รายงานการวิจัย การศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี The Achievement Motivation for Leaning Mathematics of 8 Grade Student at Kaeng khoi Wittayakom School Kaeng Khoi District,Saraburi Province. เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นาวาตรี ดร.พงศ์เทพ จิระโร โดย นางสาวกรรณานุต บำรุงพงษ์ รหัสนักศึกษา 223511106 รุ่น 9 กลุ่ม 4 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
รายงานการวิจัย การศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี The Achievement Motivation for Leaning Mathematics of 8 Grade Student at Kaeng khoi Wittayakom School Kaeng Khoi District,Saraburi Province. เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นาวาตรี ดร.พงศ์เทพ จิระโร โดย นางสาวกรรณานุต บำรุงพงษ์ รหัสนักศึกษา 223511106 รุ่น 9 กลุ่ม 4 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา สังคมในปัจจุบันวิชาคณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การเรียนคณิตศาสตร์ ช่วยให้มนุษย์มีกระบวนการความคิดที่เป็นระบบมีแบบแผน รอบคอบ รู้จักคิดวิเคราะห์และมีการวางแผนในการ ตัดสินใจแก้ไขปัญหา การเรียนรู้หลักการคิดคำนวณวิชาคณิตศาสตร์สามารถนําไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หลากหลาย เช่น การซื้อ การขาย การสร้างบ้าน การเดินทาง การดูเวลา การชั่ง ตวง วัด ฯลฯ ล้วนใช้พื้นฐานการเรียนรู้วิชา คณิตศาสตร์ทั้งสิ้น ซึ่งคณิตศาสตร์ยังเป็นรากฐานในการศึกษาวิชาและศาสตร์ต่างๆ เช่น การศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีก็ใช้พื้นฐานในการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อต่อยอดในการเรียนรู้ ในขณะนี้โลกมีการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าในปัจจุบันวิชาคณิตศาสตร์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในการนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้เล็งเห็นประโยชน์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ จึงพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนอย่าง ต่อเนื่องและให้วิชาคณิตศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสาระการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียน ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ด้านความรู้ ด้านคุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และ ทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่ดีที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งมุ่งเน้นที่ ผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ปราณี หลำเบ็ญสะ และ ชิดชนก เชิงเชาว์ (2553) ได้กล่าวไว้ว่า สำหรับแรงจูงใจทางการเรียนหรือแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์เป็นสิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้ไม่ใช่เกิดตามกรรมพันธุ์แต่เกิดการฝึกฝนอบรม ซึ่งสิ่งแวดล้อมจะมีผลโดยตรงต่อ ระดับแรงจูงใจของบุคคล มีทฤษฎีการเรียนรู้และผลการวิจัยจำนวนมากรายงานว่าแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เป็นตัวแปรที่ เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมาก ดังนั้นจึงควรมีการศึกษาถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์ เกษตรชัย และหีม (2550) กล่าวว่าแรงจูงใจมีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ นักเรียนที่ตั้งใจเรียนสูง มักประสบความสำเร็จในการเรียนรู้เป็นความปรารถนาที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พยายาม เอาชนะอุปสรรคมีความพยายามที่จะทำให้สัมฤทธิ์ผลได้มาตรฐานดีเยี่ยมกว่าคนอื่นๆ นักเรียนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ สูงจะเป็นคนที่มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะรับภาระหรือความรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน ไม่เกี่ยงงานเป็นคนที่ ตั้งเป้าหมายไว้สูงกว่าปกติและเป็นคนที่มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะให้ผู้อื่นประเมินหรือบอกสิ่งที่เขาทำ ทั้งนี้ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์มีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นเพราะผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงมีความ ต้องการที่จะกระทำสิ่งต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์มีความสำคัญในการกระตุ้นบุคคลให้มีการ เปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยนักเรียนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงย่อมมีความปรารถนาที่จะปรับปรุงตนเองให้เก่งและ มีความรอบรู้มากกว่าคนอื่นๆ มีความพยายามและความทะเยอทะยานในการปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นทำสิ่งที่ปรารถนา
ให้ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง จึงมีโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จในการเรียนและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่าผู้ที่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำ ปัจจุบันยังมีนักเรียนอยู่จำนวนมากที่ไม่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ มีความเบื่อ และเกิดความวิตกกังวลใน การเรียนคณิตศาสตร์ จนทำให้เกิดความรู้สึกท้อแท้และขาดแรงจูงใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น เนื้อหาบทเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนหรือยากต่อ ความเข้าใจ ครอบครัว ครูผู้สอน นักเรียน เป็นต้น ถ้าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขและพัฒนาการเรียนรู้อย่าง ถูกต้อง อาจทำให้ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานก่อให้เกิดปัญหาระยะยาวในการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้นและอาจส่งผลในการเรียนในวิชาอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นการวิจัยในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบถึงแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี จำนวน 200 คน โดยเป็น แนวทางในการพัฒนา การปรับปรุงการจัดการเรียนการสอน การกระตุ้นให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์และ นักเรียนประสบผลสำเร็จในการเรียน ซึ่งเป็นรากฐานที่ดีในการเรียนระดับที่สูงขึ้นต่อไป คำถามเพื่อการวิจัย 1. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีเป็นอย่างไร 2. นักเรียนมีเพศ ภูมิลำเนา สถานะภาพบิดามารดาต่างกัน มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่างกันหรือไม่อย่างไร 3. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน แก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีมีความสัมพันธ์กับอายุและรายได้ครอบครัวหรือไม่อย่างไร วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน แก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี 2. เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์กับเพศ ภูมิลำเนา สถานะภาพบิดามารดา อาชีพบิดามารดาต่างกัน ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ อายุ รายได้ครอบครัวต่อเดือนต่างกันในการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี สมมุติฐานการวิจัย 1. นักเรียนที่มีเพศ ภูมิลำเนา สถานะภาพบิดามารดา อาชีพบิดามารดาต่างกัน มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์แตกต่าง กัน 2. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของนักเรียนมีความสัมพันธ์กับ อายุ รายได้ครอบครัวต่อเดือน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.ทำให้ทราบเรื่องแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน แก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี 2.ทำให้ทราบผลต่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน แก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีที่มีภูมิหลังต่างกัน 3.