The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุนีรัตน์ ชูช่วย, 2019-12-30 23:08:15

7

7

ชดุ การสอน1ที่ 7
เรื่อง การบตี และคลน่ื น่งิ ของเสียง

1

ชุดการสอน2ที่ 7
เรือ่ ง การบีตและคลน่ื นงิ่ ของเสยี ง

คานา

ชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม 3 เรื่องเสียงและการได้ยิน ชุด
นี้เป็น “ชุดการสอนท่ี 7 เรื่องการบีตและคล่ืนน่ิงของเสียง ” จัดทาขึ้นเพ่ือใช้ประกอบการเรียนรู้
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ของโรงเรียนประสาธน์ราษฎร์บารุง เพ่ือให้เป็นไปตามหลักสูตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และเป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2542 ที่มุ่งเน้นให้การจัดการจัดการเรียนรู้ โดยผู้เรียนทุกคนสามารถพัฒนาตนเอง
สรา้ งความหมายของสง่ิ ท่ตี นเองเรยี นรูไ้ ด้ ผ้เู รยี นสามารถเรียนรู้ได้ทุกสถานท่ีทุกเวลา เน้นการพัฒนา
ผู้เรียนตามศักยภาพของแต่ละคน ซึ่งผู้จัดทาได้รวบรวมและเรียบเรียงจากหนังสือ คู่มือ ตารา
รวมท้ังสืบค้นความรู้จากอินเตอร์เน็ตต่าง ๆ รวมทั้งมีการนาคาศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อเป็นการฝึกให้
ผเู้ รยี นได้เรยี นรคู้ าศพั ท์และเป็นการเตรยี มความพร้อมของผู้เรยี นเข้าสูอ่ าเซียน โดยแต่ละชุดการสอน
น้ันผจู้ ดั ทาไดจ้ ัดทาคาแนะนาการใช้ชดุ การสอนไวอ้ ย่างละเอยี ด รวมทงั้ หมด 9 ชดุ ไดแ้ ก่

ชุดการสอนที่ 1 ธรรมชาติและสมบัตขิ องเสยี ง
ชุดการสอนที่ 2 อัตราเร็วของเสยี งและการเคลอ่ื นที่ของเสยี งผ่านตวั กลาง
ชดุ การสอนท่ี 3 ความเข้มเสียงและระดับเสียง
ชุดการสอนท่ี 4 มลภาวะของเสียงและหกู บั การไดย้ นิ
ชดุ การสอนท่ี 5 ระดบั สูงต่าของเสียงและคุณภาพเสยี ง
ชุดการสอนที่ 6 ความถธ่ี รรมชาตแิ ละการสั่นพ้องของเสียง
ชุดการสอนที่ 7 การบีตและคล่นื นงิ่ ของเสยี ง
ชุดการสอนท่ี 8 ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์และคล่ืนกระแทก
ชุดการสอนที่ 9 การประยุกต์ความรู้เรือ่ งเสยี งและการได้ยิน

ชุดการสอนเล่มนี้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็เพราะได้รับการส่งเสริมสนับสนุน และ
ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ จากผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของ
เนื้อหาวิชาและภาษาที่ใช้ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งไว้ ณ โอกาสน้ี ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่า
ชุดการสอนน้ี จะเป็นประโยชน์ตอ่ นักเรียนและครูผู้สอน และได้แนวคิดในการนาไปพัฒนาการจัด
กิจกรรมการเรยี นรูเ้ พื่อพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของหลักสูตรเป็นอย่าง
ดี

สุนีรตั น์ ชูชว่ ย
2

ชดุ การสอน3ท่ี 7
เร่ือง การบีตและคล่ืนนิ่งของเสียง

สารบญั หน้า

เร่ือง ข
คานา ค
สารบัญ 1
สารบญั รปู ภาพ 2
คาช้แี จงเก่ยี วกบั ชดุ การสอน 3
คาชแ้ี จงสาหรบั ครู 5
คาช้แี จงสาหรบั นกั เรียน 6
ผลการเรียนรู้และจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 9
แบบทดสอบก่อนเรยี น 14
บัตรกิจกรรม เร่ืองการบีตและคลนื่ น่ิงของเสยี ง 19
บัตรเนื้อหา เร่ืองการบตี และคล่นื นงิ่ ของเสยี ง 21
บัตรคาถาม 23
บัตรฝกึ ทกั ษะ 26
แบบทดสอบหลงั เรยี น 27
บรรณานุกรม 28
ภาคผนวก 29
เฉลยแบบทดสอบก่อน - หลงั เรียน 31
33
เฉลยบตั รกจิ กรรม 34
เฉลยบตั รคาถาม 35
เฉลยบัตรฝกึ ทกั ษะ
แบบบนั ทกึ แบบทดสอบก่อน - หลงั เรียน 3
แบบบันทึกผลการประเมนิ ดา้ นความรู้

