The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จิตวิทยาทั่วไป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by praphawarinjira, 2022-09-30 11:14:51

จิตวิทยาทั่วไป

จิตวิทยาทั่วไป

1

บทที่ 1
ความรพู้ ืน้ ฐานทางจติ วทิ ยา

ในการศึกษาเร่ืองพฤติกรรมมนุษย์เพื่อการพัฒนาตนน้ัน ทุกคนจาเป็นจะต้องมีความรู้ ความ
เข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานทางจิตวิทยาเป็นเบื้องต้นเสียก่อน เน่ืองด้วยศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาเป็นศาสตร์
ที่ว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งผู้เขียนได้นาเสนอไว้ในบทที่ 1 นี้ เพื่อที่จะช่วยให้ผู้อ่าน
สามารถเชื่อมโยงเรอ่ื งราวของจิตวทิ ยา นบั ต้ังแต่ประวัติความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงของจิตวิทยา
ในแต่ละยคุ สมัย ตั้งแตอ่ ดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจบุ ัน อีกทั้งยังต้องเข้าใจเรื่องความหมาย ความสาคัญของ
จิตวิทยา ขอบข่ายของจิตวิทยาและวิธีการศึกษาทางจิตวิทยา เพื่อให้เกิดความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ท้ัง
การเข้าใจในตนเอง ผู้อื่น และสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบันได้อย่าง
เหมาะสมและมปี ระสิทธิภาพ อนั จะส่งผลให้สามารถใช้ชีวติ ประจาวันได้อย่างมคี วามสุข

ความเปน็ มาของจติ วทิ ยา

คาว่า “ จิตวิทยา ” ตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีรากศัพท์เดิมมาจากคาใน
ภาษากรีก 2 คา ได้แก่ “Psyche” และ “Logos” คาว่า Psyche หมายถึง วิญญาณ (Soul) หรือจิต
(Mind) และ คาวา่ Logos หมายถึง ศาสตร์หรือการศึกษา (Study) เม่ือนาคาท้ังสองคามารวมกันจึงได้
เปน็ คาศพั ท์วา่ Psychology ซึ่งหมายถึง วชิ าที่ศึกษาเกีย่ วกบั วิญญาณหรือจิต และมีสัญลักษณ์คือ “ψ”
มีลักษณะคล้ายส้อม เรียกว่า ไซ (Psi)

การเริม่ ต้นศกึ ษาเกีย่ วกบั จติ วิทยาน้ันเรม่ิ มาตั้งแตส่ มยั กรีกโบราณ จากนกั ปราชญ์ หลายท่าน
อาทิเช่น เพลโตและอรสิ โตเติล ทีไ่ ด้พยายามศึกษาและทาความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดงออกของมนุษย์
ซึ่งมีความเชื่อตรงกับนักปราชญ์ส่วนใหญ่ที่ว่ามนุษย์มีส่วนประกอบที่สาคัญ สองส่วน คือ ร่างกาย
(Body) และวิญญาณ (Soul) โดยเชื่อว่าวิญญาณมีอิทธิพลเหนือร่างกาย เพราะวิญญาณเป็นตัว
ควบคุมร่างกายให้กระทาสิ่งต่างๆ รวมถึงการแสดงออกต่างๆของมนุษย์ด้วย ดังน้ันการศึกษาจิตวิทยา
ในสมัยดงั กล่าวมกั จะมงุ่ ศึกษาไปที่ “วิญญาณ” การอธิบายและการทาความเข้าใจในเร่ืองของวิญญาณ
จงึ ออกมาในแนวของปรัชญามากกว่าการพิสูจน์และทดลองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งนักปราชญ์ในสมัยนั้น

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

2

มกั จะใช้วธิ ีการคิดหาเหตุผลและคาตอบ โดยการแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน และคาตอบที่ได้นั้น
มักจะหาข้อสรุปไม่ได้ และมีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามความคิดของแต่ละคน ซึ่งทาให้เกิด
ความไม่ชัดเจนและความไม่แน่นอน ผลที่ออกมามกั จะเป็นนามธรรมมากกว่ารปู ธรรม

ต่อมาเมื่อความเจรญิ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เข้ามามีบทบาทในชีวติ ของมนุษย์มากขึ้น จึงมีผู้
พยายามศึกษาและอธิบายความหมายของวิญญาณให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับมาก
นัก จนกระท่ังนกั จิตวิทยาในยุคต่อมา หันมาในความสนใจกับ “จิต” (Mind) มากขึ้น และทฤษฎีที่เชื่อว่า
จิตเป็นส่วนสาคัญในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ เรียกว่า “แอนิมิซึม (Animism) ดังเช่น จอห์น ล็อค
(John Locke ; 1632-1704) นักปราชญ์ชาวอังกฤษที่ได้พยายามศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับจิตของคน โดย
อธิบายว่า จิต คือความรู้ตัว (Conscious) จิตของมนุษย์แรกเริ่มเหมือนผ้าขาว สิ่งแวดล้อมทาให้จิตของ
คนเปลี่ยนไป เหมอื นกบั เปน็ การแต้มสีสันลงบนผา้ ขาว (เติมศักดิ์ คทวณิช, 2546: 14) แสดงให้เห็นว่าใน
ยุคนี้จะเริ่มให้ความสาคัญกับประสบการณ์ของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่อย่างไรก็
ตาม คาอธิบายเหล่านี้ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับมากนัก เพราะไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้
และเนื่องจากจิตเปน็ นามธรรมไม่สามารถมองเหน็ ได้

จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคแห่งความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
อย่างเด่นชัด ทาให้นักจิตวิทยาหันมาให้ความสนใจกับ “พฤติกรรม” (Behavior) แทน ดังน้ันจิตวิทยา
ที่ว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ โดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จึงเริ่มขึ้น วิลเฮล์ม วุนต์
(Wilhelm Wundt; 1832-1920) นักสรีรวิทยาและนักปรชั ญาชาวเยอรมัน ได้ตั้งห้องทดลองทางจิตวิทยา
เป็นแห่งแรก ขึ้นในปี ค.ศ.1879 ที่มหาวิทยาลัยไลป์ซิก (Leipzig) ในประเทศเยอรมนี จนได้รับการ
ยอมรับว่าเป็น “บิดาแห่งจิตวิทยาการทดลอง” ด้วยแนวคิดที่ว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษา
ประสบการณ์ที่เจ้าตัวรู้สึกและรับรู้ได้ (Conscious Experience) และได้พัฒนาแนวคิดที่เรียกว่า
โครงสร้างของจิต (Structuralism) ที่มุ่งความสนใจไปที่องค์ประกอบพื้นฐานของจิต ได้แก่ การรับรู้
(Perception) การรู้ตัว (Consciousness) การคิด (Thinking) อารมณ์ (Emotion) และภาวะทางจิตอื่นๆ ซึ่ง
ทั้งหมดนี้คือจิต หรือพฤติกรรมภายใน โดยทาการทดลองในห้องปฏิบัติการที่มีการควบคุมเง่ือนไขต่าง
ๆ อย่างรัดกุม ผู้ทดลองภายในห้องได้รับการฝึกฝนมาก่อน เพื่อให้สามารถสังเกตความรู้สึกนึกคิดต่าง
ๆ ตามที่เกิดกับตนเองจริง ๆโดยให้ผู้ทดลองเพ่งมองดูจุดสีหรือแสงไฟ ให้ฟังเสียงติ๊ก ๆ ของเคร่ืองตี
จังหวะ ให้รู้สึกรสของสิ่งเร้าที่นามาสัมผัสลิ้น หรือดมกลิ่นของสิ่งเร้าบางอย่าง ฯลฯ แล้วพรรณนา
ความรู้สึกที่เกิดขึ้น โดยพยายามแยกความรู้สึกแต่ละอย่างออกเป็นองค์ประกอบต่าง ๆ เรียกวิธีนี้ว่า
“การตรวจสอบจิตของตนเอง” (Introspection) ในระยะต่อมาวิธีการนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

3

ประสบการณ์ของแต่ละคนเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถตรวจสอบความแม่นยาในการทดลองได้ เพราะ
ขนึ้ อยู่กับอารมณแ์ ละความรสู้ ึกนึกคดิ ของแต่ละคน (คดั นางค์ มณีศรี, 2556: 2-3)

