The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 46822, 2021-01-06 12:55:31

Organ System unit 13-17

Organ System unit 13-17

Organ System

(Unit 13 – 17)

จดั ทำโดย
ณฐั ชนน กล่ินชื่น ช้นั ม.5/4 เลขที่ 19

Unit 13

Digestive system

(ระบบยอ่ ยอำหำร)

Stomach กระเพาะอาหาร เป็นอวยั วะของทางเดนิ อาหารท่เี กี่ยวขอ้ งกบั กระบวนการยอ่ ย
อาหารท่ผี า่ นการเคีย้ วภายในชอ่ งปากมาแลว้ กระเพาะอาหารยงั เป็นอวยั วะท่มี ี
สภาพแวดลอ้ มเป็นกรด

Larynx กลอ่ งเสียง เป็นอวยั วะสาคญั อยา่ งหน่ึงของรา่ งกาย มหี นา้ ท่สี าคญั ๓ อย่าง คือ ๑.
Ingestion ปอ้ งกนั อาหารไมใ่ หต้ กไปในหลอดลมขณะรบั ประทานอาหาร ๒. เป็นทางผ่านของ
อากาศในการหายใจ และ ๓.เป็นสว่ นสาคญั ในการเกดิ เสยี ง

Ingestion ความหมายคอื การรบั ประทาน, กลืนกินเขา้ ไวภ้ ายในเซลล,์ การกิน,
การกลืน, การกลืนกิน

Defaecation Defecation ความหมายคอื อจุ จาระ,การถา่ ย,การถา่ ยอจุ จาระ,ถา่ ยอจุ จาระ

Pharynx คอหอยเป็นส่วนหนง่ึ ของระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินหายใจของสงิ่ มีชวี ติ
Jejunum หลายชนิด เน่อื งจากทง้ั อาหารและอากาศตา่ งผ่านเขา้ สคู่ อหอย รา่ งกายมนษุ ยจ์ งึ มี
Caecum แผน่ เนอื้ เย่อื เกี่ยวพนั เรียกวา่ ฝาปิดกลอ่ งเสียง (epiglottis) ปิดชอ่ งทอ่ ลมเม่ือมกี าร
กลืนอาหาร เพ่อื ป้องกนั การสาลกั ในมนษุ ย์ คอหอยยงั มคี วามสาคญั ในการออกเสยี ง

ลาไสเ้ ล็กส่วนกลางอย่รู ะหวา่ งลาไสเ้ ลก็ สว่ นตน้ และลาไสเ้ ล็กสว่ นปลาย ในมนษุ ยโ์ ต
เต็มวยั ลาไสเ้ ลก็ มคี วามยาวประมาณ 6-7 เมตร สองในหา้ ของความยาวลาไสเ้ ลก็ คอื
ความยาวของลาไสเ้ ลก็ ส่วนกลาง ซ่งึ เท่ากบั ความยาวประมาณ 2.5 เมตร โดยลาไส้
เล็กสว่ นกลางนเี้ ป็นสว่ นทม่ี ีวิลไลมากท่ีสดุ และมีการดดู ซมึ มากท่สี ดุ ดว้ ย

กระเปาะลาไสใ้ หญ่ หรือ ซีกมั (Caecum) เป็นลาไสใ้ หญ่สว่ นแรก ต่อจากลาไสเ้ ล็ก
ส่วนไอเลยี ม ทาหนา้ ท่รี บั กากอาหารจากลาไสเ้ ล็ก ท่ซี กี มั มสี ่วนของไสต้ ่งิ
(Vermifrom appendix) ย่ืนออกมา

Duodenum ดโู อดนี มั (Duodenum) ยาวประมาณ 30 เซนตเิ มตร มรี ูปรา่ งเหมือนตวั ยคู ลมุ อยู่
Pancreas รอบๆบรเิ วณสว่ นหวั ของตบั ออ่ น (Pancreas)ภายในดโู อดีนมั มตี อ่ มสรา้ งนา้ ยอ่ ย
และเป็นตาแหนง่ ท่ขี องเหลวจากตบั อ่อนและนา้ ดจี ากตบั มาเปิดเขา้ จึงเป็นตาแหนง่
ท่มี กี ารย่อยเกดิ ขนึ้ มากท่สี ดุ