ชดุ การสอน4ที่ 7
เร่ือง การบีตและคลืน่ น่ิงของเสยี ง

สารบัญภาพ หน้า
10
ภาพท่ี 12
1 การตดิ ตงั้ อุปกรณ์ 14
2 การติดต้งั อปุ กรณ์คล่นื นง่ิ 15
3 การซ้อนทบั ระหวา่ งคลืน่ จากแหล่งกาเนดิ 2 แหล่งเป็นผลให้เกิดบตี ของเสียง 16
4 เทียบสายกีตาร์ 17
5 การจัดอปุ กรณเ์ พ่ือศึกษาคล่ืนนง่ิ ของเสียง 18
6 แสดงคลืน่ นงิ่ ของเสยี ง
7 การเกดิ คล่นื นิ่ง

4

ชดุ การสอน5ท่ี 7
เร่อื ง การบตี และคล่ืนนิ่งของเสียง

คาช้ีแจงเก่ยี วกับชดุ การสอน

1. ชุดการสอนชุดน้ีเป็น ชุดการสอนท่ี 7 เรื่องการบีตและคลื่นนิ่งของเสียง วิชาฟิสิกส์
เพ่มิ เตมิ 3 รหัสวชิ า ว 30203 ใช้สอนนกั เรยี นระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5

2. ชุดการสอนชุดน้ีประกอบด้วย
2.1 คาชแี้ จงเก่ียวกับชุดการสอน
2.2 คาชแี้ จงสาหรับครู
2.3 คาชแ้ี จงสาหรบั นักเรียน
2.4 แบบทดสอบก่อนเรียน
2.5 บตั รเนื้อหา
2.6 บัตรกจิ กรรม
2.7 บัตรคาถาม
2.8 บตั รฝกึ ทกั ษะ
2.9 แบบทดสอบหลังเรียน
2.10 เฉลยแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี น
2.11 เฉลยบัตรกิจกรรม
2.12 เฉลยบัตรคาถาม
2.13 เฉลยบตั รฝึกทกั ษะ

3. ชดุ การสอนท่ี 7 เรอื่ งการบีตและคล่นื นง่ิ ของเสยี ง ใชเ้ วลาในการศกึ ษา 2 ชว่ั โมง

5

ชดุ การสอน6ท่ี 7
เร่ือง การบีตและคลืน่ นิ่งของเสียง

คาช้แี จงสาหรับครู

1. ครูเตรียมวัสดุอุปกรณจ์ ดั ชน้ั เรยี นใหพ้ ร้อม
2. ครศู ึกษาเน้ือหาทจี่ ะสอนให้ละเอียดและศึกษาชดุ การสอนให้รอบคอบ
3. ก่อนสอนครูตอ้ งเตรียมชดุ การสอนไวบ้ นโต๊ะใหเ้ รียบร้อยและให้เพยี งพอกับนกั เรยี นใน
แต่ละกลุม่ ใหไ้ ดร้ ับคนละ 1 ชดุ ยกเวน้ ส่ือการสอนที่ต้องใช้ร่วมกนั ทงั้ กลุ่ม
4. ครเู ปน็ ผจู้ ดั กิจกรรมการเรียนรแู้ ละวดั ผลประเมินผลใหเ้ ปน็ ไปตามลาดับขั้นตอนท่ี
กาหนดไว้
5. การสอนแบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ ขั้นสร้างความสนใจ ข้นั สารวจและคน้ หา
ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรปุ ข้ันขยายความรู้ และขนั้ ประเมิน
6. ก่อนสอนครูต้องช้ีแจงให้นักเรียนศึกษาการเรียนด้วยชุดการสอน ตั้งแต่แบบทดสอบ
ก่อนเรียน บัตรเน้ือหา บัตรกิจกรรม บัตรคาถาม บัตรฝึกทักษะ แบบทดสอบหลังเรียน เฉลย
แบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรียน เฉลยบตั รกจิ กรรม เฉลยบัตรคาถาม เฉลยบตั รฝกึ ทักษะ
7. ขณะท่นี ักเรียนทุกกลุ่มปฏิบตั ิกิจกรรมครูไม่ควรพูดเสยี งดังหากมีอะไรจะพูดต้องพูด
เปน็ รายกลุม่ หรือรายบุคคลต้องไมร่ บกวนกจิ กรรมของนักเรียนกลุม่ อนื่
8. ขณะทน่ี ักเรียนปฏบิ ตั กิ ิจกรรมครูตอ้ งเดินดูการปฏิบตั ิกิจกรรมของนักเรยี นแต่ละกลุ่ม
อย่างใกล้ชดิ หากมนี ักเรยี นคนใดหรือกล่มุ ใดมีปัญหา ครูควรจะเขา้ ไปใหค้ วามช่วยเหลือจนปัญหานัน้
คลีค่ ลาย
9. เม่ือปฏิบัติกิจกรรมเสร็จครูต้องเน้นให้นักเรียนเก็บชุดการสอนของตนไว้ในสภาพ
เรียบรอ้ ย ห้ามถอื ติดมือไปด้วย
10. การสรปุ บทเรยี นควรจะเปน็ กิจกรรมร่วมของกลมุ่ หรือตัวแทนกลมุ่ ร่วมกัน

