The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ม.๖:๕ กลุ่มที่ ๒ เรื่องไตรภูมิพระร่วง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thaweeudomchot, 2023-08-21 10:31:17

ม.๖/๕ กลุ่มที่๒ เรื่องไตรภูมิพระร่วง

ม.๖:๕ กลุ่มที่ ๒ เรื่องไตรภูมิพระร่วง

ตอน มนุสสภูมิ ภู มิ ชั้นมัธ มั ยมศึกษาปีที่ ปีที่ ๖ ห้อง ๕ เสนอ ไไตตรรภูภูภู มิ ภู มิ มิพมิพรระะร่ร่ ร่ วร่ วงง คุณครูชมัย มั พร แก้วปานกัน กั


เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ คณะผู้จัดทำ นางสาวฐิติกาญจน์ ทรัพย์ศิริพันธ์ เลขที่ ๔ นางสาวณัฐฐินันท์ จินดาเลิศ เลขที่ ๖ นางสาวธนัชพร ทองพิกุล เลขที่ ๑๐ นางสาวธนาภรณ์ มากสอน เลขที่ ๑๑ นางสาวนรกมล บุญกล่อม เลขที่ ๑๔ นางสาวริณลดา ครองสมบัติ เลขที่ ๒๓ นางสาวศรุภา ทวีอุดมโชติ เลขที่ ๒๔ นางสาวศิลารักษ์ อมรมโนรม เลขที่ ๒๕ นางสาวสิริกร ปิยะกำ พลชัย เลขที่ ๒๖ นางสาวอรอนงค์ สุวรรณศรี เลขที่ ๓๑ นาย อรรถาวิชญ์ พิมพ์สุภางค์ เลขที่ ๓๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ห้อง ๕ เสนอ คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน วารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ท๓๓๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนสงวนหญิง สำ นักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา สุพรรณบุรี


คำ นำ วารสารเล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ท๓๓๑๐๑ เพื่อให้ได้ศึกษา หาความรู้จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ โดยคณะผู้จัดทำ ได้ทำ การศึกษาผ่านแหล่ง ข้อมูลต่างๆ อาทิเช่น ห้องสมุด หนังสือ และ แหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ ได้วิเคราะห์และ รวบรวมข้อมูล โดยวารสารเล่มนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมา เนื้อเรื่อง ลักษณะคำ ประพันธ์ และคุณค่าของวรรรคดีที่ผู้อ่านจะได้รับ คณะผู้จัดทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า วารสารเล่มนี้ที่ได้จัดทำ ขึ้นจะให้ความรู้และประโยชน์ต่อผู้ที่ สนใจได้อ่านและศึกษาไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ ได้เป็นอย่างดี และ หากมีขอผิดพลาด ประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ คณะผู้จัดทำ ก


สารบัญ เรื่อง หน้า คำ นำ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ก สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข ประวัติความเป็นมา…………………………………………………………………………………..…………………………………….. ๑ ประวัติผู้แต่ง………………………………………………………………………………………………………………………………….. ๒ ลักษณะคำ ประพันธ์………………………………………………………………………………………………………………………... ๓ เนื้อเรื่องเต็ม (แบบย่อ)……………………………………………………………………………………………………………………… ๔ เนื้อเรื่องเต็ม (เฉพาะตอนที่เรียน)……………………………………………………………………………………………………….. ๘ วิเคราะห์คุณค่า.............................................................................................................................................. ๑๐ บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………………………………………………………. ๑๔ ข


ประวัติ วัติ ความเป็น ป็ มา (ที่มา : https://www.thaigoodview.com) ไตรภูมิพระร่วง เดิมเรียกว่า เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิกถา เป็นพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชา ที่ ๑ ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๑๘๖๔ เป็นปีครองราชย์ที่ 6 โดยมีพระประสงค์ที่จะเทศนาโปรดพระมารดา และเพื่อจำ เริญพระอภิธรรม ไตรภูมิ พระร่วงเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถอย่างลึกซึ้ง ในด้านพุทธศาสนาของพระมหา ธรรมราชาลิไทที่ทรงรวบรวมข้อความต่างๆ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา นับแต่พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษต่างๆ มาเรียบเรียงขึ้นเป็นวรรณคดีโลกศาสตร์เล่มแรกที่แต่งเป็นภาษาไทยเท่าทีมีหลักฐาน อยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้ อ.สินชัย กระบวนแสง ได้วิเคราะห์เหตุผลการแต่งไตรภูมิพระร่วงของพระมหาธรรม ราชาลิไท ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองด้วย เนื่องจากไตรภูมิเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนรก-สวรรค์เปรียบ เหมือนพระอาทิตย์ซึ่งโลกมีอยู่ตรงกลางพระอาทิตย์จะไม่เห็นว่าบนโลกมีทั้งความวุ่นวายมีทั้งความสุขเหมือ นๆกัน สอนให้คนรู้จักการทำ ความดีเพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ หากแต่ใครทำ ชั่วประพฤติตนผิดศีลก็จะต้องตกนรก กล่าวคือ ประชากรในสมัยที่พระมหาธรรมราชาลิไทปกครองนั้นเริ่มมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำ ให้การปกครอง บ้านเมืองให้สงบสุขปราศจากโจรผู้ร้ายเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น การดูแลของรัฐก็ไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง พระมหา ธรรมราชาลิไทจึงได้คิดนิพนธ์วรรณกรรมทางศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วงขึ้นมาเพื่อที่ต้องการสอนให้ ประชาชนของพระองค์ทำ ความดี เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์มีชีวิตที่สุขสบาย และหากทำ ความชั่วก็จะต้องตกนรก ด้วยเหตุนี้วรรณกรรมเรื่องไตรภูมิจึงเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมทางสังคมได้เป็นอย่างดียิ่ง เพราะสามารถเข้าถึง จิตใจทุกคนได้โดยมิต้องมีออกกฎบังคับกัน ๑


