การเขียนรายงานเชิงวิชาการ นางสาวฌานิกา สัจวิโรจน์
ความหมายของรายงาน รายงาน คือ เอกสารที่เป็นผลมาจากการศึกษา ค้นคว้า ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมี จุดมุ่งหมาย แล้วนํามา เรียบเรียงขึ้นอย่างมีแบบแผน ตามรูปแบบที่ถูกกําหนด เพื่อให้ผู้อ่าน ได้รับความรู้และประโยชน์จากเรื่องรายงานนั้น ๆ อย่างแท้จริง
ความสําคัญของการเขียนรายงาน รายงานเป็นเอกสารหลักฐานตามหลักวิชาการที่นับได้ว่าเป็น เครื่องมือสื่อสารที่ใช้ในการเผยแพร่ผลงานทางการศึกษา และสามารถ นําสิ่งที่ได้จากรายงานมาใช้ เพื่อพัฒนางานในด้านการประเมินคุณภาพ ของงานทางพัฒนาการศึกษาให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ โดยนํามาปรับปรุง แก้ไขปัญหา หรือเป็นแนวทางในการริเริ่มวางแผนงานใหม่ ๆ ได้
จุดมุ่งหมายของการเขียนรายงาน ๑. เพื่อฝึกให้ผู้เขียนรู้จักการประเมินค่า วิเคราะห์ และสังเคราะห์สารสนเทศ ๒. เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแสวงหาความรู้จากแหล่งสารสนเทศที่หลากหลาย ๓. เพื่อส่งเสริมประสบการณ์ด้านการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ๔. เพื่อฝึกให้ผู้เขียนรู้จักการวางแผน และคิดอย่างเป็นระบบ ๕. เพื่อฝึกให้ผู้เขียนใช้ภาษาถ่ายทอดความรู้ความคิดอย่างเป็นลําดับขั้นตอน ๖. เพื่อนําผลการศึกษาไปใช้ในการประเมินผล การวางแผน หรือพัฒนางานที่เกี่ยวข้อง
๑. ความถูกต้อง ๑) ถูกต้องตามรูปแบบของการเขียนรายงาน ๒) ถูกต้องตามแหล่งของข้อมูลสารสนเทศ ๓) ถูกต้องตามเนื้อหาและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏ ๔) ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา หลักทั่วไปของการเขียนรายงาน
๒. ความกะทัดรัดชัดเจน ๑) การใช้คํา ใช้ประโยคในการเรียบเรียงต้องมีความรัดกุม การกําหนด จุดมุ่งหมาย ไม่เขียนด้วยข้อความหรือประโยคที่เป็นเย้อฟุ่มเฟือยเกินเหตุ ในการเขียน รายงาน ๒) การใช้ตาราง กราฟหรือแผนภูมิ ควรมีความเหมาะสม เข็มทิศที่จะทําให้ ไม่ก่อให้เกิดความสับสนเขียนได้ตรงกับจุด ๓) หากเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน ควรเรียงลําดับหัวข้อให้ ชัดเจนและควร ทําบทสรุปเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
๓. ความต่อเนื่อง การเขียนรายงานที่ดี ผู้เขียนจะต้องเขียนให้เกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์ กล่าวคือ ต้องมีความสอดคล้องกันตามลําดับความคิดเห็น แต่ละหัวข้อ
๔. ความสมบูรณ์ การวิเคราะห์ความสมบูรณ์ของเนื้อหารายงานสามารถ ตรวจสอบได้จากกระบวนการจัดทํา เริ่มตั้งแต่กระบวนการคิด การ กําหนดจุดมุ่งหมาย การเลือกเรื่อง การกําหนดขอบเขตของเรื่อง ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ต้องสรุปผลการวิเคราะห์ได้ชัดเจน โดยไม่มีข้อขัดแย้ง หรือข้อสงสัยใด ๆ
