41 ตารางที่ 1 คะแนนระหว่างเรียน และคะแนนหลังเรียนของนักเรียน เลขที่ คะแนนที่ได้จากการทำแบบฝึกทักษะในแต่ละ กิจกรรมการเรียนรู้ รวม (E1 ) (130) คะแนน หลัง เรียน (E2 ) (20) ชุดที่ 1 (10) ชุดที่ 2 (10) ชุดที่ 3 (10) ชุดที่ 4 (10) ชุดที่ 5 (10) ชุดที่ 6 (10) ชุดที่ 7 (10) ชุดที่ 8 (10) ชุดที่ 9 (10) ชุดที่ 10 (10) ชุดที่ 11 (10) ชุดที่ 12 (10) ชุดที่ 13 (10) 1 9 7 9 6 7 7 8 6 8 10 8 7 6 98 14 2 10 9 10 8 9 8 9 8 9 9 9 9 6 113 20 3 9 8 7 6 7 9 10 9 10 8 7 7 8 105 15 4 10 8 10 6 8 9 9 8 7 6 9 8 9 107 17 5 10 7 8 6 7 8 10 8 10 6 7 7 8 102 15 6 9 8 9 7 6 8 10 7 8 6 8 8 6 100 14 7 10 6 9 7 7 8 9 8 9 7 6 7 8 101 17 8 10 7 8 8 7 7 10 9 10 8 8 9 7 108 18 9 10 6 9 8 7 8 9 8 7 6 8 9 8 103 18 10 10 6 8 7 9 7 10 8 10 6 7 7 6 101 15 11 10 7 8 8 6 8 10 7 8 6 9 7 8 102 15 12 9 8 8 6 6 7 9 8 9 7 7 8 7 99 15 13 10 9 7 6 8 8 10 9 10 8 8 8 6 107 17 14 10 8 8 8 7 6 9 8 7 6 7 8 7 99 16 15 10 8 7 7 9 6 10 8 10 6 7 7 7 102 17 16 9 7 8 6 8 7 10 7 8 6 8 7 6 97 17 17 10 7 8 8 8 8 9 8 9 7 8 8 8 106 17 18 10 8 8 7 8 8 10 9 10 8 7 8 7 108 17 19 10 9 6 8 9 8 9 8 7 6 7 7 6 100 16 20 10 8 8 8 9 7 10 8 10 6 7 8 6 105 17 21 9 9 9 7 9 9 10 9 10 8 8 7 6 110 19 22 10 9 8 9 9 7 9 8 7 6 9 8 9 108 19 23 9 8 9 6 7 8 10 8 10 6 9 8 6 104 14
42 เลขที่ คะแนนที่ได้จากการทำแบบฝึกทักษะในแต่ละ กิจกรรมการเรียนรู้ รวม (E1 ) (130) คะแนน หลัง เรียน (E2 ) (20) ชุดที่ 1 (10) ชุดที่ 2 (10) ชุดที่ 3 (10) ชุดที่ 4 (10) ชุดที่ 5 (10) ชุดที่ 6 (10) ชุดที่ 7 (10) ชุดที่ 8 (10) ชุดที่ 9 (10) ชุดที่ 10 (10) ชุดที่ 11 (10) ชุดที่ 12 (10) ชุดที่ 13 (10) 24 10 9 7 7 9 8 10 7 8 6 7 10 8 106 20 25 10 7 9 8 7 8 9 8 9 7 9 8 7 106 16 26 10 8 8 6 8 9 7 6 9 10 7 7 6 101 15 รวม 253 201 213 184 201 201 245 205 229 181 201 202 182 2698 430 X 9.73 7.73 8.19 7.07 7.73 7.73 9.42 7.88 8.80 6.96 7.73 7.76 7 103.76 16.53 S.D. 0.45 0.96 0.93 0.93 1.04 0.82 0.75 0.81 1.16 1.28 0.87 0.81 1.01 4.01 1.74 ร้อยละ 97.30 77.30 81.92 70.76 77.30 77.30 94.23 78.84 88.07 69.61 77.30 77.69 70 79.82 82.69 E1 / E2 = 79.82/82.69 จากตารางที่ 1 พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้คะแนนเฉลี่ยจากการปฏิบัติกิจกรรม ฝึกทักษะและการทำแบบทดสอบหลังเรียนของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ แต่ละชุดรวมกัน (E1 ) คิดเป็นร้อยละ 79.82และทำคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน เท่ากับ 16.53 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 82.69 แสดงว่า แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 โดยมีค่า E1/E2 เท่ากับ 79.82/82.69 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดัง แสดงผลการวิเคราะห์ในตารางที่ 2 ตารางที่ 3 และตารางที่ 4 ตารางที่ 2 คะแนนที่ได้ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ วิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน
43 คนที่ คะแนนสอบก่อนเรียน คะแนนสอบหลังเรียน คะแนนที่ได้ ร้อยละ คะแนนที่ได้ ร้อยละ 1 3 15 14 70 2 6 30 20 100 3 5 25 15 75 4 4 20 17 85 5 6 30 15 75 6 7 35 14 70 7 6 30 17 85 8 5 25 18 90 9 7 35 18 90 10 6 30 15 75 11 5 25 15 75 12 6 30 15 75 13 5 25 17 85 14 4 20 16 80 15 7 35 17 85 16 4 20 17 85 17 3 15 17 85 18 5 25 17 85 19 4 20 16 80 20 7 35 17 85 21 5 25 19 95 22 4 20 19 95 23 6 30 14 70 24 7 35 20 100 25 5 25 16 80 26 8 40 15 75 คะแนนเฉลี่ย 5.38 26.92 16.53 82.69 S.D. 1.33 1.74
44 จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 5.38 คิดเป็นร้อยละ 26.92 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 16.53 คิดเป็นร้อยละ 82.69 ตารางที่ 3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ คะแนนเกณฑ์และการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์กับเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยใช้การทดสอบแบบกลุ่มเดียว ** มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า การทดสอบหลังเรียนและเกณฑ์ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน มีคะแนนเฉลี่ยหลัง เรียนเท่ากับ 16.53 คิดเป็นร้อยละ 82.69 ได้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ** มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน มีคะแนน เฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 5.38 คิดเป็นร้อยละ 26.92 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 16.53 คิดเป็น ร้อยละ 82.69 เมื่อเปรียบเทียบกันด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) ผลปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 การทดสอบ n ̅ S.D. ร้อยละ เกณฑ์ df t-test p-value หลังเรียน 26 16.53 1.74 82.69 14 25 7.40** 0.000 การทดสอบ N ̅ S.D. ร้อยละ df t-test p-value ก่อนเรียน 26 5.38 1.33 26.92 25 26.03** 0.000 หลังเรียน 26 16.53 1.74 82.69 25
45 บทที่5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการรายงานผลการสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยนำเสนอการสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของกระบวนการและผลลัพธ์ของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชา คณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชา คณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน สมมุติฐานของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีสมมติฐานของการวิจัย ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของกระบวนการและผลลัพธ์ (E1 /E2 ) ของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70/70 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วิธีดำเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี จำนวน 506 คน ซึ่งการจัดนักเรียนในแต่ละ ห้องเรียนเป็นแบบคละความสามารถ (เก่ง ปานกลาง อ่อน) 1.2 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี จำนวน 26 คน ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม(Cluster random sampling)
46 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 22 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 22 ชั่วโมง 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 2.3 แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 เล่ม 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามลำดับ ดังนี้ 3.1 ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre - test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3.2 ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจำนวน 22 แผน โดยให้นักเรียนเรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามขั้นตอนในแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบ ฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3.3 เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว ให้นักเรียนทำการทดสอบหลังเรียน (Post - test) โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชุดเดิมกับการทำการทดสอบก่อนเรียนไป ทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป 4. การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยดำเนินการ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Window) ตามขั้นตอน ดังนี้ 4.1 วิเคราะห์แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่4 เพื่อหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) จากคะแนนปฏิบัติกิจกรรมฝึกทักษะในแบบฝึก ทักษะแต่ละชุด หาประสิทธิของผลลัพธ์ (E2) จากคะแนนการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน โดยคำนวณ หาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ แล้วนำมาวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะตาม เกณฑ์ที่ตั้งไว้70/70 โดยใช้สูตร E1/E2
