน เขตร์น้คี อื เมืองคนดีศรีอยธุ ยา
พพิ ิธภัณฑ์ลือเลื่อง
รุ่งเรืองเกษตรกรรม อ�ำเภอวงั น้อย
เลิศล�้ำหตั ถศิลป์ เมืองขา้ วงาม
แผ่นดนิ ลเิ ก นามวังนอ้ ย
อ�ำเภอผกั ไห่ รอ้ ยพนั ศลิ ป์
วตั ถมุ งคลล�้ำค่า ดนิ แดนสงฆ์
วังมัจฉามากมี อ�ำเภอเสนา
ของดที �ำจากปลา เสนาตะกรา้ สาน
ในนามขี า้ ว หลวงพ่อปานคูเ่ มือง
เรอื งรองเจียระไน
อำ� เภอภาชี ใฝ่ใจแผน่ ดนิ ธรรม
ชุมทางรถไฟ
พระใหญต่ อนกลาง อำ� เภออุทัย
เห็ดฟางภาชี หลวงป่ดู คู่ ่บู ้าน
ของดหี ลวงพ่อรวย อนุสรณ์สถานพระเจา้ ตากสนิ
ทว่ั ถ่ินคนใจธรรมะ
อ�ำเภอมหาราช โรจนะแหล่งอุตสาหกรรม
มหาราชแขวงนครใหญ่
หลากหลายวฒั นธรรม

ล่มุ น�ำ้ สามสาย
แหลง่ ขายพรกิ มัน

จกั สานไมไ้ ผ่
ต�ำหนกั ไทยเจ้าปลุก

156

ศลิ ปะ วฒั นธรรม และ
ภมู ปิ ัญญาของชาวอยุธยา

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่บริเวณภาคกลางตอนล่างของ
ประเทศไทย เปน็ พืน้ ท่รี าบลุม่ อันอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารพืช ที่มากบั
ดนิ ตะกอนในยามฤดูน้ำ� หลาก เหมาะแก่การเพาะปลูก การมีแมน่ ้�ำไหลผ่าน
๔ สาย ได้แก่ แม่น้�ำเจ้าพระยา แมน่ �ำ้ ป่าสัก แม่น้�ำลพบุรี และแม่น้ำ� น้อย
เปน็ หวั ใจสำ� คญั ของชาวอยธุ ยาในการดำ� รงชวี ติ การเพาะปลกู เลยี้ งสตั ว์ และ
เสน้ ทางคมนาคมติดตอ่ กบั ภมู ิภาคทางตอนเหนือลงมา จนออกปากอ่าวไทย
สทู่ ะเล ท�ำให้เหมาะแกก่ ารเกษตรกรรม การประมง การค้าขายและการ
คมนาคม พระนครศรีอยธุ ยาจงึ ไดช้ ื่อวา่ “อู่ขา้ ว อู่นำ้� ” อยา่ งแทจ้ รงิ
จากสภาพท่ตี ้งั อดตี ทีเ่ คยเปน็ เมืองหลวงเกา่ ของไทย ทำ� ให้จงั หวัด
พระนครศรีอยธุ ยา ไดร้ บั การถา่ ยทอดศิลปวัฒนธรรม ประเพณี การ
ประกอบอาชีพบางอย่างมาถึงปัจจุบัน แตด่ ้วยการเปลย่ี นแปลงทางดา้ น
ภมู ปิ ระเทศ เศรษฐกจิ การเมือง ความเจริญกา้ วหน้าทางดา้ นวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ทำ� ให้วถิ ีชวี ิตของชาวพระนครศรอี ยุธยามกี ารเปลีย่ นแปลง
สง่ ผลต่อศลิ ปวฒั นธรรมและขนบธรรมเนยี ม ประเพณี

158 159
ในชัว่ อายุคนเม่อื ๕๐ กว่าปที ผ่ี ่านมา เมอ่ื มองไปในท้องทงุ่ ของ
ฤดูกาลทำ� นา เรายงั ไดเ้ ห็นการไถนาดว้ ยควาย การไถดะ ไถแปร ไถหว่าน เรอื นแพบรเิ วณหนา้ วดั มณฑปและปากคลองหวั รอ เรือนไทย
การท�ำขวญั ขา้ วตอนขา้ วตง้ั ท้อง การลงแขกเกีย่ วขา้ ว การรอ้ งเพลงระหวา่ ง ในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว
เกย่ี วข้าว การท�ำขวญั ข้าวหลงั เกบ็ เกี่ยว การกองขา้ วทีเ่ ป็นฟ่อนๆ เพอ่ื รอ ในสมัยนน้ั ท่ที ำ� การมณฑลกรงุ เก่าอยู่ที่พระราชวงั พระนครศรอี ยธุ ยา เปน็ ทร่ี าบลมุ่ มฝี นตกชกุ ช่วงฤดูร้อนอากาศ
การนวด (เรยี กวา่ ลอมขา้ ว) ซง่ึ ล้วนแต่เป็นภมู ปิ ญั ญาของชาวนาไทยท้ังสิน้ จนั ทรเกษม จงึ ทำ� ใหบ้ รเิ วณแหง่ นมี้ ผี คู้ นอยหู่ นาแนน่ ร้อนจัด มีแม่น้�ำล�ำคลองหลายสายเพื่อน�ำไปใช้ในการด�ำรงชีวิต การเกษตร
เมื่อมีการไถนา นกกระยางก็จะมาหากินปู ปลา หอย ในนา และการคมนาคม การปลูกเรอื นจึงนิยมปลูกบ้านติดแม่น�ำ้ ล�ำคลอง โดยหัน
ขนนกกระยางจะเปน็ ประโยชนก์ บั ผทู้ ท่ี ำ� พดั ขนนก กงุ้ เปน็ สตั วน์ ำ�้ จดื ทวี่ างไข่ ในเรือนแพเป็นแหลง่ คา้ ขายทางน�้ำที่ส�ำคัญ หนา้ เรอื นเขา้ สแู่ มน่ ำ้� เรอื นไทยโดยทว่ั ไป จะเปน็ เรอื นเครอ่ื งผกู เรอื นเครอ่ื งสบั
ในบรเิ วณนำ�้ กรอ่ ย แถวจงั หวดั สมทุ รปราการ เมอ่ื ออกจากไขก่ จ็ ะมาหากนิ อยู่ และเรือนแพ
บรเิ วณนำ้� จดื เรอื่ ยๆ มาถงึ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาเปน็ ชว่ งทกี่ งุ้ โตพอดี ทำ� ให้ เรอื นเคร่อื งผกู จะใช้ไมไ้ ผเ่ ปน็ หลักในการกอ่ สร้างท้งั หลัง หลงั คา
ชาวพระนครศรอี ยธุ ยา นำ� มาประกอบอาหารนานาชนดิ แปรรปู เปน็ ขา้ วเกรยี บกงุ้ มุงด้วยใบจากหรอื แฝก การยึดสว่ นตา่ งๆ ของเรอื น ใหต้ ดิ แน่นจะใชต้ อกหรือ
สว่ นในบรเิ วณโบราณสถานในเกาะเมอื ง จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยามตี น้ พทุ รามาก หวายเปน็ ตวั ยดึ
จงึ เกบ็ ผลมาทำ� พทุ ราเชอ่ื ม พทุ รากวน พทุ ราแผน่ ซงึ่ เมอ่ื กอ่ นนนั้ พดั ขนนก เรอื นเครอื่ งสบั เปน็ เรอื นไทยทพี่ ฒั นาการกอ่ สรา้ งจากเรอื นเครอื่ งผกู
ข้าวเกรียบกุ้ง พุทราเช่อื ม พทุ รากวน พทุ ราแผน่ ถอื ว่าเป็นของฝากทน่ี ยิ ม ด้วยการใช้ไมจ้ รงิ (ไม้เน้ือแข็ง) เป็นส่วนประกอบของเรือน นำ� เอาเทคโนโลยี
กันมาก ที่สถานีรถไฟอยธุ ยา นอกจากจะมีขา้ วผดั กุ้ง ขา้ วกบั กุง้ ต้มห่อด้วย การแปรรูปไม้ เช่น การใช้มีด ขวาน เลอ่ื ย สวิ่ กบค้อน มาปรับแตง่ ไม้ ดว้ ย
ใบบัว ขายคกู่ บั ขา้ วเกรียบกุ้ง อ้อยคว่นั กระจบั ตม้ ใส่ชะลอมเลก็ ๆ ส่ิงที่ การถากไม้ สับไม้ กลงึ ไม้ ในการทำ� เสาใหก้ ลม การยดึ ตดิ กันให้แนน่ จะใช้
กลา่ วมาปัจจุบนั นีไ้ ม่มแี ล้ว การเจาะรู สอดสลกั การเขา้ เดอื ย ทำ� เปน็ รอ่ ง เขา้ ลน้ิ จะประกอบแตล่ ะสว่ น
ศลิ ปะการแสดง มหรสพ ของจังหวดั พระนครศรอี ยุธยาทขี่ ้นึ ช่อื ใหส้ ำ� เรจ็ จากขา้ งล่างก่อน อาจเพราะมีความสะดวกในการทำ� การตกแตง่
ในยคุ กอ่ น ไดแ้ ก่ ลเิ ก ลำ� ตดั ละครชาตรี การละเลน่ พน้ื เมอื ง ซงึ่ แสดงในงาน ความสวยงาม แล้วนำ� มาประกอบเปน็ ตวั เรือน
เทศกาลต่างๆ ล้วนเปน็ ส่งิ ที่ประชาชนเตรียมตัว เตรยี มใจ รอคอยการเท่ียว เรอื นแพ เปน็ เรอื นเครอ่ื งผกู เรอื นเครอื่ งสบั ทล่ี อยอยไู่ ดเ้ พราะตงั้ อยู่
งานเทศกาลหรอื งานประจำ� ปขี องวดั เพราะจะได้แต่งตัวสวยไดอ้ อกจากบา้ น บนแพลูกบวบ (ใชไ้ ม้ไผห่ ลายสิบลำ� มามดั รวมกัน) แพหลังหนึ่งจะใช้ลูกบวบ
ไดพ้ บกับเพ่ือน คนรัก ไดช้ มการแสดง มหรสพ เป็นการผอ่ นคลายจากการ ก่ีแพข้ึนอยู่กับขนาดและการบรรทุกส่ิงของของแพน้ันๆ ต่อมาใช้โป๊ะไม้
ท�ำงานมาทั้งปี และไม่มีสถานท่ีพักผ่อนหยอ่ นใจอนื่ ๆ แตศ่ ิลปะการแสดงดัง เปน็ ท่นุ เพราะมีความคงทนไม่ผุงา่ ย เรอื นแพใชเ้ ปน็ ทงั้ ทพี่ กั อาศยั และค้าขาย
กลา่ วก�ำลงั จะหายไปเช่นกัน เพราะแมน่ ำ้� เป็นเส้นทางคมนาคมหลกั ในสมยั กอ่ นแมค้ นที่มาจากตา่ งเมอื ง
แมน่ ำ้� ยงั เปน็ ศนู ยก์ ลางการดำ� เนนิ ชวี ติ ของชาวจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา แลว้ เขา้ มาคา้ ขายในพระนครศรอี ยธุ ยา กน็ ยิ มสรา้ งเรอื นแพ เพราะไมต่ อ้ งมที ด่ี นิ
เห็นได้จากภาพถ่ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เปน็ ของตนเอง การล่องเรอื น�ำสินค้าไปขายยงั ตา่ งเมอื งกส็ ะดวก ในอดีตชาว
มีเรือนแพเป็นท่ีอยู่อาศัย เป็นร้านค้า มีการเดินทางด้วยเรือเพ่ือการติดต่อ พระนครศรีอยุธยาเป็นชาวน้�ำเพราะความผูกพันของคนพระนครศรีอยุธยา
การคา้ ขาย ตอ่ มาไดเ้ ปลยี่ นเปน็ การคา้ ขายบนบก แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามยา่ นการคา้ กบั สายนำ้� นน้ั แนบแนน่ จนแยกกนั ไมข่ าด
หรอื ตลาดทส่ี �ำคญั เช่น ตลาดหวั รอ ตลาดหวั แหลม ตลาดเจา้ พรหม ก็ยงั คง
ตั้งอยตู่ ดิ แมน่ ้ำ� สถานที่ราชการ กต็ ัง้ อยู่รมิ แมน่ ้�ำ มีทา่ เรอื ยนต์หลายแห่ง เรอื นแพท่าเรือแดง บรเิ วณหนา้ วดั มณฑป
บรเิ วณหน้าพระราชวังจันทรเกษม ถอื วา่ เป็นศูนยก์ ลางคมนาคมทางน�้ำของ และปากคลองหวั รอ ชว่ งปี พ.ศ. ๒๕๑๐ - พ.ศ. ๒๕๒๐
จังหวัดพระนครศรอี ยุธยาและจงั หวัดใกล้เคียงโดยมที ่าเรือเมล์แดง เมล์เขียว
เพื่อเข้าสู่กรุงเทพฯ ตอ่ ไป จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา
สง่ิ ทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ เปน็ เพยี งสว่ นหนง่ึ ของสงิ่ ทหี่ ายหรอื ก�ำลงั จะหายไป ท่ีมา : เรือนแพหน่งึ ในเรือนไทยท่ใี กล้สญู หาย
จากจงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา แต่สง่ิ ทก่ี �ำลงั จะกล่าวถงึ ตอ่ ไปนี้ “เปน็ อาชพี อ้างถึง http://ifwc.aru.ac.th/Submenu/
ท่เี กิดจากภูมปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ ท่ีจะหาย หรือจะอยู่ หรอื จะเปล่ยี นแปลง
ไปอย่างไร” ย่อมขึน้ อยู่กับอนุชนรนุ่ ปจั จบุ นั ที่จะมีบทบาทเกย่ี วข้องและให้ afCraftT.html เว็บภมู ิปัญญา
ค�ำตอบ ถงึ การอยู่ หายไป เปล่ยี นแปลง ของสิ่งต่างๆ เหล่าน้ี ในอนาคต
ไดด้ ที สี่ ดุ อนั จะเปน็ การเชดิ ชภู มู ปิ ญั ญาและอนรุ กั ษไ์ วค้ กู่ บั ชมุ ชนของตนตอ่ ไป

