นิราศภูเขาทอง
ประวัติผู้เเต่ง สุนทรภู่
ประวัติของท่านสุนทรภู่ ท่านเป็นกวีเอกคนหนึ่งของกรุง
รัตนโกสินทร์ เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่่า ปีมะเมีย ตรงกับ
วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาท
สมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) บิดาเป็นชาวบ้านก
ร่่า อ่าเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดา เป็นคนจังหวัดไหนไม่
ปรากฏ ตั้งแต่สุนทรภู่ยังเด็ก บิดากลับไปบวชที่เมืองแกลง ส่วน
มารดามีสามี ใหม่มีลูกผู้หญิงอีก ๒ คน ชื่อฉิมกับนิ่ม ต่อมามารดา
ได้เป็นแม่นมของพระองค์เจ้าจงกล พระธิดาของ กรมพระราชวัง
หลัง สุนทรภู่จึงเข้าไปอยู่ในวังกับมารดา ตอนยังเป็นเด็ก สุนทรภู่
ได้เล่าเรียนที่วัด ชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) โตขึ้นก็เข้ารับราชการ
เป็นนายระวางพระคลังสวน ไม่นานก็ลาออกเพราะ ไม่ชอบงานนี้
ชอบแต่การแต่งกลอน และแต่งสักวาเท่านั้น
ความเป็นมา
ผู้แต่งนิราศภูเขาทอง คือ สุนทรภู่ โดยแต่งเมื่อปลาย พ.ศ. ๒๓๗๓ ในรัชสมัยของพระบาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
รัชกาลที่ ๒ สวรรคตได้ ๖ ปี ในขณะที่บวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดราชบุรณะ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่ง
ว่าวัดเลียบ นิราศภูเขาทอง เป็นนิราศที่มีเนื้อ
หาสั้นที่สุดของสุนทรภู่ คือ มีความยาวเพียง
๑๗๖ คำกลอนเท่านั้น เพื่อบอกเล่าการเดินทางของสุนทรภู่เอง โดยเป็นการเดินทางจากวัด
ราชบุรณะไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทอง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาเหตุที่ต้องเดินทางไป
กราบพระเจดีย์ภูเขาทองในครั้งนี้ ก็เพื่อหาความสบายใจให้แก่ตนเอง เนื่องจากได้รับความ
เดือดร้อนใจบางประการ ในขณะที่พำนักอยู่ที่วัดราชบุรณะ
ลักษณะคำประพันธ์ แผนผังและตัวอย่าง กลอนนิราศ
นิราศภูเขาทองแต่งด้วยคำประพันธ์ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา
ประเภทกลอนนิราศซึ่งมีลักษณะคล้าย รับกฐินภิญโญโมทนา ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
กลอนสุภาพ แต่มีความแตกต่างกันตรงที่
กลอนนิราศจะแต่งขึ้นต้นเรื่องด้วยกลอน .............................................................................
วรรครับและจะแต่งต่อไปอีก โดยไม่จำกัด
จำนวนบท แต่ต้องให้คำสุดท้ายซึ่งอยู่ใน จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น อย่านึกนินทาแถลงแหนงไฉน
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย ฯ
วรรคส่งจบลงด้วยคำว่า “เอย”
มักบรรยายและพรรณนาถึงสถานที่
อารมณ์รัก และคร่ าครวญถึงสตรีอันเป็น
ที่รัก โดยเอาไปผูกพัน กับธรรมชาติหรือ
สถานที่ที่พบเห็น
เนื้ อเรื่ องย่อ
สุนทรภู่เริ่มเรื่องด้วยการปรารภถึงสาเหตุที่ต้องออกจากวัดราชบูรณะและการเดินทาง โดยเรือ