ทำให้ทราบความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี กับภูมิหลังบางประการ ขอบเขตการวิจัย การศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีได้กำหนดขอบเขตด้านเนื้อหาโดยมุ่งเน้นการศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านสังคมกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระดับระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีโดยเลือกศึกษาปัจจัย ด้านส่วนบุคคล ปัจจัยด้านครอบครัว และศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วยด้านส่วนบุคคล ด้านครอบครัว ด้านครูผู้สอน ด้านกระบวนการเรียนหนังสือ ด้านสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน ด้านการตั้งเป้าหมาย เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ ด้านความตั้งใจมุ่งมั่นในการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ ด้านความอดทนไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และด้านความทะเยอทะยานให้ผลงานเป็นที่ยอมรับและเกิดความเจริญก้าวหน้า (McClelland, 1953: 110-111) 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษานี้ คือ นักเรียนชาย / หญิง ที่กำลังศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี จำนวน 200 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้ คือ นักเรียนชาย / หญิง ที่กำลังศึกษาระดับ มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีจำนวน 133 ตัวอย่าง ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ตัวแปรที่ศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1. ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ได้แก่ ปัจจัยด้านสังคมของนักเรียน จำแนกเป็น 1.1 เพศ 1.2 อายุ 1.3 ระดับการศึกษา 1.4 การพักอยู่อาศัย 1.5 จำนวนพี่น้อง 1.6 สถานะภาพของบิดา-มารดา
1.7 อาชีพของบิดา มารดา ผู้ปกครอง 1.8 รายได้ครอบครัวต่อเดือน 2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วย 2.1 ด้านส่วนบุคคล ได้แก่ การรับรู้คุณค่าในตนเอง ทัศนะคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2.2 ด้านครอบครัว 2.3 ด้านครูผู้สอน 2.4 ด้านกระบวนการเรียนหนังสือ 2.5 ด้านสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน นิยามศัพท์ 1.นักเรียน หมายถึง นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี 2.แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความปรารถนาอย่างสูงที่จะประสบ ผลสำเร็จในด้านการเรียน ตามเป้าหมาย หรือมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนรวมถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ผู้วิจัยได้ รวบรวมแนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาเป็นพื้นฐานในการวางการวิจัยโดยใช้เป็นกรอบความคิด ในการตั้งสมมติฐาน และใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่พบจากการศึกษาวิจัย ดังนี้ 2.1 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ 2.2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.3 กรอบแนวคิดในการวิจัย 2.1 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เป็นแรงขับภายในที่บุคคลมีความพยายามที่จะดำเนินกิจกรรมให้ประสบความสำเร็จตาม จุดประสงค์ที่วางไว้ กล่าวได้ว่าประเทศใดมีประชากรที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง ก็จะให้สังคมประเทศชาตินั้น ประสบความสำเร็จสูง มีความเจริญก้าวหน้า มีผลการทำงานที่มีคุณภาพ และมีประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้นไปด้วย สุเนตร์ หัสขันต์ (2544) กล่าวว่า แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ หมายถึง ความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จและให้ดีเลิศ โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ แม้ว่าผลงานที่ออกมาจะไม่สำเร็จหรือไม่ดีเลิศก็ตาม แต่มีความทะเยอทะยานสูงในการ มุ่งความสำเร็จและดีเลิศ ต้องการเป็นอิสระในการคิดสร้างสรรค์ผลงาน มีความสบายใจเมื่อประสบความสำเร็จและ ดีเลิศและวิตกกังวลเมื่อประสบความล้มเหลวแต่ก็ยังพยายามที่จะแก้ไขใหม่ในครั้งต่อไป มาลิณี จุโฑปะมา (2554) ได้กล่าวถึงลักษณะของคนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงนั้น ประกอบด้วยการตั้ง จุดมุ่งหมายหรือระดับความคาดหวังไว้สูง มีความมานะบากบั่น พยายามเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ พยายามไปให้ถึง จุดมุ่งหมายที่ได้วางไว้ มีแผนงานในการทำงานเสมอสำหรับลักษณะคนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่ำจะมีลักษณะ ประกอบด้วย การทำงานไม่มีจุดหมาย ไม่มีแผนการทำงาน ตั้งจุดมุ่งหมายหรือระดับความคาดหวังที่ต่ำสามารถไป ถึงได้ง่ายไม่ต้องใช้ความพากเพียรมานะพยายามมากนัก นอกจากนั้นประสิทธิ์ ทองอุ่น (2542) กล่าวถึงคุณลักษณะ 5 ประการ ของผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง ประกอบด้วย 1) ทำงานอย่างมีเป้าหมายและมีการวางแผนการดำเนินงาน ไปสู่เป้าหมายโดยกำหนดเป้าหมาย 2) มีความมานะพยายามและมีความอดทน 3) มีความรับผิดชอบในงานและ รับผิดชอบต่อผลการกระทำของตน 4) แข่งขันกับมาตรฐานที่เป็นเลิศ 6) ทำงานที่ท้าทายความสามารถ เติมศักดิ์ คทวณิช (2546) กล่าวถึง แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ว่าเป็นแรงจูงใจที่เกิดจากความต้องการที่จะพยายาม ทำกิจกรรมหนึ่งกิจกรรมใดที่ได้รับหมอบหมาย หรือรับผิดชอบอยู่ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีไม่ว่างานนั้นจะมีความ ยากลำบาก หรือประสบปัญหาอุปสรรค
McClelland (1985) ได้ให้ความหมายผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ คือ ผู้ที่ตระหนักรู้ถึงเป้าหมายในระดับสูง ความต้องการประสบความสำเร็จในการแข่งขันและความสามารถในการจูงใจตนเองในการทำสิ่งที่เหนือกว่า ซึ่งผล ดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและมีความหมายต่อตนเองซึ่งการจูงใจผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ เป็นสิ่งที่สำคัญต่อ องค์กร เนื่องจากคนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่ำจะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย และสถานภาพมากว่าจะเติมเต็มความ ต้องการให้แก่ตนเอง โดยจะยึดติดกับความคิดและความรู้สึกของตนเองเป็นหลักและจะกังวลกับการแสดงออกของ ตนเองมากกว่าเรื่องของผลการดำเนินงาน แรบิดิว (Rabideau. 2005) ได้ให้ความหมายไว้ในทำนองเดียวกันว่า บุคคล แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เป็นความ ต้องการที่จะบรรลุความสำเร็จ หรือให้ได้ผลดีเลิศแต่ละบุคคลจะบรรลุความต้องการของตนเองในหลากหลายวิธี และขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลภายในตัวบุคคลหรือเป็นเหตุผลจาก ความต้องการภายนอกก็ได้จะเห็นได้ว่าแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เป็นแรงผลัดดันให้บุคคลแสดงพฤตกรรมอันมุ่งมั่นที่จะไปถึง เป้าหมาย ตามความหมายแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้ว่า แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ หมายถึง ความต้องการ หรือความปรารถนาของบุคคลที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ตระหนักและตั้งใจกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบความสำเร็จ ได้ดีและมาตรฐานอันดีเลิศ พร้อมกับความบรรลุเป้าหมายในระดับสูงโดยพยายามแข่งขันกับมาตรฐานและบุคคล เพื่อให้ได้มาตรฐานและดีกว่าบุคคลอื่นและเป็นแรงผลักดันให้มีพฤติกรรมที่มีความมุ่งมั่น มีความทะเยอทะยาน มีความกระตือรือร้น ในการทำงาน มีความรับผิดชอบในหน้าที่ และฝ่าฟันอุปสรรคด้วยความหวังที่จะทำงาน ให้สำเร็จมากกว่ากลัวความล้มเหลว 2.1.1 ที่มาของแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะมีที่มาขององค์ประกอบ 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. มาจากแรงจูงใจภายใน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ประเภทนี้เป็นแรงจูงใจภายในที่บุคคลต้องการทำงาน เป็นความต้องการที่มาด้วยความปรารถนาของตนเอง เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่ต้องการทำงานนั้นๆ ให้สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยตนเอง สินจ้าง รางวัล สิ่งตอบแทนต่าง ๆ หรือสิ่งล่อใจไม่มีความหมาย คนที่มีแรงจูงใจภายในจะมีความมุ่งมั่น ทำงานของตนโดยไม่มีการรีรอ ไม่ต้องมีสิ่งมาเชิญชวนชักจูง จะกระตือรือร้นมีกำลังใจ 2. มาจากแรงจูงใจภายนอก แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ลักษณะนี้เป็นแรงจูงใจที่เกิดขึ้นด้วยสิ่งเร้าภายนอก เช่น เงินเดือน โบนัส โอกาสในการก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ความต้องการต่าง ๆ ที่จะช่วยให้การทำกิจกรรมนั้นๆ มีความหมายมากขึ้น ทั้งแรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอกเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของบุคคล จึงเป็นดัชนีชี้นำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อมุ่งสู่จุดหมายนั้น ๆ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของบุคคลจะไม่ปรากฏชัดเจน จนกว่าจะมีสถานการณ์การรับรู้และเข้าใจว่าการประเมินประสิทธิภาพในการประกอบกิจกรรมของบุคคลว่าดี มีมาตรฐานเป็นเลิศ หากประสพกับความผิดหวังล้มเหลวบุคคลประเภทนี้จะปรับปรุงพัฒนาตนเองจนกว่าจะประสบ ความสำเร็จในครั้งต่อไป จะตั้งแรงจูงใจไว้ระดับสูงจะไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค ไม่กลัวความผิดหวัง จะวางแผนอย่างรัดกุม
