The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tuahuay, 2023-08-21 19:47:57

รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อผลักดันกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์

กมธ.3

๓๓ ๒.๕ ร่างบทบัญญัติว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ คณะกรรมำธิกำรกำรพัฒนำสังคมฯ วุฒิสภำ ได้พิจำรณำศึกษำกำรปรับปรุงแก้ไขกฎหมำยไทย ให้เท่ำทันกับสถำนกำรณ์ภัยออนไลน์รูปแบบใหม่ ๆ ที่มีต่อเด็กและเยำวชน พบข้อมูลที่ส ำคัญ ดังนี้ ในปี ๒๕๕๘ ประเทศไทย มีกำรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๘๗ เกี่ยวกับสื่อลำมกอนำจำรเด็ก มำตรำ ๒๘๗/๑ ห้ำมกำรครอบครองสื่อลำมกอนำจำรเด็ก เพื่อแสวงหำ ประโยชน์ทำงเพศส ำหรับตนเองหรือผู้อื่น มีโทษจ ำคุกสูงสุด ๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บำท หรือทั้งจ ำทั้งปรับ ถ้ำส่งต่อสื่อนั้นให้แก่ผู้อื่น มีโทษจ ำคุกสูงสุด ๗ ปี หรือ ปรับไม่เกิน ๑๔๐,๐๐๐ บำท หรือทั้งจ ำทั้งปรับ มำตรำ ๒๘๗/๒ ก ำหนดควำมผิดของ กำรท ำ ผลิต มีไว้ น ำเข้ำหรือส่งออก หรือเผยแพร่ สื่อลำมกอนำจำรเด็กด้วยวิธีใด ๆ กำรค้ำ กำรแจกจ่ำย กำรแสดง หรือเข้ำไปมีส่วนเกี่ยวข้องในกำรค้ำ สื่อลำมกอนำจำรเด็ก กำรโฆษณำว่ำสื่อลำมกอนำจำรเด็กจะหำได้จำกบุคคลใด หรือโดยวิธีใด ให้มีโทษจ ำคุกตั้งแต่ ๓-๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๖๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บำท ดร.ศรีดำ ตันทะอธิพำนิช ในฐำนะ ประธำนคณะท ำงำนพัฒนำระบบปกป้องคุ้มครองและ ช่วยเหลือเยียวยำเด็กในกำรใช้สื่อออนไลน์ ภำยใต้ คณะอนุกรรมกำรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็ก และเยำวชนในกำรใช้สื่อออนไลน์ ภำยใต้ คณะกรรมกำรส่งเสริมกำรพัฒนำเด็กและเยำวชนแห่งชำติ (กดยช.) ได้น ำเสนอ รำยงำนกำรศึกษำและให้ข้อเสนอแนะกำรปรับปรุงกฎหมำยเกี่ยวกับกำรส่งเสริม และปกป้องคุ้มครองเด็กในกำรใช้สื่อออนไลน์ ต่อคณะอนุกรรมกำรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็ก และเยำวชนในกำรใช้สื่อออนไลน์ เมื่อเดือน มี.ค. ๒๕๖๑ ซึ่งรำยงำนดังกล่ำว เสนอแนะให้ประเทศ ไทยควรมีกฎหมำยดูแลเด็กกับสื่อออนไลน์ ครอบคลุมอย่ำงน้อย ๖ ประเด็น ได้แก่ กำรติดตำม คุกคำมออนไลน์ (Cyber Stalking) กำรกลั่นแกล้งรังแกทำงออนไลน์ (Cyber Bullying) สื่อลำมก อนำจำรเด็ก (Child Pornography) กำรพูดคุยเรื่องเพศที่ไม่เหมำะสม (Sexting) กำรล่อลวงเด็กเพื่อ วัตถุประสงค์ทำงเพศ (Online Grooming) และกำรคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและควำมเป็นส่วนตัว ของเด็ก (Child Online Privacy Protection) คณะอนุกรรมกำรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยำวชนในกำรใช้สื่อออนไลน์ มีมติเห็นชอบว่ำควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมำยไทยให้สำมำรถคุ้มครองดูแลเด็กและเยำวชน ที่ใช้สื่อออนไลน์ได้มำกยิ่งขึ้น ตำมแนวทำงของกำรศึกษำวิจัยดังกล่ำว จึงได้ประสำนงำนไปยัง คณะอนุกรรมกำรปรับปรุงกฎหมำยเกี่ยวกับเด็กให้เป็นไปตำมมำตรฐำนรัฐธรรมนูญและอนุสัญญำ ว่ำด้วยสิทธิเด็ก (ภำยใต้ กดยช. เช่นเดียวกัน) เพื่อด ำเนินกำร คณะอนุกรรมกำรปรับปรุงกฎหมำยเกี่ยวกับเด็กให้เป็นไปตำมมำตรฐำนรัฐธรรมนูญฯ ได้แต่งตั้งคณะท ำงำนศึกษำและยกร่ำงกฎหมำยคุ้มครองเด็กกับสื่อออนไลน์ เมื่อเดือน มิ.ย. ๒๕๖๑ ซึ่งเริ่มท ำงำนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมำจนถึงปัจจุบัน ตลอด ๒ ปีกว่ำที่ผ่ำนมำ มีกำรประชุมคณะท ำงำน หลำยครั้งเพื่อยกร่ำงและขัดเกลำ จนได้“บทบัญญัติว่ำด้วยกำรกระท ำผิดต่อเด็กผ่ำนสื่อออนไลน์” ซึ่งผ่ำนกระบวนกำรกำรรับฟังควำมคิดเห็นตำมที่ก ำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๗๗ แล้ว รวมทั้งสิ้น ๓ ครั้ง พร้อมน ำไปผลักดันต่อเพื่อให้มีกำรปรับแก้กฎหมำยดังกล่ำวในประมวลกฎหมำยอำญำ โดยเร็วที่สุด (ร่ำงบทบัญญัติฯ ดังกล่ำว ปรำกฏในภำคผนวกของรำยงำนฉบับนี้)


บทที่ ๓ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ได้พิจารณาศึกษาข้อมูลสถานการณ์และปัญหาภัยออนไลน์ต่อเด็ก และเยาวชน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องคุ้มครองเด็กบนโลกออนไลน์ และได้จัดท า “ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อผลักดันกฎหมายว่าด้วยการกระท าความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์” เสนอต่อวุฒิสภา รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการจัดการกับปัญหาการใช้สื่อออนไลน์ ของเด็กไทย จ านวน ๓ ด้าน ประกอบดัวย ๑. ด้านกฎหมาย ๑.๑ เสนอให้กระทรวงยุติธรรมท างานร่วมกับคณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมาย เกี่ยวกับเด็กให้เป็นไปตามมาตรฐานรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ภายใต้คณะกรรมการ ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) น าร่างบทบัญญัติว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็ก ผ่านสื่อออนไลน์ไปปรับปรุงแก้ไขหรือเพิ่มเติมในประมวลกฎหมายอาญาเพื่อให้เท่าทันกับสถานการณ์ ภัยออนไลน์ที่ก าลังคุกคามเด็กและเยาวชนไทย ร่างฯ นี้ มีเนื้อหาครอบคลุมฐานความผิด ๕ ประเภท ได้แก่ การพูดคุยเรื่องเพศ ที่ไม่เหมาะสม (Sexting) การล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ (Online Grooming) การแบล็กเมล ทางเพศ (Sextortion) การติดตามคุกคามออนไลน์ (Cyber Stalking) และการกลั่นแกล้งรังแก ออนไลน์ (Cyber Bullying) ) ซึ่งร่างฯ นี้ ได้ผ่านกระบวนการการรับฟังความคิดเห็นตามที่ก าหนดไว้ ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๗ ด้วยแล้ว จ านวน ๓ ครั้ง หากร่างฯ นี้ได้ถูกน าไปผลักดันเพื่อปรับปรุง เพิ่มเติมในประมวลกฎหมายอาญาออกมาบังคับใช้ได้เร็วเท่าใด ผู้บังคับใช้กฎหมายก็จะได้ใช้เป็น เครื่องมือในการด าเนินการกับผู้กระท าผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้เร็วเท่านั้น ซึ่งก็จะเป็นการ เพิ่มมาตรฐานการคุ้มครองเด็กในประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลให้ดียิ่งขึ้นด้วย ๑.๒ เสนอให้มีการติดตามการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยขอให้ส านักงานต ารวจแห่งชาติ ท างานร่วมกับกระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและ สังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พัฒนาศักยภาพผู้บังคับ ใช้กฎหมายและสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องในการป้องกัน ปราบปราม และปกป้องคุ้มครองเด็กและ เยาวชนจากภัยออนไลน์ ตั้งแต่พนักงานเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กที่เริ่มรับคดีเกี่ยวกับเด็กและคดี ออนไลน์ พนักงานสืบสวน พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา นักสังคม สงเคราะห์ พนักงานฝ่ายปกครอง ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา พนักงานเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบุคคลแวดล้อมเด็ก เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในลักษณะพิเศษและความยุ่งยาก ซับซ้อนของคดีออนไลน์ การด าเนินการกับพยานหลักฐานทางดิจิทัล มาตรฐานการท างานและการ พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเด็กในการใช้สื่อออนไลน์ในระดับสากล โดยเฉพาะคดีการล่อลวง ละเมิด ทางเพศ การแสวงหาประโยชน์ทางเพศเด็กผ่านสื่อออนไลน์ เนื่องจากมาตรการทางด้านกฎหม าย


๓๖ จะมีประสิทธิภาพเต็มที่ หากผู้บังคับใช้กฎหมายและสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องได้ท าความเข้าใจร่วมกัน ตีความกฎหมายไปในทิศทางเดียวกัน และได้พัฒนามาตรฐานการท างานร่วมกัน ๑.๓ เสนอให้ส านักงานต ารวจแห่งชาติ ท างานร่วมกับกระทรวงยุติธรรม กระทรวง ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคม พัฒนาฐานข้อมูลผู้กระท าผิดและผู้เสียหาย และมีระบบส่งต่อข้อมูลให้ เครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการท างานป้องกัน ปราบปราม คุ้มครอง และช่วยเหลือ เยียวยาเด็กและเยาวชน ตลอดจนการน าไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการก าหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ ปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ ๒. ด้านสังคม ๒.๑ เสนอให้ส านักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ท างานร่วมกับส านักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ –Thailand Institute of Justice) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาการสอบสวนและการด าเนินคดี สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI - Thailand Development Research Institute) และหน่วยงานวิจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษา และกองทุนที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ตลอดจนภาคประชาสังคม ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการวิจัย การสร้างองค์ความรู้ การจัดการความรู้ และการเผยแพร่ความรู้ เพื่อน ามาใช้ในการก าหนดนโยบายหรือมาตรการป้องกัน ปราบปราม คุ้มครอง และช่วยเหลือเยียวยาเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยออนไลน์ เช่น การศึกษา ความเป็นไปได้ในการน าระบบการขึ้นทะเบียนอาชญากรผู้กระท าผิดทางเพศต่อเด็กมาใช้เพื่อก าหนด มาตรการป้องกันการกระท าซ้ า และเพิ่มระดับการคุ้มครองเด็กให้มากยิ่งขึ้น การฟื้นฟูเยียวยา เด็กและเยาวชนจนสามารถกลับคืนสู่สังคมโดยปกติสุข เป็นต้น ๒.๒ เสนอให้กระทรวงการอุดมศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการ ท างานร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ส านักงานต ารวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวง สาธารณสุข และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงกองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะ กองทุนที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ตลอดจนภาคประชาสังคม ในการรณรงค์ส่งเสริมและจัด กิจกรรมให้ความรู้สร้างความตระหนักแก่เด็กและเยาวชนเกี่ยวกับภัยและการป้องกันภัยออนไลน์ อย่างต่อเนื่อง เพื่อมีทักษะป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการทารุณกรรม การถูกละเมิด และภัยออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งส าคัญจ าเป็นที่จะต้องด าเนินการทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ รวมถึงต้องสอนให้เด็ก เยาวชน และผู้ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทุกคนรู้เท่าทัน สามารถจัดการ ความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นบนโลกออนไลน์ได้


๓๗ ๒.๓ เสนอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ท างานร่วมกับกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวง การอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง กองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะ กองทุนที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน รวมถึงภาคประชาสังคม ส่งเสริมพัฒนากลไกการสร้าง ความตระหนักสาธารณะในทุกระดับ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดเวที สาธารณะ และจัดกิจกรรมสร้างเสริมพัฒนาศักยภาพแก่เด็ก เยาวชน ครอบครัว และบุคคลแวดล้อม เด็ก เพื่อให้รู้เท่าทันสื่อ พร้อมผลักดันให้มีการน าแนวปฏิบัติในการคุ้มครองป้องกันภัยต่อเด็กส าหรับ ครอบครัว ไปใช้อย่างทั่วถึงในทุกระดับทั่วทุกภูมิภาค รวมถึงการจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ส าหรับ พ่อแม่ผู้ปกครองและบุคคลแวดล้อมเด็ก เกี่ยวกับภัยและการป้องกันภัยออนไลน์ การดูแลบุตรหลาน ในยุคดิจิทัล การสร้างบรรทัดฐานที่ดีของสังคม การส่งเสริมให้ครอบครัวเป็นต้นแบบทั้งในเรื่องของ การใช้สื่อ เพื่อเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติส าหรับเด็กและเยาวชน ๒.๔ เสนอให้กรมประชาสัมพันธ์ และส านักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ท างานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันผลักดันสื่อทุกแขนง รวมถึงสื่อบุคคล และองค์กรวิชาชีพสื่อ ให้ด าเนินการสื่อสารสาธารณะเพื่อสร้างความตระหนักรู้ เรื่องภัยและการป้องกันภัยออนไลน์ รวมถึงความจ าเป็นของการมีกฎหมายที่เท่าทันกับสถานการณ์ เพื่อรับมือกับภัยออนไลน์รูปแบบใหม่ ๆ ที่ก าลังคุกคามเด็กและเยาวชนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ร่วมกันเสนอแนะข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องในการรับมือกับภัยออนไลน์ และเตรียมความพร้อม ให้กับประชาชนส าหรับการบังคับใช้กฎหมายที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ๓. ด้านการสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วม ๓.๑ เสนอให้กรมประชาสัมพันธ์ และส านักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ท างานร่วมกับกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม และภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ภาคประชาสังคม เร่งส่งเสริมสนับสนุนการผลิตและเผยแพร่เนื้อหา (content) ที่เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์ และส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ให้มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนและพัฒนาผู้สร้างสรรค์เนื้อหา (content) ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการสื่อสารที่สร้างสรรค์ในสังคมไทยอย่างกว้างขวางและเท่าทันกับสถานการณ์ ๓.๒ เสนอให้ส านักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ท างานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวง วัฒนธรรม และส านักงานต ารวจแห่งชาติ พัฒนามาตรการส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ในการก ากับดูแลและเฝ้าระวังป้องกันภัยคุกคามออนไลน์ ที่มีต่อเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะภาคธุรกิจ เช่น ผู้ประกอบการด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ผู้ผลิตเนื้อหา ผู้ให้บริการเกมอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ให้บริการเกมออนไลน์ และสถาบันทางการเงิน ในการก าหนดมาตรฐานการคุ้มครองเด็กในการประกอบธุรกิจ ตามหลักมาตรฐานสากล


๓๘ ๓.๓ เสนอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก าหนดให้มีวันการใช้ อินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ (National Safer Internet Day) เพื ่อให้มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ ส่งเสริมสร้างความตระหนักรู้และเห็นความส าคัญของการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยสร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ต ่อสังคม ร ่วมกับองค์กรต ่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ทั้งภายในประเทศและทั่วโลก ซึ่งในระดับสากลนั้นก าหนดไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี


บรรณานุกรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ. (๒๕๖๔). DSI สนธิก าลัง จับกุมโมเดลลิ่งเครือข่ายเผยแพร่ภาพลามกเด็ก แหล่งใหญ่ของโลก.ออนไลน์https://www.dsi.go.th/th/Detail/9239f3eddab0f4c53bae1b98f8484140 กรุงเทพธุรกิจ. (๒๕๖๔). รายงานสถิติการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาคดีคุกคามทางเพศเด็กบนโลกออนไลน์. ออนไลน์https://www.bangkokbiznews.com/advertorials/politics/2893 พ.ต.ต.ดร.ชวนัสถ์ เจนการ. (๒๕๖๔). แนวปฏิบัติส าหรับผู้บังคับใช้กฎหมาย ในกรณีการล่วง ละเมิดต่อเด็กในโลกออนไลน์. โครงการ “ขับเคลื่อนงานคุ้มครองเด็กจากภัยออนไลน์” โดยมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย สนับสนุนโดยส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ (สสส.) มรกต แสงสระคู, TICAC – Thailand Internet Crime Against Children. (๒๕๖๔). สถิติการ จับกุมคดีละเมิดทางเพศเด็กออนไลน์. การอบรมเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ทั่วประเทศ เพื่อปกป้องและคุ้มครองกรณีภัยออนไลน์ต่อเด็กและเยาวชน มิถุนายน ๒๕๖๔ กรมกิจการเด็กและเยาวชน ศรีด า ตันทะอธิพานิช, คณาธิป ทองรวีวงศ์ และคณะ. (๒๕๖๑). รายงานการศึกษา และให้ข้อเสนอแนะการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็ก ในการใช้สื่อออนไลน์. สนับสนุนโดยเครือข่ายสิทธิเด็กประเทศไทย และมูลนิธิเพื่อยุติ การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ส านักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ร่วมกับ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ และ DQ Institute. (๒๕๖๑). ผลส ารวจพฤติกรรมออนไลน์เด็กไทย เสี่ยงภัยคุกคาม ๔ แบบ. ออนไลน์https://www.depa.or.th/th/article-view/๔ DQ Institute. (๒๐๒๐). 2020 COSI and Full Report. ออนไลน์www.dqinstitute.org /childonline-safety-index The Standard. (๒๕๖๓). DQ ความฉลาดทางดิจิทัล ภูมิคุ้มกัน Cyberbully โรคระบาดในสังคม โซเชียล.ออนไลน์https://thestandard.co/ais-dq-cyberbully-immunity/


[๑] ภาคผนวก


[๓] ภาคผนวก ก ร่างบทบัญญัติว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์


[๕] ร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ ที่จะแทรกลงในประมวลกฎหมายอาญา ภาค ๒ ความผิด ลักษณะ ๙ ๑. Grooming (Offline & Online) มาตรา ๒๘๔/๑ ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของตนเองหรือผู้อื่น หรือเพื่อการอนาจาร กระท าการ อันมีลักษณะเป็นการโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระท าอย่างหนึ่งอย่างใดอันมีลักษณะที่ไม่เหมาะสมกับบุคคลอายุไม่ เกินสิบแปดปี ให้กระท าการ หรือยอมรับการกระท าอันไม่สมควรอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสาม ปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ถ้าการกระท าตามวรรคหนึ่งท าให้ผู้ถูกกระท ากระท าการ หรือยอมรับการกระท าการอย่างหนึ่ง อย่างใดที่มีลักษณะเป็นการอนาจาร หรือสนองความใคร่ของบุคคลใด ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่ เกินหนึ่งแสนบาท ถ้าการกระท าตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง เป็นการกระท าแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ต้องระวางโทษ จ าคุกไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท ถ้าการกระท าตามมาตรานี้ เป็นการกระท าผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์ให้เพิ่มโทษ ที่จะลงแก่ผู้กระท าผิด หนึ่งในสามของโทษที่กฎหมายก าหนด มาตรา ๒๘๔/๒ ถ้าการกระท าความผิดตามมาตรา ๒๘๔/๑ เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระท า (๑) รับอันตรายสาหัส ผู้กระท าต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หกหมื่นบาท ถึงสองแสนบาท หรือจ าคุกตลอดชีวิต (๒) ถึงแก่ความตาย ผู้กระท าต้องระวางโทษจ าคุกสิบห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สามแสนบาท ถึงสี่แสนบาท หรือจ าคุกตลอดชีวิต ๒. Unwanted Sexting (Offline & Online) มาตรา ๒๘๔/๓ ผู้ใดเพื่อการอนาจาร หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ส่ง หรือส่งต่อซึ่งเรื่อง ทางเพศที่ไม่เหมาะสม ให้แก่เด็กอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี หรือบุคคลซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นบุคคลที่อยู่ใน เกณฑ์อายุเช่นว่านั้น ไม่ว่าด้วยการแสดงออกทางกาย วาจา ลายลักษณ์อักษร ภาพ เสียง หรือด้วยวิธีการอื่นใด ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท ถ้าการกระท าตามวรรคหนึ่งเป็นการกระท าแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี หรือบุคคลที่ตนเข้าใจว่า เป็นบุคคลอยู่ในเกณฑ์อายุเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกหมื่นบาท ถ้าการกระท าตามมาตรานี้เป็นการกระท าผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์ ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้กระท าผิด หนึ่งในสามของโทษที่กฎหมายก าหนด ผ่านคณะท างานออนไลน์ฯ วันที่ ๒๖ ต.ค. ๒๕๖๔


[๖] มาตรา ๒๘๔/๔ ความผิดในมาตรา ๒๘๔/๑ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๒๘๔/๓ วรรคหนึ่ง เป็นความผิดอันยอมความได้ ในกรณีที่ศาลพิจารณาแล้วว่าผู้กระท ามีความผิดแต่รอการก าหนดโทษ หรือก าหนดโทษ แต่รอการ ลงโทษไว้ ในการก าหนดเงื่อนไขเพื่อใช้ในการคุมประพฤติตามมาตรา ๕๖ ให้ศาลรับฟังความเห็นของผู้ถูกกระท า เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาด้วย มาตรา ๒๘๕/๕ ถ้าผู้กระท าความผิดตามมาตรา ๒๘๔/๑ มาตรา ๒๘๔/๒ หรือมาตรา ๒๘๔/๓ บันทึกข้อความ ภาพ หรือเสียงของการกระท านั้นไว้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบส าหรับตนเอง หรือผู้อื่น ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมายมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม ถ้าผู้กระท าความผิดตามมาตรา ๒๘๔/๑ มาตรา ๒๘๔/๒ หรือมาตรา ๒๘๔/๓ เผยแพร่หรือส่งต่อ ข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึกไว้ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมายมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง ๓. Sextortion มาตรา ๒๘๔/๖ ผู้ใดเพื่อการอนาจาร หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ ส่งต่อซึ่งข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึก เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางเพศของผู้ถูกข่มขู่ หรือสมาชิกในครอบครัว ของผู้ถูกข่มขู่ หรือกระท าการด้วยประการอื่นใดอันอาจท าให้ผู้ถูกข่มขู่ สมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกข่มขู่ อับอาย หรือเสียชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ โดยบังคับให้ผู้ถูกข่มขู่จ ายอมต้องกระท าการ หรือยอมรับการกระท าการ อย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการไม่สมควรทางเพศ ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท เพิ่มบทก าหนดโทษ กรณีการครอบครองภาพลามกอาจารเด็กซึ่งเป็นการกระท าผ่านระบบโทรคมนาคม มาตรา ๒๘๗/๑ ผู้ใดครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศส าหรับตนเองหรือ ผู้อื่น ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ถ้าผู้กระท าความผิดตามวรรคหนึ่งส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ถ้าการกระท าความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองเป็นการกระท าโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือผ่านช่องทางโทรคมนาคมตามกฎหมาย ว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และก ากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคม ผู้กระท าต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้หนึ่งในสาม มาตรา ๒๘๗/๒ ผู้ใด (๑) เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน ท า ผลิต มีไว้ น าเข้าหรือยังให้น าเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไป หรือท าให้แพร่หลายโดยประการใด ๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก


[๗] (๒) ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก จ่ายแจกหรือแสดง อวดแก่ประชาชนหรือให้เช่าสื่อลามกอนาจารเด็ก (๓) เพื่อจะช่วยการท าให้แพร่หลาย หรือการค้าสื่อลามกอนาจารเด็กแล้ว โฆษณาหรือไขข่าวโดยประการใด ๆ ว่ามีบุคคลกระท าการอันเป็นความผิดตามมาตรานี้ หรือโฆษณาหรือไขข่าวว่าสื่อลามกอนาจารเด็กดังกล่าวแล้วจะหาได้ จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใด ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ถ้าการกระท าความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระท าโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ตามกฎหมายว่าด้วย การกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือผ่านช่องทางโทรคมนาคมตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และก ากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ผู้กระท าต้องระวางโทษหนัก กว่าที่บัญญัติไว้กึ่งหนึ่ง ภาค ๒ ความผิด ลักษณะ ๑๑ ๑. Stalking (Offline & Online) มาตรา ๓๐๙/๑ ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร กระท าซ้ าประการหนึ่งประการใดดังต่อไปนี้ การเฝ้าดูหรือติดตามอย่างใกล้ชิด หรือการติดต่อหรือพยายามติดต่อไม่ว่าด้วยทางตรงหรือทางอ้อม หรือการกระท า อื่นใดอันมีลักษณะเดียวกันต่อบุคคลใด อันเป็นผลท าให้ผู้ถูกกระท าเกิดความเดือดร้อนร าคาญเกินสมควร รบกวน ความเป็นอยู่ส่วนตัว หรือท าให้ผู้ถูกกระท าไม่สามารถด าเนินชีวิตได้ตามปกติ หรือเกิดความหวาดกลัวต่อความ ไม่ปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ถูกกระท า หรือสมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกกระท า ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจ า ทั้งปรับ ถ้าการกระท าตามวรรคหนึ่งเป็นการกระท าผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์ ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ผู้ใดกระท าการอันมีลักษณะเป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย อนามัย หรือเสรีภาพ ของผู้ถูกกระท า หรือสมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกกระท า ไม่ว่าจะเป็นการกระท าซ้ าหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษ จ าคุกไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินแปดหมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ถ้าการกระท าตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสามเป็นการกระท าแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินห้าปีปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ มาตรา ๓๐๙/๒ ถ้าการกระท าตามมาตรา ๓๐๙/๑ เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระท า หรือสมาชิก ในครอบครัวของผู้ถูกกระท านั้น ได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระท าต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สามเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงหนึ่งแสนบาท ถ้าการกระท าตามมาตรานี้เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระท า หรือสมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกกระท านั้น ถึงแก่ความตาย ผู้กระท าต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท


[๘] ๒. Cyber Bullying มาตรา ๓๐๙/๓ ผู้ใดกระท าซ้ าด้วยประการใด ๆ อันเป็นการกลั่นแกล้ง รังแก ระราน ข่มเหง หรือการกระท าอื่นใดในลักษณะเดียวกันต่อผู้อื่น ผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะ ท าให้ผู้ถูกกระท าได้รับความอับอาย หรือได้รับผลกระทบอย่างหนึ่งอย่างใด ทางร่างกาย จิตใจ อนามัย เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ถ้าการกระท าความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระท าต่อบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ถ้าการกระท าความผิดเป็นการกระท าแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี หรือผู้อ่อนด้อยทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา หรือบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะท านองเดียวกันนี้ ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และ ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหกหมื่นบาท การกระท าผิดตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม ไม่ว่าจะเป็นการกระท าซ้ าหรือผ่านอุปกรณ์ โทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็ตามเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระท า (๑) รับอันตรายสาหัส ผู้กระท าต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สามปีแต่ไม่เกินหกปี และปรับตั้งแต่ หกหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสองหมื่นบาท (๒) ถึงแก่ความตาย ผู้กระท าต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่ สองแสนบาทถึงสามแสนบาท มาตรา ๓๐๙/๔ ถ้าการกระท าความผิดตามมาตรา ๓๐๙/๑ มาตรา ๓๐๙/๒ และมาตรา ๓๐๙/๓ ผู้กระท าได้กระท าผ่านการใช้เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์โทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีไว้เพื่อการบริการสาธารณะ หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรานั้นหนึ่งในสาม มาตรา ๓๐๙/๕ ถ้าการกระท าความผิดตามมาตรา ๓๐๙/๓ และ มาตรา ๓๐๙/๔ เป็นการกระท า แก่บุพการี ผู้สืบสันดาน ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล บุคคลซึ่งต้องพึ่งตน ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการ หรือผู้อยู่ในความปกครอง ในความพิทักษ์ ในความอนุบาล หรือผู้อยู่ภายใต้อ านาจด้วยประการอื่นใด ผู้กระท า ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม มาตรา ๓๒๑ การกระท าความผิดตามมาตรา ๓๐๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๐๙/๑ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๐๙/๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๑๐ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๓๑๑ วรรคหนึ่ง เป็นความผิดอันยอมความได้ ข้อสังเกตในการปรับแก้มาตราที่เกี่ยวข้อง มาตรา ๒๘๕ ถ้าการกระท าความผิดตามมาตรา ๒๗๖ มาตรา ๒๗๗ มาตรา ๒๗๗ ทวิ มาตรา ๒๗๗ ตรีมาตรา ๒๗๘ มาตรา ๒๗๙ มาตรา ๒๘๐ มาตรา ๒๘๒ มาตรา ๒๘๓ มาตรา ๒๘๔/๑ มาตรา ๒๘๔/๒ หรือ มาตรา ๒๘๔/๓ เป็นการกระท าแก่บุพการี ผู้สืบสันดาน พี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดา หรือมารดา ญาติสืบสายโลหิต ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล บุคคลซึ่งต้องพึ่งตน ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการ หรือผู้อยู่ใน ความปกครอง ในความพิทักษ์ หรือในความอนุบาล หรือผู้อยู่ภายใต้อ านาจด้วยประการอื่นใด ผู้กระท าต้องระวาง โทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม


[๙] มาตรา ๒๘๕/๑ การกระท าความผิดตามมาตรา ๒๗๗ มาตรา๒๗๙ มาตรา ๒๘๒ วรรคสาม มาตรา ๒๘๓ วรรคสาม มาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง มาตรา ๒๘๔/๑ มาตรา ๒๘๔/๒ และมาตรา ๒๘๔/๓ หากเป็น การกระท าต่อเด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ห้ามอ้างความไม่รู้อายุของเด็กเพื่อให้พ้นจากความผิดนั้น มาตรา ๒๘๕/๒ ถ้าการกระท าความผิดตามมาตรา ๒๗๖ มาตรา ๒๗๗ มาตรา๒๗๗ ทวิ มาตรา ๒๗๗ ตรี มาตรา ๒๗๘ มาตรา ๒๗๙ มาตรา ๒๘๔/๑ มาตรา ๒๘๔/๒ หรือมาตรา ๒๘๔/๓ เป็นการกระท า แก่บุคคลซึ่งไม่สามารถปกป้องตนเอง อันเนื่องมาจากเป็นผู้ทุพพลภาพ ผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน คนป่วยเจ็บ ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ หรือผู้ซึ่งอยู่ในภาวะไม่สามารถรู้ผิดชอบ ผู้กระท าต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติ ไว้ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม มาตรา ๘ (๓) ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗๖ มาตรา ๒๗๗ มาตรา ๒๗๗ ทวิ มาตรา ๒๗๗ ตรีมาตรา ๒๗๘ มาตรา ๒๗๙ มาตรา ๒๘๐ มาตรา ๒๘๐/๑ มาตรา ๒๘๔/๑ มาตรา ๒๘๔/๒ มาตรา ๒๘๔/๓ มาตรา ๒๘๕ มาตรา ๒๘๗ มาตรา ๒๘๗/๑ และมาตรา ๒๘๗/๒ มาตรา ๘ (๗) ความผิดต่อเสรีภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๐๙ มาตรา ๓๐๙/๑ มาตรา ๓๐๙/๒ มาตรา ๓๐๙/๓ มาตรา ๓๐๙/๔ มาตรา ๓๐๙/๕ มาตรา ๓๑๐ มาตรา ๓๑๒ ถึงมาตรา ๓๑๕ และ มาตรา ๓๑๗ ถึงมาตรา ๓๒๐ เพิ่มเหตุเพิ่มโทษ มาตรา ๓๒๑/๒ ผู้ใดกระท าผิดตาม มาตรา ๓๐๙/๑ มาตรา ๓๐๙/๒ มาตรา ๓๐๙/๓ หรือ มาตรา ๓๐๙/๔ โดยใช้อุปกรณ์ หรือข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ หรือผ่านระบบได้จากอุปกรณ์โทรคมนาคม/ ระบบคอมพิวเตอร์โดยอาศัยโอกาสที่ตนเองมีหรือเคยมีหน้าที่เป็นผู้ดูแลระบบ หรือสามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ ในอุปกรณ์หรือระบบโทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์ ได้ต้องระวางโทษหนักกว่าที่กฎหมายก าหนดในมาตรา นั้น ๆ หนึ่งในสาม มาตรา ๒๘๐/๒ ถ้าผู้กระท าความผิดตามมาตรา ๒๘๔/๑ มาตรา ๒๘๔/๒ หรือมาตรา ๒๘๔/๓ บันทึกข้อความ ภาพ หรือเสียงของการกระท านั้นไว้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบส าหรับตนเอง หรือผู้อื่น ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมายมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม ถ้าผู้กระท าความผิดตามวรรคหนึ่งเผยแพร่ หรือส่งต่อข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึกไว้ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมายมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง


[๑๐] รายชื่อคณะท างานร่างกฎหมายร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็ก ผ่านสื่อออนไลน์ที่จะแทรกลงในประมวลกฎหมายอาญา ล าดับที่ ชื่อ -นามสกุล (ตัวบรรจง) ต าแหน่ง / หน่วยงาน 1. นายประวิทย์ ร้อยแก้ว ต าแหน่ง อัยการพิเศษฝ่ายส านักงานคดีค้ามนุษย์ หน่วยงาน ส านักงานอัยการสูงสุด 2. รศ.พิศวาท สุคนธพันธุ์ ต าแหน่ง ผู้อ านวยการศูนย์กฎหมายภูมิภาคแม่น้ าโขง หน่วยงาน ศูนย์กฎหมายภูมิภาคแม่น้ าโขง 3. นางวิมัย ศรีจันทรา ต าแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิทธิเด็ก หน่วยงาน อิสระ 4. นางสุดารัตน์ เสรีวัฒน์ ต าแหน่ง ผู้อ านวยการมูลนิธิพัฒนาการคุ้มครองเด็ก หน่วยงาน มูลนิธิพัฒนาการคุ้มครองเด็ก 5. นายสุรพล ทิพย์เสนา ต าแหน่ง นักกฎหมายกฤษฎีกาช านาญการพิเศษ หน่วยงาน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 6. นางสาวอุทัยวรรณ แจ่มสุธี ต าแหน่ง อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ หน่วยงาน ส านักงานคดีเยาวชนและครอบครัว ส านักงานอัยการ สูงสุด 7. ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช ต าแหน่ง ผู้จัดการมูลนิธิ หน่วยงาน มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย 8. ร.ต.อ. เขมชาติ ประกาย หงษ์มณี ต าแหน่ง รองผู้อ านวยการกองกิจการต่างประเทศและคดี อาชญากรรมระหว่างประเทศ หน่วยงาน กรมสอบสวนคดีพิเศษ 9. พ.ต.อ. สันติพัฒน์ พรหมะ จุล ต าแหน่ง รองผู้ก ากับการกลุ่มงานสนับสนุนคดีเทคโนโลยีฯ หน่วยงาน (บก.ปอท.) 10. นางสาวภูษา ศรีวิลาศ ต าแหน่ง นักวิชาการอิสระ หน่วยงาน เครือข่ายสิทธิเด็กประเทศไทย 11. นายปกรณ์ ธรรมโรจน์ ต าแหน่ง อัยการจังหวัดประจ าส านักงานอัยการสูงสุด หน่วยงาน ส านักงานอัยการสูงสุด 12. นายมาร์ค เจริญวงศ์ ต าแหน่ง อัยการจังหวัดประจ าส านักงานอัยการสูงสุด หน่วยงาน ส านักงานอัยการสูงสุด 13. นางสาววาสนา เก้านพรัตน์ ต าแหน่ง ผู้อ านวยการ หน่วยงาน มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก


[๑๑] ภาคผนวก ข สรุปผลการจัดเสวนา เรื่อง “ท าไมต้องมี...กฎหมายว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์” วันศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุม หมายเลข ๒๗๐๒ ชั้น ๒๗ อาคารสุขประพฤติ ถนนประชาชื่น กรุงเทพมหานคร


[๑๓] ๑๓ สรุปผลเสวนา เรื่อง “ท าไมต้องมี...กฎหมายว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์” จัดโดย คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ด าเนินการโดย คณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและเยาวชน ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์การยูนิเซฟ (ประเทศไทย) ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย วันศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุม หมายเลข ๒๗๐๒ ชั้น ๒๗ อาคารสุขประพฤติ ถนนประชาชื่น กรุงเทพมหานคร ……………………………………………………………………… คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุคนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ได้จัดเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง “ท าไมต้องมี...กฎหมายว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์” เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุม หมายเลข ๒๗๐๒ ชั้น ๒๗ อาคารสุขประพฤติ ถนนประชาชื่น กรุงเทพมหานคร โดย นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิด การเสวนา และดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช คณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและ เยาวชน และอนุกรรมการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ เป็นผู้กล่าว รายงาน สรุปสาระส าคัญได้ดังนี้ ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช คณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและเยาวชน ได้กล่าวรายงาน สรุปสาระส าคัญได้ ดังนี้ เนื่องด้วยคณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึง ความส าคัญของบทบัญญัติว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ที่ได้ยกร่างขึ้น โดยคณะท างานย่อย ภายใต้คณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเด็กให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งคณะอนุกรรมการชุดนี้อยู่ภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและ เยาวชนแห่งชาติ(กดยช.) เพื่อใช้เป็นกฎหมายในการปกป้องคุ้มครองเด็กจากภัยคุกคามทางออนไลน์หลาย ๆ รูปแบบ ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่าในปัจจุบันกฎหมายของประเทศไทยอาจจะไม่ครอบคลุมถึง ซึ่งร่างกฎหมาย ดังกล่าวจะครอบคลุมในประเด็นการติดตามคุกคามทางออนไลน์ (CyberStalking) การกลั่นแกล้งระราน (CyberBullying) การสื่อสารเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม (Sexting) การล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ (Online Grooming) ดังนั้น คณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและเยาวชนจึงเห็นควรให้ จัดเวทีเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง “ท าไมต้องมี...กฎหมายว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์” เพื่อให้ ความรู้และสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงสถานการณ์ ปัญหา และความจ าเป็นของการมี กฎหมายที่เท่าทันกับสถานการณ์ และให้การสนับสนุนผลักดันให้เกิดกฎหมายฉบับนี้ขึ้น เพื่อท าหน้าที่ใน การคุ้มครองเด็ก การเสวนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย ๑) ศาสตราจารย์


[๑๔] ๑๔ พิเศษจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒) ร้อยต ารวจเอก เขมชาติ ประกายหงษ์มณี รองผู้อ านวยการกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ๓) ดร.มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการจังหวัดประจ าส านักงานอัยการสูงสุด ส านักงานคดีค้ามนุษย์ ส านักงาน อัยการสูงสุด และ ๔) รองศาสตราจารย์ ดร.พิศวาท สุคนธพันธุ์ อาจารย์ประจ าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และผู้อ านวยการบริหารศูนย์กฎหมายภูมิภาคแม่น้ าโขง รวมถึงยังได้รับเกียรติ จากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรท างานด้านเด็ก องค์กรเด็กและเยาวชน ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และสื่อมวลชนจ านวนมากเข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการ ได้กล่าวเปิดการเสวนา สรุปสาระส าคัญได้ ดังนี้ โดยปกติการท างานของคณะกรรมาธิการทุกคณะในวุฒิสภาโดยส่วนมากจะใช้วิธีการตั้งที่ปรึกษา กิตติมศักดิ์ขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมาธิการเป็นจ านวนมาก แต่คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมฯ ไม่ได้ใช้วิธีการดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ใช้วิธีการคณะท างานแทน ซึ่งจะได้ประโยชน์และสาระมากกว่า ฉะนั้น ขณะนี้คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมฯ มีคณะท างานที่แต่งตั้งมาจากภาคประชาชนเป็นหลัก ประกอบด้วย ๑) คณะท างานพิจารณาศึกษาประเด็นการด าเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ซึ่งได้เสนอ รายงานผลการพิจารณาศึกษาต่อที่ประชุมวุฒิสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๒) คณะท างานเสริมสร้างการรู้ เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและเยาวชน ซึ่งได้ด าเนินการไปแล้ว ๒ เรื่อง คือ เรื่องการสร้างสื่อดีส าหรับ เด็ก และการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์กับเด็กและเยาวชน ส าหรับการเสวนาในครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ ซึ่ง ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช คณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและเยาวชน ได้น าประเด็นกฎหมาย ว่าด้วยการกระท าความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์เข้าสู่การเสวนาในครั้งนี้๓) คณะท างานความหลากหลาย ทางเพศ ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาเป็นคณะท างาน ๔) คณะท างานสถานะบุคคล ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาเป็นคณะท างาน ดังนั้น หากท่านใดเห็นว่าคณะกรรมาธิการ การพัฒนาสังคมฯ จะเป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนงานด้านต่าง ๆ สามารถรวบรวมบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเข้ามาปรึกษาหารือกับคณะกรรมาธิการการคือ เมื่อคณะท างานท ารายงานเรื่องใด ๆ รายงาน ฉบับนั้นจะถูกน าเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมฯ และที่ประชุมของวุฒิสภา เมื่อที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบ รายงานฉบับนั้นจะถูกส่งให้กับคณะรัฐมนตรีทันทีและคณะรัฐมนตรี


[๑๕] ๑๕ จะเร่งพิจารณาข้อเสนอแนะจากรายงาน และส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติตาม ถ้าหน่วยงานไม่ สามารถปฏิบัติตามได้ ให้ชี้แจงกลับมายังวุฒิสภาตามล าดับ สิ่งที่น่าเป็นห่วงส าหรับเด็กเกี่ยวกับโลกออนไลน์ ซึ่งอาจจะแตกต่างกับหัวข้อการเสวนาในครั้งที่ จะเจาะจงเฉพาะเรื่องของสื่อออนไลน์ที่ถูกน าไปใช้ในทางที่ผิดหรืออาจใช้ในการหลอกลวงเด็กให้ไปกระท า ผิด เช่น ซื้อขายยาเสพติด ติดต่อภาพผิดกฎหมาย เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ในระยะหลังเด็กใช้สื่อออนไลน์ ในการด่าทอโดยใช้ข้อความหรือถ้อยค าที่รุนแรงจนกระทั่งถูกฟ้องคดี จึงขอฝากประเด็นนี้ไว้กับผู้เข้าร่วม การเสวนาในครั้งนี้เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ แม้ว่าจะด าเนินงานด้านเด็กและสังคมมามาก พอสมควร แต่ต้องยอมรับว่าในระยะหลังได้ห่างไกลจากระดับพื้นที่ไปมาก เพราะว่าต้องติดกับดักทาง กฎหมายอยู่กับวุฒิสภามาเป็นระยะเวลานานท าให้หลายเรื่องที่ข้อมูลในเชิงพื้นที่หรือเป็นข้อเท็จจริง ภาคสนามมีน้อยลง ซึ่งกระผมได้ฝากเรื่องนี้ให้กับคณะกรรมการวิชาการของวุฒิสภา เพื่อพิจารณารวบรวม ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพื้นที่ในสังคมทุกครั้งเมื่อมีกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา รวมถึง รวบรวมท าเนียบของบุคคลที่ท างานด้านสังคมทุกด้านทั้งตัวบุคคลและองค์กร เพื่อความสะดวกในการที่ จะให้บุคคลและองค์กรดังกล่าวได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายต่อไป ศาสตราจารย์พิเศษจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้น าเสนอข้อมูล สรุปสาระส าคัญได้ ดังนี้ สภาพสังคมไทยในปัจจุบันสอดคล้องกับหัวข้อ “เมื่อโลกเปลี่ยน...กฎหมายต้องปรับ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ จะต้องด าเนินการให้ทันตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมุ่งเน้นค านึงถึงพฤติกรรมของคนในสังคมว่า เปลี่ยนแปลงไปด้วยหรือไม่ แต่ในอดีตที่ผ่านมากฎหมายไทยจะปรับก็ต่อเมื่อนโยบายเปลี่ยน ซึ่งอาจจะมี ที่มาจากผู้มีอ านาจในการก าหนดนโยบายที่เห็นว่า นโยบายเดิมไม่สมประโยชน์กับความต้องการ จึงได้ ก าหนดนโยบายใหม่ขึ้น จะเห็นได้ว่า เมื่อนโยบายเปลี่ยน กฎหมายก็ปรับตามไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ ต่อสังคม ดังนั้น นโยบายจึงเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นภายหลัง โดยเริ่มต้นจากพฤติกรรมของประชาชนที่ กฎหมายจะต้องตอบสนองต่อลักษณะพฤติกรรมของประชาชน ทั้งนี้ พฤติกรรมของประชาชนมิใช่สิ่งเดียว ที่จะก าหนดเงื่อนไขของการปรับกฎหมายเพราะว่าโลกเปลี่ยน แต่ยังขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี ความรู้ ความเข้าใจ ในโลก ชีวิต และสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนขึ้น ถ้าความรู้ความเข้าใจหรือวิทยาศาสตร์ และเครื่องมือที่จะใช้ ในการท าประโยชน์ให้กับสังคมหรือการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ จะท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ


[๑๖] ๑๖ มนุษย์ในสังคม โจทย์ที่เป็นปัญหาของสังคมก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย จึงเป็นที่มาของนโยบายที่จะต้อง เปลี่ยนเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตาม แต่ถ้านโยบายไม่เปลี่ยน กฎหมายก็ เปลี่ยนแปลงได้ยาก เพราะว่ากฎหมายจะต้องผ่านกระบวนการให้ความเห็นชอบของผู้คุมนโยบายหรือกลุ่ม อ านาจอธิปไตยของรัฐ โดยเฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ส่วนฝ่ายตุลาการปรับได้เพียงการขยาย การตีความหรือจ ากัดการตีความ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาได้แต่เพียงเล็กน้อย ส าหรับปัญหาการปรับ กฎหมายเมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปคือ เปลี่ยนมากน้อยเพียงใด มีกระบวนการและวิธีการในการเปลี่ยนจะใช้ วิธีการทางกฎหมายอย่างไร เพื่อที่จะให้ได้ผลที่พอดีและยั่งยืน มิใช่การเปลี่ยนที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งจะน ามาซึ่ง ความวิวาทบาดหมางในสังคมไทย จะเห็นได้ว่า ตลอด ๘๐ กว่าปีที่ผ่านมา คือการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ เมื่อผู้มีอ านาจมีแนวความคิดอย่างหนึ่งในขณะนั้นก็จะปรับหรือจัดท ารัฐธรรมนูญไปตามทิศทางความเห็น ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางการเมือง รวมถึงผลประโยชน์ของผู้คุมอ านาจ ส่งผลให้รัฐธรรมนูญเป็นไปตาม ทิศทางนั้น ตราบใดที่อ านาจนั้นยังครอบสังคมอยู่ นโยบายไม่เปลี่ยน การเปลี่ยนรัฐธรรมนูญท าไม่ได้ ส่งผล ให้เกิดแรงกดดันจากคนที่เดือดร้อนและคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมสะสมพลัง และในวันหนึ่งจะส่งผลให้เกิดแรง กดดันที่ทรงพลังพร้อมที่จะระเบิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญไปในอีกทิศทางหนึ่ง ส่งผล ก่อให้เกิดแรงกดดันกับอีกกลุ่มคนที่ไม่พอใจ จึงก่อให้เกิดปรากฏการณ์เช่นเดียวกับลูกตุ้มที่ตีกลับเมื่อถึง เวลาและเหตุปัจจัยพร้อม ส่งผลให้รัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รัฐธรรมนูญไปมาระหว่างรัฐธรรมนูญของเผด็จการกับรัฐธรรมนูญของประชาธิปไตย ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ ไม่ยั่งยืน พฤติกรรมที่ดีกฎหมายต้องส่งเสริม สนับสนุน เพิ่มพูน ถ้ายังไม่มีต้องรีบจัดท าขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้ว ต้องใช้ให้เข้มแข็ง ตีความในทางขยายความ (Progressive Interpretation) โดยการบังคับใช้แบบเชิงรุก เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เชิดชูพฤติกรรมที่ดีและพึงประสงค์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่วิชาการนิติศาสตร์ และระบบกฎหมายของประเทศไทยจะท าได้ ตรงกันข้ามพฤติกรรมที่เกเร เป็นโทษและเป็นภัยต่อส่วนรวม เป็นโทษและเป็นภัยต่อตัวผู้กระท าเอง กฎหมายต้องช่วยยับยั้งตั้งแต่อ่อนไปจนถึงแข็ง ถ้าสร้างปัญหามาก ยับยั้งไม่พอ ต้องกีดกัน ต้องกดข่ม และถ้าท าร้ายสังคมมากถึงระดับหนึ่ง ต้องลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เมื่อมีการใช้บังคับกฎหมายแบบนี้ก็อาจจะต้องใช้บังคับอย่างแข็งขัน เพื่อท าให้พฤติกรรมเกเรแบบนี้ท าร้าย สังคม ท าร้ายคนใหญ่ และสุจริตชนที่ประกอบสัมมาอาชีพเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจะได้รับการปกป้อง คุ้มครองมากขึ้น ส าหรับพฤติกรรมกลาง ๆ กฎหมายไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว เพราะว่าจะเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ หรือคนที่ใช้กฎหมายนั้นน าไปแสวงหาผลประโยชน์ ดังนั้น กฎหมายต้องให้เสรี เช่น เรื่องเครื่องแบบ นักเรียน เพราะเหตุใดต้องบังคับให้นักเรียนต้องแต่งเครื่องแบบ โดยที่ไม่เห็นใจนักเรียนที่ไม่มีเครื่องแบบ สามารถเปิดเสรีให้นักเรียนเลือกได้หรือไม่ แต่การคิดแบบนั้นไม่สามารถคิดคนเดียวได้ เพราะว่าคนที่ ร่วมคิดเห็นว่ายังมีข้อจ ากัดอยู่ กล่าวคือ ถ้าเปิดให้นักเรียนไทยแต่งตัวไปเรียนได้แบบเสรี ปัญหาแรกคือ การเพิ่มบรรยากาศของความเหลื่อมล้ าในสังคมไทยที่มีความเปราะบางอยู่แล้ว เด็กที่มาจากครอบครัวที่ ไม่สามารถจะมีเสื้อผ้าสวย ๆ ดี ๆ จะเกิดความน้อยเนื้อต่ าใจ เป็นต้น กรอบแนวความคิดที่ว่า “ความสงบสุขของสังคม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน (Peacefully Sustainable Existence and Development)” เริ่มต้นจากกฎหมายเป็นตัวตั้ง ไม่ได้ใช้พฤติกรรมของคนหรือเทคโนโลยี เป็นตัวตั้ง จะเห็นได้ว่า กฎหมายของทุกประเทศส่วนใหญ่เป็นกฎหมายที่ท าประโยชน์ให้กับสังคมมากกว่า สร้างภาระหรือก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ให้กับสังคม กฎหมาย ประกอบด้วย ลายลักษณ์อักษร


