การพู ด
แ ส ด ง ท ร ร ศ น ะ โ ต้ แ ย้ ง โ น้ ม น า ว ใ จ
เคล็ดลับนักพูด 101
∘ ม ณีว ร ร ณ แ ส ง ห นู ( 4 ) ∘ ค ณัส ส์ สุ ว ร ร ณ รั ต น์ ( 6 )
∘ ณ ธ ร ก ริช ท อ ง ธ ร ร ม ช า ติ ( 7 ) ∘ ภู ริภัท ร ติ้น เ ติม ท รั พ ย์ ( 1 2 )
∘ ก ม ล ว ร ร ณ ว ง ศ์ อำ ม า ต ย์ ( 1 3 ) ∘ รั ต น ธ ร ร ม เ ทีย น ส่ อ ง ส กุ ล ( 2 0 )
∘ ศ รุ ต า พุ่ ม ก ล่ำ ( 3 0 ) ∘ วิ สุ ท ธิ์ ท อ ง ดี ( 3 3 )
การพู ดแสดงทรรศนะ 1
การพู ดแสดงทรรศนะในสังคมประชาธิปไตย
การพู ดแสดงทรรศนะในสังคมประชาธิปไตยของบุ คคลเกี่ ยวกั บเรื่ องใด
เรื่ องหนึ่ ง ย่อมเป็นไปตามปกติ ที่ ควรกระทำ ถ้ าทรรศนะนั้นแสดงออกด้ วย
ความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ และ มีเจตนาที่ ดี
ทรรศนะต่ างๆ ถึ งแม้จะแตกต่ างกั นล้ วนนับว่าเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น เพราะจะ
ทำให้ผู้อื่ นได้ มีโอกาสใช้ความคิ ดพิจารณาเลื อกวิธีการแก้ ปั ญหาได้ หลายแง่ มุ ม
ด้ วยความสุขุ มรอบคอบ ป้องกั นความเสี่ยง
การแสดงทรรศนะของบุ คคลแตกต่ างกั น
มิได้ หมายถึ งการแตกความสามัคคี ในสังคม
ความหมายและความสำคั ญของการพู ดแสดงทร ร ศนะ
ทรรศนะ ความหมายตามพจนานุ กรม ฉบั บราชบั ณฑิ ตยสถาน พ.ศ. 2554
หมายถึ ง ความเห็ น การเห็ น เครื่ องรู้ เห็ น สิ่ งที่ เห็ น การแสดง อาจเขี ยนว่ า
ทั ศนะ ก็ ได้ ตามที่ ใช้ กั นโดยทั่ วไป ทรรศนะ หมายถึ ง ความคิ ดเห็ นที่ ประกอบ
ด้ วยเหตุ ผล
ประเภทของการพู ดแสดงทรรศนะ
ทรรศนะมี หลากหลาย ซึ่ งพอจะจำแนกทรรศนะที่ คนในสั งคมแสดงกั นอยู่
เป็ นปกติ ทั่ วไปแบ่ งได้ เป็ น 3 ประเภท ดั งนี้
1) ทรรศนะเชิ งข้ อเท็ จจริ ง
โดยมากจะเป็ นทรรศนะที่ กล่ าวถึ งเรื่ องที่ เกิ ดขึ้ นไปแล้ ว แต่ เป็ นเรื่ องที่ ยั งมี คน
ถกเถี ยงกั นอยู่ การแสดงทรรศนะเชิ งข้ อเท็ จจริ งเป็ นเพี ยงการสั นนิ ษฐานจะ
น่ าเชื่ อถื อมากน้ อยเพี ยงใดข้ อเท็ จจริ งที่ ถู กต้ องเป็ นอย่ างไรนั้ น ขึ้ นอยู่ กั บ
เหตุ ผลที่ ผู้ แสดงทรรศนะนำมาสนั บสนุ น
2) ทรรศนะเชิ งคุ ณค่ า
เป็ นทรรศนะที่ เกิ ดจากการประเมิ น อาจเป็ นวั ตถุ บุ คคล กิ จกรรม โครงการ
วิ ธี การหรื อทรรศนะผู้ แสดงทรรศนะว่ าสิ่ งใดดี หรื อไม่ ดี อย่ างไร มี ประโยชน์
หรื อโทษ เหมาะสมหรื อไม่ เหมาะสม อาจจะประเมิ นโดยการเปรี ยบเที ยบกั บสิ่ ง
ที่ เป็ นประเภทเดี ยวกั นหรื อมี ลั กษณะคล้ ายกั นตามเกณฑ์ ที่ กำหนดหรื อประเมิ น
โดยลำพั งของสิ่ งนั้ นก็ ได้
3) ทรรศนะเชิ งนโยบาย