6

ชุดการสอน7ท่ี 7
เร่ือง การบตี และคลื่นน่ิงของเสยี ง

คาชแี้ จงสาหรับนักเรียน

บทเรียนท่ีนักเรียนใช้อยู่นี้เรียกว่า ชุดการสอนเป็นบทเรียนที่สร้างขึ้นเพ่ือให้นักเรียน
สามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง โดยมีจุดประสงค์เพ่ือสร้างความเข้าใจ และสามารถแก้ปัญหาจาก
สถานการณ์ท่ีกาหนดให้อย่างมีขั้นตอน โดยนักเรียนจะได้รับประโยชน์จากชุดการสอนตาม
จุดประสงคท์ ต่ี งั้ ไวด้ ้วยการปฏบิ ัตติ ามคาแนะนาตอ่ ไปนี้อย่างเคร่งครัด

1. นกั เรียนอา่ นคาชแ้ี จงสาหรบั นกั เรยี นใหเ้ ข้าใจก่อนลงมือศึกษาชุดการสอน
2. นกั เรยี นอา่ นผลการเรยี นรู้และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้กอ่ นลงมอื ศึกษาชดุ การสอน
3. นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี นจานวน 10 ข้อลงในแบบบันทึกแบบทดสอบกอ่ น
เรยี นทค่ี รูแจกให้และนาสง่ ครูเม่ือทาเสร็จ
4. นักเรยี นทากิจกรรมจากบัตรกจิ กรรมเร่ืองการบตี และคลื่นน่ิง โดยการแลกเปลี่ยน
เรียนรู้กบั สมาชิกในกลุ่ม ( กลุ่มละ 4-5 คน )
5. นักเรียนตรวจเฉลยบัตรกจิ กรรม โดย

5.1 รับบตั รเฉลยกิจกรรมจากครู ตรวจสอบความถกู ต้องให้คะแนนตามเกณฑ์
5.2 ส่งบตั รกิจกรรม หลังจากทากจิ กรรมเสร็จและตรวจสอบความถูกต้องให้เรียบร้อย
แลว้ สง่ ให้ครู
6. นกั เรียนศกึ ษาบัตรเนื้อหา เรอื่ งการบีตและคล่ืนนิง่ ดว้ ยความตงั้ ใจและทาบตั ร
คาถาม บัตรฝึกทักษะ ลงในบัตรคาถามและบตั รฝึกทกั ษะ
7. ตรวจเฉลยบัตรคาถาม บัตรฝึกทกั ษะ โดย
7.1 รับเฉลยบัตรคาถามและเฉลยบัตรฝกึ ทักษะจากครู ตรวจสอบความถูกตอ้ งให้
คะแนนตามเกณฑ์
7.2 สง่ บัตรคาถามและบตั รฝึกทักษะ หลงั จากทาเสรจ็ และตรวจสอบความถูกต้องให้
เรียบรอ้ ยแลว้ ส่งให้ครู