พร้อมหนูพัดซึ่งเป็นบุตรชาย ล่องไปตามลำาน้ำเจ้าพระยาผ่านพระบรมมหาราชวัง จนมาถึง วัด
ประโคนปัก ผ่านโรงเหล้า บางจาก บางพลู บางพลัด บางโพ บ้านญวน วัดเขมา ตลาดแก้ว ตลาด
ขวัญ บางธรณี เกาะเกร็ด บางพูด บางเดื่อ บางหลวง เชิงราก สามโคก บ้านงิ้ว เกาะใหญ่ราชคราม
จนถึง กรุงเก่าเมื่อเวลาเย็น โดยจอดเรือพักที่ท่าน้ำวัดพระเมรุ ครั้นรุ่งเช้าจึงไปนมัสการเจดีย์
ภูเขาทอง ส่วนขากลับ สุนทรภู่กล่าวแต่เพียงว่า เมื่อถึงกรุงเทพฯ ได้จอดเทียบเรือที่ท่าน้ำหน้าวัด
อรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหารสุนทรภู่ออกเดินทางทางเรือพร้อมกับพัดบุตรชายที่เกิดจากนาง
จันภรรยาคนแรกของสุนทรภู่ในเดือน ๑๑ ช่วงออกพรรษาและรับกฐินแล้ว จากวัดราบูรณะล่องเรือ
ผ่านถานที่ต่างๆ ได้แก่ พระบวมมหาราชวัง วัดประโคนแก โรงเหล้า บางจาก บางพลู บางพลัด บาง
โพธิ์ บ้านญวน วัดเขมาภิรตาราม ตลาดแก้ว ตลาดขวัญ แขวงเมืองนนทบุรี บางธรณี ย่าน
เกร็ด(บ้านมอญ) บางพูด บ้านใหม่ บางเดื่อ บางหลวงเชิงราก สามโคก บ้านงิ้ว เกาะราชคราม วัด
หน้าพระเมรุ จนถึงสถานที่ปลายทางคือพระเจดีย์ภูเขาทอง วัดภูเขาทอง จังวัดนครศรีอยุธยา สุนทร
ภู่ไดไปกราบนมัสการพระบรมธาตุที่บรรจุในพระเจดีย์ภูเขาทอง ณ ที่นี้สุนทรภู่พบพระธาตุในเกสร
ดอกบัวจึงอัญเชิญใส่ขวดแก้วนำมาวางไว้ที่หัวนอนเพื่อบูชา แต่ถึงเมื่อรุ่งเช้าพระธาตุกลับหายไป
ทำให้สุนทรภู่เสียใจมา หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯ และขึ้นบกที่ท่าน้ำวัดอรุณราชวราราม
พระเจดีย์ภูเขาทอง วัดภูเขาทอง
เเผนที่การเดินทาง
คุณค่าวรรณคดี เนื้อหาดังที่ปรากฏในนิราศภูเขาทอง แสดงให้เห็นถึงความรอบรู้และความช่าง
๑.ด้านเนื้ อหา สังเกต ของสุนทรภู่ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสุนทรภู่ได้บันทึกเรื่องราวและ
เหตุการณ์ต่างๆ ที่ตนได้พบเห็น ตลอดเส้นทาง ตั้งแต่ออกจากวัดราชบูรณะจนถึง
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทำให้นิราศเรื่องนี้มีคุณค่า ในด้านเนื้อหา ควรค่าแก่
การศึกษา ดังตัวอย่างต่อไปนี้
๑) สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรม นิราศภูเขาทองมีเนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึง สภาพ
บ้านเมือง สังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะริมฝั่ งแม่น้ำ
เจ้าพระยาในช่วงสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้นได้เป็นอย่างดี อาทิ
๑.๑) การติดต่อค้าขาย สุนทรภู่มักถ่ายทอดสภาพสังคมสองฝั่ งแม่น้ำเจ้าพระยา
ไว้ในบทประพันธ์เรื่องต่างๆ ที่ตนเองแต่งอยู่เสมอ เช่นเดียวกับในนิราศภูเขาทองที่
สุนทรภู่ได้บรรยาย สภาพบ้านเมืองและวิถีชีวิตของผู้คน ตลอดจนบรรยากาศของ
สถานที่ อาทิ ภาพการค้าขายที่ ดำเนินไปอย่างคึกคัก มีการนำสินค้าหลากหลาย
ประเภทที่บรรทุกมากับเรือสำเภามาวางขายในแพ ที่จอดเรียงรายอยู่ตามริมน้ำ
เช่น
๑.ด้านเนื้ อหา(ต่อ)
ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ แพประจำจอดรายเขาขายของ
มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภา
ความหมาย องดูริมท่าน้ำ มีแพมาจอดขายของอยู่เรียงราย มีขายทั้งผ้าแพรสี
ม่วงและสีอื่นๆ ทั้งสิ่งของที่มาจากเมืองจีน
๑.๒) ชุมชนชาวต่างชาติ การตั้งบ้านเรือนของชาวต่างชาติมีมานานแล้ว จน ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ได้กลายเป็น
ส่วนหนึ่งของสังคมไทยและได้ซึมซับขนบธรรมเนียม ประเพณีและ คติความเชื่อต่างๆ เข้าไปผสมผสานกับ
วัฒนธรรมและวิถีการดำเนินชีวิตที่ติดตัวมาแต่เดิม ดังตอนที่ สุนทรภู่กล่าวถึงหญิงสาวชาวมอญ ซึ่งอาศัยอยู่ใน
ย่านปากเกร็ด (เขตจังหวัดนนทบุรี) ในสมัยนั้น นิยมแต่งหน้าและแต่งผมตามอย่างหญิงสาวชาวไทย เช่น การผัด
หน้า ถอนไรจุก คือ ถอนผมรอบๆ ผมจุก ให้เป็นแนวเล็กๆ จนเป็นวงกลมรอบผมจุกและจับเขม่า ซึ่งเป็นวิธีการ
แต่งผมเพื่อให้ผมมีสีดำเป็นมัน โดยใช้เขม่าผสมกับน้ำมันหอม เช่น
๑.ด้านเนื้ อหา(ต่อ)
ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
ความหมาย ถึงตำบลปากเกร็ดซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวมอญอพยพมา ตามธรรมเนียมผู้
หญิงมอญจะเกล้าผม แต่สมัยนี้ผู้หญิงมอญมาถอนไรผมเหมือนตุ๊กตา ทั้งยังใช้เครื่อง
สำอาง ใช้แป้งผัดหน้าซึ่งเหมือนกับชาวไทย
ทำให้เห็นได้ว่าสมัยนี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความเที่ยงแท้ เหมือนดังที่ชาวมอญละทิ้ง
ประเพณีวัฒนธรรมของตนเองแล้วจะนับประสาอะไรกับจิตใจของคน ซึ่งไม่มีใครมีใจ
เดียวแต่มีหลายใจ
๑.ด้านเนื้ อหา(ต่อ)
๑.๓) การละเล่นและงานมหรสพ สุนทรภู่ได้กล่าวถึงการละเล่นและงานมหรสพ พื้นบ้าน ซึ่งเป็นที่นิยมกัน
ในสมัยนั้นและจัดขึ้นในช่วงเทศกาลสำคัญประจำปี อาทิ งานฉลองผ้าป่า ที่วัดพระเมรุ มีการประดับ
ประดาโคมไฟ แลดูสว่างไสวไปทั่วบริเวณงาน และยังมีการขับเสภา และร้องเพลงเรือเกี้ยวกันระหว่างหนุ่ม
สาวชาวบ้าน เช่น
มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
บ้างขึ้นล่องร้องรำเล่นสำราญ ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสามเพ็ง เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
ความหมาย จอดเรือที่ข้างวัดพระเมรุซึ่งริมวัดมีเรือจอดเรียงอยู่ บางลำมีคน
ร้องเล่นเต้นสำราญ บางลำก็ร้องเพลง เกี้ยวกัน บางลำฉลองผ้าป่าด้วยการขับ
เสภาทั้งยังมีคนตีระนาดซึ่งตีเก่งเหมือนนายเส็ง (คนเก่งระนาดสมัยสุนทรภู่) มี
โคมเเขวนอยู่เรียงราเหมือนอยู่สำเพ็ง เมื่อคราวเคร่งในพระศาสนาก็ไม่ได้ดู
๑.ด้านเนื้ อหา(ต่อ)
๒) ตำนานสถานที่ เนื่องจากเนื้อหาของนิราศส่วนใหญ่ ได้แก่ การพรรณนา การเดินทาง ดังนั้น เมื่อกวีล่องเรือผ่าน
สถานที่ใด ก็มักจะกล่าวถึงสถานที่นั้น เช่นเดียวกับสุนทรภู่ เมื่อเดินทางผ่านสถานที่ อาทิ วัดประโคนปัก สุนทรภู่ได้
