The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กัณฑ์มัทรีฝน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-10-27 08:50:17

กัณฑ์มัทรี

กัณฑ์มัทรีฝน

มหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรี

นางสาวกิตติกา บุญมี
เลขที่17 ม.5/4

ประวัติผู้แต่ง

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เกิดในช่วงปลายสมัย
อยุธยา รับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน
กรุ งธนบุรี โดยมีบรรดาศักดิ์เป็ นหลวงสรวิชิต ต่อ
มาในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลก
มหาราช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็ นพระยาพิพิฒน

โกษา ก่อนจะเลื่อนมาเป็ นเจ้าพระยาพระคลัง
เสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า ซึ่ งนอกจากผลงานด้าน
ราชการแล้ว เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ยังมีผลงาน
ด้านการประพันธ์จำนวนมาก เช่น สามก๊ก (ฉบับ

แปล) ราชาธิราช บทมโหรีเรื่องกากี อิเหนาคำ
ฉันท์ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร

และกัณฑ์มัทรี ฯลฯ

ลักษณะคำประพันธ์

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี มีลักษณะคำ

ประพันธ์เป็ นแบบร่ายยาว โดยหนึ่งบทจะมีกี่
วรรคก็ได้ ส่วนใหญ่จะนิยมแต่ง 5 วรรคขึ้นไป
แต่ละวรรคมีจำนวนคำ 6-10 คำ และใช้คำสร้อย
เช่น นั้นแล แล้วแล ดังนี้ ฯลฯ ซึ่ งคำสร้อยนี้จะมี
ก็ได้หรือไม่มีก็ได้
ฉันทลักษณ์ ของร่ายยาว จะมีการบังคับเฉพาะคำ
สุดท้ายของวรรคก่อนหน้าจะสัมผัสกับคำที่ 1 ถึง
คำที่ 5 ของวรรคถัดไป เช่น
“...จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิดึกดื่น
จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไรไม่รู้
เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว...”
จุดเด่นของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก คือ การมี
คาถาบาลีขึ้นต้น เช่น
“...อิมาตา โปกฺขรณี รมฺมา เจ้าเคยมาประพาสสรง
สนานในสระศรี โบกขรณี ตำแหน่งนอกพระ
อาวาส นางเสด็จลีลาสไปเที่ยวเวียนรอบ จึ่งตรัส

ว่าน้ำเอ๋ยเคยเปี่ยมขอบเป็ นไร…”

การอ่านคำบาลีและร่ายยาว

การอ่านคำบาลี
อ่านเรียงพยางค์ ไปทีละตัว
คำไหนที่ ‘ไม่มีสระ’ ให้อ่านเป็ น ‘สระอะ’
นิคหิต( )ํ อ่านเป็ นตัวสะกด ง แต่ถ้าไม่มีสระจะ
อ่านออกเสียง อัง เช่น ยํ โกลาหลํ อ่านว่า ยัง-โก-
ลา-หะ-ลัง

พินทุ (.) ซึ่ งอยู่ใต้พยัญชนะ หากพยัญชนะตัว
หน้ามีสระ จะนับเป็ นตัวสะกด เช่น ราชปุตฺตี อ่าน
ว่า รา-ชะ-ปุด-ตี แต่หากพยัญชนะตัวหน้าไม่มีสระ
จะใช้เป็ นไม้หันอากาศ เช่น นีเจ โวลมฺพเก อ่าน
ว่า นี-เจ-โว-ลัม-พะ-เก
การอ่านร่าย
จะมีการขึ้นเสียงสูงต่ำ และใส่ลีลาตามจังหวะเนื้อ
ความ เช่น อ่านเร็วขึ้น เมื่อเนื้อหาสื่อถึงอารมณ์
โกรธ เป็ นต้น (ถ้าเพื่อน ๆ อยากจะฟังวิธีการอ่าน
ร่ายยาวเพิ่มเติม

ความเป็ นมาของมหาเวสสันดรชาดก

ความหมายของคำว่า ‘ชาดก’ ชาดกเกิดจากการสร้างคำ
แบบบาลีสันสกฤต โดยคำว่า ชาดก มาจาก ชาตะ แปล
ว่า เกิด และ ก (อ่านว่า กะ) แปลว่า ผู้, หมวด ดังนั้น
ชาดก จึงหมายถึง ผู้ที่เกิดมาแล้ว อย่างคำว่า ทศชาติ
ชาดก ที่แปลว่า ผู้ที่เกิดมาแล้วสิบชาติ หรือพระพุทธเจ้า
นั่นเอง