เนื่องจากแนวคิดโครงสรา้ งของจติ (Structuralism) มีจุดอ่อนหลายประการ จึงทาให้เกิดแนวคิด
ใหม่ที่เรียกว่า หน้าที่ของจิต (Functionalism) ขึ้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้นาได้แก่ จอห์น ดิวอี้
(John Dewey; 1859-1952) คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโก และวิลเลียม เจมส์
(William James; 1842-1910) ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มุ่งความสนใจ
ไปที่หน้าที่ของจิต โดยศึกษาเกี่ยวกับการทางานของจิตว่ามีหน้าที่อย่างไร และกระบวนการอย่างไรที่
ส่งผลต่อการแสดงออกของมนุษย์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน
(Charles Darwin; 1809-1882) ทีไ่ ด้อธิบายว่ามนษุ ย์มกี ารปรับตัว เข้าหาสิ่งแวดล้อมเพื่อการดารงอยู่
ของเผ่าพันธ์ุของตนเอง และเชื่อว่าการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมนั้นเกิดจากการทางานของจิต โดย
เจมส์ให้ความสาคัญกับจิตในส่วนที่เป็นสัญชาตญาณ (Instinct) ซึ่งแตกต่างกับดิวอี้ที่ให้ความสาคัญ
กับจิตในส่วนที่เป็นประสบการณ์ (Experience) ทาการทดลองโดยใช้วิธีการสังเกตผสมผสานกับ
ตรวจสอบจิตของตนเอง เช่นเดียวกับกลุ่มโครงสร้างของจิต (เติมศักดิ์ คทวณิช, 2546: 21) หากแต่
แนวคิดนี้ยังคงมีลักษณะเป็นนามธรรม เพราะใช้การตรวจสอบจิตของตนเองที่เป็นพฤติกรรมภายใน
ซึ่งยังคงเชอ่ื ถือและตรวจสอบได้ยาก

จอห์น บี. วัตสัน (John B. Watson; 1878-1958)อาจารย์จากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์
ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่เคยร่วมงานกับวิลเลียม เจมส์ (William James) ได้คัดค้านแนวคิดหน้าที่ของจิต
(Functionalism) และได้เป็นผู้ก่อตงั้ จิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ขึ้น และเป็นที่นิยมอย่าง
กว้างขวางในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะมีการเปลี่ยนการศึกษาจากพฤติกรรมภายในมาเป็น
พฤติกรรมภายนอก ทาให้การอธิบายความหมายของพฤติกรรมชดั เจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น แนวคิด
นี้จึงได้รับความนิยมอย่างมาก และจากการศึกษาของวัตสันนี้เองทาให้จิตวิทยาได้รับการยอมรับใน
วงการวทิ ยาศาสตร์ ว่าเปน็ วิทยาศาสตร์ทางพฤติกรรม หรอื พฤติกรรมศาสตร์ (Behavior Science) และ
จอห์น บี. วัตสัน (John B. Watson) จึงได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งพฤติกรรมศาสตร์” ในเวลา
ต่อมา

กลุ่มพฤติกรรมนิยม มีแนวคิดที่เชื่อว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่ง
เร้า โดยวัตสันได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของ อีวาน พี พาฟลอฟ (Ivan P. Pavlov;1849-1936) นัก
สรีรวิทยาชาวรสั เซีย ที่ได้ศกึ ษาเรือ่ งของความสมั พันธ์ระหว่างส่งิ เร้ากบั การตอบสนอง จากการทดลอง
กับสุนัขโดยใช้ผงเนื้อและกระดิ่ง เพื่อพิสูจน์ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่เกิดขึ้นเน่ืองจากการถูก

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

4

วางเง่ือนไข (Conditioned Response) แต่วัตสันทาการทดลองโดยใช้หนูขาวกับเด็กชายอัลเบิร์ต ซึ่งใน
การทดลองจะใช้วธิ ีการสงั เกตและบันทึกผลพฤติกรรมอย่างละเอียด และค้นพบว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่
ทีแ่ สดงออกมาเกิดจากวางเง่อื นไขมากกว่าจะแสดงออกตามธรรมชาติ ในการอธิบายผลของพฤติกรรม
ที่แสดงออกมาค่อนข้างชัดเจนและเป็นรูปธรรมทาให้จิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมนี้ได้รับการยอมรับ
เรือ่ ยมาจนถึงปจั จบุ นั

นกั จิตวิทยาทีม่ ีชือ่ เสียงในกลุ่มพฤติกรรมนิยมได้แก่ เอ็ดเวิร์ด ธอร์นไดค์ (Edward L.Thorndike;
1874-1949) และ คลาร์ก ฮุลล์ (Clark L. Hull; 1884-1952) นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง คือ
บี. เอฟ. สกินเนอร์ (Burrhus Frederic Skinner; 1902-1992) ที่เชื่อในทฤษฎีการเรียนรู้แบบลงมือ
กระทาและกฎแห่งการเสริมแรง โดยเชื่อว่ากระบวนการเสริมแรงคือ พลังกระตุ้นสาหรับการ
ก่อใหเ้ กิดพฤติกรรมใหม่ หรือการเรียนรู้ใหม่ การเสริมแรงจะทาให้พฤติกรรมที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นและ
การลงโทษจะทาให้พฤติกรรมทีไ่ ม่พงึ ประสงค์ลดลง

นับตั้งแต่จิตวิทยา สามารถศึกษาและพิสูจน์ได้ให้เห็นเป็นรูปธรรมดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึง
ถือว่าเปน็ ยคุ เฟื่องฟขู องจิตวทิ ยา ทาให้วิชาจติ วิทยาเกิดความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใน
ศตวรรษที่ 19-20 เพราะนักจิตวิทยา นกั วิทยาศาสตร์ รวมถึงนกั การศกึ ษา นักวิชาการมากมาย ได้หัน
มาให้ความสนใจ และทาการศึกษาทดลอง ค้นคว้าอย่างแท้จริง เพื่อพิสูจน์ และทาความเข้าใจกับ
ธรรมชาติ รวมถึงพฤติกรรมมนุษย์ให้มากขึ้นกว่าเดิม จนเกิดแนวคิดทฤษฎีของกลุ่มจิตวิทยาขึ้นมา
หลายกลุ่ม ดังแสดงการสรปุ ในตารางที่ 1.1 ต่อไปนี้ (อุบลวรรณา ภวกานนั ท์, 2556 : 7-20)

ตารางท่ี 1.1 สรุปกลุม่ แนวคดิ /ทฤษฎีจติ วิทยาตงั้ แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ชือ่ กลุ่ม ผู้คดิ ค้น/ แนวคดิ /จดุ เดน่
กลุ่มโครงสรา้ งนยิ ม เจ้าของทฤษฎี
(Structuralism)
วิลเฮล์ม แมกซ์ วู้นท์ มุ่งความสนใจไปที่ส่วนประกอบของจิต และ
กลุ่มหน้าที่นยิ ม หรอื
กลุ่มหน้าทีข่ องจิต (Wilhelm Max เน้นศึกษาองค์ประกอบสาคัญที่เรียกว่า “จิตสานึก”
(Functionalism)
Wundt;1832-1920) โดยการสังเกตตนเองตามวิธีทางวิทยาศาสตร์ ที่

บิดาแหง่ จติ วิทยาการ เรียกว่า “แนวคิดพินจิ ภายใน” (Introspectionism)

ทดลอง

วิลเลียม เจมส์ เน้นศึกษาที่ไปหน้าที่ของจิตหรือกระบวนการ

(William James; 1842- ทางานของจิตหรือกระบวนการทางสมอง ที่ควบคุม

1910) การกระทาต่างๆของร่างกายที่จะปรับตัวให้เข้ากับ

สิง่ แวดล้อม

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

5

กลุ่มพฤติกรรมนยิ ม - จอหน์ บี. วัตสัน จอห์น บี. วัตสัน (John B. Watson;1878-
(Behaviorism)
(John B. 1958) โดยมีความเชื่อว่า “จิตวิทยา คือหมวดวิชา
กลุ่ม Psychometrics
Watson;1878-1958) ความรู้ที่ว่าด้วยพฤติกรรม”แนวคิดที่สาคัญคือ