เป็ นทรรศนะที่ บ่ งบอกว่ าในอนาคตควรทำอะไร อย่ างไร หรื อควรจะปรั บปรุ ง
แก้ ไขสิ่ งใด นโยบายมี หลายระดั บตั้ งแต่ ระดั บบุ คคล กลุ่ มบุ คคล องค์ การ
สถาบั นและประเทศชาติ ทรรศนะประเภทนี้ มั กจะต้ องบอกให้ แน่ ชั ดว่ า สิ่ งที่
เสนอให้ ทำนั้ นมี ขั้ นตอนอย่ างไร มี เป้าหมายเป็ นประโยชน์ อย่ างไรและถ้ ามี
อุ ปสรรคจะแก้ ไขได้ อย่ างไร บางครั้ งอาจมี วิ ธี ปฏิ บั ติ ตามขั้ นตอน
๒
องค์ ประกอบของการพู ดแสดงทรรศนะ
การพู ดแสดงทรรศนะประกอบด้วยอง ค์ประกอบที่สำ คัญ ดัง นี้
1) โครงสร้ างของการแสดง ทรรศนะ ประก อบด้วยส่ วนสำ คั ญ 3 ส่วน คือ
1.1) ที่ มา คื อส่ วนที่ เป็ นเรื่ องราวและมี ความจำเป็ น ที่ ทำให้ เกิ ดการแสดงทรรศนะ
1.2) ข้ อสนั บสนุ น คื อหลั กการข้ อเท็ จจริ ง รวมทั้ งทรรศนะของบุ คคลอื่ นที่ นำมาใช้
ประกอบให้ เป็ นเหตุ ผลสนั บสนุ น
1.3) ข้ อสรุ ป คื อสารที่ สำคั ญของการแสดงทรรศนะ เป็ นข้ อสั นนิ ษฐาน วิ นิ จฉั ย
ข้ อเสนอแนะหรื อการประเมิ นที่ นำเสนอเพื่ อใช้ เป็ นแนวทางปฏิ บั ติ เพื่ อให้ เกิ ด
การเปลี่ ยนแปลงไป
2) ภาษาที่ใช้ในการแสดงทร รศนะ ควรใ ช้ถ้อยคำ ก ะทัด รัด ค วา มหมา ยชั ด เ จน
เรียงลำดับเนื้ อความไ ม่สับสน วก วน ถู ก ต้ อง ต า มระดับข อง ก า ร สื่อสา ร ดัง นี้
2.1)ใช้ คำหรื อกลุ่ มคำที่ แสดงว่ าเป็ นเจ้ าของทรรศนะ อาจเป็ นคำนามสรรพนาม
ประกอบกั บคำกริ ยาที่ ระบุ ชั ดว่ าเป็ นข้ อสรุ ปของการแสดงทรรศนะ เช่ น
- ที่ ประชุ มมี มติ ว่ า ให้ ระงั บการพานั กเรี ยนไปทั ศนศึ กษาต่ างจั งหวั ด
- ดิ ฉั นเห็ นว่ า โรงเรี ยนควรมี โครงการเรี ยนร่ วมในโรงเรี ยนทั่ วไป
2.2)ใช้ คำหรื อกลุ่ มคำกริ ยาช่ วยในข้ อสรุ ป เพื่ อให้ เห็ นว่ าเป็ นการแสดงทรรศนะ
เช่ น น่ า น่ าจะ คง ควรจะต้ อง ดั งตั วอย่ าง
- โรงเรี ยนควรจะต้ องคำนึ งถึ งสุ ขภาพของนั กเรี ยนเป็ นอั นดั บแรก
- คณะนั กเรี ยนคงเข้ าใจผิ ดเกี่ ยวกั บการจั ดปั จฉิ มนิ เทศคณะกรรมการเครื อ
ข่ ายผู้ ปกครอง
2.3)ใช้ คำหรื อกลุ่ มคำที่ สื่ อความหมายไปในทางแสดงทรรศนะ อาจเป็ นการแสดง
ความเชื่ อมั่ น คาดคะเน ดั งตั วอย่ าง
- นั กเรี ยนของเรามี ทางชนะการแข่ งขั นอย่ างไม่ ต้ องสงสั ย
- เป็ นไปไม่ ได้ที่ จะประสบโชคสองครั้ งสองครา
ก า ร แ ส ด ง ท ร ร ศ น ะ มีค ว า ม สำ คั ญ ใ น สัง ค ม ป ร ะ ช า ธิป ไต ย
เ พ ร า ะ ว่า ท ร ร ศ น ะ ที่ ดี ก่ อ ใ ห้เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น์ แ ล ะ มีคุณ ค่ า ใ น ท า ง ส ร้า ง ส ร ร ค์