160 ๑. ปั้นลม ๑๓. อกเสา 161
ทีม่ าของภาพ http://student.nu.ac.th/wat-th/ ๒. จวั่ ๑๔. ฝาปะกน เรอื นใต้ถุนสงู ชาวพระนครศรอี ยธุ ยา นิยมปลูกเรือนอยูร่ มิ ฝ่งั แม่นำ้�
๓. อกไก่ ๑๕. กรอบเช็ดหน้า ลำ� คลอง เมอ่ื ฤดนู ำ้� หลากนำ้� จะไหลทว่ มบา้ นเรอื นจงึ ปลกู บา้ นชนั้ เดยี วใตถ้ นุ สงู
๔. แปลาน ๑๖. หลังคาซุ้มประตู เพื่อไม่ให้น�้ำท่วมตัวบ้าน ใต้ถุนสูงยังท�ำให้ลมผ่านได้สะดวก ช่วยให้แสง
๕. แปหัวเสา ๑๗. ฝาร้ัวชาน เข้าไปถึงในตัวบ้าน ในฤดูแล้งพ้ืนท่ีใต้เรือนยังใช้เป็นท่ีเก็บอุปกรณ์ในการ
๖. ลูกตง้ั ปะกน ๑๘. บันได ประกอบอาชพี ใชป้ ระกอบอตุ สาหกรรมในครวั เรอื น ทำ� ขนมตามเทศกาล เชน่
๗. ลกู ขัน้ ปะกน ๑๙. ชาน กวนขา้ วเหนยี วแดง กวนกาละแม กวนกระยาสารท หรอื ใชเ้ ปน็ ทพี่ กั ผอ่ นทเี่ ลน่
๘. เหงาป้ันลม ๒๐. ระเบียง ของเดก็ ๆ นอกจากนยี้ งั ใชเ้ ปน็ คอกควายเพอ่ื ใหค้ วายไดอ้ ยใู่ นรม่ และสามารถ
๙. สะพานหมู ๒๑. เสา ดแู ลความปลอดภยั จากโจร การยกใตถ้ นุ สงู นม้ี รี ะดบั ลดหลนั่ กนั พน้ื ระเบยี ง
๑๐. เชงิ ชาย ๒๒. รอด ลดจากพนื้ เรอื นใหญ่ พนื้ นอกชานลดจากระเบยี งอกี ชอ่ งวา่ งทล่ี ดหลนั่ เรยี กวา่
๑๑. หูชา้ ง ๒๓. ฐานเทา้ สิงห์ ชอ่ งแมวรอด จะปดิ ดว้ ยไมร้ ะแนงตเี วน้ ชอ่ งโปรง่ ชว่ ยใหล้ มพดั ผา่ นจากใตถ้ นุ
๑๒. บานหนา้ ตา่ ง ๒๔. หย่อง ข้ึนมาบนบ้านและยังสามารถมองลงมายังใต้ถุนช้ันล่างได้ ระดับท่ีลดหลั่น
สามารถเปน็ ที่นง่ั หอ้ ยเทา้ ได้
ลักษณะสว่ นตา่ งๆ ของบ้านไทย หลังคาทรงจวั่ สูงชายคาย่ืนยาว หลงั คาของเรอื นไทยเป็นแบบทรง
มนิลาใชไ้ ม้ทำ� โครงและใชจ้ าก แฝก หรอื กระเบ้ืองดนิ เผาเปน็ วัสดุมงุ หลงั คา
เรือนไทยนับว่าเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของการสร้างท่ีอยู่อาศัยที่มีมาตั้งแต่ วัสดเุ หล่านตี้ อ้ งใชว้ ิธมี งุ ตามระดบั ความลาดชัน น้ำ� ฝนจงึ จะไหลได้เรว็ ไมร่ ่วั
สมัยโบราณเพ่ือให้สามารถอย่รู ว่ มกับสภาพภมู ิอากาศ สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ การท�ำหลังคาทรงสูงน้ียังช่วยบรรเทาความร้อนที่ถ่ายเทลงมายังส่วนล่าง
วิถชี วี ติ ไดอ้ ย่างลงตวั โดยให้ธรรมชาติเขา้ มามีบทบาทในการท�ำให้เรือนเม่ืออยู่แล้ว ทำ� ใหท้ พ่ี กั อาศยั หลบั นอนเยน็ สบาย สำ� หรบั เรอื นครวั ทว่ั ไปตรงสว่ นของหนา้ จวั่
ทำ� ใหอ้ ยู่อย่างมคี วามสุข คนโบราณจงึ สรา้ งเรือนตามสภาพสง่ิ แวดลอ้ มทางธรรมชาติ ทัง้ ๒ ดา้ น ทำ� ชอ่ งระบายอากาศ และให้แสงรอดเขา้ มายงั ตวั บา้ นได้ โดยใช้
ไมส่ รา้ งแบบฝืนธรรมชาติ อนั กอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์ ดังน้ี ไมต้ ีเวน้ ชอ่ งหรอื ท�ำเปน็ รปู รศั มพี ระอาทติ ย์ การตอ่ เตมิ กนั สาดให้ยื่นออกจาก
ตัวเรอื นมากเพื่อกนั แดดส่องและฝนสาด
พ้นื ทโ่ี ล่ง เรือนไทยเปิดโลง่ จะแลเหน็ ได้ตัง้ แตช่ านหนา้ เรอื นซง่ึ เป็น
พนื้ ทีเ่ ปิดโล่งรบั ลม คนน่ังจากชานเรือนจะมองเห็นมุมกวา้ งทำ� ใหร้ ้สู ึกโลง่
โปรง่ ใจโปร่งตา ถดั จากชานเขา้ มาเปน็ ระเบยี งที่ใชร้ ับรองแขก จดั งานตาม
ประเพณนี ยิ มหรอื คตทิ างศาสนา เชน่ ทำ� บญุ เลยี้ งพระ โกนจกุ แตง่ งาน แลว้ ยงั
ใช้ในชวี ิตประจำ� วนั เชน่ ตากอาหารแห้ง ท่นี อน หมอนม้งุ และท่ีนอกชาน
มกั ใช้ปลูกไม้กระถาง ปลูกบวั ปลูกไม้ดดั บอนไซ กระถางทีใ่ ช้ปลกู มักใช้
กระถางลายครามหรือกระถางเคลือบจากจีน ได้ชมความงามของกระถาง
และตน้ ไม้ นำ้� จากอา่ งบวั หรอื การคายนำ้� ของพชื ทำ� ใหอ้ ากาศมคี วามชน้ื หายใจ
สะดวก บางแหง่ เจาะกลางนอกชาน ปลกู ไมต้ น้ ใหญอ่ าจเปน็ ไมห้ อมหรอื ไมผ้ ล
ซึ่งท�ำให้เกิดความร่มเย็น และยังได้ก๊าซออกซิเจน ตอนหัวค่�ำในฤดูร้อน
หรือคืนเดือนหงายนอกชานบ้านเป็นที่รวมของสมาชิกในบ้าน มารวมตัว
นั่งพูดคยุ ถามทกุ ข์สขุ อบรมส่งั สอนบุตรหลานในเร่อื งกริยามารยาทต่างๆ
เชน่ เมื่อเดนิ ผา่ นผใู้ หญ่ไมก่ ้มหลงั กจ็ ะถกู ต�ำหนวิ า่ เป็นคนหลังแข็ง ผูใ้ หญ่
นัง่ แลว้ เดก็ ยนื อยู่ข้างหลงั กจ็ ะถูกตำ� หนิว่ายนื ค้ำ� หัวผใู้ หญ่ ผ้ใู หญ่คยุ กนั อยู่
แลว้ เดก็ พดู ขดั จงั หวะกจ็ ะถกู ตำ� หนวิ า่ พดู ไมร่ กู้ าลเทศะ มสี อนการอา่ น การเขยี น
การทอ่ งอาขยาน สอนเรอ่ื งอาชพี สดุ ทา้ ยกอ่ นนอนเดก็ ๆ กจ็ ะใหผ้ ใู้ หญเ่ ลา่ นทิ าน
ใหฟ้ งั เพอื่ เปน็ การแลกเปลย่ี นทเ่ี ดก็ ทำ� การบา้ น เขยี น อา่ น ทอ่ ง ใหผ้ ใู้ หญฟ่ งั แลว้
นทิ านท่ไี ดฟ้ ังกจ็ ะมขี ้อคิด ข้อสอนใจ ทุกครง้ั เรือนชานจึงเป็นแหล่งสร้าง
ความสัมพนั ธท์ ด่ี ีของครอบครัว ทำ� ใหเ้ กิดการเรียนรูร้ ะหว่างกนั

162 163

เรือนไทยภาคใต้ เรือนไทยภาคอสี าน พิธีกรรมในการปลูกเรือนไทย การปลูกเรอื นไทยทกุ ขั้นตอนจะมี
พธิ กี รรมตา่ งๆ รวมทงั้ ฤกษย์ ามในการปลกู เชน่ เดอื นทเ่ี รม่ิ ปลกู การสวดถอน
เรือนไทยภาคใต้ ทกี่ อ่ นปลกู เรอื น วนั ทข่ี ดุ หลมุ วนั ยกเสาเอก จะตอ้ งหาวนั ทเี่ ปน็ มงคล และมี
พธิ กี รรม ขอ้ หา้ ม เชน่ หา้ มปลกู เรอื นครอ่ มตอ เพราะตน้ ไมท้ ต่ี ดั เหลอื แตต่ อ
การเขา้ ล้ินสลัก เข้าเดือย เรอื นไทยไมใ่ ชต้ ะปูในการตอกยดึ จะใช้ ตอจะยงั ไมต่ าย อาจจะแตกยอดขนึ้ มาใหม่ เปน็ อนั ตรายกบั ตวั เรอื น การไมข่ ดุ
การเขา้ ลน้ิ การเขา้ เดอื ย การใชส้ ลกั เพอ่ื ใหส้ ว่ นประกอบของบา้ นยดึ ตดิ แนน่ กนั ตอออกก่อนปลูกบา้ นพื้นใตถ้ ุนบา้ นกจ็ ะไมเ่ รียบ ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ ท�ำให้
เพอ่ื ประกอบเปน็ เรือน ซ่ึงเทคนิคนช้ี ว่ ยให้การปลกู สรา้ งเสรจ็ เรว็ โครงสรา้ ง ขดุ เสาลำ� บากเพราะบางทไี ปโดนรากไม้ ตอไมเ้ มอื่ แหง้ อาจเปน็ ทอ่ี ยแู่ ละอาหาร
มีความแขง็ แรงและมคี วามยืดหยนุ่ สูง สามารถตา้ นทานแรงลมและฝนได้ดี ของปลวก ทำ� ใหป้ ลวกขนึ้ บา้ นได้ ถา้ ปลกู บา้ นแลว้ จงึ มาขดุ ออก จะขดุ ลำ� บาก
แถมยังไม่ต้องกังวลเร่ืองสนิมเหมือนบ้านในปัจจุบันท่ีใช้ตะปูเป็นตัวยึดเมื่อมี เมอ่ื ขุดออกแลว้ พ้นื ดินไมแ่ นน่ หา้ มปลูกเรอื นคร่อมบ่อน้�ำ สระน้�ำ ถงึ แม้จะ
การร้ือถอนก็จะงา่ ยไมม่ ีความเสียหายและรวดเร็ว ถมดินแลว้ อาจเปน็ เพราะดนิ ทถ่ี มใหมไ่ มแ่ นน่ ดนิ ในบอ่ เป็นดินเลน อาจมี
เสาสอบเข้าหากัน เพ่ือความมัน่ คงแขง็ แรงของโครงสรา้ ง รูปทรง การเลอื่ นไหลได้ ทำ� ใหบ้ า้ นทรดุ หรอื ลม้ ได้ หา้ มปลกู เรอื นครอ่ มทอ้ ง ถา้ บา้ นใด
สามเหลยี่ มมัน่ คง พืน้ ดนิ ภาคกลางคอ่ นขา้ งอ่อน การสอบเขา้ ของโครงสรา้ ง มีคนก�ำลงั ตั้งท้องห้ามปลูกเรือน อาจเพราะทำ� ใหค้ นท้องอยอู่ ย่างลำ� บาก
จงึ ท�ำใหม้ ีการคำ�้ ยนั ตา้ นแรงซง่ึ กันและกนั ของอกี ด้านหนงึ่ ได้ ขณะปลูกบ้าน หรอื อาจมีไมห้ รอื สิ่งของอ่นื วางกีดขวาง ถ้าเดินสะดดุ อาจ
ขยายตอ่ เชอ่ื มกันได้ เรือนไทยมีลักษณะเด่นคือการเชอ่ื มต่อกันเป็น เปน็ อันตรายตอ่ บตุ รในท้อง เป็นตน้ การหา้ มดงั กล่าวมักยกเรื่องความไมเ่ ป็น
เรือนหมู่ เมื่อลกู ชายหรอื ลูกสาวโตข้นึ และมีครอบครัวโดยตกลงว่าจะอยกู่ ับ สริ ิมงคลมาอา้ งเพราะคนจะเช่อื มากกว่าเหตผุ ลอื่นๆ
พ่อแมข่ องฝา่ ยใดฝ่ายหน่งึ แลว้ พอ่ แมจ่ ะปลกู เรอื นใหอ้ ยู่อีกหลังหนง่ึ ตา่ งหาก
อาจสร้างขน้ึ ตรงกันขา้ มกบั เรอื นพ่อแม่ โดยมีชานเป็นตวั เช่อื มเกิดเปน็ เรือน เรอื นไทยภาคอสี าน เรอื นไทยภาคอีสาน อนาคตของเรอื นไทย
หมขู่ น้ึ ทำ� ใหค้ รอบครวั อยใู่ กลก้ นั ลกู ยงั ชว่ ยดแู ลพอ่ แม่ ยามเจบ็ ไข้ ยามแกช่ รา เรอื นไทยภาคกลาง
สว่ นพ่อแม่ กช็ ว่ ยเลยี้ งดหู ลานเมื่อลูกๆ ต้องทำ� งาน แหลง่ ปรงุ เรอื นไทย อยทู่ อ่ี ำ� เภอบางปะหนั จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา
ครวั ไทย เรอื นครวั ไทยมกั มขี นาดใหญ่ โปรง่ ไมค่ อ่ ยอบอา้ วและไมม่ ี ซึ่งยังคงเป็นท่นี ิยมของกลมุ่ ผู้มีฐานะ ในการสรา้ งเรอื นไทยเป็นทอ่ี ยู่อาศัยหรือ
ปัญหาเรอ่ื งควนั รบกวน เพราะจ่วั จะท�ำเป็นรูปรัศมพี ระอาทิตย์ มีชอ่ งวา่ ง เป็นเรอื นรับรอง ปจั จบุ นั ผปู้ รุงเรอื นไทยขายหลายราย ยงั มงี านอย่างล้นมือ
พื้นจะใช้ไม้ขัดแตะหรือถ้าใช้ไม้จริงก็จะเว้นร่องไว้เทน้�ำ ส�ำหรับฝาเรือนครัว ไม่ไดร้ ับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกจิ ตกตำ่� เนอื่ งจาก
จะใชไ้ มไ้ ผเ่ หลาแลว้ มาขดั เปน็ ฝาบา้ น เรยี กวา่ ฝาสำ� หรวด ทำ� ใหร้ ะบายอากาศ ๑. กระแสความนยิ มอนุรักษไ์ ทยมเี พ่มิ ขน้ึ คนไทยหนั มาใชข้ องไทย
ควันไฟถ่ายเทออกจากห้องครัวทางฝาท่ีโปร่งโดยลมท่ีพัดขึ้นจากใต้ถุนบ้าน และดำ� รงชวี ิตแบบไทยๆ รวมท้งั การอยอู่ าศัยในบ้านเรือนไทย
ผ่านทางพ้ืนท่ีมีร่องระหว่างแผ่นไม้ทั้งยังท�ำให้อากาศและน�้ำระบายออกไป ๒. การซ่อมแซมบ้านเรือนไทยรวมท้ังกุฎิพระ ศาลาการเปรียญ
ไดด้ ดี ว้ ย แสงกจ็ ะเขา้ มาชว่ ยไมใ่ หใ้ นครวั มดื นอกจากนยี้ งั ใชเ้ ปน็ ทเ่ี กบ็ ปลาแหง้ ที่มีอายุมากแล้วช�ำรุด สามารถหาช่างซ่อมแซมส่ังซื้อหรือส่ังท�ำส่วนท่ีช�ำรุด
พรกิ แหง้ หอม กระเทยี มและเครอ่ื งใชท้ ที่ ำ� จากไมไ้ ผ่ โดยการแขวนไวท้ เี่ พดาน ได้งา่ ย
ของหอ้ ง ควนั ไฟจากการท�ำอาหารจะลอยข้นึ รม อาหาร ของใช้ ชว่ ยป้องกนั ๓. การปลกู เรอื นไทยทำ� ไดร้ วดเร็วข้ึน เนื่องจากทางผ้ปู รุงเรือนไทย
มด มอด แมลงอื่นๆ ที่จะมากัดกินอาหารหรือของใช้ท่ีท�ำจากไม้ไผ่ได้เป็น เมือ่ ยามไม่มีใครมาว่าจ้างท�ำอะไร เขาก็จะปรุงส่วนต่างๆ ของบ้านเรือนไทย
อย่างดี ไว้เป็นหลังๆ ซ่ึงแต่ละส่วนสามารถน�ำไปประกอบกันได้อย่างพอดี เมื่อมี
ผู้ต้องการเรือนไทยช่างกจ็ ะยกแต่ละส่วนทีท่ �ำไว้มาประกอบกนั
ปัจจุบันมีการน�ำเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการปรุงและปลูกสร้างบ้าน
เรือนไทย ซึ่งชน้ิ งานกไ็ มแ่ พ้ฝีมือคนเปน็ สว่ นหนง่ึ ทชี่ ่วยให้ชา่ งสามารถท�ำงาน
ไดเ้ รว็ และงานไมเ่ สยี หาย อยา่ งไรกต็ าม อนาคตของเรอื นไทย ขน้ึ อยกู่ บั ปจั จยั
ดังนี้

164 165
๑. ช่างช�ำนาญงานทางการปรุงเรอื นไทยหายาก ถึงจะมเี ครื่องจกั ร
เข้ามาชว่ ย แตค่ นท�ำกย็ งั ต้องเป็นคนทม่ี ีความช�ำนาญทางช่างน้ันๆ อยู่ เพ่อื ขั้นตอนการท�ำมดี อรัญญิก มีดอรญั ญิก
ตรวจสอบชน้ิ งานวา่ มีรูปแบบ คุณภาพเหมือนงานด้งั เดมิ หรอื ไม่ ถูกต้องตาม
ลกั ษณะของบา้ นเรอื นไทยหรือไม่ ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย รัชกาลท่ี ๒ แห่ง
๒. ราคาบา้ นเรอื นไทยสงู กวา่ บา้ นทวั่ ๆ ไปหลายเทา่ เมอ่ื เปรยี บเทยี บ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ชาวเวียงจันทน์ได้อพยพเขา้ มาพงึ่ พระบรมโพธสิ มภาร ได้
เนอื้ ทใ่ี ช้สอยเทา่ กัน เลอื กทำ� เลตง้ั ถนิ่ ฐานอยบู่ รเิ วณบา้ นตน้ โพธิ์ และบา้ นไผห่ นอง (ปจั จบุ นั คอื พน้ื ท่ี
๓. มีการประยุกต์บ้านเรือนไทยไปตามลักษณะประโยชน์ใช้สอย หมทู่ ี่ ๖ และหมทู่ ่ี ๗ ตำ� บลทา่ ชา้ ง อำ� เภอนครหลวง จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา)
การใช้วสั ดุ คา่ ใชจ้ ่าย จึงท�ำใหเ้ รอื นไทยกลายรปู แบบไปบา้ ง เพราะมไี มไ้ ผข่ น้ึ อยอู่ ยา่ งหนาแนน่ มหี นองนำ้� และสภาพพน้ื ทถ่ี กู โอบดว้ ยคงุ้ นำ้�
๔. วัสดุท่ีเป็นไม้หายาก เรือนไทยใช้ไม้เป็นหลักในการปรุง แต่ ของแมน่ ำ้� ปา่ สกั จนมสี ภาพเกอื บคลา้ ยกบั เกาะขนาดใหญ่ การคมนาคมทางนำ�้
เน่ืองจากการปิดป่าของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ก็สะดวกเนอื่ งจากแมน่ ้ำ� ปา่ สกั ไหลผา่ น ข้าวปลาอดุ มสมบรู ณ์ ซ่งึ เอือ้ ต่อการ
ท�ำให้ไม้ขาดแคลน ประกอบอาชพี โดยเฉพาะชา่ งตีเหล็กเพราะไมไ้ ผ่ใชเ้ ผาเปน็ เชอื้ เพลิงอยา่ งดี
ในการเผาเหล็กเพื่อตีเป็นเคร่ืองใช้ต่างๆ เนื่องจากให้ความร้อนสูงมากกว่า
สภาพเรอื นไทย ที่ออกแบบประยุกต์ให้เหมาะสมกับสภาพปัจจบุ ัน ถา่ นไม้ชนิดอืน่ ๆ ไมแ่ ตกเป็นลูกไฟ ไมไ้ ผย่ งั ใช้ท�ำด้ามมดี ดา้ มค้อน และด้าม
แหลง่ ผลติ และซ่อมแซมบ้านเรอื นไทย พะเนนิ (อุปกรณ์คลา้ ยค้อน มขี นาดใหญ่ใช้ในการตีเหล็ก) และทีส่ �ำคัญไม้ไผ่
เป็นวสั ดทุ ส่ี �ำคญั ในการสร้างบา้ นพกั อาศัยของชาวเวียงจนั ทน์ดงั กล่าว
ชาวเวียงจนั ทน์ ในจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยาเป็นผู้มีความช�ำนาญ
ในการตเี หล็กเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมดี ซ่งึ ตอ่ มาเรียกว่า มดี อรัญญิก โดย
ได้ถ่ายทอดมายังลูกหลานรุ่นต่อรุ่น สืบทอดและพัฒนาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
การท�ำมีดอรญั ญิกจงึ ถอื เป็นหนงึ่ ในภูมิปัญญาของชาวพระนครศรอี ยุธยา
การท�ำมีดในระยะแรกอาจท�ำใช้กันภายในครัวเรือนและในหมู่บ้าน
ของตนหรือหมู่บ้านใกล้เคียง แต่มีดสามารถใช้ได้นาน จึงต้องหาสถานท่ี
จำ� หนา่ ยตามแหลง่ ชมุ ชนทม่ี กี ารแลกเปลยี่ นสนิ คา้ และไดน้ ำ� มดี ไปขายทบี่ า้ น
“อรญั ญิก” (ปจั จุบนั ตำ� บลปากทา่ อ�ำเภอท่าเรอื จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา)
เปน็ มดี ท่มี ีความคมกรบิ เนือ้ เหนยี ว แกร่ง ไม่บนิ่ งา่ ย ทนทาน รปู รา่ งสวย
ทำ� ใหม้ ดี อรัญญิกเป็นทีร่ ู้จกั และได้รบั ความนยิ มกนั ทัว่ ไปจึงเปน็ ทมี่ าของชื่อ
มดี อรัญญกิ ทงั้ ๆ ที่แหล่งผลติ ดั้งเดิมอยทู่ บี่ า้ นต้นโพธิ์ และบา้ นไผห่ นอง
ในเทศกาลวนั มาฆบูชา มปี ระเพณนี มสั การพระพุทธบาท จังหวัด
สระบุรี พทุ ธศาสกนิกชนจากจงั หวดั ตา่ งๆ จ�ำนวนมาก เดนิ ทางผ่านจงั หวัด
พระนครศรอี ยธุ ยาไปนมสั การพระพทุ ธบาท ชา่ งตมี ดี จะรวบรวมมดี ทต่ี นตไี ด้
ไปขายในงานนี้เป็นประจ�ำทุกปี และมักปลูกโรงตีเหล็กตามริมแม่น�้ำป่าสัก
ซง่ึ เปน็ ทางผา่ นของผทู้ จ่ี ะไปนมสั การพระพทุ ธบาท กติ ตศิ พั ทข์ องมดี อรญั ญกิ
จงึ ระบอื ไปไกลขนาดทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๕
ไดเ้ สดจ็ ไปทอดพระเนตรการตมี ดี ของชา่ งทงั้ สองหมบู่ า้ น ทงั้ นี้ ชาวบา้ นไผห่ นอง
และบ้านต้นโพธิย์ ังคงสบื ทอดอาชีพตี “มดี อรัญญกิ ” สบื มาจนทกุ วันน้ี