ที่มาของ ‘มหาเวสสันดรชาดก’ มีความเชื่อว่า
พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติมาหลายชาติ ทั้งคนทั้งสัตว์
เดรัจฉาน โดยแต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีแตก
ต่างกันออกไป ซึ่ งมหาเวสสันดรชาดกเป็ นชาติสุดท้าย
ก่อนจะประสูติมาเป็ นพระพุทธเจ้าในชมพูทวีป(ชาติ
สุดท้ายก่อนพระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน) และ
มีการบำเพ็ญบารมีด้วยการให้ทาน โดยบริจาคลูกและ
บริจาคเมียเป็ นทาน (บุตรทารทาน) สำหรับที่มาที่ไป
ของมหาเวสสันดรชาดก เริ่มต้นขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้า
เสด็จไปที่เมืองกบิลพัสดุ์ พร้อมกับพระอรหันต์สองรูป
เพื่อจะไปเทศนาโปรดพระบิดาและพระญาติ แต่พระ
ญาติเกิดอัตตา ไม่ยอมไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึง
แสดงปาฏิหารย์ โดยการเหาะเหินเดินอากาศ ทำให้ฝุ่ น
ใต้พระบาทาปลิวมาติดหัวพระญาติ

และมีฝนโบกขรพรรษตกลงมาสู่เบื้องล่าง ฝนโบกขร
พรรษเป็ นฝนที่มีสีแดงใสบริสุทธิ์ราวกกับทับทิม ถ้า
ต้องการเปียกฝนนั้น ฝนก็จะเปียกเนื้อตัวตามปกติ แต่
ถ้าไม่ต้องการเปียกฝน เม็ดฝนนั้นก็จะระเหยหายไป
ทันที (ถ้ามีฝนแบบนี้ที่บ้านเรา คงหายห่วงเรื่องภัยแล้ง
น้ำท่วมแน่เลย แต่น่าเสียดายที่ฝนโบกขรพรรษเป็ น
ฝนที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
เท่านั้น)
เมื่อเกิดฝนโบกขรพรรษขึ้น พระอรหันต์ที่ตามพระ

พุทธเจ้าไปจึงถามว่าฝนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร พระองค์
จึงบอกว่า ฝนนี้เคยเกิดมาแล้วในครั้งที่พระพุทธเจ้า
เสวยพระชาติเป็ นพระเวสสันดร พระพุทธเจ้าเลยถือ
โอกาสนี้เล่าว่าพระองค์สามารถระลึกชาติได้ โดย 10
ชาติสุดท้ายหรือทศชาติ ได้แก่ เตมีย์ชาดก มหาชนก
ชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก

ภูริทัตชาดก จันทชาดก นารทชาดก วิทูรชาดก และ

เวสสันดรชาดก ซึ่ งแต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมี
ในรู ปแบบที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับชาติสุดท้าย คือ เวสสันดรชาดก ประกอบด้วย 13
กัณฑ์ แต่ละกัณฑ์จะมีผู้ประพันธ์แตกต่างกันออกไป
โดยจุดประสงค์ หลักในการแต่งคือใช้ สำหรับเทศนาให้
กับพุทธศาสนิกชนหรือบุคคลที่สนใจ

ตัวละครในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

พระเวสสันดร พระเวสสันดรเป็ นตัวละครหลัก
ของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็ นพระโอรส
ของ พระเจ้ากรุ งสัญชัยและพระนางผุสดีแห่ง
เมืองสีพี พระเวสสันดรมักจะบริจาคทานด้วย
วิธีต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก เช่น ยกเครื่องประดับ
เงินทองแก้วเพชรของตนให้ผู้อื่น ต่อมาเมื่อ
อภิเษกกับพระนางมัทรี และมีลูกชื่อพระกัณห

า และพระชาลี พระองค์ได้ตั้งโรงทานจำนวน
มาก และบริจาคช้างปัจจัยนาเคนทร์ซึ่ งเป็ น
ช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองให้กับทูตของเมืองอื่น
ที่มาขอช้างเชือกนี้ ทำให้ชาวเมืองไม่พอใจจึง
เรียกร้องให้พระเจ้ากรุ งสัญชัยเนรเทศพระ
เวสสันดรออกจากเมือง พระเวสสันดร พระนา

งมัทรีและลูก ๆ จึงต้องออกจากเมืองไปอยู่ใน
ป่ า ซึ่ งพระเวสสันดรได้บำเพ็ญเพียรภาวนา
ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในอาศรม ส่วนพระนา
งมัทรีได้ดูแลปรนนิบัติลูกและสามีที่อาศัยอยู่
ในอาศรมแห่งนี้