ตบั อ่อน เป็นอวยั วะซ่งึ เป็นตอ่ มในระบบยอ่ ยอาหารและระบบต่อมไรท้ อ่ ในสตั วม์ ี
กระดกู สนั หลงั ในมนษุ ย์ ตบั ออ่ นอย่ใู นช่องทอ้ งหลงั กระเพาะอาหาร เป็นต่อมไรท้ ่อ
ซ่งึ ผลติ ฮอรโ์ มนสาคญั หลายชนดิ รวมถงึ อนิ ซลู ิน กลคู ากอน โซมาโตสเตตนิ และ
แพนครเิ อตกิ พอลเิ พพไทดซ์ ง่ึ ไหลเวียนอย่ใู นเลือด ตบั ออ่ นเป็นอวยั วะย่อยอาหาร
โดยหล่งั นา้ ยอ่ ยตบั ออ่ นซเึ อนไซมย์ อ่ ยอาหารท่ชี ว่ ยการยอ่ ยและดดู ซมึ สารอาหารใน
ลาไสเ้ ลก็ เอนไซมเ์ หลา่ นชี้ ่วยสลายคารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และลพิ ดิ ในไคม์ (chyme)

Gallbladder ถงุ นา้ ดี (Gallbladder) คอื อวยั วะบรเิ วณช่องทอ้ งท่ที าหนา้ ท่ใี นการกกั เก็บนา้ ดี ทา
ใหน้ า้ ดเี ขม้ ขน้ เพ่อื พรอ้ มสาหรบั ยอ่ ยไขมนั

Unit 14

Respiratory system

(ระบบหำยใจ)

Air sac ถงุ ลม (ของนก) : ถงุ ท่แี ยกออกไปจากปอดและขว้ั ปอดหลายถงุ มีแขนงตดิ ต่อไปถงึ
Alveolus ช่องกลวงของกระดกู ทาหนา้ ทเ่ี ป็นผชู้ ว่ ยปอด โดยทาใหป้ อดไดร้ บั ออกซเิ จนอยู่
Nasal cavity ตลอดเวลา เป็นประโยชนใ์ นการบินของน

ถงุ ลม, ถงุ ท่มี ผี นงั เป็นเย่ือบาง ๆ ยืดหยนุ่ ได้ อย่ปู ลายสดุ ของแขนงขว้ั ปอด รอบ ๆ ถงุ
มหี ลอดเลอื ดฝอยหมุ้ อย่เู ป็นจานวนมาก เป็นท่แี ลกเปลยี่ นแก๊สออกซิเจนและ
คารบ์ อนไดออกไซด์

พรงจมกู แบง่ ออกเป็นส่วนผนงั ดา้ นขา้ งของโพรงจมกู (lateral nasal wall) อยทู่ าง
ดา้ นขา้ งทงั้ ซา้ ยและขวา และผนงั กนั้ ช่องจมกู (septum) อยตู่ รงกลาง

Trachea หลอดลม เป็นส่วนหนง่ึ ของระบบหายใจ มีหนา้ ท่หี ลกั คอื การนาสง่ อากาศจาก
Emphysema ภายนอกรา่ งกายเขา้ ส่ปู อดเพ่อื ทาหนา้ ท่ใี นการแลกเปลี่ยนกา๊ ซออกซิเจนเขา้ สเู่ ลอื ด
Gill และนาก๊าซคารบ์ อนไดออกไซดอ์ อกจากรา่ งกาย หลอดลมของมนษุ ยเ์ รม่ิ ตงั้ แต่ส่วนท่ี
ตอ่ จากกลอ่ งเสียง (Larynx) ลงไปสนิ้ สดุ ท่ีถงุ ลม

โรคถงุ ลมโป่งพอง (Emphysema) ถือเป็นสว่ นหนงึ่ ของโรคปอดอดุ กนั้ เรอื้ รงั ซ่งึ โรค
ปอดอดุ กนั้ เรอื้ รงั ประกอบไปดว้ ยโรคหลอดลมอกั เสบและถงุ ลมโป่งพอง โดยปกติแลว้
จะพบลกั ษณะของ 2 โรคนรี้ ว่ มกนั แตห่ ากตรวจพบว่าปอดมีพยาธิสภาพของถงุ ลมท่ี
โป่งพองออกเป็นลกั ษณะเด่น กจ็ ะเรียกวา่ “โรคถงุ ลมโป่งพอง” สาเหตหุ ลกั เกดิ จากการ
สบู บหุ รี่

