The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทำเนียบแหล่งเรียนรู้อำเภอวาริชภูมิ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ณัชวดี ศรีกูลกิจ, 2023-03-22 23:45:44

ทำเนียบแหล่งเรียนรู้อำเภอวาริชภูมิ

ทำเนียบแหล่งเรียนรู้อำเภอวาริชภูมิ

ท ำเนียบแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญำท้องถิ่น อ ำเภอวำริชภูมิ จังหวัด สกลนคร ห้องสมุดประชำชน “เฉลิมรำชกุมำรี” อ ำเภอวำริชภูมิ ศูนย์กำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัยอ ำเภอวำริชภูมิ ส ำนักงำนส่งเสริมกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัยจังหวัด สกลนคร กระทรวงศึกษำธิกำร


คำนำ ทำเนียบแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอวาริชภูมิ ประจำปีงบประมาณ 2566 จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น การดำเนินชีวิตและ การทำอาชีพของชาวอำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร มีจำนวน 5 ตำบล ดังนี้ 1) ตำบลวาริชภูมิ 2) ตำบล ปลาโหล 3) ตำบลคำบ่อ 4) ตำบลหนองลาด 5) ตำบลค้อเขียว เพื่อง่ายและสะดวกต่อการค้นหาข้อมูลผ่าน ช่องทางออนไลน์ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอวาริชภูมิจึงได้จัดทำทะเบียนแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญา ท้องถิ่น ซึ่ง ประกอบด้วย ชื่อแหล่งเรียนรู้ สถานที่ตั้ง องค์ความรู้และวัตถุประสงค์ รายละเอียดแหล่ง เรียนรู้/หมวดหมู่ย่อย รวมทั้งชื่อผู้รับผิดชอบ คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทำเนียบแหล่งเรียนรู้ ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอวาริชภูมิประจำปีงบประมาณ 2566 เล่มนี้จะ เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจต่อไป ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอวาริชภูมิ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอวาริชภูมิ จังหวัด สกลนคร


เจ้าปู่มเหสักข์ ประวัติความเป็นมาเจ้าปู่มเหสักข์ เมื่อชาวผู้ไทยอพยพข้ามโขงเดินทางมาถึงเมืองสกลนคร จึงได้เข้ามาตั้งที่พักชั่วคราวใน สนามมิ่งเมืองใกล้ ๆ บ้านเจ้าเมืองสกลนคร โดยมีผู้นำชื่อว่าท้าวราชนิกูลเป็นหัวหน้าควบคุม ผู้คนอพยพเข้ามาใน พ.ศ.2387 ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นสมัยที่ชนกลุ่มเมืองต่าง ๆ ได้เรียกร้องขอตั้งเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นหลายแห่ง ท้าวราชนิกูล ซึ่งอดทนมาเป็นเวลาแรมปี จึงขออนุญาตพาไพร่พลออกไปตั้งบ้านเมือง แต่กลับถูกขัดขวางไม่ ยอมยกพื้นที่แห่งหนึ่งแห่งใดให้ตั้งเมือง กลับแต่งตั้งให้บุตรท้าวราชนิกูล อีกคนหนึ่งเป็นนาย หมวด นายกองควบคุมชาวผู้ไทยแทน


ท้าวราชนิกูลเห็นว่าการเจรจาไม่เป็นผลจึงนำอพยพไพร่พลมุ่งไปทางทิศตะวันตก ออกจากเมือง สกลนคร เจ้าเมืองสกลนครได้นำไพร่พลออกขัดขวางแต่ก็ไม่เป็นผล คงนำไพร่พลออกเดินทางไป ตั้งบ้านเรือนที่บ้านหนองหอย ใกล้กับที่ตั้งอำเภอวาริชภูมิในปัจจุบัน ใน พ.ศ. 2416 ซึ่งเป็น ระยะเวลาที่ชาวไทโย้ย ตั้งเมืองวานรนิวาสได้แล้ว การตั้งบ้านเรือนที่บ้านหนองหอยในระยะนั้น ถือว่ายังอยู่ในเขตเมืองสกลนคร และเป็น เมืองที่ยังมิได้รับในตราภูมิอนุญาตให้ตั้งเมือง ด้วยปัญหาดังกล่าวท้าวสุพรหม บุตรท้าวราชนิกูล จึงได้ขอพึ่งบารมีพระพิทักษ์เขตขันธ์เจ้าเมืองหนองหาน ท้าวสุพรหม ได้พาบ่าวไพร่เดินทางไป กรุงเทพฯ เข้าร้องเรียนต่อพระยาภูธราภัย เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองแต่เนื่องจากไม่มีใบบอกของเจ้าเมืองสกลนครก็ไม่อาจนำ ความขึ้นกราบ บังคมทูลได้ ท้าวสุพรหมจึงเดินทางกลับมาและได้รับการยกบ้านป่าเป้าเมืองไพร ในเขตหนอง หาน ให้เป็นเมืองของชาวผู้ไทยแทน ต่อมาเมื่อเกิดศึกฮ่อใน พ.ศ.2418 กองทัพของพระยามหา อำมาติย์ (ชื่น) เดินทัพขึ้นไปที่หนองคาย ท้าวสุพรหมได้คุมเลกไพร่ของตน 30 คน เข้าร่วมกับ กองทัพของพระพิทักษ์เขตขันธ์ เจ้าเมืองหนองหาน ในการปราบฮ่อ เมื่อเสร็จศึกฮ่อแล้ว ท้าวสุ พรหมได้ทูลขอ บ้านผ้าขาวแขวงเมืองสกลนคร เป็นเมืองขึ้น แต่พระยาประจันตประเทศธานีคัดค้าน พระพิทักษ์เขตขันธ์จึงขอตั้งบ้านป่าเป้าเมืองไพร่ เป็นเมืองวาริชภูมิให้ท้าวสุพรหม เป็นพระ สุรินทร์บริรักษ์ เจ้าเมืองวาริชภูมิ ขึ้นเมืองหนองหาน เมื่อ พ.ศ.2420 ในสมัยกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการหัวเมือง มณฑล อุดรธานี ได้มีคำสั่งให้เมืองวาริชภูมิ โอนมาทำราชการที่เมืองสกลนคร ใน พ.ศ.2435 โดยได้ กรมการเมืองวาริชภูมิยังคงตำแหน่งเดิมทุกคน ใน พ.ศ. 2441 (ร.ศ.117) ได้ประกาศยกเลิก ตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงค์ ราชบุตรมาเป็นตำแหน่งข้าราชการส่วนกลางเช่นปัจจุบัน ชาววาริชภูมิเชื่อในความมีจริงของอิทธิฤทธิ์เจ้าปู่มเหสักข์ของตนว่าสามารถ เป็นที่พึ่งใน ยามคับขันให้ตนได้ ทั้งยังมีเรื่องเล่าสืบเนื่องต่อกันมาช้านานในอิทธิฤทธิ์ของเจ้าปู่ ดังความตอน หนึ่งว่า ในสมัยอดีต ขุนเพายาว เจ้าเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู มีบุตรชาย 2 คน ชื่อเจ้าหุน และเจ้า หาญ ขุนเพายาว ได้ปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินด้วยความสุข ผู้คนมีมากด้วยทรายหลายดังน้ำ ต่างก็มีอันจะกิน สร้างบ้านแปลงเมือง อยู่มานานหลายปีถึงช่วงระยะหนึ่งบ้านเมืองประสบภาวะ ฝนแล้ง ข้าวไร่นาเสียหาย เก็บเกี่ยวไม่ได้ผล ประกอบกับความแห้งแล้ง มีติดต่อกันมาหลายปี ขุนเพายาวพร้อมครอบครัว บ่าว นาย ไพร่ จึงได้อพยพลงมาทางใต้ ขบวนเดินทางรอนแรมผ่าน ป่า ผ่านเขา เป็นเวลาช้านานหลายเดือน เนื่องจากขบวนประกอบด้วยผู้คนจำนวนมาก ขบวน เดินเท้าจึงหยุดพักผ่อนตั้งค่ายพักแล้ว จึงเดินทางต่อเป็นอย่างนี้เรื่อยมา ช่วงเวลาหนึ่งขุนเพา ยาวได้สั่งให้ขบวนหยุดพัก ตั้งค่ายพัก ณ ที่แห่งหนึ่งด้วยเห็นเป็นทำเลที่เหมาะ และในวันหนึ่ง ขณะที่ผู้คนต่างออกหาเสบียง เจ้าหาญลูกชายขุนเพายาว ผู้น้อง ยิงกวางตัวหนึ่งจนบาดเจ็บ วิ่ง


หนีไปได้ เจ้าหาญจึงได้แกะรอยเข้าไปอย่างใกล้ชิด จนไปพบกวางตัวนั้นนอนตายที่หน้าเจ้าหุนผู้ เป็นพี่ ต่างฝ่ายต่างเลยเถียงกันว่า กวางตัวนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ต่างฝ่ายโต้เถียงอย่างไม่ละ ลดไม่ยอมกัน ร้อนถึงขุนเพายาวผู้เป็นบิดาต้องมาช่วยตัดสินปัญหา ขุนเพายาว ตัดสินให้กวาง ตัวนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าหุน ทำให้เจ้าหาญผู้เป็นน้องเสียใจว่าบิดาไม่รัก ไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ เข้าข้างผู้เป็นพี่ชาย ความรู้สึกน้อยใจทำให้เจ้าหาญชักชวนบ่าวไพร่ และผู้รักใคร่พร้อมด้วยครอบครัวอพยพ ออกจากขบวนของบิดา ไปหาถิ่นที่อยู่ใหม่ปรากฏว่ามีผู้ติดตามไปจำนวนมาก ขบวนอพยพรอน แรมป่าอยู่หลายวัน ผู้คนได้รับความลำบากเป็นอันมาก จึงได้หันไปพึ่งผีฟ้า ซึ่งชาวผู้ไทยนับถือ เช่นเดียวกับชาวฮ่อ เจ้าหาญคิดว่าต่อไปข้างหน้าขบวนอพยพของตนอาจได้รับความลำบาก ได้รับอันตราย ตลอดจนอุปสรรคต่าง ๆ อาจถึงมีศึกสงครามเป็นแน่แท้ แต่ก็จนใจที่ชาวผู้ไทยไม่ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเจ้ายึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งทางใจคุ้มภัยให้เลย ครั้นขบวนอพยพมาถึงธารน้ำแห่ง หนึ่ง ด้านหลังมีภูเขาใหญ่มีหน้าผาสูงชัน แหงนคอตั้งบ่าเจ้าหาญจึงสั่งให้ขบวนหยุดและตั้งค่าย พักขึ้น และพาไพร่พลจำนวนหนึ่งสร้างศาลขึ้นหลังหนึ่งด้านหลังค่ายพักหน้าผาสูงแห่ง นั้นแล้ว ต่อมาเมื่อเห็นผู้คนหายเหนื่อยแล้ว จึงนำผู้คน บ่าวไพร่ พร้อมใจกันอธิษฐาน อัญเชิญเทพยดา ฟ้าดิน เจ้าภูผา เจ้าป่าเจ้าเขา ให้มาสถิตอยู่ ณ ศาลนั้น ขอให้เป็นกำแพงคุ้มกันขบวนของชาวผู้ ไทยตลอดไป ครั้นทำพิธีเสร็จได้พร้อมกันหาดอกไม้ธูปเทียนบูชา จัดสำรับกับข้าวคาวหวานเลี้ยง และเรียกชื่อเทพสถิตอยู่ ณ ศาลแห่งนี้ว่า "เจ้าปู่มเหสักข์" ผู้คนในขบวนต่างก็ร่วมฉลองเป็นการ ใหญ่ ขบวนอพยพได้รอนแรมเรื่อยมา ค่ำลง ณ ที่ใดก็ตั้งค่ายพัก เจอที่เหมาะก็พักหลายวัน ตั้ง ค่ายลงที่ใดก็ตั้งศาลเจ้าปู่ขึ้นไว้ เคารพบูชามิได้ขาด จากนั้นขบวนก็มุ่งลงใต้เรื่อยมา พอถึงฤดูฝน การเดินทางลำบากก็หยุดพักขบวน พอเข้าหน้าแล้งก็ออกเดินทางต่อไป ตกบ่ายวันหนึ่งขบวน อพยพผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ อากาศร้อนอบอ้าวมากได้เกิดไฟป่าโดยมิได้คาดฝัน ไฟได้ไหม้ลุก ล้อมขบวนทุกด้านอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างจวนตัวไม่รู้ว่าจะไปทางทิศใด เจ้าหาญเห็นจวนตัวนึก อะไรไม่ออกจึงพนมมือตั้งจิตวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อ เจ้าปู่มเหสักข์ว่า "บัดนี้ลูกหลานได้รับ ความลำบากยิ่งถึงคราวจวนตัวไฟป่ามาถึงแล้ว ขอบารมีท่านช่วยขจัดปัดเป่าช่วยคุ้มภัยช่วยเป็น กำแพงกันไฟป่าให้ลูกหลานด้วย ท่ามกลางเสียงร้องคร่ำครวญกู่เรียกหา และเสียงกิ่งไม้ถูกไฟป่า เผาผลาญ ปาฏิหารย์ของเจ้าปู่ก็ปรากฏไฟป่าอ่อนตัวลง บ้างก็ดับ บ้างก็เปลี่ยนทิศทาง ไม่นาน ท้องฟ้าก็แจ่มใสอากาศโปร่งเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก คนทั้งปวงเห็นนิมิตเป็นมงคล เมื่อตั้งค่ายพัก แรมในค่ำวันนั้น เจ้าหาญจึงให้จัดพิธีบวงสรวงเจ้าปู่ขึ้น ดังนั้นการเซ่นสรวงสำหรับผู้ตกทุกข์ขอ ความช่วยเหลือจึงมีมาตั้งแต่นั้นเป็น ต้นมา


