The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐาน ของการวิจัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pisanu.piw, 2022-07-18 12:51:42

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐาน ของการวิจัย

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐาน ของการวิจัย

หน่วยที่ 3

ตัวแปรและสมมติฐาน
ของการวิจัย

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐานของการวิจัย หน้า 1

หน่วยที่ 2 การกำหนดปัญหาการวิจัย

ตัวแปร

การกำหนดตัวแปรการวิจัย เกิดขึ้นหลังจากได้ศึกษาค้นคว้า เอกสาร
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย เพราะทำให้ผู้วิจัย มีความ เข้าใจใน
ประเด็นต่าง ๆ ที่ทำการวิจัยชัดเจน สามารถเชื่อมโยงแนวคิดทฤษฎีเข้ากับ
แนวความคิดของผู้วิจัยเอง

ความหมายของตัวแปร

ตัวแปร (Variable) หมายถึง คุณลักษณะหรือปริมาณที่สามารถวัดได้
สามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้ ไม่ว่าจะเป็นในประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างที่
ศึกษา ตัวแปรอาจจะเป็น วัสดุ สิ่งของ หรือสถานการณ์ต่าง ๆ

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐานของการวิจัย หน้า 2

ประเภทของตัวแปร

ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent Variable)

คือ ตัวแปรที่เกิดขึ้นก่อน หรือเป็น ตัวแปรที่เป็นเหตุ ทำให้เกิดผลตามมา

ตัวแปรตาม (Dependent Variable)

คือ ตัวแปรที่เกิดขึ้นเนื่องจากตัวแปรต้น หรือเป็นตัวแปรผล อันเกิดจากเหตุ

ตัวแปรควบคุม (Control Variable)

คือ ตัวแปรที่เราต้องจัดให้เหมือนกันทั้งหมด ในชุดทดลอง
ตัวแปรแทรกซ้อนหรือเรียกว่าตัวแปรเกิน (Extraneous Variable)

คือ ตัวแปรที่มีลักษณะเหมือนตัวแปรอิสระ ตัวแปรแทรกซ้อนนี้จะส่งผล
มารบกวนตัวแปรอิสระที่ศึกษา ทำให้ผลการวัดค่าตัวแปรคลาดเคลื่อนไปได้

ระดับของการวัดตัวแปร

แบ่งออกเป็น 4 ระดับ

1.ระดับนามบัญญัติ (Nominal Scale)

หมายถึง การกำหนดตัวเลขมาแทนค่าตัวแปรโดยให้ตัวเลขเป็นเพียง
สัญลักษณ์ จำแนกตัวแปร ออกเป็นพวก ๆไม่สามารถนำตัวเลขนั้นมาคิด
คำนวณในเชิงปริมาณ

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐานของการวิจัย หน้า 3

2. ระดับอันดับ (Ordinal Scale)

หมายถึง กำหนดตัวเลขที่บอกอันดับของสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกัน ไม่
สามารถบอกถึงปริมาณของความ แตกต่างกันได้และไม่สามารถนำตัวเลข
นั้น ๆ มาคิดคำนวณในเชิงปริมาณได้

3. ระดับอันตรภาค (Interval Scale)

หมายถึง การกำหนด ตัวเลขแทนคุณลักษณะของ สิ่งต่าง ๆ โดยมี
ปริมาณแทน สิ่งนั้น ๆ สามารถเปรียบเทียบเพื่อบอกความแตกต่างกัน
และยังสามารถนำไปคิด คำนวณในเชิงปริมาณได้

4. ระดับอัตราส่วน (Ratio Scale)

หมายถึง ตัวเลขที่นำไปใช้แทนคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ตามความ เป็น
จริงทางธรรมชาติ หรืออาจเรียกว่า “มีศูนย์แท้” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวัด
ทางกายภาพ เช่น ส่วน สูง น้ำหนัก

การวัดทั้ง 4 ระดับ อาจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ

1. การวัดเชิงคุณภาพ คือ การวัดในมาตรานามบัญญัติ และการวัดใน
มาตราอันดับบอกถึงความแตกต่างแต่ไม่ได้บอกถึงปริมาณของสิ่งที่วัด