47 4.2 ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย การหาคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ 4.3 วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนและเกณฑ์ โดยนำข้อมูลจากคะแนนสอบ วัดผลฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์เพื่อคำนวณหาค่าความแตกต่างของคะแนน วิเคราะห์โดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for One Sample) 4.4 วิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยนำข้อมูล จากคะแนนสอบวัดผลฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบ คำนวณหาค่า ความ แตกต่างของคะแนน วิเคราะห์โดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample) สรุปผลการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้สามารถสรุปผลได้ดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 79.82/82.69 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70/70 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน ได้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 16.53 คิดเป็นร้อย ละ 82.69 พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน ได้คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 5.38 คิดเป็นร้อย ละ 26.92 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 16.53 คิดเป็นร้อยละ 82.69 พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน อภิปรายผลการวิจัย การสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 79.82/82.69 หมายความว่า นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากการปฏิบัติ กิจกรรมฝึกทักษะและทดสอบย่อยของแบบฝึกทักษะทั้ง 13 ชุด คิดเป็นร้อยละ 79.82และคะแนน เฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 82.69 ตามลำดับ ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นไปตาม เกณฑ์ร้อยละ 70/70 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้ 1.1 แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ทั้ง 13 ชุด ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นได้ผ่านกระบวนการสร้าง ตามลำดับขั้นตอนอย่างเป็นระบบและวิธีการที่เหมาะสม กล่าวคือ ผู้วิจัยได้ศึกษาวิเคราะห์ เรียบเรียง
48 เนื้อหา ศึกษาเทคนิควิธีการในการสร้างแบบฝึกทักษะ การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้การกำหนด จุดประสงค์หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะที่มีความเหมาะสมกับ วัย และความสามารถของนักเรียน คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล มีกิจกรรมที่เริ่มจากง่ายไป หายากโดยผ่านกระบวนการตรวจสอบ แก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้แบบฝึก ทักษะ ที่มีความเหมาะสมจนสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ปราณีจิณฤทธิ์(2552 : 32) ได้กล่าวว่า หลักการสร้างแบบฝึกผู้สร้างต้องคำนึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล แบบฝึกที่สร้างต้องมีหลาย ๆ รูปแบบ สร้างจากง่ายไปหายาก มีความถูกต้อง ในการ สร้างแบบฝึกมีการสอดแทรกทักษะวิชาอื่นเข้าไปด้วย ควรจัดทำแบบฝึกไว้ล่วงหน้า เพราะแบบฝึกควร ทำหลังจากผู้เรียนได้เรียนบทเรียนในเรื่องนั้น ๆ จบลงทันทีและสอดคล้องกับแนวคิดของนิตยา กิจ โร (2553 : 40) ได้สรุปหลักการสร้างแบบฝึกไว้ดังนี้1) ก่อนสร้างแบบฝึกจำเป็นต้องกำหนดโครงร่าง ไว้ก่อนว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไร แบบฝึกเกี่ยวกับเรื่องอะไร 2) ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง 3) เขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 4) แจ้งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมย่อย โดยคำนึงถึง ความเหมาะสมของผู้เรียน 5) กำหนดอุปกรณ์ที่ใช้ในแต่ละกิจกรรม 6) กำหนดเวลาและขั้นตอนให้ เหมาะสม 7) การประเมินผลอย่างไร 1.2 แบบฝึกทักษะแต่ละชุดมีสีสันสวยงาม น่าสนใจ ในแต่ละกิจกรรมนักเรียนสามารถเติม คำตอบลงในแบบฝึกทักษะอย่างสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเขียนโจทย์หรือวาดรูป ในแต่ละ กิจกรรมมีคำชี้แจงสั้น ๆ เป็นภาษาง่าย ๆ มีตัวอย่างประกอบ ช่วยให้นักเรียนเข้าใจได้ง่าย เนื้อเรื่องมี ความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และที่สำคัญครูจะทำการตรวจให้คะแนนและแจ้งผลให้นักเรียน ทราบทันทีเพื่อเป็นการเสริมแรงและให้กำลังใจ ช่วยให้นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจและสนใจที่จะทำ แบบฝึกทักษะชุดต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ สำลีรักสุทธี(2553 : 31 - 32) ได้กล่าวถึง ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดีมีดังนี้1) มีคำสั่งชัดเจน เข้าใจ เหมาะสมกับวัยเด็ก 2) มีตัวอย่าง ประกอบ ตัวอย่างที่ดีควรให้ผู้เรียนเกิดความคิดหลาย ๆ แนวคิด 3) มีตัวอย่างประกอบเพื่อดึงดูด ความสนใจและสื่อความหมาย 4) มีเนื้อที่สำหรับเขียน เว้นให้มีขนาดเหมาะสมกับคำที่นักเรียน ต้องการเขียน 5) การวางรูปแบบที่ดีจะทำให้เกิดความเรียบร้อย สวยงามและประหยัด 6) ควรบันทึก วิธีการสอนที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของแบบฝึกไว้ในคู่มือ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูง กว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้แสดง ให้เห็นว่าการใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ช่วยให้นักเรียนเกิดการพัฒนาการ
49 เรียนรู้ในเนื้อหาวิชาได้ดีขึ้นทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก แบบฝึกทักษะเป็นเครื่องมือวัดความก้าวหน้าและ ประเมินตนเองแก่นักเรียนได้หลังจากที่เรียนจบบทเรียนในแต่ละครั้ง ครูสามารถมองเห็นจุดเด่น จุดบกพร่องของนักเรียนได้อย่างชัดเจน นักเรียนได้ทราบผลความก้าวหน้าของตนเองทันที ซึ่งการให้ แบบฝึกที่เหมาะสมกับความสามารถทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในบทเรียน มีเหตุผล แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เกิดความมั่นใจในตนเอง มีการแก้ไขปรับปรุงงานของตนอยู่เสมอ ส่งผลให้ นักเรียนประสบความสำเร็จทางการเรียนคือ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมากขึ้น สอดคล้องกับ ผลการวิจัย ดังกล่าวสอดคล้องกับกับ สมหมาย อัครศรีชัยโรจน์ (2555 : 80 - 81) ได้ศึกษาการพัฒนา แบบฝึกเสริมทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัย พบว่า 1) แบบฝึก เสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.21/76.09 แสดงว่าแบบฝึกเสริมทักษะ ที่สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 ที่ตั้งไว้ 2) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริม ทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่าดัชนี ประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะมีค่าเท่ากับ 0.60 แสดงว่านักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียนจากการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะเพิ่มขึ้นจากคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน จากการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะเพิ่มขึ้นจากคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สอดคล้องกับ สุภวัฒน์ นามเจริญ (2553 : 80 - 81) ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกเสริมทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.39/85.59 2) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับทอมสัน (คำตา นัดกล้า . 2547หน้า 52 อ้างอิงจาก Thomson. 1991) ได้ ศึกษาผลของวิธีสอนการคิดเลขในใจ เรื่อง ความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาและการคิดคำนวณ สำหรับนักเรียนเกรด 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาที่ตั้งอยู่ตอนบนของภาค ตะวันออกกลาง จำนวน 95คน โดยแบ่งเห็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง และชุดฝึกทักษะคิดในใจ ผลการวิเคราะห์การทดลองพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเรื่องการแก้โจทย์ปัญหาและการคิด คำนวณระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