เมื่อชาวผู้ไทยในสมัยของท้าวสุพรหม ผู้เป็นบุตรของท้าวราชนิกูลได้เป็นเจ้าเมืองคน ต่อมา ได้รับพระราชทานทินนามเป็นพระสุรินทร์บริรักษ์และขอพระราชทานเมืองหนองหอย ขึ้นเป็นเมืองวาริชภูมิ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้อัญเชิญเจ้าปู่มเหสักข์ แล้วตั้งศาลเจ้าปู่ขึ้นบริเวณที่ ดอนซึ่งเป็นป่ารกทึบ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร (คือบริเวณบ้านนายสาย ใกล้ฝน ใน ปัจจุบัน) และใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่จัดพิธีเซ่นสังเวยเจ้าปู่มเหสักข์ทุกปี แต่ศาลเจ้าปู่แห่งนี้ไม่ สะดวกสำหรับชาววาริชภูมิ ที่ต้องการไปไหว้เจ้าปู่เพราะเป็นป่ารกทึบ จึงได้สร้างศาลจำลองขึ้น หลังหนึ่งไว้ที่บ้านเจ้าจ้ำ (นายทองเพื่อน เหมะธุลิน) จวบจนสามารถสร้างศาลเจ้าปู่มเหสักข์จาก ที่ดอนมาประดิษฐานไว้ในที่แห่งนี้ ชาวผู้ไทยวาริชภูมิมีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิของเจ้าปู่มเหสักข์ว่า นอกจากจะสามารถ คุ้มครองป้องกันภัยต่าง ๆ ได้แล้ว การคุ้มครองป้องกันอัคคีภัยไหม้บ้าน เมื่อเกิดเหตุยังสามารถ พึ่งบารมีได้อย่างชงัด นอกจากนี้ยังปรากฏนิมิตร่างของเจ้าปู่เป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น เสือ ลายพาดกลอน งูใหญ่ สุนัขสีขาว หรือปรากฏในความฝันว่าเป็นชายร่างใหญ่ ผิวดำ เสียงดัง มี อำนาจ แต่งกายนักรบโบราณ มือถือดาบ หน้าอิ่มเป็นลักษณะผู้ดี มีสกุลเป็นชั้นเจ้าตามบุคลิก ของผู้นำที่สามารถ พิธีกรรม ประเพณีในการทำพิธีเซ่นสังเวยเจ้าปู่มเหสักข์ ในสมัยก่อนมักทำในช่วงเดือนมีนาคมของ ทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ชาวนาเก็บเกี่ยวเสร็จ มีเงินทองจับจ่ายอย่างสะดวก เป็นช่วงเวลา ที่เดินทางสะดวกก่อนถึงฤดูฝนและมักจะทำพิธีสามปีต่อครั้ง ดังที่กล่าวกันว่า "สองปีฮาม สามปี คอบ" โดยการเซ่นสังเวยในยุคนั้นเชื่อว่า วัว-ควาย ที่ถึงคราวหมดอายุขัยจะมาตายเองที่ศาลเจ้า ปู่ ผู้คนเตรียมเครื่องปรุงอาหารไว้ให้พร้อมเพื่อทำลาบแดง ลาบขาว เนื้อหาบ เนื้อคอน ถวายเจ้า ปู่ก่อนหลังจากนั้น ลูกหลานเจ้าปู่จึงบริโภคให้หมดให้สิ้นห้ามนำกลับบ้าน อย่างไรก็ดีพิธีกรรมดังกล่าวในปัจจุบันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยเฒ่าจ้ำและผู้รับ ภาระหน้าที่จะจัดเครื่องเซ่นสังเวย อาหารคาว พานบายศรี ขันธ์ 5 ขันธ์ 8 ตามธรรมเนียมเพื่อ ไหว้เจ้าปู่ ในตอนเช้ามีการแสดง เช่น หมอลำให้ประชาชนชมในช่วงกลางวัน ส่วนในภาค กลางคืนเป็นการชุมนุมพี่น้องลูกหลานชาวผู้ไทย กะป๋องวาริชภูมิ หน้าศาลเจ้าปู่ มีการแสดง ฟ้อนรำผู้ไทยกะป๋อง ฟ้อนบายศรีขณะเดียวกันก็จะมีการผูกข้อต่อแขนให้ศีลขอพรจากผู้เฒ่าผู้ แก่ วันที่ 6 เมษายน ของทุกปี จึงเป็นวันที่มีความหมายของชาวผู้ไทยวาริชภูมิทั้งที่อยู่ใกล้และ ไกลที่จะ ต้องพยายามมา "ตุ้มโฮม" รวมพี่รวมน้องชาวผู้ไทยภาพที่ชาวผู้ไทยหลั่งไหลเข้ากราบ ไหว้บูชารูปปั้นเจ้า ปู่มเหสักข์ไม่ขาดสายท่ามกลางเสียงอวยชัยอวยพรของตนนับหมื่นคนกลาง ลานหน้า ศาลเจ้าปู่มเหสักข์ แสดงถึงความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างหาได้ยาก ของสังคมชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเจ้าปู่มเหสักข์เป็นสายโยง ใยให้ศรัทธาความเชื่อของผู้คน เหล่านี้มารวมกันได้อย่างน่าสรรเสริญ ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.openbase.in.th/node/7423


Cr.รูปภาพจาก เทศบาลตำบลปลาโหล,เทศบาลตำบลวาริชภูมิ, สกลนครซิตตี้


วัดพระธาตุศรีมงคล ประวัติความเป็ นมาวัดพระธาตุศรีมงคล บริเวณที่ตั้งบ้านธาตุ แต่เดิมพื้นที่เป็นป่าดง ครั้งแรกได้มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่อำเภอวาริชภูมิ ปัจจุบันนี้ เดิมเรียกว่าเมืองวารี มีนายเวียงแก โฮมวงศ์ เป็นหัวหน้านายจันทะเนตร โฮมวงศ์นายเมืองกาง หัศกรรจ์ หลวงแก้ว ไม่นามสกุล นายบุตราช บุญรักษานายจันด้วง แก้วคำแสน ได้พากันออกมาหักร้าง ถาง พงไพรเพื่อทำไร่พอถางลึกเข้าไปจึงพบองค์พระธาตุร้างอยู่ในดง จึงชะงักการถากถางเพราะกลัวอำนาจของ พระธาต์นี้ลงโทษ ดังนั้นจึงได้นิมนต์ท่านพระครูหลักคำ ประธานสงฆ์เมืองวารี ท่านเห็นว่าสถานที่บริเวณนี้ เป็นมงคลเหมาะที่จะสร้างหมู่บ้าน จึงได้พร้อมใจกันถากถางบริเวณพระธาตุร้างนี้พร้อมได้ทําบุญอุทิศส่วน กุศลแผ่ไปให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาองค์พระธาตุและได้สร้างวัดตรงนี้ ท่านพระครูหลักคำได้ตั้งชื่อว่า วัดธาตุ ศรีมงคล เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2444 และเรียกหมู่บ้านธาตุ ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 28 เดือนพฤศจิกายน พ. ศ. 2526 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จมา ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและยกฉัตรเจดีย์พระธาตุศรีมงคล ได้พระราชทานนามวัดธาตุศรีมงคลใหม่ เป็น วัดพระธาตุศรีมงคล จนปัจจุบันนี้ ส่วนวัดพระธาตุศรีมงคล ได้มีเจ้าอาวาสปกครองดูแลตามลำดับนับตั้งแต่เจ้าอาวาสรูปแรก พ.ศ. 2444 คือ พระครูพร ซึ่งเป็นลูกหลานผู้ไทบ้านธาตุมาจนถึงท่านพระครูวิธาน ปริยัติธรรม รวมทั้งหมด 14 รูป กล่าวกันว่าพระธาตุแห่งนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ผู้ครองเมืองเวียงจันทร์ วันเสาร์แรกของเดือนเมษายน พี่น้องชาวบ้านธาตุ บ้านธาตุพัฒนาและพุทธศาสนิกชนพร้อมใจ จัดงานนมัสการองค์พระธาตุศรีมงคลขึ้นทุกปีพ.ศ.2566 ชาวบ้านและคณะกรรมการหมู่บ้านได้ประชุม เปลี่ยนกำหนดการ จัดงานนมัสการองค์พระธาตุศรีมงคล เป็นวันที่ 6 พฤษภาคม ของทุกปี


การปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุศรีมงคล พ.ศ. 2516-2526 วัดพระธาตุศรีมงคลทำการปฏิสังขรณ์ครั้งแรก พ.ศ. 2472 โดยท่านพระครูทัน เป็นผู้ควบคุมในการรื้อถอน และปฏิสังขรณ์ ครั้ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2516 อาจารย์สัทธา อินทรพาณิช พร้อมด้วยชาวบ้านได้ปรึกษาหารือ กันให้ทำการปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุศรีมงคลขึ้นมา เมื่อวันที่ 8 เดืนเมษายน พ.ศ. 2516 โดยสร้างเป็น คอนกรีตเสริมเหล็กที่ฐานปิดด้วยปฏิมากรรมปั้นดินเผาเป้นภาพพุทธประวัติ การปฏิสังขรณ์ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 1 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2560 ถึงวันที่28 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 โดยการนำของท่านพระครูวิธานปริยัติธรรม รองเจ้าคณะอำเภอวาริชภูมิ พร้อมด้วยชาวบ้าน ธาตุ บ้านธาตุพัฒนาคณะลูกหลานที่สำนึกรักบ้านเกิด ได้ร่วมกันเพื่อปฏิสังขรณ์เพื่อมีสภาพสง่างามดังเดิม เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มาสักการะตลอดไปใช้งบประมาณการบูรณปฏิสังขรณ์ในครั้งนี้ พระครูวิธาน ปริยัติธรรม รองเจ้าคณะอำเภอวาริชภูมิ/เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีมงคล ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล https://pukmudmuangthai.com/detail/27924