เหงือก : อวยั วะทใ่ี ชส้ าหรบั หายใจของสตั วบ์ างชนิดท่ีอาศยั อย่ใู นนา้ เชน่ ปลา กงุ้ ปู
เป็นตน้

Pneumonia ปอดบวม หรอื ปอดอกั เสบ (pneumonia) เป็นโรคท่เี กิดจากการอกั เสบของ เนอื้
ปอดบรเิ วณหลอดลมฝอยสว่ นปลาย (terminal และ respiratory bronchiole)
ถงุ ลม (alveoli) และเนอื้ เยอ่ื รอบถงุ ลม (interstitium) ซง่ึ มสี าเหตจุ ากการตดิ เชือ้

Asthma โรคหอบหืด (asthma) เป็นโรคท่มี ีการอกั เสบเรอื้ รงั ของเย่ือบหุ ลอดลม รว่ มกบั
Bronchi ภาวะผิดปกตขิ องหลอดลมท่ไี วตอ่ สิง่ กระตนุ้ ตา่ งๆ มากกวา่ ปกติ เม่ือผปู้ ่วยสมั ผสั
Bronchiole กบั สิ่งกระตนุ้ กลา้ มเนอื้ บรเิ วณหลอดลมจะเกิดการหดเกรง็ ผนงั หลอดลมบวมหนา
ขนึ้ และสรา้ งสารคดั หล่งั หรอื เสมหะมากขึน้ ทาใหห้ ลอดลมตีบแคบลง ผปู้ ่วยจึง
หายใจลาบาก มีอาการเหน่อื ยหอบ

หลอดลมของปอด (Main bronchus) เป็นแขนงของหลอดลมใหญ่ ซ่งึ อยใู่ นแต่ละ
ขา้ งของปอด เรม่ิ ตน้ ต่อจากหลอดลมใหญ่ลกึ เขา้ ไปในเนอื้ ปอด หลอดลมเหล่านเี้ ม่ือ
อยลู่ กึ เขา้ ไป ก็จะมกี ารแตกแขนงแยกยอ่ ยลงไปอีกตามตาแหนง่ ของเนอื้ ปอด

หลอดลมฝอย (Bronchiole) เป็นแขนงยอ่ ยของหลอดลมของปอด หลอดลมฝอย
เหลา่ นบี้ างส่วนนอกจากจะสามารถนาก๊าซเขา้ ส่ปู อดไดแ้ ลว้ ยงั สามารถทาหนา้ ท่ใี น
การแลกเปลยี่ นก๊าซไดด้ ว้ ย แตไ่ มเ่ ป็นหนา้ ท่หี ลกั เหมอื นถงุ ลม

)

กลา้ มเนอื้ หวั ใจ (องั กฤษ: Cardiac muscle) เป็นกลา้ มเนอื้ ลายชนดิ หน่งึ ท่ีอย่นู อก
อานาจจติ ใจ (involuntary) พบท่หี วั ใจ ทาหนา้ ท่ใี นการสบู ฉีดโลหิตไปยงั ระบบ
ไหลเวยี นโลหติ โดยการหดตวั ของกลา้ มเนือ้

แกรนโู ลไซต์ เป็นเซลลเ์ มด็ เลือดขาวท่มี แี กรนลู อยภู่ ายในเซลล์ แบง่ ย่อยไดเ้ ป็น นวิ
โตรฟิล (neutrophil) มแี กรนลู ขนาดเล็ก นวิ เคลียสมี 2-5 พู มหี นา้ ท่ที าลายส่งิ
แปลกปลอมดว้ ยวธิ ีฟาโกไซโตซสิ อโี อซโิ นฟิล (eosinophil) มีแกรนลู ขนาดกลาง
นิวเคลยี สมี 2 พู มหี นา้ ท่ที าลายสง่ิ แปลกปลอม และยบั ยง้ั การสรา้ งสารกอ่ ภมู แิ พ้

โกลบลู นิ คือ โปรตีนสาคญั ของ Total protein อีกตวั หนง่ึ ท่ลี อ่ งลอยอย่ใู น
พลาสมาหรอื ในกระแสเลอื ด ซง่ึ มปี รมิ าณรองลงมาจาก Albumin โดยมบี ทบาทใน
ฐานะเป็นวตั ถดุ ิบพนื้ ฐานใหร้ า่ งกายใชส้ รา้ งสารชวี โมเลกลุ ประเภทโปรตนี เพ่อื
ประโยชนใ์ นการดารงชวี ติ อยา่ งเป็นปกตสิ ขุ