50 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้ จากการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ดังนี้ 1.1 ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครูต้องพยายามให้นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองทุกคน เพื่อให้นักเรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจในบทเรียน มีความมั่นใจในตนเอง รักความก้าวหน้า รู้จักค้นคว้า แก้ไขปรับปรุงงานของตนอยู่เสมอ ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนมีทักษะ การเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น 1.2 ครูควรแจ้งผลการปฏิบัติกิจกรรม เช่น ตรวจแบบทดสอบหลังเรียนทันทีที่เสร็จ กิจกรรม พร้อมเฉลยและอธิบายเพิ่มเติมในโจทย์ที่มีความยุ่งยากเพื่อให้นักเรียนได้ตรวจสอบการ เรียนรู้ของตนเองและเกิดการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น 1.3 ในการทำแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ไม่ควรกำหนดเวลาให้นักเรียนทำให้เสร็จภายใน เวลาที่กำหนด อาจจะฝึกทักษะนอกเวลา เช่น การทำการบ้านเสริมนอกเวลาเรียนก็ได้ 1.4 ครูควรเตรียมแผนการจัดการเรียนรู้และคำถามนำหลาย ๆ รูปแบบที่กระตุ้นให้นักเรียน ได้เกิดความสนใจในการเรียนรู้ และอยากรู้อยากเห็น และปฏิบัติกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง 2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป ในการวิจัยครั้งต่อไป ผู้วิจัยขอเสนอแนะประเด็นที่ควรนำมาศึกษาดังนี้ 2.1 ควรเปรียบเทียบวิธีการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะกับวิธีการสอนแบบอื่น ๆ เพื่อ เปรียบเทียบความแตกต่าง 2.2 ควรมีการศึกษาตัวแปร หรือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ เช่น เจตคติความคงทนในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
51 บรรณานุกรม กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ตามหลักสูตรแกนกลางการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ.2560). กิดานันท์มลิทอง. (2548). เทคโนโลยีการศึกษาร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: เอดิสันเพรสโปรดักส์. ชนินทร์ชัย อินทิราภรณ์ และคณะ. (2540). พจนานุกรมศัพท์การศึกษา. กรุงเทพฯ : ไอคิวบุ๊คเซ็นเตอร์. ชวลิต ชูกำแพง. (2551). การประเมินการเรียนรู้. พิมพ์ครั้งที่ 2. มหาสารคาม : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. จริยาลักษณ์ กิตติกา.(2559). การพัฒนาผลการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องสมการและการแก้สมการ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ประกอบ ชุดฝึกเสริมทักษะ. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต. สาขาวิชาหลักสูตรและการ เรียนการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. จุฬารัตน์ วงษ์ศรีนาค . (2543). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนสะกดคำยากโดยใช้ แบบฝึก เสริมทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยศิลปากร. ทัศนีย์ บุตรอุดม . (2552). การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สมการและการแก้ สมการ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับแบบฝึกทักษะ. การศึกษาค้นคว้าอิสระ การศึกษา มหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. นิคม ชมพูหลง. (2545). การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นและการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา. มหาสารคาม : อภิชาติการพิมพ์. นิศารัตน์ ศิลปะเดช. (2542). เอกสารประกอบการสอนวิชาระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์ เบื้องต้น. กรุงเทพฯ : สถาบันราชภัฏธนบุรี. เผชิญ กิจระการ และสมนึก ภัททิยธนี. “ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.,”วารสารการ วัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 8 : 31 ; กรกฎาคม, 2545. มงคล วงศ์พยัคฆ์. (2547). การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์. วารสารศึกษาศาสตร์. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
52 มนทิรา ภักดีณรงค์. (2540). การศึกษาแบบฝึกเสริมทักษะกิจกรรม ขั้นตอนที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง. เยาวดี วิบูลย์ศรี. (2548). การวัดผลและการสร้างแบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. ศรัณย์พงศ์ จันทร์โสดา. รายงานการชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์รายวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. ขอนแก่น : โรงเรียนสันติพัฒนากิจวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25, 2554. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2544). คู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนรูคณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์. สุนันทา สุนทรประเสริฐ. (2544). การผลิตนวัตกรรมการเรียนการสอนการสร้างแบบฝึก.ชัยนาท: ชมรมพัฒนาความรู้ด้านระเบียบกฎหมาย. สุภาวดี พยัคชน. (2555). การสร้างชุดกิจกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่อง บทประยุกต์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน. วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา : มหาวิทยาลัยบูรพา. สมนึก ภัททิยธนี. (2551). เทคนิคการสอนและรูปแบบการเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบ วิชา คณิตศาสตร์เบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 3. กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ์. สุภวัฒน์ นามเจริญ. (2553). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. เหรียญทอง เสาร์ทอง. (2556). ผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาโดย ใช้เทคนิคการแก้ปัญหาของโพลยา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. อารีย์ วชิรวาการ. “บทบาทบางประการของผู้บังคับบัญชา,” วารสารข้าราชการ. 44 (1) : 59-64 ; มกราคม-กุมภาพันธ์, 2546. Goodman, Yetta M. and others. (1983). Reading Miscue Inventory : Alternative Procedures. New York : Richard C. Owen Publishers, Inc. Howie EK, Schatz J and Pate RR. (2015). Acute Effects of Classroom Exercise Breaks on Executive Function and Math Performance: A Dose-Response
53 Study. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2020. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed /26009945. McLaughlin, D. (1992).The Catholic school: Paradoxes and challenges. Strathfield: N.S.W.St Paul. Siemens, D.W. (1986). The Effects of Homework Emphasis on the Time Spent Doing Homework and The Achievement of the Plane Geometry Student. Dissertation Abstracts International. Vol.10 No.3 : 2954 - A.