ประวัติ วัติ ผู้แ ผู้ ต่ง ต่ (ที่มา : https://m.facebook.com/photo.php/?photo_id=74061601324977) พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งกรุงสุโขทัย ในราชวงศ์พระร่วง เมื่อ ครั้งทรงเป็นอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพญาเลอไท และเป็น พระนัดดาของพ่อขุนรามคำ แหงมหาราช ขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช ๑๘๙๐ ต่อจากพญางัวนำ ถม ทรง เฉลิมพระนามว่า พระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช สันนิษฐานว่าช่วงปีสิ้นสุดรัชสมัยอยู่ระหว่างปี พุทธศักราช ๑๙๑๑ – ๑๙๖๖ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ทรงเป็นแบบฉบับของกษัตริย์ในคติธรรมราชา ทรงปกครองบ้านเมือง ด้วยทศพิธราชธรรม ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา ทรงสละราชสมบัติออกผนวช ณ วัดป่ามะม่วง ในปี พุทธศักราช ๑๙๐๕ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงพระผนวชในขณะเสวยราชย์ พระองค์ ทรงมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฏกเป็นอย่างดี ทรงนิพนธ์วรรณกรรมเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง วรรณคดีชิ้น แรกของประเทศไทย ในปีพุทธศักราช ๑๘๘๘ ทรงทำ นุบำ รุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง และพัฒนา บ้านเมืองให้เจริญ ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์นักปราชญ์ เพราะโปรดให้สร้างศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๒ ถึงหลักที่ ๑๐ และจารึกไว้ทั้งภาษาไทย ภาษามคธ และภาษาขอม ๒


ลัก ลั ษณะคำ ประพันธ์ ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ แต่งด้วยคำ ประพันธ์แบบร้อยแก้วประเภทความเรียงสำ นวน พรรณนา ๑. สำ นวนพรรณนา คือ การเขียนข้อความยืดยาว แต่ไม่เรื่อยเจื้อย สำ นวนมีความวิจิตรบรรจง และใช้จินตนาการอย่างมาก ความหมายแจ่มแจ้ง ๒. พรรณนาโวหาร มุ่งให้ความแจ้มแจ้ง ละเอียดลออ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้ง เพลิดเพลิน มุ่งให้ภาพและอารมณ์ จึงมักใช้การเล่นคำ เล่นเสียง ใช้ภาพพจน์ ๓. การใช้อุปมาโวหาร คือ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่ง ในไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ นั้นเปรียบเพื่อสื่อภาพ ให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น มักเป็นความเปรียบง่ายๆ ๓