166 167
๓. การใช้ประโยชน์มาจากคุณสมบัติของมีดอรัญญิกที่ “คมตัด
พิธีไหว้ครบู ชู าเตา สนั ต่อย ข้างทุบ หัวขูด ด้ามโขลก” มีดหน่ึงเลม่ สามารถใชง้ านไดห้ ลายอย่าง
คือ คมใชห้ ั่น ใช้ตดั เพ่ือให้ขาด สนั ต่อยสันมดี จะมคี วามหนา สามารถนำ� ไป
พิธไี หว้ครูบชู าเตาเปน็ “พธิ ีไหวค้ รู” ช่างตมี ดี อรญั ญกิ ของชาวบ้าน ทำ� ให้สงิ่ ตา่ งๆ แตกได้ เชน่ ตอ่ ยมะพรา้ ว ทำ� ให้มะพร้าวแตกออกเป็น ๒ ซีก
อำ� เภอนครหลวง ซ่ึงยงั คงถือสบื กนั มาตามขนบธรรมเนยี มประเพณีเดิมโดย เพอ่ื น�ำมาขูด ข้างทุบ คอื เอาด้านข้างของมีด ทบุ สิ่งตา่ งๆ ใหแ้ บน หัวขดู คอื
ทกุ บา้ นจะจดั ข้นึ ในวันพฤหสั บดีชว่ งเช้าตร่รู ะหว่างวนั ขนึ้ ๗ ค�่ำถงึ ๙ คำ่� การใชห้ วั มดี เปน็ ฟันขนาดเลก็ ใช้ขูดสง่ิ ต่างๆ ให้เปน็ ฝอย เชน่ ขดู มะพร้าว
เดือน ๕ (ประมาณเมษายน - พฤษภาคม) เพอื่ ระลกึ ถงึ พระคุณครบู า- ขดู ผวิ ไม้ ดา้ มโขลกคล้ายไมต้ ีพริก ส�ำหรับใช้ตำ� หรอื โขลก พริก สมุนไพร
อาจารย์และเพื่อความเปน็ สริ ิมงคลทงั้ ยงั เปน็ การปดั เป่าอปุ ทั วเหตตุ ่างๆ ใน ให้ละเอยี ด ซ่งึ เป็นการใชส้ ว่ นตา่ งๆ ของมดี ไดส้ ารพดั ประโยชน์น่นั เอง
การตเี หลก็ อีกด้วย เม่อื ได้เวลาผ้ทู ำ� พธิ ไี หวค้ รูจะกลา่ วชุมนมุ เทวดา ไหว้ เนื่องจากมีดอรัญญิก ยังคงใช้กรรมวิธีในการท�ำแบบด้ังเดิม กรม
พระรตั นตรยั จากนั้นอัญเชญิ ครูบาอาจารย์ทัง้ หลายอนั ไดแ้ ก่ พระอิศวร สง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม จงึ ไดป้ ระกาศขน้ึ ทะเบยี นมดี อรญั ญกิ
พระนารายณ์ พระพรหม พระวิษณกุ รรม พระมาตุลี พระพาย พระคงคา เปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ “สาขางานชา่ งฝมี อื ดงั้ เดมิ ” ประจำ� ปี
พระฤาษี ๘ องค์ ฯลฯ ตลอดจนบูรพาจารย์ทไี่ ด้ประสิทธป์ิ ระสาทพรแก่ พ.ศ. ๒๕๕๒
ผ้เู ขา้ รว่ มพิธใี ห้ประสบแต่ความสุข ความเจริญ แล้วปิดทองเครอ่ื งมอื ทุกชิ้น การทำ� มดี อรญั ญกิ นบั เปน็ อตุ สาหกรรมในครวั เรอื น หลายครอบครวั
ประพรมน้ำ� มนตใ์ หเ้ คร่ืองมือและผเู้ ขา้ ร่วมพธิ ี ในต�ำบลท่าช้าง อ�ำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงยึด
อาชพี นอ้ี ยู่ ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ งานฝมี อื แตล่ ะบา้ นจะตมี ดี หรอื ของใช้ ตไี มเ่ หมอื นกนั
ภมู ิปญั ญาจากมดี อรญั ญกิ ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน เมื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านต่างๆ
๑. ช่างทำ� มดี อรญั ญิก ข้นึ ช่ือว่าเป็นผู้มคี วามช�ำนาญในการตีเหล็ก เข้ามา คา่ นยิ มเปล่ียนแปลง และทรัพยากรลดน้อยลง ทำ� ใหว้ ธิ ีการผลติ มีด
เปน็ อย่างมาก ขั้นตอนการท�ำมดี ทุกขัน้ ตอนตอ้ งใชค้ วามรู้ ทักษะ และความ อรัญญิกมกี ารเปลี่ยนแปลง เพราะ
ชำ� นาญเฉพาะตวั เชน่ (๑) แรงงานหายาก จึงต้องใช้เครือ่ งจกั รแทนแรงงานคน
- การสังเกตความร้อนของไฟในการเผาเหล็กด้วยสายตาจน มดี อรญั ญกิ งานประดษิ ฐกรรม (๒) ระยะเวลาในการผลติ เปลย่ี นไป
เกดิ ความชำ� นาญ ขนาดของมดี ชนดิ เดยี วกนั จะเทา่ กนั และมลี กั ษณะทเี่ หมอื นกนั ของหม่บู ้านตน้ โพธ์ิ และหมู่บา้ นไผ่หนอง (๓) พัฒนาผลิตภัณฑ์หลายอย่างข้ึนโดยใช้พื้นฐานภูมิปัญญา
ทกุ เลม่ โดยไมม่ กี ารวดั ขนาดขณะทำ� จะใชเ้ พยี งสายตาในการสงั เกต ท่ีมชี อ่ื เสียงโด่งดังเป็นทีร่ ้จู กั กนั ทวั่ ไป จากการเผาเหลก็ ตเี หลก็ ผลิตภณั ฑห์ ลากหลายรูปแบบ และขนาดต่างๆ ให้
มีความสวยงาม เหมาะสมกบั การใชง้ านของคนทุกระดบั เช่น เครื่องใชบ้ น
- การเลอื กวสั ดุ ประกอบดว้ ย (๑) เหลก็ ตอ้ งเลอื กใหเ้ หมาะสม โต๊ะอาหาร เครื่องมอื การเกษตร กรรไกรตัดแต่งกง่ิ กรรไกรตดั หญ้า ที่เกบ็
กบั ชนดิ ของมดี คม แขง็ แกรง่ และการใชง้ าน (๒) ถา่ นทมี่ คี ณุ ภาพดตี อ้ งเปน็ ถา่ น ผลไมช้ นิดต่างๆ อาวุธโบราณทใี่ ช้ในการแสดง เครอื่ งประดับตกแต่งบา้ น
ทเี่ ผาจากไมไ้ ผ่ เพราะให้ความรอ้ นสูง ไมแ่ ตกเป็นลูกไฟ ไม่มีควนั ถา่ นใช้ ปจั จบุ นั หมู่บา้ นไผห่ นอง เป็นหมบู่ ้านท่มี ีนักศกึ ษา นักทอ่ งเท่ียว ได้
เผาเหลก็ ใหร้ อ้ นเพอื่ การตขี น้ึ รปู (หลาบ) หรอื (ซำ�้ ) หรอื การใชค้ อ้ น ตเี นอ้ื เหลก็ เขา้ มาศกึ ษาและชมวธิ กี ารตมี ดี ทำ� ใหเ้ ปน็ แหลง่ ศกึ ษาและแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วหนง่ึ
ทเ่ี ปน็ รปู แล้วใหเ้ รยี บเป็นมนั มเี นอื้ แน่น (ไห่) การแต่งใหไ้ ดร้ ปู เลม่ ท่สี วยงาม ของพระนครศรอี ยุธยา
การท�ำคมให้เหมาะสมกับชนิดการใช้งานของมีดและการชุบคมให้แข็งซ่ึงเป็น
สูตรลับและภูมิปัญญาที่สืบทอดและพัฒนากันมา บางชนิดสามารถใช้ฟัน
ตะปูขาดโดยคมมดี ไมม่ รี อยบิ่นเลย (๓) เถาวลั ยเ์ ปรยี ง นำ� มาทบุ ใหเ้ ปน็ เส้น
สำ� หรบั จมุ่ นำ้� พรมไฟ เพอ่ื ควบคมุ ความรอ้ น โดยไฟจะไมไ่ หมง้ า่ ยเหมอื นวสั ดอุ นื่ มดี สารพัดประโยชน์
- การประสานเหล็กให้เป็นเน้ือเดียวกัน “คมตดั สันต่อย ข้างทุบ หวั ขดู ด้ามโขลก”
มีดของคณุ ย่าคณุ วนิ ัย ยนิ ดีวทิ ย์นำ� มาจากเวียงจนั ทน์
๒. การทำ� งานรว่ มกนั การตมี ดี จะตอ้ งใชค้ นรว่ มกนั อยา่ งนอ้ ย ๕ คน
คอื คนควบคมุ ไฟ ๑ คน คนตี ๓ คน หนา้ เตา ๑ คน คนตพี ะเนนิ ทงั้ สามคน
จะตอ้ งตอี ยา่ งรวดเร็ว ในขณะท่ีเหล็กยังร้อน แต่ละคนตอ้ งร้จู ังหวะการตี
ไม่ขัดจังหวะ ตอ้ งรวู้ า่ ต้องตตี รงไหนเม่ือคนหนา้ เตาพลกิ เหลก็ เพื่อให้ได้เปน็
รปู ทรงของมดี ทต่ี อ้ งการ

168 169

หมอ้ ดินคลองสระบวั ปลาตะเพียนใบลาน
ชาวไทยมีความผูกพันกับปลาตะเพียนมาต้ังแต่สมัยโบราณ และ
คลองสระบัวตั้งอยู่ในทุ่งกว้าง เดิมเป็นสระน้�ำท่ีมีบัวอยู่มากและมี มคี วามเชือ่ เก่ยี วกบั ปลาตะเพยี นวา่ เป็นสริ มิ งคล ท�ำใหเ้ งนิ ทองไหลมาเทมา
ลำ� คลองไหลผา่ น จงึ มดี นิ เหนยี วซง่ึ เปน็ วตั ถดุ บิ สำ� คญั ในการทำ� หมอ้ ดนิ นอกจากน้ี หากบา้ นไหนแขวนปลาตะเพยี นไวห้ นา้ บา้ นจะทำ� ใหบ้ า้ นนนั้ มงั่ มศี รสี ขุ ทำ� มาคา้ ขนึ้
การทจี่ ะนำ� หม้อดินไปขาย ตอ้ งไปทางเรือเพราะขนไดค้ รั้งละมากๆ ปลอดภยั คำ� วา่ “เพยี น” ทเี่ ปน็ คำ� ทา้ ยของปลาดงั กลา่ วนนั้ ออกเสยี งคลา้ ยกบั คำ� วา่ “เพยี ร”
จากการแตกชำ� รุด อกี ทง้ั คลองสระบวั มที างเช่อื มต่อกับแมน่ ้�ำหลายสายจาก ซงึ่ หมายถึงความขยันหม่นั เพยี ร ไม่ยอ่ ท้อต่ออุปสรรค จากความเช่อื ดังกล่าว
สภาพดงั กล่าวคลองสระบัวจงึ เปน็ แหลง่ ผลิตหม้อดินมาตงั้ แตส่ มยั อยุธยา จงึ มกี ารทำ� ปลาตะเพยี นดว้ ยวสั ดตุ า่ งๆ แขวนประดบั บา้ น เชน่ ปลาตะเพยี นเงนิ
ขนั้ ตอนการทำ� หมอ้ ดนิ เรม่ิ จากการนำ� ดนิ แชน่ ำ้� หมกั ไวใ้ นบอ่ ประมาณ ปลาตะเพยี นใบลานท่ีไมไ่ ด้ตกแต่งดว้ ยสี ตะเพียนทอง พิมพเ์ ป็นผา้ ยันต์มรี ปู ปลาตะเพียนปรากฏอยู่
๑ - ๒ วัน แลว้ นำ� ดนิ ผสมกบั ทราย และน้�ำพอประมาณ จากน้นั จงึ ย�ำ่ ดิน ปลาตะเพยี นใบลานที่ตกแตง่ ลวดลายสี ปลาตะเพยี นใบลาน มตี น้ กำ� เนดิ มาจากชาวมสุ ลมิ ทมี่ าจากทางภาคใต้
ดว้ ยเทา้ ใหด้ นิ กบั ทรายเขา้ กนั จนเหนยี วเปน็ เนอื้ เดยี วกนั เมอื่ ไดท้ แี่ ลว้ จงึ ตกั ดนิ และเข้ามาตั้งถิน่ ฐานในพระนครศรอี ยุธยา ตั้งแตส่ มัยอยุธยาตอนปลายใน
ขึ้นมาห่อไว้ด้วยผา้ ชุบน้�ำเตรยี มส�ำหรับการปนั้ สีสันสดใสสวยงาม บริเวณหวั แหลมของปากแมน่ �้ำลพบรุ ีเดมิ (ปจั จบุ ันเปน็ คลองเมืองแยกจาก
การปั้นหม้อ ผู้ปั้นจะตักดินมาวางบนแป้นหมุนโดยประมาณดินให้ แมน่ ำ้� เจา้ พระยา ดา้ นทศิ ตะวนั ตกของเกาะเมอื ง) เปน็ ผรู้ เิ รมิ่ ทำ� ปลาตะเพยี นสาน
พอเหมาะ ในสมัยโบราณแปน้ หมุนจะใชค้ นหมนุ แต่ปจั จบุ นั ใช้มอเตอร์ ผู้ปน้ั เพราะมคี วามผกู พนั กบั ชวี ติ ในนำ้� และคนุ้ เคยกบั รปู รา่ งของปลาตะเพยี น จงึ ได้
ใชม้ อื กดลงตรงกลางจนไดข้ นาดความหนาและความสูงตามต้องการ จากนนั้ พยายามประดิษฐ์โดยเลียนแบบของจริง ในคร้ังแรกใช้ใบตอง ใบมะพร้าว
นำ� ผา้ ชบุ นำ้� “รหี มอ้ ” ใหไ้ ดร้ ปู รา่ ง เมอื่ พอใจแลว้ จงึ ใชด้ า้ ยตดั ดนิ ตรงฐานหมอ้ ใบตาล ซงึ่ หางา่ ยเปน็ วสั ดใุ นการทำ� สำ� หรบั ใหล้ กู หลานเลน่ แตไ่ มค่ งทน ตอ่ มา
ถือเป็นการป้นั หมอ้ เสร็จหนึ่งใบ หมอ้ ที่ได้จากการป้ันจะถูกล�ำเลียงมาวางบน เรม่ิ สานปลาตะเพยี นเพือ่ การคา้ จงึ ใชใ้ บลานท�ำใหค้ งทนอยู่ได้นาน
แผ่นกระดานไม้อยา่ งเป็นระเบยี บกอ่ นน�ำไปตาก (ทั้งแดดและลม) น�ำหม้อ ป•• ลตการัวตะแะโมเจพป่มียลนชาใว่ บยลเสปารน็นา้ งส๑ค่ววนพาทมวีเ่งสดมม่นสี ดทว่ ุลนี่สขปุดอรจงะแึงกตผออ้งบปงพสล�ำาถิ คตีพัญะถิ เไพันดยีใแ้ นนกก่ (าโมรสบาานย)และ
ท่ผี ่านการตบแตง่ เรยี บรอ้ ยแลว้ มาทาสี โดยใชผ้ า้ ชุบโคลนสีเหลอื ง หรือที่ ปัจจุบนั หม้อดนิ ยังเปน็ ที่ตอ้ งการแม้ไมม่ ากนัก เช่น
เรียกวา่ “ดนิ เหลอื ง” ตากไว้ ๑ คืน ใช้ในการต้มยา เนือ่ งจากความเชอ่ื ว่า ยาหมอ้ ตอ้ ง
ชาวบ้านคลองสระบัวยังคงใช้วิธีการเผาหม้อดินแบบโบราณท่ีเรียกว่า ตม้ ดว้ ยหมอ้ ดนิ ใชส้ ำ� หรบั ขนมปลากรมิ ไขเ่ ตา่ ต กแต่งเข••ีย นกปสรักีละเวปทด้างลเใกชายล้ใบตอื ล่าคงาๆลนา้สเยพาดน่ือารชวูปว่ นยรนู ่าใรหงปูค้แลม๕้าป่ ยแลขฉา้าสกววสหย�ำลงหาารมมับตสระัด้อดหยุดรลตือกู าสปย่ีเลหิง่ าขลน้ึี่ยมขนม
“เผาเตาสมุ ” โดยเตาเผาจะไดร้ บั การกอ่ ขนึ้ เปน็ ทรงสงู เหนอื พนื้ ดนิ สว่ นดา้ นลา่ ง แตอ่ าชีพป้ันหม้อลดน้อยลงมาก ชาวคลองสระบวั เปยี กปูนทรง ๓ มิติ มขี นาดเล็กๆ ใช้ร้อยเชอื่ มโยงรอยต่อของชิน้ ส่วนต่างๆ
ของเตาจะขดุ ดินลงไปใหล้ ึกพอประมาณ เพ่อื ใสฟ่ นื ไมก้ ระถนิ ซึง่ เป็นเช้ือเพลงิ ที่ยงั คงปน้ั หมอ้ มไี มก่ บี่ า้ น อยา่ งไรกต็ าม ในพวงปล•า ตใะบเโพพียธน ์ิ สใาชน้ตอ่ ปลายของอบุ ะห้อยจากกระโจม และกระทงเกลอื
พนื้ บ้าน การเผาจะใช้เวลาชั่วข้ามคืนแลว้ จงึ เปดิ เตาในชว่ งเช้า ระหวา่ งทีห่ มอ้ การปน้ั หมอ้ ยังคงมีอยเู่ พ่อื การอนรุ กั ษ์และเปน็ ตลอดจนปลายของอุบะท่ีห้อยต่อจากลูกปลาทั้งหมด  ใช้ส�ำหรับตกแต่งรอบ
ถูกล�ำเลียงออกจากเตาเผาหากใบไหนร้าวหรือมีต�ำหนิก็จะทุบท้ิงจะไม่น�ำไป แหลง่ เรียนรใู้ นทอ้ งถนิ่
จ�ำหน่ายเพราะทำ� ใหเ้ สยี ช่อื “หม้อดนิ เผาบา้ นคลองสระบวั ”
ภมู ิปญั ญาจากหมอ้ ดินคลองสระบวั กระโจมปลาและกระทงเกลือ
๑. หม้อดินคลองสระบัวเป็นการเลือกประกอบอาชีพตามลักษณะ
สภาพแวดลอ้ ม
๒. การเลือกดินทีจ่ ะมาใช้ป้ันหมอ้ ถือเป็นภมู ิปัญญาของผูป้ ระกอบ
อาชพี ดังกล่าวโดยเฉพาะดินเหลืองทีใ่ ช้เคลือบหมอ้ กอ่ นเผา ดินเหลอื งจะดู
จากขยุ ปูถ้าขยุ ปูมดี นิ สเี หลืองก็จะขุดดนิ บริเวณน้ันลกึ ลงไปก็จะพบดินเหลือง
ท�ำให้หมอ้ เม่อื เผาแล้วมีสีแดงสวย เปน็ เงา นำ้� เคลือบจากดนิ ขยุ ปู ยังเข้าไป
แทรกในเนอ้ื ดนิ ทำ� ใหห้ มอ้ ไมร่ ว่ั หรอื ซมึ เมอื่ ใสน่ ำ�้ เวลาประกอบอาหาร การใช้
ดินเหนียวผสมทราย ซ่งึ มสี ารประกอบซิลิกาผสมอยู่ เมือ่ เผาแลว้ ซลิ กิ า
จะท�ำให้เน้อื ดนิ ยึดติดกนั แนน่ ผวิ เป็นเงางาม โดยใชท้ ักษะสงั เกต ใชก้ าร
ทดลองเทยี บเคยี งกบั ผลติ ภณั ฑ์ การเผาจะใชก้ ารสงั เกตสขี องไฟเพอ่ื ใหไ้ ดห้ มอ้
ท่แี กรง่ ทนทาน
๓. การปน้ั หมอ้ เปน็ งานฝมี อื ตอ้ งใชค้ วามชำ� นาญในการกำ� หนดลกั ษณะ
ก�ำหนดขนาด โดยไมม่ ีแบบและการวัด เพ่ือใหล้ ักษณะและขนาดของหมอ้
เท่ากนั

