สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิ งหนาท
(บุญมา)
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อประยุกต์สื่อ
การเรียนรู้บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยให้เป็นสื่อการเรียนการสอน
สมัยใหม่ ที่เป็นตัวกลางที่มีความสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ในยุค
โลกาภิวัฒน์หรือในยุคที่เต็มไปด้วย ICT เทคโนโลยีสารสนเทศ
และสื่อสารเพื่อให้ผู้อ่านได้มีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ทางคณะผู้จัดทำจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท มานำเสนอในรูปแบบที่น่าสนใจ
คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้
จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่มากก็น้อย
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ
เรื่อง หน้าที่
พระประวัติ ......................................................................................................... ๑
พระกรณียกิจ ................................................................................................... ๒
ผลงาน / งานประพันธ์ ................................................................................. ๔
สมัยกรุงศรีอยุธยา ........................................................................................... ๕
การทำศึกสงคราม .......................................................................................... ๗
พระราชสงคราม ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๕ ถึง พ.ศ. ๒๓๔๕ ........ ๑๑
ศิลปวรรณกรรม และสถาปัตยกรรม ................................................ ๑๓
เสด็จทิวงคต ........................................................................................................ ๑๔
คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง ..................................................... ๑๕
บรรณานุกรม
๑
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท มีพระนามเดิมว่า บุญมา
เป็นพระอนุชาธิราชร่วมพระชนกชนนีกับพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้อุปราชาภิเษกเป็น
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๒๘๖ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
แห่งอยุธยาพระองค์ทรงเป็นพระอนุชาใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและ
เป็นพระโอรสองค์ที่ ๕ ในหลวงพี่นิจอักษร (ทองดี) กับท่านหยก
เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กใน
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศจนกระทั่งเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกพระองค์
ได้หนีออกจากกรุงศรีอยุธยาไปอยู่ที่เมืองจันทบุรีจนกระทั่งได้ทราบ
ข่าวว่าพระยาตาก (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ไปตั้งมั่นรวบรวม
ผู้คนอยู่ที่เมืองจันทบุรีพระองค์จึงพาผู้คนไปร่วมด้วยกล่าวได้ว่า
สมเด็จพรบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงร่วมกอบกู้เอกราช
ให้กับบ้านเมืองร่วมกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาตั้งแต่ต้น
๒
มีนิวาสถานอยู่หลังป้อมเพชรในกรุงศรีอยุธยา มีพระภราดา
พระภคินีร่วมพระชนก ๗ พระองค์ ได้แก่
๑. สา ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี ในรัชกาลที่ ๑
๒. ไม่ปรากฏพระนามเดิม ได้รับสถาปนาเป็น
สมเด็จพระเจ้าขุนรามณรงค์ ในรัชกาลที่ ๑
๓. แก้ว ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ในรัชกาลที่ ๑
๔. ด้วง ปราบดาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
๕. บุญมา เสด็จเถลิงพระราชมนเทียรเป็นสมเด็จ
พระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑
๖. ลา ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ในรัชกาลที่ ๑
๗. กุ เฉลิมพระนามเป็นพระเจ้าไปยิกาเธอ
กรมหลวงนรินทรเทวี ในรัชกาลที่ ๕
๓
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทได้รับราชการ
ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระองค์มีบทบาทในการทำสงครามป้องกันบ้านเมือง
จนกระทั่งเสด็จทิวงคต (ตาย) เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๔๖
จะเห็นได้ว่าตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์เป็นเวลาที่บ้านเมือง
ได้รับความลำบาก แต่พระองค์รับราชการโดยมิได้ มีความย่อท้อ
พระองค์จึงมีความเหมาะสมที่จะได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญ
ภาพที่ ๑ อนุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ที่มา : https://www.onbnews.today/
๔
๑. เพลงยาวถวายพยากรณ์เมื่อเกิดฟ้าผ่าพระที่นั่ง
อมรินทราภิเษกมหาปราสาท
๒. นิราศเสด็จไปปราบพม่าเมืองนครศรีธรรมราช
๓. เพลงยาวตีเมืองพม่า
ภาพที่ ๒ ไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ในพุทธศักราช ๒๓๓๒
จิตรกรรมจากโคลงภาพพระราชพงศาวดาร วาดในสมัยรัชกาลที่ ๕
ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/
๕
เมื่อทรงเจริญวัยได้รับราชการเป็นมหาดเล็กตำแหน่ง
นายสุดจินดา มหาดเล็กหุ้มแพร ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่ง
สุริยาศน์อมรินทร์ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เมื่อข้าศึกยกมาล้อมกรุงศรีอยุธยา
ขณะนั้นพระนครอ่อนแอมาก พระยาวชิรปราการ (สิน)
จึงพาสมัครพรรคพวกตีฝ่าออกจากพระนครศรีอยุธยา
มุ่งไปรวบรวมกำลังที่หัวเมืองชายทะเลตะวันออก ที่ชลบุรี
เพื่อจะรบสู้ขับไล่ข้าศึกจากพระนคร เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึก
บ้านเมืองสับสนเป็นจลาจล นายสุดจินดาได้เสด็จลงเรือเล็กหลบหนี
ออกจากกรุงศรีอยุธยา และมุ่งจะเสด็จไปยังเมืองชลบุรีด้วยเช่นกัน
ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ได้นำครอบครัวและบริวาร
อพยพหลบภัยข้าศึกไปตั้งอยู่ ณ อำเภออัมพวา เมืองสมุทรสงคราม
ซึ่งแต่เดิมขึ้นกับเมืองราชบุรี ก่อนที่สมเด็จพระบวรราชเจ้า
มหาสุรสิงหนาท จะเสด็จไปถึงชลบุรี ได้เสด็จไปพบ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ที่อำเภออัมพวาก่อน ได้ทรงชวนให้เสด็จไปหลบภัย ณ ชลบุรี
๖
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ยังไม่พร้อมเสด็จ ทรงพระราชทานเรือใหญ่พร้อมเสบียงอาหาร
ทรงพระราชดำริให้ไปฝากตัวทำราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
และทรงแนะนำให้เสด็จไปรับท่านเอี้ยง พระชนนีของพระยาตากสิน
ซึ่งอพยพไปอยู่ที่บ้านแหลม พร้อมทั้งทรงฝากดาบคร่ำ และแหวน ๒ วง
ไปถวายเป็นของกำนัลอีกด้วย เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึก
ทรงให้ทหารรักษาการอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น และที่ธนบุรี
ช่วงนั้นบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะระส่ำระสาย แยกเป็นชุมนุมเป็นก๊กเหล่า
ถึง ๖ ชุมนุม พระยาตากสินเป็นชุมนุมหนึ่งที่สามารถรวบรวมไพล่พล
ตั้งอยู่ที่จันทบุรี เข้าตีข้าศึกที่รักษากรุงศรีอยุธยาแตกไป แล้วจึงเสด็จ
เถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สถาปนากรุงธนบุรี
เป็นราชธานี เมื่อปีชวด สัมฤทธิศก พ.ศ. ๒๓๑๑
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ในขณะนั้นทรงได้รับการสถาปนาบรรดาศักดิ์เป็น
พระมหามนตรี เจ้ากรมพระตำรวจในขวา
๗
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงร่วมศึกสงครามขับไล่
ศัตรูปกป้องพระราชอาณาจักรตลอดพระชนมชีพของพระองค์
ได้เสด็จไปในการพระราชสงครามทั้งทางบก และทางเรือ
ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถึง ๑๖ ครั้ง
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อีก ๘ ครั้ง
พ.ศ. ๒๓๑๐ ตีค่ายโพธิ์สามต้นของข้าศึก
พ.ศ. ๒๓๑๑ ตีค่ายพม่าที่บางกุ้ง และที่สมุทรสงคราม ขณะนั้นทรงมี
บรรดาศักดิ์เป็น พระมหามนตรี และเสด็จไปรับพระเชษฐาธิราช
ที่อำเภออัมพวา เข้ามารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
และทรงรับสถาปนาเป็น พระราชวรินทร์
พ.ศ. ๒๓๑๑ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงยกกองทัพไปปราบ
ชุมนุมเจ้าพิษณุโลก และยกไปปราบชุมนุมเจ้าพิมายที่นครราชสีมา
