รายงานวิชาประวัติศาสตร์
สถาปัตยกรรมศาสตร์และ
การออกแบบ. ARD1105
นางสาวสุธิมา พาทอง
สาขา สถาปัตยกรรม รหัส 64132523047
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม
และการออกแบบ เพื่อให้เป็นความรู้ในการศึกษาประวัติของ
สถาปัตยกรรมและการออกแบบ
ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่กำลังศึกษาข้อมูล
เกี่ยวกับยุคประวัติศาสตร์ต่างๆของสถาปัตยกรรมและการออกแบบ
หากมีข้อผิดพลาดประการใดหรือข้อแนะนำ
ผู้จัดทำขอน้อมรับและขออภัยมา ณ ที่นี่
นางสาวสุธิมา พาทอง
สารบัญ
Romanesque 1-7
Gothic 8 - 13
Renaissance 14 - 24
Romanesque
ศิลปะสมัยโรมาเนสก์
เป็นศิลปะสมัยเกิดขึ้นราว ค.ศ. 7
ถึง ค.ศ. 12 และส่งให้เกิด ศิลปะ
สมัยกอทิก ศิลปะสมัยโรมาเนสก์
มีที่มาจากศิลปะของโรม ในสมัย
คริสต์ศิลป์ตอนต้นมรพื้นฐานมา
จากการลอกเลียนแบบ
ศิลปะสมัยคริสต์ศิลปะตอนต้น
แต่หากมีลักษณะเฉพาะที่ชัดเจน
ทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม
และจิตรกรรม
ศิลปะโรมาเนสก์ เกิดขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองไม่สงบ แต่ยุโรป เองเริ่มก่อตัวขึ้น เป็นรูป
เป็นร่างในตอนปลายสมัยกลาง มีคริสต์ ศาสนาเป็นแกนหลักที่สาคัญ ได้ลอกเลียน
แบบอารยธรรมศิลปะ ชาวโรมัน และได้รับอิทธิพลจากศิลปะสมัยไปแซนไทน์
สถาปัตยกรรมสมัยโรมาเนสก์
- อาคารแบบเรียบง่าย ไม่ตกแต่งมั่งคั่ง
- รูปทรง ทึบ มั่นคง แข็งแรง
- กำแพงหนา
- ประตูมักทาเป็นชั้นๆลดหลั่นเพื่อเป็นการเฉลีย น้ำหนักของกำแพง
- โครงสร้างและหลังคาเป็นแบบคูหาเพดานโค้งBarrel Vault
- ภายนอกมีค้ายันเรียกเฉพาะว่า บัตเทรสส์ (Buttress)
- ผังอาคารเป็นแบบคริสเตียนบาซิลิกา
- มักมีการตกแต่งบนเพดานทรงโค้งมากที่สุด
- จะมีการตกแต่งด้วยงานโมเสกและจิตรกรรมปูน
เปียก (Fresco)เป็นเรื่องราวเกียวกับพระเจ้า
สถาปัตยกรรมสมัยโรมาเนสก์
ภาพประกอบประตูโค้ง
สถาปัตยกรรมสมัยโรมาเนสก์
ภาพประกอบการจกแต่งด้วยจิตรกรรมและปูนเปียก
ประติมากรรมสมัยโรมาเนสก์
- ประติมากรรมส่วนใหญ่เป็นส่วนประดับตกแต่งอาคาร
-ลอกเลียนแบบจากศิลปะโรมัน เล่าเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
จิตรกรรมสมัยโรมาเนสก์
เป็นงานจิตรกรรมปูนเปียก Fresco โดยการเขียนภาพใน
ขณะที่ปูนยังไม่แข็งตัว ทาให้สีฝุ่นที่ใช้เขียนมีความคงทน
สรุปสมัยโรมาเนสก์
ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลมาจาก
ศิลปะโรมันซึ่งประกอบด้วยเสาโครินเธียน
การตกแต่งด้วยสีสันที่เป็นแถบตัดกันระหว่าง หินอ่อนสีเขียวเข้ม เทา และ
แดงทาให้สิ่งก่อสร้างดู สวยงาม
และยังเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความแข็งแรงทนทานมั่นคง
และเนื่องจากสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์เกิดขึ้นในยุคที่มีการทำสงครามจึง
ทำให้สถาปัตยกรรมต่างๆเกี่ยวข้องกับศาสนาเพราะผู้คนส่วนใหญ่หันมา
พึ่งพิงศาสนาในขณะที่เกิดสงครามการก่อสร้างจึงออกมาประณีตบรรจง
ภาพประกอบเพิ่มเติมในยุคโรมาเนสก์