หลอดเลือดดา ( Vein ) หมายถึง หลอดเลอื ดท่นี าเลอื ดท่มี ีของเสีย และ
คารบ์ อนไดออกไซด์ ( เลอื ดดา ) ท่รี า่ งกายใชแ้ ลว้ จากสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกายกลบั
เขา้ ส่หู วั ใจหอ้ งบนขวา ( Right atrium ) เพ่อื นากลบั ไปฟอกท่ปี อด

หลอดเลือดเวนาคาวา (องั กฤษ: Vena cava,Venae cavae) หรือทอ่ เลอื ดดา คือ
หลอดเลือดดาท่มี ีหนา้ ท่รี บั เลือดเสียจากสว่ นต่างๆของรา่ งกายเขา้ สหู่ วั ใจหอ้ งขวา
เพ่อื สง่ ตอ่ ไปยงั ปอด

หลอดเลอื ดดาเล็ก (องั กฤษ: venule) เป็นหลอดเลือดขนาดเลก็ ในระบบไหลเวียน
เลือดท่ชี ว่ ยใหเ้ ลอื ดไหลจากหลอดเลอื ดฝอยไปยงั หลอดเลือดท่ใี หญ่กวา่ ซง่ึ กค็ อื
หลอดเลือดดา

ลนิ้ หวั ใจ (องั กฤษ: heart valve) มีหนา้ ทค่ี วบคมุ การไหลเวียนของเลอื ดภายใน
หวั ใจ โดยปกติแลว้ ลนิ้ หวั ใจจะควบคมุ การไหลของเลือดใหไ้ ปไดใ้ นทิศทางเดยี ว คอื
ไม่มกี ารไหลยอ้ นกลบั ของเลือดมายงั ทศิ ทางเดมิ

พลาสมา (Plasma) คือ สว่ นประกอบของโลหติ ท่มี ลี กั ษณะเป็นของเหลวสีเหลอื งใส
ซ่งึ ประกอบไปดว้ ยสารโปรตนี ไดแ้ ก่ อลั บมู นิ โกลบลู นิ อิมมโู นโกลบลู นิ ปัจจยั การ
แขง็ ตวั ของเลือด เป็นตน้ ซง่ึ มีสว่ นสาคญั ในการรกั ษาปรมิ าณนา้ ภายในหลอดเลือด

หวั ใจเทยี ม (pseudoheart) เป็นห่วงของหลอดเลือด 4-5 หว่ ง พองออกลอ้ มรอบ
บรเิ วณหลอดอาหาร หวั ใจเทยี มสามารถหดและพองตวั ได้ ทาหนา้ ท่ใี นการป๊ัมเลอื ด
เขา้ ส่หู ลอดเลอื ดอกี ทหี น่ึง

เซรุม่ : สว่ นของนา้ เลอื ดท่แี ยกเอาสารท่ที าใหเ้ ลือดแขง็ ตวั ออกไปแลว้ เซรุม่ ท่มี ี
ภมู คิ มุ้ กนั ท่ีตอ้ งการใชฉ้ ีดเขา้ ไปในรา่ งกาย เพ่ือใหภ้ มู ิคมุ้ กนั แก่รา่ งกายโดยตรง

Unit 16

Immune system

(ระบบภมู ิคุม้ กนั )

T cell ที-เซลล์ เป็นเซลลภ์ มู ิตา้ นทานชนิดหน่ึง ซง่ึ มหี นา้ ท่หี ลกั ในการหาเซลลท์ ่ตี ิดเชือ้ หรือ
Memory cell เชือ้ โรคตา่ ง ๆ และกาจดั มนั มนั ทาหนา้ ท่นี ไี้ ดโ้ ดยการใชโ้ ปรตีนทอ่ี ยบู่ นพนื้ ผิวของมนั
เองไปยดึ เกาะกบั โปรตีนบนพนื้ ผิวของสิง่ แปลกปลอม

เซลลเ์ มมเมอรี (Memory B cell) ซง่ึ ก่อใหเ้ กดิ การตอบสนองท่รี วดเรว็ เม่ือรบั
แอนติเจนชนดิ เดมิ อีกครงั้