[๑๗] ๑๗ บทบัญญัติ (Text) บริบทล้อมรอบบทบัญญัติ (Context) ตรรกวิทยาและการให้เหตุผล (Rationale and Logics) เจตนารมณ์ของกฎหมาย (Spirit of Law) และความถูกต้องเป็นธรรม (Righteousness) กฎหมาย ตีความออกได้ ๒ ทาง คือ ๑) กฎหมายที่ควรตีความในทางขยายความ จะต้องเป็นกฎหมายที่มีผลกระทบ น้อย ต้นทุนต่ า ดี และมีประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนมาก ซึ่งควรบัญญัติให้มีมากขึ้น และบังคับใช้ อย่างเข้มแข็ง และ ๒) กฎหมายที่ควรตีความในทางจ ากัดความ จะต้องเป็นกฎหมายที่มีประโยชน์น้อย ต้นทุนสูง เป็นโทษต่อสังคมและประชาชนมาก ซึ่งควรบัญญัติให้มีเท่าที่จ าเป็นจริง ๆ เท่านั้น และบังคับใช้ อย่างระมัดระวังและผ่อนปรน จะเห็นได้ว่า กฎหมายมนุษย์สร้าง ไม่ได้มาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่กฎหมาย ธรรมชาติ(Natural Law) ไม่ใช่กฎทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Law) แต่เป็นสมมุติบัญญัติที่มนุษย์แต่ละ สังคมน าโดยกลุ่มคนที่เป็นแถวหน้าในสังคมบัญญัติขึ้น เพื่อให้เกิดผลิตผลที่ไปกระทบต่อพฤติกรรมของ ผู้คนในสังคม ตัวอย่างกฎหมายที่ไม่ดี ข้อเท็จจริง คือ สัญญาขายฝากที่ดินจดทะเบียนถูกต้อง ก าหนดไถ่ไว้ ๓ ปี ผู้ซื้อฝากตกลงขยาย เวลาไถ่ให้ความวาจาอีก ๑ ปี และผู้ขายฝากน าเงินค่าไถ่มาช าระตามก าหนดที่ขยายให้ และผู้ซื้อรับเงินค่าไถ่ แล้ว แต่ไม่ไปจดทะเบียนไถ่ให้ ผู้ขายฝากจึงฟ้อง จะเห็นได้ว่า ข้อตกลงขยายเวลาไถ่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับไถ่ ไม่อาจน ามา อ้างเป็นเหตุขยายเวลาไถ่เมื่อพ้นก าหนดเวลาไถ่ตามที่จดทะเบียนไปแล้ว การไถ่จึงไม่ชอบด้วยประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๙๖ วรรคสอง ขณะเดียวกันเงินค่าไถ่ที่ผู้ซื้อฝากรับไปนั้นเป็นการรับไว้ โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ท าให้ผู้ขายฝากเสียเปรียบ เป็นลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๐๖ ต้องคืนให้ผู้ขายฝาก ข้อสังเกต : เป็นธรรมหรือไม่ เป็นสัญญาจะขายคืนหรือไม่ ถือว่าผู้ซื้อสละสิทธิที่จะถือก าหนดไถ่ เดิมแล้วได้หรือไม่ ถือว่าเข้าลักษณะเป็นสัญญาจะขายที่ดินนั้นคืนให้แก่ผู้ขายฝากได้หรือไม่ หรือควรให้ ผู้ขายฝากเรียกค่าเสียหายฐานผิดข้อตกลงหรือละเมิดได้หรือไม่ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๕๐ ช่วยได้หรือไม่ หรือควรปรับปรุงกฎหมายให้เป็นธรรมขึ้น กฎหมายและความยุติธรรมมาจากส านึกในศีลธรรมอันดีของประชาชน (Good conscious of the people) ผู้ทรงสติปัญญา มีความรู้ มีความสามารถ (Wisdom/Knowledge and Competence) และกฎหมายนั้นจะต้องมีความชอบธรรม (Legitimacy) มีความซื่อสัตย์สุจริต (Honesty) และอุทิศตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม (Public Interest) เพื่อความมั่นคงด ารงอยู่ได้ของประเทศชาติและสันติสุขของ มวลมหาประชาชน นอกจากนี้ กฎหมายคือ กฎแห่งกรรม และหลักนิติธรรม ที่ประกอบด้วย สามัคคีธรรม ที่ปราศจากความล าเอียง ปราศจากอคติ ๔ และการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม มีจริยธรรมแห่งวิชาชีพ มีคุณธรรมแห่งสังคม ส านึกในศีลธรรมอันดีของประชาชน มีสุจริตธรรม และความได้สัดส่วนพอเหม าะ พอควรแก่กรณี มีความยุติธรรม ถูกต้องและชอบธรรม รวมถึงเป็นประโยชน์ของประเทศชาติและสันติสุข และประชาชน โดยสรุป เมื่อโลกเปลี่ยน จึงจ าเป็นต้องมีกฎหมายว่าด้วยการกระท าความผิดต่อเด็กผ่านสื่อ ออนไลน์ เพราะว่าเป็นกฎหมายที่ดีและมีประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนมาก


[๑๘] ๑๘ ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช คณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและเยาวชน ได้น าเสนอข้อมูล สรุปสาระส าคัญ ดังนี้ การส ารวจสถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์ ประจ าปี พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยศูนย์ประสานงานส่งเสริม การปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (ศปอ.) หรือโคแพท (COPAT-Child Online Protection Action Thailand) ภายใต้กรมกิจการเด็กและเยาวชน ร่วมกับมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนา ไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กมัธยมศึกษา อายุ ๑๒ - ๑๘ ปี จ านวน ๑๔,๙๔๕ คน ซึ่งเป็นช่วงวัยรุ่น ที่มีอิสระ ในการใช้สื่อออนไลน์ค่อนข้างมาก วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลคือวางแบบสอบถาม Google Form ไว้บน อินเทอร์เน็ตระหว่างเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ได้รับความอนุเคราะห์จากส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ช่วยประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนเข้าร่วมตอบแบบสอบถาม เด็กร้อยละ ๘๙ เชื่อว่า ในโลกออนไลน์มีภัยอันตรายหรือความเสี่ยงต่าง ๆ เด็กร้อยละ ๖๑ เชื่อว่า เมื่อเผชิญภัยหรือความ เสี่ยงภัยออนไลน์สามารถจัดการแก้ไขปัญหานั้นได้เอง เด็กร้อยละ ๘๓ เชื่อว่า เมื่อเผชิญภัยหรือความเสี่ยง ภัยออนไลน์สามารถแนะน าช่วยเหลือเพื่อนได้ เว็บไซต์หรือเนื้อหาข้อมูลที่ผิดกฎหมาย/เป็นอันตรายที่เด็กเข้าถึงมากที่สุด ๔ อันดับแรกคือ ความรุนแรงร้อยละ ๔๙ การพนันร้อยละ ๒๒ สื่อลามกอนาจารร้อยละ ๒๐ และสารเสพติดร้อยละ ๑๖ พฤติกรรมเสี่ยงภัยออนไลน์ ๖ อันดับแรกของเด็ก คือ ซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ที่ไม่รู้จัก ร้อยละ ๔๔ รับคนแปลกหน้าเป็นเพื่อนร้อยละ ๓๙ ใส่ข้อมูลส่วนตัวบนสื่อโซเชียลมีเดียร้อยละ ๒๖ แชร์ ข้อมูลข่าวสารโดยไม่ได้ตรวจสอบ และน าข้อมูล ภาพ เสียงมาใช้โดยไม่ได้ขออนุญาตหรืออ้างอิงแหล่งที่มา ร้อยละ ๒๔ เท่ากัน และเข้าถึงสื่อลามกอนาจารออนไลน์ร้อยละ ๑๔ เมื่อสอบถามเด็ก จ านวน ๒,๒๘๒ คน ที่โดนกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์หรือการระรานทาง ไซเบอร์ (Cyber Bullying) พบว่า เด็กมีประสบการณ์นี้ โดยที่ร้อยละ ๖๙ ถูกเรียกด้วยถ้อยค าหยาบคาย ดูหมิ่นร้อยละ ๔๔ ถูกด่าทอ ให้ร้าย ใส่ความ ร้อยละ ๒๒ ถูกต่อต้าน กีดกันออกจากกลุ่มเพื่อนหรือสังคม เท่ากับเรื่องถูกน าเรื่องส่วนตัวหรือความลับไปเผยแพร่ ร้อยละ ๑๖ ถูกข่มขู่คุกคาม และร้อยละ ๙ ถูกตัดต่อ รูปภาพ คลิปวิดีโอในทางเสื่อมเสีย เด็ก ๒,๕๗๓ คน มีประสบการณ์เพื่อนรุ่นพี่หรือคนอื่นที่อายุมากกว่าเข้ามาพูดคุยเรื่องเพศที่ไม่ เหมาะสม ส่งสื่อลากอนาจารมาให้ พบว่า ร้อยละ ๑๖ พูดคุยต่อ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะเรียนรู้ เรื่องเพศ เด็กบางคนยังส่งกลับสื่อลามกอนาจารด้วย


[๑๙] ๑๙ เด็ก ๖๔๑ คน เคยบันทึก (Save) หรือดาวน์โหลด (Download) สื่อลามกอนาจาร (ต่ ากว่า ๑๘ ปี) มาเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล หรือพื้นที่ส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต เด็ก กลุ่มนี้ร้อยละ ๔๕ เคยส่ง (Send) ส่งต่อ (Forward) หรือแบ่งปัน (Share) สื่อลามกอนาจารเด็กที่ได้มาให้กับ เพื่อนหรือคนอื่นทางออนไลน์ เด็ก ๑๗๔ คน เคยถ่ายภาพหรือวิดีโอตนเองในลักษณะเปลือย หรือลามกอนาจาร เด็กกลุ่มนี้ ร้อยละ ๓๒ ได้รับผลกระทบ เช่น ภาพหลุดท าให้เสียหายอับอาย ถูกข่มขู่แบล็กเมล หรือมีคนติดต่อขอซื้อ บริการทางเพศ เด็ก ๒,๔๖๑ คน เคยนัดพบกับเพื่อนออนไลน์ ในช่วง ๑๒ เดือนที่ผ่านมา เด็กกลุ่มนี้ ร้อยละ ๑๙ นัดพบมากกว่า ๑๐ ครั้ง เมื่อไปตามนัดหมาย เกิดอะไรบ้าง ๙๒๖ คน ถูกพูดจาล้อเลียน ดูถูก ท าให้เสียใจ ๒๙๐ คน ถูกหลอกเอาทรัพย์สินเงินทอง ๑๐๒ คน ถูกทุบตี ท าร้ายร่างกาย ๖๖ คน ถูกท าอนาจาร ละเมิด ทางเพศ ๕๔ คน ถูกถ่ายภาพ/คลิปวิดีโอเอาไปประจาน ตัวอย่างภาพที่ปรากฏตามข่าวสารต่าง ๆ ในประเทศไทยเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งรังแกหรือระราน อาทิเด็กมัธยมศึกษาชั้นปีที่ ๑ ยิงเพื่อน สาเหตุมาจากการถูกระรานเรื่องเพศ หรือกรณีสามเณรที่ถูกระราน ว่าแพ้เกมจนน ามาสู่การท าร้ายร่างกายจนกระทั่งเสียชีวิต หรือกรณีเด็กประถมศึกษาชั้นปีที่ ๕ ถูกเหยียด เรื่องบ้านมีฐานะยากจน แต่งตัวสกปรก สติปัญญา จะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกของ เด็ก ซึ่งขณะนี้ได้กระจายสู่โลกออนไลน์แล้ว ซึ่งจะต้องยอมรับว่าบิดามารดาหรือครูไม่ได้มีส่วนเข้าไปช่วย แก้ไขปัญหา เช่นเดียวกับกรณีของต่างประเทศ กรณีเด็กวัย ๑๒ ปี ฆ่าตัวตาย สาเหตุมาจากถูกกลั่นแกล้ง รังแกทางไซเบอร์ และครูเพิกเฉย และยังสั่งให้กอดคนที่แกล้งด้วย นอกจากนี้ ยังมีกรณีเด็กถูกหลอกถ่ายคลิป และน ามาข่มขู่แบล็กเมลเรียกเงินหรือนัดเจอเพื่อละเมิดทางเพศ มีการใช้ช่องทางสื่อสารออนไลน์นัดเจอ เด็ก เช่นเดียวกับกรณีของน้องกิ่งไผ่ที่ถูกแชร์คลิปที่เด็กโดนละเมิดเพื่อขอให้สังคมหรือต ารวจช่วยเหลือ เป็นการกระท าซ้ าต่อเด็กที่ขาดความตระหนักรู้ ส าหรับการพูดคุยที่เป็นการสื่อความในเชิงชู้สาวกับเด็กใน กรณีของพระที่พูดคุยชู้สาวกับเด็กมัธยมศึกษาชั้นปีที่ ๑ เป็นเวลา ๕ เดือน มีข้อความ “อยากกอดจูบ รักเสมอ อยากเจอมาก อยากนอนด้วย” ซึ่งมารดาของเด็กได้แจ้งความด าเนินคดี ต ารวจแจ้งว่า ด าเนินคดี อะไรไม่ได้เพราะว่ายังไม่ผิดกฎหมาย และยังไม่มีการแตะเนื้อต้องตัว จะเห็นได้ว่า กรณีดังกล่าวเป็นปัญหาที่ เห็นเด่นชัดว่าท าไมต้องรอให้เกิดเหยื่อ ท าไมกฎหมายประเทศไทยไม่เป็นกฎหมายในเชิงป้องกัน จึงจ าเป็น ต้องมีการปรับแก้กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ๑๐ ภัยออนไลน์ ต้องระวัง ประกอบด้วย ๑) ใช้เวลาออนไลน์มากเกินไป ๒) ติดเกม ๓) กลั่นแกล้ง ระรานทางไซเบอร์ ๔) นัดพบล่อลวงออนไลน์ ๕) เหยื่อข่าวปลอม ๖) เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ๗) เก็บ ส่งต่อ เผยแพร่ ค้าสื่อลามก ๘) พูดคุยเรื่องเพศไม่เหมาะสม ถูกหลอกถ่ายคลิปลามก ๙) คาสิโนและการพนัน ออนไลน์ และ ๑๐) หลอกโกงเงิน ความปลอดภัยข้อมูล กรอบการด าเนินงานภายใต้แนวทาง WeProtect ประกอบด้วยเรื่องต่าง ๆ อาทิ เรื่องนโยบายและ ธรรมาภิบาล เรื่องกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เรื่องการคุ้มครองเหยื่อหรือผู้เสียหาย เรื่องเทคโนโลยี และเรื่องสังคม จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ประเทศไทยได้ด าเนินการไปแล้ว เช่น มาตรการด้านการบริหาร ประกอบด้วย นโยบาย/ยุทธศาสตร์ชาติ ศูนย์ประสานงานส่วนกลาง และการสนับสนุนข้อมูลและเครื่องมือต่าง ผ่านกลไก ท้องถิ่น มาตรการด้านกฎหมาย ประกอบด้วย การบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ การปรับแก้กฎหมายให้เท่าทันกับ สถานการณ์ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น