พระนางมัทรี พระนางมัทรีเป็ นพระราชธิดาของ

กษัตริย์มัทราช อภิเษกสมรสกับพระเวสสันดร มี

พระโอรสชื่อพระชาลี และมีพระธิดาชื่อพระกัณฑ์

หา ด้วยความภักดีต่อพระสวามีนางจึงพาลูก ๆ ตาม
เสด็จพระเวสสันดรออกมาอยู่ในป่ าด้วย ทั้งยังทำ
หน้ าที่ดูและปรนนิบัติรับใช้ สามีและดูแลลูกทั้ง
สองตามหน้ าที่ของตน
พระชาลี พระชาลีเป็ นพระราชโอรสของพระ

เวสสันดรกับพระนางมัทรี ซึ่ งคำว่า ชาลี หมายถึง
ตาข่าย มาจากตอนที่พระชาลีประสูติ เหล่าพระ
ประยูรญาติได้นำตาข่ายทองมารองรับพระชาลี
พระกัณหา พระกัณหาเป็ นพระราชธิดาของพระ

เวสสันดรกับพระนางมัทรี และเป็ นพระกนิษฐา

(น้องสาว) ของพระชาลี
ชูชก ชูชกเกิดในตระกูลพราหมณ์ แต่กลับเที่ยว
ขอทานผู้อื่นเพื่อเลี้ยงชีพ และมีนิสัยที่เรียกว่า
บุรุ ษโทษ ๑๘ ประการ เช่น ความตระหนี่ ความ
โลภ ความฉลาดในกลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ

ถอดคำประพันธ์ มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผล
ไม้ในป่ า พระกุมารทั้งสองฝันร้าย ทำให้พระนาง
หวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอดเวลาจนน้ำตาอาบแก้มทั้ง
สองข้าง พลางสังเกตเห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลาย
เป็ นดอกไม้ ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็ นผลไม้
ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูกลม
พัดปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัวทุกหน
แห่ง ท้องฟ้ ากลับกลายเป็ นสีแดงคล้ายกับลางบอก
เหตุร้าย สายตาของพระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจ
สั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจาก
บ่าซึ่ งเหตุการณ์ นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนาง
คิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้
เพื่อจะได้รีบกลับไปหาลูกที่อาศรม แต่ระหว่างทาง
กลับเจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง ขวางทางไว้
นางกลัวจนใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็ นกรรมของตนเอง
นางจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสัตว์ทั้งสามกั้น
ไว้ทุกทิศทางจนฟ้ ามืด

พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยกมือไหว้
อ้อนวอนขอให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสามเปิ ดทางให้
ตน โดยกล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรีเป็ น
ภรรยาของพระเวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมใน
ป่ าด้วยความบริสุทธิ์ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็
เวลาย่ำค่ำแล้วลูกคงหิวนม โปรดเปิ ดทางให้
พระนางกลับไปที่อาศรมแล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้
จากนั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์ทั้งสามจึงยอมเปิ ด

ทางให้ พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรมด้วย
แก้มที่อาบน้ำตา
เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ใน
อาศรม ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อน
หน้านี้จะออกมาหาแม่กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอ

กินนม ส่วนชาลีจะขอกินผลไม้ พระนางมัทรีเสียใจ
มาก พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่
ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ
ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็
รอยเท้าชาลี นี่ก็ของเล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหายไป
อาศรมกลับดูเงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถาม

พระเวสสันดรว่าลูกหายไปไหน เหตุใดจึงปล่อยให้
คลาดสายตา

หากมีสัตว์ป่ าจับไปจะทำอย่างไร แต่พระ
เวสสันดรกลับไม่ตอบอะไร ทำให้นางกลุ้มใจยิ่ง
ไปว่าเก่าด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล
กระวนกระวายพลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่
นางรู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้ เพราะนางออกจาก
เมืองมาก็หวังว่าอย่างน้ อยจะได้สุขใจเพราะอยู่
พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป
ความหวังนั้นก็คล้ายจะดับสิ้น พระนางมัทรี
อ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง
เพราะการนั่งนิ่งเหมือนโกรธเคืองพระนางมัทรี

นั้นยิ่งทำให้ปวดใจราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟ
มาแทงที่หัวใจ หรือเป็ นคนไข้ที่หมอนำยาพิษมา
ให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อ
พระเวสสันดรได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น ก็คิดว่า
หากใช้ความหึงหวงคงเป็ นวิธีคลายความโศกให้
พระนางได้ จึงตรัสว่า ในป่ าหิมพานต์แห่งนี้มีทั้ง
พระดาบสและนายพรานจำนวนมาก