170 171

• ลกู ปลา  มีขนาดเลก็ กว่าแมป่ ลาประมาณ ๓-๔ เท่า ใช้รอ้ ยกับ พัดสานบ้านแพรก

ระย้าทั้ง ๓ สาย ถา้ เปน็ ระยา้ ใหญ่จะรอ้ ยไว้ใตก้ ระทงเกลอื มีปักเปา้ ร้อยค่ัน การดำ� รงชวี ติ ของชาวชนบทเปน็ การอยแู่ บบงา่ ยๆ อยรู่ ว่ มกบั ธรรมชาติ
ตอนบนถ้าเป็นระย้าเล็กจะร้อยต่อจากปักเป้าท่ีห้อยจากตัวแม่ปลาลงมา ใชธ้ รรมชาตใิ หเ้ ปน็ ประโยชน์ ยามท่ธี รรมชาติโหดรา้ ยก็จะหาวิธีที่จะเอาชนะ
แตล่ ะสายรอ้ ยลกู ปลาประมาณ ๒ - ๓ ตัว แลว้ แตข่ นาด  ลกู ปลาแตล่ ะตัว ธรรมชาติ โดยการคิดแก้ปัญหา ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นภูมิปัญญาท่ีถ่ายทอด
ห้อยอบุ ะหรอื ระยา้ สน้ั มายังลกู หลาน ยามฤดูรอ้ นอากาศร้อนอบอ้าว จงึ นำ� ไม้ไผซ่ ่ึงมอี ยูร่ อบๆ บา้ น
การลงสีพ้ืนและเขียนลวดลายปลาตะเพียนชุดหน่ึงมักเป็นสีชุด มาจกั เปน็ ตอกสานเปน็ เครอ่ื งโบกใหเ้ กดิ ลม ซง่ึ เรยี กวา่ พดั สามารถนำ� ตดิ ตวั ไป
เดียวกนั โดยยึดถือตวั แม่ปลาเป็นหลกั เชน่ สีแดง ด�ำ เขียว น�้ำเงนิ ชมพู ไดง้ า่ ย และใชบ้ งั แสงแดดได้ นอกจากจะใชพ้ ดั รา่ งกายไดแ้ ลว้ ยงั ใชโ้ บกเตาไฟ
เหลอื ง ส้ม ฟา้ ม่วง และสขี าว บรเิ วณเกล็ด ครีบ หางและส่วนละเอียดของ เวลากอ่ ไฟทำ� อาหาร ใชโ้ บกกระจายควันกองไฟทีส่ มุ ไลย่ ุงใหค้ วาย
ตัวปลา นยิ มวาดลวดลายดว้ ยสีบรอนซ์เงนิ หรอื สีบรอนซ์ทองเพอื่ ใหด้ ูวาววบั พัดสานบ้านแพรกเปน็ งานหัตถกรรมพ้ืนบ้านอันทรงคณุ ค่าทเี่ กิดจาก
สวยงาม ส่วนลวดลายของเกล็ดบนตวั แม่ปลา นิยมเขียน “ลายผกั ชี” สว่ น ภูมิปญั ญาชาวบ้านอ�ำเภอบ้านแพรกจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา ซ่งึ สานพัด
หางปลานยิ มเขยี น “ลายดอกไม”้ และ “ลายต้นสน” ซ่งึ เป็นลวดลายทีช่ าว มาเปน็ เวลากวา่ ๕๐ ปแี ล้ว มกี ารประยุกตป์ รบั ปรุงรูปแบบ โดยสานพัดเปน็
ไทยมสุ ลิมเขยี นมานานแลว้ อาชีพเสริมภายในครัวเรือนในช่วงว่างเว้นจากการท�ำนา พัดสานบ้านแพรก
เมือ่ สีทเ่ี ขยี นลวดลายบนส่วนต่างๆ ของปลาตะเพยี นแหง้ แลว้ เป็นงานหัตถกรรมพื้นบ้านที่มีช่ือเสียงและได้รับการยกย่องให้เป็นเอกลักษณ์
ข้ันตอนสดุ ท้ายคือการร้อยและประกอบช้นิ ส่วนต่างๆ เปน็ พวงปลาตะเพียน ของอ�ำเภอบา้ นแพรก

ภูมิปัญญาจากปลาตะเพยี นใบลาน ผลติ ภัณฑ์พัดสานบ้านแพรก ขนั้ ตอนการท�ำ เริม่ จากการคดั เลือกไมไ้ ผ่ นิยมใชไ้ ผส่ ีสุกท่ไี ม่ออ่ น
๑. การแขวนปลาตะเพียนใบลานไวเ้ หนอื เปล ทำ� ใหเ้ ดก็ เกดิ ความ ลายกฐิน สพฐ. หรอื แกเ่ กินไป เรียกวา่ “ไมม้ ันปลากด” เนอื้ ไม้ขาวเป็นมนั เม่อื นำ� ไปยอ้ มสี
เพลดิ เพลิน หลบั ง่าย ไมร่ ้องรบกวนคนเล้ยี ง และความเช่ือวา่ ลูกหลานจะได้ สจี ะเปน็ เงาสดใส จากนน้ั จงึ นำ� มาตดั เปน็ ทอ่ นดว้ ยเลอื่ ยคมละเอยี ดแลว้ จกั ตอก
โตเร็ว แขง็ แรง ครอบครวั จะมีลกู หลานมากมายเหมอื นปลาตะเพยี น ผลิตภัณฑ์พดั สานบา้ นแพรก เอาขอ้ ไม้ ผวิ และขี้ไม้ออกให้หมด น�ำตอกท่ีจกั ได้ไปผ่ึงลมหรอื แดดให้แห้ง
การแขวนปลาตะเพียนไว้เหนือเปล เมื่อโดนแรงลม ท�ำให้ปลา กอ่ นนำ� ไปยอ้ มสี โดยนำ� เสน้ ตอกจมุ่ ลงไปในนำ้� สที กี่ ำ� ลงั เดอื ดใหท้ ว่ั ตลอดทง้ั เสน้
พรว้ิ ไหว เดก็ มองดเู พลินจนหลบั ไปเอง พอ่ แม่ หรอื คนเล้ยี ง ก็สามารถ เมื่อย้อมแล้วน�ำไปล้างในน�้ำเย็นเป็นการล้างสีท่ีไม่ติดเน้ือไม้ออกแล้วน�ำไป
ท�ำงานอื่นได้ เมื่อเด็กเห็นปลาตะเพียนแกว่งไปมาตามแรงลม เด็กจะมี ผง่ึ ลมหรอื แดดใหแ้ หง้ กอ่ นนำ� ไปสานพดั ซง่ึ ผสู้ านจะใชค้ วามชำ� นาญและความ
การตอบสนอง เช่น ยกมอื ด้ินยกขาเหมอื นจะจับปลาตะเพยี น ทำ� ให้เด็ก สามารถพเิ ศษในการสานพัดใหเ้ ปน็ ดอก ลวดลายแบบโบราณ และมีการ
ไดอ้ อกก�ำลังกายและเด็กมีจินตนาการตามวยั ชว่ ยบม่ เพาะให้เด็กมจี ติ ใจที่ ปรับปรุงประยุกต์ลวดลายให้มีความสวยงามประณีตไม่ใช่เฉพาะลายพ้ืนฐาน
ละเอยี ดอ่อนและออ่ นโยนกับสิง่ รอบข้าง เทา่ นัน้
๒. การรอ้ ยปลาตะเพยี น เรมิ่ ตน้ จากปลาตัวใหญ่คือแม่ปลา และมี
ลกู ปลาหอ้ ยอยใู่ ตแ้ มป่ ลา เปน็ การสอนใหเ้ หน็ ความสำ� คญั ของพอ่ แม่ ในการเปน็ ลกั ษณะเด่นของพัดสานบา้ นแพรก คอื การประยกุ ต์รปู แบบให้มี
ผนู้ ำ� ของครอบครวั การเลย้ี งดู ปกปอ้ งลกู ๆ ในเวลาเดยี วกนั ยงั เปน็ การเตอื นถงึ ความสวยงามประณีต ได้แก่ สานเป็นตัวหนงั สือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
บทบาทหนา้ ทขี่ องพอ่ แม่ ทมี่ ตี อ่ ลกู ในการเลย้ี งดู อบรมสงั่ สอน ลกู ๆ ของตน สานเป็นรปู ลาย ๑๒ ราศี รูปเจดยี ์ ๓ องค์ วดั พระศรีสรรเพชญ์ รูปพระเจา้
๓. ปลาตะเพยี นใบลานเปน็ งานหตั ถกรรมทสี่ บื ทอดกนั มากวา่ ๒๐๐ ปี อทู่ อง รูปนกคู่สาน ประยุกต์ลวดลายรูปแบบตามโอกาสและสถานที่
นบั เปน็ เอกลักษณอ์ ยา่ งหนึ่งของจงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ภมู ปิ ัญญาจากพัดสานบ้านแพรก
ปัจจุบันปลาตะเพียนใบลานในอ�ำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัด ๑. พดั สานบา้ นแพรกเปน็ งานศลิ ปะทม่ี คี ณุ คา่ บง่ บอกถงึ ความเปน็ ไทย
พระนครศรีอยุธยา แหล่งท่ีสานกันมากได้แก่ ที่ชุมชนหัวแหลม ต�ำบล รปู ทรงของพดั สานบา้ นแพรกเปน็ รปู ใบโพธ์ิ กนุ้ ขอบดว้ ยผา้ เงนิ ผา้ ทอง หรือ
ทา่ วาสกุ รี และตำ� บลภเู ขาทอง ลกั ษณะการทำ� มที งั้ ทำ� เปน็ อาชพี หลกั และ ผ้าลกู ไม้ ท�ำให้มสี ีสันสวยงาม ออ่ นชอ้ ย
อาชีพเสริม โดยพัฒนารูปแบบใหม้ คี วามหลากหลาย ตามความตอ้ งการของ
ผู้บริโภค มีการใช้วัสดุอื่นแทนใบลานเน่ืองจากใบลานมีราคาแพง ต้นทุน ๒. การสรา้ งลวดลายบนพดั เกิดจากการทีช่ าวบ้านแพรกด�ำรงชวี ติ
การผลติ ปลาตะเพยี นใบลานสงู ขน้ึ ปลาตะเพียนใบลานจึงมรี าคาแพง เมือ่ อยกู่ ับธรรมชาติ จงึ เกดิ จนิ ตนาการมาสรา้ งเปน็ ลายพดั ซง่ึ สะทอ้ นถึงอดตี ท่ี
เปรยี บเทียบกับของตกแต่งอ่ืนๆ และคนมคี วามนยิ มน้อยลง แม้จะเปน็ สินค้า บา้ นแพรกเคยมี เชน่ ลายนกแกว้ คู่ เพราะชมุ ชนแหง่ นเี้ คยมนี กแกว้ ชนดิ หนงึ่
หนง่ึ ต�ำบล หน่งึ ผลิตภัณฑ์
ปลาตะเพยี นใบลานในรปู แบบต่างๆ ท่มี ีสีสนั สวยงาม

172 173

งอบใบลานบางปะหนั

ในสมัยก่อนประชากรส่วนมากของชาวพระนครศรีอยุธยามีอาชีพ
เกษตรกร ปลูกพชื ทำ� นา ซ่งึ อาชพี เหล่านต้ี ้องท�ำงานอย่กู ลางแจ้ง รวมท้ัง
อาชีพบางอยา่ งที่ทำ� งานกลางแจง้ เชน่ กนั ผู้คนจึงไดค้ ดิ ค้นหาสิ่งทีใ่ ช้สำ� หรบั
บงั แดดและฝนใหก้ บั ตวั เอง เพอื่ ใหเ้ หมาะกบั ลกั ษณะของสภาพภมู อิ ากาศ และ
กจิ กรรมทท่ี ำ� งอบเปน็ สง่ิ หนง่ึ ทปี่ ระดษิ ฐข์ น้ึ เพอื่ ประโยชนด์ งั กลา่ ว จงึ นบั เปน็
ภมู ปิ ญั ญาของชาวไทยทมี่ เี อกลกั ษณแ์ ละยงั คงอยคู่ สู่ งั คมไทยในปจั จบุ นั น้ี
แหล่งผลิตงอบท่ีส�ำคัญท่ีสุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่ที่อ�ำเภอ
บางปะหนั ชาวบางปะหนั ประกอบอาชพี นเี้ มอื่ วา่ งจากการทำ� นา การเพาะปลกู
พืชอื่น หรือในชว่ งน้ำ� ทว่ มในฤดนู ำ�้ หลาก โดยสบื ทอดมาจากบรรพบุรุษ การ
ประดิษฐ์งอบใบลานเป็นงานที่ต้องอาศัยความประณีตละเอียดอ่อนไม่แพ้งาน
จักสานประเภทอนื่ ๆ ผ้ทู �ำตอ้ งมีความชำ� นาญและความอดทนเนื่องจากการ
ทำ� งอบมหี ลายขนั้ ตอน ในปจั จบุ นั ถอื เปน็ สนิ คา้ ชมุ ชนหนงึ่ ตำ� บลหนงึ่ ผลติ ภณั ฑ์
ของตำ� บลบางนางรา้ อำ� เภอบางปะหนั ซง่ึ ไดร้ บั ความนยิ มจากชาวไทยและ
ชาวตา่ งประเทศ