เนื้อเรื่องเต็ม ต็(แบบย่อ ย่ ) ไตรภูมิพระร่วง มีเนื้อเรื่องเริ่มต้นด้วยคาถานมัสการเป็นภาษาบาลี มีบานแพนกบอกชื่อผู้แต่ง วัน เดือนปีที่แต่ง ชื่อคัมภีร์ต่างๆ บอกจุดมุ่งหมายในการแต่ง แล้วจึงกล่าวถึงภูมิทั้ง 3 คำ ว่าเตภูมิ หรือ ไตรภูมิแปลว่า สามแดนคือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทั้ง ๓ ภูมิแบ่งออกเป็น๘กัณฑ์(กัณฑ์ =เรื่อง,หมวด,ตอน) แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ความไม่แน่นอนท้ังมนุษย์ และสัตว์รวมทั้สิ่งไม่มีชีวิต เช่น ภูเขา แม่น้ำ แผ่นดิน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ความเปลี่ยนแปลงกวีนี้ไทยเรียกว่า“อนิจจลักษณะ” • รูปภูมิมี๑ กัณฑ์เป็นดินแดนของพรหมที่มีรูป มี๑๖ ชั้น (โสฬสพรหม) ๑. รหมปาริสัชชาภูมิ ดินแดนของผู้สำ เร็จปฐมฌานขั้นต้น ๒. พรหมปุโรหิตาภูมิ ดินแดนของผู้สำ เร็จปฐมฌานขั้นกลาง ๓. มหาพรหมาภูมิ ดินแดนของผู้สำ เร็จปฐมฌานขั้นสูง ๔. ปริตตาภาภูมิ ดินแดนของผู้สำ เร็จทุติยฌานขั้นต้น ๕. อัปปมาณาภาภูมิ ดินแดนของผู้สำ เร็จทุติยฌานขั้นกลาง ๖. อาภัสสราภูมิ ดินแดนของผู้สำ เร็จทุติยฌานขั้นสูง ๗. ปริตตสุภาภูมิ ดินแดนของผู้สำ เร็จตติยฌานขั้นต้น ๘. อัปปมาณสุภาภูมิ ดินแดนของผู้สำ เร็จตติยฌานขั้นกลาง ๙. สุภกิณหาภูมิ ดินแดนของผู้สำ เร็จตติยฌานขั้นสูง ๑๐. เวหัปปผลาภู ดินแดนของผู้สำ เร็จจตุตฌาน มีผลไพบูลย์ พ้นจากการทำ ลายของน้ำ ลม ไฟ ๑๑. อสัญญีสัตตาภูมิ ดินแดนของพรหมไร้นาม มีร่างกายสง่างาม ๑๒. อวิหาภูมิ ดินแดนของพระอรหันต์ขั้นอนาคามี เคยเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ๑๓. อตัปปาภูมิ ดินแดนของพรหมผู้ไม่เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ เพราะสามารถระงับนิวรณ์ได้ ๑๔. สุทัสสาภูมิ แดนของผู้เห็นสภาวธรรมแจ้งชัด ๑๕. สุทัสสีภูมิ แดนของพรหมผู้เห็นธรรมแจ่มแจ้ง ๑๖. อกนิฎฐาภูมิ แดนของพรหมที่มีคุณสมบัติมากพอจะนิพพานได้ ๔


• อรูปพรหมภูมิ มี๑ กัณฑ์เป็นสถานที่อยู่ของอรูปพรหมซึ่งเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้เจริญภาวนา จนกระทั่งทำ อรูปฌานให้บังเกิดขึ้นได้ เมื่อละโลกแล้วจึงมาบังเกิดเป็นอรูปพรหมอยู่ในชั้นต่างๆ ตามกำ ลังความ แก่อ่อนของฌานของตน อรูปภพมีทั้งหมด ๔ ชั้น มีทิพยสมบัติทั้งหลายที่ละเอียดประณีตมากกว่าในรูปภพ หลายเท่า ๑. อากาสานัญจายตนภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน หรืออรูปฌานที่ 1 คือ บำ เพ็ญฌานโดยเอาอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ ภูมินี้อยู่สูงจากอกนิฏฐสุทธาวาสภูมิขึ้นมา ห้าล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ อรูปพรหมในชั้นนี้มีอายุ 20,000 มหากัป ๒. วิญญาณัญจายตนภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน หรืออรูปฌานที่ 2 คือ บำ เพ็ญฌานโดยเอาความรู้สึกว่ามีอากาศมาเป็นอารมณ์ ภูมินี้อยู่สูงจากอากาสานัญจายตนภูมิ ขึ้นมาห้าล้าน ห้าแสนแปดพันโยชน์ อรูปพรหมในชั้นนี้มีอายุ 40,000 มหากัป ๓. อากิญจัญญายตนภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน หรืออรูปฌาน ที่3 คือ บำ เพ็ญฌานโดยเอาความว่างที่ละเอียดยิ่งกว่าอากาศ (อวกาศ) ที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยเป็นอารมณ์ ภูมินี้อยู่ สูงจากวิญญาณัญจายตนภูมิขึ้นมาห้าล้านห้าแสนแปดพันโยชน์ อรูปพรหมในชั้นนี้มีอายุ 60,000 มหากัป อาฬา รดาบส กาลามโคตร ซึ่งเป็นอาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งทรงออกแสวงหาโมกขธรรม เมื่อละโลกแล้ว ก็มาบังเกิดเป็นอรูปพรหมในชั้นนี้ ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานหรืออรูปฌาน ที่ 4 คือ บำ เพ็ญฌานโดยเอาความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยละทิ้งไป เอาความรู้สึกที่นิ่งสนิท มีแต่สัญญา อย่างละเอียดเป็นอารมณ์ ภูมินี้อยู่สูงจากอากิญจัญญายตนภูมิขึ้นมาห้าล้านห้าแสนแปดพันโยชน์ เป็นอรูปภูมิ ชั้นที่สูงที่สุด และเป็นภูมิที่อยู่สูงกว่าภูมิใดๆ ในภพ 3 อรูปพรหมในชั้นนี้มีอายุ 84,000 มหากัป อุททกดาบส รามบุตร ซึ่งเป็นอาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อครั้งทรงออกแสวงหาโมกขธรรม เมื่อละโลกแล้วก็มาบังเกิด เป็นอรูปพรหมในชั้นนี้ ๕