- เอด็ เวิรด์ ธอร์นไดค์ พฤติกรรมทุกอย่างของมนุษย์ต้องมีสาเหตุ เม่ือ

(Edward L. ร่างกายถูกเร้าก็จะมีการตอบสนองเกิดขึ้น วิธี

Thorndike;1874-1949) การศึกษานิยมใช้วิธีการทดลองประกอบกับการ

- บี. เอฟ. สกินเนอร์ สังเกตอย่างมีแบบแผน ท้ังกับคนและสัตว์และใช้กฎ

(Burrhus Frederic แห่งการเสริมแรง โดยมีความเชื่อว่ากระบวนการ

Skinner;1902-1992) เสริมแรงคือพลังกระตุ้นสาคัญที่ก่อให้เกิดพฤติกรรม

ใหม่จนกลายเปน็ บคุ ลิกภาพของคน

- อลั เฟรด บิเน่ต์ เน้นศกึ ษาการวดั และประเมินผลทางจิตวิทยา

(Alfred Binet;1857- นัก จิ ต วิ ท ย า ก ลุ่ ม นี้เ น้ น ก าร วั ด ส ติ ปัญ ญ า แ ล ะ

1911) ความสามารถในการทางานของจิตหรือสมองด้าน

- ทีออเดอร์ ไซมอน ต่างๆ และได้สร้างแบบวัดเชาวน์ปัญญา (Intelligence

(Theodore test) ขึ้นเพื่อใช้ในการจัดระบบการศึกษาตาม

Simon;1872-1961) ความสามารถทางสมองของนักเรียนในประเทศ

ฝร่ังเศส ต่อมามีการพัฒนาและเป็นที่แพร่หลาย

ยอมรบั ทั่วโลกจนมกี ารแปลในหลายภาษา

โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่นาไปพัฒนาจน

ก ล า ย เ ป็ น แ บ บ วั ด ส ติ ปั ญ ญ า ส แ ต น ฟ อ ร์ ด บิ เ น่ ต์

(Standford-Binet Intelligence Scale)

กลุ่มจิตวเิ คราะห์ - ซิกมันด์ ฟรอยด์ ทั้งสองกลุ่มเน้นศึกษาจิตใต้สานึกของมนุษย์
(Psychoanalysis (Sigmund Freud; โดยกลุ่มจิตวิเคราะห์ เชื่อว่า จิต คือสิ่งที่ทาหน้าที่รู้
Perspective) และ 1856-1939) คิด และสานึก และเป็นพลังงานที่คอยควบคุมการ
กลุ่มมนุษยนิยม บิดาแหง่ จติ วิทยา กระทาและกิจกรรมต่างๆของกายท้ังหมด จิต
(Humanistic บุคลิกภาพ ประกอบด้วย 2 ส่วนคือจิตสานึก (Conscious) และจิต
Perspective) - อบั บราฮมั มาสโลว์ ใต้/ไร้สานึก (Unconscious) ฟรอยด์เปรียบเทียบการ
(Abraham H. Maslow; ทางานของจิตวา่ มีสภาพคล้ายภูเขาน้าแข็งที่ลอยอยู่ใน
1908-1970) มหาสมุทร ส่วนที่อยู่เหนือผิวน้าเป็นสภาวะจิตระดับที่
คารล์ โรเจอร์ มีสติสานึกควบคุมอยู่ ส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้าซึ่งเป็นส่วน
(Carl Rosom Rogers; ใ ห ญ่ คื อ ภ า ว ะ จิ ต ร ะ ดั บ ใ ต้ ส า นึ ก เ ป็ น ที่ ส ะ ส ม

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

1902-1987) 6

องค์ประกอบของจิตไว้มากมาย ฟรอยด์อธิบายว่าพลัง
จิตใต้สานึกมีอิทธิพลเหนือจิตสานึกซึ่งคอยกระตุ้น
เตือนให้ปฏิบัติพฤติกรรมท่ัวไป และส่งผลถึง
บคุ ลิกภาพของแตล่ ะคนดว้ ย

กลุ่มจิตวเิ คราะห์ กลุ่มมนุษยนิยมเชื่อว่ามนุษย์พยายามทา ความ
(Psychoanalysis
Perspective) และ เข้าใจตนเองเพื่อพฒั นาศักยภาพของตนเองให้สมบูรณ์
กลุ่มมนษุ ยนิยม
อยู่เสมอ การเข้าใจธรรมชาติของบุคคลจะต้องศึกษา
(Humanistic
Perspective) ถึงการรับรู้ของบุคคลที่มีต่อตนเอง ต่อคนอื่น และต่อ

(ต่อ) โลกทีอ่ าศัย อยู่โดยเฉพาะ
กลุ่มจิตวทิ ยาการรู้คดิ
และปัญญา แนวคิดของ คาร์ล โรเจอร์ที่เน้นศึกษาถึง
(Cognitive
Psychology) บุคลิกภาพของมนุษย์จากส่วนที่เป็นประสบการณ์

กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ เฉพาะตัวของบคุ คลและความเปน็ เอกตั บคุ คลของคน
ทางสังคม
(Social Cognitive - เจอรอม บรเู นอร์ ส ติ ปั ญ ญ า น้ั น เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ไ ป ต า ม ก า ร
Learning Theory)
(Jerome S. เจริญเติบโตของร่างกายและประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น

Bruner;1915-2015) ตามวัย และเชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้กระทาต่อสิ่งแวดล้อม

- จนี เพียเจท์ มากกว่าทาตามสิ่งแวดล้อม เพราะมนุษย์มี “จิต

(Jean Piaget;1896- อัจฉริยะ” หรือ “ปัญญา” จากการทางานของสมอง

1980) ข้ันสูงของมนุษย์จึงทาให้มนุษย์สามารถจัดการกับ

- ยรู ิค นัซเซอร์ ข้อมูลที่เข้ามาในสมองและคิดสร้างเป็นผลผลิตในการ

(Ulrich Neisser;1928- ดารงชีวติ หรอื ปรับตัวเข้ากับสิง่ ต่างๆได้

2012) ปัจจุบันจิตวิทยาการรู้คิดและปัญญาถือเป็น

บิดาแหง่ จติ วิทยา แนวคิดหลักของศาสตร์ทางจิตวิทยาโดยเฉพาะในโลก

การรคู้ ิด ตะวันตกที่ได้มกี ารนาไปประยกุ ต์ใชแ้ ละค้นคว้าทดลอง

มากมาย

อลั เบิรต์ แบนดรู า เ น้ น ศึ ก ษ า ก า ร รู้ คิ ด แ ล ะ ปั ญ ญ า ด้ ว ย ก า ร

(Albert Bandura;1925- เรียนรู้แบบสังเกตจากตัวแบบทางสังคม เชื่อว่า

ปจั จบุ นั ) พฤติกรรมไม่ใช่เพียงสิ่งที่ตัวมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อมจะ

กาหนดขึ้นมา แต่พฤติกรรมเกิดขึ้นเพราะตัวเราและ

สิง่ แวดล้อมมีปฏิสัมพนั ธ์กนั อย่าง

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

7

กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ ซานเตียโก รามอน อี ซับซ้อน จงึ เกิดทฤษฎีทีช่ ื่อวา่ “Observation Learning”
ทางสังคม กาฮาล โดยเชื่อวา่ พฤติกรรมไม่จาเป็นต้องเกีย่ วข้องกบั การ
(Santiago Ramon y เลียนแบบทั้งหมด เพราะมนุษย์สามารถกระทา
(Social Cognitive Cajal;1852-1934) บางอย่างเพือ่ ควบคุมความคิด ความรสู้ ึกและการ
Learning Theory) นกั ประสาทวิทยาผซู้ ึ่ง กระทาด้วยตนเองที่เรียกว่า การกากบั ตนเอง (Self-
เปน็ แรงบนั ดาลใจให้กบั Regulation) ได้ และใช้คาว่า Perceived Self-Efficacy
(ตอ่ ) กลุ่มจิตประสาทวิทยา ซึ่งหมายถึงการรับรู้หรือตัดสินใจเกีย่ วกบั
มาจนปจั จบุ นั ความสามารถตนเองเพือ่ ที่จะได้จัดการกับพฤติกรรม
กลุ่มจิตประสาทวิทยา ต่างๆเพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายทีต่ อ้ งการหรือต้ังไว้
(Neuropsychology)
นั ก ป ร ะ ส า ท วิ ท ย า ไ ด้ มุ่ ง ใ ห้ ค ว า ม ส น ใ จ กั บ
โครงสร้างทางสมองที่มีบทบาทต่ออารมณ์ การมี
เหตุผล การพูด และกระบวนการทางจิตวิทยาใน
ประเด็นต่างๆ เพื่อที่จะเข้าใจในธรรมชาติของเซลล์
และระบบประสาทรวมท้ังระบบชีวภาพอื่นๆที่มีผลต่อ
พฤติกรรมและการทางานของจิตมนุษย์ ซึ่งปัจจุบัน
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการ
อธิบายการทางานต่างๆของระบบประสาทมากขึ้น
ดังนน้ั กลุ่มจติ ประสาทวิทยาจงึ เน้นศกึ ษาความสัมพันธ์
ของการทางานระหว่างสมองกับจติ มากขึ้น