พระมหามนตรี และพระราชวรินทร์ได้ร่วมการสงครามที่ด่านขุนทด
มีชัยชนะในเวลา ๓ วัน ความชอบในการสงครามครั้งนี้
พระราชวรินทร์ได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระมหามนตรี เป็นพระยาอนุชิตราชา
๘
พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์
และพระยาอนุชิตราชา ยกทัพไปปราบกรุงกัมพูชา ตีได้เมือง
เสียมราฐ
พ.ศ. ๒๓๑๓ พระยาอนุชิตราชาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ เป็น
พระยายมราช ได้ยกทัพไปร่วมกับทัพหลวงปราบชุมนุม
เจ้าพระฝาง ตีได้เมืองสวางคบุรี และได้หัวเมืองเหนือไว้ใน
พระราชอำนาจทั้งหมด เมื่อเสร็จราชการศึกครั้งนี้ ได้รับเลื่อน
บรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช สำเร็จราชการ
เมืองพิษณุโลก เป็นผู้ปกป้องพระราชอาณาจักรฝ่ายเหนือ และได้
ยกทัพไปตีทัพโปมยุง่วนที่มาล้อมเมืองสวรรคโลก
พ.ศ. ๒๓๑๕ เจ้าพระยาสุรสีหพิษ
ณวาธิราช ได้ยกทัพไปปราบพม่า
ที่ยกมาตีเมืองลับแล หรืออุตรดิตถ์ และเมืองพิชัยจนแตกพ่ายไป
พ.ศ. ๒๓๑๖ เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และพระยาพิชัย
ได้ยกทัพไปรบถึงประจัญบาน กับทัพโปสุพลาที่เมืองพิชัย จนข้าศึก
แตกพ่าย ครั้งนี้เองที่พระยาพิชัยได้รับสมญานามว่า
" พระยาพิชัยดาบหัก "
๙
พ.ศ. ๒๓๑๗ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งขณะนั้นเป็น เจ้าพระยาจักรี
กับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ยกทัพหัวเมืองเหนือไปตีเมือง
เชียงใหม่ มีชัยชนะ และเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราชได้คุม
ทัพเหนือไปล้อมทัพพม่าที่เขาชะงุ้ม ตีค่ายพม่าที่เขาชะงุ้ม
และปากแพรกแตกจนพม่ายอมแพ้
พ.ศ. ๒๓๑๘ เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และเจ้าพระยาจักรี
ได้รับพระราชบัญชา ให้ยกทัพจากพิษณุโลกไปขับไล่โปสุพลา
ที่ยกมาตีเมืองเชียงใหม่ และต่อมาอะแซหวุ่นกี้ ยกมาล้อมเมือง
พิษณุโลก เจ้าพระยาทั้งสองจึงนำไพล่พลออกจากพิษณุโลก
ไปตั้งมั่นที่เมืองเพชรบูรณ์ ต่อมาพม่าถอนกำลัง จึงได้คุมกำลังเมือง
นครราชสีมาติดตามตีทัพที่กำลังถอยแตกกลับไป
พ.ศ. ๒๓๒๐ ได้ยกทัพจากกรุงธนบุรีไปสมทบทัพเจ้าพระยาจักรี
ที่นครราชสีมา ตีเมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองอัตบือ สุรินทร์ สังขะ
ขุขันธ์ ไว้ได้ จากความชอบในการพระราชสงครามครั้งนี้
เจ้าพระยาจักรีได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น
" เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก "
๑๐
พ.ศ. ๒๓๒๑ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยา
สุรสีหพิษณวาธิราช เกณฑ์ทัพเรือจากกัมพูชา ไปล้อมเมือง
เวียงจันทน์ ๔ เดือนจึงตีได้ และตีหัวเมืองต่าง ๆ ในแคว้นลาว
จนจดตังเกี๋ยของญวนไว้ได้ด้วย และในครั้งนั้น เจ้าพระยา
มหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
กลับคืนมาจากเวียงจันทน์มาประดิษฐานที่กรุงธนบุรีด้วย
พ.ศ. ๒๓๒๔ เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เป็นแม่ทัพหน้าร่วมกับ
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีกัมพูชา แต่ต้องเสด็จกลับ
กรุงธนบุรี เนื่องจากบ้านเมืองเกิดจลาจล เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
ได้เสด็จปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๑
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์และ
สถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี
๑๑
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงร่วม
พระราชสงคราม ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๕ ถึง พ.ศ. ๒๓๔๕ รวม ๘ ครั้ง คือ
พ.ศ. ๒๓๒๘ สงครามเก้าทัพ รบกับทัพพระเจ้าปดุง ที่ยกทัพเข้ามา
ทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แม้มีไพร่พลน้อยกว่าข้าศึก แต่ทรงทำ
กลอุบายลวงข้าศึก จนสามารถมีชัยชนะ ในปีนั้น ยังได้เสด็จนำทัพ
เรือไปตีพม่าที่ไชยา และเสด็จไปปราบปัตตานีที่เอาใจออกห่าง
และตีเมืองกลันตัน ตรังกานู เป็นเมืองขึ้นของไทยด้วย
พ.ศ. ๒๓๒๙ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จนำ
ทัพไปรบกับพระเจ้าปดุง ที่เข้ามายึดตำบลท่าดินแดง และสามสบ