• กามภูมิ มี๖ กัณฑ์คือ ภูมิระดับล่าง และมีทั้งสิ้น ๑๑ ภูมิแบ่งออกเป็น อบายภูมิและ สุคติภูมิ ๑. อบายภูมิ เป็นภูมิของความชั่วร้ายต่างๆ นรกภูมิ คือภูมิชั้นต่ำ ที่สุดในอบายภูมิ ที่ยั่งลึกซ้อนกันลงไปอีกถึง ๘ ขุม ขุมที่ ๑ สัญชีพนรก เป็นโจรปล้นทำ ลายทรัพย์สิน ผู้มีอำ นาจข่มเหงผู้ ต่ำ ต้อยกว่า ขุมที่ ๒ กาฬสุตตะนรก ฆ่านักบวช ภิกษุ สามเณร ผู้ทุศีล อลัชชี ขุมที่ ๓ สังฆาฏนรก เป็นพรานนก พรานเนื้อ หรือพวกที่ชอบทรมาน เบียดเบียนสัตว์ที่ตนใช้ประโยชน์ เช่น วัว ควาย โดยขาดความเมตตาสงสาร ขุมที่ ๔ โรรุวะนรก พวกเมาสุราอาละวาด ทำ ร้ายร่างกาย พวกเผาไม้ ทาลายป่า พวกกักขังสัตว์ไว้ฆ่า ขุมที่ ๕ มหาโรรุวะนรก พวกลักเครื่องสักการบูชา ขโมยทรัพย์สมบัติ ของพ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือภิกษุสามเณร นักบวชต่าง ๆ ขุมที่ ๖ ตาปะนรก พวกเผาบ้านเผาเมือง เผาโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ ขุมที่ ๗ มหาตาปะนรก พวกมิจฉาทิฏฐิกบุคคล เห็นผิดเป็นชอบ ไม่รู้จักสิ่งดีมีประโยชน์ ปฏิเสธเรื่องบุญ เรื่องบาป ทำ แต่ทุจริตกรรม ขุมที่ ๘ อเวจีมหานร พวกทำ บาปหนักที่เป็นอนันตริยกรรมได้แก่ ฆ่าบิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำ ให้พระพุทธเจ้า ห้อพระโลหติ ทำ สังฆเภท คือ ยุยงให้สงฆ์แตกกัน พวกทำ ลายพระพุทธรูป - ดิรัจฉานภูมิ สัตว์ที่เกิดในภูมินี้ เป็นสัตว์ที่มีตีและไม่มีตีน เวลาเดินออกคว่ำ ลง ได้แก่ ครุฑ นาค สิงห์ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ด ไก่ นก แมลง ดำ รงชีวิตด้วย กามสัญญา อาหารสัญญา มรณสัญญา มักไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักค้าขาย ทำ ไรไถนา ล่ากินกันเอง - เปรตภูมิ ผู้ที่ทำ บาปหยาบช้าจะเกิดในภูมินี้ แล้วแต่บาปที่กระทำ เช่น ตัวงานดั่งทองแต่ปากเหม็นเต็มไปด้วยหนอน เนื่อง เพราะเคยบวชรักษาศีล แต่ชอบอยู่ให้หมู่สงฆ์ผิดใจกัน เมื่อก่อนได้บวชรักษาศีลบริสุทธิ์ แต่ด่าว่าครูบาอาจารย์และ พระสงฆ์ผู้มีศีล บางตัวผอมโซกินลูกตัวเองที่คลอดออกมา เพราะเคยรับทำ แท้งให้ชาวบ้าน บางตัวสูงเท่าต้นตาล ผมหยาบตัวเหม็น อดอยากไม่มีข้าวน้ำ กิน ๖