ประเภทของรายงาน แบ่งเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๑. รายงานเชิงธุรกิจ เป็นรายงานที่มุ่งเสนอเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง เรื่องราว เหตุการณ์หรือข้อคิดเห็นต่างๆ ในทางธุรกิจ รายงาน เหล่านี้อาจมีข้อกําหนด เช่น รายงานประจําปี รายงานประจําไตรมาส รายงานเชิงธุรกิจ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการติดตามข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจ ที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น รายงานการวิเคราะห์ตลาด รายงานการสํารวจหลักทรัพย์เพื่อการจดจํานอง เป็นต้น
๒. รายงานเชิงวิชาการ เป็นการศึกษาค้นคว้าทางด้านวิชาการ โดยหน่วยงานหรือ สถาบันทางการ ศึกษาที่ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยโดยมีระเบียบวิธีการอย่างเป็นระบบและ เป็นข้อเท็จจริง เน้นเรื่องของความ ความถูกต้อง มีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล นั้นๆ เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา รายงานเชิงวิชาการ แบ่งตามขนาดของ รายงานได้ ดังนี้ ๑) รายงานขนาดสั้น • บทความวิจัย • บทความทางวิชาการ • บทความ ๒) รายงานขนาดยาว • ภาคนิพนธ์ • รายงานวิจัย • วิทยานิพนธ์ • รายงานการศึกษาค้นคว้าอิสระ
การใช้ภาษาในการเขียนรายงาน ภาษาที่ใช้ในการถ่ายทอดความรู้หรือประสบการณ์ที่สื่อสารไปยังผู้อ่าน จะต้องเขียนได้เป็นอย่างดี โดยมีหลักดังนี้ ๑. เลือกใช้คําที่มีความหมายชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด ๒. ไม่ใช้คําที่เป็นภาษาถิ่น คําผวน คําสแลง หากจําเป็นต้องใช้ก็ควรมีคําอธิบาย ประกอบ ๓. ไม่ใช้คําในลักษณะที่เป็นคําตัด หรือคําย่อ หากจําเป็นต้องใช้ควรมีคําอธิบายประกอบ ๔. การใช้คําควรใช้ให้ถูกต้องตรงตามความหมาย ไม่ใช้คําที่มีความหมายหลายนัย ๕. การเรียบเรียงคําเข้าประโยคควรยึดหลักความถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ๖. การใช้คําสุภาษิต คําพังเพย ควรใช้ให้เหมาะสมและสอดคล้องสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง
ความหมายของรายงานเชิงวิชาการ รายงานเชิงวิชาการ หมายถึง เอกสารซึ่งเป็นผลจากการ ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งในทางวิชาการ โดยเรียบเรียงจากการ เก็บข้อมูล การค้นคว้าข้อมูลสารสนเทศและประสบการณ์ต่าง ๆ นํามา เรียบเรียงอย่างมีแบบแผนที่สมบูรณ์ และใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงทาง วิชาการได้
งานเขียนทางวิชาการมักจะเขียนอยู่ในรูปร้อยแก้วที่เป็นความเรียง ในลักษณะการบรรยายหรืออธิบายความมีการใช้ภาพ แผนภูมิ กราฟ ตาราง และตัวเลขสถิติต่าง ๆ มาประกอบเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาที่ เป็นนามธรรมได้ง่ายขึ้น
ลักษณะของรายงานเชิงวิชาการที่ดี มีลักษณะดังนี้ ๑. รูปเล่ม มีองค์ประกอบที่สําคัญต่าง ๆ ครบถ้วน การพิมพ์จัดตําแหน่ง ข้อความประณีตสวยงาม อ่านง่าย ใช้รูปแบบตัวอักษรแบบเดียวกันทั้งเล่ม ๒. เนื้อหา มีการนําเสนอผลการศึกษาค้นคว้าที่น่าสนใจ นําเสนอความรู้ที่เป็น ปัจจุบันทันสมัย ประสบการณ์และทรรศนะที่เป็นเหตุเป็นผล ครอบคลุมเรื่องได้อย่าง สมบูรณ์ การเรียบเรียงเนื้อหาเป็นไป ตามลําดับไม่วกวน แสดงให้เห็นถึงความสามารถ ในลําดับความคิดและเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ
๓. สํานวนภาษา มีการใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสมที่จะใช้เป็นภาษาใน การเขียนรายงานเชิงวิชาการ กล่าวคือ มีความสละสลวย ชัดเจน ลําดับ ความได้ต่อเนื่อง มีการเว้นวรรคตอน สะกดการันต์ถูกต้อง ๔. การอ้างอิงและบรรณานุกรม มีการแสดงหลักฐานที่มาของข้อมูล อย่างละเอียดถี่ถ้วนและถูกต้องตามแบบแผน การเลือกใช้ข้อมูลที่อ้างอิงมีความ เชื่อถือได้ หลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจะสามารถบ่งบอก ถึงคุณภาพทาง วิชาการของรายงานฉบับนั้นได้
ขั้นตอนการเขียนรายงานเชิงวิชาการ ขั้นที่ ๑ การเลือกเรื่อง การเลือกเรือง หากผู้เขียนรายงานเลือกหัวข้อเรื่องเอง ควรเลือกเรื่องที่ ตนสนใจที่สุด เรื่องที่มีประโยชน์ ค้นคว้าได้สะดวก มีเอกสารให้ค้นคว้าเพียงพอ และที่สําคัญคือ เลือกเรื่องที่เหมาะสมกับเวลาที่กําหนดให้ โดยมีหลักในการเลือก หัวข้อเรื่อง ดังนี้ • ควรเป็นเรื่องที่ตนเองสนใจมากที่สุด • ควรเป็นหัวข้อเรื่องที่สามารถค้นคว้าหาข้อมูลได้ง่าย หัวข้อ รายงานที่ไม่สามารถหาข้อมูลอ้างอิงได้ จะทําให้รายงานขาดความน่าเชื่อถือ • ไม่ควรเป็นหัวข้อเรื่องที่มีขอบเขตกว้างจนเกินไป
หัวข้อเรื่อง หมายถึง การกําหนดหัวข้อเรื่องเพื่อ กําหนดแนวเรื่องที่จะเขียน เมื่อเขียนเสร็จแล้วอาจตั้งชื่อ ใหม่ให้น่าสนใจยิ่งขึ้นก็ได้
ขั้นที่ ๒ การกําหนดจุดมุ่งหมายและขอบเขตของเรื่อง การกําหนดจุดมุ่งหมายและขอบเขตของเรื่อง กระทําหลังจาก ที่ได้เขียนรายงานทางวิชาการแล้ว กล่าวคือ ผู้เขียนต้องคิดว่าจะเขียนใน แนวไหนแง่มุมใดและต้องการเสนออะไรแก่ผู้อ่าน ลักษณะที่กล่าวมานี้คือ การหาจุดมุ่งหมายและขอบเขตของเรื่อง ซึ่งทั้งจุดมุ่งหมายและขอบเขต ของเรื่องต้องมีความสัมพันธ์กัน คือ ต้องไม่เขียนเกินขอบเขตที่กําหนดไว้ และต้องครอบคลุมจุดมุ่งหมายของผู้เขียน เช่น
๑. จุดมุ่งหมาย อธิบายถึงสิ่งต่อไปนี้ ๑) เพื่อให้ทราบความเป็นมา ๒) เพื่อให้ทราบรูปร่างลักษณะ ๓) เพื่อให้ทราบคุณสมบัติทางยา ๒. ขอบเขต จะต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ดังนี้ ๑) ประวัติการศึกษาด้านสมุนไพร ๒) รูปร่างลักษณะของมะแว้ง ๓) สรรพคุณของมะแว้งที่ใช้รักษาโรคต่าง ๆ ตัวอย่าง หัวข้อที่มีจุดมุ่งหมายและขอบเขตของเรื่องที่สัมพันธ์กัน หัวข้อเรื่องรายงาน มะแว้ง : สมุนไพรไทย
ขั้นที่ ๓ วิธีการค้นคว้าและบันทึกข้อมูล ๑. วิธีการค้นคว้า ผู้เขียนจะต้องสํารวจดูว่าจากหัวข้อเรื่อง จุดมุ่งหมาย และขอบเขตที่กําหนดไว้แล้ว นั้น สามารถหาข้อมูลได้จากที่ใดบ้าง ซึ่งอาจหาได้จาก หนังสือ วารสาร เอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ หรือจากการ สัมภาษณ์ จากการไปสังเกต ด้วยตนเอง จากประสบการณ์ตรง ฯลฯ ผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้องมีทักษะเรื่องการ สืบค้นข้อมูลสารสนเทศเป็นอย่างดี และมีการกําหนดหัวข้อเรื่อง จุดมุ่งหมาย และ ขอบเขตของเรื่องไว้ชัดเจน จึงจะค้นคว้าได้รวดเร็ว