ได้ตีทัพพม่าแตก
พ.ศ. ๒๓๓๐ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จยกทัพ
ไปตีเมืองลำปางคืน และตีทัพพม่าที่ป่าซางแตก เสร็จการสงครามนี้
ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเมืองเชียงใหม่ มาประดิษฐาน ณ
พระราชวังบวรสถานมงคล ที่กรุงเทพฯ
๑๒
พ.ศ. ๒๓๓๖ เสด็จไปตีเมืองทวายสำเร็จ
พ.ศ. ๒๓๔๐ เสด็จยกทัพไปป้องกันเมืองเชียงใหม่ ตีพม่าที่ลำพูน
และเชียงใหม่แตก
พ.ศ. ๒๓๔๕ ได้เสด็จไปขับไล่กองทัพข้าศึกออกจากเชียงใหม่ แต่
เมื่อเสด็จไปถึงเมืองเถิน ทรงพระประชวรโรคนิ่ว ต้องประทับรักษา
พระองค์โดยมีกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงพยาบาล
พระอาการอยู่ต่อมาเมื่อเสด็จกลับกรุงเทพฯ
๑๓
โปรดให้สร้าง พระราชวังบวร (ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณมหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โรงละครแห่งชาติ
วิทยาลัยช่างศิลป์ และวิทยาลัยนาฏศิลป์)
ทรงสร้างกำแพงพระนครตั้งแต่ประตูวัดสังเวชวิศยาราม จนถึง
วัดบวรนิเวศ
ทรงสร้างป้อมอิสินธร ป้อมพระอาทิตย์ ป้อมพระจันทร์ ป้อม
ยุคนธร (ซึ่งรื้อลงแล้ว) คงเหลือแต่ป้อมพระสุเมรุ
ทรงสร้างประตูยอดของบรมมหาราชวัง คือ ประตูสวัสดิโสภา
ประตูมณีนพรัตน์ ประตูอุดมสุดารักษ์
ทรงสร้างโรงเรือที่ฟากตะวันตก ทรงสถาปนาวัดมหาธาตุ
วัดชนะสงคราม (วัดตองปุ)
วัดโบสถ์ วัดเทวราชกุญชร (วัดสมอแครง)
วัดราชผาติการามวรวิหาร (วัดส้มเกลี้ยง)
วัดปทุมคงคา (วัดสำเพ็ง) วัดครุฑ วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก)
วัดสุวรรณดาราราม
ทรงสร้างหอมณเฑียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วิหารคต และวัดเชตุพนฯ
๑๔
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคต
เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๔๖ สิริพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา
ได้รับพระราชทานพระโกศไม้สิบสองหุ้มทองคำทรงพระบรมศพ
และพระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง
ภาพที่ ๓ อนุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ที่มา : https://www.onbnews.today/
๑๕
คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
๑. ความเสียสละ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงมีความเสียสละ
เวลาของตนเอง ไปทำสงครามเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมือง
๒. ความกล้าหาญ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงมีความ
กล้าหาญ ที่จะต่อสู้กับศรัตรูเพื่อปกป้องบ้านเมือง
๓. ความอดทน กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท ทรงมีความอดทน
ต่อความยากลำบากต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไกลเพื่อที่จะไปรบ
ภาพที่ ๔ อนุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ที่มา : https://www.onbnews.today/
บรรณานุกรม
หนังสือภาษาไทย
ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม. (๒๕๓๓). สมเด็จพระบวรราชเจ้าสุรสงิ หนาท. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย.
ดนัย ไชยโยธา. (๒๕๕๐). ประวัติศาสตร์ไทย : ยุคกรุงธนบุรีถึงกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
วรชาติ มีชูบท. (๒๕๕๗). สมเด็จพระบวรราชเจ้าสุรสิงหนาท บุญมา. กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์บุ๊คส์.
วิรุณ ตั้งเจริญ. (๒๕๓๔). บุคคลสำคัญในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : โอ.เอส พริ้นติ้งเฮ้าส์.
สำนักโบราณคดี, กรม. (ม.ป.ป.). สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว.
ข้อมูลออนไลน์
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. สมเด็จพระบวรราชเจ้าสุรสิงหนาท. (ม.ป.ป.). (ออนไลน์).
เข้าถึงได้จาก : http://kanchanapisek.or.th. (๒๕๖๕, มกราคม ๑๔).
พระประวัติสมเด็จพระบวรราชเจ้าสุรสิงหนาท.(ม.ป.ป.). (ออนไลน์).
เข้าถึงได้จาก: https://th.wikipedia.org/wiki. (๒๕๖๕, มกราคม ๑๔).
พระกรณียกิจสมเด็จพระนารายณ์มหาราช. (ม.ป.ป.).(ออนไลน์).
เข้าถึงได้จาก : http://gg.gg/f๖znh. (๒๕๖๕, มกราคม ๑๔).