2. การวัดเชิงปริมาณ คือ การวัดในมาตราอันตรภาค และการวัดใน
มาตราอัตราส่วน เป็นการวัดที่บอกปริมาณความแตกต่างได้

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐานของการวิจัย หน้า 4

สมมติฐานของการวิจัย

สมมติฐาน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากการวิจัยเป็นกระบวน
การแก้ปัญหาหรือค้นหาคำตอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเริ่มต้น
โดยการกำหนดปัญหา จากนั้นพยายามคาดคะเนคำตอบของปัญหานั้น
บางเรื่องของการวิจัยอาจมีหรือไม่มีสมมติฐานก็ได้ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย

ประโยชน์ของสมมติฐานของการวิจัย

ทำให้ผู้วิจัยสามารถกำหนดขอบเขตการวิจัย
ทำให้เห็นปัญหาของการวิจัยได้ชัดเจน
ช่วยให้สามารถออกแบบการวิจัยและเลือกใช้ เครื่องมือการวิจัยได้
สอดคล้องกับปัญหาของ การวิจัย
ใช้เป็นแนวทางในการหาคำตอบหรือผลลัพธ์ของการวิจัย
ใช้เป็นแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และเขียน
รายงานผลการวิจัย ให้สอดคล้องกับปัญหาของการวิจัย
ใช้พิสูจน์ว่าสิ่งที่ผู้วิจัยศึกษานั้นเป็นไปตามที่คาดคะเนหรือไม่หรือไม่
สมมติฐานที่ตั้งไว้อาจเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้ ขึ้นกับการ ทดสอบ
สมมติฐาน
ทำให้ผู้วิจัยมีความคิดแจ่มแจ้งเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษาให้เข้าใจลึกซึ้งจึง
จะกำหนดหรือคาด คะเนความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรไปในแนวทางที่ถูก
ต้องมีเหตุผลได้
ช่วยชี้แนวทางในการวางแผนเก็บรวบรวม ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล การ
แปลผลและสรุป ซึ่งจะทำให้ชื่อเรื่องชัดเจนและเข้าใจง่ายขึ้น
ทำให้ประหยัดเวลาและแรงงาน กล่าวคือ ช่วยกำจัดขอบเขตของการ
วิจัย ทำให้ผู้วิจัยมุ่งเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบ
สมมติฐานเท่านั้น

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐานของการวิจัย หน้า 5

ประเภทของสมมติฐานของการวิจัย

การเขียนสมมุติฐานในการวิจัยนั้น จะต้องศึกษาผลงานวิจัยและทฤษฎี
ที่ เกี่ยวข้องมาแล้วเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นเครื่องมือยืนยันว่าการตั้ง
สมมติฐานนั้น ๆ มีเหตุผลดีพอ ซึ่งถ้าจะแบ่งสมมติฐานแล้วสามารถแบ่ง
ออกเป็น 2 ประเภท คือ สมมติฐานทางวิจัย และสมมติฐานทางสถิติแต่ละ
ประเภท

1. สมมติฐานทางวิจัย (Research Hypothesis)

เป็นสมมติฐานที่อธิบายด้วยข้อความ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะกับเรื่องที่จะวิจัย
การเขียนสมมติฐานอาจจะเขียนเป็นลักษณะผลแตกต่างกันหรือไม่แตกต่าง
กันก็ได้ ขึ้นอยู่กับทฤษฎีผลการวิจัยและความคิดทั้งหลายที่นำมาค้ำจุน แต่
โอกาสจะพบแบบไม่แตกต่างกัน หรือไม่สัมพันธ์กัน มีน้อย และในการเขียน
สมมติฐานนั้น สามารถเลือกแบบใดแบบหนึ่งจากสองแบบ ดังต่อไปนี้

1.1 สมมติฐานไม่มีทิศทาง (Non – Directional Hypothesis)
เป็นสมมติฐานที่ไม่ระบุทิศทางของความแตกต่าง ทิศทางของความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา

1.2 สมมติฐานมีทิศทาง (Directional Hypothesis)
เป็นสมมติฐานที่บอกให้ทราบว่าตัวแปร ทั้งสองแตกต่างกันในลักษณะ
มากกว่า น้อยกว่า ดีกว่า ด้อยกว่า ต่ำกว่าฯลฯ