๒. วิธีการบันทึกข้อมูล ๑) เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว ผู้เขียน จะต้องจัดเก็บรวบรวมให้เป็น ระบบเป็นหมวดหมู่ เอกสารที่รวบรวมได้ทุกรายการจะต้องเขียน บรรณานุกรมบอก แหล่งที่มาไว้ด้วย เพื่อใช้ค้นกลับคืนไปยังแหล่งเดิมได้อีกในภายหลัง ๒) ขั้นต่อไป อ่านและพิจารณาว่าข้อมูลส่วนใดที่จะนํามาใช้อ้างอิงได้ก็ ให้บันทึกไว้ ในการจดบันทึกควรลงรายละเอียดของหนังสือหรือเอกสารที่ค้นคว้ามา นั้นไว้ด้วย เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือ ปีที่ พิมพ์ สํานักพิมพ์ วัน เดือน ปีที่พิมพ์ เพื่อที่ไว้ ใช้ใน การเขียนอ้างอิง
ขั้นที่ ๔ การทําโครงเรื่อง การทําโครงเรื่อง คือ การแยกหัวข้อเรื่องออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ซึ่งเมื่อเขียนรายละเอียดของแต่ละ หัวข้อแล้ว ก็จะได้รายงานทางวิชาการทั้ง เรื่อง การทําโครงเรื่องจะช่วยป้องกันไม่ให้เขียนออกนอกเรื่อง เป็น แนวทาง ให้รู้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไร เขียนไปในทางใด สั้นยาวขนาดไหน ทําให้เรียบ เรียงเรื่องได้ถูกต้องตาม ลําดับ ทําให้แต่ละหัวข้อย่อยต่อเนื่องกัน การทํา โครงเรื่องควรตามขั้นตอน ดังนี้
๑. การระดมความคิด โดยเขียนหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อยหรือประเด็น ต่าง ๆ ที่เราคิดว่าจะเขียนลงไปใน รายงานของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ๒. การคัดเลือกความคิด จากหัวข้อที่เราระดมมาทั้งหมด พิจารณา ดูว่า หัวข้อใดสามารถรวมกันเป็น หัวข้อเดียวได้ ก็รวมให้อยู่ในหัวข้อเดียวกัน หัวข้อใดที่ไม่เกี่ยวข้องก็ตัดออกไป หัวข้อใดที่ยังขาดอยู่ก็เพิ่มเข้า มาแล้วนํามา จัดหมวดหมู่
๓. การเรียงลําดับหมวดหมู่ความคิด ดูว่าหมวดหมู่ใดควรมา ก่อนหรือหลัง แล้วเรียงตามลําดับ ความสําคัญ จากนั้นเพิ่มบทนําและ บทสรุปเข้าไปก็จะได้โครงเรื่องตามต้องการ ตรวจดูและแก้ไขภาษาให้ สละสลวยตามต้องการ ๔. การจัดทําโครงเรื่องให้สมบูรณ์ ประกอบด้วย บทนํา หัวข้อ ใหญ่ หัวข้อรอง หัวข้อย่อยและบทสรุป สําหรับหัวข้อเหล่านี้อาจจะใช้ระบบ ตัวเลขหรือระบบตัวอักษร ร่วมกับตัวเลขช่วยในการเรียงลําดับก็ได้
ขั้นที่ ๕ การเสนอผลงาน ๑.ผู้เขียนรายงานจะต้องนําข้อมูลต่าง ๆ ที่จดบันทึกไว้ มาเขียนเรียบ เรียงเข้าให้เป็นระเบียบตาม โครงเรื่องที่วางไว้ใช้ถ้อยคําสํานวนของผู้เขียนเอง ๒. ควรเขียนโดยใช้ภาษาที่เป็นทางการหรือภาษาแบบแผน โดยการเขียน ให้กระชับถูกต้องตามหลัก ไวยากรณ์ อ่านเข้าใจแจ่มแจ้ง ชัดเจน ไม่วกวนสับสน ๓. เมื่อคิดว่ารายงานที่จัดทําสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ควรจัดพิมพ์ให้ สวยงามถูกต้องตามแบบฟอร์มที่ เป็นสากลหรือตามที่หน่วยงานต้นสังกัด กําหนด
ส่วนประกอบของรายงานวิชาการ
1. ส่วนนํา ประกอบด้วย ปกนอก ประกอบด้วย ชื่อเรื่องของรายงาน ชื่อผู้จัดทํา ชื่อรายวิชา ชื่อโรงเรียน ภาค การศึกษา และปีการศึกษา
หน้าปกใน มีข้อความ เช่นเดียวกับปกนอก ระหว่างปก นอก กับหน้าปกในนี้อาจมีใบรอง ปกซึ่งเป็นกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น คั่นอยู่ก็ได้
คํานํา เนื้อหาในคํานํา เป็นการกล่าวถึงวัตถุประสงค์ใน การทํารายงาน ขอบเขตของ เนื้อหา และคําขอบคุณผู้ให้ความ ช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ในการทํา รายงาน คํานําเป็นส่วนที่ช่วยให้ ผู้อ่านทราบว่ารายงานนั้นเขียน ขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ใด และมี ขอบเขตกว้างขวางเพียงใด จึงถือ ว่าเป็นส่วนสําคัญส่วนหนึ่งที่เป็น ประโยชน์ต่อผู้อ่าน