ประวัติภูมิปัญญาท้องถิ่น การทำข้าวฮางสกลทวาปี ประวัติของข้าวฮางสกลทวาปี ข้าวฮางหอมสกลทวาปี คือข้าวหอมมะลิ 105 ที่ผ่านกรรมวิธีนึ่งก่อนนำไปสีเป็นข้าวสาร คือข้าวฮาง หอมทองสกลทวาปีสามารถรักษาคุณค่าทางโภชนาการและคุณภาพของข้าว ให้อยู่ได้มากกว่าขั้นตอนการสี ข้าวโดยทั่วไป ข้าวฮางหอมทองสกลทวาปี เป็นสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อของตำบลปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ มีจุดเด่นคือเมล็ดข้าวไม่แตกหักจมูกข้าวไม่หลุด มีรำข้าวและเส้นใยอาหารยังอยู่ครบ เมื่อ กะเทาะเปลือกออกคุณค่าทางอาหารจึงไม่สูญเสียไป การทำข้าวฮางสกลทวาปี บ้านนาบ่อ หมู่ที่ 6 ตำบลปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ ข้าวฮางสกลทวาปี เป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการคัดสรรยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ระดับสี่ดาว ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ปี2546 ประเภทอาหารและได้ใบรับรองการใช้เครื่องหมายมาตรฐานสินค้าเกษตร แปรรูปกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรางวัลต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นเกียรติบัตรแห่งภูมิปัญญา เกษตรกรไทยด้านผู้อนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการแปรรูปดีเด่นรางวัลที่ 1 ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และรางวัลที่ 3ระดับประเทศ และยังมีทีหนังสือพิมพ์ติชนรายวัน ฉบับวันที่ 8 มิถุนายน 2548 สถานีโทรทัศน์ช่อง 7,9,11 ได้มาถ่ายทำกระบวนการผลิตข้าวฮางหอมสกลทวาปี เผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้จักมากขึ้น สืบสานภูมิปัญญาของข้าวฮางสกลทวาปี จากการบอกเล่าของปู่ย่าตายาย ข้าวฮางหอมทองทองสกลทวาปี ประยุกต์มาจากภูมิปัญญา ท้องถิ่น การผลิตข้าวฮาง ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เดิมวัตถุประสงค์ในการผลิตข้าวฮางเพื่อการบริโภค เนื่องจากคนสมัยโบราณการผลิตข้าวไม่เพียงพอต่อการบบริโภคทั้งปีก่อนที่จะมีข้าวใหม่ออก เกษตรกรอยู่ ในภาวะขาดแคลนข้าวเหนียวบริโภค ต้องอาศัยธัญพืชอื่นๆประทังชีวิตไปก่อน เมื่อข้าวในนาออกรวงพัฒนา เมล็ดไปประมาณ 70-85% เกษตรกรจะนำไปเป็นข้าวเม่า และเมื่อข้าวพัฒนาเมล็ดไปประมาณ 85% ขึ้น ไป เกษตรกรจะนำมาผลิตเป็นข้าวฮางเพื่อให้ทันต่อการบริโภคก่อนที่ข้าวจะสุกแก่ จุดเด่นของข้าวฮาง คือ ข้าวจะหอมเพราะข้าวยังมีน้ำนมอยู่ ชาวบ้านนาบ่อ มีอาชีพในการทำนา โดยส่วนมากจะทำข้าวอินทรีย์ จะไม่ใช้ยาฆ่าแมลง และไม่ใช้ปุ๋ยเคมี จึงทำให้ข้าวเป็นข้าวที่ปลอดภัยมากที่สุดเหมาะสำหรับการบริโภคแก่ บุคคลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคนป่วย คนแก่ คนปกติก็สามารถรับประทานได้เลย รับประทานเป็นยาได้เลย เพราะมีสารอาหารมากมายหลายชนิดเหมาะสำหรับกับทุกคน


ข้าวฮางมรดกชนเผ่าภูไท ชาวบ้านนาบ่อเป็นชาวภูไทกระป๋อง (กระป๋อง หมายถึง สมอง/ปัญญา )วิถีความเป็นอยู่จะสร้าง บ้านเรือนและจับจองแหล่งทำกินใกล้แหล่งน้ำ ทำนาเป็นหลัก ชาวภูไทเป็นคนช่างสังเกตเรียนรู้ดัดแปลง คิดค้นสิ่งใหม่ๆ การทำข้าวฮางสะท้อนภูมิปัญญาด้านการดำรงชีวิตและการถนอมอาหาร เพราะว่าข้าวฮางมี รำข้าวและเส้นใยอาหารอยู่ในเมล็ดข้าวอยู่ครบเนื่องจากการนึ่งข้าวเปลือกให้สุกก่อนนำไปสีข้าวจึงไม่มีเมล็ด แตกหักเลยซึ่งสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยเฉพาะชาวภูไท อำเภอวาริชภูมิ จังหวัด สกลนคร เดิมทีการจำหน่ายข้าวฮางกลุ่มแม่บ้านจะใช้ชื่อ ข้าวหอมทอง และเมื่อปี 2548 นายปานชัย บวร รัตนปราณ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ได้ไปเยี่ยมกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านนาบ่อ ได้ทราบข่าวว่าข้าว หอมทองมีคุณภาพสูงจึงได้ร่วมกับกลุ่มแม่บ้านเปลี่ยนชื่อเป็น ข้าวหอมทองสกลทวาปี เพื่อสื่อให้ทราบว่า เป็นข้าวของจังหวัดสกลนคร และได้ส่งเสริมนับสนุนการผลิตและการตลาด โดยการนำสินค้าไปฝากขาย ตามโรงแรมระดับห้าดาว ศูนย์การค้าใหญ่ในตัวเมืองสกลนคร กรุงเทพมหานคร และนำไปขายในเทศกาล ต่างๆรวมทั้งงาน Otop Grand Sale ณ อิมแพค เมืองทองธานี เป็นสินค้า Otop Premium ของจังหวัด สกลนคร ต่อมากลุ่มได้เพิ่มชื่อเป็น ข้าวฮางหอมทองสกลนครทวาปี เพื่อจดทะเบียนสิ่งที่บ่งชี้ทาง ภูมิศาสตร์กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นข้อยืนยันว่าแหล่งกำเนิดและแหล่งผลิต ข้าวฮางสกลทวาปี บ้านาบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดสกลนคร ห่างจากจังหวัด สกลนครประมาณ 80 กิโลเมตรและห่างจากอำเภอวาริชภูมิ 1.50 กิโลเมตร ทิศเหนือ จดกับบ้านพังฮอ ตำบลปลาโหล ทิศใต้ จดกับตำบลวาริชภูมิ ทิศตะวันออก จดกับบ้านดงเซียงเครือ ทิศตะวันตก จดกับบ้านน้อยจอมศรี


สายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับการทำข้าวฮางสกลทวาปี ข้าวที่จะนำมาผลิตข้าวฮางสกลทวาปีเป็นข้าวที่คัดเลือกพันธุ์มาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะข้าว จ้าวจะต้องเป็นข้าวจ้าวมะลิ 501 ข้าวหอมนิล เป็นต้น ส่วนข้าวเหนียวนิยมนำพันธุ์ข้าว กข 6 จะต้องมีวิธี ที่คัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีมีคุณภาพ ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะข้าวเป็นอาหารหลักที่คนไทย ใช้บริโภคตลอด ทั้งนี้เพราะการเกษตรส่วนใหญ่ของประเทศปลูกข้าวเป็นพืชหลักปัจจุบันข้าวยังเป็นที่ ต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ แต่ข้าวที่ผลิตได้ต่อไร่ ส่วนมากยังมีผลผลิตต่อไร่ต่ำอยู่ การผลิตข้าวในปัจจุบันเกษตรกรมีความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้นทำให้ต้นทุนในการผลิตเพิ่มสูงขึ้นตาม ไปด้วยการใส่ปุ๋ยเคมีให้กับข้าวนับว่ามีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวเป็นอย่างยิ่ง ถ้า หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปก็จะ เป็นการสิ้นเปลือง อีกทั้งยังมีผลกระทบในระยะยาวต่อความอุดม สมบูรณ์ของดิน เพราะการใช้ปุ๋ยเคมี ติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะทำลายความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุในดิน ทำให้จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดิน เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย แอคติโนมัยซิท และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆที่อาศัยอยู่ใน ดินมีจำนวนลดลง มีผลทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ ดินมีสภาพเป็น กรด ดินจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง ข ้ า ว เ ป ็ น ธ ั ญ พ ื ชที่อ ย ู ่ใน ว งศ์ (Family) Gramineae ม ี ชื ่ อ ทา ง ว ิ ทย า ศา สตร์ ว่า Oryza sativa L. เป็นแหล่งอาหารหลักที่ให้คาร์โบไฮเดรตที่สำคัญในการดำรงชีวิตของประชากรโลก เช่น การทำเป็น ขนมหวานชนิดต่างๆ ขนมปัง ในด้านอุสาหกรรมใช้ในการผลิตแอลกอฮอล์สำหรับใช้ผลิต วิสกี้ นักวิชาการได้แบ่งประเภทข้าว ออกเป็น 2 ชนิด คือ ข้าวเอเชีย (Oryza sativa L.) และข้าว แอฟริกา (Oryza glaberrima Steud.) ข้าวเอเชียปลูกทั่วไปในเอเชีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ยุโรป และแอฟริกา ส่วนข้าวแอฟริกา มีการ ปลูกเฉพาะทางด้านทิศตะวันตกของ ทวีปแอฟริกาเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับชนิดต่างๆของข้าวและสรุปได้ว่าข้าว พวก ryzasativa ซึ่งมีการปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศที่ปลูกข้าวต่างๆนั้นยังแบ่งออกได้เป็น 3 พวก คือ japonica , indica และ javanica โดยยึดถือเอาลักษณะภายนอกของต้น เมล็ดและเปอร์เซ็นต์ เมล็ดลีบของ ข้าวลูกผสมระหว่างข้าวทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวเป็นหลัก japonica เป็นข้าวที่ปลูกในประเทศ จีน ตอนเหนือและ ตะวันออก ญี่ปุ่น เกาหลีและประเทศอื่นๆที่อยู่ในเขตอบอุ่น indica เป็นข้าวที่ปลูกใน ประเทศต่างๆ ในเขตร้อน เช่น ศรีลังกา จีนตอนใต้และตอนกลาง อินเดีย อินโดนีเชีย บังกลาเทศ ไทย ฟิลิปปินส์ ส่วน javanica เป็นข้าวที่ปลูกในประเทศอินโดนีเชียเท่านั้น อย่างไรก็ตามแหล่งปลูก ข้าวกัน มากในโลกนี้จะอยู่ระหว่าง เส้นรุ้งที่ 50 องศาเหนือและ 35 องศาใต้


กล่าวว่าข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อสังคมไทยไม่เพียงแต่เป็นแหล่งอาหารที่ให้ คาร์โบไฮเดรตประจำวันเท่านั้น ในแต่ละปีข้าวที่เหลือจากการบริโภค ถูกส่งไปจำหน่ายยังตลาด ต่างประเทศ เช่น จีน อินโดนีเซีย อิหร่าน ฮ่องกง มาเลเซียและสิงคโปร์ เฉพาะใน พ.ศ. 2540 นำเงิน ได้เข้าประเทศมากกว่า 60,000 ล้านบาท นับตั้งแต่ พ.ศ.2522 เป็นต้นมา ประเทศไทยครองความเป็น อันดับหนึ่งในการส่งข้าวไป เลี้ยงประชากร เกือบจะทั่วโลกจากการส่งออกข้าวสาร 3 ล้านตันใน พ.ศ. 2522 เป็นประมาณ 6 ล้านตัน ใน พ.ศ.2540 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการ แข่งขันทั้งทางด้านการผลิต และการตลาดของประเทศ ไทยว่าเหนือกว่าอีกกว่าหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งที่สำคัญ เช่น อินเดีย สหรัฐอเมริกา พม่าและ เวียดนาม แต่ สถานการณ์นี้อาจ เปลี่ยนไปได้ ถ้ารัฐบาลไม่ให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาพันธุ์ข้าว คุณภาพดีและด้านการเกษตรกรรม เพราะใน ปัจจุบันตลาดข้าวคุณภาพต่ำถูกพม่าและเวียดนามยึดครอง จากไทยไปเกือบหมดแล้วดังนั้นอนาคตของข้าวไทยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมุ่งเน้นไปที่การผลิต คุณภาพสูงเพื่อการส่งออกโดยอาศัยความได้ เปรียบทางด้านชื่อเสียงว่าเป็นผู้ผลิตข้าวคุณภาพสูงและเป็นผู้ ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของ โลกมาเป็น เวลานาน ในปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวประมาณ 63 ล้านไร่ ผลิตข้าวเปลือกได้ประมาณ 22 ล้านตัน คิดเป็นผลผลิตเฉลี่ย 387 กิโลกรัมต่อไร่ เก็บไว้ใช้ บริโภคและเป็นเมล็ดพันธุ์ประมาณ 12 ล้านตัน ที่เหลือส่งออกคิดเป็นปริมาณข้าวสารประมาณ 6 ล้านตัน ในปัจจุบันการส่งออก ของข้าวไทยได้ขยายไปทุกภาคของโลกซึ่งทำรายได้ให้แก่ประเทศ ปีละหลายหมื่นล้าน บาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของมูล ค่าสินค้าที่ส่งออกทั้งหมด ข้าวเป็นพืชในเขตร้อน (tropical) ที่ต้องการอุณหภูมิและความชื้นสูงสำหรับการเจริญเติบโต ต้องการอุณหภูมิในช่วง 22 – 30ºC ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวเป็นส่วนของดินเหนียว เพราะมี ความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดี มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง 5.0 - 6.5 และมีอินทรีย์วัตถุไม่น้อยกว่า 5% ใน ปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกข้าวส่วนใหญ่อยู่ในแถบเอเชียถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของข้าวทั้งหมดทั่วโลก ส่วนประเทศ อื่น ๆ ที่เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญ เช่น ประเทศบราซิล โคลัมเบีย เปรู อียิปต์ สาธารณรัฐ มาลากาซี สเปน สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อิตาลี ออสเตรเลีย และประเทศอื่น ๆ เป็นต้น