ปัจจุบันนักการศึกษาได้ผสมผสานความรู้
ทางด้านประสาทวิทยาเข้ากับการจัดการเรียนรู้ จน
เกิดแนวคิดที่เรียกว่า “การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็น
ฐาน” (Brain Based Learning) และเข้ามามีบทบาทใน
การจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนในปจั จบุ นั

ดงั นน้ั จงึ สรุปได้ว่า ความเปน็ มาของจติ วิทยาน้ัน เริ่มมาตั้งแตส่ มยั กรีกโบราณ และมีการพัฒนา
มาอย่างตอ่ เนือ่ ง นับต้ังแต่ความเชอ่ื ทีเ่ ปน็ นามธรรมจนเปลี่ยนแปลงมาเป็นรูปธรรมและจนกระทั่งมาถึง
ยุคสมัยของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาจึงเกิดความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ได้มี
นักจิตวิทยา นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการมากมายได้ให้ความสนใจที่จะศึกษาทาการทดลอง
เกีย่ วกับพฤติกรรมมนษุ ย์มากขึ้นอย่างตอ่ เนื่องจวบจนปจั จบุ นั

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

8

ความหมายของจติ วิทยา

นักวิชาการศกึ ษาและนักจิตวิทยาได้ให้ความหมายของ “จติ วิทยา” (Psychology) ไว้แตกต่างกนั
ดงั รายละเอียดต่อไปนี้

Rod Plotnik (2005: 4) ได้ให้ความหมายของจิตวิทยาไว้ว่าเป็นกระบวนการศึกษาพฤติกรรม
และจติ ใจมนษุ ย์อย่างเป็นระบบ ดว้ ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

Carole Wade and Carol Tavris (2008: 3) กล่าวว่าการศึกษาจิตวิทยาเป็นกระบวนการที่ใช้
อธิบายพฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์ ว่ามีความสมั พันธ์และเกีย่ วข้องกันอย่างไร มีสาเหตุอะไรที่ส่งผล
ต่อพฤติกรรมได้บ้าง โดยอาศัยกระบวนการศึกษาอย่างเป็นระบบเป็นขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ในการ
อธิบายพฤติกรรมตา่ งๆของมนุษย์

Wayne Weiten (2010: 2-3) กล่าวว่า การศึกษาจิตวิทยาเป็นกระบวนการหนึ่งที่ใช้ค้นหา
คาตอบเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในการศึกษาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คาตอบ
ถึงสาเหตขุ องพฤติกรรมน้ันๆได้

คัคนางค์ มณีศรี (2556: 2) ได้กล่าวถึงความหมายของจิตวิทยาไว้ว่า “จิตวิทยาเป็นศาสตร์
ที่ว่าด้วยพฤติกรรม (Behavior) และกระบวนการทางจิต (Mental Processes) ซึ่งหมายถึงการศึกษาทั้ง
การกระทาทีแ่ สดงออกมาให้สังเกตได้ และความคิด ความรู้สึก อารมณ์ และแรงจูงใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มอง
ไม่เหน็ ด้วยวิธีการเชงิ วิทยาศาสตร์”

ณัฐภร อินทุยศ (2556: 2) ได้กล่าวถึงความหมายของจิตวิทยาไว้ว่า “จิตวิทยา หมายถึง
ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเร่ืองพฤติกรรม (Behavior) กระบวนการทางสรีระร่างกายและจิตใจ
(Physiological and Mental Process) ของมนุษย์ โดยศึกษาความสัมพันธ์ของพฤติกรรม กระบวนการ
ทางรา่ งกาย และทางจิตใจเปน็ สาคัญ

อุบลวรรณา ภวกานันท์ (2556: 5) ได้กล่าวถึงความหมายของจิตวิทยา สรุปได้ว่า จิตวิทยา
เป็นศาสตร์ที่ศกึ ษาถึงพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต ด้วยระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์

กิ่งแก้ว ทรพั ย์พระวงศ์ (2556: 2-4) ได้กล่าวถึงความหมายของจิตวิทยา สรุปได้ว่า “จิตวิทยา
เป็นศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรม สรีระ และกระบวนการทางจิตของอินทรีย์ ซึ่งสามารถแยกประเด็นออก
ได้ดงั นี้ ศาสตร์ (Science) หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจที่สามารถพิสจู น์ทดสอบได้ พฤติกรรม หมายถึง
การกระทาหรอื การตอบสนองของอนิ ทรีย์ แบ่งออกเปน็ พฤติกรรมภายนอกกับพฤติกรรมภายใน

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

9

จิราภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์ (2557: 2) ได้กล่าวไว้ว่า จิตวิทยา เป็นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์
เปน็ การศึกษาที่เน้นวิธีการทีเ่ ป็นวิทยาศาสตร์ซึง่ สามารถพิสูจน์ได้

ดังนนั้ จงึ สรปุ ได้ว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมกระบวนการทาง
สรีระร่างกายและจติ ใจของมนุษย์ โดยอาศยั วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้

ความสาคญั ของจิตวทิ ยา

จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ จิตวิทยาจึงเปรียบเสมือน
ส่วนหนึ่งในการดาเนินชีวิตของมนุษย์ ดังน้ันจิตวิทยาจึงมีความสาคัญต่อการดารงชีวิตประจาวัน การ
ทางาน การเรียน รวมถึงการประกอบอาชีพต่างๆ ทั้งนี้เพราะหลักการทางจิตวิทยาสามารถนาไป
ประยุกต์ใช้ได้กับทุกส่วนของชีวิต ความสาคัญจิตวิทยามักเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ในด้านต่างๆ
ดงั ตอ่ ไปนี้

1. ด้านความเข้าใจต่อตนเอง ผลจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในปัจจุบัน มนุษย์
มักจะให้ความสาคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบด้าน แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์โดยแท้จริงแล้วนั้น
มนุษย์มักจะให้ความสนใจเกี่ยวกับตนเองมากกว่าผู้อื่นและมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตนเอง
ดังนั้นความสาคัญของจิตวิทยาในข้อแรกนี้จึงเป็นการหาคาตอบเกี่ยวกับ ธรรมชาติของมนุษย์ในแง่มุม
ต่างๆ จนนาไปเปรียบเทียบกับตนเองและเกิดความเข้าใจตนเอง เม่ือเกิดความเข้าใจในตนเองแล้ว จะ
รู้จักยอมรับตนเองและได้แนวทางในการจัดการกับตนเองอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่นนาย
ก. รู้ตนเองว่าเปน็ คนขีโ้ มโห อารมณร์ ้อน จงึ ทาให้ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้และทาให้ไม่มีเพื่อน ส่งผลให้ไม่มี
ความสุขเลย ดังนั้นเม่ือนาย ก. รู้ตนเองแล้ว นาย ก. รู้จักปรับตัวและพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
ของตนเองให้ดีขึ้น นาย ก. จึงพบว่าตนเองเริ่มมีเพื่อนและมีความสุขมากขึ้น เป็นต้น และนอกจากนี้ยัง
เกิดผลดีกับตนเองในการวางแผนการพฒั นาตนเองอีกด้วย

2. ด้านความเข้าใจต่อผู้อื่น ศาสตร์ทางจิตวิทยานอกจากจะช่วยให้เข้าใจตนเองแล้ว
มักจะเปน็ ข้อสรุปเกีย่ วกบั ธรรมชาติพฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์ ส่งผลให้รู้จักและเข้าใจในพฤติกรรม
ของคนอื่นๆ อันอาจจะเป็นบุคคลในครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มคนทางาน กลุ่มบุคคลภายนอก เป็นต้น
ความเข้าใจดงั กล่าวส่งผลใหเ้ กิดการยอมรบั ในข้อดี ข้อเสียของกันและกนั จะช่วยให้มีการปรับตัวเข้าหา
กัน และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อีกท้ังยังช่วยในการจัดวางตัวบุคคล ให้เหมาะสมกับงานหรือการ
เรียนหรอื กิจกรรมต่างๆ ได้ดมี ากขึ้น