บอกเล่าเรื่องราวอันเป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้ ไว้ว่าเหตุที่วัดมีชื่อว่าประโคนปัก เนื่องจากมีการเล่าสืบต่อกันมาว่า
บริเวณนี้เป็นที่ปักเสาประโคน เพื่อปันเขตแดน เช่น
ถึงอารามนามวัดประโคนปัก ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน
เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา
ความหมาย ถึงวัดประโคนปักก็มองไปไม่เห็นเสาหินที่ลือกันเป็น
เสาที่สำคัญในเเผ่นดินถึงจะไม่เห็นก็ขอเดชะ พระพุทธคุณช่วย
ขอให้อายุยืนหมื่น ๆ ปีเท่าดังเสาศิลา อยู่คู่ฟ้าดินได้ตลอดไป
๑.ด้านเนื้ อหา(ต่อ)
๓) ความเชื่อของคนไทย สุนทรภู่ได้สอดแทรกคติความเชื่อของคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่ มักเกี่ยวเนื่องในพระพุทธ
ศาสนา โดยเฉพาะเรื่องนรก-สวรรค์ อาทิ ความเชื่อที่ว่าหากใครคบชู้ คือ ประพฤติตนผิดศีลข้อ ๓ ตามหลักศีล ๕
เมื่อตายไป ผู้นั้นจะตกนรกและต้องปีนต้นงิ้วซึ่งมีหนามยาว และแหลมคม เช่น
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม ดังขวากแซมเสี้ยมแทรกแตกไสว
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง
ความหมาย เพราะถ้าโดนคงเจ็บมาก แต่งิ้วในนรกยาวถึง ๑๖ ข้อนิ้ว
แหลมเหมือนกับไม้ไผ่เหลาทำกับดัก ซึ่งใครมีชู้เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไป
ปีนต้นงิ้วในนรก
๑.ด้านเนื้ อหา(ต่อ)
๔) แง่คิดเกี่ยวกับความจริงของชีวิต บทประพันธ์ของสุนทรภู่มักได้รับการ ยกย่องอยู่เสมอมาว่ามีเนื้อหาที่สอด
แทรกข้อคิด คติการดำเนินชีวิต และช่วยยกระดับจิตใจของผู้อ่าน ให้ปฏิบัติตนไปตามแนวทางที่เหมาะสม ดัง
ปรากฏในบทกลอนตอนหนึ่งซึ่งมีเนื้อหากล่าวเกี่ยวเนื่อง ถึงเรื่อง โลกธรรม ๘ ตามหลักคำสอนทางพระพุทธ
ศาสนา โดยสุนทรภู่กล่าวว่า แม้เจดีย์ภูเขาทอง ที่ครั้งหนึ่งเคยงดงามก็ยังมีวันทรุดโทรม ชื่อเสียงเกียรติยศก็เช่น
เดียวกัน เมื่อมีรุ่งเรืองก็มีเสื่อมได้ เป็นธรรมดาจึงควรมองโลกอย่างเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง เช่น
ทั้งองค์ฐานรานร้าวถึงเก้าแฉก เผยอแยกยอดทรุดก็หลุดหัก
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น
ความหมาย ที่ฐานร้าวถึงเก้าแฉก ที่ยอดก็หัก องค์พระเจดีย์ก็ทรุด เป็นเพราะเจดีย์ไม่มีคนคอยดูแล
นึกแล้วเสียดายจนน่าร้องไห้แล้วจะเทียบอะไรกับชื่อเสียงเกียรติยศของมนุษย์ ก็คงหมดไปในไม่
นาน เหมือนกับเป็นผู้ดีแล้วลำบาก เป็นคนมั่งมีแล้วยากจน คิดแล้วทุกอย่างไม่เที่ยงแท้
๒.ด้านวรรณศิ ลป์
โวหารภาพพจน์ โวหารภาพพจน์ เป็นการใช้ถ้อยคำเพื่อเปรียบทียบ
อธิบาย บรรยาย หรือสร้างสิ่งหนึ่งให้มีชีวิตขึ้นมา ทำให้บท
ประพันธ์มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น สื่อความหมายที่
ต้องการถ่ายทอดได้ชัดเจน โวหารภาพพจน์ที่ปรากฎใน
นิราศภูเขาทอง เช่น อุปมาโวหาร พรรณนโวหาร สัทพจน์
ดังนี้
๒.ด้านวรรณศิ ลป์(ต่อ)
การใช้โวหาร ๑.อุปมาโวหาร คือ การเปรียบคำว่า เหมือน โดยเปรียบตนเอง เหมือนกับ