ข้าวที่เหมาะสมสำหรับการทำข้าวฮางสกลทวาปี ข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวที่มีคุณภาพดีที่สุดและราคาแพงที่สุดของประเทศไทยเป็นที่นิยมบริโภคทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศสำหรับตลาดต่างประเทศ ผู้บริโภคที่มีฐานะดี มีกำลังซื้อสูงปัจจุบันการขยายปริมาณ การ ส่งออกมีลู่ทางแจ่มใสกว่าข้าวพันธุ์อื่น ๆ ปริมาณการส่งออกเพิ่มจาก 148,544 ตัน ในปี 2532 ใน ปี2536 ประเทศที่เป็นลูกค้าข้าวหอมมะลิ ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา คุณสมบัติที่ส่ง ให้ ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวคุณภาพสูง และข้าวเปลือกเรียวยาว ได้ขนาดมาตรฐานข้าวชั้นหนึ่ง เมื่อจะเป็น ข้าวสารจะได้ข้าว เรียว ยาว ขาวใส เป็นเงาแกร่งและมีท้องไข่น้อย ถ้าเป็นข้าวที่ข้าวสารก็มีกลิ่นหอมเมื่อ หุงเป็นข้าวสุกก็จะรสชาติดีข้าวหอมมะลิจัดเป็นข้าวที่มีอะมิโลสต่ำ คือ ประมาณ 12-18% ทำให้ข้าวสุกมี ความอ่อนนุ่มนิ่มชื่อที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการค้าข้าวนิยมเรียกโดยเพี้ยนมากจาก “ขาวดอกมะลิ” และมี ชื่อเป็นทางการว่า “ขาวดอกมะลิ 105” ซึ่งมีความหมายว่า ประเภทข้าวขาว เพราะ ข้าวเปลือกมีสี ขาว หรือสีฟาง และมีกลิ่นหอม คล้ายกลิ่นดอกมะลิสำหรับหมายเลข 105 นั้น ได้มาจาก ขึ้นตอนการ ปรับปรุงพันธุ์ ข้าวมันปู ข้าวมันปู เป็นพันธุ์ข้าวชนิดหนึ่งที่มีเยื่อหุ้มเปลือกเป็นสีแดงแบบสีมันปู จัดเป็นข้าวกล้องหรือข้าง ซ้อมมือชนิดหนึ่งที่มีไขมันในปริมาณเดียวกับข้าวกล้องซึ่งสูงกว่าข้าวขัดสีประมาณหนึ่ง มีสารชนิดหนึ่ง เรียกว่าเคโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายซึ่งสูงกว่าข้าวขัดสี ชาวจีนเรียกว่าข้าวแดง หรือชื่อ พื้นเมือง อั้งคัก นอกจากเป็นข้าวยังผลิตออกมาในรูปยีสต์สีแดงใช้ประกอบอาหารและเป็นสมุนไพรรักษา โรค บ้านเรา นำข้าวแดงเมืองจีนมาเป็นสีผสมอาหารเพื่อให้สีแดง เช่นเต้าหู้ยี้ หมูแดง เนื้อแดง มีการเทียบ สารอาหารพบว่าประโยชน์สูงกว่าข้าวขัดสีสารอาหารที่มีอยู่ในข้าวแดงก็มีแป้ง ไขมัน โปรตีน ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็กในปริมาณที่สูงอย่างมาก ทองแดง วิตามินเอง วิตามินบี บี 2 วิตามินซีสรรพคุณป้องกัน โรคหัวใจ ป้องกันแขนขาไม่มีกำลัง รักษาอาการมือเท้าบวมมีผื่นขึ้น ป้องกันนอนไม่หลับรักษาระบบย่อย อาหารที่ไม่ปกติ มีลมในท้อง และลำไส้ โดยเฉาะคนชรารับประทานข้าวคงได้บ่อยครั้งก็จะดีอย่างมาก แต่ เนื่องจากข้าวแดงย่อยยาก นำไปต้มเป็นข้าวต้มจะดีกว่า ทั้งเป็นอาหารเพิ่มเลือดที่ดีมากสำหรับผู้หญิงที่ เป็นโรคโลหิตจาง


ข้าวเหนียวพันธุ์ กข 6(RD6) ประวัติพันธุ์- ได้จากการปรับปรุงพันธุ์ โดยการใช้รังสีชักนำให้เกิดการกลายพันธุ์ โดยใช้รังสีแกมมาปริมาณ 20 กิโลแรด อาบเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 แล้วนำมาปลูกคัดเลือกที่สถานีทดลองข้าวบางเขนและ สถานีทดลองข้าวพิมาย จากการคัดเลือกได้ข้าวเหนียวหลายสายพันธุ์ในข้าวชั่วที่ 2 นำไปปลูกคัดเลือกจนอยู่ ตัวได้สายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงสุดคือ สายพันธุ์ KDML105'65-G2U-68-254 นับว่าเป็นข้าวพันธุ์ดีพันธุ์แรก ของประเทศไทย ที่ค้นคว้าได้โดยใช้วิธีชักนำพันธุ์พืชให้เปลี่ยนกรรมพันธุ์โดยใช้รังสี การรับรองพันธุ์ - คณะกรรมการวิจัยและพัฒนากรมวิชาการเกษตร มีมติให้เป็นพันธุ์รับรอง เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2520 ลักษณะประจำพันธุ์ เป็นข้าวเหนียว สูงประมาณ 154 เซนติเมตร ไวต่อช่วงแสง ทรงกอกระจายเล็กน้อย ใบยาวสีเขียวเข้ม ใบธงตั้ง เมล็ดยาวเรียว เมล็ดข้าวเปลือกสีน้ำตาล อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 21 พฤศจิกายน ระยะพักตัวของเมล็ดประมาณ 5 สัปดาห์ เมล็ดข้าวกล้อง กว้าง x ยาว x หนา = 2.2 x 7.2 x 1.7 มิลลิเมตร คุณภาพข้าวสุก เหนียวนุ่ม มีกลิ่นหอม ผลผลิต - ประมาณ 666 กิโลกรัมต่อไร่ ลักษณะเด่น ให้ผลผลิตสูงและทนแล้งดีกว่าพันธุ์เหนียวสันป่าตอง คุณภาพการหุงต้มดี มีกลิ่นหอม ลำต้นแข็งปานกลาง ต้านทานโรคใบจุดสีน้ำตาล


พันธุ์ข้าวก่ำ ประโยชน์ข้าวก่ำ 1.แอนไทไวยานิน มีคุณสมบัติในการต้านการเกิดปฏิกริยาช่วยหมุนเวียนกระแสโลหิตชะลอการเสื่อมของ เชลส์ร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มข้าวสีม่วงกลุ่มอินติกาซึ่งรวมถึงข้าวก่ำไทยมีคุณสมบัติในการยับยั้งการ เจริญเติบโตของเชลส์มะเร็งปอด 2.แกมมาโอไรซานอลมีคุณสมบัติต้านการยับยั้งการหลั่งกรในกระเพาะอาหารและยับยั้งการรวมตัวของ เกล็ดเลือด ลดน้ำตาลในเลือด และเพิ่มระดับอินซูลินของคนเป็นโรคเบาหวาน แบบชนิดที่ 2 จากสายพันธุ์ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ข้าวเหนียว สายพันธุ์ข้าวจ้าว สามารถแปรรูปเป็นข้าวฮางสกลทวาปีได้โดย ทั้งหมดจะต้องเป็นข้าวอินทรีย์โดยไม่ใช้สารเคมี และยาฆ่าแมลงทั้งหลาย ประวัติภูมิปัญญาท้องถิ่น การทำข้าวฮางสกลทวาปี นางสุพรรณีร่มเกษ เกิดวันที่ 30 พฤษภาคม 2506 อายุ 49 ปีเกิดที่อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม บ้านเลขที่ 31 บ้านนาบ่อ หมู่ที่ 6 ตำบลปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร โทรศัพท์0860151104 สมรส นายเนืองนอง ร่มเกษ บุตร 2 คน ชาย 1 คน หญิง 1 คน การศึกษา จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียน บ้านนางัว ตำบลนางัว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียน บ้านนางัว ตำบลนางัว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม หลักสูตรประกาศนียบัตร โรงเรียนเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดสกลนคร ระดับปริญญา วิทยาศาสตร์มหาบัณทิตกิตติมศักดิ์ สาขาเทคโนโลยีอาหารได้เป็นประธาน กลุ่มแม่บ้านนาบ่อ กลุ่มทำข้าวฮางสกลทวาปี ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย การทำข้าวฮาง กศน.อำเภอวาริช โดยนายเจริญศิลป์ ทองธิราช ภาพถ่าย/ภาพประกอบ หลักสูตร การทำข้าวฮางสกลทวาปี กศน.อำเภอวาริชภูมิ


การปลูกหวาย ปลูกหวาย...พืชเศรษฐกิจใหม่อนาคตดี หวายนับว่าเป็นพืชในตระกูลพืชใบเลี้ยงเดี่ยวตามธรรมชาติ ที่พบในป่าธรรมชาติตามชนบทมีหนาม แหลม ทั้งส่วนของกาบใบ ขอบใบ เส้นกลางใบ จะมีลักษณะเป็นไขผงสีขาตาม กาบใบมีเนื้อหนา ใช้เมล็ดทำ พันธุ์ ใบมีสีเขียวเจริญเติบโตได้ ตลอดทั้งปี มีรากจำนวนมากจึงสามารถหาอาหารและน้ำได้เอง หวาย ตาม ธรรมชาติไม่ต้องรดน้ำหรือใส่ปุ๋ยใด ๆ ก็สามารถที่จะเจริญเติบโตได้ ส่วนศัตรูพืชที่รบกวนก็มีน้อย จึงไม่ จำเป็นต้องพ่นยากำจัดศัตรูพืช หวายมีอายุยืนไม่น้อยกว่า 10 ปี สามารถจะแตกหน่อด้านข้างติดกับต้นเดิม ได้ตลอดทั้งปี หวายที่ปลูกไม่ขึ้นโคน จึงไม่ต้องปลูกใหม่ ลักษณะที่ดีเด่นของหวาย เป็นพืชทนแล้งได้ดี อีกทั้ง ยอดอ่อนของหวายนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด ยอดใหม่ที่แทงขึ้นมา มีลักษณะคล้ายยอดมะพร้าว ถ้าไม่ ตัดออกขาย จะเลื้อยเป็นเครือยาว เกิดเป็นเส้นหวายนำมาใช้ประโยชน์ในการจักสานได้อีก การปลูกหวาย เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่อนาคตค่อนข้างจะสดใสนั้น เกษตรกรที่สนใจ จะปลูกหวายเพื่อตัดหน่อ สามารถที่จะ ปลูกได้แล้ว เพราะการปลูกหวายมีข้อดีตรงที่ปลูกครั้งเดียว สามารถตัดยอดไปจำหน่ายได้ตลอดปี โดย เกษตรกรมีการใส่ปุ๋ยคอกเพียงปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น และภายในหนึ่งปีครึ่งถึงสองปี ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ ด้วยการตัดยอดขาย และเวลานี้ยังทราบมาว่า มีโรงงานเตรียมทำการบรรจุหวายกระป๋องส่งต่างประเทศ แล้ว เมื่อหลายวันก่อน ได้เข้าไปชมนิทรรศการงานครบรอบ 50 ปี สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขต สุรินทร์ มีการจัดนิทรรศการหน่วยงานราชการที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะเรื่องหวาย ที่เกษตรกรต่างก็ให้ ความสนใจมาก เพราะคาดว่า อนาคตคงจะเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ราคาดีน่าปลูกไม่น้อยทีเดียวล่ะ สำหรับหน่วยงานที่วิจัยเรื่องหวาย คือ สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรสกลนคร มีอาจารย์ สมใจ พานนิพิจ และคณะได้ศึกษาค้นคว้า จนสามารถที่จะเผยแพร่สู่เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไปได้เรียนรู้ถึง วิธีการเพาะปลูก เพื่อให้เป็นพืชเสริม หรือพืชหลักได้ในพื้นที่แห้งแล้งอย่างภาคอีสาน อาจารย์สมใจ พาน พินิจ ได้กล่าวถึงรายละเอียดของความสำเร็จ ที่สถาบันเพาะหวายได้สำเร็จว่า การคัดเลือกพันธุ์หวายเพื่อ ปลูกหน่อขายนั้น การเริ่มต้น ควรจะเลือกซื้อกล้าหวายจากฟาร์มที่เชื่อถือได้ หากซื้อจากแหล่งที่ไม่ได้ทำการ เลือกพันธุ์มาเพาะกล้าแล้ว จะพบว่า หวายเติบโตช้าไม่สมบูรณ์ รูปทรงบิดเบี้ยว ใบและกาบใบรวม ทั้งลำต้น มีรอยขีดข่วนเป็นแผล ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ ควรจะหลีกเลี่ยงนำมาปลูก เพราะอาจจะทำให้ขาดทุนได้ ลักษณะหวายที่เกษตรกรควรปลูก ใบกว้าง และยาวมีกาบใบหุ้มมากกว่า 3 ใบ ลำต้นใหญ่ตรงแตกกอมาก