[๒๐] ๒๐ มีความร่วมมือกับภาคเอกชนในคดีออนไลน์ มีอัตราก าลัง มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และมีทรัพยากร (อุปกรณ์ HW SW) มาตรการทางด้านสังคม ประกอบด้วย การเฝ้าระวังและสายด่วนรับแจ้ง ช่วยเหลือ การฟื้นฟูเยียวยา และการท างานร่วมกับสหวิชาชีพ เอกชนและสื่อมวลชน และมาตรการด้านการศึกษา ประกอบด้วย หลักสูตร MIDL ในสถานศึกษา การสร้างความตระหนักรู้เท่าทันสื่อในสังคมไทย และการวิจัย และพัฒนาเพื่อให้เท่าทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลง เพื่อคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคต ร้อยต ารวจเอก เขมชาติ ประกายหงส์มณี รองผู้อ านวยการ กองกิจการต่างประเทศและคดี อาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้น าเสนอข้อมูล สรุปสาระส าคัญ ดังนี้ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก คือ ประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๒๘๗/๑ และมาตรา ๒๘๗/๒ ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จะเห็นได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้รับข้อมูลมาจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศ ต่าง ๆ โดยการแจ้งเบาะแสว่ามีชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพื่อกระท าละเมิดทางเพศกับเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่ผู้กระท าความผิดจะมีลักษณะอยู่กับที่ และเหยื่อส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่เข้าไปหาผู้กระท าความผิด แทน โดยการพูดจาให้เด็กหลงเชื่อ มีความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยเทคนิค หรือใช้กลอุบายด้วยประการใดก็ตาม ดังนั้น จุดเริ่มต้นของคดีที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจะเปิดคดีได้ คือ การสัมภาษณ์เด็ก ซึ่งเป็นเรื่องยาก ส าหรับเด็กบางคนที่จะมีความพร้อมในการให้สัมภาษณ์ภายหลังจากได้สัมภาษณ์เด็กและได้เข้าตรวจค้น จนกระทั่งพบพยานหลักฐานเชิงประจักษ์ พบว่า เกือบทุกคดีผู้กระท าจะต้องมีภาพลามกอนาจารเด็กซ่อนใน บริเวณใต้เตียงนอน และซอกตู้ตามห้องต่าง ๆ ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าวจึงสอดคล้องกับผลงานวิจัยของสถาบัน ต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ พบว่า ร้อยละ ๘๐ - ๙๐ ผู้กระท าละเมิดทางเพศเด็กจะมีภาพ ลามกอนาจารเด็กไว้ในครอบครอง ต่อมาเมื่อมีกฎหมายว่าด้วยการครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก ซึ่งได้ ก าหนดค านิยาม “การครอบครอง” ให้หมายรวมถึงการเผยแพร่และส่งต่อด้วย จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันมี การเก็บข้อมูลไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์อินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์บันทึกข้อมูล และการจัดเก็บข้อมูล ผ่านระบบคลาวด์ส่งผลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถเริ่มคดีจากภาพที่อยู่ในโลกไซเบอร์ได้ และเข้าสู่ กระบวนการสัมภาษณ์เด็กในภายหลังได้ โดยไม่จ าเป็นต้องรอให้มีบุคคลใดแจ้งเบาะแสให้ทราบก่อนเริ่ม คดีนอกจากการพบการครอบครองสื่อลามกอนาจารแล้ว ยังพบว่าก่อนที่จะมีการครอบครองหรือเด็ก


[๒๑] ๒๑ ถูกละเมิดในโลกไซเบอร์ จะมีกระบวนการเข้าสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อเด็กด้วย โดยการส่งข้อความใน ลักษณะที่ไม่สมควรทางเพศ ส่งภาพที่ไม่เหมาะสมที่มีลักษณะเชื้อเชิญหรือท าให้ ปัจจุบันเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตแบบไร้พรมแดนและมีอาชญากรรมแบบไร้พรมแดน กรมสอบสวน คดีพิเศษจะต้องท าการสืบสวนคู่ขนานระหว่างประเทศ เช่น กรณีร่วมมือระหว่างประเทศออสเตรเลียกับ ประเทศไทยในการสืบสวนและท าการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหา ๒ คน ในวันเดียวกัน เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เป็นข้อท้าทายในการรวบรวมพยานหลักฐานจากนอกราชอาณาจักรให้มาอยู่ในราชอาณาจักรให้ได้ โดยเฉพาะพยานหลักฐานที่อยู่ในระบบคลาวด์ ซึ่งใช้เวลามากในการดาวน์โหลดข้อมูล ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ ถูกกล่าวหาจากผู้ไม่หวังดีว่า การดาวน์โหลดเพื่อเก็บหลักฐานน าส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ รวบรวมพยานหลักฐานไม่เต็มที่ นอกจากนี้ การขยายผลในเรื่องขององค์กรเครือข่ายอาชญากรรมบางครั้ง จะต้องมีการสวมรอยเข้าไปในอีเมลหรือเซฟเวอร์ต่าง ๆ ก็พบว่า ยังมีข้อจ ากัดในการขยายผล การใช้ กฎหมายพิเศษหรือมาตรการพิเศษต่าง ๆ ในการเข้าไปท าการสืบสวนสอบสวนอยู่พอสมควร ดร.มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการจังหวัดประจ าส านักงานอัยการสูงสุด ส านักงานคดีค้ามนุษย์ ส านักงานอัยการสูงสุด ได้น าเสนอข้อมูล สรุปสาระส าคัญ ดังนี้ คณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเด็กให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วย สิทธิเด็ก (กลุ่มมาเจสติก) ได้ยกร่างและขับเคลื่อนร่างบทบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดต่อเด็กผ่านสื่อ ออนไลน์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ รูปแบบและลักษณะการกระท าผิด - ครอบครองสื่อลากอนาจาร (Child Pornography Possession) - การพูดคุยเรื่องทางเพศโดยไม่มีเหตุอันควร (Sexting) - การล่อลวงออนไลน์ (Online Grooming) - การขู่กรรโชกออนไลน์ (Online Extortion or Blackmailing) - การขู่กรรโชกออนไลน์ด้วยเรื่องเกี่ยวกับเพศ (Sextortion) - การถ่ายทอดสดการละเมิดทางเพศหรือการทรมานต่อเด็ก (Live Streaming of Child Sexual Abuse) - การแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศกับเด็ก (Child Sexual Exploitation)


[๒๒] ๒๒ - การคุกคามออนไลน์ (Cyberstalking) - การระรานออนไลน์ (Cyberbullying) กฎหมายที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน กรณีล่วงละเมิดทางเพศ ๑. ข่มขืนกระท าช าเรา มาตรา ๒๗๖ ๒. กระท าช าเราเด็ก มาตรา ๒๗๗ ๓. กระท าอนาจาร มาตรา ๒๗๘ ๔. กระท าอนาจารเด็ก มาตรา ๒๗๙ ๕. พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร มาตรา ๒๘๒ ๖. พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร มาตรา ๓๑๙ ค าพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๕๘/๒๕๔๐ จ าเลยมีอาชีพรับจ้างโดยขับรถรับจ้างรับส่งผู้โดยสารทั่วไปได้รับส่งเด็กหญิงทั้งสาม พาไป เลี้ยงไอศกรีม พาไปเที่ยวแล้วจึงส่งกลับบ้านเป็นการชั่วคราวก็ตาม แต่เมื่อไปถึงบ้านของเด็กหญิง เด็กหญิง จะลงจากรถ จ าเลยก็ชักชวนให้ไปกับจ าเลยจนกระทั่งล่วงเลยเวลากลับบ้านตามปกติ รุ่งขึ้นก็ชักชวน เด็กหญิงดังกล่าวไปกับจ าเลยอีกโดยสัญญาว่าจะพาไปเลี้ยงไอศกรีม ทั้งยังเล่าเรื่องร่วมเพศให้เด็กหญิงฟัง และนัดหมายจะพาไปเรียนว่ายน้ าและสอนขับรถในวันต่อมา ซึ่งในวันดังกล่าวจ าเลยได้พาเด็กหญิงไปกิน ไอศกรีม โดยจ าเลยเป็นผู้จ่าย นอกจากนี้จ าเลยยังให้เงินและเสี้ยมสอนให้เด็กหญิงทั้งสามโกหกบิดามารดา ในการกลับบ้านผิดปกติและล่วงเลยเวลา ศาลฎีกาพิพากษาว่าการคุยเรื่องเพศไม่เป็นอนาจาร ความผิดเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก ๑. ครอบครองหรือส่งต่อสื่อลามกอนาจารเด็ก มาตรา ๒๘๗/๑ ๒. มีสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อประสงค์ทางการค้า หรือแจกจ่าย เผยแพร่ โฆษณา มาตรา ๒๘๗/๒ กรณีขู่กรรโชกออนไลน์ ๑. กรรโชกทรัพย์ มาตรา ๓๓๗ ๒. รีดเอาทรัพย์ มาตรา ๓๓๘ การกลั่นแกล้ง การระรานบนโลกออนไลน์ ๑. ท าร้ายร่างกายให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ มาตรา ๒๙๕ ๒. หมิ่นประมาท มาตรา ๓๒๖ ๓. หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มาตรา ๓๒๘ ๔. ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา ๑๔ (๑) ๕. รังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระท าให้ได้รับความอับอาย หรือเดือดร้อนร าคาญ มาตรา ๓๙๗ ประเภทของความผิดเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก - Child Pornography Procession - Sexting - Online Grooming - Sextortion


[๒๓] ๒๓ - Live Streaming - Stalking - Cyberbullying เหตุผลของการแก้ไขกฎหมายโดยการแทรกในกฎหมายอาญา - ใช้ระยะเวลาในการด าเนินการน้อยกว่าการออกเป็นพระราชบัญญัติใหม่ทั้งฉบับ - สอดคล้องกับโครงสร้างของกฎหมายไทย - กฎหมายที่ต้องมีการปรับแก้มีกระจัดกระจาย ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยการออก พระราชบัญญัติฉบับเดียว โดยไม่ต้องแก้กฎหมายอื่น - ไม่ต้องกังวลเรื่องกฎหมายกิโยติน - บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมได้รับรู้ตั้งแต่ต้นน้ า เพิ่มเติมบทมาตราและปรับแก้ถ้อยค าใน ภาค ๒ ความผิด ลักษณะ ๙ ความผิดเกี่ยวกับเพศ - บัญญัติเกี่ยวกับการกระท าความผิดฐาน Grooming ไว้ในมาตรา ๒๘๔/๑ และเหตุเพิ่มโทษ ในมาตรา ๒๘๔/๒ - บัญญัติเกี่ยวกับการกระท าความผิดฐาน Sexting ไว้ในมาตรา ๒๘๔/๓ และบัญญัติเป็น ความผิดยอมความได้ในมาตรา ๒๘๔/๔ - บัญญัติเกี่ยวกับการกระท าความผิดฐาน Sextortion ไว้ในมาตรา ๒๘๔/๕ เพิ่มเติมบทมาตราและปรับแก้ถ้อยค าใน ภาค ๒ ความผิด ลักษณะ ๑๑ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ - บัญญัติเกี่ยวกับการกระท าความผิดฐาน Stalking ไว้ในมาตรา ๓๐๙/๑ และเหตุเพิ่มโทษใน มาตรา ๓๐๙/๒ - บัญญัติเกี่ยวกับการกระท าความผิดฐาน Bullying ไว้ในมาตรา ๓๐๙/๒ และเหตุเพิ่มโทษใน มาตรา ๓๐๙/๓ และมาตรา ๓๐๙/๔ ช่องทางในการเสนอขอแก้ไขกฎหมาย - รัฐมนตรีรักษาการในกฎหมายฉบับดังกล่าวเสนอกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรี (ผ่านส านักงาน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี) - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ ๒๐ คน ร่วมกันเป็นผู้เสนอร่างกฎหมาย -การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนตามมาตรา ๑๓๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ คน)


[๒๔] ๒๔ ข้อสังเกตเพิ่มเติมของผู้เข้าร่วมการเสวนา นางสาวศิขริน สิงห์ภพ เจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็ก UNICEF Thailand ได้ตั้งข้อสังเกต ดังนี้ ๑. ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อสังคม เพราะว่าจากกรณีนี้ศึกษาในระดับ นานาชาติพบว่า ในคดีที่ต ารวจสากลได้ท าการจับกุมผู้กระท าผิดฐานละเมิดเด็กเป็นระยะเวลา ๑๘ ปี จากผลการสืบสวนจ านวน ๑,๔๕๐ ราย แต่ในคดีอาจจะพบพยานหลักฐานเพียงประมาณ ๒๗๐ ราย ฉะนั้น กฎหมายฉบับนี้จึงมีความส าคัญมาก กล่าวคือ ผู้ที่กระท าความผิดต่อเด็กสามารถและมีศักยภาพที่ จะละเมิดเด็กในจ านวนที่สูงมากต่อราย ๒. การใช้มาตรการอื่นแทนเรือนจ าส าหรับผู้กระท าผิดมีปัญหาสุขภาพจิตจะมีความเป็นไปได้ หรือไม่ เพราะว่าสื่อลามกอนาจารเด็กก็มีความส าคัญกับผู้กระท าความผิดด้วยเหมือนกัน ๓. มีการพัฒนากฎหมายทางเทคโนโลยีเพื่อการรายงานหรือการดักจับการกระท าผิดหรือไม่ เนื่องจากในส่วนของการคุกคามทางไซเบอร์ การดับจับการกระท าความผิดอาจจะมีเครื่องมือป้องกันไวรัส หรือมีการรายงานผ่านระบบได้ว่า มีการโจมตีและส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจจ านวนเท่าใด แต่ในภาค สังคมยังขาดการรายงานเรื่องดังกล่าวอยู่ซึ่งในปัจจุบัน UNICEF Thailand อาศัยข้อมูลจากต่างประเทศ เป็นหลัก อาทิ ในปี ค.ศ. ๒๐๑๙ ได้รับรายงานจากบริษัท Genetec ว่า ประเทศไทยมีการรายงานเรื่องสื่อ ลามกอนาจารเด็กประมาณ ๓๕๕,๐๐๐ รายงาน หรือประมาณ ๔๑ กรณีต่อวัน ส่วนการด าเนินคดีทาง คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมีสัดส่วนการด าเนินคดีหรือจับกุมผู้กระท าความผิดร้อยละ ๕๖ ที่มีการแจ้งความ และจับกุมได้ซึ่งเป็นจ านวนสัดส่วนที่ลดลงเรื่อย ๆ ร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้มากน้อยเพียงใด ๔. ประเทศออสเตรเลียจะมีศูนย์ต่อต้านการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก (The Australian Centre to Counter Child Exploitation : ACCCE) ซึ่งมีโครงสร้างที่น่าสนใจมาก จึงขอสอบถามว่า ประเทศ ออสเตรเลียสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับประเทศไทยได้หรือไม่ เกี่ยวกับที่มา ขั้นตอน กระบวนการพัฒนา ปัญหา และอุปสรรค รวมถึงข้อแนะน าต่าง ๆ ๕. กรณีการละเมิดเด็กจ าลองผ่านการเล่นเกมอนิเมชั่นมีมาตรการแก้ไขอย่างไรบ้าง ๖. ควรก าหนดให้มีหน่วยงานเฉพาะขึ้น เพื่อท าหน้าที่คุ้มครองดูแลเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ เช่นเดียวกับหน่วยงานในต่างประเทศ