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

10

3. ด้านความเข้าใจต่อสังคม ตัวอย่างเช่น กฎหมายบ้านเมือง ระเบียบปฏิบัติบาง
ประการมักเกิดขึ้น หรือถูกยกร่างขึ้น โดยอาศัยพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติพฤติกรรมของ
มนุษย์ ตัวอย่างเช่น จิตวิทยาที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจในเร่ืองความต้องการการยอมรับ ความต้องการ
สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของคน ส่งผลให้เกิดกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หรือการจัดให้มี
วันเดก็ แหง่ ชาติ ปีสากลสาหรับผู้สูงอายุ หรอื เกิดองค์กรบางลักษณะที่ทางานในด้านการให้โอกาสที่เท่า
เทียมกนั สาหรบั บคุ คลบางกลุ่ม หรอื สาหรบั ผู้ดอ้ ยโอกาสบางประเภท หรือแม้แต่การจัดให้มีการแข่งขัน
กีฬานานาชาติสาหรับคนพิการ ก็จัดเป็นส่วนหนึ่งของการนาความรู้เร่ืองจิตวิทยาสาหรับผู้มี
ลักษณะพิเศษมาเปน็ แนวทางปฏิบตั ิบางประการทางสงั คม

4. ด้านการแก้ปัญหาพฤติกรรมและปัญหาสังคม ความรู้ทางจิตวิทยาในบางแง่มุม
ช่วยใหผ้ ศู้ กึ ษาเกิดความเข้าใจในอิทธิพลของสง่ิ เร้า และสิง่ แวดล้อมทีม่ ีผลต่อการหล่อหลอมบุคลิกภาพ
บางลักษณะ เช่น ลักษณะความเป็นผู้หญิง ลักษณะความเป็นผู้ชาย ลักษณะเบี่ยงเบนทางเพศ รวมไป
ถึงอิทธิพลของสื่อมวลชนบางประเภท รายการโทรทัศน์บางลักษณะที่ส่งผลให้เด็กเกิดพฤติกรรม
ก้าวรา้ วอยากทาลาย หรอื เกิดความเช่อื ทีผ่ ิด หรอื เกิดการลอกเลียนแบบอันไม่เหมาะสมซึ่งมีผลกระทบ
ต่อการกระทาในเชิงลบ เปน็ ต้น จากความเข้าใจดังกล่าวนี้นาไปสู่การคัดเลือกสรร สิ่งที่นาเสนอเน้ือหา
ทางสื่อมวลชนให้เป็นไปทางสร้างสรรค์ เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมของเด็กและผู้ใหญ่ในสังคมอย่าง
เหมาะสม

5. ด้านการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต ความรู้ทางจิตวิทยาที่ว่าด้วยการเลี้ยงดูในวัย
เด็กอันมีผลต่อบุคคลเม่ือเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ส่งผลให้เกิด ความพยายาม ในการสร้างรูปแบบการ
เลี้ยงดูที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างพัฒนาคนทั้งกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา เพื่อให้ได้คนดีมี
ประสิทธิภาพ หรอื คนทีม่ คี ณุ ลกั ษณะอันพึงปรารถนาของสงั คมนน้ั ๆ และจติ วิทยายังช่วยให้ผู้ศึกษารับรู้
โดยเร็ว เกี่ยวกับสัญญาณเตือนภัยในพฤติกรรมผิดปกติต่าง ๆ อันนาไปสู่การแก้ปัญหาและป้องกัน
ปัญหาพฤติกรรม รวมทั้งการปรบั เปลีย่ นพฤติกรรมบางลักษณะทีไ่ ม่เหมาะสมของบุคคล จึงกล่าวได้ว่า
จติ วิทยาเปน็ ศาสตร์ทีช่ ่วยเสริมสร้างพฒั นาคุณภาพชวี ิตได้อีกศาสตร์หนง่ึ

ดงั นน้ั จงึ สรปุ ได้ว่าจติ วิทยามีความสาคัญต่อพฤติกรรมของมนุษย์เป็นอย่างมากทั้งในด้านความ
เข้าใจต่อตนเองความเข้าใจต่อผู้อื่นความเข้าใจต่อสังคมตลอดจนการแก้ปัญหาพฤติกรรมและปัญหา
ทางสงั คมรวมไปถึงการสง่ เสริมและพฒั นาคุณภาพชวี ิตของมนษุ ย์

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

11

ขอบข่ายของจิตวทิ ยา

เน่ืองจากขอบข่ายของจิตวิทยามีลักษณะที่กว้างขวางโดยภาพรวม ซึ่งอาจแบ่งได้เป็นหลาย
ลักษณะได้แก่ จติ วิทยาเปน็ วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ จิตวทิ ยาเปน็ วิทยาศาสตร์ทางสงั คม และจิตวิทยาเป็น
ศาสตร์ทางพฤติกรรม และในปัจจุบันขอบข่ายของจิตวิทยาได้แยกออกเป็นหลายแขนง ตามบริบทของ
สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน และยังพบอีกว่าจิตวิทยาได้ประยุกต์เข้าไปมีบทบาทในวงการอาชีพ
ต่างๆมากมาย และทาให้เกิดจิตวิทยาสาขาใหม่ ที่เน้นศึกษาพฤติกรรมในแง่มุมที่แตกต่างกันไปทั้งนี้
ขึน้ อยู่กบั จดุ มงุ่ หมายของแตล่ ะสาขา ดงั รายละเอียดต่อไปนี้

จิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) เป็นการประยุกต์ศาสตร์ทางจิตวิทยามา
ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา โดยพยายามประยุกต์ความรู้และวิธีการทางจิตวิทยามาใช้ให้
เกิดประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนในสภาพจริงให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้เรียน และอาศัย
หลักการและวิธีคิดทางจิตวิทยามาเป็นพื้นฐานในการสร้างสรรค์ศิลปะทางการสอนให้เกิดคุณค่าและ
เกิดประโยชน์ต่อผู้เรยี น (นชุ ลี อปุ ภยั , 2555 : 3)

จติ วิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ
มนุษย์ทุกช่วงวัยตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระท่ังวัยชรา ครอบคลุมด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
โดยปรัชญาพื้นฐานของจิตวิทยาสาขานี้คือ มนุษย์ทุกคน ทุกวัยมีความสาคัญและมีคุณค่า ทุกๆวัยมี
ศักยภาพในการพัฒนาตนให้สามารถดาเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าสมตามวัย และหากมนุษย์มีความเข้าใจ
ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงตามวัยก็จะสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดโดยวิถีธรรมชาติ
ให้พฒั นาไปอย่างสรา้ งสรรคแ์ ละมีคุณภาพชีวติ (ศรเี รือน แก้วกงั วาล, 2540 : 4)

จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) เป็นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการ
อยู่ร่วมกันในสังคม คือการศึกษาที่นักจิตวิทยาพยายามที่จะเข้าใจความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรม
ของมนุษย์ที่แสดงออกต่อหน้าผู้อื่น ไม่ว่าบุคคลผู้น้ันจะมีตัวตนหรือเป็นบุคคลในจินตนาการก็ตาม
(นวลศิริ เปาโรหิตย์,2542 : 6) รวมทั้งยังศึกษาในเร่ืองความต้องการ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
พฤติกรรมกลุ่ม การเป็นผู้นา ผู้ตาม มนุษยสัมพันธ์ อคติ ความดึงดูดใจ ฯลฯ ตลอดจนเจตคติ และ
ความคิดเหน็ ของกลุ่มชน

จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ (Industrial and Organization Psychology) เป็นจิตวิทยา
ประยกุ ต์ โดยการนาเอาทฤษฎีและหลักการทางจิตวทิ ยามาประยุกต์ใช้ในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่
ทางานในธุรกิจ อุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อองค์การและความผาสุกของ

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

12

ผปู้ ฏิบัติงาน โดยเน้นไปทีก่ ารจดั การและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และแก้ปัญหาพฤติกรรมของมนุษย์ใน
ที่ทางาน ตลอดจนใช้ในการทาความเข้าใจเกี่ยวกับการตัดสินคนเข้าทางาน การทางานร่วมกับผู้อื่น
การเข้าใจบทบาทในการทางานรว่ มกนั (กานดา จันทร์แย้ม,2556 : 1-2)