๓
ความแตกต่ างระหว่างทรรศนะของบุ คคล
การที่ บุ คคลมี ทรรศนะแตกต่ างกั นเป็ นเรื่ องธรรมดา ทรรศนะที่ ต่ างกั นอาจ
ปรั บเข้ าหากั น หรื อเปลี่ ยนแปลงได้ และสามารถนำความแตกต่ างมาใช้ ประโยชน์
ความหลากหลายของการแสดงทรรศนะมาจากเหตุ สำคั ญ 3 ประการ คื อ
1) ความรู้ และประสบการณ์
บุ คคลที่ มี ความรู้ แตกต่ างกั น การแสดงทรรศนะในเรื่ องเดี ยวกั น
ย่ อมได้ ข้ อสรุ ปที่ แตกต่ างเช่ นเดี ยวกั น แต่ อย่ างไรก็ ตาม มนุ ษย์ สามารถพั ฒนา
ความรู้ ของตนเองให้ มากขึ้ นได้ จากการเรี ยนรู้
2) ขนบธรรมเ นียมประเ พณีแล ะ ค วาม เ ชื่อ
บุ คคลที่ มี ความเชื่ อที่ แตกต่ างกั นจะมี ทรรศนะที่ แตกต่ างกั นไปด้ วย
3) ค่ านิ ยม
หมายถึ ง ความรู้ สึ กที่ มี อยู่ ภายในจิ ตใจของบุ คคลแต่ ละคนหรื อแต่ ละกลุ่ มการ
กระทำอย่ างใดอย่ างหนึ่ งมี คุ ณค่ าและมี ความสำคั ญต่ อบุ คคลแต่ ละกลุ่ มที่ อยู่
รวมกั น เช่ น ค่ านิ ยมเรื่ องความกตั ญญู บุ คคลที่ มี ความเชื่ อแตกต่ างกั นจะมี
ทรรศนะแตกต่ างกั น
๔
มารยาทในการพู ดแสดงทรรศนะ
1) เลื อกแสดงทรรศนะในเรื่ องที่ เป็ นประโยชน์ สร้ างสรรค์ น่ าสนใจและ
เหมาะสมกั บผู้ ฟังและดู
2) มี ความรู้ แจ้ ง รอบรู้ ในเรื่ องที่ จะแสดงทรรศนะเป็ นอย่ างดี เพื่ อให้ การ
แสดงทรรศนะในแต่ ละครั้ งเกิ ดประโยชน์ สู งสุ ดแก่ สั งคม
3) เรี ยบเรี ยงความคิ ดให้ เป็ นระบบ เชื่ อมโยงต่ อเนื่ องสั มพั นธ์ กั นอย่ างมี
เอกภาพ
4) พู ดให้ เหมาะสมกั บเวลาที่ กำหนดและเปิ ดโอกาสให้ ผู้ อื่ นได้ แสดงทรรศนะ
เพื่ อให้ เกิ ดผลประโยชน์ ที่ ดี ร่ วมกั น
5) มี ศิ ลปะในการเรี ยบเรี ยงถ้ อยคำที่ ใช้ ในการแสดงทรรศนะเพื่ อให้ ผู้ ฟัง
เข้ าใจในทรรศนะที่ แสดงออกไป
6) เลื อกใช้ ภาษาที่ สุ ภาพ ไม่ ก่ อให้ เกิ ดความรู้ สึ กที่ ไม่ ดี ต่ อกั นของผู้ แสดง
ทรรศนะ
7) มี ความสามารถในการใช้ เหตุ ผล เพื่ อทำให้ การแสดงทรรศนะมี ความน่ า
เชื่ อถื อ
8) มี คุ ณธรรมและมี ความมั่ นคงทางจิ ตใจ ไม่ แสดงอารมณ์ โกรธ เมื่ อมี ผู้
ไม่ เห็ นด้ วยกั บการแสดงทรรศนะของตนเอง
๕
การพู ดโต้ แย้ง 2
มนุษย์ไม่จำเป็นต้ องมีความคิ ดเห็นหรือความพอใจในสิ่งใดสิ่ง ห นึ่ ง เห มือน
กั น ความแตกต่ างกั นทางความคิ ดเป็ นเรื่ อง ธรร มดา ที่ สามาร ถเกิ ดขึ้ นได้ ทุก
สังคม การแสดงความคิ ดเห็นเกี่ ย วกั บ เรื่ อง ต่ าง ๆ บุ คคลย่อม แสดง ท ร ร ศน ะ ที่
แตกต่ างกั นไปตามประสบกา ร ณ์ ความรู้ ค่ านิยม ความเชื่ อ บางคนอาจเห็น