ส า ร บั ญ ผู้ เ ขี ย น รายงานจะนําหัวข้อสําคัญ ๆ ของเนื้อเรื่องในรายงานมา บรรจุไว้ในสารบัญ ระบุเลขหน้า ของแต่ละหัวข้อเพื่อให้ค้นหาได้ สะดวก การเรียงตามลําดับ หัวข้อต่าง ๆ เป็นไปตามเนื้อ เรื่องของรายงาน
2. ส่วนเนื้อความ ประกอบด้วย บทนํา เนื้อหาแต่ละบท หรือแต่ละตอนจะมีบทนําอันเป็น การเกริ่นนําเพื่อปูพื้นฐานความ เข้าใจของผู้อ่าน และนําผู้อ่าน เข้าสู่รายละเอียดของเนื้อหา
เนื้อหา ส่วนเนื้อหาจัดเป็น ส่วนที่สําคัญที่สุดของรายงาน การเรียบเรียงเนื้อหาในรายงาน เป็นไป ตามลักษณะของโครงเรื่อง ที่กําหนด หากเป็นรายงานขนาด ยาวควรแบ่งเนื้อหาออกเป็นบท หรือตอน การเรียบเรียงเนื้อหา ต้องมีการระบุแหล่งที่มาของ ข้อมูลที่นํามาใช้ในการแสดง เหตุผล หรือเป็นหลักฐานอ้างอิง อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ด้วยทุกครั้ง
สรุป เมื่อบรรยายหรือ อธิบายความที่ค้นคว้ามาได้จบ แล้ว ผู้เขียนต้องเขียนสรุป ประเด็นอีกครั้งหนึ่ง การเขียน สรุปช่วยให้ผู้อ่านมองเห็น ประเด็นที่ผู้เขียนนําเสนอได้ง่าย ขึ้น ในส่วนของผู้เขียนเอง การ เขียนบทสรุปจะช่วยให้ประเด็น ความคิดแจ่มแจ้งขึ้นเช่นกัน
3. ส่วนท้าย ประกอบด้วย บรรณานุกรม รายการ อ้างอิงในบรรณานุกรมเป็น ร า ย ชื่ อ ห นั ง สื อ เ อ ก ส า ร ตลอดจนแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่ใช้ใน การค้นคว้าเพื่อทํารายงาน นอกจากนี้รายการอ้างอิงยังรวม ไปถึงบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ได้ด้วย เอกสารอ้างอิงเหล่านี้จะนํามา เรียงลําดับอย่างเป็นระบบระเบียบ ตามหลักการเขียนบรรณานุกรม เพื่อให้ค้นหาได้ง่าย
ภ า ค ผ น ว ก ส่ ว น นี้ เ ป็ น เนื้อหาที่ไม่ใช่เนื้อเรื่องรายงาน โดยตรง แต่เป็นส่วนประกอบที่ ช่วยให้เข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้น เนื่องจากเนื้อความในภาคผนวกมี ความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องใน รายงานผู้เขียนจึงนํามารวบรวม ไว้ด้วย โดยทั่วไปภาคผนวกมักจะ เป็นเนื้อหาที่เป็นรายละเอียดของ เนื้อหา เช่น ตาราง แบบสอบถาม แบบทดสอบ คําอธิบายเพิ่มเติม เป็นต้น
การตั้งค่าหน้ากระดาษรายงานทางวิชาการ 1. ระยะขอบของกระดาษที่เป็นมาตรฐานของเอกสารทาง วิชาการจะใช้กระดาษขนาด A4 เว้นระยะขอบ ดังนี้ - ด้านบน 1.5 นิ้ว - ด้านซ้าย 1.5 นิ้ว - ด้านล่าง 1 นิ้ว - ด้านขวา 1 นิ้ว 2. ขนาดของโลโก้โรงเรียน กว้าง 3.54 นิ้ว x สูง 3.5 นิ้ว 3. ใช้ระยะห่างบรรทัดปกติ (Single Space) ทั้งเล่ม
ศุภรัตน์ เทพบุรี. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนรายงาน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://sites.google.com/site/thaipktc2018/khwam-ru-keiyw-kab-kar-kheiyn-rayngan (วันที่สืบค้นข้อมูล 1 มกราคม 2564) nwkuraiwan. ส่วนประกอบของรายงานวิชาการ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.thaigoodview.com/node/138673 (วันที่สืบค้นข้อมูล 1 มกราคม 2564) เอกสารอ้างอิง
hank you