จติ วิทยาการให้คาปรึกษา (Counseling Psychology) เป็นการประยุกต์เอาหลักการ ทฤษฎี และ
เทคนิควิธีการทางจิตวิทยา มาใช้ในการช่วยให้บุคคลที่ประสบปัญหาได้เข้าใจและเห็นแนวทางในการ
แก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้ โดยมีเป้าหมายสาคัญร่วมกันระหว่างผู้ให้คาปรึกษาและผู้รับคาปรึกษา
เพือ่ ที่จะหาแนวทางในการช่วยเหลือบุคคลได้สมหวังกับสิ่งที่เขาต้องการได้อย่างไรในระดับที่เหมาะสม
หรอื เพือ่ ขจดั ความทกุ ข์หรอื ปญั หาใหเ้ บาบางลง มีขอ้ สังเกตคือความทกุ ข์ทีท่ าให้เกิดปัญหาน้ันไม่ได้เป็น
โรคทางประสาท หรอื โรคจติ หรือพฤติกรรมแปรปรวนใดๆ จะมีความแตกต่างกับจิตวิทยาคลินิก โดยมี
ขอบข่ายของปัญหา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านอาชีพ ด้านส่วนตัวและสังคม (พงษ์พันธ์ พงษ์
โสภา,2543 : 3-7)

จติ วิทยาคลินิก (Clinical Psychology) เปน็ จติ วิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกบั ความผิดปกติของพฤติกรรม
และหาทางบาบดั รกั ษาพฤติกรรมทีเ่ ป็นปัญหาเหล่านั้น โดยนักจิตวิทยาจะประยุกต์ความรู้ วิธีการ และ
เทคนิคต่างๆเข้ามาใช้ในการบาบัดรักษา นักจิตวิทยาคลินิกสามารถวินิจฉัยโรคทางจิตเวชโดยใช้
แบบทดสอบทางจิตวทิ ยาและสามารถทาจติ บาบดั ได้ และมกั จะทางานรว่ มกบั จติ แพทย์ (กนกรัตน์ สุขะ
ตุงคะ,2538 : 1)

จติ วิทยาธุรกิจ (Business Psychology) เป็นการประยุกต์ใช้จิตวิทยากับธุรกิจ เพื่อชี้แนวทางการ
พัฒนาเสรมิ สร้างองค์การให้ดาเนินไปอย่างมนั่ คง และเพื่อให้ผู้บริหารและผู้ประกอบการได้รู้จักสมาชิก
ในองค์กรของตน ตลอดจนเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมถึงองค์ประกอบที่มีผลต่อการ
บริหารงานธรุ กิจของผู้บริหาร การวางแผน การดาเนนิ งานธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และการมีชัยชนะ
ทางการตลาด หลักการในการประยุกต์ใช้จิตวิทยา เช่น การเรียนรู้ การรับรู้ การแก้ไขความขัดแย่ง
การสอ่ื สาร ความเครียด การเมอื งในองค์การ การทางานเป็นทีม การจูงใจ การเสริมแรง กลุ่มสัมพันธ์
ภาวะผู้นา เปน็ ต้น (ช่อลดา ติยะบุตร,2556 : 23)

ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า จากขอบข่ายที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะพบว่า จิตวิทยาเข้ามามีบทบาทใน
ทุกวิชาชีพ โดยแต่ละสาขาจะมีจุดเน้นที่แตกต่างกันไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วน้ันจิตวิทยามักจะถูก
นามาใช้ได้เกือบทุกอย่างในชีวิตประจาวันของมนุษย์ และนอกจากนี้ยังมีจิตวิทยาอีกหลายสาขาที่ไม่ได้
กล่าวถึงในที่นี้ เช่น จิตวิทยาการกีฬา จิตวิทยาการเมือง การปกครอง จิตวิทยาผู้บริโภค จิตวิทยา
สุขภาพ เป็นต้น

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

13

วธิ ีการศึกษาทางจิตวทิ ยา

วธิ ีการศกึ ษาทางจิตวิทยาในยุคแรกที่จิตวิทยายังเป็นส่วนหนึ่งของวิชาปรัชญานั้น ลักษณะของ
การศกึ ษาจะใช้หลกั วิธีการคิดไตร่ตรอง หาเหตุและผล นักปราชญ์จะใช้หลักการคิดหาความหมายและ
ทาความเข้าใจสิ่งต่างๆ ในยุคต่อมาที่วิธีการศึกษาเปลี่ยนจากการศึกษา “วิญญาณ” มาเป็นการศึกษา
“พฤติกรรม” นกั จิตวิทยาได้ใช้วธิ ีการสังเกตและทดลองเข้ามีส่วนในการหาคาตอบของพฤติกรรม และ
ต่อมาในยุคของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาทางจิตวิทยาโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์จึง
อีกวิธีหน่งึ ทีไ่ ด้รับความนยิ มในปจั จุบัน วิธีการศกึ ษาทางจิตวทิ ยามหี ลายวิธี ได้แก่

1. วิธีการสังเกต (Observation) เป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมอย่างแรกที่ง่ายและมีความ
สะดวกมากทีส่ ดุ นักจิตวิทยาจะใช้ตาในการสงั เกตพฤติกรรมต่างๆ โดยเฉพาะพฤติกรรมภายนอก โดย
การเฝ้ามองพฤติกรรมที่ต้องการศึกษานั้นๆ หากแต่การสังเกตที่ดีนั้นควรเป็นการสังเกตอย่างมีแบบ
แผน มีการจดบันทึกพฤติกรรมอย่างละเอียด ตัวอย่างเช่น หากครูต้องการสังเกตพฤติกรรมเหม่อ
ลอยในชั้นเรยี นของเด็กชายเอ ครูจงึ ตอ้ งอาศัยการสงั เกตด้วยตาและการจดบนั ทึกความถี่ของการเหม่อ
ลอยของเด็กชายเอไว้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งระบุความถี่ของการเหม่อลอยว่า มีกี่คร้ัง ระบุวันเวลาใน
การสังเกตพฤติกรรมน้ันๆด้วย เป็นต้น การสังเกตประกอบไปด้วยการสังเกตทางตรง ทางอ้อม การ
สังเกตตามธรรมชาติ และการสังเกตจากสภาพการทดลอง การสังเกตเป็นวิธีง่ายแต่มักมีจุดอ่อนคือ
หากผู้สังเกตมีอคติหรือความลาเอียง จะทาให้เกิดความคลาดเคลื่อนของผลการบันทึกพฤติกรรมได้
ในปจั จบุ นั มกี ารใชเ้ ครือ่ งมือในการช่วยสังเกต เช่น การบันทึกภาพ การบันทึกเสียง การถ่ายวีดีโอ ทา
ให้ข้อมลู ที่ได้จากการสังเกตชัดเจน และถูกต้องมากขึ้น

2. วิธีการสัมภาษณ์ (Interview) เป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมอีกวิธีหนึ่ง ที่ทาให้เกิดความ
เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์มากขึ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมภายในที่ไม่สามารถสังเกตได้ จึงต้องใช้
วิธีการสัมภาษณ์เพื่อทาความเข้าใจกับพฤติกรรมดังกล่าวให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการ
เบี่ยงเบนทางเพศของนายไก่ ผู้สัมภาษณ์อาจจะต้องซักถามถึงความรู้สึกและความคิดเกี่ยวกับ การ
เบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งจะทาให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงจากความรู้สึกและความคิดของบุคคลน้ันๆได้ การ
สัมภาษณ์เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการจะศึกษาน้ัน ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความเชี่ยวชาญ ต้อง
กาหนดเป้าหมายของการสัมภาษณ์ให้ชัดเจน และการสัมภาษณ์จะต้องบันทึกผลหลังสัมภาษณ์ทันที
หรือปัจจุบันอาจใช้เคร่ืองมือในการบันทึกเสียงช่วยในการสัมภาษณ์ได้ การสัมภาษณ์ที่ดีควรมีการ
เตรียมการล่วงหน้า มีการวางแผน กาหนดสถานที่ เวลา และหัวข้อให้ชัดเจนเสียก่อน ผู้สัมภาษณ์

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

14

อาจจะต้องทาการซักซ้อมหรือถูกอบรมก่อนการสัมภาษณ์จริง และในการสัมภาษณ์นั้นยังต้องสร้าง
สมั พนั ธภาพที่ดกี บั ผใู้ ห้สมั ภาษณ์ดว้ ย อีกทั้งต้องรู้จกั ใช้เทคนิคการฟัง การถาม การสังเกตพฤติกรรม
ขณะสัมภาษณ์อกี ด้วย