แนวคิดในการสร้างศิลปะของกอธิก Gothic
นั่นแบ่งเป็นช่วงยุคสมัยต้นๆดังนี้
1.แนวคิดในการสร้างศิลปะของคริสต์ศตวรรษที่ 10-11
การสร้างศิลปะเกี่ยวเนื่องกับเกณฑ์ในศาสนาคริสต์ ศาสนาโดยนักบญุเบเนดกิท์แห่งวัดคลนูี และพัฒนา
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์รวมด้วย สถาปัตยกรรมกอธิก จึงเป็นช่วงเวลาที่มีการสร้าง ความยิ่งใหญ่ใน
การสร้างวิหาร โดยได้คำนึงถึงความงามที่สอดคล้องกับความเชื่อทางศาสนาและ สภาพแวดล้อม ไม่
ได้คำนึงถึงแต่ความงามเพียง อย่างเดียว แนวความคิดดังกล่าวได้พัฒนาสืบต่อเนื่องไป
2.แนวคิดของคริสต์ศตวรรษที่13
ในช่วงแรกศิลปะกอธิกจะนิยมและซาบซึ่งกับรูปทรงที่มาจากธรรมชาติและรูปทรงที่มีความ
รู้สึกว่าเจริญเติบโตและงอกงามได้และมีแนวความคิดความงามไม่ใช่สิ่งที่ผิวเผินแต่ความงาม
เป็นสิ่งที่ซับซ้อน ด้วยการเปลียนแปลงของสัดส่วนที่กลมกลืน โดยเห็นได้จากลักษณะของ
สถาปัตยกรรม กอธิก ซึ่งมีลักษณะที่ซับซ้อนและเปลียนแปลงไปจากสถาปัตยกรรมในอดีต
Gothic
ช่วงสมัยต่างๆที่ศิลปะกอธิกมีการเปลี่ยนแปลง
1. กอธิกสมัยแรก Early Gothic ค.ศ. 1150-1200
2. กอธิกสมัยรุ่งเรื่อง High Gothic ค.ศ. 1200-1300
3. กอธิกสมัยสุดท้าย Late Gothic ค.ศ.1300-1417
ในสามยุคสมัยนี้นั่นศลิปะกอธิกถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างแตกต่าง
กันอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งภายนอกตัววิหารหลวงต่างๆ
Gothic กอธิกสมัยแรก ค.ศ. 1150-1200
Early Gothic
วัดแซงต์ เดอนีส์ Saint Denis ปารีส ฝรังเศส
Gothic
กอธิกสมัยรุ่งเรือง ค.ศ. 1200-1300
High Gothic
วัดชาร์ตร The Cathedral of Chartres
เริ่มมีการตกแต่งที่ซับซ้อนและเน้นการตกแต่งแบบประติมากรรมจิตรกรรมขึ้นมา
Gothic กอธิกสมัยสุดท้าย ค.ศ. 1300-1417
Late Gothic
เริ่มมีการเปลียนแปลงของศิลปะกอธิก โดยเฉพาะรูปแบบที่มีชื่อว่าเรดิเอชั่นRadiation
or Rayonnant ของสมัยรุ่งเรืองสู่รูปลักษณะที่แปลกตาไปกว่าเดิม รวมทั้งมีการตกแต่ง
ที่เปลียนแปลงไป สถาปัตยกรรมกอธิกสมัยหลังจึงมีชื่อเฉพาะลักษณะนี้ว่า “ฟลังบัวเย”
โดยมีการ ใช้ทรงลวดลาย ที่มีความโค้งสะบัดลายกับเปลวไฟ โครงสร้างดูบอบบาง และสูง
ระหง ช่วงเสากว้าง ขึ้น หัวเสาไม่นิยมทาให้เด่นออกไปต่างหาก แสดง โครงสร้างให้ไขว้
สลับกันคล้ายดาว มองเห็นได้ ชัดเจนบนเพดาน
โบสถ์แซงต์ มากลู
St.Maclou
สรุปสมัย Gothic
ศิลปะกอธิก เชื่อมโยงกับศิลปะโรมาเนสก์ ทั้งสถาปัตยกรรมและ
ประติมากรรม จิตรกรรม สถาปัตยกรรมกอธิกได้ปรับปรุงโครงสร้าง
อาคารที่มีความหน้าผนังหนา ทึบตันของโรมาเนสก์ให้มีความสูง
เรียว แหลม จัดประติมากรรมให้มีความเหมือนธรรมชาติมากขึ้น
ทั้งการทำจิตรกรรมปูนเปียกเรื่องราวศาสนาคริสต์ ทั้งยังมีการทา
จิตรกรรมกระจกสี ซึ่งเป็นจุดเด่นและรุ่งเรืองที่สุด
Renaissance
ความหมาย เรอนาซอง หรือ เรเนสแซนส์
Renaissance ขบวนการฟื้ นฟูศิลปวิทยาการและ
ศิลปะสมัยฟื้ นฟูศิลปะวิทยาการมีจุดกำเนิดใน
อิตาลีคำว่า เรอนาซอง หรือ เรเนสแซนส์