นก ที่ต้อง (บิน) ร่อนเร่เรื่อยไปตามลำพัง ไม่มีที่อยู่อาศัย (รัง) เป็นหลัก
แหล่ง นอกจากนี้ยังมี วรรคทอง ที่ได้รับการจดจำและมีการอ้างอิงอยู่
เสมอ เมื่อกล่าวถึง ชีวประวัติของสุนทรภู่ ก็คือ บทที่สุนทรภู่รำพันถึงความ
หลัง เมื่อครั้งที่เคยเข้าเฝ้าฯ รับใช้ใกล้ชิด เบื้องพระยุคลบาทพระบาท
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ สุนทรภู่ก็
ถึงคราวตกยาก จึงรำพันไว้ในนิราศภูเขาทองได้อย่างสะเทือนอารมณ์ เช่น
๒.ด้านวรรณศิ ลป์(ต่อ)
การใช้โวหาร ถีงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
ความหมาย ถึงหน้าวังก็เศร้าโศกมาก คิดถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัยผู้ซึ่งมีพระคุณกับสุนทรภู่อย่างมาก เมื่อก่อนเคยเข้าเฝ้าพระองค์อย่างใกล้
ชิดและบ่อยครั้ง
เมื่อพระองค์สวรรคตก็เหมือนกับสุนทรภู่ตายไปด้วยเพราะไม่มีญาติหรือคนคอย
ช่วยเหลือชีวิตจึงยากแค้นแสนเข็ญ อีกทั้งมีโรคมีกรรมเข้ามารุมล้อม ไม่เห็นใครที่
จะพึ่งพาได้
๒.ด้านวรรณศิ ลป์(ต่อ)
การใช้โวหาร ๒.พรรณโวหาร เป็นโรหารชนิดหนึ่ง ใช้เพื่อธิบายหรือบรรยาย สิ่งของ บรรยากาศ
ตัวละคร สถานที่ฯลฯ ด้วภาษาที่สละสลวย อ่านแล้ว เข้าใจรายละเฮียดมากยิ่งขึ้น
เช่น
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก กลับกระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวียน
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน ดูเวียนเวียนคว้างคว้างเป็นหว่างวน
ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วง ครรไลล่วงเลยทางมากลางหน
โอ้เรือพ้นวนมาในสาชล ใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลา
ความหมาย มองเห็นน้ำวิ่งเชี่ยวหมุนเป็นเกลียว พุ่งไปมาตัดกัน บางส่วนก็พุ่ง
วนเหมือนกงเกวียน ดูเวียนๆเป็นเหมือนพายุวนทั้งหัวท้ายเรือได้รีบแจวเรือดัง
นั้นเรือจึงหลุดน้ำวนออกมาได้ แต่ถึงเรือจะพ้นน้ำวนมาแล้วแต่ใจสุนทรภู่ก็ยัง
ไม่พ้นจากวังวนของความรัก
๒.ด้านวรรณศิ ลป์(ต่อ)
การใช้โวหาร ๓.สัทพจน์โวหาร เป็นการใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ สัตว์ ดนตรี ฯลฯ ซึ่ง
ไม่มีความหมาย เช่น ใช้คำว่าฉู่ซึ่งปกติมี ความหายว่า มีกลิ่นเหม็นหรือ
ฟุ้ง แทนเสียงยุงที่บินมารุมตอม ใช้คำว่าแปะซึ่งปกติมีความหมายว่า
ทาบหรือปะ แทนเสียง ฝ่ามือกระทบผิวเวลาตบยุง ใช้คำว่าเกรียดแทน
เสี่ยงเขียดร้อง ใช้คำว่ากรีดซึ่งปกติหมายถึงส่งเสียงเสียดหูหรือขีดลาก
ด้วย ของมีคม แทนเสียงแหลมของจิ้งหรีด ใช้คำว่าวะหวิวแทนเสียง
สายลมพัดผ่าน ใช้คำว่ากุกแทนเสียงเรือเอียงตอนที่โจรเข้า เช่น
๒.ด้านวรรณศิ ลป์(ต่อ)
การใช้โวหาร ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง พอหยุดยุงอู่ชุมมารุมกัด
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายชัด ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจิ้งหรืดเรื่อย พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง มันคำล่องน้ำไปข่างไวเหลือ