3. วิธีการสารวจ (Survey) เป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมอีกวิธีหนึ่งเพื่อหาข้อมูลหรือ
ลักษณะบางอย่างของบุคคล หรือกลุ่มคนที่ต้องการศึกษา เพื่อสรุปลักษณะของกลุ่มที่ต้องการศึกษา
เป็นหลักการพื้นฐานของการหาข้อมูลและเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายในทางจิตวิทยาและสังคมวิทยา
เคร่ืองมือที่ใช้ในการสารวจ ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสารวจต่างๆ เช่น แบบสอบถามความ
ต้องการสอ่ื วัสดอุ ุปกรณ์ในการอานวยความสะดวกในการเรียน แบบสารวจความคดิ เห็นของนักศึกษา
ที่มตี ่อพฤติกรรมการสอนของอาจารย์ เป็นต้น

4. วิธีการทดสอบ (Testing) เป็นวิธีวัดพฤติกรรมทางอ้อม เพื่อศึกษาพฤติกรรมต่างๆของ
มนุษย์ โดยการให้เขียน พูด เล่น หรือทากิจกรรม ซึ่งพฤติกรรมต่างๆเหล่านี้จะสามารถสังเกตและวัด
ได้ และนาไปสู่การแปลความหมายได้ แบบทดสอบทางจิตวิทยามีหลากหลาย เช่น แบบประเมิน
ความสามารถทางเชาวน์ปัญญา (I.Q) แบบวัดเจตคติต่างๆ แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (E.Q)
แบบวัดบุคลิกภาพ เป็นต้น ซึ่งแบบทดสอบเหล่านี้จะช่วยให้นักจิตวิทยาเข้าใจและได้ข้อมูลของ
พฤติกรรมของบุคคลมากขึ้น หากแต่แบบทดสอบที่ดีควรเป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพ มีความ
เทีย่ งตรง (Validity) และความเชือ่ มั่น (Reliability) และสามารถนาไปใช้ได้อย่างสะดวก

5. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) นับจากวิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาทใน
ชีวติ มนุษย์มากขึ้น การศึกษาจิตวิทยาโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) จึงถือเป็นอีกวิธี
หน่งึ ที่นกั จิตวทิ ยาใชใ้ นการศกึ ษาพฤติกรรมมนษุ ย์ เพราะวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นการศึกษาค้นคว้า
หาคาตอบอย่างเป็นข้ันตอนและเป็นระบบ ประกอบกับผลที่ได้มีความเชื่อม่ันมากกว่าวิธีอื่น ซึ่ง
ประกอบด้วย 5 ข้ันตอน ดงั น้ี

5.1 การกาหนดปัญหา เป็นขั้นตอนแรกที่จะต้องระบุให้ชัดเจนถึงสิ่งที่เป็นปัญหา
หรือสิ่งที่ต้องการทดลองว่าศึกษาเร่ืองอะไร พร้อมกับกาหนดขอบเขตของปัญหา ที่มาของปัญหา
รวมถึงความสาคัญในการแก้ไขปัญหาว่า ปัญหาที่เราศึกษาจะเป็นประโยชน์มากน้อยหรือไม่อย่างไร
ตัวอย่างเช่น ปัญหาพฤติกรรมการไม่ส่งงานของนักศึกษา ปัญหาการเข้าห้องเรียนไม่ตรงเวลา ปัญหา
พฤติกรรมการเล่นโทรศพั ท์ในเวลาเรียน เปน็ ต้น

5.2 การต้ังสมมติฐาน เป็นการคาดคะเนผลที่น่าจะเกิดล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างไร
โดยการคาดคะเนนีจ้ ะต้องอยู่ในขอบเขตของปัญหาและมีเหตุผลอย่างชัดเจนไม่ใช่เพียงการคาดเดาโดย

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

15

ไม่มีหลักเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นกั ศึกษาสงู ข้ึน นักศึกษาเพศหญิงและเพศชายมีพฤติกรรมการส่งงานแตกต่างกัน เป็นต้น

5.3 การทดสอบสมมติฐาน เป็นการรวบรวมข้อมูลด้วนวิธีการต่างๆเพื่อทดสอบ
สมมติฐานที่เราต้ังไว้ว่าเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ ซึ่งในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ข้ันตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สาคัญที่สุด เพราะหากมีการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการที่ถูกต้อง แม่นยา
แล้ว ผลที่ออกมาจะมีความถูกต้องน่าเชื่อถือด้วย วิธีการรวบรวมข้อมูลมีหลายวิธี ได้แก่ การสังเกต
แล้วบันทึกผล การทดลอง การใชแ้ บบสอบถาม การทดสอบ การสารวจ การสมั ภาษณ์ การพุดคุย เป็น
ต้น ตัวอย่างเช่น หากเราจะศึกษาปัญหาพฤติกรรมการไม่ส่งงานของนักศึกษา และต้ังสมมติฐานเพื่อ
เปรียบเทียบการส่งงานของนักศึกษาเพศหญิงและเพศชายว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ หรือการ
จดั การเรยี นรู้แบบโครงงานส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนักศึกษาสูงข้ึนหรอื ไม่

5.4 การวิเคราะหข์ ้อมูล เปน็ การนาข้อมูลที่ได้ทดลอง หรือทาการรวบรวมไว้มาทา
การวิเคราะห์ เปรียบเทียบผลการทดลองว่าเป็นไปตามที่ต้ังสมมติฐานหรือไม่ วิธีที่นิยมมากที่สุดคือ
การวิเคราะห์ผลทางสถิติ เพราะเป็นวิธีการมีความเชื่อมั่นมากที่สุด หลังจากนั้นจึงนาผลที่วิเคราะห์
ได้มาแปลความหมายและอภิปรายผลในขั้นตอนต่อไป

5.5 การสรุปผล เป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเป็นการสรุปผลการทดลอง การศึกษา
ค้นคว้าหาคาตอบที่ผ่านมา เพื่อให้ง่ายต่อการทาความเข้าใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะใช้ผลเพื่อเป็น
ประโยชน์ตอ่ ไป ท้ังนีห้ ากผลทีไ่ ด้เป็นไปตามสมมตฐิ านที่ตงั้ ข้ึนก็แสดงวา่ การทดลอง การค้นคว้าของเรา
เป็นไปตามผลที่คาดหมายไว้ แต่หากไม่เป็นไปตามสมมติฐาน ผู้ทาการทดลองหรือผู้ศึกษาอาจจะต้อง
พิจารณาแก้ไขปรับปรุงกระบวนการหรอื ข้ันตอนในการทดลองใหม่

อุบลวรรณา ภวกานันท์ (2556:24-26) ได้ให้ข้อสังเกตในวิธีการศึกษาทางจิตวิทยาไว้ว่า ใน
การศึกษาทางจิตวิทยาน้ัน โดยทั่วไปมีวิธีวัดอยู่ 2 ชนิด คือ 1) วิธีที่ให้ผู้ถูกทดลองหรือวิจัยรายงาน
ข้อมูลออกมาด้วยตนเอง (Self-Reports) ด้วยแบบสอบถามหรือการสัมภาษณ์หรือวิธีอื่นๆ และ 2) วิธี
ที่ใช้แบบสอบวัดหรือเคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ และโดยท่ัวไปการศึกษาทางจิตวิทยาจะมี
วตั ถุประสงค์ในการศกึ ษาอยู่ 3 ประเภท ดงั น้ี

1. เพือ่ การพรรณนาและอธิบายลกั ษณะหรือปรากฏการณ์ต่างๆทางจิตวิทยา ซึ่งมักจะใช้
การสังเกตเป็นเคร่ืองมือในการศึกษา สังเกตพฤติกรรมที่มองเห็นได้และทาการจดบันทึกอย่างเป็น
ระบบ