ด้ วยหรือไม่เห็นด้ วย แต่ ถึ งอย่าง ไรก็ ตามการ แสดง ท ร ร ศน ะ ที่ ไม่ต ร ง กั น ห รือ
ไม่คล้ อยตามกั นจะก่ อให้เกิ ดการ โต้ แย้ง
การโต้ แย้งไม่ใช่การทะเลาะ หรือการแตกความสามัคคี
การโต้ แย้งที่ ดี จะต้ องเป็นการแสดงความคิ ดเห็นร่วมกั น
เพื่ อหาทางแก้ ไขเรื่ องใดเรื่ องหนึ่ ง
ความหมายและความสำคั ญของการโต้ แย้ง
การโต้ แย้ ง คื อ การแสดงทรรศนะแย้ งกั นระหว่ างบุ คคล 2 ฝ่าย โดยแต่ ละ
ฝ่ายจะใช้ ข้ อมู ล สถิ ติ หลั กฐาน เหตุ ผล เพื่ อสนั บสนุ นทรรศนะของตน คั ดค้ าน
ทรรศนะของอี กฝ่ายหนึ่ ง หั วข้ อหรื อเนื้ อหาสาระในการโต้ แย้ งแต่ ละครั้ งจะต้ อง
กำหนดว่ าจะโต้ แย้ งในเรื่ องใด มี ประเด็ นอะไรบ้ างที่ จะต้ องนำมาพิ จารณา
การโต้ แย้ งยุ ติ ลงด้ วยการตั ดสิ น การโต้ แย้ งมี ได้ ในทุ กระดั บ
ตั้งแต่ ระดั บครอบครั ว ชุ มชน สั งคมและระดั บโลก
จุ ดมุ่งหมายของการโต้ แย้ง
ก า ร โ ต้ แ ย้ ง มี จุ ด มุ่ ง หม า ย เ พื่ อ ใ ห้ ผู้ ฟัง เ ห็ น ด้ ว ย กั บ ค ว า ม คิ ด ข อง ต น ผู้โ ต้แ ย้ง จึง
ต้ อ ง เ ส น อ ค ว า ม คิ ด เ ห็ น ที่ เ ป็ น ข้ อเ ท็ จ จ ริ ง ชั ด เ จ น ต ร ง ป ร ะเ ด็น มีเ ห ตุผ ล แ ล ะ
ห ลั ก ฐ า น ป ร ะ ก อ บ เ พื่ อใ ห้ น่ า เ ชื่ อถื อ ไ ม่ ค ว ร ใ ช้ ค ว า ม รู้ สึ ก ส่วนตัวเ ส นอค วา มคิด
จ ะ ทำ ใ ห้ เ ป็ น ก า ร โ ต้ เ ถี ย ง แ ล ะ ไ ม่ เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น์
คุณสมบัติ ของผู้โต้ แย้ง
คุ ณ ส ม บัติที่สำ คัญ ข อ ง ผู้ พู ด โ ต้ แ ย้ ง มี ดั ง นี้
1 ) มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ หั ว ข้ อ ที่ จ ะ นำ ม า โ ต้ แ ย้ ง เ ป็ น อย่ า ง ดี
2 ) มี ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร เ รี ย บ เ รี ย ง หั ว ข้ อที่ จ ะ โ ต้ แ ย้ ง ไ ม่ทำ ใ ห้ ผู้ฟัง สับส น
3 ) มี ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร นำ เ สน อ
4 ) มี ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร สรุ ป ไ ด้ อย่ า ง ค ม ค า ย แ ล ะ น่ า เ ชื่ อ ถือ
๗
องค์ ประกอบของการโต้ แย้ง
ก า ร โ ต้แ ย้ง มีอ ง ค์ป ร ะ ก อ บ ที่ สำ คั ญ 2 ส่ ว น คื อ
1) เหตุ ผล
คื อ หลั กการ ข้ อเท็ จจริ งที่ ปรากฏ ซึ่ งผู้ แสดงทรรศนะยกขึ้ นมาเพื่ อชี้ แจง
2) ข้ อสรุ ป (ทรรศนะ)
เป็ นส่ วนสำคั ญที่ แสดงทรรศนะ อาจเป็ นข้ อเสนอแนะ ข้ อสั นนิ ษฐาน หรื อ
ประเมิ นค่ านำมาเสนอให้ ผู้ อื่ นพิ จารณายอมรั บหรื อนำไปใช้
ทรรศนะที่ 1