2.1.2 ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของแม็คเคลแลนด์ (McClelland) ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของแม็คเคลแลนด์ เน้นอธิบายการจูงใจของบุคคลที่กระทําการเพื่อให้ ได้มาซึ่งความต้องการความสําเร็จมิได้หวังรางวัลตอบแทนจากการกระทําของเขา ซึ่งความต้องการความสําเร็จนี้ในแง่ ของการทํางาน หมายถึง ความต้องการที่จะทํางานให้ดีที่สุดและทําให้สําเร็จผลตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อตนทําอะไรสําเร็จได้ ก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้ทํางานอื่นสําเร็จต่อไป หากองค์การใดที่มีพนักงานที่แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จํานวนมากก็จะ เจริญรุ่งเรืองและเติบโตเร็ว แม็คเคลแลนด์ (McClelland. 1961: 36-62) ได้จำแนกแรงจูงใจโดยสรุปจากการทดลอง โดยใช้แบบทดสอบการรับรู้ของบุคคล (Thematic Apperception Test (TAT)) เพื่อวัดความต้องการของมนุษย์ โดยแบบทดสอบ TAT เป็นเทคนิคการนําเสนอภาพต่างๆ แล้วให้บุคคลเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็นจากการ ศึกษาวิจัย แม็คเคลแลนด์ได้จําแนก แรงจูงใจเป็น 3 ประเภท คือ 1) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motive) เป็นแรงผลักดันที่ต้องการความสําเร็จหรือเรียกว่า Need for Achievement (nAch) เป็นความต้องการที่จะทําสิ่งต่าง ๆ ให้เต็มที่และดีที่สุดเพื่อความสําเร็จ จากการ วิจัยของ McClelland พบว่าบุคคลที่ต้องการความสําเร็จ (nAch) สูง จะมีลักษณะชอบการแข่งขัน ชอบงานที่ ท้าทาย และต้องการได้รับข้อมูลป้อนกลับเพื่อประเมินผลงานของตนเอง มีความชํานาญในการวางแผน มีความ รับผิดชอบสูง และกล้าที่จะเผชิญกับความล้มเหลว ดังนั้นแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จึงเป็นความปรารถนาที่จะกระทําสิ่งหนึ่ง สิ่งใดให้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยพยายามแข่งขันกับมาตรฐานอันดีเลิศ มีความสบายใจเมื่อประสบความสําเร็จและ มีความวิตกกังวลเมื่อพบกับความล้มเหลว 2) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliation Motive) เป็นแรงผลัดดันที่ความต้องการความผูกพันหรือ เรียกว่า Need for Affiliation (nAff) เป็นความต้องการการยอมรับจากบุคคลอื่นต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ต้องการสัมพันธภาพที่ดีต่อบุคคลอื่น บุคคลที่ต้องการความผูกพันสูงจะชอบสถานการณ์การร่วมมือมากกว่า สถานการณ์การแข่งขัน โดยจะพยายามสร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับจาก บุคคลอื่น 3) แรงจูงใจใฝ่อํานาจ (Power Motive) เป็นแรงผลัดดันที่ต้องการอํานาจหรือเรียกว่า Need for power (nPower) เป็นความต้องการอํานาจเพื่อมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น บุคคลที่มีความต้องการอํานาจสูงจะแสวงหา วิถีทางเพื่อทําให้ตนมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่น ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับหรือยกย่อง ต้องการความเป็นผู้นํา ต้องการ ทํางานให้เหนือกว่าบุคคลอื่น เพราะหากทําอะไรได้เหนือคนอื่นถือเป็นความภาคภูมิใจ ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่อํานาจสูง จะเป็นผู้ที่พยายามควบคุมสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ตนเองบรรลุความต้องการที่จะมีอิทธิพลเหนือกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตาม แม็คเคลแลนด์เน้นความสําคัญในเรื่องแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์มากกว่าแรงจูงใจด้านอื่น ๆ เพราะเป็นแรงจูงใจที่จะมุ่งไปสู่ ความสําเร็จ บุคคลจะมีความมานะพยายามมีความอดทนเพื่อเอาชนะอุปสรรคและเพื่อให้บรรลุถึงความสําเร็จ ตามเป้าหมายที่ตนตั้งเอาไว้ และพยายามทําสิ่งใดด้วยมาตรฐานอันดีเยี่ยม ผลจากการมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงจะทําให้ ประเทศประสบความก้าวหน้า ทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว สรุปจากการศึกษาทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของแม็คเคลแลนด์ พบว่าเป็นทฤษฎีที่เน้นการอธิบาย การจูงใจ พฤติกรรมของบุคคลให้แสดงออก เพื่อความสำเร็จตามที่วางไว้ซึ่งความต้องการความสำเร็จนี้ในแง่ของการ
ทำงาน หมายถึง ความต้องการที่จะทำงานให้ดีที่สุดและทำให้สำเร็จผลตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อทำอะไรสำเร็จได้ก็จะเป็นแรง กระตุ้นให้ทำงานอื่นสำเร็จต่อไป 2.1.3 ลักษณะของบุคคลที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ แมคเคลแลนด์(McClelland,1961:) ได้กล่าวถึงบุคลิกของผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ไว้ 3 ประการ คือ 1) มีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน (Personal Responsibility for Performance) มีความ รับผิดชอบในการปฏิบัติอย่างมีเหตุผล จะสามารถทํางานได้ดีภายใต้สภาพที่ผู้นั้นรู้สึกพอใจ 2) ต้องการทราบข้อมูลย้อนกลับ (Need for Performance Feedback) ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง จะชอบทํางานในสถานการณ์ที่ผู้นั้นทราบผลข้อมูลย้อนกลับของงานที่ได้ทำไป 3) เป็นผู้เปลี่ยนแปลงพัฒนาอยู่เสมอ (Innovativeness) การทําในสิ่งที่แตกต่างและดีขึ้นจากเดิม เช่น ใช้เวลาน้อยกว่า หรือมีประสิทธิภาพในการสู่จุดหมายมากกว่าจะเป็นคนไม่ชอบอยู่เฉยและหลีกเลี่ยงงานประจํา การเปลี่ยนแปลงงานที่มีความยากจะมุ่งหน้าไม่ลดละที่จะทํางานชิ้นนั้น และถ้าประสบความสําเร็จในงานที่ยากนั้น งานนั้นจะกลายเป็นงานที่ง่าย จะทำงานนั้นได้รับความสนใจน้อยลงไปจึงพยายามที่จะเปลี่ยนงานใหม่ นอกจากนั้น แม็คเคลแลนด์ (McClelland. 1961: 207-256) ยังได้กล่าวถึงลักษณะพฤติกรรมของบุคคลที่มี แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงไว้ดังนี้ (1) กล้าเสี่ยงพอสมควร (Moderate Risk – Taking ) ในเหตุการณ์ที่ต้องใช้ความสามารถโดย ไม่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาจะมีการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ไม่ลังเล บุคคลที่ต้องการสัมฤทธิ์ผลสูงมักไม่พอใจที่จะทํางานง่าย ๆ แต่ต้องการทํางานที่ยากลําบากพอสมควร เพราะมีความมั่นใจในความสามารถของตนเอง เพราะการทํางานที่ยากให้ ลุล่วงไปได้นั้นจะนําความพอใจมาสู่ตน (2) ขยันขันแข็ง (Energetic) หรือชอบการกระทําแปลกใหม่ที่จะทําให้บุคคลนั้นเกิดความรู้สึก ว่าตนเองประสบความสําเร็จ ผู้มีความต้องการสัมฤทธิ์ผลสูงไม่จําเป็นต้องเป็นคนขยันในทุกกรณีไป แต่จะมานะ พากเพียรต่อสิ่งที่ท้าทาย หรือยั่วยุความสามารถของตนและทําให้ตนเกิดความรู้สึกว่าได้ทํางานสําคัญลุล่วงไปแล้ว ผู้ที่มีความต้องการสัมฤทธิ์ผลสูงมักจะไม่ขยันขันแข็งในงานอันเป็นกิจวัตรประจําวัน แต่จะทํางานขยันขันแข็ง เฉพาะงานที่ต้องใช้สมอง และเป็นงานที่ไม่ซ้ำซ้อนกับผู้อื่นหรือสามารถจะค้นคว้าหาวิธีการใหม่ ๆ ที่จะแก้ปัญหา ให้สําเร็จลุล่วงไป (3) รับผิดชอบต่อตนเอง (Individual Responsibility ) ผู้ที่มีความต้องการสัมฤทธิ์ผลสูงมักจะ พยายามทํางานให้สำเร็จเพื่อความพึงพอใจในตนเอง มิใช่หวังให้คนอื่นยกย่อง มีความต้องการเสรีภาพในการคิดและ การกระทําไม่ชอบให้ผู้อื่นมาบงการ (4) ต้องการทราบแน่ชัดถึงผลการตัดความสนใจของตนเอง (Knowledge of Result of Decision) โดยไม่ใช่เพียงการคาดคะเนเอาว่าจะต้องเป็นลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ นอกจากนี้ผู้ที่ต้องการความสัมฤทธิ์ผลสูง ยังพยายามที่จะทําตัวให้ดีกว่าเดิมอีก เมื่อทราบว่าผลการกระทําของตัวเองเป็นอย่างไร (5) มีการทํานายหรือคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า (Anticipation of Future Possibilities) ผู้ที่มีความ ต้องการสัมฤทธิ์ผลสูงมักเป็นบุคคลที่มีแผนระยะยาว เพราะเล็งเห็นผลการณ์ไกลกว่าผู้ที่มีความต้องการสัมฤทธิ์ผลต่ำ