54 ภาคผนวก
55 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ
56 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ที่ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึก ทักษะ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีรายนามดังต่อไปนี้ 1. ชื่อ- สกุล นางวัชราภรณ์ มบขุนทด โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ 2. ชื่อ- สกุล นางปริยานุช ภิญญศักดิ์ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ 3. ชื่อ- สกุล นางขนิษฐา นรินทร์ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ
57 ภาคผนวก ข แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ - แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน - แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการ จัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน - แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบฝึก ทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน
58 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เศษส่วน คำชี้แจง ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรุณาแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ บทที่ 6 เรื่อง เศษส่วน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใส่ เครื่องหมาย () ลงในช่องความคิดเห็นของท่านพร้อมเขียนข้อเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์ในการ นำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 1. ระบุเศษส่วนแท้ เศษเกิน และจำนวนคละ 2. แสดงปริมาณของสิ่ง ต่าง ๆ ด้วยเศษส่วน และจำนวนคละ 1.00 ความรู้ความจำ 1.10 ความรู้ในเนื้อเรื่อง 1.11 ความรู้เกี่ยวกับศัพท์และนิยาม ข้อ 1. 5 6 ตรงกับข้อใด ก. 5 x 6 ข. 5 ÷ 6 ค. 5 + 6 ง. 5 - 6 ข้อ 2. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับเศษส่วนแท้ ก. เศษส่วนที่มีตัวเศษเท่ากับหรือมากกว่าตัว ส่วน ข. เศษส่วนที่มีตัวเศษเท่ากับตัวส่วน ค. เศษส่วนที่มีตัวเศษมากกว่าตัวส่วน ง. เศษส่วนที่มีตัวเศษน้อยกว่าตัวส่วน ข้อ 3. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับเศษเกิน ก. เศษส่วนที่มีตัวเศษเท่ากับหรือมากกว่าตัว ส่วน ข. เศษส่วนที่มีตัวเศษเท่ากับตัวส่วน ค. เศษส่วนที่มีตัวเศษมากกว่าตัวส่วน
59 จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 ง. เศษส่วนที่มีตัวเศษน้อยกว่าตัวส่วน 4. หาผลบวก ผลลบของ เศษส่วนและจำนวนคละ 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ 1.12 ความรู้เกี่ยวกับสูตรกฎและความจริง ข้อ 4. 4 7 + 5 21 มีค่าเท่าใด ก. 9 7 ข. 9 21 ค. 17 21 ง. 9 28 ข้อ 5. เศษส่วนในข้อใดมีค่าเท่ากับ 7 8 ก. 1 8 ข. 7 16 ค. 14 24 ง. 35 40 4. หาผลบวก ผลลบของ เศษส่วนและจำนวนคละ 1.20 ความรู้ในวิธีการ 1.21 ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน ข้อ 6. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการบวก หรือ การลบเศษส่วนที่มีตัวส่วนไม่เท่ากัน ก. นำตัวเศษบวกกัน หรือลบกัน แล้วนำตัว ส่วนบวกกัน หรือลบตัวส่วนกัน ข. นำตัวส่วนบวกกัน หรือลบกัน แล้วนำตัว เศษบวกกัน หรือลบกัน ค. ต้องทำตัวส่วนให้เท่ากันก่อน แล้วจึงนำตัว เศษมาบวกกัน หรือลบกัน ง. ต้องทำตัวส่วนให้เท่ากันก่อน แล้วจึงนำตัว ส่วนมาบวกกัน หรือลบกัน
60 จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 3. เปรียบเทียบและ เรียงลำดับเศษส่วนและ จำนวนคละ 1.22 ความรู้เกี่ยวกับลำดับขั้นและ แนวโน้ม ข้อ 7. ข้อใดเรียงลำดับเศษส่วนจากค่าน้อยไป หาค่ามาก ก. 1 2 , 2 3 , 3 4 ข. 1 2 , 3 4 , 2 3 ค. 2 3 , 1 2 , 3 4 ง. 3 4 , 2 3 , 1 2 1. ระบุเศษส่วนแท้ เศษเกิน และจำนวนคละ 1.23 ความรู้เกี่ยวกับการจัดประเภท ข้อ 8. ข้อใดไม่ใช่เศษส่วนแท้ ก. 2 3 ข. 3 5 ค. 5 6 ง. 6 6 4. หาผลบวก ผลลบของ เศษส่วนและจำนวนคละ 1.24 ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ ข้อ 9. 3 3 + 3 3 = 2 จริงหรือไม่ เพราะเหตุใด ก. จริง เพราะ 3 3 = 1 แล้ว 1 + 1 = 2 ข. ไม่จริง เพราะ 3 3 + 3 3 = 6 6 แล้ว 6 6 = 1 ค. จริง เพราะ 3 3 + 3 3 = 6 3 แล้ว 6 3 = 2 ง. ถูกทั้งข้อ ก. และข้อ ค.