— อสูรกายภูมิ มี ๒ จำ พวก คือ กาลกัญชกาอสูรกาย ร่างกายผอมสูง ๒,๐๐๐ ว่า ไม่มีเลือด ไม่มีเนื้อ ดังไม้แห้ง ตาเล็ก เท่าตะปุ ปากเท่ารูเข็ม ตาและปากอยู่เหนือกระหม่อม เวลากินต้องหัวลง ตีนชี้ฟ้า ลำ บากนักหนา ส่วนอีก ประเภทอสูรกาย ตัวสูงหน้าตาน่าเกลียด ท้องยาน ฝีปากใหญ่ หลังหัก จมูกเบี้ยว แต่ยังมีช้างม้า ข้าไท มี รี้พล ดั่งพระอินทร์ อยู่ในอสูรพิภพ. ๒. สุคติภูมิ เป็นภูมิชั้นสูงขึ้นมา แบ่งออกเป็น ภูมิมนุษย์ ๑ และภูมิของเทวดา อีก ๖ ชั้น (ภูมิเทวดาทั้ง ๖ รวมเรียกว่า ฉกามาพจร) ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในภามภูมิ คือยังหลงมัวเมาอยู่ในกามกิเลส - มนุสสภูมิ ภูมิของมนุษย์เป็นภูมิระดับสุงกว่าอบายภูมิ เป็นชั้นแรกของสุคติภูมิ แต่ยังรวมอยู่ภูมิใหญ่ คือ กามภูมิ สัตว์ อันเกิดในมนุยภูมินี้ แรกก่อกำ เนิดในครรภ์เรียก กลละ(รูปเมื่อเริ่มในครรภ์) มีรูป ๘ คือ ปฐวีรูป(ดิน), อาโป รูป(น้ำ ), เตโชรูป(ความร้อน), วาโยรูป(ลม), กายรูป(ตัวตน), ภาวรูป(เพศ), หทัยรูป(ใจ), ชีวิตรูป(ชีวิต), ก่อ กำ เนิดจาก ๓ สิ่งก่อนคือ กายรูป ภาวรูป หทัยรูป ผสมรวมกันเป็นหนึ่งแล้วรวมกับ ปฐวี อาโป เตโช วาโย วณโน คนโธ รโส โอชา ประกอบกันเป็นองค์ ๙ แล้ว จักษุ(ตา), โสต(หู), ฆาน(จมูก), ชิวหา(ลิ้น) - ฉกามาพจร หรือ จาตุมหาราชิกา-ดาวดึงส์ภูมิ เป็นแดนของเทวดาที่ยังเกี่ยวข้องในกามมี ๖ ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา,ดาวดึงส์,ยามา,ดุสิต,นิมมานรดี และปรนิมมิตสวัตดี ๗


เนื้อเรื่องเต็ม (เฉพาะตอนที่เ ที่ รียน) ไตรภูมิ ภู มิ พระร่วง ตอน มนุสสภูมิ ภู มิ ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวันแลน้อย ครั้นถึง ๗ วัน เป็นดั่งน้ำ ล้างเนื้อนั้นเรียกว่าอัมพุทะ อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้ ครั้นได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วอัน เชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่เรียกว่าฆนะ ฆ นะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง ๗ วันเป็นตุ่มออกได้ ๕ แห่งดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจสาขาหูด นั้นเป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน ๒ อัน หูดเป็นหัวนั้นอันหนึ่ง แลแต่นั้นค่อยไปเบื้องหน้าทุกวัน ครั้นถึง ๗ วันเป็น ฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ แต่นั้นไปถึง ๗ วัน คำ รบ ๔๒ จึงเป็นขน เป็นเล็บตีน เล็บมือ เป็นเครื่องสำ หรับเป็นมนุษย์ ถ้วนทุกอันแล แต่รูปอันมีกลางคนไสร้ ๕๐ แต่รูปอันมีหัวได้ ๘๔ แต่รูปอันมีเบื้องต่ำ ได้ ๕๐ ผสมรูปทั้งหลาย อันเกิดเป็นสัตว์อันอยู่ในท้องแม่ได้ ๑๘๔ แลกุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อหนังท้องแม่ อาหาร อันแม่กินเข้าไปแต่ก่อนนั้นอยู่ใต้กุมารนั้น อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารนั้น เมื่อกุมารอยู่ในท้อง แม่นั้นลำ บากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดแลเอือนอันได้ ๘๐ ครอก ซึ่ง อยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ใน ท้องแม่ ตืดแลเอือนฝูงนั้นเริมตัวกุมารนั้นไสร้ ดุจดั่งหนอนอันอยู่ในปลาเน่า แลหนอนอันอยู่ในลามกอาจม นั้นแล อันว่าสายสะดือแห่งกุมารนั้นกลวงดั่งสายก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบน ติดหลังท้องแม่แลข้าวน้ำ อาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำ ชุ่มเข้าไปในไส้ดือนั้น แลเข้าไปในท้อง กุมารนั้นแล สะหน่อยๆ แลผู้น้อยนั้นก็ได้กินทุกค่ำ เช้าทุกวัน แม่จะพึงกินเข้าไปอยู่เหนือกระหม่อมทับหัวกุมาร อยู่นั้นแล แลลำ บากนักหนา แต่อาหารอันแม่กินก่อนไสร้ แลกุมารนั้นอยู่เหนืออาหารนั้น เบื้องหลังกุมารนั้น ต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำ มือทั้งสอง คู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อ นั่งอยู่นั้นดั่งนั้น เลือดแลน้ำ เหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล ดุจดั่งลิงเมื่อฝนตก แลนั่งกำ มือเซาเจ่า อยู่ในโพรงไม้นั้นแล ในท้องแม่นั้นร้อนนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้มในหม้อนั้นไสร้ สิ่งอาหาร อันแม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ด้วยอำ นาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัวกุมารนั้นบมิไหม้ เพราะ ว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตายเพื่อดั่งนั้นแล แต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียดตีนมือออกดั่งเราท่านทั้งหลายนี้สักคาบหนึ่งเลย แลกุมารนั้น เจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจ แลเดือดเนื้อเดือดใจนักหนา เหยียดตีนมือบ่มิได้ ดั่งท่านเอาใส่ไว้ในที่คับ ผิแลว่าเมื่อแม่เดินไปก็ดี นอนก็ดี ฟื้นตนก็ดี กุมารอยู่ในท้องแม่นั้นให้เจ็บเพียงจะตายแล ดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธรห้อย ผิบ่มิดุจดั่งคนอันเมาเหล้า ผิบ่มิดุจดั่งลูกงูอันหมองูเอาไปเล่นนั้นแล อันอยู่ลำ บากยากใจ ๘