อาศยั อยเู่ ปน็ จำ� นวนมากและเปน็ สตั วท์ ม่ี คี วามนา่ รกั สวยงามและแสนรู้ทำ� ให้ คุณระยอง แกว้ สิทธ์ิ การใชเ้ วลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ ขนั้ ตอนการท�ำ
ชาวบ้านนำ� มาสานเป็นลายนกแก้วค่ไู ด้อย่างสวยงาม ลายพิกลุ ท่ชี าวบ้าน ประธานกล่มุ สตรสี หกรณพ์ ดั สาน อำ� เภอบ้านแพรก งอบใบลาน ๑ ใบมหี ลายข้ันตอน ตอ้ งใชค้ วามชำ� นาญแตกต่างกัน
ได้แนวคิดมาจากดอกพิกลุ ทีร่ ่วงหลน่ อยตู่ ามลานวดั ลายกงั หนั เปน็ ของเล่น จึงมีการแบ่งงานกันทำ� ตามความช�ำนาญ ไดแ้ ก่
ที่พบเห็นได้เสมอในสมัยกอ่ น ลายเครือวัลย์ เป็นไม้เลอื้ ยชนดิ หนึง่ ท่เี คยอยู่ ๑. การสานโครงงอบ ซงึ่ จะทำ� กนั ในหลายตำ� บลในอำ� เภอบางปะหนั
ตามรั้วบ้าน ลวดลายเหล่าน้ีแสดงถงึ ความสามารถสรา้ งสรรคง์ านออกมาได้ วตั ถุดิบคือไมไ้ ผ่ เคร่อื งมือได้แก่มดี ตอก ส�ำหรบั จักตอก แบบหรือรองงอบ
อยา่ งมีคณุ คา่ ของชาวบ้านแพรก สำ� หรับเปน็ แบบในการสานโครงงอบ เม่อื สานโครงงอบไดจ้ �ำนวนมากแลว้ ก็
๓. พดั สานบา้ นแพรกเปน็ เอกลักษณ์ เปน็ สนิ ค้าหน่งึ ต�ำบล หนึ่ง จะนำ� มารวมกัน เพอ่ื ไปสง่ แหลง่ รบั ซ้อื โครงงอบตอ่ ไป
ผลติ ภณั ฑข์ องอำ� เภอบา้ นแพรก ซง่ึ ไดร้ บั ความนยิ มทง้ั ในทอ้ งถนิ่ และตา่ งจงั หวดั ๒. การตดิ งอบ เปน็ การนำ� ใบลานทเ่ี จยี นแลว้ มาเยบ็ ตดิ กบั โครงงอบ
และได้รับการยกย่องเป็นส่วนหนึ่งของค�ำขวัญอ�ำเภอ คือหลวงพ่อเขียว ด้านข้างจะเย็บเรียดเดียว (๑ รอบ) แล้วก็ล้มหัวงอบ คือเย็บใบลานให้ติดกบั
หลวงพอ่ ขาว หลวงพอ่ เภาคบู่ า้ น พดั สานคเู่ มอื ง พพิ ธิ ภณั ฑล์ อื เลอ่ื ง รงุ่ เรอื ง ดา้ นบนของโครงงอบ เรยี ดเดยี ว แล้วตดั ปลายใบลานด้านบนให้เปน็ วงกลม
เกษตรกรรม เลิศล้ำ� หตั ถศลิ ป์ แผน่ ดินลเิ ก การติดงอบทำ� กันในหลายต�ำบล เม่อื ติดเสรจ็ แล้วก็จะเก็บรวมไว้เย็บสว่ นที่
เหลือทหี ลงั หรืออาจสง่ ไปจ้างเยบ็ ตอ่ ทอี่ ่ืนซง่ึ อาจเป็นตา่ งอ�ำเภอ
พดั บา้ นแพรกยงั เปน็ ทตี่ อ้ งการของตลาดมาก สำ� หรบั เปน็ ของทรี่ ะลกึ ๓. การเย็บงอบ งอบที่ติดและล้มหัวเสร็จแล้ว จะถูกส่งมาให้เย็บ
ของชำ� รว่ ย เชน่ เทศกาลปใี หม่ แตง่ งาน เกษยี ณอายรุ าชการ เปน็ ตน้ ปจั จบุ นั งอบต่ออีกโดยเย็บเรียดเว้นเรียด ผู้เย็บมักใช้เวลาว่าง จากการท�ำงานหรือ
มปี ญั หาดา้ นการขาดแรงงาน เพราะรายไดน้ อ้ ย จงึ ไมม่ คี นรนุ่ ใหมส่ บื ทอดตอ่ ตอนกลางคืน
อีกทั้งไม้ไผ่หายากมีราคาแพง ต้นทุนการผลิตจึงสูงขึ้น บางครั้งมีผู้ต้องการ ๔. การเข้าขอบ เมื่องอบเย็บเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ ก็จะนำ� มาเขา้ ขอบ
จำ� นวนมาก ผผู้ ลติ ทำ� ใหไ้ มท่ นั งานเสรจ็ ลา่ ชา้ ไมต่ รงตามกำ� หนด ความประณตี โดยใช้ตอกเหลาให้พอดีกับริมขอบงอบ มาประกบกับริมงอบด้านล่างและ
ลดน้อยลงเมอ่ื ตอ้ งรีบทำ� ล้วนเปน็ ส่งิ ที่ต้องแก้ไขกันต่อไป ด้านบนแล้วให้เหล็กหมาดเจาะรูเพ่ือรอ้ ยตอกผกู ไว้เพือ่ ให้ขอบติดกบั ริมงอบ
๕. การผูกงอบ น�ำงอบท่ีเข้าขอบแล้วมาผูกด้วยเส้นเอ็นพลาสติก
เพอ่ื ใหข้ อบงอบตดิ แนน่ กบั รมิ งอบเกดิ ความแขง็ แรง ถา้ ตอ้ งการความสวยงาม
กจ็ ะถกั ขอบด้วยเอน็ สีต่างๆ เป็นลวดลาย
๖. การติดจอม หรือการติดกระหมอ่ ม โดยใบลานกว้างประมาณ
๑ นวิ้ เยบ็ ซ้อนกนั เป็น ๖ เกลด็ หรอื ๗ เกลด็ ใชน้ ้วิ กลางดุนใหเ้ ป็นรูปกรวย

174 175

แล้วเยบ็ วงเวยี นจนครบรอบแลว้ นำ� ไปติดส่วนบนของงอบ อาจทำ� ลวดลายที่ การสานโครงงอบ และการติดงอบ การสานรงั งอบ ผลติ ภัณฑง์ อบที่สำ� เรจ็ แล้ว พรอ้ มจำ� หนา่ ย
จอมหรือกระหม่อมเพอ่ื ความสวยงาม การตดิ งอบ
๗. การสานรังงอบ รังงอบน้ีเป็นส่วนท่ีใช้สวมศีรษะ สามารถยืด
เขา้ ออกได้เพื่อให้พอดีกบั ศรี ษะของแตล่ ะคน เป็นงานศลิ ปะอีกชิน้ หนง่ึ ของ
การทำ� งอบ โดยใชต้ อกเส้นเล็กมากในการสาน มีคนสานเหลือไมม่ ากนัก
ส่วนใหญเ่ ปน็ ผู้สงู อายุ
๘. การใส่รงั งอบเปน็ การยึดรงั งอบใหต้ ดิ กับงอบ
๙. ทานำ้� มนั นำ�้ มนั ทใ่ี ชท้ า เปน็ นำ�้ มนั วานชิ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสวยงาม
ป้องกันเชอ้ื รา และใหค้ งทน
ภูมปิ ัญญาจากงอบใบลานบางปะหนั
๑. การใช้ประโยชน์ งอบมขี นาดใหญก่ ันแดดกนั ฝนไดด้ ี มนี ้�ำหนัก
เบา รังงอบสานด้วยไมไ้ ผส่ ำ� หรบั สวมศรี ษะมลี กั ษณะโปร่งระบายอากาศได้
ดี ใส่แล้วไมอ่ บในศรี ษะ เหงอ่ื ไม่ออก เหมาะสมสำ� หรบั ใชง้ านกลางแจง้ เมอ่ื
อากาศร้อนมากๆ ใช้งอบพัดแทนพัดได้ เม่อื กลับจากนาเก็บผกั หงายงอบใส่
ผักแทนกระจาดได้
๒. ความเช่ือในสมัยโบราณว่าหากใครสวมงอบแล้วจะท�ำให้
อยเู่ ยน็ เปน็ สขุ เพราะโครงงอบทำ� มาจากไมไ้ ผส่ สี กุ มชี อื่ เปน็ มงคลอกี ทง้ั โครงงอบ
สานด้วยตาเฉลวซึ่งเป็นเครื่องหมายของยันต์หรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ิใช้ป้องกันการ
ถกู กระทำ� ดว้ ยคาถาอาคมและภตู ผีปศี าจ
๓. การเลอื กใชว้ สั ดใุ นทอ้ งถนิ่ โดยเฉพาะไมไ้ ผซ่ ง่ึ มกี นั ทกุ บา้ น นำ� มา
ประดิษฐเ์ ปน็ โครงงอบ รังงอบ และเลือกใบลาน (วสั ดจุ ากท้องถิน่ อืน่ ) ซง่ึ เปน็
ผลผลติ ทางธรรมชาติ ทำ� ใหง้ อบมรี ปู แบบทเี่ ปน็ เอกลกั ษณ์ และมคี วามสอดคลอ้ ง
กับวิถีชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีของกลุ่มชน ในเวลาต่อมาได้พัฒนาการ
ผลติ จากหตั ถกรรมในครวั เรอื น กลายมาเปน็ สินค้าเพอ่ื เป็นรายได้เสรมิ จุนเจือ
ครอบครวั ได้อีกทางหนึง่
๔. การใชเ้ วลาว่างให้เกดิ ประโยชน์เมอ่ื ว่างจากการเพาะปลูกหรอื
ในช่วงนำ้� ท่วม ชาวบ้านก็จะมาทำ� งอบกนั เปน็ การสร้างความสัมพนั ธ์กนั ของ
คนในหมูบ่ ้าน
อยา่ งไรก็ตาม การท�ำงอบในปัจจุบันมีปัญหาหลายด้าน เช่น การ
ขาดแคลนวตั ถดุ ิบ หรอื มรี าคาแพงขนึ้ ใบลานหายาก เพราะพ้ืนที่ป่าลาน
เปน็ สว่ นหนง่ึ ของอทุ ยาน การขาดแคลนแรงงานหรอื ผู้มฝี ีมอื เนอื่ งจากงอบ
เปน็ งานฝมี อื ทปี่ ระณตี ใชแ้ รงงานในการผลติ และการผลติ งอบมหี ลายขนั้ ตอน
จึงท�ำให้ผลติ ได้ช้า ถ้ามีการสง่ั ซือ้ เปน็ จำ� นวนมากๆ ผผู้ ลติ ก็อาจจะไมส่ ามารถ
ผลติ ได้ทนั ท่สี �ำคัญ คือ ปัญหาเรอื่ งราคาตำ่� เมือ่ คิดถึงราคาวตั ถดุ บิ และฝมี อื
ในการท�ำ รายไดท้ ่ไี ด้นอ้ ยมากไม่พอเพียงตอ่ การด�ำรงชีพ
งอบใบลานเป็นผลิตภัณฑท์ ีเ่ กดิ จากภมู ิปญั ญาของคนไทย ใช้ในชวี ติ
ประจำ� วนั ใชใ้ นการแสดง ใชต้ กแตง่ เราควรทจ่ี ะชว่ ยกนั ออกแบบโดยนำ� งอบ
หรือช้ินส่วนของงอบมาใช้ประโยชน์ใหห้ ลากหลาย เพื่อช่วยกันอนรุ กั ษง์ อบ
ให้คงอยูต่ ลอดไป

176 นางจำ� ลอง ภาคสญั ไชย 177
วทิ ยากรการทำ� ดอกไม้จากตน้ โสนหางไก่ ภมู ิปญั ญาดอกไม้ประดิษฐ์จากต้นโสนหางไก่
ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์จากตน้ โสนหางไก่ ๑. ดอกไมป้ ระดษิ ฐจ์ ากตน้ โสนหางไก่ นบั เปน็ การคดิ คน้ สรา้ งสรรคแ์ ละ
ดดั แปลงวชั พชื ทมี่ อี ยใู่ นทอ้ งถน่ิ มาทำ� ใหเ้ กดิ ประโยชน์ และเปน็ ความสามารถ
ดอกโสนเปน็ ดอกไม้ประจ�ำจังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา โสนเป็นพืชที่ ในการรจู้ กั ต้นโสนแต่ละชนิด รวมทัง้ กระบวนการประดษิ ฐ์เปน็ ดอกไม้ และ
ชอบข้ึนบรเิ วณบงึ ท่นี �ำ้ ขงั หรอื รมิ แมน่ ำ�้ ลำ� คลอง พบเหน็ อย่ทู วั่ ๆ ไป โสนมี การใช้ประโยชน์ของดอกไม้ทีป่ ระดษิ ฐข์ นึ้ ดังน้ี
หลายพันธุ์ เช่น โสนหินหรือโสนกนิ ดอก โสนคางคก โสนหางไก่ใหญ่ โสน เพอื่ ถวายเปน็ พทุ ธบชู า เชน่ ดอกไมเ้ งนิ ดอกไมท้ อง ตลอดจนดอกไมส้ ด
หางไกเ่ ลก็ สำ� หรบั โสนหางไกจ่ ะขน้ึ อยใู่ นนา ถอื วา่ เปน็ วชั พชื ของนาขา้ ว ชาวนา และใช้ในการประดับตกแตง่ หรอื เป็นเครื่องหอ้ ยในงานทส่ี ำ� คัญๆ การใช้
จะตดั ตน้ โสนทงิ้ เมอ่ื โตสงู กวา่ ขา้ ว เพราะเหน็ งา่ ยและเปน็ ชว่ งทนี่ ำ�้ กำ� ลงั จะทว่ มทงุ่ ดอกไมส้ ดนนั้ ไมค่ งทนถาวรทำ� ใหต้ อ้ งเปลย่ี นบอ่ ยๆ ถา้ ใชใ้ นการประดบั ตกแตง่
ท�ำใหต้ อโสนท่ตี ดั แลว้ จมนำ�้ ไมส่ ามารถแตกยอดขนึ้ มาได้อกี หลายๆ วันยอ่ มทำ� ใหเ้ สียเวลาในการจัดดอกไม้ประดับแตล่ ะครั้งและจาก
เนื้อไม้ของโสนทุกชนิดมีลักษณะเบาสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ สาเหตนุ เี้ องทำ� ใหเ้ กดิ ความคดิ ทจี่ ะประดษิ ฐด์ อกไมจ้ ากสง่ิ อน่ื ขน้ึ แทนดอกไมส้ ด
เชน่ เมอ่ื น�ำไปมัดรวมกนั จะเปน็ ทนุ่ พยุงสิง่ อ่ืนๆ ใหล้ อยนำ�้ หรือนำ� ไปใชเ้ ป็น ๒. เปน็ กจิ กรรมทท่ี ำ� ในยามวา่ ง เปน็ การกลอ่ มเกลาจติ ใจใหอ้ อ่ นโยน
ฐานในการท�ำกระทง เปน็ ทนุ่ ส�ำหรบั ขา่ ย เปน็ ท่นุ เบด็ ทำ� เป็นของเล่นเด็ก มสี มาธิ ในการทำ� ดอกไมป้ ระดษิ ฐจ์ ากโสนหางไก่ เชน่ ในการฝานตน้ โสนใหเ้ ปน็
เป็นต้น แผน่ บางด้วยมีดคม จะต้องใช้สมาธเิ พ่อื ใหไ้ ด้โสนแผน่ บาง ยาวไม่ขาดตอน
สำ� หรบั โสนหางไก่ ชาวตำ� บลคลองสวนพลู อำ� เภอพระนครศรอี ยธุ ยา ตอ้ งทำ� ดว้ ยความสขุ ุม รอบคอบเพอ่ื ใหไ้ ด้ดอกไม้ทีส่ วยงาม มีขนาด รปู ทรง
เปน็ ผคู้ ดิ ทำ� เปน็ ดอกไมป้ ระดษิ ฐเ์ ปน็ แหง่ แรก และทำ� กนั เกอื บทกุ ครวั เรอื น เชน่ ตามทีต่ อ้ งการ บา้ นใดท่ีทำ� ดอกไมป้ ระดษิ ฐจ์ ากตน้ โสนหางไก่ ผู้ท�ำและคน
ดอกเยอรบ์ ีรา่ ดอกเบญจมาศ ดอกคาร์เนชั่น โดยใชแ้ ผน่ โสนบางๆ น�ำมา ใกลช้ ดิ ก็จะเป็นคนสุภาพ มจี ิตใจออ่ นโยน
ซอยเปน็ กลบี เล็กๆ แลว้ มดั ใหแ้ นน่ ดว้ ยด้ายท่โี คนกลีบ ปัจจุบันการประดษิ ฐ์ ปจั จุบนั การทำ� ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์จากโสนหางไก่ ยงั มตี ลาดรองรบั
ดอกไม้จากโสนท�ำได้หลายลักษณะ และได้ขยายตัวไปยังต�ำบลบ้านกรด เพราะสามารถตอ่ ยอดในการประดษิ ฐเ์ ปน็ ดอกไมห้ ลายชนดิ น�ำมาประยกุ ต์
อ�ำเภอบางปะอนิ ใชป้ ระโยชนไ์ ด้อกี หลายอยา่ ง จากเดิมใชเ้ ฉพาะท่เี ก่ียวกับพระพทุ ธศาสนา
ข้นั ตอนการประดษิ ฐ์ ปจั จบุ นั นำ� มาจัดเป็นชอ่ จดั เป็นแจกนั ทำ� กระเช้า ทำ� เข็มกลัดตดิ เสอื้ ส�ำหรับ
น�ำต้นโสนทต่ี ากแหง้ แลว้ มาตดั ออกเป็นท่อนๆ ตามขนาดทตี่ อ้ งการ มอบใหเ้ นอื่ งในโอกาสตา่ งๆ เปน็ ของทร่ี ะลกึ ใชส้ ำ� หรบั ตกแตง่ สถานทปี่ ระกอบ
ใชม้ ดี ปอกเปลอื กสนี ำ้� ตาลออกและฝานตน้ โสนออกเปน็ แผน่ บางๆ นำ� มาประดษิ ฐ์ เป็นไฟราวดอกไม้ประดิษฐ์จากต้นโสนหางไก่ ร้อยเป็นพวงมาลัยดอกมะลิ
เปน็ ดอกไมแ้ ลว้ แตว่ า่ ตอ้ งการจะทำ� เปน็ ดอกชนดิ ใด เชน่ หากจะทำ� ดอกมะลบิ าน ดอกมะลิติดเสอื้ พานพุม่ มะลสิ �ำหรบั วันแม่
ให้น�ำแผ่นโสนท่ีได้จากการฝานมาม้วนให้เป็นปอนเส้นผ่านศูนย์กลางตาม อยา่ งไรกต็ าม วตั ถดุ บิ ในปจั จบุ นั คอื ตน้ โสนหางไกห่ าไมไ่ ดใ้ นทอ้ งถนิ่
ขนาดของดอกท่ตี ้องการ จากน้นั ตดั หวั ตดั ท้ายใหเ้ รยี บ แล้วใชม้ ดี คมๆ ผา่ ให้ เนอื่ งจากการทำ� นาปรงั ปลี ะหลายหน ทำ� ใหโ้ สนโตไมท่ นั และการใชย้ ากำ� จดั
เปน็ กลบี ใชม้ ือคลึงในลักษณะทวนเขม็ นาฬกิ า ให้กลีบท่ผี า่ ไว้สลับกลีบกัน วัชพชื ท�ำให้โสนตายไปดว้ ย ผ้ผู ลติ ตอ้ งส่งั ซอ้ื มาจากจงั หวดั นครนายก และ
แล้วกดหนา้ ใหบ้ มุ๋ เล็กน้อย ใช้เชือกพันแลว้ ดึงให้กลบี ขยายออกแล้วใช้ดา้ ยผกู ปราจีนบุรี โดยผ่านพ่อค้าคนกลาง ประกอบกับมีผู้ท�ำดอกไม้ประดิษฐ์จาก
ใหแ้ น่น ตน้ โสนหางไก่ และโรงงานทผ่ี ลติ ดอกไมจ้ ากตน้ โสนเกดิ ขนึ้ หลายแหง่ ทำ� ใหเ้ กดิ
หากตอ้ งการท�ำดอกมะลติ มู ใหต้ ดั แผน่ โสนให้เปน็ ช้ินเล็กๆ ขนาด การแขง่ ขนั กนั ในการซื้อวัตถดุ ิบ ส่งผลให้วัตถุดิบมรี าคาคอ่ นขา้ งสงู
ประมาณ ๑.๕ - ๒ เซนตเิ มตร ใสใ่ นถงุ พลาสตกิ แลว้ ใชก้ ระบอกฉดี นำ�้ ฉดี ใหท้ วั่
เพอื่ ใหแ้ ผน่ โสนนม่ิ นำ� โสนทฉี่ ดี นำ้� ไวม้ า ๒ ชน้ิ วางซอ้ นกนั ใหเ้ หลอ่ื มกนั เลก็ นอ้ ย
แลว้ บิดพบั ให้เปน็ รปู ดอกมะลิ จากนน้ั ใช้ฟลอรา่ เทปมาพนั ทก่ี า้ นดอก
     ถ้าจะท�ำดอกกุหลาบให้น�ำแผ่นโสนท่ีฝานมาตัดตามขนาดของกลีบ
ดอกทตี่ อ้ งการ แล้วน�ำไปย้อมสี ใชน้ ้ำ� พรมใหท้ ่วั แลว้ ใชม้ ือมว้ นทป่ี ลายกลบี
ดา้ นบนให้โคง้ เลก็ น้อย พอท�ำได้ตามจ�ำนวนท่ีตอ้ งการ ประกอบเขา้ เป็นดอก
ให้กลบี เล็กอยู่ดา้ นในและคอ่ ยๆ ใหญ่ขึน้ เรอื่ ยๆ ใช้ด้ายมัดให้แน่น