และที่สำคัญจะต้องไม่มีโรคและแมลงรบกวนติดมา โดยเฉพาะต้นกล้าไม่มีแผลและลำต้นฉีกขาด จะทำให้ คุณภาพของการปลูกหวาย ไม่ได้ผลตรงตามหลักวิชาการเกี่ยวกับชนิดของหวายที่จะปลูกนั้น อาจารย์สมใจ บอกว่า ชนิดของหวายที่เกษตรกรควรปลูก แบ่งตามขนาดของลำต้นที่พบ เมื่อลำต้นโตเต็มที่สามารถตัดได้ มี หวายใหญ่หนามขาว หวายใหญ่หนามแดง และหวายกลาย ซึ่งลักษณะพันธุ์หวายทั้ง 3 ชนิดที่กล่าวมานี้ เหมาะสมที่จะปลูกเพื่อการค้า ส่วนหวายพันธุ์อื่นจะไม่พูดถึง เพราะจะเป็นการเข้าใจสับสนสำหรับเกษตรกร ที่จะปลูกอีกด้วย สำหรับการเพาะหวายนั้น อาจารย์สมใจ ยังบอกอีกว่า การเพาะหวายให้ประสบ ความสำเร็จได้ดีนั้น การให้น้ำและใส่ปุ๋ย ดูแลตัดแต่งกิ่ง ให้ทรงพุ่มสวยงาม จะทำให้ได้หวายต้นใหญ่ อวบการ เจริญเติบโตดี เพื่อเก็บเมล็ด โดยสามารถเก็บเมล็ดหวายได้เมื่ออายุ 3 ปีขึ้นไป (หลังปลูก) เมล็ดหวายจะ ทะยอยสุกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม สังเกตเมล็ดหวายสุก ดูที่เปลือกเมล็ดจะมีสีขาว สามารถ รับประทานได้มีรสหวาน และฝาดเล็กน้อย หลังจากนั้น ก็นำเมล็ดที่ลอกเปลือกและเนื้อหมดแล้ว ล้างให้ สะอาดผึ่งแดดให้แห้งประมาณ 2-3 แดด เก็บไว้ในที่แห้ง โดยจะนำเมล็ดไปเพาะในต้นฤดูฝน (เดือนมีนาคม ถึงพฤษภาคม) เมื่อถามถึงขั้นตอนการเพาะ อาจารย์สมใจอธิบายว่า วิธีเพาะ เมล็ดหวายจะงอกหลังจากเพาะในกะบะดินที่ เตรียมไว้แล้ว ประมาณ 2-3 เดือน ส่วนหวายที่ยังไม่งอก เมื่อข้ามปีจนถึงฤดูฝน เมล็ดหวายจะสามารถขึ้นมา เป็นต้นกล้าได้ ในรายละเอียดหาวิธีเพาะเมล็ด ยังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง เท่าที่ได้ศึกษาวิธีการให้งอกใน ขั้นต้น เพื่อให้เกิดเป็นต้นกล้าภายในฤดูเดียว ทำได้ด้วยขั้นตอนที่จะกล่าวต่อไปนี้ นำเมล็ดที่เตรียมไว้ ห่อผ้า แช่น้ำไว้ 2-5วัน แปลงเพาะกล้าที่จะใช้เพาะ มีขนาด 1 x 4 เมตร ผสมดิน คลุกเคล้าแกลบข้าว ที่ยังไม่เผา ปรับแปลงให้หนาเรียบ ทำร่องเป็นทางยาวตลอดความยาวของแปลง เพื่อให้ เป็นระเบียบและถอดกล้าได้ง่าย โดยแต่ละร่องให้ห่างกัน 8-10 ซ.ม. จากนั้นก็โรยเมล็ดหวาย ให้กระจายใน ร่อง การโรยจะต้องไม่บาง หรือหนาแน่นเกินไป “ขั้นตอนสุดท้าย ให้ทำการกลบร่อง เพื่อป้องกันเมล็ด ไม่ให้ ลอยตัวขึ้นมาบนผิวดินในขณะรดน้ำ จากนั้นเอาฟางแห้งคลุม ป้องกันการฟุ้งกระจายของดิน และรักษา ความชื้นได้เป็นอย่างดี ส่วนการรดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้งเป็นเวลาติดต่อกัน 2-3 เดือน เมล็ดหวายก็จะงอกให้ เห็นอย่างไม่ยากเย็นนัก และถ้าสงสัยว่าเมล็ด 1 กก. เพาะได้มากน้อยแค่ไหน คำตอบได้เลยว่า สามารถกล้า ได้ประมาณ 900-2,800 ต้น” อาจารย์สมใจกล่าว


อย่างไรก็ตาม อนาคตการปลูกหวายเพื่อขายหน่อบรรจุกระป๋องส่งขายต่างประเทศ ซึ่งคาดว่า บริษัทฯ เอกชนกำลังหาข้อมูล เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรในท้องที่ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ปลูก เพื่อการขาย หน่อบรรจุกระป๋อง โดยมีสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรสกลนคร ให้คำแนะนำในการปลูก ตั้งแต่ ขั้นตอนการเพาะ จนถึงปลูกและการดูแลรักษา ที่มา : จากหนังสือพิมพ์"์สยามรัฐ" ฉบับวันที่ 1 มกราคม 2536, หน้า 9


หวาย (Rattan) เป็นไม้ป่าในพืชตระกูลปาล์มนิยมนำมาใช้ประโยชน์ในหลายด้านโดยเฉพาะในการ จักสานเครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงการนำหน่อหวายมาปรุงอาหารซึ่งให้รสชาติอร่อยเหมือนหน่อไม้ทั่วไปใน ทาง การค้ามีการใช้คำเรียกหวาย 2 คำ คือ Cane หมายถึง หวายที่มีลำต้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 2 เซนติเมตร และ Rattan หมายถึง หวายที่มีลำต้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 2 เซนติเมตร หวายจัด เป็นไม้ที่มีความสำคัญทางงานหัตถกรรมต่างๆ เนื่องจากหวายมีเนื้อเหนียว แข็งแรง และยืดหยุ่นได้ดีกว่าไม้ ไผ่หรือไม้จักสานชนิดอื่นๆ สามารถจักเป็นเส้นหรือแผ่นบางได้ง่าย โค้งงอได้ดี นอกจากนั้น ยอดอ่อน และ หน่อหวายยังนิยมนำมารับประทาน และปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง หวาย เป็นพืชตระกูลปาล์ม ทั่วโลกมีมากว่า 14 สกุล และมากกว่า 600 ชนิด พบแพร่กระจาย บริเวณที่มีความชื้นสูง มีฝนตกชุก พบได้ในหลายประเทศในแถบเอเชีย และพื้นที่ใกล้เส้นศูนย์สูตรตั้งแต่ ประเทศไทย พม่า ลาว มาเลเชีย เวียดนาม มาเลเชีย อินโดนีเชีย อินเดีย ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย และตามหมู่เกาะบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร ในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบประมาณ 9 สกุล มี มากกว่า 310 ชนิด และพบในประทศไทยประมาณ 6 สกุล ประมาณ 50 ชนิด ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ พืชในสกุลหวายทุกชนิดมีลักษณะลำต้นปีนป่าย มีทั้งลำต้นเดี่ยวหรือเป็นกอ ซึ่ง หวายต้นเดี่ยวเมื่อตัดลำต้นแล้วจะไม่แตกต้นใหม่ ส่วนหวายกอสามารถทยอยตัดได้ และมีการแตกต้นใหม่ที่ ตาใกล้ซอกใบบริเวณโคนต้น ข้อที่ 2-3 หวายบางชนิด เช่น Calamus trachycoleus หน่อที่แตกใหม่จะ พัฒนาเป็นไหลยาวได้มากกว่า 3 เมตร 1. ราก หวายมีระบบรากแขนง และรากฝอย ที่แตกรากแขนงออกในแนวราบ และแนวดิ่ง แต่มัก เจริญเป็นรากแขนงในแนวราบใกล้ผิวดิน และสานกันแน่น อาจแพร่ไกลได้ถึง 5-8 เมตร รอบลำต้น 2. ลำต้น ลำต้นหวายมีลักษณะกลม แต่บางชนิดมีรูปทรงสามเหลี่ยม ขนาดลำต้นเล็กจนถึงใหญ่ ขนาดตั้งแต่ 15 มิลลิเมตร จนถึง 10 เซนติเมตร ถูกห่อหุ้มด้วยกาบใบหรือกาบหุ้มลำ ลำต้นสูงได้มากกว่า 2 เมตร บริเวณโคนต้นใหญ่ และเรียวเล็กลงเรื่อยๆจนถึงปลาย ลำต้นเป็นปล้อง มีข้อ ต้นอ่อนมีสีขาวครีม ใช้ นำประกอบอาหาร มีรสฝาด และขมเล็กน้อย เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว และมีเส้นใยเหนียวแข็ง บางชนิด มีมือเกาะ แทงออกบริเวณส่วนข้อของลำต้น ส่วนยอดอ่อนนิยมนำมาปรุงเป็นอาหารได้เช่นกัน 3. ใบ หวายประกอบด้วย 3 ส่วน คือ กาบใบ (leaf sheath) ก้านใบ (rachis) และใบ (leaflet) แทงออกบริเวณ กาบใบหรือกาบหุ้มลำ จะแทงออกบริเวณข้อ หุ้มสลับทับเหลี่ยมกันตลอดลำต้นตอนบน เมื่อแก่จะหลุดร่วงทิ้งรอยแผลตามข้อ กาบหุ้มลำนี้จะเป็นส่วนโคนของใบ และเป็นส่วนที่มีหนามเกิดใน ลักษณะแตกต่างกันตามพันธุ์ ทั้งขนาด สี และการเรียงตัว ซึ่งช่วยในการจำแนกชนิดหวายได้ แต่หวายบาง ชนิดอาจไม่มีหนามบริเวณกาบใบ ส่วนบริเวณด้านในบริเวณตอนบนของโคนกาบใบจะมีเยื่อบางๆที่เรียกว่า ocrea ซึ่งจะผุกร่อนเมื่อใบแก่ และร่วง บางชนิดจะมี ocrea ที่เด่นชัดจากการพองโตออกมาให้เห็น • ก้านใบ ลักษณะก้านใบ และหนามที่เกิดจะแตกต่างกันตามพันธุ์แต่ละชนิด บางชนิดบริเวณกาบ หุ้มลำบริเวณด้านล่างของโคนกาบใบที่เป็น ocrea จะพองโตเป็นสันนูน เรียกว่า เข่า (knee) ที่เชื่อว่าทำ หน้าที่จัดเรียงตัวใบหวายจากแนวดิ่งมาสู่แนวราบ • ทางใบ หรือก้านใบย่อย ที่เริ่มมีใบย่อยแทงออกด้านซ้าย-ขวา มีลักษณะโค้งลงด้านล่างบริเวณ ส่วนปลาย ทางใบด้านบนมีสีเขียวเข้มกว่าทางใบด้านล่าง และเกิดหนามรูปเล็บเหยี่ยวตลอดแนว มักพบ หนามในด้านล่าง ส่วนด้านบนพบหนามในบางสายพันธุ์ และบางพันธุ์อาจพบหนามบริเวณด้านข้างของทาง ใบด้วย • ใบย่อย มีลักษณะแตกต่างกันตามสายพันธุ์ อาจเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือรูปยาวรี หรือ รูปรี มีลักษณะโค้งลงด้านล่างบริเวณปลายใบ ขอบใบหยัก เรียงตัวหลายแบบในแต่ละพันธุ์ เช่น แบบตรง ข้ามกัน แบบเยื้อง และแบบสลับ