ดุจดั่งนั้น บ่มิได้ลำ บากแต่ ๒ วาร ๓ วารแลจะพันได้เลย อยู่ยากแล ๗ เดือน ลางคาบ ๘ เดือน ลาง คน ๙ เดือน ลางคน ๑๐ เดือน ลางคน ๑๑ เดือน ลางคนดำ รบปีหนึ่งจึงคลอดก็มีแล คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนแลคลอดนั้น บ่ห่อนจะได้สักคาบ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๗ เดือนแล คลอดนั้น แม้เลี้ยงเป็นคนก็ดี บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มิทนแดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดนั้น เมื่อ คลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแลกระหนกระหาย อีกเนื้อแม่ นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั้น เมื่อจะคลอดออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อ เย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขสำ ราญบานใจ แลเนื้อแม่นั้นก็เย็นด้วยโสด คนผู้อยู่ในท้อง แม่ก็ดี เมื่อถึงจักคลอดนั้นก็ดี ด้วยกรรมนั้นกลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึ่ง พัดให้ตัวกุมารนั้นขึ้นหนบน ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั้น ดุจดั่งฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรกนั้น อันลึกได้แลร้อย วานั้น เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยากลำ บากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล ครั้นออกจากท้องแม่ไสร้ ลมอันมีในท้องผู้น้อยค่อยพัดออกก่อน ลมอันมีภายนอกนั้น จึงพัดเข้านั้นนักหนา พัดเข้าถึงต้นลิ้นผู้ น้อยจึงอย่า ครั้นออกจากท้องแม่ แต่นั้นไปเมือหน้ากุมารนั้นจึงรู้หายใจเข้าออกแล ผิแลคนอันมาแต่ นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันคำ นึงถึงความอันลำ บากนั้น ครั้นว่าออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่ สวรรค์ แลคำ นึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแล แต่คนผู้มาอยู่ในแผ่น ดินนี้ทั่วทั้งจักรวาลอันใดอันอื่นก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่ก็ดี เมื่ออยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อออกจาก ท้องแม่ก็ดี ในกาลทั้ง ๓ นั้นย่อมหลงบ่มิได้คำ นึงรู้อันใดสักสิ่ง ฝูงอันมาเกิดเป็น พระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์อัครสาวก เจ้าก็ดี เมื่อ ธ แรกมาเอาปฏิสนธินั้นก็ดี เมื่อ ธ อยู่ในท้องแม่นั้นก็ดี แลสองสิ่งนี้ เมื่ออยู่ในท้องแม่นั้นบ่ห่อนจะรู้หลง แลยังคำ นึงรู้อยู่ทุกอัน เมื่อจะออกจากท้องแม่ วันนั้นไสร้ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั้นลงมาสู่ที่จะออก แลคับแคบแอ่นยันนักหนา เจ็บเนื้อเจ็บตนลำ บากนัก ดั่งกล่าวมาแต่ก่อน แลพลิกหัวลงบ่มิได้รู้สึกสักอัน บ่เริ่มดั่งท่าน ผู้จะออกมาเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี ผู้จะมาเกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ดี คำ นึงรู้สึก ตนแลบ่มิหลงแต่สองสิ่งนี้คือ เมื่อจะเอาปฏิสนธิแลอยู่ในท้องแม่นั้นได้แล เมื่อจะออกจากท้องแม่นั้นย่อมหลงดุจคนทั้งหลายนี้เเล ส่วนว่าคนทั้งหลายนี้ไสร้ ย่อมหลงทั้ง ๓ เมื่อ ควรอิ่มสงสารแล ๙