61 จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 4. หาผลบวก ผลลบ ของเศษส่วนและจำนวน คละ 1.25 ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ ข้อ 10. 1 6 7 + 5 14 = ก. 2 3 7 ข. 3 2 7 ค. 2 3 14 ง. 3 2 14 ข้อ 11. 3 5 10 − 1 3 5 = ก. 1 9 10 ข. 2 9 10 ค. 1 9 5 ง. 2 9 5 4. หาผลบวก ผลลบของ เศษส่วนและจำนวนคละ 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ 1.30 ความรู้เกี่ยวกับความจำรวบยอด 1.31 ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาและการ ขยายหลักวิชา ข้อ 12. 4 15 + 4 15 นำผลลัพธ์ไปบวกกับ จำนวนใด แล้วมีค่าเท่ากับ 12 15 ก. 1 15 ข. 2 15 ค. 3 15 ง. 4 15 ข้อ 13. 23 25 − 4 25 นำผลลัพธ์ไปลบกับ จำนวนใด แล้วมีค่าเท่ากับ 12 25 ก. 1 25 ข. 9 25 ค. 7 25 ง. 14 25
62 จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 2. แสดงปริมาณของสิ่ง ต่าง ๆ ด้วยเศษส่วน และจำนวนคละ 1.32 ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีและโครงสร้าง จงใช้รูปภาพต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 14. - 15. ข้อ 14. คุณปู่ได้รับวุ้นกะทิกี่ถาด ก. 1 3 ถาด ข. 1 4 ถาด ค. 1 6 ถาด ง. 1 12 ถาด ข้อ 15. เพื่อนบ้านกับคุณตาได้รับวุ้นกะทิ ต่างกันกี่ถาด ก. 1 3 ถาด ข. 1 4 ถาด ค. 4 6 ถาด ง. 2 4 ถาด 2. แสดงปริมาณของสิ่ง ต่าง ๆ ด้วยเศษส่วน และจำนวนคละ 2.00 ความเข้าใจ 2.10 การแปลความ ข้อ 16. ส่วนที่ระบายสีตรงกับข้อใด ก. 3 4 ข. 5 4 ค. 5 8 ง. 3 8
63 จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 4. หาผลบวก ผลลบของ เศษส่วนและจำนวนคละ 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ 2.20 การตีความ ข้อ 17. + 3 12 = 1 1 12 แล้ว มีค่า เท่าใด ก. 10 12 ข. 12 12 ค. 8 12 ง. 7 12 ข้อ 18. − 4 7 = 1 2 7 แล้ว มีค่า เท่าใด ก. 6 7 ข. 2 7 ค. 1 6 7 ง. 1 2 7 1. ระบุเศษส่วนแท้ เศษเกิน และจำนวนคละ 3. เปรียบเทียบและ เรียงลำดับเศษส่วนและ จำนวนคละ 2.30 การขยายความ ข้อ 19. 3 5 9 ตรงกับข้อใด ก. (9 + 3 + 5) ÷ 9 ข. (9 + 3 × 5) ÷ 9 ค. (9 x 3 + 5) ÷ 9 ง. (9 × 3 × 5) ÷ 9 3. เปรียบเทียบและ เรียงลำดับเศษส่วนและ จำนวนคละ 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ 3.00 การนำไปใช้ ข้อ 20. มิ้นมีขนม 4 9 ถุง เนสมีขนม 7 9 ถุง ใครมีขนมมากกว่ากันและมากกว่าอยู่เท่าใด ก. มิ้นมีมากกว่าอยู่ 3 9 ถุง ข. มิ้นมีมากกว่าอยู่ 4 9 ถุง
64 จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ ค. เนสมีมากกว่าอยู่ 3 9 ถุง ง. เนสมีมากกว่าอยู่ 4 9 ถุง ข้อ 21. โฟโมสและวิวช่วยกันเก็บผลไม้ได้ 7 8 กระจาด ถ้าวิวเก็บได้ 5 8 กระจาด โฟโมสเก็บ ผลไม้ได้เท่าใด ก. 1 8 กระจาด ข. 2 8 กระจาด ค. 3 8 กระจาด ง. 4 8 กระจาด 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ 4.00 การวิเคราะห์ 4.10 การวิเคราะห์ความสำคัญ ข้อ 22. แม่ซื้อแตงโม 2 ลูก ลูกแรกหนัก 31 4 กิโลกรัม ลูกแรกหนักมากกว่าลูกที่สอง 5 6 กิโลกรัม แตงโมลูกที่สองหนักกี่กิโลกรัม จากโจทย์ปัญหาข้างต้นสิ่งที่โจทย์ ต้องการหาคืออะไร ก. แตงโมหนักกี่กิโลกรัม ข. แตงโมลูกที่สองหนักกี่กิโลกรัม ค. แม่ซื้อแตงโมกี่กิโลกรัม ง. ถูกทุกข้อที่กล่าวมา 4.20 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์
65 จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ ข้อ 23. มีขนมปังแถวหนึ่ง แบ่งออกเป็น 17 แผ่นเท่าๆ กัน แบ่งให้น้องไป 6 แผ่น เหลือขนม ปังคิดเป็นเศษส่วนเท่าใดของขนมปังทั้งหมด ก. 11 17 ข. 8 17 ค. 6 17 ง. 3 17 4. หาผลบวก ผลลบของ เศษส่วนและจำนวนคละ 4.30 การวิเคราะห์หลักการ ข้อ 24. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ถูกต้อง ก. 4 4 + 9 9 = 2 ข. 2 3 + 4 6 = 1 1 3 ค. 2 2 5 + 1 4 10 = 3 4 5 ง. 1 5 7 + 2 4 7 = 3 9 14 ข้อ 25. ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง ก. 4 4 − 9 9 = 2 ข. 2 3 − 4 6 = 0 ค. 2 2 5 − 1 4 10 = 3 4 10 ง. 4 5 7 − 2 4 7 = 3 9 14 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ 5.00 การสังเคราะห์ 5.10 การสังเคราะห์ข้อความ ข้อ 26. 5 10 + 2 10 วิธีคิดนี้สอดคล้องกับ โจทย์ปัญหาในข้อใด
66 จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 ก. ซีมีเค้ก 5 10 ชิ้น กินไป 2 10 ชิ้น ซีเหลือเค้กกี่ ชิ้น ข. นุ๊กมีน้ำหวานอยู่ 5 10 แก้ว เติมน้ำหวานใส่ แก้วให้อีก 2 10 แก้ว นุ๊กมีน้ำหวานเท่าใด ค. นุ่นมีขนม 5 10 ถุง แบ่งให้โฟกัส 2 10 ถุง นุ่น จะเหลือขนมเท่าใด ง. วิวมีพิซซ่า 5 10 ชิ้น แบ่งให้เพื่อน 2 10 ชิ้น วิว จะเหลือพิซซ่ากี่ชิ้น 4. หาผลบวก ผลลบของ เศษส่วนและจำนวนคละ 5.20 การสังเคราะห์แผนงาน ข้อ 27. การหาผลลัพธ์ต่อไปนี้ถูกหรือผิด 1) 2 2 5 + 1 4 10 = 3 4 5 2) 4 5 7 − 2 4 7 = 2 1 14 ก. 1) และ 2) ถูก ข. 1) และ 2) ผิด ค. 1) ถูก แต่ 2) ผิด ง. 1) ผิด แต่ 2) ถูก 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ 5.30 การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ ข้อ 28. กล้ามีพิซซ่า 5 10 ชิ้น แบ่งให้เพื่อน 2 10 ชิ้น กล้าจะเหลือพิซซ่ากี่ชิ้น เขียนเป็นประโยคสัญลักษณ์ได้อย่างไร ก. 5 10 + 2 10 = ข. 5 10 − 2 10 = ค. 5 10 × 2 10 = ง. 5 10 ÷ 2 10 =
67 จุดประสงค์ ข้อคำถาม คะแนน ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ 6.00 การประเมินค่า 6.10 การประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริง ภายใน ข้อ 29. ถังใบหนึ่งมีน้ำอยู่ 8 15 ลิตร เปิดน้ำใส่ เพิ่ม 5 15 ลิตร ถังใบนี้มีน้ำทั้งหมดเท่าใด ก. 10 15 ลิตร ข. 11 15 ลิตร ค. 12 15 ลิตร ง. 13 15 ลิตร 5. แก้โจทย์ปัญหาการ บวกการลบเศษส่วน และจำนวนคละ และ นำไปใช้ในสถานการณ์ ต่าง ๆ 6.20 การประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริง ภายนอก ข้อ 30. อุ้มซื้อมะม่วง 2 2 5 กิโลกรัม ซื้อ มะม่วงน้อยกว่าเงาะ 4 10 กิโลกรัม อุ้มซื้อเงาะกี่ กิโลกรัม ก. 2 4 5 กิโลกรัม ข. 2 2 5 กิโลกรัม ค. 2 กิโลกรัม ง. 3 กิโลกรัม ลงชื่อ ................................................. ผู้ประเมิน ( ) ตำแหน่ง . วันที่ เดือน พ. ศ. .