178 179
การท�ำสายไหมและหวั เช้ือ
โรตีสายไหม เมอ่ื เห็นร้านโรตีสายไหม สายไหมสามารถเกบ็ ไวไ้ ดห้ ลายวนั ไมบ่ ดู แตจ่ ะคนื ตวั กลบั เปน็ นำ�้ ตาล
แสดงว่ากำ� ลังเขา้ เขตพระนครศรีอยธุ ยา ได้งา่ ยถ้าโดนความชน้ื หรือโดนความรอ้ น การเกบ็ สายไหมจึงตอ้ งไมใ่ หโ้ ดน
คนไทยเปน็ นักดัดแปลงอาหารของชาตติ ่างๆ ให้เหมาะสมกบั สภาพ ความชนื้ ความร้อน การทำ� จึงท�ำครงั้ ละมากๆ เพื่อเกบ็ ไว้ไดห้ ลายวนั ขน้ั ตอน
ทอ้ งถ่นิ วัตถดุ บิ ทหี่ าได้ เครอื่ งมือเครื่องใช้ตลอดจนการบรโิ ภคแบบไทย จน สำ� คญั ในการทำ� สายไหมคอื ขัน้ ตอนการดงึ สายไหม เปน็ การดึงน�ำ้ ตาลทรายที่
ท�ำให้คนรุ่นหลังแยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมท่ีเป็นไทยแท้และอะไรดัดแปลง เคี่ยวเปน็ ก้อนแลว้ มาใส่ในถาดอะลูมเิ นียม ๔ เหล่ียม ขนาดใหญ่ มีหัวเชอื้ ที่
มาจากวฒั นธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมท่ใี ช้ไขแ่ ละขนมทต่ี ้องเขา้ เตาอบ ซึง่ ป้องกันไม่ให้สายไหมที่ดึงแล้วไปเกาะกันรองก้นอยู่ ใช้ผู้ที่มีความแข็งแรงใน
เข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจากคุณท้าวทองกีบม้ามีชื่อเต็ม การดงึ อย่างเรว็ เพือ่ ไมใ่ หน้ �้ำตาลแข็งตัว การทำ� สายไหมมักทำ� ในตอนกลางคืน
ว่ามารีอากูโยมาร์ เด ปิญญา แต่มกั เปน็ ทร่ี ้จู กั ในชือ่ มารี กมี าร์ ภรรยาเช้อื ชาติ คอื ชว่ งหวั คำ�่ (๑๘.๐๐ น. - ๒๑.๐๐ น.) หรอื เชา้ มดื (๐๔.๐๐ น. - ๐๖.๐๐ น.)
ญ่ปี นุ่ -โปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนตนิ ฟอลคอน) ขุนนาง เพราะอากาศไม่ร้อนและต้องท�ำในช่วงท่ีไม่ได้ขายโรตีสายไหมเพราะต้องใช้
กรีกทีท่ ำ� ราชการในรัชกาลสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช จนเขา้ ใจวา่ ขนม พนื้ ทใี่ นการดงึ สายไหมมาก และทสี่ ำ� คญั คนดงึ สายไหมอาจมงี านอน่ื ทำ� ประจำ� อยู่
เหลา่ นเ้ี ปน็ ของไทย เชน่ ทองหยบิ ทองหยอดและฝอยทอง ซงึ่ ดดั แปลงมาจาก สำ� หรบั รา้ นทม่ี พี ้นื ทีม่ าก คนดงึ สายไหมอย่ปู ระจำ� อาจทำ� ชว่ งกลางวันกไ็ ด้
ขนมของชาวโปรตุเกส คนไทยยงั ชา่ งคดิ ท�ำขนมต่างๆ จากวัตถุดบิ หลักจาก
แปง้ ตา่ งๆ น�ำ้ ตาลทราย น้�ำตาลปบ๊ี มะพรา้ ว เปน็ ขนมได้หลายชนิด หวั เชอ้ื และสายไหม
โรตสี ายไหม จดั เปน็ ขนมไทยอกี ชนดิ หนงึ่ ทใี่ ชแ้ ปง้ สาลี และนำ้� ตาลทราย
เปน็ วตั ถดุ บิ หลกั ในการทำ� ถอื วา่ เปน็ การแปรรปู วตั ถดุ บิ ใหม้ คี วามหลากหลาย
จงึ เกดิ ขนมชนดิ ใหมข่ น้ึ มา คอื “โรตสี ายไหม” ทเ่ี รยี กวา่ โรตสี ายไหม อาจเปน็
เพราะมแี ผ่นแป้ง ซ่ึงเป็นโรตี และมไี ส้ท่ีทำ� จากนำ้� ตาลทรายเคี่ยวดึงเปน็ เส้น
เหมือนสายไหม โรตีสายไหมจึงถือก�ำเนิดท่ีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดย
นายซาเลม็ (บงั เปยี ) แสงอรณุ  เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ จะเหน็ วา่ โรตสี ายไหม
เกดิ ขน้ึ เมอ่ื ไม่กส่ี ิบปี แตเ่ ปน็ ท่ีนิยมแพร่หลายอยใู่ นขณะน้ี
การขายโรตสี ายไหมในระยะแรก เมอ่ื ๕๐ กวา่ ปี กลมุ่ ลกู คา้ สว่ นใหญ่
เปน็ เดก็ ๆ ผขู้ ายจะใชก้ ลอ่ งสงั กะสคี กู่ นั ดา้ นหนา้ มกี ระจกใสใสแ่ ผน่ แปง้ ดา้ นหนง่ึ
ใสส่ ายไหมดา้ นหนง่ึ สะพายบา่ หรือข่รี ถจกั รยานไปขายตามที่ต่างๆ ทมี่ ีเดก็
แมแ้ ตโ่ รงเรยี น บางโรงเรยี นหา้ มเขา้ ไปขายแตเ่ ดก็ ๆ กอ็ ดไมไ่ ดท้ จ่ี ะแอบไปซอ้ื
เพราะเปน็ ขนมชนดิ ใหม่ วธิ กี ารซอื้ กไ็ มเ่ หมอื นขนมทว่ั ไป คอื จะตอ้ งใชเ้ หรยี ญสลงึ
หยอดในชอ่ งทพี่ อดกี บั ขนาดของเหรยี ญ ซงึ่ เปน็ การตอ่ ไฟฟา้ ใหค้ รบวงจร ทำ� ให้
เขม็ ทหี่ นา้ ปดั หมนุ เมอ่ื เขม็ หยดุ ชต้ี รงกบั เลขใดกจ็ ะไดโ้ รตตี ามจำ� นวนนนั้ นบั วา่
เปน็ การขายแบบลอ่ ใจเดก็ ๆ เพราะไดล้ นุ้ วา่ จะไดก้ อี่ นั ถา้ ไดห้ ลายอนั กจ็ ะแบง่
เพือ่ นๆ สนิ ค้าทีข่ ายคกู่ ับโรตีสายไหม คือ ตังเม
โรตสี ายไหม มสี ว่ นประกอบอยู่ ๒ สว่ น คอื ส่วนทเ่ี ปน็ แผ่นแป้ง
และส่วนที่เป็นไส้หรือสายไหม ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีฝีมือในการท�ำ
โรตสี ายไหมเป็นอย่างมาก

180 181
วตั ถุดบิ
๑. แปง้ สาลี ขั้นตอนการท�ำสายไหม
๒. นำ้� ตาลทราย ซึ่งผ้ดู งึ สายไหมจะนิยมดงึ สายไหม
๓. น้�ำมนั บวั
๔. นำ�้ ในเวลากลางคืน หรือเชา้ มดื
อุปกรณ์ เพราะอากาศไมร่ ้อน
๑. กระทะ
๒. เตาไฟพรอ้ มเชื้อเพลิง และผ้ทู ี่ดงึ สายไหมต้องร่างกายแขง็ แรงดว้ ย
๓. ถาดอะลมู เิ นยี ม
๔. กะละมังอะลมู เิ นยี ม
๕. ไมด้ งึ ๒ อนั (เปน็ ไมเ้ นอ้ื แขง็ เปน็ แทง่ กลมยาวประมาณ ๕ นว้ิ )
๖. เกียงโปว้ สี
ขน้ั ตอนท�ำหวั เชื้อ
๑. ท�ำหัวเช้ือเตรียมไว้ ผสมแป้งสาลีกับน้�ำมันพืชใส่กระทะ
ไปตั้งไฟเพอื่ เค่ยี วให้เข้ากัน ใช้ทัพพคี นไมใ่ ห้รอ้ นหรือเย็นจนเกิน
๒. เทหวั เช้ือลงในถาดอะลูมเิ นียมขนาดใหญ่ เพอื่ เป็นหัวเชื้อ
ในการดึงสายไหม
ข้นั ตอนการท�ำสายไหม
๑. น�ำน้�ำตาลทรายมาเคี่ยวในกระทะ ตั้งไฟประมาณ ๒๐ นาที
พอเค่ยี วได้ทแ่ี ล้ว น�ำ้ ตาลเหนยี วทดลองนำ� มาหยดลงนำ้� ใหจ้ ับกันเปน็ กอ้ น
๒. เทน�้ำตาลที่เค่ียวได้ที่แล้วใส่ในกะละมังอะลูมิเนียมแล้วน�ำไป
หล่อน้�ำใหเ้ ยน็
๓. เตมิ กล่นิ ธรรมชาตติ ามความชอบของลูกคา้ สว่ นใหญ่จะใส่กลิน่
ใบเตย เพราะท�ำให้มีกล่ินหอม หรือสีผสมอาหารเพ่ือให้มีสีน่ารับประทาน
คอยใชเ้ กียงโป้วสแี ซะไม่ใหน้ ำ�้ ตาลติดกะละมัง
๔. นำ� นำ�้ ตาลทห่ี ลอ่ นำ้� พอทใี่ ชม้ อื จบั ไดไ้ มร่ อ้ น ไปวางในถาดอะลมู เิ นยี ม
นวดดงึ ให้เปน็ วงกลมแลว้ น�ำไปวางบนหัวเช้ือสายไหม
๕. น�ำไม้ดึงไหม ดึงยืดน้�ำตาลให้ผสมกับหัวเชื้อสายไหมจนแตก
เป็นเสน้ ไปเร่ือยๆ จนกวา่ จะไดท้ ี่ และดึงสายไหมให้ขาดออกจากกัน จากน้นั
น�ำไปผงึ่ ไว้ในถาดให้เย็น

182 183
การทำ� แผน่ แปง้ โรตี ภมู ิปัญญาจากโรตสี ายไหม
แผ่นแป้งโรตี ถือว่าเป็นหัวใจส�ำคัญท่ีจะท�ำให้โรตีของแต่ละร้าน ๑. เป็นการคิดค้นน�ำวตั ถดุ ิบท่ีมีอยูใ่ หเ้ กิดเป็นขนมชนดิ ใหม่ และมี
มีความแตกต่างกนั ทัง้ ดา้ น กลนิ่ สี รสชาติ ซึ่งเปน็ สูตรลบั เฉพาะของ การพฒั นาต่อยอดใหแ้ ปลกไปกว่าเดิม
แตล่ ะรา้ น โดยจะใชส้ ว่ นผสมใสล่ งไปในแปง้ โรตี ถา้ ทำ� สำ� เรจ็ กถ็ อื วา่ เปน็ เจา้ แรกไป ๒. ทำ� ใหเ้ กดิ อาชพี ทม่ี น่ั คงและมรี ายไดด้ ี สามารถทำ� ไดท้ กุ เพศทกุ วยั
แผน่ แปง้ โรตจี ะตอ้ งทำ� ใหมๆ่ ไมเ่ กบ็ ไวข้ า้ มวนั เพราะผซู้ อื้ เมอ่ื ซอ้ื แลว้ ตอ้ งนำ� ไป เดก็ รนุ่ ใหมก่ ็สามารถท�ำอาชพี นีไ้ ด้ ยกตัวอยา่ งเช่น นางสาวผ วิภักดีรตั นมณี
เกบ็ ไวอ้ กี แผน่ แปง้ เมอ่ื เกบ็ ไวข้ า้ มวนั จะแขง็ ไมน่ ่มุ และเกิดเชอ้ื ราไดง้ ่าย แหง่ รา้ นโรตสี ายไหม ๕ ผ. ซงึ่ เปน็ วยั รนุ่ กส็ ามารถทจ่ี ะทำ� แผน่ แปง้ โรตสี ายไหม
วตั ถุดบิ ต้ังแต่การหมกั แป้ง จนถงึ การแตม้ แผ่นแปง้ ไดด้ ว้ ยตนเอง
๑. แปง้ สาลี และแปง้ มนั ๓. เปน็ ของฝาก เนอ่ื งจากจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา เปน็ จงั หวดั ทมี่ ี
๒. เกลือ แหลง่ ท่องเทีย่ วและแหล่งศึกษาทางดา้ นธรรมชาติ ภูมปิ ญั ญา ประวัตศิ าสตร์
๓. สารแต่งกลนิ่ มสี ถานทส่ี ำ� คัญ มพี ระพุทธรูปและสิง่ ศกั ดิ์สิทธิห์ ลายแห่ง จึงเป็นจังหวัดท่ีมี
๔. สผี สมอาหาร นักทอ่ งเที่ยวมากมายเขา้ มาเยยี่ มชม และมกั จะซอื้ โรตสี ายไหมเป็นของฝาก
๕. น�้ำ ติดไมต้ ดิ มือกลบั ไป
อปุ กรณ์ อนาคตของโรตสี ายไหม
๑. กระทะแบน ๑. โรตสี ายไหมยงั เปน็ ขนมทเ่ี ปน็ ทน่ี ยิ ม โดยเฉพาะเปน็ ของฝากจาก
๒. เตาไฟพร้อมเช้ือเพลิง จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ดงั นนั้ ผทู้ ำ� จะตอ้ งมกี ารพฒั นารปู แบบกลน่ิ สี รสชาติ
๓. เกียงโปว้ สี การบรรจุหีบหอ่ ให้มคี วามแปลกใหม่อย่เู สมอ
๔. ถาดกลม ๒. ราคาไมแ่ พง เพราะมกี ารแขง่ ขนั กนั มาก เนอื่ งจากมกี ารทำ� หลายแหง่
  ๕. กะละมงั อะลูมเิ นยี มหรือกะละมงั พลาสตกิ ใบใหญ่ ทำ� ให้มีราคาถูกและราคาเปน็ มาตรฐานเดยี วกนั ยกเว้นร้านท่ีมชี ่อื เสยี งมักมี
ขน้ั ตอน ราคาแพง เคยมกี ารกำ� หนดราคาโรตสี ายไหมใหมใ่ หเ้ ปน็ ราคามาตรฐาน แตบ่ างรา้ น
๑. นำ� น�้ำใสล่ งในกะละมัง ใส่เกลือลงไป คนให้ละลาย ไมย่ อมขน้ึ ตามราคาใหมท่ ก่ี ำ� หนด เนอื่ งจากทำ� กนั ในครวั เรอื น ไมเ่ สยี คา่ แรง
๒. นำ� แปง้ สาล,ี แปง้ มนั ใสต่ ามลงไปถา้ ตอ้ งการเตมิ กลนิ่ สีกใ็ สล่ งไป ไมเ่ สยี คา่ เชา่ ท่ีในการเปิดรา้ นขาย
ในชว่ งนี้ นวดใหส้ ว่ นผสมเขา้ กนั จนเหนยี ว หมกั ทง้ิ ไวป้ ระมาณ ๑๐ - ๑๕ นาที ๓. ความสะอาด เป็นหัวใจส�ำคญั ในการทำ� โรตี ทัง้ วสั ดุ อปุ กรณ์
๓. ใชก้ ระทะแบน ตง้ั ไฟใหร้ อ้ นพอประมาณ นำ� แปง้ ทหี่ มกั ทง้ิ ไว้ ในการท�ำ และตวั ผทู้ �ำ รวมถงึ ขัน้ ตอนในการท�ำ จนจ�ำหน่าย นอกจากรสชาติ
มาแตม้ บนกระทะเปน็ วงกลม ไมห่ นาหรอื บางจนเกนิ ไป ใชเ้ กยี งเกลยี่ ใหเ้ สมอกนั ราคาแลว้ เร่อื งความสะอาดน่าจะเป็นจดุ ขาย ท่แี ต่ละร้านควรให้ความสำ� คญั
เม่อื แป้งสกุ แล้วใช้เกียงแซะแผ่นโรตีน�ำมาเรยี งซอ้ นกนั ในถาด ๔. สถานทจ่ี ำ� หนา่ ยโรตสี ายไหม ตงั้ อยบู่ นถนนอทู่ อง ตำ� บลประตชู ยั
๔. น�ำแปง้ เกบ็ ไวใ้ นลงั เก็บน�ำ้ แขง็ เพื่อใหแ้ ป้งร้อนตลอดเวลา หรอื จะเรยี กวา่ เสน้ โรตสี ายไหม ถนนตง้ั แตห่ ลงั มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั พระนคร-
ศรอี ยุธยา จนถงึ หนา้ โรงพยาบาลจงั หวัดพระนครศรีอยุธยา เปน็ ถนนแคบ
การทำ� แผ่นแปง้ โรตี มี ๒ ช่องทางจราจรและยังเป็นแหล่งชมุ ชน ทำ� ให้ไม่สะดวกในการจอดรถ
ซือ้ โรตีสายไหม ส่งผลท�ำใหร้ ถติด พน้ื ที่ท่ีจอดรถสะดวกคอื ถนนสรรเพชญ์
ตดั กบั ถนนอทู่ องดา้ นขา้ งโรงพยาบาลพระนครศรอี ยธุ ยา ซง่ึ เปน็ ถนน ๔ ชอ่ งทาง
จราจร