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

16
2. เพื่อการศึกษาหาความสัมพันธ์และทานาย เป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่าง
ตัวแปรสองตัวแปร หรือลักษณะนิสัย หรือคุณสมบัติต่างๆ และทานายถึงตัวเหตุและผลของกลุ่มตัว
แปรเหล่านั้น เชน่ ความสมั พนั ธ์ระหว่างความฉลาดกบั ความคิด เปน็ ต้น
3. เพื่อการศึกษาเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ว่ามีลักษณะคล้ายคลึงหรือแตกต่างกันหรือไม่
อย่างไร เครื่องมอื ที่ใชม้ ีท้ังแบบรายงานด้วยตนเองและแบบทดสอบที่เป็นข้อคาถามเชิงลึก ซึ่งผู้ตอบจะ
ไม่สามารถทราบโดยตรงว่ามีความหมายว่าอย่างไร ต้องมีการสรุปแปลผลด้วยนักวิจัย เพราะ
แบบทดสอบจะสร้างข้ึนโดยนกั วิจยั ทีเ่ ชีย่ วชาญในเรือ่ งที่ทาการศกึ ษาน้ันๆเท่านั้น
ดังน้ันจึงสรุปได้ว่าวิธีการศึกษาทางจิตวิทยามีหลายวิธีได้แก่วิธีการสังเกตวิธีการสัมภาษณ์
วิธีการสารวจวิธีการทดสอบและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่มีความเชื่อมั่นมากกว่าวิธีอื่นซึ่ง
ประกอบด้วย 5 ข้ันตอนตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากพฤติกรรมมนุษย์มี
กระบวนการและความสลบั ซับซ้อน ยากในการที่จะทาความเข้าใจได้ง่าย ในการศึกษาทางจิตวิทยาน้ัน
อาจจะใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้หรืออาจจะปรับประยุกต์หลายวิธีเข้ าด้วยกัน
ทั้งนเี้ พือ่ ให้ได้ข้อมูลทีค่ รบถ้วน และสมบูรณ์ตรงตามเป้าหมายทีต่ อ้ งการจะศกึ ษา

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

17

สรุป

จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ โดยมีประวัติความเป็นมายาวนานนับต้ังแต่
สมัยกรีกโบราณ ในการศึกษาจิตวิทยายุคแรกเป็นการศึกษาเกี่ยวกับเร่ืองวิญญาณ ต่อมาเม่ือความ
เชื่อเร่ืองวิญญาณเริ่มลดน้อยลง จึงเปลี่ยนมาศึกษาเร่ืองพฤติกรรมแทน เพราะมีความเป็นรูปธรรม
มากกว่า จึงได้เกิดแนวคิดและทฤษฎีของนักจิตวิทยามากมายหลายกลุ่มขึ้น ซึ่งได้ทาการทดลอง
ปรับปรุงและพัฒนา วิชาที่ว่าด้วยจิตวิทยามาอย่างต่อเน่ืองจนถึงปัจจุบัน โดยในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของ
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาจิตวิทยาจึงมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
เพราะได้อาศยั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เข้ามาพิสูจนแ์ ละศกึ ษาพฤติกรรมของมนุษย์ ทาให้ผลที่ได้
มีความชดั เจนและถกู ต้อง และเนอ่ื งจากจิตวิทยาเข้ามามีบทบาทในชีวติ ของมนษุ ย์ดังน้ันจึงเกิดจิตวิทยา
แบ่งแยกออกไปในหลายแขนงแตกต่างกันไปตามสาขาอาชีพที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น จิตวิทยา
การศึกษา จิตวิทยาการให้คาปรึกษา จิตวิทยาองค์กร จิตวิทยาอุตสาหกรรม เป็นต้น และในวิธี
การศึกษาทางจิตวิทยานั้น นักจิตวิทยาส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการหลากหลายวิธีในการค้นหาคาตอบ
เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น วิธีการสังเกต วิธีการสัมภาษณ์ วิธีการสารวจ วิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ เปน็ ต้น เพื่อเก็บรวบรวมข้อมลู ใหม้ ีความสมบูรณ์มากขึ้น ท้ังนี้เพราะพฤติกรรมของมนุษย์
มีความหลากหลายและมีความซบั ซ้อน

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

18

คาถามท้ายบท

1. สัญลกั ษณ์ของ “จติ วิทยา” คืออะไร
2. จงอธิบายประวตั ิความเปน็ มาของจิตวทิ ยาในกลุ่มตา่ งๆ มาให้เข้าใจ

2.1 กลุ่มโครงสรา้ งนยิ ม (Structuralism)
2.2 กลุ่มหน้าทีน่ ยิ ม หรอื กลุ่มหน้าทีข่ องจติ (Functionalism)
2.3 กลุ่มพฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism)
2.4 กลุ่ม Psychometrics
2.5 กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis Perspective) และกลุ่มมนุษยนิยม (Humanistic
Perspective)
2.6 กลุ่มจิตวทิ ยาการรคู้ ิดและปญั ญา (Cognitive Psychology)
2.7 กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Cognitive Learning Theory)
2.8 กลุ่มจิตประสาทวิทยา (Neuropsychology)
3. บิดาแหง่ จิตวิทยาการทดลองคอื ใคร
4. บิดาแหง่ พฤติกรรมศาสตร์คอื ใคร
5. จติ วิทยามีความหมายว่าอย่างไร
6. จติ วิทยามีความสาคัญต่อชวี ิตมนุษย์อย่างไรบ้าง จงอธิบาย
7. ขอบข่ายของจติ วิทยามีกีส่ าขา อะไรบ้าง
8. วิธีการศกึ ษาทางจิตวทิ ยาวิธีใดทีน่ ยิ มใช้มากทีส่ ุด เพราะเหตุใด
9. วิธีการศกึ ษาทางจิตวทิ ยาวิธีใดใช้ง่ายที่สุด จงยกตวั อย่างประกอบ
10. วิธีการศกึ ษาทางจิตวทิ ยาวิธีการใดที่เหน็ ผลชดั เจนที่สุดเพราะเหตใุ ด

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

19

เอกสารอา้ งอิง

กนกรตั น์ สขุ ะตุงคะ. (2538). คมู่ ือจติ วิทยาคลินิก. กรุงเทพฯ : เมดิคลั มเี ดีย.
กานดา จันทร์แย้ม. (2556). จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ = Industrial and

Organizational Psychology. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
กิง่ แก้ว ทรพั ย์พระวงศ.์ (2556). จติ วิทยาทว่ั ไป. พิมพ์ครง้ั ที่ 21. ปทมุ ธานี : มหาวิทยาลยั กรงุ เทพ.
คัคนางค์ มณีศรี. (2556). จติ วิทยาทว่ั ไป. พิมพ์ครงั้ ที่ 3. กรงุ เทพฯ : ช่อระกาการพิมพ์.
จิราภรณ์ ต้ังกิตติภาภรณ์. (2557). จิตวิทยาทั่วไป. พิมพ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่ง

จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ช่อลดา ตยิ ะบตุ ร. (2556). จติ วิทยาธุรกิจ. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์.
ณฐั ภร อนิ ทุยศ. (2556). จติ วิทยาทัว่ ไป. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เติมศกั ดิ์ คทวณิช. (2546). จติ วิทยาท่วั ไป. กรงุ เทพฯ : ซีเอด็ ยเู คชนั่ .
นุชลี อุปภัย. (2555). จิตวิทยาการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลยั .
นวลศิริ เปาโรหิตย์. (2542). จิตวิทยาสังคมเบื้องต้น Introduction to Social Psychology PC

263. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา. (2543). ทฤษฎีและเทคนิคการให้คาปรึกษา Theories and Techniques of

Counseling. กรงุ เทพฯ : พฒั นาศึกษา.
ฤกษ์ชัย คุณูปการ และคณะ. (2545). พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน. พิษณุโลก : โปรแกรม

วิชาจติ วิทยาและการแนะแนว สถาบนั ราชภฏั พบิ ูลสงคราม.
วิไลลกั ษณ์ พงษ์โสภา. (2555). สขุ วิทยาจิต. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ศรีเรือน แก้วกังวาล. (2540). จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย (เล่ม 1) แนวคิดเชิงทฤษฎี-วัย

เดก็ ตอนกลาง. พิมพ์ครง้ั ที่ 7. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
อุบลวรรณา ภวกานันท์ และคณะ. (2556). จิตวิทยาทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 7, เมษายน. กรุงเทพฯ :

สานักพิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
Carole Wade and Carol Tavris. (2008). Psychology. 9 th Edition. New Jersey, USA. : Pearson

International Edition, Pearson Education, Inc.,Upper saddle River.

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103

20
Rod Plotnik. (2005). Introduction to Psychology. 7 th Edition. USA : Wadsworth Thomson

Learning.
Wayne Weiten. (2010). Psychology : Themes & Variations. 8 th Edition. USA : Wadsworth

Cengage Learning.

เอกสารประกอบการเรียนใน E-Learning รายวชิ า GEHU103


Click to View FlipBook Version