[๒๕] ๒๕ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รักษาการผู้อ านวยการส านักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทาง ปัญญา ส านักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องสื่อออนไลน์ ในเด็กมีปัจจัยในเชิงสาเหตุและวิธีการแก้ไขปัญหา จึงน ามาสู่การก าหนดกรอบของปัญหาโดยการใช้ กฎหมายมาควบคุมก ากับ ในขณะที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จะมีวิธีการใดหรือไม่ ที่จะแก้ไขเรื่องภัยออนไลน์ให้ทันต่อสถานการณ์ของสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หรือไม่ เช่น พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวันรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙ ไม่ได้ดูแล เฉพาะเรื่องการตั้งครรภ์แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นกฎหมายที่ดีแต่กลไกที่จะไปบังคับหน่วยงานที่มีหน้าที่ ในการจัดการปัญหาเรื่องดังกล่าวอาจจะยังไม่เพียงพอ เป็นต้น แพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องการกระท า ผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากใช้ประมวลกฎหมายอาญาของประเทศไทย บังคับ ผลที่ตามมาคือ ปัญหาการจับกุมผู้กระท าผิดไม่ได้ เพราะว่าผู้กระท าผิดต่อเด็กส่วนใหญ่ไม่ได้ อาศัยอยู่ในประเทศไทย จึงเป็นข้อแตกต่างกับต่างประเทศที่ได้จัดท าเป็นพระราชบัญญัติขึ้นแทน ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในหลาย ๆ ด้าน ดังนั้น ถ้ามีการยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับ การกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ไว้ในประมวลกฎหมายอาญาจะท าได้เพียงการปกป้องคุ้มครองเด็ก


[๒๖] ๒๖ จากการกระท าของผู้กระท าผิดในประเทศไทยเท่านั้น นอกจากนี้ สื่อออนไลน์ยังมีผลกับเด็กในด้านอื่น ๆ ด้วย มิใช่มีผลแต่เพียงเรื่องของการกระท าผิดเกี่ยวกับเพศเท่านั้น เช่น เรื่องพนันออนไลน์ เป็นต้น นางธีรารัตน์ พันทวี วงศ์ธนะเอนก รองประธานคณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ ในเด็กและเยาวชน วุฒิสภา ได้ตั้งข้อสังเกต ดังนี้ ๑. บทบาทของคณะท างานฯ คือการด าเนินการเกี่ยวกับการสร้างการรู้เท่าทันสื่อบนโลกออนไลน์ เป็นส าคัญ เนื่องจากสื่อต่าง ๆ สามารถน ามาเชื่อมโยงกันได้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อหลัก สื่อเก่า และสื่อใหม่ โดยการใช้เนื้อหาเดียวกันในการเผยแพร่ได้ ขณะเดียวกันตนเองก็มีความเกี่ยวพันกับการจัดท ากฎหมาย ๒ ฉบับ คือ ๑) การยกร่างกฎหมายว่าด้วยการก ากับดูแลเกมและการประกอบกิจการเกมในประเทศไทย ซึ่งใช้ฐานของพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมรับผิดชอบ โดยเฉพาะเรื่องการจัดเรตติ้งเกม และ ๒) พระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘ จะเห็นได้ว่า เรื่อง ของโลกออนไลน์มีหลายมิติ มิใช่มีเพียงเรื่องเพศเรื่องเดียวเท่านั้น แต่ยังมีการนิยามการกระท าผิดที่ กว้างขวางเพิ่มมากขึ้น แม้จะยังไม่ถึงขั้นลงมือได้ เช่น การล่อลวง การสื่อสาร การพูดคุย เป็นต้น ส าหรับ ประเด็นการพนันออนไลน์ได้มีความพยายามที่จะก าหนดค านิยามให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะว่าปัจจุบันไม่มี ค านิยามเกี่ยวกับการพนันที่ชัดเจน จึงท าให้การหาองค์ประกอบความผิดเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจแต่ เพียงอย่างเดียวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต ารวจ จะเห็นได้ว่า นิยามค าว่า “การพนัน” ตามกฎหมายสากลมี ๓ องค์ประกอบ คือ ๑) การตัดสินใจวางเดิมพัน ๒) ความเสี่ยง และ ๓) ได้มาซึ่ง รางวัลล่อใจ ส าหรับเรื่องของเกมและการประกอบกิจการเกมในประเทศไทยได้มีความพยายามที่จะ พิจารณาศึกษาในรายละเอียดเนื้อหา ซึ่งพบว่าการกลั่นแกล้งระรานในโลกออนไลน์อันดับที่ ๒ รองจาก เฟสบุ๊คคือ เกม ดังนั้น หากมีการเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ส านักงานเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะสามารถตอบค าตามผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างไร เกี่ยวกับ การจัดการเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนบนโลกออนไลน์มีสัดส่วนอย่างไรระหว่างพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘ กับกฎหมายว่าด้วยการก ากับดูแลเกมและการประกอบกิจการเกมในประเทศไทย รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ ดังนั้น จะมีวิธีอย่างไรที่จะท าให้กฎหมายแต่ ละฉบับดังกล่าวมีบทบาทที่ไม่ซ้ าซ้อนกัน


[๒๗] ๒๗ ๒. การจัดการปัจจัยเสี่ยงคงไม่ใช่เพียงการจับกุมหรือปราบปรามเท่านั้น แต่การจัดการปัจจัย เสี่ยงประกอบด้วย ๕ มิติ คือ ๑) การป้องกัน ๒) การปกป้องคุ้มครอง ๓) การปราบปรามหรือแก้ไขเมื่อ เกิดปัญหา ๔) การเฝ้าระวัง และ ๕) การเยียวยา ดังนั้น ถ้ากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากภัย ออนไลน์ท าหน้าที่เพียงการปราบปรามและจับกุม ส่วนที่เหลือจะมีกฎหมายอื่นใดหรือไม่ ที่จะส่งเสริม ให้บุคคลแวดล้อมรอบตัวเด็กมีความเข้มแข็งและรู้เท่าทัน เช่น กรณีกฎหมายเกม เมื่อจะมีการก ากับ ผู้ประกอบการเกม จะต้องมีการตั้งค าถามว่า บิดามารดาเป็นผู้ที่ยื่นโทรศัพท์มือถือให้เด็กใช่หรือไม่ ซึ่งค าตอบคือ ถูกต้องส่วนหนึ่ง แต่มิใช่ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบฝ่ายเดียว ดังนั้น จึงต้องสร้างความรับผิดชอบ ร่วมต่อกฎหมายฉบับนี้ เพราะกฎหมายฉบับนี้ใช้หลัก ๓ ประการ คือ ๑) ความรับผิดชอบร่วม ซึ่งเหมือนกับหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle: PPP) ๒) หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ซึ่งผู้ประกอบการต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ และ ๓) การปกป้องคุ้มครองเด็ก (Child Protection) แพทย์หญิงปรีชวัน จันทร์ศิริ อาจารย์ หน่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กรณีเด็กถูกล่อลวงทางเพศมีสาเหตุมาจาก เด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งจะไปสอดคล้องกับพัฒนาการของวัยของเด็กในแต่ละช่วงวัย เรื่องกีฬา จนน าไปสู่ เรื่องเพศด้วย นอกจากนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุที่บิดามารดาและโรงเรียนยังขาดความเข้มแข็ง ขาดความรู้และความเข้าใจในมาตรการหรือกระบวนการที่ช่วยเหลือเด็ก ส่งผลก่อให้เด็กเกิดมีปัญหา ด้านสุขภาพจิตก่อนจึงส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล ดังนั้น จึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการตรากฎหมายเพื่อ ป้องกันเรื่องดังกล่าว


[๒๘] ๒๘ แพทย์หญิงทิพาวรรณ บูรณสิน คณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและ เยาวชน วุฒิสภา ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องของสื่ออิสระที่ไม่มีคุณภาพนั้น หลังจากที่ได้ท าการส ารวจ ปัญหาเด็กติดเกมหรือโรคติดเกมในจิตเวชเด็กและวัยรุ่นตลอด ๖ ปีที่ผ่านมา พบว่ามีจ านวนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นมา สัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนของการติดเกม ออนไลน์ร้อยละ ๑๐๐ ส่วนปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเกมออนไลน์ในเด็กและวัยรุ่นคือ ๑) การซึมซับความก้าวร้าวในเกมที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับอายุ เช่น ความรุนแรง เพศ ภาษา การกระท า ผิดศีลธรรม การก่ออาชญากรรมเลียนแบบ เป็นต้น ๒) การเลียนแบบพฤติกรรมเสี่ยงจริง อันจะน ามาสู่ เรื่องของกฎหมายคุ้มครองดูแลเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ที่ได้มีการหารือในวันนี้เกี่ยวกับการพูดคุย เรื่องเพศที่ไม่เหมาะสมอันน าไปสู่เพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นที่ไม่ป้องกัน เด็กปฐมวัยก็ได้รับผลข้างเคียงจากสู่ ยั่วยุทางเพศออนไลน์ เด็กมีอาการหวาดกลัวผิดปกติจากการรีดไถสมาร์ทโฟน ๓) ค่านิยมทางความคิดและ การด าเนินชีวิตตามเน็ตไอดอล เกม หรือการไลฟ์สด ซึ่งบางครั้งผู้ปกครองไม่สามารถเข้าถึงได้ ส่งผลให้ ติดตามกรณีได้ยากล าบากไม่ว่าจะเป็นในประเทศและต่างประเทศ ๔) ปัญหาการเติมเงินเดิมพันการเข้าถึง พนันออนไลน์และเป็นหนี้ ๕) การล่อลวงและอาชญากรรมบนโลกออนไลน์ จะเห็นได้ว่า การล่อลวงมิใช่ เพียงแค่การถูกล่อล่วงไปล่วงละเมิดเท่านั้น แต่การล่อลวงยังมีวิธีการอื่น ๆ ให้ท าผิดทางธุรกรรมทาง การเงิน เช่น การลักขโมยรหัสผ่านบัตรเครดิตของผู้ปกครอง การล่อลวงนัดเจอนอกสถานที่ การส่งภาพโป๊ เปลือยในกลุ่มเด็ก การซื้อขายหรือการเข้าถึงยาเสพติด เป็นต้น และ ๖) การก่อเหตุทะเลาะวิวาท วางเพลิง วางแผนฆาตกรรม จะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จิตแพทย์เด็กมีความกังวลและได้ด าเนินการในแง่ของ การประชุมเชิงวิชาการให้กับสหวิชาชีพ พนักงานเจ้าหน้าที่ และครู ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและ คัดกรองในกลุ่มที่จ ากัดอยู่ ส าหรับภาวะแทรกซ้อนที่พบในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จนกระทั่งปัจจุบัน คือ เพศ พนัน ความรุนแรง และคดีที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่ถูกล่วงละเมิดผ่านทางออนไลน์


[๒๙] ๒๙ นางสาวเกษณี จันทร์ตระกูล ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิเพื่อยุติการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ จากเด็ก ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องของการถูกคุกคามทางเพศหรือชื่อของกฎหมายว่าด้วยการกระท าผิดต่อ เด็กผ่านสื่อออนไลน์ควรจะครอบคลุมประเด็นอื่นด้วยหรือไม่ นอกเหนือจากประเด็นเรื่องเพศ โดยก าหนด ว่าเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าความผิดทางเพศต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ จะเห็นได้ว่า เรื่องการถูก คุกคามทางเพศมีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งจะกว้างเกินไปหรือไม่ ดังนั้น หากจะพิจารณาเรื่องออนไลน์ก็ ควรพิจารณาแต่เรื่องออนไลน์เท่านั้น ส าหรับบทนิยามก็มีความส าคัญเช่นเดียวกัน เช่น เรื่อง Sexting ในกฎหมายต่างประเทศจะเน้นที่เด็กส่งภาพที่ตนเองถ่ายไปให้กับเด็กวัยเดียวกัน เป็นต้น แต่ประเทศไทย กลับให้บทนิยามว่า เป็นเรื่องของการพูดคุยเรื่องเพศไม่เหมาะสม เป็นต้น ส่วนเรื่องการกลั่นแกล้งระราน จะมีหลายรูปแบบ เช่น การท าร้าย การรังแก เป็นต้น จึงต้องพิจารณาเรื่องเพศเป็นการเฉพาะ ทั้งนี้ กฎหมายอาจจะไม่ได้มีเพียงประเด็นการป้องกันเหตุจากการกระท าความผิดทางเพศเท่านั้น แต่อาจจะต้อง มีมาตรการอื่น ๆ ด้วย โดยก าหนดให้บุคคลที่พบเห็นการกระท าผิดทางเพศหรือผู้ประกอบการอินเทอร์เน็ต ออนไลน์มีหน้าที่ต้องแจ้งด้วย พันต ารวจเอก มรกต แสงสระคู คณะท างานปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทาง อินเทอร์เน็ต ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ต ารวจในฐานะที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายย่อมเห็นด้วยกับการมี กฎหมายว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์เพื่อเป็นบทลงโทษส าหรับผู้กระท าความผิด


[๓๐] ๓๐ นายศิริพงษ์ ตั้งประภากร ผู้แทนจากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ได้ตั้งข้อสังเกต ว่า เด็กและเยาวชนใช้สื่อออนไลน์มากกว่าผู้ใหญ่ในแง่ของเด็กที่เป็นผู้ถูกกระท ากลับกลายเป็นผู้กระท าเสีย เอง ซึ่งเด็กที่กระท าความผิดส่วนใหญ่ไม่รู้ข้อกฎหมาย ถ้ามีกฎหมายเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อ ออนไลน์ออกมาและให้ความรู้กับเด็กต่อเรื่องดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งดี ส าหรับปัญหาอีกประการคือ เมื่อเกิด การกระท าผิดต่อเด็กขึ้น เด็กไม่ทราบว่าจะไปแจ้งความได้ที่ใด จึงควรก าหนดให้มีเจ้าพนักงานเข้ามาให้ การช่วยเหลือเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระท าด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ นายศุภวุฒิ แพร่แสงเอี่ยม ผู้แทนจากสภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร ได้ตั้งข้อสังเกต ว่า กรณีเกิดเหตุกระท าละเมิดต่อเด็กขึ้น เด็กไม่กล้าแจ้งความด าเนินคดี ดังนั้น รัฐจึงควรหาช่องทางใน แก้ไขเยียวยาและติดต่อสื่อสารกับเด็กเป็นการส่วนตัว ตามมาตรา ๒๘๔/๓ ของร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ที่จะ แทรกลงในประมวลกฎหมายอาญา ที่ก าหนดไว้ว่า ผู้ใดส่ง ส่งต่อเรื่องทางเพศไม่ว่าด้วยการแสดงออกทาง กาย วาจา ลายลักษณ์อักษร ภาพ เสียง หรือด้วยวิธีการอื่นใดโดยปราศจากเหตุอันควร นั้น จะเห็นได้ว่า เด็กมีการพูดถึงเรื่องทางเพศในโลกออนไลน์มากเป็นปกติอยู่แล้ว รวมถึงในพระราชบัญญัติป้องกันและ แก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙ ก็มีการส่งเสริมให้การพูดเรื่องทางเพศเป็นเรื่องปกติส าหรับ เด็ก ดังนี้ เรื่องทางเพศตามมาตรานี้หมายถึงการพูดถึงเรื่องทางเพศในแง่ลบหรือไม่ และหมายถึงอะไรบ้าง