Mass cell แมสตเ์ ซลล์ เป็นเซลลท์ ่มี รี ูปรา่ งกลมหรือรี ในไซโทรพลาสซมึ มีแกรนลู ท่บี รรจสุ าร
Cytokine histamine และ heparin เอาไว้ โดยแมสตเ์ ซลลม์ ีลกั ษณะใกลเ้ คยี งกบั เซลลเ์ ม็ด
Antigen เลือดขาวท่มี ีช่อื วา่ เบโซฟิลมากจงึ เคยถกู เขา้ ใจว่าเป็นเบโซฟิลท่อี อกมาจากหลอด
Lupus เลอื ด
Allergy
Cytokine เป็น polypeptide ซง่ึ เป็นสารนา้ ตา่ งๆ ท่สี รา้ งและหล่งั โดยเซลลข์ อง
รา่ งกาย มบี ทบาทในภมู คิ มุ้ กนั ทงั้ non-specific immunity และ specific

immunity cytokine

แอนติเจน หรอื สารกอ่ ภมู ติ า้ นทาน คอื สารใด ๆ ท่กี ระตนุ้ ใหเ้ กดิ ปฏิกริ ยิ าตอบสนอง
ทางภมู ิคมุ้ กนั แบบปรบั ตวั (adaptive immune response) แอนติเจนมกั เป็นสาร
ท่แี ปลกปลอมหรือเป็นพิษต่อรา่ งกาย (เชน่ ตวั เชือ้ แบคทเี รีย) ซ่งึ เม่ือเขา้ มาใน
รา่ งกายแลว้ จะถกู จบั โดยแอนติบอดีท่มี ีความจาเพาะ

ลปู ัส (Lupus) เป็นอาการอกั เสบแบบเรอื้ รงั ท่เี กดิ ขึน้ เม่ือระบบภมู คิ มุ้ กนั ของรา่ งกาย
หนั มาโจมตีเนอื้ เย่ือและอวยั วะตา่ งๆ ของคณุ เอง การอกั เสบจากโรคลปู ัสอาจเกดิ
ขนึ้ กบั ระบบรา่ งกายต่างๆ มากมาย รวมทง้ั ขอ้ ต่อ ผวิ หนงั ไต เมด็ เลือด สมอง หวั ใจ
และปอด นอกจากนยี้ งั สามารถทาใหเ้ กดิ ภาวะสมองขาดเลอื ดไดด้ ว้ ย

โรคทางภมู ิแพเ้ ป็นโรคทางภมู คิ มุ้ กนั ชนดิ หนงึ่ ทเ่ี กิดจากรา่ งกายไดร้ บั สารท่แี พเ้ ขา้
ไปและเกดิ ปฏิกิรยิ าของสารแพก้ บั ภมู ิคมุ้ กนั อาจเกดิ ขึน้ กบั อวยั วะหนึ่งหรอื หลาย
อวยั วะรว่ มกนั ได้ อาการของผปู้ ่ วยมีไดท้ ง้ั ทาง ตา หู คอ จมกู ทางเดนิ หายใจ
ส่วนล่าง ทางเดนิ อาหารหรือทางผวิ หนงั สารแพม้ ีอยมู่ ากมายหลายชนิด คนท่เี ป็น
โรคภมู ิแพก้ ็อาจแพส้ าร

Antibody แอนติบอดีคอื โปรตนี ชนดิ หนงึ่ ท่สี รา้ งจากระบบภมู ิคมุ้ กนั ตา้ นทานโรคของมนษุ ย์ ซง่ึ
Host cell จะผลติ จากเมด็ เลอื ดขาวชนิดหนงึ่ ท่เี รียกว่า ลมิ โฟซยั ทบ์ ี ซ่งึ แอนตบิ อดจี ะถกู สรา้ ง
B cell ขนึ้ ประมาณ 7-10 วนั หลงั จากทร่ี า่ งกายไดร้ บั เชือ้ หรอื สิ่งแปลกปลอมเขา้ ไป

Host cell หรือ เซลลเ์ จา้ บา้ นหมายถงึ เซลลท์ ่ใี ชร้ บั ดเี อ็นเอหรือยนี เพ่อื ใหเ้ กิดการ
เปลี่ยนแปลงสารพนั ธุกรรมและทาใหแ้ สดงคณุ ลกั ษณะท่ตี อ้ งการซ่งึ เซลลเ์ จา้ บา้ นท่ี
นยิ มนามาใช้ ในการรบั ดเี อน็ เอจากการดดั แปลงพนั ธุกรรม ไดแ้ กแ่ บคทีเรีย E.coli
เป็นตน้