สั งคมไทยเป็ นสั งคมประชาธิ ปไตย เปิ ดกว้ างทางความคิ ดและการ
แสดงออกอย่ างเสรี จึ งทำให้ วั ฒนธรรมของโลกตะวั นตกหลั่ งไหลมา
อย่ างไม่ ขาดสาย มี ผลทำให้ วั ฒนธรรมไทยถู กหลงลื มไป (เหตุ ผล)
ดั งนั้ น หน่ วยงานทั้ งภาครั ฐและเอกซนจึ งควรทุ่ มงบประมาณสนั บสนุ น
การจั ดโครงการ เพื่ อรณรงค์ ให้ เยาวชนไทยหั นมาใส่ ใจในวั ฒนธรรม
ไทยมากขึ้ น (ข้ อสรุ ปและข้ อเสนอทรรศนะ)
ทรรศนะที่ 2
สั งคมไทยเปิ ดกว้ างและวั ฒนธรรมของโลกตะวั นตกหลั่ งไหลเข้ ามานั้ น มี
ผลดี ต่ อการขั บเคลื่ อนทางเศรษฐกิ จและการลงทุ น การที่ วั ยรุ่ นไทยใส่ ใจ
ต่ อวั ฒนธรรมไทยน้ อยลง อาจมาจากสาเหตุ อื่ นที่ อาจไม่ ใช่ การเปิ ดกว้ าง
ของสั งคม (เหตุ ผล)
ฉะนั้ น เราอาจจะสิ้ นเปลื องงบประมาณไปโดยที่ ยั งไม่ ทราบสาเหตุ ที่ แท้
จริ งของการถดถอยทางวั ฒนธรรม งบประมาณสำหรั บการจั ดโครงการ
ควรนำมาใช้ เพื่ อการวิ จั ยสำรวจค้ นหาสาเหตุ ที่ แท้ จริ งเพื่ อจะได้ แก้ ไข
ปั ญหาได้ ตรงจุ ด (ข้ อสรุ ปหรื อข้ อโต้ แย้ งทรรศนะที่ 1)
ห า ก ก า ร โ ต้แ ย้ง ยัง ดำ เ นิ น ต่ อ ไ ป เ จ้ า ข อ ง ท ร ร ศ น ะที่ 1 จ ะต้ อ ง พิ สู จ น์ ใ ห้ ไ ด้ว่า เ ป็ นจ ริง แ ล ะถ้า
พิ สู จ น์ไ ด้สำ เ ร็จ จ น เ ป็ น ที่ ย อ ม รั บ แ ก่ ผู้ โ ต้ แ ย้ ง ห รื อ ผู้ ตั ด สิ น ท ร ร ศ น ะที่ 1 ก็จ ะไ ด้รับ ก า รย อมรับ
๘
กระบวนการโต้ แย้ง
ผู้ โต้ แย้ งต้ องมี พื้ นฐานความรู้ เกี่ ยวกั บกระบวนการโต้ แย้ งและมี ความรู้
เกี่ ยวกั บหั วข้ อที่ นำมาโต้ แย้ งนำเสนอให้ ผู้ อื่ นเข้ าใจได้ อย่ างชั ดเจน
กระบวนการโต้ แย้ งแบ่ งได้ เป็ น 4 ขั้ นตอน ดั งนี้
1)ประเด็ นในการโต้ แย้ ง
2)การนิ ยามคำหรื อกลุ่ มคำสำคั ญในประเด็ นของการโต้ แย้ ง
3)การค้ นหาและเรี ยบเรี ยงข้ อสนั บสนุ นทรรศนะของผู้ โต้ แย้ ง
4)การชี้ ให้ เห็ นจุ ดอ่ อนและความผิ ดพลาดของทรรศนะของฝ่ายตรงข้ าม
ประเด็ นในการโต้ แย้ง
ประเด็ นในการโต้ แย้ ง หมายถึ ง เรื่ องที่ ก่ อให้ เกิ ดการพู ดโต้ แย้ งกั น โดยทั้ ง
สองฝ่ายจะเสนอไปตามทรรศนะของตน ในการโต้ แย้ งจะมี ทั้ งประเด็ นหลั กและ
ประเด็ นรอง ประเด็ นเป็ นจุ ดสำคั ญในการโต้ แย้ ง ผู้ โต้ แย้ งต้ องรู้ จั กวิ ธี การตั้ ง
ประเด็ น อาจแบ่ งได้ เป็ น 3 ประเภท ดั งนี้
1) ข้ อโต้ แย้ งเชิ งนโยบาย
ข้ อโต้ แย้ งลั กษณะนี้ มี ความแตกต่ างจาก 2 ประเภท คื อ จะมุ่ งหาทาง
เลื อกในการปฏิ บั ติ เพื่ อให้ เกิ ดความสำเร็ จ ให้ เกิ ดการเปลี่ ยนแปลง ข้ อโต้