เจ้าออกไปเก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ หาก
ไปทำอะไรในป่ าแห่งนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น
เหตุใดจึงทิ้งลูกหนีเข้าไปในป่ านานถึงเพียง
นี้ พอกลับมายังห่วงแต่ลูก ไม่ห่วงสามีแต่
อย่างใด หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหาย
เข้าไปในป่ านานถึงเพียงนี้ จะให้เราเข้าใจ
ได้อย่างไร

เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุ
ใดพระองค์จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง
และเสือเหลือง เพราะสัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้
พระนางไม่สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุ
ร้ายหลายประการขณะที่นางเข้าไปในป่ า ทั้งของที่
ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า
ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล ต้นไม้ที่เคยออกผลก็
ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัวจนตัวสั่น
อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามีปลอดภัย แล้วรีบ
กลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอน
ขวางทางเอาไว้ จึงต้องกราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสาม
ให้เปิ ดทางให้จนพระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสามจึง
หลีกทาง แล้วพระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายัง
อาศรมนี้

มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด ฝ่ าย
พระเวสสันดรเมื่อฟังคำตอบของพระนามัทรีก็

เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้า
ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่า
ตนปฏิบัติต่อสามีดั่งศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้ง
สองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้
อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด แล้วอ้อนวอน
ให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่าลูก
อยู่แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่ว่า
จะร้องขออ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่ง
ใดออกมา พระนางจึงถวายบังคมลาออกไปตามหา

ลูกทั้งสองในป่ าหิมพานต์ เมื่อออกตามหาจนทั่ว
แล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบว่าพระเวสสันดร
ยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนาง
จึงตัดพ้อว่า เหตุใดพระเวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่
ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ หรือก่อไฟไว้อย่างที่เคย
ทำเป็ นประจำทุกวัน

พร้อมกับบอกว่าพระเวสสันดรนั้นเป็ นที่รักของพระ
นางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อกลับมาจากป่ าเห็นพระพักตร์
ของพระองค์และได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลาย
ความเหนื่อยล้าเป็ นปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็ น
ความทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัส

สิ่งใดกับพระนาง แม้พระนางมัทรีจะได้ออกตามหา
พระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่ า ทั้งราตรี แล้วกลับ
มาหาพระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ ก็ไม่ยอมตรัสสิ่ง

ใดอยู่เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมดสติล้มลง
กับพื้นพระเวสสันดรบรรพชาเป็ นดาบสมากว่า 7
เดือน ไม่เคยได้แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้
ด้วยความเศร้าโศกและตระหนกตกใจเกรงว่า
พระนางจะเป็ นอะไรไป พระเวสสันดรจึงเข้าไป
ตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้นขึ้นมา ฝ่ าย
พระนางมัทรีเมื่อฟื้ นขึ้นมาก็ทูลถามอีกครั้งว่าลูกทั้ง
สองอยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่ พระ
เวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระชาลี
ให้กับชูชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนา
งมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ
เมื่อได้รู้ความจริงแล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความ
ทุกข์เศร้าลงแล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระ
เวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้งนี้

ข้อคิดที่สำคัญ

ความรักของแม่ที่มีต่อลูก เห็นได้จาก
ความกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อมีลางร้าย หรือ
ความเศร้าโศกเสียใจเมื่อพระนางมัทรีไม่
เจอลูกอยู่ในอาศรม สะท้อนให้เห็นว่าลูก
เป็ นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ที่ไม่ว่ายุค
สมัยไหน ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของ

พ่อแม่ยังเป็ นเรื่องคลาสสิกที่ไม่
เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

ความเชื่อเรื่องการทำนายฝัน หรือโชคลาง

แม้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะพัฒนา
อย่างก้าวกระโดด แต่ความเชื่อเรื่องดวง
ชะตา การทำนายฝัน หรือโชคลางยังคงอยู่
ในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะลด
น้อยลงเมื่อเทียบกับอดีต ซึ่ งอาจมาจาก
ความเชื่อหรือสิ่งที่มองไม่เห็นยังสามารถ
ยึดเหนี่ยวจิตใจและสร้างความสบายใจ
ให้กับผู้คนได้ โดยเฉพาะเรื่องอนาคตหรือ
เรื่องที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้ า


Click to View FlipBook Version