7

ชดุ การสอน8ที่ 7
เร่อื ง การบตี และคล่นื นงิ่ ของเสียง
8. นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียน ลงในแบบบันทกึ แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น
9. ตรวจสอบแบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรยี น โดย
9.1 รบั เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี นและแบบทดสอบหลงั เรียน ตรวจสอบความถูกตอ้ ง
ใหค้ ะแนนขอ้ ละ 1 คะแนน
9.2. สง่ แบบบนั ทกึ แบบทดสอบหลังเรยี น หลังจากทาแบบทดสอบหลังเรยี นเสร็จและ
ตรวจใหค้ ะแนนเรยี บร้อยแลว้ ท่คี รู
10. นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มแจ้งคะแนนของแบบทดสอบก่อนเรียน บัตรกิจกรรม
บตั รคาถาม บัตรฝกึ ทักษะ และแบบทดสอบหลงั เรยี นของตนเองให้ผู้รายงานบันทึกลงในแบบบันทึก
ผลการประเมินด้านความรู้ เพอ่ื สรุปส่งตอ่ ไป
11. นักเรียนทด่ี ตี ้องซ่ือสตั ยต์ ่อตนเองไม่ควรเปิดดูเฉลยก่อนท่ีจะใชค้ วามสามารถด้วย
ตนเอง
12. ถา้ นักเรียนสงสยั หรอื ไม่เขา้ ใจในเนื้อหาใหท้ บทวนใหม่ ถา้ ยังไมเ่ ข้าใจอีกให้สอบถาม
จากครู

8

ชุดการสอน9ที่ 7
เรอื่ ง การบตี และคล่นื น่งิ ของเสยี ง

ผลการเรียนรแู้ ละจดุ ประสงค์การเรียนรู้

ผลการเรยี นรู้

อธบิ าย ทดลอง ยกตวั อย่าง เกี่ยวกับ ความถ่ีธรรมชาติ การสนั่ พอ้ งของเสียงในอากาศ
การบีตและคลื่นนิ่งของเสียงพรอ้ มทั้งคานวณหาปริมาณต่าง ๆ ทเี่ ก่ียวขอ้ งได้อย่างถกู ต้อง

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เพื่อใหน้ ักเรียนสามารถ

1. บอกการเกดิ บีตและการเกิดคลน่ื นงิ่ ได้
2. ทดลองเก่ียวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของบีต และคล่ืนนิ่งของเสียงพร้อมท้ังคานวณหา
ปริมาณตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วข้องไดอ้ ย่างถูกต้อง
3. แสดงความเป็นคนแสวงหาข้อมูลของแหล่งเรียนรู้ จดบันทึกและมีจิตสานึก
ในการอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมเกย่ี วกับการเรยี นเรอ่ื งบีต และคลน่ื นิง่ ของเสียงได้อยา่ งเหมาะสม
4. นาความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการเกิดบีตและการเกิดคล่ืนน่ิงไปใช้ประโยชน์ใน
ชวี ิตประจาวันได้

9

ชดุ การสอ1น0ท่ี 7
เร่อื ง การบตี และคล่นื นงิ่ ของเสียง

เรอื่ ง การบตี และคลืน่ นิ่งของเสียง

คาชแี้ จง 1. แบบทดสอบชดุ นีเ้ ป็นแบบทดสอบปรนยั 4 ตัวเลอื ก จานวน 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน
2. ให้นักเรยี นเลือกคาตอบทถี่ กู ต้องแล้วทาเครื่องหมายกากบาท (X) ทบั หนา้ ขอ้ ก, ข, ค

และ ง ลงในแบบบนั ทกึ แบบทดสอบก่อน – หลังเรียน

1. ขณะเกิดคล่ืนนิ่ง ขอ้ ใดผดิ
ก. ระยะหา่ งบัพที่อยถู่ ดั กันเท่ากบั คร่งึ ความยาวคล่ืน
ข. ระยะหา่ งระหว่างปฏบิ ัพท่ีอยถู่ ดั กันเทา่ กับครึง่ ความยาวคลนื่
ค. ระยะหา่ งระหวา่ งบพั กบั ปฏบิ พั ทีอ่ ยู่ถดั กันเทา่ กบั หนึ่งความยาวคลืน่
ง. ระยะห่างบัพกบั ปฏิบัพที่อยู่ถดั กันเท่ากบั เศษหน่งึ หน่ึงส่วนส่ีของความยาวคล่นื

2. ขณะเกิดคล่นื น่งิ ของเสียง
1. ตาแหนง่ ปฏิบัพของความดันจะได้ยนิ เสียงดังมาก
2. ตาแหน่งบัพของความดนั จะได้ยินเสียงคอ่ ย
3. ตาแหนง่ ปฏิบพั ของความดันการกระจดั ของโมเลกลุ ของอากาศมีค่าเปน็ ศูนย์
4. ตาแหน่งบัพของความดันกากรระจดั ของโมเลกุลของอากาศมีค่าไมเ่ ป็นศนู ย์