วิเคราะห์คุณ คุ ค่า ค่ ๑.ด้านเนื้อหา ลักษณะคำ ประพันธ์ ร้อยแก้ว ประเภทความเรียงสำ นวนพรรณนา จุดมุ่งหมายในการแต่ง มี ๒ ประการ เพื่อเทศนาโปรดพระมารดา เป็นการเจริญธรรมกตัญญูประการหนึ่ง อีกประการ หนึ่ง เพื่อใช้สั่งสอนประชาชนให้มีคุณธรรม เข้าใจพุทธศาสนา และช่วยกันดำ รงพุทธศานาไว้ให้มั่นคง ทวีปที่มนุษย์อาศัยอยู่มี ๔ ทวีป ได้แก่ ๑. อุตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้า เป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ มีอายุ ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี เป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ อาศัยอยู่ตาม โพรงไม้ ไม่ต้องทำ งานใด ๆ แต่งตัวสวยงาม มีกับข้าวและที่นอนเกิดขึ้นตามใจปรารถนา ที่มา https://images.app.goo.gl/ST1rTJmdwabhDXkW7 ๒. บูรพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออก ของภูเขาพระสุเมรุ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมา เหมือนบาตร มีอายุ ประมาณ ๗๐๐ ปี ที่มา https://images.app.goo.gl/GGkim62Vnf7xwvF47 ๑๐


๓. อมรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตก ของภูเขาพระสุเมรุ มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ มีอายุ ประมาณ ๕๐๐ ปี ที่มา https://images.app.goo.gl/xHJnwvJt7tB4VTT97 ๔. ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ ของภูเขาพระสุเมรุ คือ มนุษย์โลกนี้เอง อายุขัยไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการ ทำ บุญหรือทำ กรรม แต่ทวีปนี้ก็พิเศษกว่า ๓ ทวีปคือ เป็นที่เกิดของพระพุทธเจ้า พระจักรพรรดิราช และพระอรหันต์ ที่มา https://images.app.goo.gl/iXbKHX4VBSqKJM6e6 อิทธิพลต่อวรรณคดีอื่น มีหนังสืออ้างอิงทำ นองไตรภูมิพระร่วง ที่มีผู้แต่งเลียนแบบอีกหลายเล่ม เช่น จักรวาลทีปนี ของ พระสิ ริมังคลาจารย์แห่งเชียงใหม่ไตรภูมิโลกวินิจฉัย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเล่า เรื่องไตรภูมิ เป็นต้น ไตรภูมิพระร่วงมีอิทธิพลสำ คัญต่อแนวคิดของกวีรุ่นหลัง โดยนำ ความคิดในไตรภูมิพระร่วงสอดแทรกใน วรรณคดีต่าง ๆ เช่น ลิลิตโองการแช่งน้ำ มหาเวสสันดรชาดก รามเกียรติ์ กากีคำ กลอนขุนช้างขุนแผน ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้ ลิลิตโองการแช่งน้ำ กล่าวถึงไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก " นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์ จักร่ำ จักรพาฬหเมื่อไหม้ กล่าวถึงตะวันเจ็ดอันพลุ่ง น้ำ แล้งไข้ขอดหาย " รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ กล่าวถึงทวีปทั้ง ๔ ว่า " สำ แดงแผลงฤทธิ์ฮีกฮัก ขุนยักษ์ไล่ม้วนแผ่นดิน ชมพูอุดรกาโร อมรโคยานีก็ได้สิ้น " ๑๑