• มือเกาะ หรืออวัยวะปีนป่าย เป็นส่วนที่ใช้สำหรับปีนป่ายเพื่ออิงลำต้นให้เลื้อย และเติบโตสำหรับ รับแสง พบเจริญออกในหวายที่โตเต็มที่ ไม่พบในระยะกล้า มี 2 รูปแบบ คือ – มือเกาะที่เกิดบริเวณส่วนปลายของทางใบ เรียกว่า cirrus มีความยาวประมาณ 2-3 เมตร บริเวณด้านล่างมีหนามรูปเล็บเหยี่ยว – มือเกาะที่เกิดบนลำต้นบริเวณบริเวณเดียวกับช่อดอก เรียกว่า flagellum มีความยาวประมาณ 1-5 เมตร มีหนามรูปเล็บเหยี่ยวกระจายตลอดความยาว 4. ดอก และช่อดอก หวายออกดอกเป็นช่อเหมือนพืชในตะกูลปาล์มทุกชนิด ช่อดอกมีลักษณะ เป็นพวงสีขาว ช่อดอกที่แทงออกใหม่จะมีปลีหุ้ม เมื่อดอกแก่ปลีจะคลี่ออก มองเห็นลูกหวายเป็นตุ่มสีขาว นวลภายใน ภายในช่อดอกอาจมีทั้งดอกเพศผู้ และดอกเพศเมีย แต่หวายส่วนมากจะมีดอกเพศผู้ และเพศ เมียอยู่คนละต้นกัน ลักษณะดอกของหวายมี 2 แบบ คือ Hapaxanthic ออกดอกเป็นช่อบริเวณยอดลำหวาย และ Pleonastic ออกดอกเป็นช่อบริเวณข้อของลำต้น ทั้งนี้ ดอกในช่อจะสุกไม่พร้อมกัน 5. ผล และเมล็ด ผลหวายมีลักษณะเป็นเกล็ดเรียงซ้อนกันในทิศปลายผลมาฐานผล แต่ผลหวายบางชนิดจะมีลักษณะเกร็ด แบบหนามคล้ายผลระกำ สีของเปลือกผลมีหลายสีตามชนิดหวาย ผลอ่อนจะมีสีเขียวอ่อน และเขียวเข้มเมื่อ แก่ และเมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นได้หลายสี เช่น สีเหลือง สีแดง และสีขาว แตกต่างกันตามสายพันธุ์ เมื่อสุกจัด จะมีสีคล้ำดำ ขนาดผลมีตั้งแต่เท่าเมล็ดข้าวโพดจนถึงเท่าลูกพุดทราหรือเท่าหัวแม่มือ และเปลือกผลเมื่อสุก สามารถรับประทานได้ เนื้อมีรสหวาน ส่วนด้านในเป็นเมล็ด อาจมีเมล็ดเดียวหรือบางพันธุ์มีได้ 2-3 เมล็ด/ ผล ลักษณะเมล็ดค่อนข้างกลม และแบนรี ชนิดหวายในไทย 1. หวายลิง เป็นหวายเลื้อย ยาวได้มากกว่า 3 เมตร ที่ชอบขึ้นตามชายทะเล ลำห้วย หนองบึง เป็น ชนิดที่ไม่มีหนาม ใบคล้ายใบผักปราบ นิยมนำมาจักตอก 2. หวายโปร่ง เป็นหวายที่มีขนาดพอๆกับไผ่รวก นิยมนำมาจักสานเครื่องหัตถกรรม ข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆ ผลมีขนาดประมาณลูกพุดทราหรือเมล็ดบัวหลวง เปลือกเมล็ดแข็งเป็นเกร็ด เมื่อสุกผลมีสี เหลือง ดอกใช้รับประทานได้ 3. หวายพรวน เป็นหวายที่มีขนาดลำต้นใหญ่ที่สุด ขนาดประมาณเท่าข้อมือ พบมากในจังหวัดตรัง พังงา และภูเก็ต เนื้อหวายมีความเหนียว และทนทาน นิยมนำมาทำเชือก ล่ามช้าง ล่ามวัว รวมถึงนิยมใช้ทำ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอน และฝ้าผนังบ้าน เนื่องจากสามารถจักเป็นแผ่นขนาดใหญ่ได้ดี 4. หวายขม เป็นหวายที่มีขนาดประมาณหัวแม่มือ ใบเล็กยาวคล้ายใบระกำ เนื้อเปราะง่าย ไม่ ทนทาน ไม่นิยมนำมาจักสาน แต่หน่อ และยอดใช้รับประทานได้ มีรสขมเล็กน้อย เมล็ดหวายมีขนาดเล็ก ประมาณเท่าเมล็ดข้าวโพด เปลือกเมล็ดเป็นเกล็ดสีขาว นิยมใช้ทำยา 5. หวายน้ำ เป็นหวายที่มีขนาดลำต้นประมาณนิ้วก้อย ชอบขึ้นบริเวณที่ชุ่ม น้ำท่วมขัง เนื้อหวายมี ความเหนียวทน นิยมนำมาจักสานข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ตะกร้า ถาดใส่อาหาร หมวก เป็นต้น 6. หวายตะค้าทอง เป็นหวายเลื้อย ยาวได้มากกว่า 6 เมตร ลำต้นขนาดเท่าหัวแม่มือ ที่ชอบขึ้น บริเวณที่ชุ่ม และน้ำท่วมขัง เนื้อหวายเหนียว ทนทาน นิยมใช้จักสานงานหัตถกรรมทุกชนิด เมล็ดใช้ทำยา พบมากในจังหวัดภาคใต้ 7. หวายชุมพร เป็นหวายขนาดเล็กกว่านิ้วก้อย เนื้อหวายหยาบเหนียวมาก นิยมใช้จักตอก ทำเชือก และจักสานงานหัตถกรรม 8. หวายชะอัง เป็นหวายขนาดเล็ก เนื้อหวายเหนียว ทนทาน นิยมใช้ทำเชือก ทำตอก และเครื่อง จักสาน พบมากในภาคใต้ โดยเฉพาะตำบลนาชะอัง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร


9. หวายสะเดา และหวายสมิง เป็นหวายที่พบในภาคตะวันออก 10. ชนิดหวายที่เรียกในชื่ออื่นๆ เช่น หวายขี้เสี้ยน หวายงวย หวายเดาใหญ่ หวายข้อดำ หวาย ขี้ผึ้ง หวายกาหลง หวายขี้ไก่ หวายช้าง หวายพังกา หวายผิวเบาะ หวายแดง หวายเจียน หวายหัวตัด หวาย พุน หวายขี้บาง หวายนางนวล หวายหางหนู หวายนั่ง หวายโคก และหวายดง เป็นต้น ประโยชน์ของหวาย 1. ลำต้นนำมาจักสานเป็นเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะ ม้านั่ง เตียงนอน เป็นต้น มักใช้หวายขนาดใหญ่ เช่น หวายโป่ง หวายกำพวน หวายข้อดำ หวายตะค้าทอง เป็นต้น 2. ใช้จักสานเป็นเครื่องเรือน เครื่องใช้ เช่น ถาด ตะกร้า หมวก เป็นต้น มักใช้หวายขนาดเล็กที่ เหนียว และโค้งงอได้ดี เช่น หวายกาหลง หวายหอม หวายดง หวายขี้บาง หวายพุน เป็นต้น 3. ใช้จักสานเป็นวัสดุก่อสร้าง เช่น ฝ้า ผนัง หน้าต่าง เป็นต้น มักใช้หวายขนาดใหญ่ 4. ลำต้นแก่จักหรือกรีดเป็นเส้น แล้วตากแห้ง นำมาใช้ทำเป็นเชือกคล้องช้าง คล้องโค หรือทำเป็น เชือกรัดของ 5. ยอดอ่อน ดอกอ่อน หน่ออ่อน นำมาปรุงอาหารได้หลายเมนู อาทิ แกงอ่อม แกงหวาย แกงจืด รวมถึงลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก เช่น หวายโคก หวายดง หวายหางหนู หวายนั่ง หวายขม เป็นต้น 6. ราก ใบ แก่น/เนื้อไม้ ดอก และผล นำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ใช้ได้ในหวายทุกชนิด ได้แก่ รักษาไข้ ลดพิษจากสัตว์ต่อย ใช้ขับพยาธิ แก้อาการชัก แก้เป็นลม แก้หอบหืด ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคท้องร่วง ท้องเสีย และช่วยเจริญอาหาร 7. ใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ โดยปลูกแซมเป็นไม้ระดับกลางในสวน


ประวัติการปลูกหวาย พบการนำหวายมาเพาะปลูกครั้งแรกในช่วงก่อนปี 2521 ที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส และใน ปี 2522 กรมป่าไม้ได้ทดลองปลูกหวาย จำนวน 100 ไร่ ที่จังหวัดระนอง สุราษธานี และชุมพร และมีการ ปลูกเพิ่มมากขึ้นในจังหวัดใกล้เคียง การปลูกหวาย การปลูกหวาย สามารถปลูกได้ 4 วิธี คือ การปลูกด้วยเมล็ด การปลูกด้วยเหง้า การปลูกด้วยต้น กล้าจากป่า และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การปลูกด้วยเมล็ด เป็น วิธีการปลูกที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากหวายจะออกผลขนาดจำนวนมาก สามารถเพาะติดง่าย ได้กล้าจำนวนมาก สะดวก และประหยัดต้นทุน แต่เมล็ดหวายบางสายพันธุ์อาจมีอัตราการงอกต่ำ การเก็บเมล็ดหวายควรเก็บเมล็ดแก่ที่ติดกับต้น ส่วนเมล็ดที่ล่นลงดินมักเกิดเชื้อราทำให้เพาะติดยาก ผลที่ แก่จะสังเกตจากรอยกัดแทะของสัตว์ หรือผลมีสีขาวหรือสีเหลืองหรือสีแดง แต่ผลหวายในทะลายจะสุกไม่ พร้อมกัน ดังนั้น จึงควรเก็บทะลายที่มีผลแก่แล้วมากกว่า 90% ผลจะเริ่มแก่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม แตกต่างกันตามสายพันธุ์เมล็ด หวายที่เก็บได้จะนำมาแกะเปลือกออก และตากแดด 3-5 วัน ให้แห้ง ก่อน นำลงเพาะในถุงเพาะชำหรือกะบะเพาะชำ แต่ก่อนลงเพาะควรแช่น้ำยาฆ่าเชื้อรา 20-30 นาที ก่อน วัสดุ เพาะจะใช้ดินผสมกับวัสดุอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก แกลบ ขุยมะพร้าว เป็นต้น อัตราส่วนดินกับวัสดุอินทรีย์ที่ 2:1 การย้ายกล้า ต้นกล้าหวายที่พร้อมลงปลูกในแปลงจะมีอายุตั้งแต่ 1-2 เดือนขึ้นไป หรือควรให้ต้นกล้าสูงประมาณ 5-10 ซม. การดูแล หวายที่ปลูกในแปลงควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนเพื่อให้ต้นติด และตั้งตัวได้เร็ว การปลูกในช่วงนี้จะไม่ ค่อยให้น้ำมากนัก แต่เน้นที่การกำจัดวัชพืชเป็นพิเศษ ส่วนการใส่ปุ๋ยจะใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 1-2 กำ/ต้น ทุกๆ 2- 3 เดือน ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15ประมาณ 1 หยิบมือ/ต้น