(6) มีทักษะในการจัดการระบบงาน (Organizational Skills ) ข้อนี้ยังไม่มีหลักฐานการค้นคว้า เพียงพอแต่เป็นลักษณะที่น่าจะให้เกิดสมรรถภาพในการจัดระบบงานยิ่งขึ้น เฮอร์แมน (Herman. 1970: 53) ได้รวบรวมลักษณะของผู้ที่มีแรงจูงใฝ่สัมฤทธิ์ไว้ 10 ประการ ดังนี้ 1) บุคคลที่มีระดับความทะเยอทะยานสูง 2) ต้องเป็นผู้มีความหวังอย่างมากว่าตนเองจะประสบผลสําเร็จถึงแม้การกระทํานั้นจะขึ้นอยู่กับ โอกาสก็ตาม 3) มีความพยายามไปที่จะมุ่งสู่สถานะที่สูงขึ้นไปเป็นลําดับ 4) มีความอดทนทํางานที่ยากได้เป็นเวลานาน 5) ถึงแม้งานที่ทําถูกขัดจังหวะ หรือถูกรบกวนจะพยายามทําต่อไปให้สําเร็จ 6) รู้สึกว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่งและสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 7) คิดคํานึงถึงเหตุการณ์ในอนาคตมากกว่าอดีตและปัจจุบัน 8) มีความคิดพิจารณาเลือกเพื่อนร่วมงานที่มีความสามารถเป็นอันดับแรก 9) ต้องการให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้อื่นโดยพยายามปรับปรุงงานของตนเองให้ดีขึ้น 10) พยายามปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ของตนเองให้ดีเสมอ ไวเนอร์ (Weiner, 1972: 203-215) ได้สรุปลักษณะเด่นของผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงเปรียบเทียบ กับผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่ำ ดังนี้ 1) ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงตั้งใจทํางานดีกว่า อดทนต่อความล้มเหลว ชอบเลือกงานสลับซับซ้อน มากกว่าผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่ำ 2) ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงชอบริเริ่มกระทําสิ่งต่าง ๆ ด้วยความคิดของตนเองมากกว่าผู้ที่มี แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่ำ เขียน วันทนียตระกูล (2553) ได้กล่าวถึงพฤติกรรมผู้เรียนที่มีแรงจูงใจต่ำ ซึ่งได้จากการวิจัยต่าง ๆ พบว่าจะมีลักษณะที่แสดงออกดังต่อไปนี้ 1) มาสายโดยไม่มีเหตุผลสมควร 2) ออกจากห้องเรียนทันทีที่มีโอกาส (เข้าชั้นเรียน เพื่อต้องการได้เวลามาเรียนเท่านั้น) 3) ทํางานที่มอบหมายไม่สําเร็จ หรือส่งงานช้าเป็นส่วนใหญ่ 4) ไม่ร่วมกิจกรรมขณะเรียน ไม่สนใจการสอน ไม่จดงาน 5) ลอกงานจากเพื่อนเมื่อถูกบังคับให้ส่งงาน 6) เข้าทํางานในห้องทดลองไม่สม่ำเสมอ ไม่ให้ความร่วมมือขณะทดลอง หรือทํางานอย่างพอไปที ทํางานทดลองหรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นระเบียบ 7) อ่านหนังสืออ่านเล่น นิตยสาร หรือวาดรูป หรือเล่นเกมส์เมื่อถูกบังคับให้อยู่ในห้องเรียน 8) ถามคําถามน้อยมาก 9) ไม่ต้องการเรียนพิเศษ หรือเข้าโปรแกรมการซ่อมเสริม
10) ทํางาน ทําการบ้าน ทําข้อสอบทั้งสอบย่อยและสอบไล่ไม่ถูกต้อง 11) สนใจกิจกรรมที่สนุกสนานมากกว่าการเรียน 12) ใช้เวลาว่างไม่มีระบบ 13) มีทัศนคติและค่านิยมในการเรียนที่ไม่แน่นอน 14) คุณภาพของงานวิชาการอยู่ในระดับต่ำ ส่วนผู้เรียนที่มีแรงจูงใจในตนเองสูง มีลักษณะที่แสดงออกดังตัวอย่าง เช่น 1) เป็นผู้ที่มีเป้าประสงค์และเป้าประสงค์ที่กําหนดไว้แสดงออกให้เห็นว่ามีการประเมิน ความสามารถ ของตนเอง 2) ระดับของความทะเยอทะยาน (Level of Aspiration) มีความสัมพันธ์ (ตรงกัน) กับ อัตมโนทัศน์ (Self-Concept) 3) ตั้งใจในการทํางานให้สําเร็จตามเป้าประสงค์ด้วยความรู้สึกที่ท้าทาย 4) แสดงความวิตกกังวลที่จะทําให้ได้ตามมาตรฐาน และกระตือรือร้นในทุกอย่างที่จะนําไปสู่ เป้าหมายที่วางไว้ 5) สิ่งที่จัดว่าเป็นรางวัล มิใช่สิ่งของแต่เป็นการที่ทําได้ตามมาตรฐานที่วางไว้ 6) แสดงออกให้เห็นว่ามีแผนงานและตั้งใจที่จะดําเนินไปสู่แผนงานนั้นอย่างแน่วแน่ จากความหมาย ที่มา ทฤษฎีและลักษณะของบุคคลที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง จะเห็นได้ว่าแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์เป็น ปัจจัยที่สําคัญของการเรียนรู้เพราะแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะเป็นแรงจูงใจที่ทําให้บุคคลมีความมุ่งมั่น มานะ พยายาม อดทน ที่จะทํางานให้สําเร็จ โดยบุคคลจะมีเป้าหมาย และมักจะเป็นเป้าหมายที่มีมาตรฐานสูง มีความ ทะเยอทะยาน และแผนการทํางานของตนเองอย่างเป็นระบบเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และแม้ว่าบุคคลจะพบ ปัญหาอุปสรรค บุคคล จะไม่ย่อท้อ แต่กลับมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้งานสําเร็จลุล่วงไปได้และ จากการทบทวนวรรณกรรม ลักษณะของบุคคลที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงในการสรุปลักษณะสําคัญของบุคคลที่มี แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงจะประกอบไป ด้วยลักษณะสําคัญ 4 ประการ ดังนี้ 1) มีการตั้งเป้าหมายในการทํางาน 2) มีความตั้งใจมุ่งมั่นในการทํางานให้ประสบความสําเร็จ 3) มีความอดทนไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค 4) มีความทะเยอทะยานให้ผลงานเป็นที่ยอมรับและเกิดความก้าวหน้าในงาน 2.2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ฮอฟแมน (Hoffman 1970 : 286) ซึ่งได้ศึกษาการฝึกวินัย 3 วิธี ได้แก่ การให้เหตุผลการปล่อยปละละเลย การรวมอำนาจ ผลการศึกษาพบว่า บิดามารดาที่ฝึกวินัยโดยวิธีการให้เหตุผลจะทำให้เด็กมีวินัยในตนเองสูงกว่าเด็กที่ได้รับ การฝึกวินัยโดยบิดามารดาปล่อยปะละเลยหรือรวมอำนาจ
ธีระภาภรณ์ ดงอนนท์ (2552) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมีวินัยในตนเองของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลย เขต 2 การวิจัย ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับความมีวินัยในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (2) ความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรพยากรณ์กับความมีวินัยในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมีวินัยใน ตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ (4) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ที่เหมาะสมต่อความมีวินัยในตนเองของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลย เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาเลย เขต 2 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 441 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอนเครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่าสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การถดถอยพหุคูณ และใช้เทคนิควิธีการคัดเลือก ตัวแปรพยากรณ์ที่สัมพันธ์กับ ตัวแปรเกณฑ์โดยใช้วิธี Enter เพื่อดูตัวแปรที่มีนัยสำคัญทางสถิติ แล้วจึงนำตัวแปรที่มี นัยสำคัญทางสถิติไปสร้างสมการ พยากรณ์ความมีวินัยในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยวิธีแบบ Stepwise ผลการวิจัยพบว่าระดับความมีวินัยในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวินัยในตนเองโดย ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางโดย พบว่าความมีวินัยในตนเองด้านตรงต่อเวลามีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้าน ปฏิบัติตาม กฎระเบียบของสถาบันและสังคม ด้านความซื่อสัตย์ ด้านความรับผิดชอบด้านความอดทน ด้านความ เคารพในสิทธิของผู้อื่น และด้านความมั่นใจในตนเองตามลำดับ ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความมีวินัยใน ตนเองของนักเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ความเชื่อ อำนาจในตน การมุ่งอนาคต และควบคุมตน เจตคติต่อวินัยในตนเอง การอบรมเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย การอบรม เลี้ยงดูแบบเข้มงวด การปฏิบัติตน ของครูพฤติกรรมกลุ่มเพื่อน สภาพชุมชน ส่วนตัวแปรที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับ ความมีวินัยในตนเองของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คือ การอบรมเลี้ยงดู แบบปล่อยปละละเลย และอิทธิพลของตัวแบบ สัญลักษณ์ตัวแปรที่สามารถพยากรณ์ความมีวินัยในตนเองของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การมุ่งอนาคตและ ควบคุมตน สภาพชุมชน การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย และตัวแปรที่สามารถพยากรณ์ความมีวินัยในตนเอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถพยากรณ์ความมีวินัยในตนเองของนักเรียน ได้ตามลาดับ โดยมีประสิทธิภาพในการทำนายร้อยละ 59.3 (R2=.593) ไบรอันท์ (Bryant 1971 : 4854 – B) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของครูกับนักเรียนที่มีความเชื่อต่างกัน โดยให้ครูบรรยายลักษณะของนักเรียนที่มีความเชื่ออำนาจในตน กับนักเรียนที่มีความเชื่ออำนาจภายนอกตน กลุ่มละ 20 คน ผลการวิจัยพบว่า เด็กที่มีความเชื่ออำนาจภายในตนจะมีวินัยในตนเองมากกว่าปรับตัวได้ดีกว่ามีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและมีความอดทนมากกว่าเด็กที่มีความเชื่ออำนาจภายนอกตน
อิสริยา วุฒิจันทร์ (2553) ทำวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การแก้ปัญหานักศึกษาไม่ส่งงานตามกำหนดสำหรับระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ห้อง CD101 โรงเรียนพายัพเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจ ในการศึกษามีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ปัญหานักศึกษาไม่ส่งงานตามกำหนด ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาเป็นข้อมูลที่ได้มาจากการสัมภาษณ์นักศึกษาที่ ไม่ส่งชิ้นงานหรือการบ้านตามกำหนด การสังเกตการณ์ส่งชิ้นงานหรือการบ้านจากแบบบันทึกการส่งงานของนักศึกษา ห้อง CD101 จำนวน 6 คน และการใช้แบบสอบถามความคิดเห็นสำหรับนักศึกษาในชั้นเรียนต่อนักศึกษาที่ไม่ส่ง ชิ้นงานหรือการบ้านตามกำหนดของนักศึกษาห้อง Cd101 จำนวน 34 คน ผลการวิจัยพบว่า เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 5.88 นักศึกษาเคยใช้เคยใช้เครื่องพิมพ์ดีดใน ด้านการเรียนมาก่อน คิดเป็นร้อยละ 5.88 ไม่เคยใช้เครื่องพิมพ์ดีด คิดเป็นร้อยละ 94.12 และนักศึกษาที่ตอบแบบ สำรวจได้ส่งงานตรงตามเวลาทุกครั้งเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นร้อยละ 70.59 อันดับสอง ยังมีนักศึกษาที่ส่งไม่ตรงเวลา เป็นบางครั้ง คิดเป็นร้อยละ 11.76 สำหรับสาขาที่นักศึกษาสนใจเลือกเรียนต่อในระดับ ปวช. ปีที่ 2 อันดับหนึ่ง คือ สาขา คอมพิวเตอร์ คิดเป็นร้อยละ 79.41 รองลงมา คือ สาขาการตลาด คิดเป็นร้อยละ 17.65 ฉันทนา ศรีภักดี (2554) การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาระดับและเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย โดยรวมและแยกเป็นรายด้าน ได้แก่ ด้านความรับผิดชอบ ด้านการ ควบคุมตนเอง ด้านการยอมรับผู้อื่นและด้านการตรงต่อเวลา ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การละเล่นพื้นบ้านของไทย ก่อนระหว่างและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ เป็นนักเรียนชาย-หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ในชั้น อนุบาลปีที่ 1 ภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 ของโรงเรียนบ้านบัวมล สำนักงานเขตบางเขน สังกัดกรุงเทพมหานคร ดำเนินการทดลอง เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 20 นาที รวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย คือ แผนการจัดประสบการณ์การละเล่นพื้นบ้านของไทย และแบบสังเกตพฤติกรรมความมีวินัยในตนเองของเด็ก ปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยก่อนระหว่างและหลังการทดลองมีพฤติกรรมความมีวินัยในตนเองโดยรวม และ รายด้านเฉลี่ยสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมความมีวินัยในตนเอง ของเด็กปฐมวัยแยกเป็นรายด้าน เพิ่มขึ้นต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ประไพศิลป์ ศรีณรงค์ฤทธิ์ (2552) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านวินัยนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนชุมชนบ้านด่านซ้าย จังหวัดเลย มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหา เกี่ยวกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านวินัยนักเรียน (2) เพื่อศึกษาความคาดหวังแนวทางการพัฒนา และ (3) เพื่อ ศึกษาผลการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านวินัยนักเรียน เป็นวิจัยปฏิบัติการ กลุ่มพัฒนาคือกลุ่มที่มีวินัยต่ำ จำนวน 30 คน กลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้แก่ ครู จำนวน 18 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 231 คน และ ผู้ปกครอง จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ (1) แบบสัมภาษณ์ (2) แบบสอบถาม (3) แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน (4) แบบประเมิน พฤติกรรมของนักเรียนตามเกณฑ์คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านวินัย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพโดยวิเคราะห์เนื้อหา การรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติคือ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation)
ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพและปัญหาเกี่ยวกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านวินัยนักเรียน กระบวนการ จัดระบบโครงสร้างการดาเนินงานวินัยนักเรียนยังไม่ครอบคลุมไม่ได้เชื่อมโยงกับองค์กรภายนอก ครูยังไม่เข้าใจวิธีการ ออกแบบแผนการเรียนรู้ ที่เน้นการจัดการเรียนเพื่อเสริมสร้างวินัยนักเรียนไม่เน้นในเรื่องคุณธรรมจริยธรรม ทำให้ นักเรียนมีปัญหาด้านการตรงต่อเวลา การแต่งกาย และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ครูมอบหมาย ความคาดหวังของ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอยากให้โรงเรียนสะอาดร่มรื่น นักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านวินัยตามเกณฑ์ 2. ความคาดหวังและแนวทางการพัฒนา พบว่าความคาดหวังนักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านวินัยตามเกณฑ์ คือ (1) การจัดระบบโครงสร้างต้องประสานกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้เข้ามามีบทบาทให้มากยิ่งขึ้น (2) การจัดกิจกรรม การเรียนการสอนของครูต้องเน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ บูรณาการสอนให้หลากหลายโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (3) โครงการต่าง ๆ ที่กำหนดปฏิทินและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด (4) ต้องมีการระดมทรัพยากรในท้องถิ่นเพื่อ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมจากทุกภาคส่วน (5) ผู้บริหารต้องกำกับติดตามนิเทศงานตามตารางกำหนดอย่างสม่ำเสมอ (6) ครูปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี 3. ผลการพัฒนาพบว่า ในวงรอบที่ 1 นักเรียนส่วนใหญ่พัฒนาคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ด้านวินัยแต่มีนักเรียนจำนวน 4 คน ที่มีพฤติกรรมที่ต้องปรับปรุง เมื่อดำเนินการต่อเนื่องในวงรอบที่ 2 โดยใช้กิจกรรมการอบรมเพื่อนเตือน พบว่านักเรียนมีวินัยทุกด้านโดยรวมอยู่ในระดับดีมากทุกคน พรรณี ชุติวัฒนธาดา (2544) ทำวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง พฤติกรรมการไม่ส่งงานตามกำหนดของนักเรียน ชั้น ม.5/5 ประจำภาคเรียนที่ 1/2544 จำนวน 6 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาสาเหตุที่ทำให้นักเรียนทั้ง 6 คน ไม่ส่งงานตามกำหนดและเพื่อหาวิธีการให้นักเรียนทั้ง 6 คนส่งงานตามกำหนด โดยวิธีการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า จากการสัมภาษณ์ครู เพื่อน ตัวนักเรียน ผลงานของนักเรียน และจากการสังเกต พฤติกรรมในขณะเรียนในห้องเรียน พบว่าสาเหตุที่ทำให้นักเรียนทั้ง 6 คน ไม่ส่งงานพร้อมเพื่อนมาจากไม่มีแบบเรียน ไม่เข้าใจในบทเรียนและมีพื้นฐานทางภาษา