ความหมาย มองไปไม่เห็นคลองเลยต้องค้างอยู่กลางทุ่ง แต่พอหยุดเรือยุงก็มารุม
กัดเจ็บเหมือนโดนทรายซัด เลยไม่ได้นอนเพราะต้องนั่งปัดยุงมีเสียงกบเขียดร้อง
เรื่อยๆ มีลมพัดเฉื่อยๆพอมีเสียงกุกกักสุนทรภู่ก็ลุกขึ้นโวยวาย โจรก็รีบดำน้ำไป
อย่างว่องไว
๒.ด้านวรรณศิ ลป์(ต่อ)
การเล่นเสี ยง การเล่นเสียง บทประพันธ์ของสุนทรภู่ ถือได้ว่ามีความดีเด่นเรื่องการเล่น
เสียง โดยเฉพาะการเล่นเสียงสัมผัสภายในวรรค ทั้งสัมผัสสระและสัมผัส
อักษร ทำให้กลอนนิราศภูเขาทอง มีความไพเราะเป็นอย่างมาก เช่น
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก กลับกระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวียน
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน ดูเวียนเวียนคว้างคว้างเป็นหว่างวน
ความหมาย มองเห็นน้ำวิ่งเชี่ยวหมุนเป็นเกลียว พุ่งไปมาตัดกัน บางส่วนก็พุ่งวน
เหมือนกงเกวียน ดูเวียนๆเป็นเหมือนพายุวน
มีสัมผัสในวรรค เช่น วิ่ง – กลิ้ง เชี่ยว – เกลียว ฉอก – ฉาด – ฉัด
ฉวัด – เฉวียน เป็นต้น
๒.ด้านวรรณศิ ลป์(ต่อ)
การเลือกใช้คำ การเลือกใช้คำ เป็นการเพิ่มสัมผัส เพิ่มเสียง หรือเลือกคำที่มีความหมายสอดคล้อง
กัน ใกล้เคียงกันหรือตรงข้ามกันมาใส่ไว้ในบทประพันธ์เดียวกัน ทำให้คำประพันธ์มี
ลักษณะเด่นมากขึ้น เช่น
ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน จึงต้องขืนในพรากมาจากเมือ
ความหมาย ถึงบางจากไม่อยากได้ยินคำว่าจาก เพราะสุนทรภู่จากหลาย ๆ อย่าง
มา ต้องมีใจมัวหมองเพราะรักนั้น ไม่ยืนยาว จึงต้องจากเมืองพรากมา
๑.มีการเล่นคำว่า บางจาก กับ จาก (การพลัดพราก)
๒.มีการเล่นเสียงสัมผัสผยัญชนะ มามัวหมอง (เล่น "ม")
๓.ด้านสั งคม
นิราศภูขาทอง เปรียบเสมือนบันทึกการเดินมทางของสุนทรภู่ เมื่อพบเจอ
เหตุการณ์ที่ได้ผ่านไปก็บันทึไว้ จึงเหมือนการบันทึกเหตุกรณ์ทางสังคม เรา
จึงอ้างอิงเรื่องราวในช่วงเวลาหนึ่ งได้
คุณค่าด้านสังคมที่ปรากฎในนิราศภูขทอง ได้แก่ การบันทึกเหตุการณ์ที่ได้
พบ การอ้างอิงถึงหลักคำสอนกงพระพุธศาสนา และการแสดงความจงรัก
ภักดีต่อพระมหากษัตร์ย์ ดังนี้
๓.ด้านสั งคม(ต่อ)
การบันทึก สุนทรภู่ได้บันที่เหตุการณ์ สถานที่กลุ่มคนหรือบรรยากาศ ประกอบการ
เหตุการณ์ เดินทาง ทำให้ผู้อ่านทราบเรื่องราวเละอ้างอิงจากข้อมูลที่ปรากฎใน
ปัจจุบันได้ เช่น
ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิดฯ
ความหมาย ถึงตำบลปากเกร็ดซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวมอญอพยพมา ตาม
ธรรมเนียมผู้หญิงมอญจะเกล้าผม แต่สมัยนี้ผู้หญิงมอญมาถอนไรผมเหมือน
ตุ๊กตา ทั้งยังใช้เครื่องสำอาง ใช้แป้งผัดหน้าซึ่งเหมือนกับชาวไทย
ทำให้เห็นได้ว่าสมัยนี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความเที่ยงแท้ เหมือนดังที่ชาวมอญ
ละทิ้งประเพณีวัฒนธรรมของตนเองแล้วจะนับประสาอะไรกับจิตใจของคน