[๓๑] ๓๑ นายบุรินทร์ เรือนแก้ว ผู้แทนจากสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ได้ตั้งข้อสังเกต ดังนี้ ๑. สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยมีสมัชชาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ โดยแบ่งออกเป็น ๔ ภาค ประกอบด้วย ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งเด็กและเยาวชนทั้งสี่ ภาคจะพูดถึงเรื่องของสื่อออนไลน์ เช่น การกลั่นแกล้งระรานผ่านสื่อออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ สมัชชา เด็กและเยาวชนแห่งชาติยังได้มีมติเกี่ยวกับเรื่องของก้าวทันสื่อรู้ทันสิทธิอีกด้วย ปัญหาส่วนใหญ่คือ เด็ก และเยาวชนไม่รู้ช่องทางติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดการกระท าละเมิดขึ้น และไม่รู้ถึงข้อกฎหมาย เกี่ยวกับการห้ามโพสต์และห้ามแชร์รูปภาพหรือข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ส าหรับกรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เด็กและเยาวชนได้สะท้อนปัญหาให้เห็นถึงสื่อที่เป็นมิตรต่อเด็กและเยาวชน และข้อจ ากัดด้านกฎหมายว่า ด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับสื่อออนไลน์ทางคอมพิวเตอร์ นอกจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเพศแล้ว ยังมี ปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด สุขภาพจิต และปัญหาความรุนแรงทางสังคมด้วย ๒. เด็กและเยาวชนตามร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ที่แทรกลง ในประมวลกฎหมายอาญาหมายรวมถึงเด็กและเยาวชนในกลุ่มชาติพันธุ์หรือเด็กไร้สัญชาติด้วยหรือไม่ นางสาวสุภานันทร์ เตชะงามวงศ์ เจ้าหน้าที่กฎหมาย ส านักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ได้ตั้งข้อสังเกต ดังนี้


[๓๒] ๓๒ ๑. ตามมาตรา ๒๘๔/๑ วรรคสี่ ของร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ ที่จะแทรกลงในประมวลกฎหมายอาญา ค าว่า “อุปกรณ์โทรคมนาคม” มีความหมายกว้างเพียงใด และถ้า เป็นการกระท าผ่านระบบคอมพิวเตอร์จะหมายรวมด้วยหรือไม่ ๒. เรื่องของการเผยแพร่หรือส่งต่อข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึกไว้ตามมาตรา ๒๘๐/๒ วรรคสอง ของร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ที่จะแทรกลงในประมวล กฎหมายอาญา มีเนื้อหาคล้ายกับมาตรา ๑๔ (๕) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงขอสอบถามว่าหลักการของกฎหมายทั้งสองฉบับมีความซ้ าซ้อนกันหรือไม่ ๓. ถ้อยค าตามมาตรา ๒๘๔/๔ ที่ก าหนดให้ความผิดในมาตรา ๒๘๔/๑ วรรคแรก และมาตรา ๒๘๔/๓ วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความได้ นั้น ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะว่ามาตราดังกล่าวเป็นเหตุ ฉกรรจ์หรือเหตุเพิ่มโทษ จึงไม่ควรก าหนดให้ความผิดดังกล่าวสามารถยอมความกันได้ ๔. ถ้อยค าตามมาตรา ๒๘๔/๕ ของร่างฯ ครบถ้วนหรือไม่ นายสตีเฟ่น ฟราย เจ้าหน้าที่อาวุโสของต ารวจสหพันธ์ออสเตรเลีย ได้ตอบข้อซักถามว่า Frank เป็นกลุ่มหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทย ปัจจุบันมีตัวแทนทั้งหมด จาก ๑๘ ประเทศ ๒๘ หน่วยงาน ซึ่งในปีนี้ตนเองได้รับเลือกให้เป็นประธานกลุ่ม Frank ท าหน้าที่ประสานกับ หน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศไทยเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย อาทิ เรื่องการแสวงหาผลประโยชน์กับเด็ก (Child Exploitation) เป็นหนึ่งในสามคณะท างานของ Frank ซึ่ง Frank มีความร่วมมือและท างาน ร่วมกันมายาวนานกับหน่วยงานของประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์กับเด็ก และรู้สึก ดีใจและยินดีที่ประเทศไทยจะมีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการล่อลวงหรือกฎหมายที่จะเป็นมาตรการในเชิง ป้องกันก่อนที่จะเกิดเหตุขึ้น ประเทศออสเตรเลียรับมือกับปัญหาเรื่องการอนาจารเด็กมายาวนาน และมีการก่อตั้งศูนย์ ต่อต้านการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก (The Australian Centreto Counter Child Exploitation : ACCCE) ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. ๒๐๑๘ โดยการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งก่อนที่จะ มีศูนย์ ACCCE จะมีหน่วยงานทั้งในระดับประเทศและระดับรัฐที่ท างานเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์กับ เด็กอย่างมากมายก็ตาม แต่ยังไม่มีการบูรณาการการท างานร่วมกันเท่าที่ควร ส าหรับศูนย์ ACCCE มีหน้าที่ ๔ ด้าน ประกอบด้วย ๑) การเตรียมความพร้อมทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้สามารถรับมือได้ (Prepare)


[๓๓] ๓๓ ๒) การป้องกันไม่ให้เกิดการอนาจารเด็กขึ้นมา (Prevent) ๓) การปกป้องเหยื่อและเจ้าหน้าที่ที่ท างานด้าน นี้ด้วย (Protect) และ ๔) การด าเนินคดีหรือด าเนินการทางกฎหมายกับผู้กระท าผิดหรือผู้ต้องหา (Pursue) เรื่องการล่อลวงในกฎหมายของประเทศออสเตรเลียกับประเทศสมาชิก Frank บางประเทศจะมี กฎหมายป้องกันรองรับและสามารถด าเนินคดีได้ตั้งแต่ระดับการวางแผนก่อนการเดินทางจากประเทศ ออสเตรเลียไปยังประเทศอื่นเพื่อที่จะกระท าอนาจารเด็ก ตั้งแต่ขั้นตอนการจองตั๋วเครื่องบินจนกระทั่งถึง การจองห้องพักหรือโรงแรม นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอีกฉบับเรียกว่า การบังคับใช้กฎหมายนอกอาณาเขต ของออสเตรเลีย (Extraterritorial Application of Australian Laws) บังคับใช้กับประชาชนออสเตรเลีย เช่น ชาวออสเตรเลียเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรและกระท าอนาจารเด็ก เมื่อเดินทางกลับประเทศ ออสเตรเลียแล้วพบว่ามีรูปอนาจารเด็กก็สามารถด าเนินคดีได้แม้ว่าการกระท าความผิดดังกล่าวจะได้ กระท านอกประเทศ เรื่องของการสืบสวนสอบสวน กรณีการเก็บข้อมูลของผู้ให้บริการ (Service Provider) ควรจะมี กฎหมายก าหนดให้ครอบคลุมถึงเรื่องของระยะเวลาการเก็บข้อมูลไว้ด้วย เพราะว่าเมื่อเวลาผ่านไป การไปขอเก็บข้อมูลอาจจะไม่ได้ผล เนื่องจากข้อมูลถูกลบไปแล้ว ต่อมาวิทยากรผู้บรรยายได้ตั้งข้อสังเกต ดังนี้ ดร.มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการจังหวัดประจ าส านักงานอัยการสูงสุด ส านักงานคดีค้ามนุษย์ ส านักงานอัยการสูงสุด ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายไม่ใช่ยาวิเศษ กฎหมายใช้แก้อะไรไม่ได้ กฎหมายมีไว้ เป็นที่รู้กันเท่านั้นว่าจ าเป็นต้องมีกฎหมาย แต่จะมีมาตรการอื่น ๆ ต่างหากที่จะน ามาใช้ เช่น ประเทศ อังกฤษไม่ได้ระบุค าว่า “Bully” แปลว่าอะไรในกฎหมาย และไม่ได้มีกฎหมายโดยตรงกับเรื่อง Bully แต่ประเทศอังกฤษกลับกลายเป็นประเทศต้นแบบแรก ๆ ของโลกที่มีเรื่อง School Bully โดยใช้ กระบวนการทางภาคการศึกษาเข้ามาจัดการกับปัญหาอย่างเป็นระบบ เป็นต้น ดังนั้น จึงเห็นด้วยกับ ประเด็นการคุ้มครองและการป้องกันเป็นเรื่องส าคัญ ซึ่งคงจะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องมาตรการพิเศษ เช่น กฎหมายของประเทศไทยอนุญาตให้ใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัย กล่าวคือ ห้ามเข้ามายุ่งกับเหยื่อ ผู้กระท าความผิด แต่ถ้าผู้กระท าความผิดอยู่ต่างประเทศ เขตอ านาจของศาลไทยมีสิทธิสั่งห้ามผู้กระท าผิด ส่งอีเมลได้หรือไม่ ดังนั้น วิธีการเพื่อความปลอดภัยในมิติที่เคยเข้าใจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาก็ต้องเปลี่ยน หลักเกณฑ์ในการคิดก็ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าประเทศไทยไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับ การกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายเกี่ยวกับการครอบครองสื่อลามก อนาจารเด็ก กล่าวคือ เมื่อผู้กระท าความผิดเห็นว่าประเทศไทยไม่มีกฎหมาย ประเทศไทยจะถูกจัดอันดับ โลกว่าเป็นสวรรค์ที่สวยงาม เพราะว่าผู้ครอบครองสื่อลามกอนาจารของเด็กไม่มีความผิด ชาวต่างประเทศ สามารถเข้ามาอยู่ประเทศไทยได้โดยไม่ต้องถูกส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปยังประเทศตนเอง จะเห็นได้ว่า มุมมองทางด้านกฎหมายอาจมองได้หลายมุม แต่อนุสัญญาว่าด้วยอาชญากรรมไซเบอร์ (Convention on Cybercrime) มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๐๑ แล้ว แม้ว่าในโลกนี้เริ่มมองเห็นเรื่องอาชญากรรมไซเบอร์ในมุม ความเข้าใจแบบเดียวกันเป็นระยะเวลาเกือบ ๒๐ ปีแล้ว แต่ประเทศไทยยังขาดเครื่องมือหลาย ๆ ส่วนที่ ไม่เติมเต็มกัน ดังนั้น ประเทศไทยจ าต้องมีกฎหมาย โดยความร่วมมือกันระหว่างคณะของการขับเคลื่อนใน การด าเนินการไปพร้อมกัน เช่น กลุ่มคณะท างานวิธีสบัญญัติ กลุ่มคณะท างานคุ้มครองป้องกันหรือมี มาตรการพิเศษในการเยียวยา เป็นต้น


[๓๔] ๓๔ กรณีมาตรา ๒๘๔/๕ ได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมเป็นมาตรา ๒๘๔/๖ ดังนี้ ๓. Sextortion มาตรา ๒๘๔/๖ ผู้ใดเพื่อการอนาจาร หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ ส่งต่อซึ่งข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึก เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางเพศของผู้ถูกข่มขู่ หรือสมาชิก ในครอบครัวของผู้ถูกข่มขู่ หรือกระท าการด้วยประการอื่นใดอันอาจท าให้ผู้ถูกข่มขู่ สมาชิกในครอบครัว ของผู้ถูกข่มขู่ อับอาย หรือเสียชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ ……..โดยบังคับให้ผู้ถูกข่มขู่จ ายอมต้องกระท า การ หรือยอมรับการกระท าการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการไม่สมควรทางเพศ ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท กรณีบทนิยามของค าว่า “อุปกรณ์โทรคมนาคม” ครอบคลุมถึงกระท าผ่านระบบคอมพิวเตอร์ด้วย หรือไม่ นั้น เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก และจะยิ่งรวดเร็วกว่านี้อีก ในอนาคต ดังนั้น การมีกฎหมายเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ที่จะแทรกลงในประมวล กฎหมายอาญาจะครอบคลุมถึงหรือไม่ จะเห็นได้ว่า นักกฎหมายตามแนวคิดเป็นสถาปนิกสังคม แต่สิ่งที่ เห็นอยู่ในปัจจุบันนักกฎหมายเป็นเพียงนักปะผุหรือนักแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเท่านั้น กล่าวคือเมื่อสังคม เปลี่ยนกฎหมายจึงค่อยเปลี่ยนตาม ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมองภาพร่วมกัน ไม่รู้ว่าเมื่อมีเทคโนโลยีหรือเริ่มมี อินเทอร์เน็ต สิ่งที่จะเกิดขึ้นถัดไปอีก ๓๐ - ๔๐ ปีข้างหน้าจะมีอะไรบ้าง และมาหารือร่วมกับนักกฎหมาย ในการก าหนดกรอบด าเนินการ จะเห็นได้ว่า ต่างฝ่ายต่างแยกส่วนกันท างาน ส่งผลให้การที่จะมองภาพ ร่วมกันย่อมเป็นไปได้ยากมาก ตัวอย่างเช่น อนุสัญญาว่าด้วยอาชญากรรมไซเบอร์ (Convention on Cybercrime) มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๐๑ ซึ่งมีมานานถึง ๒๐ ปีแล้ว แต่ประเทศไทยยังตามสังคมโลกไม่ทัน ดังนั้น ประเทศไทยจึงท าในสิ่งที่สามารถก้าวทันสังคมโลกและน ามาใช้ในเบื้องต้นได้เสียก่อน อย่างไรก็ตาม ในบางเรื่องที่ประเทศอังกฤษไม่มีในภาคสังคมที่เกี่ยวกับการเข้ามาแก้ไขเยียวยากระบวนการของคนที่ ถูกกระท าความผิด กรณีเด็กที่ถูกกระท าความผิดไม่มีช่องทางติดต่อสื่อสารกับภาครัฐในการแก้ไขเยียวยา เพราะว่า ปัจจุบันเด็กไม่ต้องการสื่อสารกับคนทั่วไป เด็กชอบพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถือและสื่ออิเล็กโทรนิกส์ต่าง ๆ จะเห็นได้ว่า พันต ารวจโทหญิง เพรียบพร้อม เมฆิยานนท์ได้มีแนวคิดที่จะน าปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาใช้ เพื่อที่จะให้เด็กสามารถเข้าไปพูดคุยได้ แต่การรับรู้ของภาคสังคมหรือเด็กยังไม่ ทราบถึงช่องทางดังกล่าว อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวเพียงอย่างเดียวคงยังไม่เพียงพอ จึงควรมีช่องทาง อื่นเพิ่มมากขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่เด็กจะสามารถระบายหรือพุดคุยหารือได้ ส าหรับสาเหตุที่สายด่วน ไม่ประสบความส าเร็จเพราะว่า เด็กไม่กล้าที่จะพูดคุยกับบุคคลที่ไม่รู้จักผ่านสายด่วน กรณีเด็กและเยาวชนตามร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ที่แทรกลง ในประมวลกฎหมายอาญาย่อมคุ้มครองถึงเด็กและเยาวชนในกลุ่มชาติพันธุ์หรือเด็กไร้สัญชาติด้วย กรณีของถ้อยค าตามมาตรา ๒๘๔/๓ ของร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อ ออนไลน์ที่จะแทรกลงในประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ จะเห็นได้ว่า ประเด็นที่เกิดปัญหา ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงผลสุดท้ายของการพูดคุยเรื่องทางเพศกับเด็ก ซึ่งน าไปสู่การอนาจารหรือกระท าช าเรา ที่กินความถึงความผิดฐานเบาอยู่ในตัว อาทิ เด็กผู้หญิงอยู่ต่างจังหวัดและไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ มาก่อน แต่วันหนึ่งมีคนมาคุยเรื่องทางเพศ จะเห็นได้ว่า เด็กผู้หญิงไม่ได้ถูกกระท าอนาจารหรือถูกข่มขืน กระท าช าเรา แต่พฤตินิสัยที่มีการพูดคุยทางเพศก่อนวัยอันสมควรจะมีผลที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากพิจารณา


[๓๕] ๓๕ องค์ประกอบความผิดตามมาตรา ๒๘๔/๓ จะต้องเป็นกรณีที่ไม่เหมาะสม แต่กรณีเด็กพูดคุยเรื่องเพศศึกษา พูดคุยกับญาติเกี่ยวกับการมีประจ าเดือน การมีเพศสัมพันธ์ การคลอดบุตร ย่อมถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม ส าหรับถ้อยค าที่ไม่เหมาะสมส่วนใหญ่จะมีประเด็นต่อเมื่อเป็นข้อความที่ไม่ต้องการ เช่น เมื่อเด็กผิดหวังกับ ความรัก ข้อความที่ปรากฏอยู่ในไลน์แอปพลิเคชันหรือในเฟสบุ๊คที่เป็นการพูดคุยทางเพศที่ไม่เหมาะสม จึงน ามาแล้วใช้ในการที่จะด าเนินคดี ซึ่งกรณีดังกล่าวมักจะย้อนแย้งกับพฤตินิสัยของเด็ก เพราะว่าเด็กอยู่ ในวัยที่จะพูดคุยเรื่องดังกล่าว ฉะนั้น ท้ายที่สุดข้อมูลของการพูดคุยเรื่องทางเพศจะต้องสอดคล้องกับผล ที่ได้รับจากการพูดคุยดังกล่าวแล้วก่อให้เกิดผลกระทบต่อพฤตินิสัยของผู้ที่เห็นเหยื่อ จึงจ าเป็นต้องมี กฎหมายคุ้มครองและไม่เปิดช่องทางให้น าไปสู่บันไดขั้นถัดมา กล่าวถือ ถ้าอนุญาตให้พูดคุยเรื่องทางเพศก็ จะมีสิทธิที่จะท าให้บุคคลเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการชักชวน เพราะว่าโดยส่วนใหญ่มักจะคุยเรื่องทางเพศ จนกระทั่งสนิทสนมแล้วจึงชักชวนให้มีการถอดเสื้อผ้าบ้าง นัดออกมาเจอบ้าง การแสดงการส าเร็จความใคร่ ด้วยตนเองให้อีกฝ่ายได้เห็นและมีการเก็บคลิปวิดีโอโดยการแกล้งว่าเป็นเพศตรงกันข้าม เช่น เป็นบุคคล เพศที่สามแต่หลอกอีกฝ่ายว่าตนเองเป็นผู้หญิงให้อีกฝ่ายส าเร็จความใคร่ด้วยตนเองแล้วเก็บคลิปวิดีโอไว้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศมาก่อนแล้วตามมาด้วยเรื่องการคุกคาม ทางเพศ จึงจ าเป็นต้องมีกฎหมาย แต่ไม่ละเลยกับประเด็นที่ไม่ต้องการน าเด็กเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม กระแสหลักและน าเด็กเข้าสู่กระบวนการลงโทษ แต่จะมีมาตรการอื่นในการปรับพฤตินิสัยของเด็กต่อไป นางสาววาสนา เก้านพรัตน์ ผู้อ านวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก และคณะท างานร่าง กฎหมายร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ที่จะแทรกลงในประมวลกฎหมาย อาญา ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เด็กและเยาวชนในกลุ่มชาติพันธุ์หรือเด็กไร้สัญชาติย่อมได้รับการคุ้มครองตาม ร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ที่แทรกลงในประมวลกฎหมายอาญาด้วยตาม หลักการไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม แต่มีข้อห่วงใยส าหรับเด็กและเยาวชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเกี่ยวกับ ข้อจ ากัดทางด้านภาษาที่ไม่อาจสามารถรับรู้ประเด็นเหล่านี้ได้ ในเวทีสัมมนาระดับอาเซียนจะมีแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจาก การแสวงประโยชน์ในสื่อออนไลน์ ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๘ โดยจะมีการประชุมและ พิจารณาทบทวนว่าประเทศไทยจะต้องด าเนินการอย่างไรบ้าง หนึ่งในประเด็นที่จะมีการพิจารณาคือ ข้อกฎหมาย ซึ่งถ้าประเทศไทยสามารถด าเนินการได้ก็จะแนวทางในการพิจารณาศึกษาให้กับประเทศอื่น ด้วย อีกทั้งในแผนปฏิบัติการดังกล่าวยังได้ระบุถึงมิติของการป้องกันไว้ด้วย ซึ่งนอกจากเรื่องการพัฒนา กฎหมายแล้ว ถ้าประเทศไทยพยายามใช้มาตรการทางสังคมในการบริหารและท าการศึกษาให้มากขึ้น ก็จะสามารถปกป้องได้โดยที่ไม่ต้องรอกฎหมาย ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านี้ควรหารือ และขับเคลื่อนร่วมกัน เพราะว่าขั้นตอนในการร่างกฎหมายใช้ระยะเวลานานมากกว่าจะมีผลใช้บังคับ รวมถึงศึกษาเปรียบเทียบกับต่างประเทศในกรณีของการแก้ไขเยียวยาผู้เสียหายจากการกระท าผิดด้วย นายเจตน์พงศ์ โชคสวัสดิ์วรกุล หัวหน้ากลุ่มงานปฏิบัติการพิเศษสืบสวน ศูนย์ปฏิบัติการ บังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง ส านักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในเรื่องของระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ถ้าเป็นเขตพื้นที่ในกรุงเทพมหานครจะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีก าลังพล แต่ในต่างจังหวัดก าลังพลที่เข้าถึงประชาชนมากที่สุดคือ ก านันและผู้ใหญ่บ้าน ในฐานะที่ เป็นพนักงานฝ่ายปกครองเช่นเดียวกับต ารวจ หากมีการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็ก ผ่านสื่อออนไลน์ที่จะแทรกลงในประมวลกฎหมายอาญา ในส่วนของผู้รับแจ้งควรก าหนดให้ก านันและ


[๓๖] ๓๖ ผู้ใหญ่บ้านไว้ด้วย เนื่องจากในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่ก าลังจะเสนอให้มีการแก้ไข เพิ่มเติมได้เสนอให้มีการแต่งตั้งต าแหน่งพนักงานคุ้มครองเด็กในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท าหน้าที่ รับแจ้งเรื่องของการคุ้มครองเด็กแทนพนักงานฝ่ายปกครองหรือต ารวจ แต่ไม่ได้ก าหนดให้ก านันและ ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่รับแจ้งเรื่องไว้ด้วย นางสาวสุรางค์ เงาอ าพันไพฑูรย์ บริษัท ทีโอที จ ากัด (มหาชน) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า บริษัท ทีโอที จ ากัด (มหาชน) ไม่ได้พิจารณาในเนื้อหาของการให้บริการอินเทอร์เน็ตว่าเกี่ยวข้องกับการกระท า ความผิดต่อกฎหมายหรือไม่ บริษัท ทีโอที จ ากัด (มหาชน) เป็นแต่เพียงหน่วยงานให้บริการเกี่ยวกับการใช้ อินเทอร์เน็ตเท่านั้น และเกี่ยวข้องกับกรณีที่มีการแจ้งความในเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กผ่านกองบังคับการ ปราบปรามการกระท าผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งบริษัท ทีโอที จ ากัด (มหาชน) ได้ให้ความร่วมมือและประสานให้ข้อมูลกับหน่วยงานดังกล่าวอยู่แล้ว ส าหรับประเด็นบทนิยาม ของค าว่า “อุปกรณ์โทรคมนาคม” บริษัท ทีโอที จ ากัด (มหาชน) เห็นด้วยกับการก าหนดบทนิยามให้มี ความชัดเจนเพิ่มมากขึ้นด้วย นางสาวอุทัยวรรณ แจ่มสุธี อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ส านักงานคดีเยาวชนและครอบครัว ส านักงานอัยการสูงสุด และคณะท างานร่างกฎหมายร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระท าผิดต่อเด็กผ่าน สื่อออนไลน์ที่จะแทรกลงในประมวลกฎหมายอาญา ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ประเด็นกฎหมายที่จะใช้บังคับกับ เด็กและเยาวชนที่เป็นผู้กระท าความผิดและเป็นผู้ถูกกระท าความผิดทางสื่อออนไลน์นั้น พระราชบัญญัติ ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้ก าหนดให้กรณีเด็ก และเยาวชนที่ต้องหาว่ากระท าผิดอาญาในประเทศไทยปัจจุบันมีมาตรการพิเศษแทนการด าเนินคดีอาญา จะเห็นได้ว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีหลักที่จะลงโทษเด็กเป็นส าคัญ แต่จะให้เด็กที่กระท าความผิดในอัตรา โทษจ าคุกไม่เกินกว่า ๕ ปี ส านึกผิดและต้องการกลับตัวหรือแก้ไข สามารถที่จะเสนอแก้ไขฟื้นฟูตนเองผ่าน ผู้อ านวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อผ่านการพิจารณาการท าแผนบ าบัดฟื้นฟูข้อเสนอ ของเด็กที่ต้องหาคดีว่าจะแก้ไขตนเองอย่างไรแล้ว หากปฏิบัติตามแผนแก้ไขบ าบัดฟื้นฟูพฤตินิสัยเหล่านี้ได้ พนักงานอัยการก็จะสั่งไม่ฟ้องคดี แต่ถ้าหากคดีนั้นเป็นคดีที่มีอัตราโทษจ าคุกสูงกว่า ๕ ปี หากมีการฟ้องคดี เข้าสู่การพิจารณาของศาล ในชั้นศาลอาจจะมีดุลพินิจที่จะน าเด็กเข้าสู่กระบวนการแก้ไขบ าบัดฟื้นฟูโดย ผ่านการพิจารณาแทนนี้ หรือแม้แต่เมื่อศาลจะพิพากษา ศาลก็อาจจะกลับมาพิจารณาว่าจะน าเด็กเข้าสู่ กระบวนการพิจารณาแก้ไขบ าบัดฟื้นฟูได้ ย่อมหมายความว่า กระบวนการพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน ต้องหาว่ากระท าความผิดนั้น มุ่งหมายที่จะแก้ไขเด็กเป็นส าคัญมากกว่าที่จะลงโทษเด็ก ดังนั้น ร่างกฎหมาย ว่าด้วยการกระท าผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ฉบับนี้ได้มีส่วนเชื่อมโยงกับคดีเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติ ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ด้วย กล่าวคือ มุ่งหมาย ที่จะน าเด็กเข้าสู่กระบวนการแก้ไขผ่านระบบทางการแพทย์ สาธารณสุข และกระบวนการทางด้านสังคม และจิตวิทยา ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ละเลยที่จะน าเด็กไปสู่การลงโทษ แต่จะน าเด็กไปสู่การแก้ไข เป็นหลัก หลังจากนั้น รองศาสตราจารย์ ดร.พิศวาท สุคนธพันธุ์ อาจารย์ประจ าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และผู้อ านวยการบริหารศูนย์กฎหมายภูมิภาคแม่น้ าโขง ผู้ด าเนินรายการ ได้กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมเสวนาทุกท่านและกล่าวปิดการเสวนา .......................................................


[๓๗] ภาคผนวก ค รายชื่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา คณะอนุกรรมาธิการ และคณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อฯ - คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา - ที่ปรึกษา ผู้ช านาญการ นักวิชาการและเลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ - คณะอนุกรรมาธิการ - คณะท างานเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในเด็กและเยาวชน - ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา


[๓๙] คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ๑. นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการ ๒. พลตรี โอสถ ภาวิไล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง ๓. นางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง ๔. นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม ๕. นางทัศนา ยุวานนท์ เลขานุการคณะกรรมาธิการ ๖. พลเอก ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ โฆษกคณะกรรมาธิการ ๗. นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๘. นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๙. หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๑๐. นายพีระศักดิ์ พอจิต ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๑๑. นางประยูร เหล่าสายเชื้อ กรรมาธิการ ๑๒. นายปรีชา บัววิรัตน์เลิศ กรรมาธิการ ๑๓. นายมณเฑียร บุญตัน กรรมาธิการ ๑๔. นายยุทธนา ทัพเจริญ กรรมาธิการ ๑๕. พลเอก วลิต โรจนภักดี กรรมาธิการ ๑๖. นายอ าพล จินดาวัฒนะ กรรมาธิการ


[๔๐] ที่ปรึกษา ผู้ช านาญการ นักวิชาการ และเลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑. นางจิราภรณ์ เล้าเจริญ ที่ปรึกษาประจ าคณะกรรมาธิการ ๒. นางณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์ ผู้ช านาญการประจ าคณะกรรมาธิการ ๓. นายวงศ์พันธ์ ณธันยพัต ผู้ช านาญการประจ าคณะกรรมาธิการ ๔. นายศุภชัย สถีรศิลปิน ผู้ช านาญการประจ าคณะกรรมาธิการ ๕. นางอุบล หลิมสกุล ผู้ช านาญการประจ าคณะกรรมาธิการ ๖. นายเอกกมล แพทยานันท์ ผู้ช านาญการประจ าคณะกรรมาธิการ ๗. นายสุวัช สิงหพันธุ์ ผู้ช านาญการประจ าคณะกรรมาธิการ ๘. นายอัครเดช สุพรรณฝ่าย ผู้ช านาญการประจ าคณะกรรมาธิการ ๙. นางงามจิต แต้สุวรรณ นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๐. นางสาวบุญชิรา ภู่ชนะจิต นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๑. พันเอก ธนัญชัย พยัตตพงษ์ นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๒. นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๓. พันโท หญิง เรืองพรรษา ชื่นเนียมธรรม นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๔. นายไชยรัตน์ อุดมกิจปัญญา นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๕. นางยุพา สุภอมรพันธุ์ นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๖. นายนิติ ถาวรวณิชย์ นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๗. นางอาทิชา นราวรวัช นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๘. นางสาวบุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๑๙. นางพัฒนฉัตร ภัทรศาศวัตวงศ์ นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๒๐. นางณัฐนันท์ สว่างวงศ์ นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๒๑. นางสาวมาลัย สาแก้ว นักวิชาการประจ าคณะกรรมาธิการ ๒๒. นายรณฤทธิ์ มงคลรัตน์ เลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ ๒๓. นายศุภากร ปทุมรัตนาธาร เลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ ๒๔. นายอาสา วัฒนญานกุล เลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ ๒๕. นางสาวสุภาพิชญ์ ไชยดิษฐ์ เลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ ๒๖. นางสาวโชติกา รักเมือง เลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ


[๔๑] คณะอนุกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน และผู้ด้อยโอกาส ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ประกอบด้วย ๑. นางทัศนา ยุวานนท์ ประธานที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ๒. นายปรีชา บัววิรัตน์เลิศ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการ ประกอบด้วย ๑. นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ๒. พลเอก ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง ๓. นางจิราภรณ์ เล้าเจริญ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่สอง ๔. นายศุภชัย สถีรศิลปิน อนุกรรมาธิการ ๕. นางงามจิต แต้สุวรรณ อนุกรรมาธิการ ๖. นายสถาวร จันทร์ผ่องศรี อนุกรรมาธิการ ๗. นางวรภัทร แสงแก้ว อนุกรรมาธิการ ๘. นายอัครเดช สุพรรณฝ่าย อนุกรรมาธิการ ๙. นายส าราญ อรุณธาดา อนุกรรมาธิการ ๑๐. นายธนะรัตน์ ธาราภรณ์ อนุกรรมาธิการ ๑๑. นางณัฐนันท์ สว่างวงศ์ อนุกรรมาธิการและเลขานุการ ๑๒. นางจิตตินันท์ ศิริอังกานนท์ อนุกรรมาธิการและผู้ช่วยเลขานุการ


[๔๒] คณะอนุกรรมาธิการกิจการสตรี และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ๑. นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธานที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ ๒. นางประยูร เหล่าสายเชื้อ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ๓. นางทัศนา ยุวานนท์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง ๔.. นางจิราภรณ์ เล้าเจริญ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่สอง ๕. นางณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์ อนุกรรมาธิการ ๖. นางงามจิต แต้สุวรรณ อนุกรรมาธิการ ๗. นางณัฐนันท์ สว่างวงศ์ อนุกรรมาธิการ ๘. นางสาวอังคณา ใจกิจสุวรรณ อนุกรรมาธิการ ๙. นางอุไร เล็กน้อย อนุกรรมาธิการ ๑๐. นางสาวพัฐศรา พอจิต อนุกรรมาธิการ ๑๑. นายตรัณ ตระกูลสว่าง อนุกรรมาธิการ ๑๒. นางสาวฉัตรสุดา ศิริวงศ์ อนุกรรมาธิการและเลขานุการ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ประกอบด้วย ๑. นางจิรพรรณ์ อนุศาสน์อมรกุล ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ๒. นางสาวอรณิชชา ภาคพิเศษ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ


Click to View FlipBook Version