อยู่ในเกณฑ์ต่ำ จึงไม่สามารถทำแบบฝึกหัดท้ายบทเรียนได้ ต้องรอให้ เพื่อนทำส่งก่อนแล้วลอกเพื่อนมาส่งครู เพียงเพื่อให้มีงานส่งได้ครบตามเกณฑ์และไม่ติด “ร” และได้นำผลการ วิเคราะห์ไปปรึกษาผู้ร่วมงานและถามความคิดเห็นของนักเรียนทั้งห้องเพื่อหาแนวทางแก้ไข ได้ข้อสรุปว่าครูควร กำหนดวันที่แน่นอนที่จะต้องใช้แบบเรียนและสามารถให้นักเรียนขอยืมแบบเรียนเพื่อใช้ในคาบเรียนได้จาก ศูนย์ภาษาฯ ควรมีการจัดกลุ่มให้นักเรียน 6 คน กระจายไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ตั้งใจเรียนและมีผลการเรียนดี เพื่อช่วยเหลือกัน ควรจัดทำเอกสารเสริมการ สอนบทเรียนให้นักเรียนทุกคนสามารถนำไปทบทวนนอกเวลาเรียนได้ ควรเพิ่มคะแนนกลุ่มที่สามารถช่วยให้นักเรียนที่มีปัญหาทั้ง 6 คน ส่งงานได้ตามกำหนดทุกครั้ง และควรสอนเสริม นักเรียนทั้ง 6 คนนอกเวลาเรียน สุธี สุกิจธรรมภาณ (2552) ทำวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การศึกษาพฤติกรรมการไม่ส่งงานหรือการบ้านของ นักศึกษาระดับ ปวส. ชั้นปีที่ 2 กลุ่ม 2 แผนกวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พฤติกรรมการไม่ส่งงานหรือการบ้านของนักศึกษา ผลการวิจัยพบว่า สาเหตุของการไม่ส่งงานหรือการบ้าน ลำดับที่ 1 คือ การให้งานที่มอบมากเกินไป และ แบบฝึกหัดยากทำไม่ได้ โดยคิดจากนักศึกษา 38 คน ที่เลือกเป็นสาเหตุอันดับที่ 1 และ 2 จำนวน 23 คน คิดเป็น ร้อยละ 65.85
2.3 กรอบแนวคิดในการวิจัย ปัจจัยส่วนบุคคล 1. เพศ 2. อายุ 3. ระดับการศึกษา 4. การอยู่อาศัย พักอยู่กับ 5. จำนวนพี่น้อง 6. สถานะภาพของบิดามารดา 7. อาชีพของบิดา มารดา ผู้ปกครอง 8. รายได้ครอบครัวต่อเดือน ปัจจัยแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน 1) ด้านส่วนบุคคล 2) ด้านครอบครัว 3) ด้านครูผู้สอน 4) ด้านกระบวนการเรียนหนังสือ 5) ด้านสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน ความสัมพันธ์ต่อแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน 1. บทบาททางการเรียน 2. ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน 3. ด้านการเงิน 4. ด้านความก้าวหน้าในการเลื่อนชั้นเรียน 5. การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ร่วมกับการเรียน ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม
บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวม ข้อมูล มีวัตถุประสงค์เพื่อแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน แก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีโดยมีรายละเอียดในการดำเนินการวิจัย ดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 3.2 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4 การสร้างและพัฒนาแบบสอบถาม 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการศึกษานี้ คือ นักเรียนชาย / หญิง ที่กำลังศึกษานักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน แก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี จำนวน 200 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้ จำนวน 133 คน โดยได้คำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่าง ด้วยการกำหนดค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 95% ระดับความเชื่อมั่น 0.05 (มีค่าความคาด เคลื่อนเท่ากับ + 5%) โดยการใช้สูตรคำนวณกลุ่มตัวอย่างของยามาเน่ (Yamane, 1973) ดังนี้ สูตรการคำนวณ n = 1+ 2 โดยที่ n = จำนวนกลุ่มตัวอย่าง N = จำนวนกลุ่มประชากร e = ค่าความคลาดเคลื่อนที่กำหนดไว้ที่ 0.05
3.2 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 1. ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ได้แก่ ปัจจัยด้านสังคมของนักเรียน จำแนกเป็น 1.1 เพศ 1.2 อายุ 1.3 ระดับการศึกษา 1.4 การอยู่อาศัยพักอยู่กับ 1.5 จำนวนพี่น้อง 1.6 สถานะภาพของบิดา-มารดา 1.7 อาชีพของบิดา มารดา ผู้ปกครอง 1.8 รายได้ครอบครัวต่อเดือน 2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วย 2.1 ด้านส่วนบุคคล ได้แก่ การรับรู้คุณค่าในตนเอง ทัศนะคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2.2 ด้านครอบครัว 2.3 ด้านครูผู้สอน 2.4 ด้านกระบวนการเรียนหนังสือ 2.5 ด้านสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย แบบสอบถาม (Questionnaire) จำนวน 3 ส่วน เพื่อใช้วัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นลักษณะ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับของ Likert (1932) เนื่องจากเป็นวิธีที่รวดเร็วและได้คำตอบ ตรงตามวัตถุประสงค์มากที่สุด อีกทั้งข้อมูลที่ได้จะสามารถนำไปวิเคราะห์ได้ง่ายและเสนอผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน พบว่ามีความเที่ยงตรงของเนื้อหาและครอบคลุมเนื้อหาในแต่ละด้าน โดยแบ่งแบบสอบถามออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ตอนที่ 1 แบบสอบถามทั่วไป ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลส่วนตัวของกลุ่มตัวอย่าง คือ เพศ อายุ ระดับการศึกษา และข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ซึ่งได้แก่ การอยู่อาศัยพักอยู่กับ จำนวนพี่น้อง สถานะภาพบิดามารดา อาชีพของบิดามารดา รายได้ครอบครัวต่อเดือน โดยใช้วิธีแบบ ตรวจสอบรายการ (Checklist) ตอนที่ 2 แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยผู้วิจัยได้สร้างขึ้นเองผู้วิจัยใช้มาตรวัดแบบ Rating Scale เป็นคำถามแบบปลายปิดเป็นอันตรภาคช่วง (Interval Scale) กำหนดค่าน้ำหนักเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ระดับ ที่ 1 คะแนนมีระดับความคิดเห็นด้วยน้อยที่สุด จนถึงระดับ 5 คะแนนมีระดับความคิดเห็นด้วยมากที่สุด โดยแบบสอบถามแสดงถึงแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เฮอร์แมน (Herman. 1970: 53) ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ 1) ด้านส่วน บุคคล 2) ด้านครอบครัว 3) มีด้านครูผู้สอน 4) ด้านกระบวนการเรียนหนังสือ 5) ด้านสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน
ตอนที่ 3 คำถามปลายเปิด แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่นๆเพิ่มเติม เกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทางการเรียน เพื่อให้ผู้ตอบคำถามได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนโดยกำหนดเกณฑ์ในการแปรความหมายตาม (ปวีณา คาพุกกะ, 2557) ดังนี้ 1.00 – 1.80 หมายถึง มีความคิดเห็นด้วยน้อยที่สุด 1.81 – 2.60 หมายถึง มีความคิดเห็นด้วยน้อย 2.61 – 3.40 หมายถึง มีความคิดเห็นด้วยปานกลาง 3.41 – 4.20 หมายถึง มีความคิดเห็นด้วยมาก 4.21 – 5.00 หมายถึง มีความคิดเห็นด้วยมากที่สุด จากนั้นเป็นขั้นตอนของการตั้งคำถามโดยคำถามในส่วนนี้มาจากการสรุปทฤษฎีและแนวความคิดเกี่ยวกับ ลักษณะผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง นอกจากนี้ยังมาจากการศึกษาตัวอย่างของแบบสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ในงานวิจัยต่างๆ จากนั้นนำแบบสอบถามที่ได้ไปทำการทดลอง (Pilot Study) จนได้แบบสอบถามที่ชัดเจนเพื่อ นำไปใช้ในการเก็บข้อมูล ซึ่งแบบสอบถามถูกจัดทำขึ้นทั้งรูปแบบที่เป็นเอกสาร ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 1. ศึกษาข้อมูลต่างๆ เพื่อใช้สำหรับสร้างแบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ 2. สร้างแบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมกับกลุ่มตัวอย่างในการวิเคราะห์ในครั้งนี้ 3.4 การสร้างและพัฒนาแบบสอบถาม ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยสร้างแบบสอบถามและพัฒนาเครื่องมือ โดยดำเนินตามขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาค้นคว้าเอกสาร ตำรา งานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน รวมถึงแบบสอบถาม ต่าง ๆ ที่มีลักษณะเกี่ยวข้องเพื่อกำหนดขอบเขตของเนื้อหาสาระและความคิดรวบยอดที่สำคัญไปใช้ในการ สร้างเครื่องมือ 2. ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1 เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการสร้างแบบสอบถามให้มีเนื้อหา ครอบคลุม กับกลุ่มตัวอย่างในการวิเคราะห์ในครั้งนี้คือ แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้ตอบแบบสอบถาม จะประเมินความรู้สึกหรือความคิดเห็นของตนเองต่อข้อคำถามแต่ละข้อตามระดับ ลักษณะแบบสอบถามเป็นมาตรา ส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยกำหนดค่าที่เลือกตอบเป็น 5 ระดับ โดยการกำหนดความหมายของคะแนน แต่ละอันดับ ใช้ระดับการวัดข้อมูลประเภทแบบส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งออกเป็น 5 ช่วง ดังนี้ (Prakong Kannasut. 1999) คะแนน 5 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับมากที่สุด คะแนน 4 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับมาก คะแนน 3 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับปานกลาง คะแนน 2 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับน้อย คะแนน 1 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับน้อยที่สุด