หวายเป็นพืชเศรษฐกิจเฉพาะพื้นที่ที่นิยมบริโภคและสามารถตัดขายได้ตลอดทั้งปี สำหรับหวาย หนามขาวและหนามแดงจัดเป็นหวายที่มีขนาดหน่อใหญ่ ดูแลง่าย ต้นทุนการผลิตต่ำ สามารถส่งเสริมเป็น พืชเศรษฐกิจได้ เพื่อเป็นแหล่งอาหารของคนในชุมชน และใช้หวายเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิต การส่งเสริม อาชีพการปลูกหวาย เพื่อเป็นรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะหวายเป็นพืชทองถิ่นทีเข้า กับสภาพภูมิอากาศในจังหวัดที่อยู่ในแถบเทือกเขาภูพานได้เป็นอย่างดี กลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรในจังหวัดสกลนครและพื้นที่ที่ใกล้เคียงที่สามารถปลูกหวายพันธุ์ดังกล่าวได้ 1. ผลผลิตหน่อหวายพันธุ์หนามขาวและพันธุ์หนามแดง มีจำนวนหน่อที่นับได้ เท่ากับ 3.15 และ 2.85 หน่อ ตามลำดับ พันธุ์หวายทั้ง 2 พันธุ์เป็นตัวเลือกที่เกษตรกรเลือกปลูกให้เหมาะสมตามศักยภาพพื้นที่นั้นๆ ซึ่งสามารถปลูกได้โดยทั่วไป 2. หวายสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตและให้ผลผลิตได้เต็มที่เมื่อให้น้ำสม่ำเสมอ ให้ปุ๋ยคอกแบบพูนโคนและ ตัดแต่งต้นแม่ออกเพื่อให้มีการแตกหน่อและได้คุณภาพผลผลิตเพิ่มขึ้น สำหรับใครที่สนใจพันธุ์หวายที่ดี ต้องที่บ้านธาตุ ยายกุ้งพันธุ์หวาย อยู่ติดถนน สายวาริชภูมิ - พังโคน เยื้อง กับเกษตรอำเภอวาริชภูมิ หรือติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0872218914 พร้อมส่งทั่วประเทศ ราคา เริ่มต้นที่ 5-10 บาท ราคาน่ารักมากค่ะ


ประวัติความเป็นมาของห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี”อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2548 เป็นปีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเจริญพระชนมายุครบ 50 พรรษา ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันเนื่องด้วยงานการศึกษาศาสนา และศิลปวัฒนธรรม จึงได้ พิจารณาเห็นสมควรสนองพระราชดำริในการส่งเสริมให้ชุมชน ได้มีห้องสมุดเพื่อเป็นแหล่งความรู้ด้วยการ ดำเนินโครงการจัดตั้งห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เพื่อเป็นการ เทิดพระเกียรติ ทั้งเป็นสัญลักษณ์เทิดทูนบูชาที่พสกนิกรชาวไทยมีต่อพระองค์และเป็นการบุกเบิกพัฒนาใน การจัดกิจกรรมห้องสมุดประชาชนในการบริการข่าวสารข้อมูลแก่ประชาชน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดห้องสมุด ประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2557 โดยมี ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) ผู้บริหาร ข้าราชการ สำนักงาน กศน.จังหวัด สกลนคร นักเรียนนักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ ภายในห้องสมุดประชาชนฯ จะแบ่งออกเป็น มุมต่างๆ เช่น มุมวรรณคดี มุมนวนิยาย มุมภาษา มุมอาชีพ มุมแนะแนว มุมเด็ก มุมวีดิทัศน์ มุมศิลปะและ วัฒนธรรม หรือมุมภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งนี้สำนักงาน กศน.จะเป็นหน่วยงานบริหารจัดการและดูแลเรื่องการ ดำเนินงานของห้องสมุดดังกล่าว จากนี้ ศธ.จะเตรียมเปิดห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ให้ครบ 100 แห่งภายในปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจะทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2558 สถานที่ตั้ง ตั้งอยู่ที่ที่ดินราชพัสดุทะเบียนหมายเลขที่ 492 เลขที่ 65 ตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัด สกลนคร เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 97 ตารางวา โรงเรียนบ้านธาตุกุดพร้าวแบ่งให้ใช้ ติดกับถนนหลวงแผ่นดิน สายพังโคน-วาริชภูมิตรงกิโลเมตร ที่ 149 งบประมาณจัดสร้าง งบประมาณในการก่อสร้างได้รับจากงบพัฒนาจังหวัดแบบบูรณาการ ( CEO) จังหวัด สกลนคร ปีงบประมาณ 2549 จำนวน 5,297,000 บาท (ห้าล้านสองแสนเก้าหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน )


ดำเนินงานก่อสร้าง 20 มกราคม 2549 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสกลนคร เขต 2 อนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุ โรงเรียนบ้านธาตุกุดพร้าว จำนวน 2 ไร่ 1 งาน 97 ตารางวา การเข้าร่วมโครงการห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อนุญาตให้เข้าร่วมโครงการใน ลำดับที่ ๘๙ พิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน วโรกาสให้เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาททูลเกล้าถวายแผ่นศิลาฤกษ์ เพื่อทรงเจิมและทรงพระสุหร่าย และ ประกอบพิธีวาง ศิลาฤกษ์ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอวาริชภูมิจังหวัดสกลนคร ใน วันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เวลา 09.09 น.


แหล่งท่องเที่ยว หาดสวนหิน บ้านดงคำโพธิ์ หาดสวนหิน บ้านดงคำโพธิ์ หมู่ 11 ตำบลปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เป็นอีกหนึ่ง สถานที่ท่องเที่ยวที่เหล่านักท่องเที่ยวอยากสัมผัสกับบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติและกำลังเป็นที่รู้จักวงกว้าง นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกันในช่วงฤดูร้อนหรือวันหยุดพักผ่อน/หลังเลิกงาน ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นกระแส อย่างมาก กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฮิตที่สุดในขณะนี้ ลักษณะเด่นของที่นี่ จะมีโขดหินขนาดใหญ่เล็กที่อยู่ รวมกลุ่ม เรียงกันสวยงาม มีหาดทราย มีจุดชมวิว/จุดเช็คอินที่พัฒนาชุมชนอำเภอวาริชภูมิได้ทำขึ้น มีซุ้มให้ นั่งและมีน้ำจากเขื่อนน้ำอูน ซึ่งเชื่อมต่อกันยาวสุดลูกหูลูกตามีบริเวณที่กว้างใหญ่ วิวเขาสวยงามเป็น ธรรมชาติ บรรยากาศดีโคตรๆ จะเห็นได้ดังรูปภาพด้านล่างเลยค่ะ นักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางมาหาดสวนหินสามารถเดินทางมาตามเส้นทางด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ ผู้ที่สนใจเดินทางมาที่หาดสวนหิน บ้านดงคำโพธิ์ สามารถเดินทางมายังถนนพังโคน-วาริชภูมิ ผ่าน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร ตรงไปประมาณ 10 กิโลเมตร ผ่านหน้าโรงเรียน มัธยมวาริชภูมิ 500 เมตร จะมีป้ายบอกทางไปหาดสวนหินดงคำโพธิ์ เลี้ยวซ้าย แยกบ้านดงเชียงเครือขับรถ เข้าไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตร พอเจอ 3 แยก หน้าโรงเรียนบ้านดงคำโพธิ์ เลี้ยวขวา 200 หาดสวนหินจะ อยู่ซ้ายมือ


หาดสวนหิน มีอีกชื่อที่นิยมเรียกกัน คือ พัทยาวาริชภูมิ หรือพัทยาอีสาน เพราะมีลักษณะคล้าย ๆ กัน เมื่อมีลมพัดมากระทบกับน้ำในหาด จะเหมือนกับคลื่นทะเล นับว่าเป็นทะเลน้ำจืดแห่งหนึ่งของภาค อีสานได้เลยค่ะ ที่นี่มีห่วงยางและเสื้อชูชีพบริการ ราคาไม่แพง อยู่ที่ 20 - 50 บาท จะมาเที่ยวแบบคู่ แบบ ครอบครัว หรือแบบเพื่อนในกลุ่มแก๊ง มาได้เลยค่ะไม่ต้องไปเที่ยวทะเลไกล ๆ ที่นี่ก็ตอบโจทย์แห่งความเย็น สบายคลายร้อนแน่นอน ไปนั่งชิวรับรมชมวิวในวันหยุดกันค่ะ เมื่อเดินทางมาถึงหาดสวนหิน สิ่งที่เห็น ก็คือ นักท่องเที่ยวมากมาย นั่งชมวิวอยู่ริมหาดกันอย่าง หนาแน่น ที่หาดสวนหิน มีบานานาโบ๊ท มีม้าให้ขี่ มีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ให้ซื้อกันแบบจุใจเลยค่ะ มี ทั้งส้มตำ ยำ ย่าง จิ้มจุ่ม ปลาเผา และอื่นๆ อีกมากมาย ทานแล้วอย่าลืมนำขยะ หรือเศษอาหารของท่าน กลับบ้านด้วยนะคะ ช่วยกันดูแลรักษาหาดให้สะอาดร่วมกัน ที่นี่นิยมมาเที่ยวกันในช่วงบ่ายแก่ ๆ จะได้ไม่ ร้อนจัด พร้อมรอชมพระอาทิตย์อัสดง บวกกับทิวทัศน์ของน้ำในเขื่อนน้ำอูนอากาศเย็น รับโอโซนได้เต็มปอด บรรยากาศดี อากาศแจ่มใส เหมาะสำหรับผู้ที่อยากพักผ่อน หย่อนใจ พักสมองให้ปลอดโปร่ง นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งแห่งในจังหวัดสกลนคร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับ เหล่านักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเล่นน้ำคลายร้อน นั่งชิว ร้องเพลงริมหาด นั่งทานอาหารเปลี่ยนบรรยากาศกัน อย่างสนุกสนาน ทานแล้วอย่าลืมรักษาความสะอาดกันด้วยนะคะ จะได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ น่าดู น่าเที่ยว เห็นแล้วสบายตาไปกับบรรยากาศธรรมชาติ ยิ่งเทศกาลสงกรานต์ หรือวันหยุดยาว จะเป็นแหล่งท่องเที่ยว ของชาวจังหวัดสกลนคร ไม่ว่าใครๆ ก็อยากมาเที่ยว รีบมาสัมผัสบรรยากาศความเย็นสบาย มาเล่นน้ำกันให้ จุใจไปเลยค่ะ หาดนี้มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในเรื่องความปลอดภัยและสถานที่จอดรถ มีห้องน้ำ บริการ หาดจะปิดเวลา 18:00 น. เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว สำหรับใครที่ยังไม่เคยมาเที่ยว อย่า ลืมมาเที่ยวกันนะคะ ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางสาวณัชวดี ศรีกูลกิจ ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดยนายเวศยัน ไชยนนท์, นางสาวณัชวดี ศรีกูลกิจ


วัดถ้ำพระพุทธไสยาสน์ หรือชื่อเดิมคือ "วัดถ้ำพระทอง" วัดถ้ำพระพุทธไสยาสน์ หรือชื่อเดิมคือ "วัดถ้ำพระทอง" ตั้งอยู่บนเขา "ภูผาทอง" ของ เทือกเขาภูพานในเขตอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กมีเนื้อที่สำหรับทางวัดดูแลรักษาทั้งหมด 326 ไร่ 2 งาน 45 ตารางวา ทะเบียนวัด เลขที่ 196 หมู่ที่ 5 บ้านโคกตาดทอง ตำบลค้อเขียว อำเภอ วาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ห่างจากอำเภอวาริชภูมิประมาณ 18 กิโลเมตร เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์ มหานิกาย มีหลักฐานการก่อตั้งวัด เมื่อ พ.ศ. 2440 วัดถ้ำพระพุทธไสยาสน์ หรือ วัดถ้ำพระ ทอง เคยเจริญรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต ดังจะเห็นได้จากหลักฐานที่มีอยู่หลายประการ คือ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ที่แกะสลักด้วยหินซึ่งติดอยู่ตามผนังถ้ำที่เคยมี อยู่หลายองค์ แต่ปัจจุบัน นี้ยังเหลืออยู่เพียงองค์เดียว นอกนั้นถูกทำลายไปหมดแล้ว ภาพเขียนสีโบราณรูปต่าง ๆ ที่เคยมี อยู่ตามผนังถ้ำก็ถูกทำลายไปแล้วเหมือนกัน ส่วนพระพุทธรูปที่สร้างด้วยทองคำ ทองสำริดและ เงิน ซึ่งเป็นพระเก่าแก่ที่มีอยู่ในถ้ำจำนวนมาก จนเป็นเหตุแห่งการได้มาของชื่อวัดว่า "วัดถ้ำพระ ทอง" และเป็นที่มาของประเพณีสรงน้ำพระ ที่คนเฒ่าคนแก่เล่าสืบต่อกันมาว่า ก่อนที่จะลงมือ ทำไร่ทำนาของทุก ๆ ปี เมื่อถึงวันสำคัญในทางพระพุทธศาสนาคือวันเพ็ญเดือน 6 (วันวิสาขบู ชา) ชาวบ้านในเขตอำเภอวาริชภูมิและอำเภอใกล้เคียงต่างก็นำดอกไม้ ธูป เทียน น้ำอบน้ำหอม ขึ้นมาเพื่อสักการะบูชา ประกอบพิธี ขอฟ้าขอฝนตามจารีตประเพณี จากนั้นก็จะพากันสรงน้ำ พระพุทธรูปเงิน พระพุทธรูปทองอันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อถือ เพื่อจะทำให้ฝน ฟ้าตกต้องตาม ฤดูกาล ทำให้ไร่นาอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ส่วนทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มี พระพุทธรูปเก่าแก่ล้ำค่าเหล่านั้นแล้วแต่ทางคณะสงฆ์อำเภอวาริชภูมิ ตลอดถึงพี่น้อง พุทธศาสนิกชนชาวอำเภอวาริชภูมิและอำเภอใกล้เคียงก็ยังคงรักษาสืบทอดประเพณีอันดีงามใน วันเพ็ญเดือน 6 เป็นประจำทุกปี จวบจนถึงปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2450 ขุนพระบริบาลศุภกิจได้มา ดำรงตำแหน่งนายอำเภอวาริชภูมิ เมื่อออกตรวจราชการท้องที่ได้ทราบจากชาวบ้านแถบนี้ว่าวัด ถ้ำพระทองเป็นวัดร้างไม่มีพระสงฆ์ มีแต่พระพุทธรูปที่สร้างด้วยเงิน ทอง และทองสำริด ซึ่งล้วน แต่เป็นสิ่งล้ำค่า ท่านจึงให้ชาวบ้านพาไปที่วัด เพื่ออัญเชิญพุทธรูปเหล่านั้นไปเก็บไว้ที่บ้านของ ท่าน และอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่วัดสระแก้ววารีราม อำเภอวาริชภูมิ เพราะเหตุนั้น ปัจจุบันนี้ที่วัด ถ้ำพระทองจึงเหลือเพียงพระพุทธรูปหินแกะสลัก 1 องค์ ที่ติดอยู่ผนังถ้ำทางด้านหลังพระพุทธ