บเี ซลล์ (องั กฤษ: B lymphocyte, B cell) เป็นเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวประเภทลมิ โฟ
ไซต์ ซง่ึ เม่ือถกู กระตนุ้ ดว้ ยสารแปลกปลอมหรอื แอนตเิ จนจะพฒั นาเป็นพลาสมา
เซลลท์ ่มี หี นา้ ท่หี ล่งั แอนติบอดมี าจบั กบั แอนตเิ จน บเี ซลลม์ ีแหล่งกาเนิดในรา่ งกาย
จากสเต็มเซลล์



เชิงกราน (องั กฤษ: pelvis) เป็นโครงสรา้ งกระดกู ของรา่ งกายท่อี ยปู่ ลายลา่ งของ
กระดกู สนั หลงั จดั เป็นส่วนหนงึ่ ของโครงกระดกู รยางค์ (appendicular skeleton)

การกรอง (filtration) เป็นการแยก (separation) ทางกล เพ่อื แยกอนภุ าคของแขง็ ท่ไี ม่
ละลายซ่งึ แขวนลอยอย่ใู นสารละลายออกจากสว่ นทีเ่ ป็นของเหลว โดยใหข้ องเหลวท่ีมี
สว่ นผสมของทงั้ ของแขง็ และของเหลวไหลผ่านตวั แผ่นกรอง ซง่ึ มหี นา้ ท่กี กั ของแขง็ ทม่ี ี
ขนาดใหญ่กวา่ ขนาดรูของตวั แผน่ กรองไวแ้ ละปล่อยใหส้ ว่ นท่เี ป็นของเหลวไหลผา่ น
ของเหลวทก่ี รองไดเ้ รยี กวา่ ฟิลเทรต (filtrate)

Secretion ความหมายคอื สงิ่ คดั หล่งั , สง่ิ ขบั คดั หล่งั เมด็ เล็กๆ

โกลเมอรูลสั (องั กฤษ: glomerulus) เป็นกระจกุ หลอดเลอื ดฝอย ทาหนา้ ท่กี รอง
เลือดขนั้ แรก อยทู่ ่จี ดุ เรม่ิ ตน้ ของหนว่ ยไต (nephron)

filtrate ความหมาย คือ ของเหลวท่กี รองได:้ ของเหลวท่ผี า่ นตวั กรองออกไปได้

ไตเป็นอวยั วะรูปถ่วั ซง่ึ มีหนา้ ทค่ี วบคมุ สาคญั หลายอยา่ งในสตั วม์ กี ระดกู สันหลงั ไต
นาโมเลกลุ อินทรียส์ ่วนเกนิ (เช่น กลโู คส) ออก และดว้ ยฤทธิ์นีเ้ องท่ีเป็นการทา
หนา้ ท่ที ่ที ราบกนั ดที ่สี ดุ ของไต คอื การขบั ของเสียจากเมแทบอลซิ มึ (เชน่ ยเู รยี แม้
90% ของปรมิ าณทก่ี รองถกู ดดู กลบั ท่หี นว่ ยไต) ออกจากรา่ งกาย ไตเป็นอวยั วะ
สาคญั ในระบบปัสสาวะและยงั มีหนา้ ท่ธี ารงดลุ

เสน้ เลือด Renal Vein นาเลือดท่กี รองแลว้ ออกจากไต

เสน้ เลือด Renal Artery นาเลอื ดท่มี ขี องเสียเขา้ ไปกรองท่ไี ต

หน่วยไต (Nephron) เป็นตวั กรองของเสยี ออกจากรา่ งกาย ประกอบดว้ ย
โบวแ์ มนแคปซูล (Bowman’s capsule) เป็นกระเปาะคลา้ บรูปถว้ ย หมุ้ โกล
เมอรูลสั อย่โู ดยจะต่ออย่กู บั ทอ่ ของหน่วยไต
โกลเมอรูลสั (Glomerulus) กล่มุ เสน้ เลือดฝอยอยแู่ นบชดิ กบั โบวแ์ มนแคปซูล
โดยผนงั ของโกลเมอรูลสั ทาหนา้ ท่เี ป็นเย่อื กรองใหพ้ ลาสมาของเลอื ด ผา่ นเขา้ สู่
โบวแ์ มนแคปซูล

ท่อไต (Ureter) ทาหนา้ ท่ลี าเลยี งปัสสาวะ




Click to View FlipBook Version