สำหรับการแปลความหมายของค่าเฉลี่ย เป็นดังนี้ (Prakong Kannasut. 1999) ค่าคะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายความว่าผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ระดับมากที่สุด ค่าคะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายความว่าผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ระดับมาก ค่าคะแนนเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายความว่าผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ระดับปานกลาง ค่าคะแนนเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายความว่าผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ระดับน้อย ค่าคะแนนเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายความว่าผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ระดับน้อยที่สุด 3. ทำการร่างแบบสอบถามให้มีเนื้อหาครอบคลุมตามขั้นตอนที่ 2 แล้วนำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจแก้ไขและปรับปรุงให้ถูกต้องและเหมาะสมที่จะใช้ในการวิจัย จากนั้นนำแบบสอบถามไปให้ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยเป็นผู้พิจารณาข้อคำถามแต่ละข้อว่ามีความ สอดคล้องกับเนื้อหาและนิยามของแรงจูงใจในการเรียน และนำผลที่ได้ไปคำนวณหาค่าความเที่ยงตรงเนื้อหา (Content Validity) ดำเนินการโดยนำแบบสอบถามไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือนักวิชาการ โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เพื่อประเมินความสอดคล้องของข้อความแบบสอบถาม และเพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของเนื้อหา ข้อคำถามครอบคลุมครบถ้วนตามทฤษฎี หรือแนวคิดและครบถ้วนตามวัตถุประสงค์หรือปัญหาของการวิจัย การวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์(index of item-objective congruence : IOC) (Sirichai Kanchanawasri, 2001) โดยค่าความสอดคล้องในแต่ละข้อจะต้องไม่น้อยกว่า 0.5 เกณฑ์การตรวจสอบความเที่ยงตรง 1) ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50-1.00 มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้ 2) ข้อคำถามที่มีค่า IOC ต่ำกว่า 0.50 ยังใช้ไม่ได้ต้องปรับปรุง 4. ผู้วิจัยได้นำแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับนักเรียนเพื่อหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ดำเนินการโดยนำแบบสอบถามไปแจกให้กลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มตัวอย่างจริง จำนวน 133 คน แล้วนำมาหาค่าความเที่ยง โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha-Coefficient) ตามวิธีของ Cronbach โดยใช้ โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่ามีค่าไม่น้อยกว่า 0.7 (George, 2003) เกณฑ์การตรวจสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ค่า Cronbach's Alpha มีค่าตั้งแต่ 0 - 1 ถ้า ค่า Cronbach's Alpha เข้าใกล้ 1 จะมีReliability มาก อย่างน้อยค่า Alpha ควรมากกว่า 0.70 จึงถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพ Nunnaly (1978) สูตรการหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach (Cronbach’s alpha coefficient)
5. นำโครงร่างวิทยานิพนธ์และแบบสอบถามเข้าสู่กระบวนการพิจารณาจริยธรรมการวิจัย 6. ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยผู้วิจัยนำแบบสอบถามพร้อมด้วยหนังสือแนะนำตัวไปขออนุญาตเก็บข้อมูลตนเอง 7. นำข้อมูลมาวิเคราะห์ค่าสถิติและรายงานผลการวิจัย 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามที่ได้นำไปแจกให้กับกลุ่มตัวอย่างของ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีทั้งนักเรียนชาย / หญิง โดยตัวผู้ศึกษาวิจัยเองแล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ นำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามดังกล่าวมาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรม สำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ช่วยในการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ ดังนี้ 1. ใช้สถิติเชิงพรรณนา ( Descritive Statistics ) เป็นการพรรณนาลักษณะส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง ที่ทำการศึกษา ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพื่อบรรยายข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา 2. ใช้สถิติเชิงอนุมาน ( Inferential Statistics ) ได้แก่ 2.1 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม ใช้ t-test , f-test และ Pearson Correlation 2.2 การวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างตัวแปร มากกว่า 2 กลุ่มขึ้นไป โดยใช้ ANOVA โดยกำหนดระดับนัยสำคัญ เท่ากับ .05 และ Regression analysis การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการ ดังนี้ 4.1 การวิเคราะห์แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง 4.2 การวิเคราะห์ความแปรปรวนหลายตัวแปรของแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่ม ตัวอย่าง 4.3 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช้การวิเคราะห์หลายตัวแปร (Multivariate Analysis of Variance) (กัลยา วานิชย์บัญชา, 2551) สำหรับกลุ่ม ทดลอง
แบบสอบถามเพื่อการวิจัย ตอนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย √ ลงในช่อง ให้ตรงกับสภาพปัจจัยด้านชีวะสังคมของนักเรียน 1. เพศ ชาย หญิง 2. อายุ นักเรียนอายุ ............................. ปี 3. ระดับการศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น/ตอนปลาย/เทียบเท่า ปริญญาตรี สูงกว่าปริญญาตรี 4. การอยู่อาศัยพักอยู่กับ บิดา มารดา บิดา มารดา ญาติ ปู่/ย่า/ตา/ยาย บุคคลอื่น(ระบุ)........... 5. จำนวนพี่น้อง นักเรียนมีพี่น้อง จำนวน ............................. ปี (ร่วมบิดามารดา) 6. สถานะภาพของบิดามารดา อยู่ด้วยกัน แยกกันอยู่ หย่าร้าง อื่นๆ .................................................. 7. อาชีพของบิดา มารดา ผู้ปกครอง รับราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ประกอบธุรกิจส่วนตัว พนักงานบริษัทเอกชน รับจ้างทั่วไป ค้าขาย เกษตรกรรม อื่นๆ 8. รายได้ครอบครัวต่อเดือน รายได้ของครอบครัว เดือนละ ............................. บาท