ไสยาสน์ (พระนอน)และหลักศิลาจารึกอักษรขอมโบราณ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญได้มาอ่านและแเปลพอ ได้ใจความว่า"พุทธศตวรรษที่ 16 สถานที่นี้เคยเป็นที่ประชุมพระสงฆ์ 31 คณะ ศรีวิริยะบัณฑิต เป็นหัวหน้า วันเสาร์ เดือน 5 ปีมะโรง" เมื่อ พ.ศ.2512 ท่านพระครูคัมภีรปัญญาคม (พระมหาสุวรรณ ไชยพันธ์) ได้ลาออกจาก ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอวาริชภูมิ เพื่อปฏิบัติธรรมกรรมฐานในบั้นปลายของชีวิต ซึ่งเป็นการ ปฏิบัติกิจในทางพระพุทธศาสนา ให้บริบูรณ์ตามหลักพระสัทธรรม 3 ประการ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ โดยในปี พ.ศ.2516 ท่านได้ขึ้นมาอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำพระทองเป็นปีแรก และได้ทำ การฟื้นฟูบูรณะ พัฒนาวัดอารามให้เจริญรุ่งเรือง กลับคืนมาอีกวาระหนึ่ง ในปี พ.ศ.2517 ท่าน ได้นำพาชาวบ้านสร้างอ่างเก็บน้ำ ขนาดความกว้าง 20 เมตร ความยาว 40 เมตร เพื่อเก็บกักน้ำ ไว้อุปโภคบริโภค และบรรเทาความเดือดร้อน ในฤดูแล้ง และในปี พ.ศ. 2518 ท่านพระครู คัมภีร ปัญญาคม ได้นำพาชาวบ้านญาติโยมบริจาคทุนทรัพย์ สร้างพระพุทธไสยาสน์หรือพระ นอนองค์ใหญ่ขนาดความยาว 8 เมตร เพื่อเป็นที่สักการะบูชาแทนพระทอง พระเงิน ที่สูญ หายไป โดยมีท่านพระอาจารย์นเรนทร์ อริยวํโส เป็นผู้ออกแบบการก่อสร้าง เมื่อสร้าง พระนอน เสร็จแล้ว ได้มีการฉลองสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ตลอด 7 วัน 7 คืน และได้มีพิธีบรรจุพระบรม สารีริกธาตุในวันอาทิตย์ ที่ 23 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2519 เวลา 10.00 น. โดยท่านพระ อาจารย์วัน อุตุดโม วัดอภัยดำรงธรรม (วัดถ้ำพวง) อำเภอส่องดาว เป็นผู้อัญเชิญมาบรรจุไว้ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2521 ท่านพระครูคัมภีรปัญญาคมได้ถึงแก่มรณภาพลง จากนั้นทางวัดถ้ำพระ ทอง จึงได้กลายเป็นวัดร้างอีกวาระหนึ่ง แต่ด้วยความห่วงใยของท่านพระครูรัตนสรารักษ์ เจ้า คณะอำเภอวาริชภูมิ ท่านได้จัดให้พระสังฆาธิการ เจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ในเขตอำเภอวาริชภูมิ สับเปลี่ยนกันขึ้นมาอยู่ เพื่อดูแลรักษาเอาไว้ แต่ก็ไม่มีพระภิกษุรูปใดจะอยู่เ ป็น ประจำ จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2522 ท่านพระอาจารย์ทองจันทร์ พุทฺธญาโณ


ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง จังหวัด อุบลราชธานี ได้จารึกธุดงค์กรรมฐาน เพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติจากสำนักครูบาอาจารย์ ต่างๆ ในเขตจังหวัดสกลนครและจังหวัดอุดรธานี จากนั้นท่านจึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดป่ารัตน โสภณ บ้านปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ เป็นเวลา 2 พรรษา เมื่อท่านพระครูรัตนสรารักษ์ เจ้าคณะ อำเภอวาริชภูมิทราบข่าว จึงได้อาราธนาพระอาจารย์ ทองจันทร์ มาอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำพระ ทอง เมื่อวันที่ 17 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 หลังจากท่านพระอาจารย์ทองจันทร์ ได้ขึ้นมาอยู่ ประจำที่วัดถ้ำพระทองแห่งนี้ ท่านก็ได้พัฒนาวัดวาอาราม ควบคู่ไปกับการปฏิบัติที่เคร่งครัด ด้วยข้อวัตร และปฏิปทาที่งดงาม จนเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของพระภิกษุสามเณร ตลอดถึง ฆราวาส ญาติโยมต่างก็พากันมาอยู่ศึกษาปฏิบัติและให้การสนับสนุนเป็นอันมาก จึงเกิดมีการ ก่อสร้างเสนาสนะ กุฏิวิหาร เพื่อรองรับผู้มาเยือน และอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้ปฏิบัติ ธรรม จึงนับว่าวัดถ้ำพระทองมีความเจริญรุ่งเรือง สะอาด สงบ ร่มรื่น น้ำไหลไฟสว่าง หนทางดี แม้แต่องค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินมา นมัสการท่านพระอาจารย์ทองจันทร์ พุทธญาโณ และทรงทอดพระเนตรพระพุทธรูป หลักศิลา จารึก ตลอดจนทัศนียภาพภายในบริเวณวัดถึง 2 ครั้ง คือ วันที่ 29 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2536 และวันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2537 เมื่อท่านพระอาจารย์ ทองจันทร์ ขึ้นมายู่ ท่าน เห็นว่าพระพุทธรูปเงิน พระพุทธรูปทอง ที่มีค่าได้หายไปหมดสิ้นแล้ว คงเหลือแต่พระพุทธ ไสยาสน์ที่งดงามมีลักษณะที่เอิบอิ่มไปด้วยพระเมตตา เป็นที่เจริญตาเจริญใจแก่ผู้ที่ได้มา สักการบูชา ท่านจึงเปลี่ยนชื่อจาก "วัดถ้ำพระทอง" มาเป็น "วัดถ้ำพระพุทธไสยาสน์" ดังที่เรา เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ กระทั่งวันที่ 10 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542 ท่านพระอาจารย์ทองจันทร์ พุทธญาโณ พร้อมคณะได้ย้ายออกจากวัดถ้ำพระพุทธไสยาสน์ไปอยู่ที่อื่น ทางคณะสงฆ์อำเภอ วาริชภูมิได้จัดให้ พระสังฆาธิการ ตลอดถึงพระภิกษุ - สามเณร ขึ้นมาอยู่เพื่อดูแลรักษาวัดเอาไว้ จนกระทั่งวันที่ 12 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2544 ท่านพระครูพิศาลธรรมภาณี (หลวงพ่อมหาสม ดี สุวณุโณ) ประธานศูนย์เผยแพร่ ชีวิตอันประเสริฐภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าอาวาสวัด สันติวนาราม (พุทธอุทยานป่าดงไร่) ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ได้นำ ข้าพเจ้า (พระมหาศักดิ์ชาย อมโร) ขึ้นมาฝากไว้เพื่อให้อยู่ที่วัดถ้ำพระพุทธไสยาสน์แห่งนั้น จน ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระครูรัตนสรารักษ์ เจ้าคณะอำเภอ วาริชภูมิ ตลอดถึงคณะสงฆ์ มอบหมายให้อยู่ดูแลรักษาและพัฒนาวัดถ้ำพระพุทธไสยาสน์ มา จนถึงทุกวันนี้ ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย หนังสือทำวัตร สวดมนต์ ฉบับวัดถ้ำพระทอง ภาพถ่าย/ภาพประกอบ นางสาวณัชวดี ศรีกูลกิจ


ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ชื่อ : ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร 47150 (เกษตรผสมผสาน) สถานที่ตั้ง : บ้านโนนนาคำ หมู่18 ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร 47150 พิกัดศูนย์ฯ : x = 48Q0346708 Y = 1906869 แผนที่ไปศูนย์เรียนรู้ ไป อ.ส่องดาว ไป อ.วังสามหมอ ศูนย์เรียนรู้ฯ ถ.พังโคน-วังสามหมอ ไป อ.พังโคน ชื่อเกษตรกรต้นแบบ : นายสมคิด ศรีลาวงศ์ หมายเลขประจำตัว : 3470600219900 สถานการณ์ของพื้นที่ : เกษตรกรในพื้นที่ตำบลคำบ่อ ปลูกข้าว, ทำสวนยางพารา, เลี้ยงสัตว์ แนวทางการพัฒนา : แนวทางการลดต้นทุนการผลิตโดยการนำเอามูลสัตว์มาทำเป็นแก๊สชีวภาพ จุดเด่นของศูนย์เรียนรู้ : เป็นการทำเกษตรแบบเกษตรผสมผสาน มีทั้ง พืช, สัตว์, ประมง หลักสูตรการเรียนรู้ : 1 การเลี้ยงปลา 2 การเลี้ยงสุกร 3 การผลิตแก๊สชีวภาพ 4 การทำเกษตรแบบผสมผสาน วัดพระธาตุศรีมงคล ที่ว่าการ อ.วาริชภูมิ ศาลเจ้าปู่ มเหสักข์ ทต.ค าบ่อ สภ.ค าบ่อ


1 การเลี้ยงปลา 2 การเลี้ยงสุกร 3 การผลิตแก๊สชีวภาพ 4 การทำเกษตรแบบผสมผสาน เครือข่าย : ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ชื่อเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร : นายรัตนะ ลีทอง ตำแหน่ง นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรปฏิบัติการ เบอร์โทรศัพท์: 084-0188407


วัดถ้ำมะเกลือ (ภูฮอม) ที่ตั้ง บ้านโนนนาคำ ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ขอบคุณภาพจาก สกลละเบ๋อ


หนองหมาคาบปลา พระราชดำริในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายละเอียดพระราชดำริให้กรมชลกรมชลประทานเร่งดำเนินการปรับปรุงหนองดังกล่าว โดยการขุดลอก แสร้างคันดิน เพื่อให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝน ซึ่งราษฎรกราบบังคมทูลพระกรุณาว่ามีระดับถึงคอ ให้ มีความจุสูงสุด ทั้งนี้ จะช่วยบรรเทาอุทกภัยได้บางส่วน และจะทำให้มีน้ำสำรองไว้ใช้สนับสนุนการเกษ วันที่พระราชทาน 22 พฤศจิกายน 2533 ที่ตั้ง บ้านจำปา ตำบลหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ขอบคุณข้อมูลรูปภาพ จากเฟชบุ๊คส์ บ้านจำปานิวส์-Jhampa News


Click to View FlipBook Version