Renaissance แปลว่า เกิดใหม่
การฟื้ นฟูขึ้นมาอีกครั้งเพราะเป็นศิลปะคลาสสิกของ
กรีกและ โรมันเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งในยุคนี้ โดยเชื่อว่า
วัฒนธรรมและศิลปะจะกลับมารุ่งเรืองได้อีก
Renaissance
การแบ่งช่วงเวลาการกลับไปสู่รูปแบบอารยธรรมที่เคย
รุ่งเรืองในอดีต แบ่งช่วงเวลาได้ดังนี้
1. ระยะคลาสสิก (Classic Period) ย้อนเวลากลับไปศึกอารยธรรมศิลปะ
แบบกรีกและโรมันเพราะโลกตะวันตกถือว่ากรีกโรมันเป็นแม่แบบอารยธรรม
และศิลปะที่ดีที่สุด
2. ระยะมนุษญนิยม (Humanistic Period) เปลี่ยนจากกฎเกณฑ์อันเคร่ง
คัดและการลอกเลียนแบบมาสู่ความอิสระมีระบบการศึกษาที่ดีขึ้นยกย่อง
ความสามารถหรือความเชี่ยวชาญส่วนบุคคล
3. ระยะการค้นพบ เป็นช่วงที่มีการค้นพบดินแดนใหม่โคลัมบัสแล่นเรือผ่าน
น่านน้ำตะวันตกเพื่อหาทางไปสู่ตะวันออกค้นพบดินแดนใหม่ สิ่งตีพิมพ์เผย
แพร่วิทยาการต่างๆความรู้ และ วิทยาการที่ก้าวหน้ามาก ค้นพบการทาเข็ม
ทิศ ดินปืน (รูปแบบการทาส่งคราม เปลี่ยนไป)
Renaissance
สาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากยุคมืด
ไปสู่สมัยRenaissance มีดังนี้
เกิดสงครามบ่อย แย่งชิงผลประโยชน์ เปลี่ยนแปลงการปกครอง
ตลอดจนศิลปะวัฒนธรรม
อานาจพระซึ่งเคยเป็นผู้ผูกขาดทางวิทยาการทั้งมวลเริ่มเสื่อมลง มี
การสืบค้นแนวทางวิทยาศาตร์มากขึ้น
ระบบการปกครองฟิวดัลค่อยๆเสื่อมอำนาจ พ่อค้าวาณิชมีอำนาจทาง
เศรษฐกิแสวงหาตลาดใหม่เพื่อการค้า
ชาวอิตาลีสืบทอดโรมัน รังเกียจศิลปะวัฒนธรรมของกอธิค กล่าวหา
ว่าเป็นศิลปะของพวกป่าเถือน
Renaissance
ศิลปะสถาปัตยกรรมในสมัยเรอเนซอง
Renaissance แบ่งออกเป็น 4 สมัยดังนี้
1. เรอเนซองสมัยบุกเบิก Proto Renaissance
คริสต์ศตวรรษที่ 13-14
ในสมัยนี้ยังคงมีลักษณะรูปแบบศิลปกรรมโดยทั่วไปในยุโรปเป็น
แบบไปแซนไทน์หรือกอธิก ศิลปะกอธิกยังคงได้รับความนิยม
ติดต่อกันมาเรื่อยๆจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ทั้งในแนวคิดและรูป
แบบศิลปะกรรมซึ่งค่อยๆเติบโตและกลายเป็นรากฐานของสมัยเรอ
นาซอง (Renaissance)ศิลปินของอิตาเลียนเริ่มสร้างสรรค์ยุคใหม่
ขึ้นมา ค้นหาบุคลิกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง สร้างสรรค์
งานยุคใหม่ตามสายตาที่สามารถมองเห็ ศิลปกรรมทุกสาขาต่าง
ทำการทดลองค้นคว้าราวกับวิทยาศาสตร์
Renaissance
ภาพเพิ่มเติมในสมัยเรอเนซองสมัยบุกเบิก
“ ยุทธการซานโรมาโน ” Santa Maria della Spina
โดย เปาโล อูเชลโล Church. Pisa, Italy
Renaissance
2. เรอเนซองสมัยต้น Early Renaissance
คริสต์ศตวรรษที่ 14-15
ในอิตาลีมีรัฐสำคัญต่างๆ 6 รัฐ ได้แก่ เวนีส ฟลอเรนซ์ มิลาน เฟอร์รารา ซาวอย
และเนปาลซึ่งในรัฐต่างๆนี้ต่างมีการสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมของตัวเองแต่จะ
ดูเด่นชัดมากที่สุดคือ รัฐฟลอเรนซ์ (ตระกูล เมดิซี่ขึ้นสู่อานาจ ค.ศ.1431-
1494)
ฟลอเรนซ์เป็นเมืองที่มี ความสามารถในหลายๆเรื่อง ด้าน วรรณกรรม ศิลปกรรม