แย้ งเชิ งนโยบาย มุ่ งให้ เกิ ดการกระทำใหม่ เปลี่ ยนแปลงวิ ธี การปฏิ บั ติ ที่
จะทำให้ ดี กว่ าที่ เคยเป็ นอยู่
2) ข้ อโต้ แย้ งเชิ งข้ อเท็ จจริ ง
เป็ นข้ อโต้ แย้ งที่ ยกประเด็ นข้ อเท็ จจริ งที่ ทุ กคนรั บทราบกั นดี มาเป็ นประเด็ น
สำหรั บการโต้ แย้ ง เพื่ อเสนอทางเลื อกทั้ งในแง่ ความคิ ดและการกระทำให้
แก่ ผู้ ฟัง
3) ข้ อโต้ แย้ งเชิ งคุ ณค่ า
เป็ นข้ อโต้ แย้ งที่ ต้ องการเปลี่ ยนแปลงความคิ ดเห็ น ความเชื่ อของผู้ ฟังมาก
กว่ า จะกล่ าวถึ งเรื่ องมาตรฐาน การตั ดสิ นมาตรฐานของแนวคิ ดหรื อสิ่ งที่
นำเสนอ มั กจะมี คำที่ ชี้ ให้ เห็ น เช่ น ดี กว่ า ถู กต้ องกว่ า เหมาะสมกว่ า
มี ประสิ ทธิ ภาพมากกว่ า เป็ นต้ น
๙
มารยาทในการพู ดโต้ แย้ง
1) ผู้ โต้ แย้ งควรหลี กเลี่ ยงการใช้ อารมณ์ การโต้ แย้ งจะต้ องจบลงด้ วย
การแพ้ และชนะแต่ การแพ้ ในที่ นี้ ไม่ ได้ หมายถึ งการพ่ ายแพ้ จากเกมกี ฬา
หรื อการแข่ งขั นประเภทอื่ น
การแพ้ ในการโต้ แย้ ง หมายถึ ง ทรรศนะของตนไม่ ได้ รั บการยอมรั บ คำ
ว่ าแพ้ และชนะในการโต้ แย้ ง คื อ การชนะกั นด้ วยเหตุ ผล ผู้ ถู กแย้ งจึ งไม่
ควรเก็ บมาเป็ นอารมณ์ ควรทำใจเป็ นกลางยอมรั บเหตุ ผล
2) ผู้ โต้ แย้ งควรมี มารยาทในการใช้ ภาษาในการโต้ แย้ ง ควรใช้ ภาษาที่
เหมาะสมแก่ ระดั บของบุ คคลที่ มี ส่ วนร่ วมในการโต้ แย้ งและเหมาะสมแก่
สถานที่ การใช้ ภาษาเพื่ อการพู ดโต้ แย้ ง ผู้ พู ดควรระมั ดระวั งการใช้
ภาษาให้ สุ ภาพ เมื่ อทำการโต้ แย้ งกั บบุ คคลที่ อาวุ โสกว่ า การโต้ แย้ งที่
กระทำในที่ สาธารณะ ผู้ โต้ แย้ งต้ องระมั ดระวั งรั กษามารยาทในการใช้
ภาษาให้ ถู กต้ องเหมาะสม
3) ผู้ โต้ แย้ ง ควรใช้ วิ จารณญาณตั ดสิ นว่ า ประเด็ นใดสามารถโต้ แย้ ง
ได้ อย่ างสร้ างสรรค์ ประเด็ นใดเมื่ อโต้ แย้ งไปแล้ วจะไม่ ก่ อประโยชน์
ประเด็ นใดไม่ มี ทางที่ จะโต้ แย้ งได้ ต้ องระมั ดระวั งการยกประเด็ นมา
โต้ แย้ ง เพราะบางเรื่ องเป็ นเรื่ องละเอี ยดอ่ อน อาจจะกระทบกระเทื อน
จิ ตใจผู้ อื่ นได้
๑๐
การพู ดโน้มน้าวใจ 3
การพูดเชิญชวน เกลี้ยกล่อม ชักจูงให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือ ศรัทธา มีความคิดเห็น
คล้อยตาม และปฏิบัติตาม เช่น การพูดโฆษณา การพูดหาเสียง การพูดเชิญชวนให้
ปฏิบัติตาม การพูดชักจูงให้เปลี่ยนแปลงทัศนคติ การพูดปลุกเร้าให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ
ผู้พูดที่ดีย่อมจะพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเปลี่ยนแปลงทัศนคติและความเชื่อไปในทางที่ดีอัน
จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคม โดยการใช้ความสามารถในการพูดชี้แนะให้ผู้ฟัง
เห็นสิ่งดีงาม ตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งนั้น และช่วยกันรักษาสิ่งที่ดีงามนั้นไว้
การพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเชื่อถือหรือกระทำตามนั้น ควรจะต้องเป็นไปโดยความสมัครใจ
หรือความยินยอมพร้อมใจของผู้ฟัง มิใช่การบีบบังคับหรือการใช้อุบายอย่างอื่น
ความหมายและความสำคัญของการโน้มนาวใจ
การโน้มน้าวใจ คือ การใช้ความพยายามที่จะเปลี่ยน มุมมองและความคิดของบุคคลอื่น
ให้เกิดการยอมรับหรือเปลี่ยนแปลงไปตามที่ผู้โน้มน้าวต้องการ
จุดมุ่งหมายของการโน้มน้าวใจ
จุ ดมุ่ งหมายของการพู ดโน้ มน้ าวใจ แบ่ งเป็ น 3 ลั กษณะ คื อ
1) ให้ผู้ฟังปฏิบัติตามในสิ่งที่ผู้พูด ซึ่งจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ไม่นำไปใน
ทางที่เสื่อมเสีย
2) ให้ผู้ฟังเลิกปฏิบัติในสิ่งนั้น ๆ เพราะการประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นจะเกิดผลเสียต่อ
ตนเองหรือผู้อื่นจึงต้องการให้เลิกพฤติกรรมนั้น เช่น
3) ให้ผู้ฟังปฏิบัติสิ่งนั้นต่อไป เพราะเป็นการปฏิบัติที่ดีอยู่แล้ว ผู้พูดจะต้องไม่กล่าว
ยกยอเกินจริงเพราะจะทำให้ผู้ฟังเกิดความไม่ไว้วางใจ คิดว่ามีเจตนาบางอย่างแฝง
อยู่ก็จะไม่ปฏิบัติตามที่ผู้พูดต้องการ การพูดจะประสบความล้มเหลว
๑๒
หลักการที่สำคัญที่สุดในการโน้มน้าวใจ
คือ การทำให้มนุษย์ประจักษ์ถึงคุณค่า และผลที่จะได้รับซึ่งตอบสนองความต้องการขั้น
พื้นฐานของตนเอง การที่บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามเป้าหมายของผู้โน้มน้าวใจ
อาจไม่ได้เปลี่ยนเพราะประจักษ์ชัดแก่ใจตนเอง แต่ทำเพราะตัดความรำคาญ ลักษณะเช่นนี้
ถือวาการโน้มน้าวใจยังไม่สัมฤทธิ์ผล
กลวิธีในการพูดโน้มน้าวใจ
การโน้ มน้ าวใจทำได้ หลายวิ ธี ที่ สำคั ญ ได้ แก่
1) ทำให้ดูน่าเชื่อถือ โดยผู้โน้มน้าวต้อง รู้จริง มีคุณธรรม มีความปรารถนาดี
2) แสดงให้เห็นถึงความมีเหตุผลและน่ายอมรับ ถ้าเรื่องที่โน้มน้าวใจนั้นมีเหตุผล
หนักเเน่น ก็จะทำให้เป็นที่ยอมรับ
3) ทำให้เกิดความรู้สึกหรืออารมณ์ร่วม จะทำให้ผู้ฟังคล้อยตามได้ง่าย
4) ทำให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสีย เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ใช้วิจารณญาณ
เปรียบเทียบว่าทางที่ชี้แนะนั้นมีด้านดีมากกว่าด้านเสีย