68 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เศษส่วน คำชี้แจง ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรุณาแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม โดยใส่เครื่องหมาย () ลงในช่องความคิดเห็นของท่าน พร้อมเขียน ข้อเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ เหมาะสม +1 ไม่แน่ใจ 0 ไม่เหมาะสม -1 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วนและสัมพันธ์กัน 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลายเหมาะสมและสอดคล้องกับ ความสามารถผู้เรียน 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติ และ สร้างความรู้ด้วยตนเอง 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับระดับชั้น 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและจุดประสงค์ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และความสามารถผู้เรียน 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และกิจกรรม 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ทักษะ และ เจตคติ ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................ ................................................................ ............................................................................................................................. ................................... (ลงชื่อ)..........................................................................ผู้เชี่ยวชาญ (.......................................................................)
69 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เศษส่วน คำชี้แจง ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรุณาแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อแบบฝึกทักษะวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน โดยใส่เครื่องหมาย () ลงในช่องความคิดเห็นของท่านพร้อมเขียน ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอ 5 4 3 2 1 แนะ 1. เนื้อหาแบบฝึกทักษะมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2. แบบฝึกทักษะมีการฝึกกระบวนการคิดและการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 3. เนื้อหาในแบบฝึกทักษะมีความสอดคล้องกันทุกขั้นตอน 4. เนื้อหาแบบฝึกทักษะเป็นไปตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้จากง่ายไปหายาก 5. แบบฝึกทักษะมีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน 6. ภาษาที่ใช้ในการทำแบบฝึกมีการใช้สำนวนภาษาได้ถูกต้อง ชัดเจน และเข้าใจ ง่าย 7. การพิมพ์แบบฝึกทักษะถูกต้องตามหลักเกณฑ์ มีภาพประกอบ รูปเล่มสวยงาม เหมาะกับการนำไปใช้ 8. แบบฝึกทักษะสามารถนำไปใช้ได้อย่างสะดวก ประหยัด และคุ้มค่า 9. ใบความรู้หลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และความสามารถผู้เรียน 10. วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และกิจกรรม หมายเหตุ 5 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด 2 หมายถึง เหมาะสมน้อย 4 หมายถึง เหมาะสมมาก 1 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................... .............................................................................................................................................. .................. ................................................................................................................................................................ (ลงชื่อ)..........................................................................ผู้เชี่ยวชาญ (.......................................................................)
70 ภาคผนวก ค ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ - การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เศษส่วน - การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์(Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เศษส่วน - การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชา คณิตศาสตร์Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เศษส่วน
71 ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เศษส่วน ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 เนื้อหาแบบฝึกทักษะมีความเหมาะสมและ สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 1 1 1 1 นำไปใช้ได้ 2 เนื้อหาในการทำแบบฝึกทักษะครอบคลุม หลักสูตร 1 0 1 0.67 นำไปใช้ได้ 3 แบบฝึกทักษะมีการฝึกกระบวนการคิดและ การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 1 1 1 1 นำไปใช้ได้ 4 เนื้อหาในแบบฝึกทักษะมีความสอดคล้องกัน ทุกขั้นตอน 1 0 1 0.67 นำไปใช้ได้ 5 เนื้อหาแบบฝึกทักษะเป็นไปตามลำดับขั้นตอน การเรียนรู้จากง่ายไปหายาก 1 1 1 1 นำไปใช้ได้ 6 แบบฝึกทักษะมีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน 1 0 1 0.67 นำไปใช้ได้ 7 ภาษาที่ใช้ในการทำแบบฝึกมีการใช้สำนวน ภาษาได้ถูกต้อง ชัดเจน และเข้าใจง่าย 1 1 1 1 นำไปใช้ได้ 8 การพิมพ์แบบฝึกทักษะถูกต้องตามหลักเกณฑ์ มีภาพประกอบ รูปเล่มสวยงามเหมาะกับการนำไปใช้ 1 0 1 067 นำไปใช้ได้ 9 แบบฝึกทักษะสามารถนำไปใช้ได้สะดวก ประหยัด คุ้มค่า 0 1 1 0.67 นำไปใช้ได้ 10 เนื้อหาเหมาะสมกับระดับนักเรียน 1 1 1 1 นำไปใช้ได้
72 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เศษส่วน ข้อ คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ คนที่ IOC แปลว่า 1 2 3 1 0 +1 0 0.33 ใช้ไม่ได้ 2 +1 +1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้ 3 +1 +1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้ 4 +1 +1 0 0.67 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 +1 +1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้ 7 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 11 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 12 +1 +1 0 0.67 ใช้ได้ 13 +1 +1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้ 14 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 15 +1 +1 0 0.67 ใช้ได้ 16 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 17 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 18 +1 +1 0 0.67 ใช้ได้ 19 +1 +1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้ 20 +1 +1 0 0.67 ใช้ได้ 21 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 22 +1 +1 0 0.67 ใช้ได้ 23 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้