๒.คุณค่าด้านวรรณศิลป์ เป็นวรรณคดีเล่มแรกที่เรียบเรียงในลักษณะการค้นคว้าจากคัมภีร์ต่าง ๆ ถึง ๓๐คัมภีร์ จึงมีศัพท์ ทางศาสนาและภาษาไทยโบราณอยู่มาก สามารถนำ มาศึกษาการใช้ภาษาในสมัยกรุงสุโขทัย ตลอดจนสำ นวน โวหารต่าง ๆ ไตรภูมิพระร่วงมีสำ นวนหนักไปในทางศาสนาโวหารและพรรณนาโวหาร ผูกประโยคยาว และใช้ ถ้อยคำ พรรณนาดีเด่น สละสลวยไพเราะ ก่อให้เกิดความรู้สึกด้านอารมณ์สะเทือนใจและให้จินตภาพหรือ ภาพในใจอย่างเด่นชัด เช่น " บ้างเต้นบ้างรำ บ้างฟ้อน ระบำ บันลือเพลงดุริยดนตรี บ้างดีดบ้างสีบ้างตีบ้างเป่า บ้างขับศัพท์สำ เนียง หมู่นักคุณจุณกันไปเดียรดาษพื้น ฆ้องกลองแตรสังข์ระฆังกังสดาลมโหระทึกกึกก้องทำ นุ กดี ที่มีดอกไม้อันตระการ่ต่าง ๆ สิ่ง มีจวงจันทน์กฤษณาคันธาทำ นอง ลบองดังเทพยดาในเมืองฟ้า สนุกนี้ ทุกเมื่อบำ เรอกันบมิวาย " - ด้านวรรณคดี เป็นความเรียงที่มีสัมผัสคล้องจอง มีความเปรียบเทียบที่ให้อารมณ์และเกิดจินตภาพชัดเจน เป็นภาพพจน์เชิง อุปมาและภาษาจินภาพ เห็นความงดงามของภาษา - ด้านศาสนา เป็นปรัชญาทางพระพุทธศาสนาชี้ให้เห็นแก่นแท้ของชีวิตอาจนำ มนุษยชาติให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร - ด้านจริยธรรม ไตรภูมิพระร่วงกำ หนดกรอบแห่งความประพฤติเพื่อให้สังคมมีความสงบสุขผู้ปกครองแผ่นดินต้องมีคุณธรรม - ด้านประเพณีและวัฒนธรรม ความเชื่อที่ปรากฏในเรื่องไตรภูมิพระร่วงยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ประเพณีงานศพ ภาพนรกและ สวรรค์ก่อให้เกิดผลงานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และ สถาปัตยกรรมจนถึงปัจจุบัน ๑๒


๓.ด้านสังคม ๓.๑ คำ สอนทางศาสนา ไตรภูมิพระร่วงสอนให้คนทำ บุญละบาป เช่น การทำ บุญรักษาศีลเจรฐสมาธิภาวนาจะได้ขึ้นสวรรค์ การทำ บาปจะตกนรก แนวความคิดนี้มีอิทะพลเหนือนจิตใจของคนไทยมาช้านาน เป็นเสมือนแนวการสอนศีล ธรรมของสังคม ให้คนปฏิบัติชอบซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่มา : https://images.app.goo.gl/TZjinScFSgupwZSR8 ๓.๒ ค่านิยมเชิงสังคม อิทธิพลของหนังสือเล่มนี้ให้ค่านิยมเชิงสังคมต่อคนไทย ให้ตั้งมั่นและยึดมั่นในการเป็นคนใจบุญ มีเมตตากรุณา รักษศีล บำ เพ็ญทาน รู้จักเสียสละ เชื่อมั่นในผล แห่งกรรม ที่มา : https://images.app.goo.gl/YYkQN2q6DaxBPSgH6 ๓.๓ ศิลปกรรม จิตรกรนิยมนำ เรื่องราวและความคิดในไตรภูมิพระร่วงไปเขียนภาพสีไว้ในโบสถ์วิหาร โดยจะเขียน ภาพนรกกไว้ที่ผนังด้านล่างหรือหลังองค์พระประธาน และเขียนภาพสวรรค์ไว้ที่ผนังเบื้องบนรอบโบสถ์วิหาร ที่มา : http://www.digitalschool.club/digitalschool.php ๑๓


กิจกรรมในงาน จาก คุณครู ชมัยพร แก้วปานกัน(๒๕๖๖). สื่อการเรียนการสอน. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม ๒,๒๕๖๖, จาก สไลด์สื่อการเรียนการสอน ของคุณครู ชมัยพร แก้วปานกัน หน้า ๗ และ หน้า ๒๗ นามานุกรมวรรณคดีไทย(๒๕๕๘). พญาลิไท. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม ๒,๒๕๖๖, จาก https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/cre_det.php?cr_id=149 ประยุทธ์ ปยุตโต(๒๕๒๘). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม ๒,๒๕๖๖, จาก หนังสือพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พศวีร์ ตระกูล (ไม่ระบุ). พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท). สืบค้นเมื่อ สิงหาคม ๒,๒๕๖๖, จาก https://photbo.wordpress.com/%E0%B8% นามานุกรมวรรณคดี ไทย(๒๕๕๘). พญาลิไท. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม ๒,๒๕๖๖, จาก https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/cre_det.php?cr_id=149 anyflip (๒๕๖๕). ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม ๒,๒๕๖๖, จาก https://anyflip.com/ahgfl/ukmb/basic Chisanucha(ไม่ระบุ). ไตรภูมิ พระร่วง เรียนรู้วรรณคดีเก่าแก่จากสมัยสุโขทัย. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม ๒,๒๕๖๖, ๑๔


Click to View FlipBook Version