184 185
จากการสัมภาษณ์นางยพุ นิ เรอื งบุญญา เจ้าของร้านก๋วยเตีย๋ วเรอื
กว๋ ยเตยี๋ วเรืออยธุ ยา : มรดกทางวัฒนธรรมแหง่ สายน้�ำ ป้ายุพินแห่งวัดทา่ การ้อง ให้ข้อมลู ว่าได้สบื ทอดการขายก๋วยเต๋ียวเรอื มา
ตงั้ แตร่ ุ่นคณุ พ่อทข่ี ายกว๋ ยเต๋ยี วเรอื มากวา่ ๔๐ ปี ตง้ั แตส่ มยั ใชส้ �ำป้ันเรอื พาย
สมยั นหี้ ากพูดถึงก๋วยเตย๋ี วเรอื หลายคนก็จะนึกถงึ ภาพร้านกว๋ ยเตี๋ยว พายขายอยบู่ รเิ วณวดั พนญั เชงิ จนเปลย่ี นมาใชเ้ รอื ตดิ เครอื่ งยนต์ และปจั จบุ นั
ทม่ี เี รืออยดู่ า้ นหน้า ภาพกว๋ ยเตีย๋ วชามเลก็ ๆ รสชาตจิ ดั จ้าน น้�ำสีข้นๆ ปา้ ยพุ นิ จอดเรือขายอยู่ที่ท่าน�้ำวัดทา่ การอ้ ง แต่เดมิ กว๋ ยเตย๋ี วเรอื เป็นแบบ
รับประทานคู่กับแคบหมู มีใบโหระพาเป็นผักเคียง จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา น�ำ้ ซุปใสและต้มย�ำ ต่อมาประยุกต์เพ่มิ เตมิ เป็นกว๋ ยเตีย๋ วน้�ำตกท่ใี สเ่ ลอื ดหรอื
กเ็ ปน็ จงั หวดั หนง่ึ ทข่ี น้ึ ชอื่ วา่ เปน็ แหลง่ กว๋ ยเตยี๋ วเรอื อรอ่ ย ดว้ ยความทม่ี ภี มู ปิ ระเทศ กะทิ
โอบลอ้ มไปด้วยแมน่ ำ�้ ลำ� คลองหลายสาย เชน่ แม่นำ้� เจา้ พระยา แมน่ �ำ้ ลพบุรี ปา้ ยพุ ินได้เปดิ เผยถงึ สตู รการท�ำก๋วยเตีย๋ วเรอื ซงึ่ มที งั้ ก๋วยเตี๋ยวหมู
แม่น้�ำป่าสัก แม่น�้ำน้อย วิถีชีวิตของคนพระนครศรีอยุธยาจึงผูกพันอยู่กับ และกว๋ ยเตย๋ี วเนอื้ โดยเรม่ิ จากสว่ นผสมและการปรงุ นำ�้ ซปุ ทถ่ี อื เปน็ หวั ใจสำ� คญั
สายน�้ำและใหค้ วามส�ำคญั กับแม่น้ำ� ลำ� คลองมาตัง้ แตอ่ ดตี ทั้งใช้เปน็ เส้นทาง ของกว๋ ยเตย๋ี วเรอื การปรงุ นำ�้ ซปุ กว๋ ยเตยี๋ วเนอื้ และนำ�้ ซปุ กว๋ ยเตยี๋ วหมู มสี ว่ นผสม
สัญจรไปมา การประกอบอาชีพต่างๆ รวมทงั้ การซอ้ื ขายแลกเปล่ียนสนิ ค้า ทเ่ี หมอื นกนั คือ นำ�้ เปลา่ รากผกั ซี พริกไทย น�้ำมนั หอย ซอสปรุงรส น�้ำตาล
ไมเ่ วน้ แมแ้ ตเ่ ร่อื งอาหารการกนิ ท่ีมีท้ังเรือขายกาแฟ พืชผกั ผลไม้ และท่ี ทรายกรวด เนือ้ และนำ�้ กระเทียมดอง แต่สว่ นผสมทแ่ี ตกต่างก็คอื ก๋วยเตย๋ี ว
โดดเดน่ เปน็ เอกลกั ษณแ์ ละยงั คงหลงเหลอื ใหเ้ หน็ ในปจั จบุ นั กค็ อื กว๋ ยเตยี๋ วเรอื เนอ้ื จะใส่ผงปรุงรสไก่ ผงก๋วยเตีย๋ วเน้ือ และเตา้ ห้ยู ี้ เพอ่ื ใหน้ ้�ำซปุ หอมและ
ในสมัยก่อนก๋วยเตีย๋ วเรือขายอยใู่ นเรอื จรงิ ๆ พ่อค้าแม่ค้าจะพายเรือ ดบั กลิ่นคาว ส่วนก๋วยเตย๋ี วหมูจะใสก่ ระดกู หมูสว่ นขาต้งั ซึง่ เป็นส่วนทีต่ ิดมนั
ขายไปตามแมน่ ำ�้ ลำ� คลอง แตเ่ มอื่ ยคุ สมยั เปลยี่ นไป กว๋ ยเตย๋ี วเรอื จงึ ตอ้ งยกเรอื ชว่ ยทำ� ใหน้ ำ้� ซปุ มรี สหวาน ผงปรงุ รสหมู และผงกว๋ ยเตย๋ี วหมนู ำ�้ ตก เคลด็ ลบั
มาขายกนั บนบก แตก่ ย็ งั ไดร้ บั ความนยิ มจากนกั ชมิ เอกลกั ษณอ์ นั เปน็ เสนห่ ์ ในการปรุงนำ้� ซปุ คือตอ้ งลา้ งเนือ้ สด เน้ือปน้ั ลูกชนิ้ กระดูกหมู หลายๆ รอบ
ของก๋วยเตย๋ี วเรอื ทแ่ี ตกต่างจากกว๋ ยเตย๋ี วทว่ั ไป นน่ั คือ ชามทใี่ ส่มีขนาดเล็ก เพือ่ ให้หมดกลน่ิ คาว น้�ำเปล่าต้องต้มใหเ้ ดือดพล่านและเมื่อปรงุ รสแล้วให้
ปรมิ าณพอเหมาะ รสชาตจิ ดั จ้าน น�้ำซุปสขี ้น เพราะใสเ่ ครื่องปรงุ ท่ีต่างจาก เคี่ยวน�ำ้ ซปุ ทงิ้ ไว้ประมาณ ๒ ชว่ั โมง โดยหา้ มคนเดด็ ขาด มิฉะน้นั น�้ำซุปจะมี
กว๋ ยเตย๋ี วชนดิ อนื่ คอื ซอี ว๊ิ ดำ� เตา้ หยู้ ี้ และเครอื่ งเทศตา่ งๆ เปน็ ตน้ อกี ทง้ั กลน่ิ คาว ไมอ่ รอ่ ย เคลด็ ลบั อกี อยา่ งทป่ี า้ ยพุ นิ เปดิ เผยโดยไมห่ วงกค็ อื การหมกั
ยังมีน้�ำตก คือ เลือดวัวหรือหมูผสมกับเกลือ ส�ำหรับปรุงใส่ในน�้ำก๋วยเตี๋ยว เนื้อและหมู หากตอ้ งการใหน้ ่มุ ตอ้ งใส่ไข่ไก่ลงไปหมกั ดว้ ย โดยหมู ๑ กโิ ลกรมั
การรับประทานก๋วยเตี๋ยวเรือ นิยมรับประทานกับกากหมูหรือแคบหมูและ จะใช้ไข่ไก่ฟองใหญ่ ๒ ฟอง
ใบกะเพราหรือโหระพาเพื่อดบั กลนิ่ คาว ปา้ ยพุ นิ บอกวา่ ทเี ดด็ ของรา้ นนอ้ี ยทู่ น่ี ำ้� ซปุ ทมี่ รี สชาตเิ ขม้ ขน้ การปรงุ
กว๋ ยเตยี๋ วนำ้� ตกกจ็ ะใสเ่ ลอื ดปรงุ ชามตอ่ ชาม ไมไ่ ดใ้ สเ่ ลอื ดลงไปในหมอ้ นำ�้ ซปุ เลย
ก๋วยเต๋ยี วเรอื รา้ นปา้ ยุพนิ อยบู่ นเรอื จริงๆ พรกิ ปน่ ทใี่ ชก้ ค็ วั่ และปน่ เอง จงึ ไดพ้ รกิ ทส่ี ะอาดและหอม ลกู คา้ ทม่ี ารบั ประทาน
สว่ นใหญ่นิยมสงั่ กว๋ ยเตย๋ี วหมนู ำ�้ ตก

ก๋วยเตยี๋ วเรือในรปู แบบต่างๆ
นกั ทอ่ งเทยี่ วสามารถเลือกล้มิ ลองตามรสนยิ ม

186 187
นอกจากก๋วยเต๋ียวเรือร้านป้ายุพินที่แนะน�ำให้มาลองชิมกันแล้ว นอกจากน้ียงั มรี า้ นก๋วยเตย๋ี วอกี มากมาย เช่น ร้านกว๋ ยเตย๋ี วเรอื
หากท่านแวะเวียนมายังจังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็จะได้พบกับร้านก๋วยเต๋ียว ซนิ เฮง รา้ นกรงุ เกา่ กว๋ ยเตยี๋ วเรอื หมอ้ ดนิ รา้ นกว๋ ยเตยี๋ วเรอื เจน๊ ดิ รา้ นกว๋ ยเตย๋ี ว
อรอ่ ยๆ มากมาย แตล่ ะรา้ นมสี ตู รเดด็ เคลด็ ลบั ทแี่ ตกตา่ งกนั ไป ซงึ่ ขอแนะนำ� เรือวดั ใหญ่ไกฉ่ ีก รา้ นกว๋ ยเตี๋ยวเรอื คลองสระบวั รา้ นเฮียติ่งก๋วยเตีย๋ วหมู
เพอ่ื เปน็ แนวทางให้ไปคน้ หาความอรอ่ ยกนั พอสงั เขป ดงั น้ี ร้านก๋วยเต๋ียวนายเลย๊ี ก รา้ นก๋วยเต๋ยี วผกั หวาน ฯลฯ หากมีโอกาสอยา่ ลมื มา
รา้ นก๋วยเต๋ียวเรอื ป้าเลก็ นำ้� ตกรา้ นปา้ เล็กปรงุ ดว้ ยเลือด นำ�้ ขน้ สีเข้ม ลิม้ ลองรสชาติดว้ ยตัวเองถึงถิน่ ก๋วยเตยี๋ วเรือแหง่ นี้
แบบโบราณรสชาตอิ อกหวานนิดๆ ใส่มาในชามแบบขลุกขลกิ อรอ่ ยขนึ้ ชอ่ื
ท้ังก๋วยเตี๋ยวน้ำ� ตกหมูและน้ำ� ตกเนอื้ เวลาไปรับประทานแนะน�ำวา่ ควรจะสง่ั ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ หรอื ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น เปน็ ความรู้ ทกั ษะทกุ อยา่ ง
ทเี ดยี ว ๓ - ๔ ชามเลย มเิ ชน่ น้ันตอ้ งตอ่ คิวใหม่ซงึ่ ยาวมาก รา้ นนีต้ ั้งอยู่บริเวณ ทชี่ าวบา้ นคดิ ขน้ึ ไดเ้ อง เปน็ เทคนคิ วธิ ี เปน็ องคค์ วามรขู้ องชาวบา้ น เปน็ ผลงาน
หนา้ องคก์ ารโทรศัพทพ์ ระนครศรอี ยธุ ยา ที่คิดค้นขน้ึ ได้ โดยอาศัยศักยภาพท่ีมีอยู่และน�ำมาใช้ในการแกป้ ัญหาการ
ร้านก๋วยเตยี๋ วเรือลงุ เล็ก แม้จะชื่อเลก็ เหมอื นกันกับรา้ นปา้ เลก็ แต่ ดำ� เนนิ ชีวิตในทอ้ งถิน่ ได้อยา่ งเหมาะสมกับยุคสมยั ซงึ่ ไดส้ ืบทอดและเชอื่ มโยง
ก๋วยเตยี๋ วร้านนกี้ ็มีสูตรเด็ดเฉพาะของตนเอง รบั ประทานคกู่ บั ถวั่ งอกดบิ และ มาอย่างต่อเนอื่ งตง้ั แตอ่ ดีตถงึ ปจั จบุ ัน ถ้าภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เปน็ ที่ยอมรับของ
ใบโหระพาสด อร่อยจนต้องสัง่ เพิ่ม ร้านน้ตี ัง้ อยู่ตรงข้ามวดั ราชบูรณะ  คนท้ังชาติ ไม่ใช่เฉพาะท่ีใดท่ีหน่ึง ก็จะกลายเป็นภูมิปัญญาไทยที่ควรค่า
ร้านก๋วยเต๋ยี วเรอื หมูปา้ พร สูตรก๋วยเตย๋ี วโบราณท่ีสบื ทอดกันมา แก่การอนุรักษ์สืบไป
ตงั้ แต่รุ่นแมส่ รู่ ุ่นลูก ดดั แปลงเติมแต่งสตู รประจำ� ตวั ของปา้ พรผสมเข้าไป
จนกลายเปน็ ก๋วยเตยี๋ วรสเด็ดขวญั ใจนกั ชมิ จุดเด่นของรา้ นปา้ พรอยทู่ ีค่ วาม
พถิ พี ถิ นั ทกุ ขน้ั ตอน ตง้ั แตก่ ารเลอื กวตั ถดุ บิ ทสี่ ดใหม่ หลงั จากนน้ั กล็ งมอื ทำ� เอง
ทุกขั้นตอน ร้านต้ังอยู่ที่ตรอกโรงฆ่าสัตว์ (เก่า) แยกจากถนนป่ามะพร้าว
(สาย ๑)
รา้ นกว๋ ยเตยี๋ วเรอื ปา้ ปุ๊ เปน็ กว๋ ยเตย๋ี วไกฉ่ กี ปา้ ปขุ๊ ายกว๋ ยเตย๋ี วมากวา่
๖๐ ปแี ลว้ เดมิ พายเรอื ขายไปตามคลองหนา้ วดั เจา้ เจด็ ใน แตก่ อ่ นขายชามละ
๑ บาท ปัจจบุ ันยกเรอื ขึ้นบกมาขายอยู่หนา้ วัดเจา้ เจด็ ในอำ� เภอเสนา