73 ข้อ คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ คนที่ IOC แปลว่า 1 2 3 24 +1 +1 0 0.67 ใช้ได้ 25 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 26 +1 +1 0 0.67 ใช้ได้ 27 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 28 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 29 +1 +1 0 0.67 ใช้ได้ 30 +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้
74 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 เรื่อง การบวกเศษส่วน ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ ครบถ้วนและสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 นำไปใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ + 1 + 1 + 1 1.00 นำไปใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ + 1 +1 +1 1.00 นำไปใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลายเหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถผู้เรียน +1 +1 +1 1.00 นำไปใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 นำไปใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 นำไปใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ จุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 นำไปใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และความสามารถผู้เรียน +1 +1 +1 1.00 นำไปใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 นำไปใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจนครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 นำไปใช้ได้
75 ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์ทางสถิติ - ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน - ผลการทดสอบค่าเฉลี่ยของสมมติฐานทางสถิติ(t-test for Dependent Sample)
76 ผลการหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน ข้อ ที่ ประสิทธิภาพของแบบทดสอบ ผลการ วิเคราะห์ ค่าความยาก ง่าย (p) ค่าอำนาจ จำแนก (r) 1 0.75 0.80 ใช้ได้ 2 0.70 0.80 ใช้ได้ 3 0.65 0.60 ใช้ได้ 4 0.70 0.40 ใช้ได้ 5 0.70 0.68 ใช้ได้ 6 0.50 0.68 ใช้ได้ 7 0.55 0.63 ใช้ได้ 8 0.45 0.42 ใช้ได้ 9 0.60 0.40 ใช้ได้ 10 0.65 0.68 ใช้ได้ 11 0.60 0.88 ใช้ได้ 12 0.55 0.88 ใช้ได้ 13 0.45 0.75 ใช้ได้ 14 0.70 0.68 ใช้ได้ 15 0.60 0.42 ใช้ได้ 16 0.65 0.47 ใช้ได้ 17 0.55 0.47 ใช้ได้ 18 0.45 0.55 ใช้ได้ 19 0.63 0.42 ใช้ได้ 20 0.50 0.63 ใช้ได้ หมายเหตุ การพิจารณาค่าความยาก (p) ที่พอเหมาะ ควรมีค่าตั้งแต่ 0.20 – 0.80 การพิจารณาค่าอำนาจจำแนก (r) ที่พอเหมาะ ควรมีค่าตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป
77 ผลการทดสอบค่าเฉลี่ยของสมมุติฐานทางสถิติ (t-test for One Sample) ระหว่างคะแนนหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Microsoft Excell One - Sample Statistics N Mean Std. Deviation Std. Error Mean หลังเรียน 26 16.54 1.749 0.343 One - Sample Test Test Value = 14 t df Sig.(2- tailed) Mean Difference 99 % Confidence Interval of Difference Lower Upper หลัง เรียน 7.401 25 0.000 2.538 1.582 3.494 การทดสอบค่าเฉลี่ยของสมมติฐานทางสถิติ (t-test for Dependent Sample) ระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel Paired Samples Statistics N Mean Std. Deviation Std. Error Mean Pair 1 ก่อนเรียน 26 5.38 1.329 0.261 หลังเรียน 26 16.54 1.749 0.343 Paired Samples Statistics N Correlation Sig. Pair 1 ก่อนเรียน กับ หลัง เรียน 26 0.011 0.959
78 Paired Samples Statistics Paired Difference t df Sig. (2- tailed ) Mean Std. Deviatio n Std. Error Mean 99 % Confidence Interval of the Difference Lower Upper ก่อนเรียน กับ หลังเรียน 11.15 2.185 0.429 9.959 12.348 26.026 25 0.000
79 ภาคผนวก จ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เศษส่วน - แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน - ตัวอย่างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน - แบบฝึกทักษะ เรื่อง เศษส่วน
80 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เศษส่วน เวลา 20 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 การบวกเศษส่วน ชั่วโมงที่ 14 วันที่……...เดือน………………….พ.ศ. …………. ผู้สอน นางสาววิภาวรรณ แย้มยิ้ม มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การดำเนินการของ จำนวน ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ สมบัติของการดำเนินการ และนำไปใช้และนำไปใช้ ตัวชี้วัด ค 1.1 ป.4/13 หาผลบวก ผลลบของเศษส่วนและจำนวนคละที่ตัวส่วนตัวหนึ่งเป็นพหุคูณ ของอีกตัวหนึ่ง สาระสำคัญ การบวกเศษส่วนที่มีตัวส่วนไม่เท่ากัน ต้องทำตัวส่วนให้เท่ากันก่อน แล้วจึงนำตัวเศษมาบวกกัน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เมื่อเรียนจบบทเรียนนี้แล้วนักเรียนสามารถ 1. อธิบายการบวกเศษส่วนที่มีตัวส่วนไม่เท่ากันได้ (K) 2. บวกเศษส่วนที่มีตัวส่วนไม่เท่ากันได้ (P) 3. รับผิดชอบต่อภาระงานที่กำหนดให้ได้(A) สาระการเรียนรู้ การบวกเศษส่วนที่มีตัวส่วนไม่เท่ากัน กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูกล่าวทักทายนักเรียน และแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ 2. ครูนำภาพเศษส่วนที่มีตัวส่วนเท่ากันให้นักเรียนดู แล้วร่วมกันตอบคำถาม ดังนี้ - ถ้านำเศษส่วนในภาพทั้งสองมารวมกันจะทำได้หรือไม่ ถ้ารวมกันได้จะมีค่าเท่าไรและภาพ ที่ได้จะมีลักษณะใด ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายจากภาพ
81 (เมื่อนำ 1 5 และ 2 5 มารวมกันจะได้1+2 5 = 3 5 โดยนำเศษมาบวกกัน แล้วมีตัวส่วนคงเดิม) ขั้นสอน 3. ครูยกตัวอย่างการบวกเศษส่วนที่มีตัวส่วนตัวหนึ่งเป็นพหุคูณของตัวส่วนอีกตัวหนึ่ง ดังนี้ 3.1 3.2 ขั้นสรุป 4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ ดังนี้ การบวกเศษส่วนที่มีตัวส่วนไม่เท่ากัน ต้องทำตัวส่วนให้เท่ากันก่อน แล้วจึงนำตัวเศษมาบวกกัน ขั้นนำไปใช้ 5. ครูให้นักเรียนทำทำแบบฝึกทักษะที่ 9
82 สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 1. สื่อการเรียนรู้ 1.1 หนังสือแบบฝึกหัดรายวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 1.2 หนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 1.3 แบบฝึกทักษะที่ 6 การวัดและการประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ เครื่องมือ/วิธีการ เกณฑ์การประเมิน 1. อธิบายการบวกเศษส่วนที่มีตัวส่วน ไม่เท่ากันได้ (K) แบบสังเกตการตอบคำถาม ในชั้นเรียน ได้ผลการประเมินระดับ ดี ขึ้นไป 2. บวกเศษส่วนที่มีตัวส่วนไม่เท่ากันได้ (P) ตรวจทำแบบฝึกทักษะที่ 9 มีความถูกต้องร้อยละ 70 ขึ้นไป 3. รับผิดชอบต่อภาระงานที่กำหนดให้ ได้(A) แบบสังเกตพฤติกรรมความ รับผิดชอบ ได้ผลการประเมินระดับ ดี ขึ้นไป