5) การทำให้เกิดอารมณ์อย่างแรง เช่น โกรธ เศร้า เสียใจ กังวล หวาดกลัว
เพราะทำให้ขาดเหตุผล จึงสามารถทำให้คล้อยตามได้ง่าย
6) การสร้างความหรรษาแก่ผู้ฟัง การโน้มน้าวใจเพื่อให้เกิดความหรรษา ผู้โน้ม
น้าวใจอาจใช้วิธีการพูดทีเล่นทีจริงบ้าง เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด
๑๓
ลักษณะภาษาที่ใช้โน้มน้าว
ลักษณะภาษาที่ใช้โน้มน้าวควรมีลักษณะที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ หรืออาจเสนอแนะแนว
ทางปฏิบัติเพื่อจะได้ทำตามได้ง่ายและถูกต้องโดยใช้ภาษาที่นุ่มนวล ไพเราะ มีสัมผัส
คล้องจอง มีจังหวะชวนฟัง และไม่เป็นการบังคับ ข่มขู่
ประเภทของการโน้มน้าวใจ
1) คำเชิญชวน ส่วนมากเป็นคำเชิญชวนให้ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม เช่น คำเชิญชวน
ให้บริจาคทรัพย์และสิ่งของแก่ผู้ประสบทุกข์ภัย กลวิธีที่เห็นชัด คือชี้ให้ผู้ถูกโน้มน้าว
ใจเกิดความภูมิใจว่าถ้าปฏิบัติตามคำเชิญชวนจะเป็นผู้ที่ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม
2) คำโฆษณาสินค้าหรือบริการ ลักษณะสำคัญคือ มีส่วนนำที่สะดุดหู สะดุดตา เพื่อ
ให้มีผลเป็นที่สะดุดใจสาธารณชนเป็นพิเศษ มักใช้ประโยคหรือวลีสั้น ๆ ให้รับสารได้
อย่างฉับพลันแต่ฉาบฉวย เนื้อหาชี้ให้เห็นคุณค่าอันวิเศษของสินค้าหรือบริการ ซึ่งมัก
เกินความจริง และ ใช้กลวิธีการโน้มน้าวใจที่ให้เห็นว่าสินค้าหรือบริการนั้นสามารถ
สนองความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ได้
๑๔
ประเภทของการโน้มน้าวใจ (ต่อ)
3) การโฆษณาชวนเชื่ อ กลวิ ธี การโฆษณาชวนเชื่ อคื อ การกล่ าวแต่ สิ่ งที่
เป็ นประโยชน์ แก่ ฝ่ายตน โดยกลบเกลื่ อนแง่ อื่ นที่ เป็ นโทษมิ ให้ ผู้ ฟังทราบได้
โดยอาจแอบอ้ างถึ งบุ คคลหรื อสถาบั นที่ ทรงคุ ณวุ ฒิ หรื ออาจทำตั วเหมื อน
ชาวบ้ านธรรมดาเพื่ อทำให้ ดู น่ าไว้ ใจ และอาจมี การอ้ างคนส่ วนใหญ่ ทำให้ ดู
เหมื อนว่ าเป็ นที่ ยอมรั บ
สรุป
การพู ดแสดงทรรศนะ โต้ แย้ง และโน้ มน้ าวใจเป็นการพู ดแสดงความคิ ดความรู้สึกเกี่ ยวข้องกั บ
เรื่ องใดเรื่ องหนึ่ งอย่างมีเหตุผล ผู้ พู ดควรศึ กษาการพู ดในลักษณะดั งกล่าวให้เข้าใจและควรมี
มารยาทในการใช้ภาษา หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ ที่ สำคั ญควรเลือกใช้ถ้ อยคำในการสื่ อสารให้ผู้ ฟัง
เกิ ดความประทั บใจ สำหรับการโต้ แย้งควรเลือกประเด็ นโต้ แย้งในทางสร้างสรรค์ และก่ อให้เกิ ด
ประโยชน์ ประเด็ นที่ ไม่เกิ ดประโยชน์ไม่ควรพู ดโต้ แย้งกั น
๑๕