ก๋วยเต๋ียวต่างสูตร ตา่ งลีลา ต่างรสชาติ

บรรณานกุ รม ขอขอบคุณผ้อู นเุ คราะห์ขอ้ มูล

คณะกรรมการฝา่ ยประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำ� นวยการจดั งานเฉลมิ พระเกยี รติ นายภิรมย์ นันทวงค ์ ผ้อู ำ� นวยการส�ำนักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษา
พระเจา้ อยู่หวั เนอ่ื งในโอกาสพระราชพธิ มี หามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธนั วาคม พระนครศรอี ยุธยา เขต ๑
๒๕๔๒. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์ เอกลกั ษณ์และภมู ปิ ญั ญา จงั หวัด นายอารักษ์ พฒั นถาวร รองผูอ้ �ำนวยการสำ� นักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษา
พระนครศรอี ยธุ ยา. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์คุรสุ ภา, ๒๕๔๔. พระนครศรีอยุธยา เขต ๑
นางสาวกลั ยาณี นรสิงห์ รองผู้อำ� นวยการส�ำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา
จฬุ รกั ษ์ ดำ� รหิ ก์ ลุ . นครประวตั ศิ าสตร์ พระนครศรอี ยธุ ยา มรดกโลกทางวฒั นธรรม. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ พระนครศรอี ยุธยา เขต ๑
คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๓๖. นายฉัตรชยั นว่ มโพธ ์ิ รองผู้อ�ำนวยการส�ำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษา
พระนครศรีอยธุ ยา เขต ๑
น. ณ ปากน้�ำ. ห้าเดือนกลางซากอิฐปนู ทีอ่ ยุธยา. พิมพค์ รงั้ ที่ ๓. กรุงเทพฯ : เมอื งโบราณ, ๒๕๔๐. นายสำ� เร็จ ศรอี �ำไพ ผอู้ ำ� นวยการกลมุ่ นเิ ทศตดิ ตามและประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา
บริษทั ปตท. สำ� รวจและผลติ ปิโตรเลยี ม จ�ำกัด (มหาชน). มรดกไทย มรดกโลก. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั พมิ พ์ สพป.อย.๑
นางกาญจนา พตุ ฉาย ศึกษานิเทศ ชำ� นาญการพิเศษ สพป.อย.๑
สารคดีและเมอื งโบราณ, ๒๕๔๐. นางสาวจุฬาลักษณ์ ศาสตร์สาระ ผู้อ�ำนวยการกลุม่ อำ� นวยการ สพป.อย.๑
พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ เจา้ สามพระยา. ๕๑ ปี พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา. กรงุ เทพฯ : นางสาวอนชุ ิดา บำ� รุงวัฒน์ นักประชาสมั พันธ์ ช�ำนาญการ สพป.อย.๑
นายสมศกั ด์ิ ชโลธร ผอู้ �ำนวยการโรงเรยี นประตชู ัย สพป.อย.๑
พระรามครเี อช่นั , ๒๕๕๖. นายมานพ สุขเกษม ผู้อำ� นวยการโรงเรยี นวดั กลางคลองสระบวั สพป.อย.๑
วินยั พงศศ์ รเี พียร. พรรณนาภมู สิ ถานพระนครศรอี ยธุ ยา เอกสารจากหอหลวง (ฉบบั ความสมบรู ณ)์ . นายอุดม วงษ์ทับทมิ ผู้อ�ำนวยการโรงเรียนปฐมวทิ ยาคาร สพป.อย.๑
นายนพคุณ ลคั นาวิเชียร ผู้อำ� นวยการโรงเรยี นพรพนิ ติ พิทยาคาร สพป.อย.๑
กรุงเทพฯ : สำ� นักพมิ พ์อุษาคเนย์, ๒๕๕๑. นายสุขเกษม รัชนกี ร ผู้อ�ำนวยการโรงเรยี นวดั มเกยงค์ สพป.อย.๑
ศรีศักร วลั ลิโภดม. กรงุ ศรีอยุธยาของเรา. กรงุ เทพมหานคร : ธนาคารกรงุ ศรีอยธุ ยา, ๒๕๒๗. นายพาธนิ ทร์ พานทอง ผู้อ�ำนวยการโรงเรียนวัดทา้ วอทู่ อง สพป.อย.๑
สำ� นกั งานจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา. จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา. พระนครศรอี ยธุ ยา : เทยี นวฒั นา, ๒๕๓๙. นายธงชยั พลู อุดร ผอู้ �ำนวยการโรงเรยี นวดั ทางกลาง สพป.อย.๑
ส�ำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร. การสืบค้นภูมิปัญญาไทยในราชธานี นายโสฬส ปรยิ ตั ิฆรพันธ์ ขา้ ราชการบำ� นาญ
นายเฉลิมศกั ดิ์ ภาระธญั ญา ผอู้ �ำนวยการโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย สพม.๓
กรุงศรอี ยุธยา. ม.ป.ท., ๒๕๔๕. นายเฉลิมชยั อมิ่ มาก ผอู้ ำ� นวยการโรงเรียนอยุธยานสุ รณ์ สพม.๓
ส�ำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ. น�ำชมพิพิธภัณฑ นายคมสัน เป่ยี มชูชาต ิ ผู้อ�ำนวยการโรงเรยี นบางปะอนิ “ราชานเุ คราะห์ ๑” สพม.๓
นายวรากร รืน่ กมล ผอู้ �ำนวยการโรงเรยี นทา่ เรือ “นิตยานุกลู ” สพม.๓
สถานแห่งชาติ จันทรเกษม. พระนครศรอี ยธุ ยา : เทียนวฒั นา. ๒๕๔๕. นายดิเรก สายศริ วิ ทิ ย ์ ผู้อ�ำนวยการโรงเรยี นเสนา “เสนาประสิทธ”์ิ สพม.๓
_________. อยธุ ยาน่าเที่ยว. พระนครศรอี ยุธยา : โชคอนันตก์ ารพิมพแ์ ละบรรจุภณั ฑ์ จำ� กัด, ม.ป.ป. นางปราณี กระทุม่ เขตต ์ ผอู้ �ำนวยการโรงเรียนวเิ ชยี รกลนิ่ สุคนธ์อปุ ถมั ภ์ สพม.๓
สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ, บรรณาธกิ าร. พระเจา้ อทู่ อง สรา้ งอยธุ ยามาจากไหน?. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร. ๒๕๕๗. นายโกวิท ดนตรีเสนาะ ผู้อำ� นวยการโรงเรยี นภาชี “สนุ ทรวทิ ยานกุ ูล” สพม.๓
สุเทพ ชมู าลยั วงศ.์ น�ำเท่ยี วอุทยานประวตั ศิ าสตร์มรดกโลก จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา. ม.ป.ท. ม.ป.ป. นายสุวิชช์ชยั องั กูรสุรชัย ผู้อำ� นวยการโรงเรยี นบางปะหัน สพม.๓
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา. ทอ่ งเทย่ี วราชธานเี กา่ ไปกบั นายก อบจ. พระนครศรอี ยธุ ยา. นายสุรวฒุ ิ หงษ์ทอง ผอู้ ำ�นวยการกลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมนิ ผลฯ สพป.อย.๒
นายไพศาล ไหวฉลาด ผ้อู ำ�นวยการโรงเรยี นวัดหัวเวียง สพป.อย.๒
ม.ป.ท. ม.ป.ป.
อรรถดา คอมนั ตร.์ Ayudha A Pictorial Odyssey 1907 - 1920 กรุงเกา่ เม่อื กาลกอ่ น ภาพถา่ ย

๑๐๐ ปี พระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : บริษทั ส�ำนกั พมิ พ์ สยาม เรเนซองส์ จ�ำกัด, ๒๕๕๔.

ขอขอบคณุ ผู้อนุเคราะห์ขอ้ มลู (ต่อ)

นายวรี ชัย เกิดประกอบ ผูอ้ ำ�นวยการโรงเรียนบ้านแถววิทยาคาร สพป.อย.๒ นายกิตติ ภูพ่ งษว์ ัฒนา ครวู ทิ ยฐานะช�ำนาญการพิเศษ โรงเรียนอยธุ ยาวทิ ยาลยั
นายแสน สมนึก ศกึ ษานิเทศก์ สพป.อย.๒ นางศาริสา จนิ ดาวงษ ์ ผูอ้ �ำนวยการพพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ เจา้ สามพระยา
นายธรี ะพงษ์ การสมธร ศึกษานเิ ทศก์ สพป.อย.๒ นายเธยี รวชิ ญ์ ทรัพย์ยทุ ธ หวั หน้าบรหิ ารอุทยาน ประวตั ศิ าสตรพ์ ระนครศรอี ยุธยา
นางสนุ ีย์ การสมพจน์ ศกึ ษานเิ ทศก์ สพป.อย.๒ นางสุภนิช สขุ ภาษ ี เจา้ หนา้ ท่ีประจำ� หอ้ งนิทรรศการ กลมุ่ งานเครอื่ งป้นั ดนิ เผา
นางสาวเพ็ญพรรณ กรงึ ไกร ศึกษานิเทศก์ สพป.อย.๒ นางธนภรณ์ เกษมสวสั ด ิ์ นกั วชิ าการวฒั นธรรม อทุ ยานประวตั ศิ าสตรพ์ ระนครศรอี ยธุ ยา
นางสาวภทั รรัตน์ แสงเดอื น ศึกษานิเทศก์ สพป.อย.๒ นางสาวเขมมกิ า มะโหฬาร นกั ศึกษาฝึกงานประจำ� หอพสิ ัยศัลลักษณ์
นายพรี ะ รศั มสี ว่าง ศึกษานิเทศก์ สพป.อย.๒ พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ จนั ทรเกษม
นางสมใจ นรนิ ทร์นอก ศึกษานเิ ทศก์ สพป.อย.๒ นายภานพุ งษ์ แพง่ กุล เจ้าหนา้ ทีศ่ ูนย์ข้อมูลท่องเทยี่ วจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา
นางสาวอุษา วีระสยั ศึกษานเิ ทศก์ สพป.อย.๒ นายปรีชา ขนั ธสม เจ้าหนา้ ท่ีประจำ� อาคารทท่ี ำ� การภาค
นายกนก คลา้ ยมุข ศกึ ษานเิ ทศก์ สพป.อย.๒ พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม
นางพนิ จิ แสงอรุณ ศกึ ษานเิ ทศก์ สพป.อย.๒ นางสาวปวินนา เพ็ชรล้วน นกั โบราณคดปี ฏิบัติการ ส�ำนกั ศลิ ปากรท่ี ๓
นางชนดิ า ยนิ ดีเขต ศึกษานิเทศก์ สพป.อย.๒ นางสาวภัทราวดี ดีสมโชค นักโบราณคดีปฏบิ ัตกิ าร ส�ำนักศิลปากรท่ี ๓
นายสมจติ สิงหท์ อง นักทรัพยากรบุคคล สพป.อย.๒ นายวบิ ูลย์ เสรีชัยพร ผ้จู ัดการฝา่ ยการตลาดตราไปรษณียากร
นางสุชานรี แสนทวีสุข นกั จดั การงานทวั่ ไป สพป.อย.๒ ผศ. สายชล พงษ์กระวี สมาคมไทย - ญ่ีปนุ่
นายนิพนธ์ อตั ตะสาระ ครโู รงเรียนวัดขนอนบ้านกรด สพป.อย.๒ นางสาวลัดดา สวุ รรณภมู ิ สมาคมไทย - ญี่ปนุ่
นายธนะชัย อย่มู ั่น ครโู รงเรียนบา้ นแถววทิ ยาคาร สพป.อย.๒ นางสจุ ารี พนมวนั ณ อยธุ ยา ชา่ งเขยี น ฝา่ ยอนรุ กั ษจ์ ติ รกรรมฝาผนงั กองโบราณคดี กรมศลิ ปากร
นายสมชาย ชวู งศ์ ครูโรงเรียนวดั ไผ่ล้อม สพป.อย.๒ นางยุพนิ เรืองบญุ ญา กว๋ ยเตีย๋ วเรอื ปา้ ยพุ นิ วดั ทา่ การ้อง
นายเสนาะ ไกรทอง ครโู รงเรยี นวัดแก้วสวุ รรณ สพป.อย.๒ นางสาวธนกานต์ สาระพจน ์ ร้านกว๋ ยเตี๋ยวเรือคลองบ้านหอม
นายสมนึก ทรัพย์วิเชยี ร ครูโรงเรยี นวัดเจา้ แปดทรงไตรย์ สพป.อย.๒ นางกมล อดุ มพชื วทิ ยากรการท�ำโครงงอบ อ�ำเภอบางประหัน
นายเกรียงศักดิ์ สขุ สนทิ ครูโรงเรยี นวดั หัวเวียง สพป.อย.๒ นางประทมุ ช้างเกดิ วิทยากรการทำ� รงั งอบ อำ� เภอบางปะหนั
นายประวิทย์ สญั ญวิธี ครโู รงเรยี นวัดโบสถ์ (ศภุ พทิ ยาคาร) สพป.อย.๒ นางเทยี น ชา้ งเกดิ วิทยากรการทำ� รงั งอบ อำ� เภอบางปะหัน
นายวีระ วายนต์ ครโู รงเรียนวดั สุนทราราม สพป.อย.๒ นางระยอง แกว้ สทิ ธิ ์ ประธานกลมุ่ สตรสี หกรณ์พัดสาน อ�ำเภอบ้านแพรก
นายนิรุธ เล็กโสภี ครูโรงเรียนสัตตปทมุ บำ�รงุ สพป.อย.๒ นายสมจิตต์ สขุ มะโน ผผู้ ลิตและจำ� หนา่ ยเรอื นทรงไทย อำ� เภอบางปะหัน
นายภานุวฒั น์ ศิริเสนา ครโู รงเรียนวัดบางซา้ ยใน สพป.อย.๒ นายวชิ ยั สาระชวญั ผู้ผลิตและจ�ำหนา่ ยเรือนทรงไทย อ�ำเภอบางปะหัน
นายภูมิพฒั น์ สมพงษร์ ตั นกลุ ครโู รงเรยี นบางปะอนิ “ราชานุเคราะห์ ๑” สพป.อย.๒ นางจำ� ลอง ภาคสัญไชย วิทยากรการทำ� ดอกไม้จากตน้ โสนหางไก่
นายธรี วฒั น์ คล้ายนคั รัญ ครโู รงเรียนไทยรัฐวิทยา ๒ สพป.อย.๒ นางสาวสมจิตร การฤกษ์ วิทยากรการท�ำหมอ้ ดินคลองสระบวั
นายสพุ ัฒนพ์ งษ์ คล้ายนคั รญั พนกั งานราชการโรงเรียนไทยรฐั วิทยา ๒ สพป.อย.๒ นางสาวอุดม การฤกษ์ วิทยากรการทำ� หม้อดนิ คลองสระบวั
นายรัฎฐพชิ ญ์ แถมจนั ทร์ เจา้ หน้าที่ธุรการโรงเรยี นวัดเจ้าเจ็ดใน สพป.อย.๒ นางนงนุช เจริญพร วิทยากรการท�ำหมอ้ ดนิ คลองสระบัว
นายชัยวัฒน์ เทยี นสมบุญ เจา้ หน้าทบี่ ันทึกข้อมลู สพป.อย.๒ นายวินัย ยนิ ดวี ิทย์ ประธานกล่มุ ตมี ดี อรัญญิก ร้านจำ� หน่ายมดี วนิ ยั รวยเจริญ
นางสาวมณี สุขสวัสดิ์ เจ้าพนักงานธรุ การ สพป.อย.๒ นายประยงค์ แก้วกุดั่น วิทยากรการทำ� มีดอรญั ญกิ

คณะผจู้ ัดทำ� ผเู้ ขียน
 ล�ำนำ� อยุธยา นายวนิ ยั รอดจ่าย
 อยธุ ยาราชธาน ี นายอภชิ าติ จรี ะวุฒิ
ที่ปรึกษา  พระนครศรอี ยธุ ยา อุทยานประวัตศิ าสตร์ เมืองมรดกโลก นางระววิ รรณ ภาคพรต
 เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน (นายกมล รอดคลา้ ย)  ยอ้ นอดีตพระนครศรีอยธุ ยา ผา่ นลลี านิราศสนุ ทรภู่ นางปราณี ปราบรปิ ู
 ทีป่ รกึ ษาประจ�ำสำ� นกั นายกรัฐมนตรี (นายอภชิ าติ จรี ะวฒุ ิ) นายปรชั ญา เหลอื งแดง
(อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน) (นางรตั นา ศรีเหรัญ)  ทอ่ งเทยี่ ว ณ แหลง่ มรดกโลก มรดกไทย นางระวิวรรณ ภาคพรต
 รองเลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน (นายรงั สรรค์ มณีเล็ก)  พระอารามหลวง นายธีระพงษ์ การสมธร
 รองเลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (นางสาวไพรวลั ย์ พทิ ักษ์สาล)ี นายสายันต์ ขันธนยิ ม
 ผอู้ ำ� นวยการส�ำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา (นางสุกัญญา งามบรรจง)  พระนครศรีอยุธยาในปจั จบุ ัน นางระววิ รรณ ภาคพรต
 ผเู้ ช่ยี วชาญด้านการพัฒนาสือ่ และการเรียนร้ ู  ศลิ ปะ วฒั นธรรม และภมู ปิ ัญญาของชาวอยุธยา นายสายนั ต์ ขันธนยิ ม
นางสาวเจตนา พรมประดษิ ฐ์

คณะกรรมการจัดทำ� หนังสอื ประธานกรรมการ คณะบรรณาธิการ  นายสายันต์ ขนั ธนยิ ม
 นายวนิ ัย รอดจา่ ย รองประธาน  นางระวิวรรณ ภาคพรต  นางสาวอรณุ วรรณ ผูธ้ นดี
ผู้ทรงคณุ วฒุ ใิ นคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน กรรมการ  นางสาวปริญญา ฤทธิ์เจรญิ  วา่ ทร่ี ้อยตรีสรุ าษฎร์ ทองเจรญิ
 นางสาวปริญญา ฤทธเ์ิ จรญิ กรรมการ  นางสาวเจตนา พรมประดษิ ฐ ์  นางระววิ รรณ ภาคพรต
หวั หนา้ กลมุ่ พฒั นาส่อื การเรียนรู้ กรรมการ  นางสาวเจตนา พรมประดิษฐ์
 นางระววิ รรณ ภาคพรต กรรมการ ถ่ายภาพประกอบ  นายสมจิตร สงิ ห์ทอง
ขา้ ราชการบ�ำนาญ กรรมการ  นายพินิจ สขุ ะสนั ต์ ิ
 นางปราณี ปราบริป ู กรรมการและเลขานุการ  นายชูเกยี รติ เกิดอุดม
ข้าราชการบ�ำนาญ กรรมการและผชู้ ว่ ยเลขานกุ าร  วา่ ทร่ี ้อยตรสี ุราษฎร์ ทองเจริญ
 นายสายนั ต์ ขนั ธนิยม กรรมการและผชู้ ว่ ยเลขานกุ าร
โรงเรยี นอยุธยานุสรณ์ ออกแบบปก/ออกแบบรปู เล่ม/จัดท�ำภาพประกอบ
 นายพนิ จิ สขุ ะสนั ติ์  นายพนิ ิจ สขุ ะสนั ติ์
ส�ำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา
 นางสาวเจตนา พรมประดษิ ฐ์ จดั พิมพต์ ้นฉบับ  นางสาวกมลภัทร ดารามณี
สำ� นกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา  นางรัตนา สขุ สุโฉม  นางสาวอารญั รัตน์ สมถวิล
 ว่าทรี่ ้อยตรีสุราษฎร์ ทองเจริญ  นางสาวพรชนนั บญุ ประเสรฐิ  นายจรญู ภควิโรจนก์ ุล
สำ� นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา  นางสาวนาตยา ตรัสร ู้
 นายชเู กยี รติ เกิดอุดม
ส�ำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา กราฟกิ การพิมพ์  นางสุภณดิ า กุลสวสั ดิ์ภกั ดี
 นางสาวธนทัต ไชยานนท ์  นางสาวเสาวณีย์ อ่อนรักษ ์  นายณัฐฐาฤเบฏ์ สขุ ศรวี รรณ
ส�ำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา  นายอาคม กุลสวสั ดิ์ภกั ด ี  นางกิตตมิ า รามณรงค์
 นายศุภกิจ สถิตยบ์ ตุ ร


Click to View FlipBook Version