83
84
85
86 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการทำงาน คำชี้แจง : ให้ผู้สังเกตพิจารณาคุณภาพพฤติกรรมของผู้เรียนแต่ละคนและเขียนเครื่องหมายลงในช่อง ระดับคะแนน ล ำดับที่ พฤติกรรม/ระดับคะแนน ควำม รับผิดชอบ งำนที่ ได้รับ มอบหมำย กำรมีส่วน ร่วมในกำร ท ำ กิจกรรม ควำมตั้งใจ ในกำร ท ำงำน รวม คะแนน ผลสรุป ชื่อ-สกุล 3 2 1 3 2 1 3 2 1 ผ่าน ไม่ผ่าน 1 เด็กชำยวีรภัทร ชมภู 2 เด็กชำยพัชรพล พนำลิกุล 3 เด็กชำยพงษ์พิชญ์พิทักษ์ธำนินทร์ 4 เด็กชำยวงศ์วัชร ใจแก้ว 5 เด็กชำยกิรติกร แก้วโภคำ 6 เด็กชำยกมลโลจน์ ธำรำเสำวรภย์ 7 เด็กชำยปัณณวัฒน์ รอดนิกรณ์ 8 เด็กชำยชำคริต ไทยเจริญ 9 เด็กชำยณภัทร วีศรี 10 เด็กชำยกฤษณะ แก้วชูฟอง 11 เด็กชำยณเดชน์ ใจขำน 12 เด็กชำยณัฏฐกิตติ์ฤทธิ์วิรุฬห์ 13 เด็กชำยพชรกร สอนชำ 14 เด็กชำยเตชิต เหมือนเหลำ 15 เด็กชำยพิชญะ พันธุ์บุตร 16 เด็กชำยศรัณย์ภัทร สุรำช 17 เด็กหญิงพุธลักษณ วงศ์ใหญ่ 18 เด็กหญิงกุลจิรำ อำษำนำม 19 เด็กหญิงณธิดำ ภูมิเพ็ง 20 เด็กหญิงวชิรำภรณ์ วันทอง 21 เด็กหญิงณัชริญำ เหลืองจิตวัฒนำ 22 เด็กหญิงกรรฐภร เลิศล ้ำ 23 เด็กหญิงศิรินทิพย์ช่วยชัย 24 เด็กหญิงธีรำพร สวัสดิ์ผดุงกิจ 25 เด็กหญิงกำญจนำภรณ์ อินเพ็ง 26 เด็กหญิงนิรชำ จันทร์ศร
87 เกณฑ์การประเมินผลการทำงาน ที่ ประเด็นการประเมิน เกณฑ์การประเมิน 3 2 1 1 ความรับผิดชอบงาน ที่ได้รับมอบหมาย -ผลงานสำเสร็จ ตามเวลาที่กำหนด -ถูกต้อง -สะอาด เรียบร้อย สามารถปฏิบัติได้ เพียงบางรายการ ไม่สามารถปฏิบัติได้ ตามรายการที่กำหนด 2 การมีส่วนร่วมใน การทำกิจกรรม -ให้ความร่วมมือในการตอบ คำถาม -รับฟังและแสดงความคิดเห็น ร่วมกันกับเพื่อน -แนะนำและช่วยเหลือเพื่อน ในห้อง สามารถปฏิบัติได้ เพียงบางรายการ ไม่สามารถปฏิบัติได้ ตามรายการที่กำหนด 3 ความตั้งใจในการ ทำงาน -ทำงานทุกครั้งที่ได้รับ มอบหมาย -ไม่รบกวนผู้อื่นเวลาทำงาน - แก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นด้วยตนเอง สามารถปฏิบัติได้ เพียงบางรายการ ไม่สามารถปฏิบัติได้ ตามรายการที่กำหนด ระดับคุณภาพ ระดับคุณภาพ 3 หมายถึง ดีมาก คะแนนรวม 7 - 9 ระดับคุณภาพ 2 หมายถึง ดี คะแนนรวม 4 - 6 ระดับคุณภาพ 1 หมายถึง พอใช้ คะแนนรวม 1 – 3 เกณฑ์การประเมิน ผ่าน ได้คะแนน 4 คะแนนขึ้นไป หรือ ระดับคุณภาพ 2 (ดี) ขึ้นไป ไม่ผ่าน ได้คะแนน 0 – 3 คะแนน
88 ความคิดเห็นของครูพี่เลี้ยง ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ของ นางสาววิภาวรรณ แย้มยิ้ม แล้ว มีความเห็นดังนี้ 1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ □ ดีมาก □ ดี □ พอใช้ □ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ □ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม □ ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงและพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ □ นำไปใช้ได้จริง □ ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ……………….............................................................................................................................................. ………………....................................................................................................................... ....................... ………………....................................................................................................................... ....................... ....………………................................................................................................ .......................................... ลงชื่อ (นางขนิษฐา นรินทร์) ครูพี่เลี้ยง
89 ความคิดเห็นของผู้บริหาร/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ของ นางสาววิภาวรรณ แย้มยิ้มแล้ว มีความเห็นดังนี้ 1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ □ ดีมาก □ ดี □ พอใช้ □ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ □ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม □ ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงและพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ □ นำไปใช้ได้จริง □ ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ………………....................................................................................................................... ....................... ……………….............................................................................................................................................. .………………....................................................................................................................... ...................... .....………………...................................................................................................................................... ... ลงชื่อ (นางวิภาพรรณ สุทธิประภา) รองผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลอุดรธานี
90 แบบทดสอบหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง เศษส่วน รายวิชาคณิตศาสตร์ ค14101 สอบวันที่ ……… เดือน ..................... พ.ศ. 2564 ภาคเรียนที่ 2/2565 คำชี้แจง 1. แบบทดสอบฉบับนี้มี มีทั้งหมด 20 ข้อ ใช้เวลาในการทำข้อสอบ 40 นาที 2. ข้อสอบแต่ละข้อมีคำตอบให้เลือก 4 คำตอบ ให้นักเรียนเลือกคำตอบ ที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว 3. ในการตอบให้นักเรียนขีด X ลงในช่องอักษร ก ข ค หรือ ง ในกระดาษคำตอบ ที่ตรงกับอักษรหน้าคำตอบที่ ถูกต้อง ข้อ 1. ส่วนที่ระบายสีตรงกับข้อใด ก. 3 4 ข. 5 4 ค. 5 8 ง. 3 8 ข้อ 2. ข้อใดไม่ใช่เศษส่วนแท้ ก. 2 3 ข. 3 5 ค. 5 6 ง. 6 6 ข้อ 3. เศษส่วนในข้อใดมีค่าเท่ากับ 7 8 ก. 1 8 ข. 7 16 ค. 14 24 ง. 35 40 ข้อ 4. ข้อใดเรียงลำดับเศษส่วนจากค่าน้อยไปหาค่า มาก ก. 1 2 , 2 3 , 3 4 ข. 1 2 , 3 4 , 2 3 ค. 2 3 , 1 2 , 3 4 ง. 3 4 , 2 3 , 1 2 จงใช้รูปภาพต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 5. - 6. ข้อ 5. คุณปู่ได้รับวุ้นกะทิกี่ถาด ก. 1 3 ถาด ข. 1 4 ถาด ค. 1 6 ถาด ง. 1 12 ถาด