ซึ่งไม่มีใครมีใจเดียวแต่มีหลายใจ
๓.ด้านสั งคม(ต่อ) หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นเเเนวทางในการ
ปฏิบัติ การฝึกฝนจิตใจ มีส่วนในช่วยในการดำรงชีวิตลเป็นที่
การอ้างอิงคำสอน
พระพุทธศาสนา ยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น
ถึงอารามนามวัดประโคนปัก ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน
เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง
ความหมาย ถึงวัดประโคนปักก็มองไปไม่เห็นเสาหินที่ลือกันเป็นเสาที่
สำคัญในเเผ่นดินถึงจะไม่เห็นก็ขอเดชะ พระพุทธคุณช่วย ขอให้อายุยืน
หมื่น ๆ ปีเท่าดังเสาศิลา อยู่คู่ฟ้าดินได้ตลอดไป
๓.ด้านสั งคม(ต่อ)
การเเสดงความ ในนิราศภูเขาทอง สุนทรภู่มักเชื่อมโยงความรู้สึกที่อาลัยเเละ
จงรักภักดีต่อ ความภักดี ต่อพระบาทสมด็จพระพุทธเลิศหล้านนภาลัย(ร.๒)
พระมหากษั ตรืย์ เพราะเคยได้รับใช้อย่างใกล้ชิด ทำให้เมื่อเดินทางผ่านสถานที่ที่คุ้น
คย ก็จะรำพันออกมา เช่น
ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
ความหมาย ถึงหน้าวังก็เศร้าโศกมาก คิดถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หล้านภาลัยผู้ซึ่งมีพระคุณกับสุนทรภู่อย่างมาก เมื่อก่อนเคยเข้าเฝ้าพระองค์
อย่างใกล้ชิดและบ่อยครั้ง
เมื่อพระองค์สวรรคตก็เหมือนกับสุนทรภู่ตายไปด้วยเพราะไม่มีญาติหรือคน
คอยช่วยเหลือชีวิตจึงยากแค้นแสนเข็ญ อีกทั้งมีโรคมีกรรมเข้ามารุมล้อม ไม่
เห็นใครที่จะพึ่งพาได้
แนวคิดสำคัญ
วรรณกรรมของสุนทรภู่ได้สอดแทรกหลักธรรมคำสอนของ พระพุทธ
ศาสนาไว้เสมอ เป็นทั้งคติเตือนใจและสอนใจไม่ให้ตกอยู่ในความ
ประมาทในชีวิต นับได้ว่าสุนทรภู่เป็นทั้งจินตกวี และธรรมกวี ที่มี
ความคิด ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์อย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง
มีความสามารถในการแทรกคติธรรมและปรัชญาไว้ในวรรณกรรมของ
ท่านได้อย่างเหมาะสม ลึกซึ้ง คมคาย กลมกลืนกับเนื้อเรื่อง และ
เหตุการณ์ของวรรณกรรมนั้น ๆ คำสอนทั้งหมดล้วนทรงคุณค่า ควรแก่
การนำมาปฏิบัติตามอย่างแท้จริง เพราะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับ
ทุกยุคทุกสมัย และ ใช้ได้กับคนทุกชนชั้น
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
บทประพันธ์ของสุนทรภู่สอนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการพูด
คำพูดนับเป็น สิ่งสำคัญที่จะสร้างมิตรและก่อศัตรูให้เราได้ อีกทั้งยัง
เป็นเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น หากเราจะรู้จักใช้ ถ้อยคำให้ถูกต้อง เหมาะสม
สมาชิก
๑.นายพงษ์เทพ สนิทดี รหัสนักศึกษา๖๕๑๑๐๒๐๐๘๑๐๖
๒.นางสาวนารีรัตน์ อัคคีโรจน์ รหัสนักศึกษา๖๕๑๑๐๒๐๐๘๑๐๙
๓.นางสาวนัทพร ภูชื่นแสง รหัสนักศึกษา๖๕๑๑๐๒๐๐๘๑๒๓
๔.นางสาวกรรณิการ์ คำจู รหัสนักศึกษา๖๕๑๑๐๒๐๐๘๑๒๗
๕.นางสาวจันฑิมา อรุณเมือง รหัสนักศึกษา๖๕๑๑๐๒๐๐๘๑๓๐
สาขาวิชาภาษาไทย ชั้นปีที่ ๑