กฎหมาย ปรัชญา วิทยาศาสตร์ ล้วนแล้วแต่เป็นที่ยอมรับทั่วไปในอิตาลี
ฟลอเรนซไ์ด้มีการพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วมีการสนับสนุนให้ประชาชน
เข้าใจถึงวัฒนธรรมอย่างกว้างขวางโดยมีตระกูลเมดิซีให้การสนับสนุน
มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence
Cathedral) หรือ อาสนวิหาร
แม่พระแห่งดอกไม้(Cattedrale
di Santa Maria del Fiore
Renaissance
3. เรอเนซองยุคทองหรือยุครุ่งเรือง High Renaissance คริสต์
ศตวรรษที่ 15-16
ในสมัยนี้ฟลอเรนซ์ขาดผู้นำและผู้สนับสนุนศิลปะทั้งยังเกิดความวุ่นวาย
ทางการเมืองทำให้ฟลอเรนซ์มีบทบาทลดลงกรุงโรมซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์
กลางคริสตจักรโรมันคาทอลิกก็เริ่มมีบทบาทขึ้นมาแทน และได้มีการส่ง
เสริมให้มีการสร้างงาน ศิลปกรรมมากมาย ศิลปินต่างๆภูมิภาคก็ต่างพา
กันเข้ามาสร้างผลงานกันในกรุงโรมทำให้กรุงโรมมีฐานะเมืองหลวงของ
ศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรปส่งผลให้เกิดศิลปินที่ได้รับการยกย่องว่ามี
ความสามารถมากสูงสุดอยู่ด้วยกัน 3 คนคือ
• เลโอนาร์โด ดา วินชี่ Leonardo da Vinci,
•ไมเคิลแอนเจโล หรือ มิเก ลันเจโล บูโอนาร์โรตี
MichelangeloBuonarroti,
•ราฟาเอล Raffaello Sanzio or Raphael
Renaissance
ภาพเพิ่มเติมในสมัยเรอเนซองยุคทองหรือยุครุ่งเรือง
“ ยุทธการซานโรมาโน ” เทมปิเอตโต้, ออกแบบโดย
โดย เปาโล อูเชลโล บรามันเต้ เมือ 1502-1503
Renaissance
ภาพเพิ่มเติมในสมัยเรอเนซองยุคทองหรือยุครุ่งเรือง
มีการออกแบบอาคารเน้นให้ในแต่ละมุมของอาคารใช้ประโยชน์ได้เต็มที่สามารถ
รับชมวิวได้รอบทิศมีความเด่นของการใช้สอยและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
AndreaPalladio,1508-1580
Renaissance
4. เรอเนซองสมัยปลายหรือสมัยหลัง Late Renaissance
คริสต์ศตวรรษที่ 16
ศูนย์กลางของยุคสมัยนี้จะอยู่ที่อยู่ในกรุงโรมและมีการพัฒนารูปแบบโดย
พยายามแหวกล้อมประเพณีแนวคิดแบบแมนเนอริสม์จะเน้นเรื่อง
ธรรมชาติไม่มีความเหมือนจริงเน้นความตื่นน่าตื่นใจที่ยิ่งใหญ่
พระราชวังอุฟฟิซี่ Uffizi, Florence, Italy. Giorgio Vasari and others.
1560-1581
สรุปยุคสมัย Renaissance
ศิลปะเรอนาซอง Renaissance พัฒนามาจากรูปแบบการใช้
ศิลปะฟื้ นฟูวิทยาการโดยเอารูปแบบวิทยาการของกรีกและโรมัน
มาเป็นต้นแบบและได้มีการพัฒนาขึ้นไปตามลำดับ มีความ
ต้องการและวิทยาการทางด้านต่างๆเพิ่มขึ้นไปมีการสร้างสรรค์
งานตามอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรงและมีความหลากหลายจนเกิน
พอดีไม่อยู่ในรูปแบบเดิมและสิ่งนี้เองก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ
ให้แก่ศิลปะยุคต่อไป
บรรณานุกรม
https://th.wikipedia.org/wiki/สมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยา
https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/hist
oryofart/yukh-klang-middle-age/silpa-
kothikh-gothic-art
https://sites.google.com