2. สมมติฐานทางสถิติ (Statistical Hypothesis)

เป็นสมมติฐานที่เขียนอธิบายด้วยสัญลักษณ์ที่ใช้แทนพารามิเตอร์และ
ระเบียบวิธีทางสถิติ เพื่อนำมาทดสอบโดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิจัย ทำให้
สามารถสรุป ได้ว่า ค่าสถิติที่วิเคราะห์นั้นจะเป็นผลให้ยอมรับหรือปฏิเสธ
สมมติฐานที่กำหนดไว้ สมมติฐานแบ่งออก 2 ประเภท และใช้คู่กันเสมอ ดังนี้

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐานของการวิจัย หน้า 6

2.1 สมมติฐานไร้นัยสำคัญ (Null Hypothesis)

หรือสมมติฐานเป็นกลาง เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ คือ ข้อความที่เป็น
กลางซึ่งเกี่ยวกับค่าพารามิเตอร์ ซึ่งเป็นค่าของประชากรมักจะเขียนในรูป
ของสมการที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างหรือไม่มีความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปร

2.2 สมมติฐานทางเลือก (Alternative hypotheses)

หรือสมมติฐานอื่น เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ เป็นสมมติฐานที่เขียนให้
สอดคล้องกับสมมติฐานทางการวิจัย มักเขียนใน รูปของสมการที่แสดงให้
เห็นว่ามีความแตกต่างหรือมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

วิธีการเขียนสมมติฐานของการวิจัย

เขียนเป็นประโยคบอกเล่า เพื่อบอกความสัมพันธ์ เปรียบเทียบระบุ
ทิศทางความสัมพันธ์ของตัวแปรที่วิจัย
เป็นประโยคสั้น ๆ ที่ระบุความหมายชัดเจนในการวัด
มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นการวิจัยปัญหา และวัตถุประสงค์ของการ
วิจัยที่กำาหนดไว้

แหล่งของสมมติฐานของการวิจัย

1. จากความรู้และประสบการณ์ของผู้วิจัย ทำให้สามารถนำความรู้และ
ประสบการณ์นั้นมาประมวลกันเข้าเป็นเหตุผลที่ทำให้ตั้งสมมติฐานได้

2. จากความเชื่อทั่ว ๆ ไปในสังคม ปรัชญาและความเชื่อทั่ว ๆ ไปของ
มนุษย์อาจทำให้เกิดสมมติฐานได้

3. จากการใช้หลักเหตุผล การสังเกตพฤติกรรม หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่
เกิดขึ้น สามารถใช้เป็นแนวทางการตั้งสมมติฐานการวิจัยได้

4. จากทฤษฎีและหลักการต่าง ผู้วิจัยมักจะต้องศึกษา ทฤษฎี หลักการ
และโครงสร้างต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวแปร ซึ่งจะทำให้เกิดแนวคิดในการวิจัย

5. จากผลงานวิจัยของผู้อื่น ทำให้ทราบผลการวิจัยในทำนองเดียวกันซึ่ง
หลักการตั้งสมมติฐานจะต้องตั้งให้สอดคล้องกับผลการวิจัยของผู้อื่ น

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐานของการวิจัย หน้า 7

ลักษณะที่ดีของสมมติฐานของการวิจัย

มีความเฉพาะเจาะจง อ่านเข้าใจง่าย
ต้องสามารถทำการทดสอบได้
มีเหตุผลสนับสนุน หมายถึง มีความสมเหตุสมผล
สอดคล้องกับทฤษฎีและผลงานวิจัยของผู้อื่ น
สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย
บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรไว้อย่างชัดเจน
นำไปสรุปอ้างอิงเมื่อได้รับการทดสอบแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรกับสมมติฐานของการวิจัย

การเขียนสมมติฐานของการวิจัย จะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่าง
ตัวแปร ในรูปของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ผู้วิจัย
ต้องจำแนกตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ตามหัวข้อเรื่องการวิจัยของตนเอง
จึงจะสามารถเขียนสมมติฐานการ วิจัยได้อย่างถูกต้อง และเป็นไปตาม
ลักษณะที่ดีของสมมติฐานการวิจัย

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและสมมติฐานของการวิจัย


Click to View FlipBook Version