ตอนที่ 2 แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โดยการกำหนดความหมายของคะแนนแต่ละอันดับ ใช้ระดับการวัดข้อมูลประเภทแบบส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งออกเป็น 5 ช่วง ดังนี้ (Prakong Kannasut. 1999) คะแนน 5 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับมากที่สุด คะแนน 4 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับมาก คะแนน 3 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับปานกลาง คะแนน 2 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับน้อย คะแนน 1 หมายถึง ผู้ตอบมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับน้อยที่สุด คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย √ ลงในช่องตารางที่ตรงกับระดับแรงจูงใจของนักเรียน ข้อ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ด้านที่1 ด้านส่วนบุคคล 1.1 การรับรู้คุณค่าในตนเอง 1.1.1 มีความทะเยอทะยานสูง 1.1.2 มีความคาดหวังอย่างมาก ว่าตนเองจะประสบผลสําเร็จ ถึงแม้การกระทํานั้นจะขึ้นอยู่กับโอกาสก็ตาม 1.1.3 มีภาวะความเป็นผู้นําสูง 1.1.4 มีความอดทนทํางานที่ยากได้เป็นเวลานาน 1.1.5 เมื่อเกิดปัญหาในการทํางานจะพยายามทําต่อไปให้สําเร็จ 1.1.6 รู้สึกว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่งและสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น อย่าง รวดเร็ว 1.1.7 คิดคํานึงถึงเหตุการณ์ในอนาคตมากกว่าอดีตและ ปัจจุบัน 1.1.8 มีความคิดพิจารณาเลือกเพื่อนร่วมงานที่มีความสามารถ เป็นอันดับแรก 1.1.9 ต้องการให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้อื่น โดยพยายามปรับปรุง งานของ ตนเองให้ดีขึ้น 1.1.10 พยายามปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ของตนเองให้ดีเสมอ 1.2 ทัศนะคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 1.2.1 นักเรียนชอบจดบันทึกสูตร กฎ และท่องทบมวนเสมอ 1.2.2 นักเรียนมีความกระตือรือร้นอยากเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 1.2.3 นักเรียนมีความเชื่อมั่นว่าตนสามารถเรียนหนังสือได้ดี 1.2.4 นักเรียนชอบที่จะหาโจทย์แปลกใหม่มาทําเสมอ ด้านที่2 ด้านครอบครัว 2.1 ผู้ปกครองให้การดูแลเอาใจใส่
2.2 ผู้ปกครองให้การสนับสนุนช่วยเหลือและให้คําปรึกษา 2.3 ผู้ปกครองเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยมที่ พึงประสงค์ ด้านที่3 ด้านครูผู้สอน 3.1 ครูผู้สอนมีบุคลิกภาพ การแต่งกาย ใช้คําพูด เหมาะสม 3.2 ครูผู้สอนสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้น่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ 3.3 ครูผู้สอนรับฟังความคิดเห็นและให้คําปรึกษาที่ดีแก่นักเรียน ด้านที่4 ด้านการเรียนหนังสือ 4.1 มีเอกสารประกอบการเรียนการสอน 4.2 ใช้สื่อการสอนกระตุ้นให้นักเรียนอยากเรียน มากกว่าการเขียนบน กระดาน 4.3 มีการนําความรู้เพิ่มเติมจากวิชามาสอดแทรกให้สัมพันธ์กับวิชาที่ เรียน 4.4 มีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน 4.5 การใช้สื่อเทคโนโลยีร่วมในการจัดการเรียนการสอน ด้านที่5 ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน 5.1 ความสะอาดของห้องเรียน 5.2 จํานวนโต๊ะ เก้าอี้ในห้องเรียนที่เพียงพอ 5.3 ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในห้องเรียน 5.4 มีสื่อการเรียนรู้เพิ่มเติมภายในห้องเรียน 5.5 อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อน ตอนที่ 3 แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่นๆเพิ่มเติม เกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะอื่นๆ เพิ่มเติม เกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ขอขอบคุณในความร่วมมือที่ท่านได้เสียสละเวลาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชนใ์นครั้งน ี้
การตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถาม การตรวจสอบความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม (Validity) ดำเนินการโดยนำแบบสอบถามไปปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักวิชาการ โดยการหาค่าค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) เพื่อประเมินความสอดคล้องของข้อความ แบบสอบถาม และเพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของเนื้อหา ข้อคำถามครอบคลุมครบถ้วนตามทฤษฎี หรือแนวคิดและครบถ้วนตามวัตถุประสงค์หรือปัญหาของการวิจัย ซึ่งในงานวิจัยครั้งนี้แบบสอบถามถูกตรวจ ตรวจสอบความเที่ยงตรงโดย ผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการ 3 ท่าน คือ 1. นางมะลิวัน มาเหง่า ผู้อำนวยการสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระบุรี2. นายวีระศักดิ์ พลมณี รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาสระบุรี3. นายบัญชา ปลื้มอารมย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระบุรี การพิจารณาแบบประเมินหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC เรื่อง การศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ตอนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ข้อที่ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ 1 0 -1 1 เพศ ชาย หญิง 2 อายุ นักเรียนอายุ ............................. ปี 3 ระดับการศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น/ตอนปลาย/เทียบเท่า ปริญญาตรี สูงกว่าปริญญาตรี 4 การอยู่อาศัยพักอยู่กับ บิดา มารดา บิดา มารดา ญาติ ปู่/ย่า/ตา/ยาย บุคคลอื่น(ระบุ)........... 5 จำนวนพี่น้อง นักเรียนมีพี่น้อง จำนวน ............................. ปี (ร่วมบิดามารดา)
6 สถานะภาพของบิดามารดา อยู่ด้วยกัน แยกกันอยู่ หย่าร้าง อื่นๆ .................................................. 7 อาชีพของบิดา มารดา ผู้ปกครอง รับราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ประกอบธุรกิจส่วนตัว พนักงานบริษัทเอกชน รับจ้างทั่วไป ค้าขาย เกษตรกรรม อื่นๆ 8 รายได้ครอบครัวต่อเดือน รายได้ของครอบครัว เดือนละ ............................. บาท ตอนที่ 2 แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแก่งคอยวิทยาคม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี คำชี้แจง แบบสอบถามตอนนี้ เป็นข้อคำถามเกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โปรดประเมินข้อ คำถาม โดยตัวเลขในแต่ละช่องระดับ มีความหมายดังนี้ 1 หมายถึง ใช้ได้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ -1 หมายถึง ใช้ไม่ได้ ข้อที่ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ 1 0 -1 ด้านที่1 ด้านส่วนบคุคล 1.1 การรับรู้คุณค่าในตนเอง 1.1.1 มีความทะเยอทะยานสูง 1.1.2 มีความคาดหวังอย่างมาก ว่าตนเองจะประสบผลสําเร็จถึงแม้การกระทํา นั้นจะขึ้นอยู่กับโอกาสก็ตาม 1.1.3 มีภาวะความเป็นผู้นําสูง
1.1.4 มีความอดทนทํางานที่ยากได้เป็นเวลานาน 1.1.5 เมื่อเกิดปัญหาในการทํางานจะพยายามทําต่อไปให้สําเร็จ 1.1.6 รู้สึกว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่งและสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว 1.1.7 คิดคํานึงถึงเหตุการณ์ในอนาคตมากกว่าอดีตและ ปัจจุบัน 1.1.8 มีความคิดพิจารณาเลือกเพื่อนร่วมงานที่มีความสามารถเป็นอันดับแรก 1.1.9 ต้องการให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้อื่น โดยพยายามปรับปรุง งานของตนเองให้ดีขึ้น 1.1.10 พยายามปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ของตนเองให้ดีเสมอ 1.2 ทัศนะคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 1.2.1 นักเรียนชอบจดบันทึกสูตร กฎ และท่องทบมวนเสมอ 1.2.2 นักเรียนมีความกระตือรือร้นอยากเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 1.2.3 นักเรียนมีความเชื่อมั่นว่าตนสามารถเรียนหนังสือได้ดี 1.2.4 นักเรียนชอบที่จะหาโจทย์แปลกใหม่มาทําเสมอ ด้านที่2 ด้านครอบครัว 2.1 ผู้ปกครองให้การดูแลเอาใจใส่ 2.2 ผู้ปกครองให้การสนับสนุนช่วยเหลือและให้คําปรึกษา 2.3 ผู้ปกครองเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยมที่พึงประสงค์ ด้านที่3 ด้านครูผู้สอน 3.1 ครูผู้สอนมีบุคลิกภาพ การแต่งกาย ใช้คําพูด เหมาะสม 3.2 ครูผู้สอนสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้น่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ 3.3 ครูผู้สอนรับฟังความคิดเห็นและให้คําปรึกษาที่ดีแก่นักเรียน ด้านที่4 ด้านการเรียนหนังสือ 4.1 มีเอกสารประกอบการเรียนการสอน 4.2 ใช้สื่อการสอนกระตุ้นให้นักเรียนอยากเรียน มากกว่าการเขียนบนกระดาน 4.3 มีการนําความรู้เพิ่มเติมจากวิชามาสอดแทรกให้สัมพันธ์กับวิชาที่เรียน 4.4 มีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน 4.5 การใช้สื่อเทคโนโลยีร่วมในการจัดการเรียนการสอน ด้านที่5 ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน 5.1 ความสะอาดของห้องเรียน 5.2 จํานวนโต๊ะ เก้าอี้ในห้องเรียนที่เพียงพอ 5.3 ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในห้องเรียน 5.4 มีสื่อการเรียนรู้เพิ่มเติมภายในห้องเรียน 5.5 อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อน