ขอ้ ความใดกล่าวถูกต้อง
ก. ขอ้ 1 , 2
ข. ขอ้ 3 , 4
ค. ข้อ 1 , 3
ง. ถูกทุกข้อ

10

ชุดการสอ1น1ที่ 7
เร่ือง การบีตและคลน่ื น่งิ ของเสยี ง

3. ในการทดลองบีตจากแหลง่ กาเนดิ เสียง 2 แหลง่ พบว่า “ ได้ยนิ เสียงดงั เป็นจงั หวะทุก ๆ คร่งึ
วินาที” แสดงว่าบีตมีค่ากเ่ี ฮริ ตซ์

ก. 0.5 เฮิรตซ์
ข. 1.0 เฮิรตซ์
ค. 2.0 เฮิรตซ์
ง. 4.0 เฮริ ตซ์

4. ขอ้ ความใดต่อไปน้กี ลา่ วผิด
ก. เสยี งบีตทไี่ ด้ยินจะเปน็ เสยี งท่มี ีความถเ่ี ดียวกันกบั แหลง่ กาเนดิ แหลง่ เดียว
ข. เสยี งที่ไดย้ นิ จากแหล่งกาเนิดเสียงแหล่งเดยี วจะเปน็ เสียงดงั สมา่ เสมอต่อเนื่องกัน
ค. ปกติมนุษยจ์ ะสามารถจาแนกเสยี งบีตที่ได้ยนิ เป็นจงั หวะซ่งึ มีความถไ่ี ม่เกนิ 7 เฮริ ตซ์
ง. เสียงที่ไดย้ ินจากแหลง่ กาเนิดเสยี ง 2 แหล่งทมี่ ีความถีต่ ่างกนั เลก็ นอ้ ยจะเปน็ เสียงทดี งั

และค่อยสลบั กนั เป็นจงั หวะคงตวั

5. ขอ้ ความใดตอ่ ไปน้กี ลา่ วได้ถกู ต้อง
ก. เสียงดังคอ่ ยของบีตและเสียงดังค่อยของการแทรกสอดจะเปลี่ยนตามตาแหน่งที่รบั ฟงั
ข. เสียงดังค่อยของบีตและเสียงดังค่อยของการแทรกสอดจะเปลยี่ นตามเวลา
ค. เสียงดังค่อยของบีตจะเป็นจังหวะเปล่ียนตามตาแหน่งที่รับฟัง ส่วนเสียงดังค่อยของ

การแทรกสอดเสียงจะเปน็ จงั หวะเปลี่ยนตามเวลา
ง. เสียงดงั คอ่ ยของบีตจะเป็นจังหวะเปลี่ยนตามเวลา สว่ นเสียงดงั ค่อยของการแทรกสอด

เสยี งจะเปล่ียนตามตาแหนง่ ที่รบั ฟัง

6. จากรปู แสดงคลนื่ นงิ่ ระยะ AB คือข้อใด

ก. 0.5
ข. 1.0
ค. 2.0
ง. 3.0

11

ชุดการสอ1น2ที่ 7
เรอื่ ง การบตี และคลื่นนิ่งของเสยี ง

7. จากขอ้ 6. ถ้าความยาวคล่ืนมีค่า 8 เซนติเมตร ระยะ AB มคี ่าเทา่ ไร
ก. 2 เซนตเิ มตร
ข. 4 เซนตเิ มตร
ค. 6 เซนติเมตร
ง. 8 เซนติเมตร

8. ถ้าเคาะส้อมเสียงความถี่ 402 เฮิรตซ์ และ 407 เฮิรตซ์ พร้อมกันจะได้ยินเสยี งบีตกี่เฮริ ตซ์
ก. 3 เฮริ ตซ์
ข. 4 เฮิรตซ์
ค. 5 เฮริ ตซ์
ง. 6 เฮริ ตซ์

9. ขอ้ ใดหมายถงึ บีต
ก. ชว่ งเวลาทไ่ี ด้ยนิ เสยี งดงั 1 คร้ัง
ข. ช่วงเวลาท่ีได้ยินเสยี งคอ่ ย 1 ครั้ง
ค. จานวนคร้ังทไ่ี ด้ยินเสียงดงั เพิ่มขึ้น
ง. จานวนครง้ั ท่ีได้ยินเสยี งดงั ในเวลา 1 วินาที

10. ลักษณะการอัดตัวและการขยายตวั ของโมเลกลุ ของอากาศเกิดคล่นื นิง่ ของเสยี งกับกรณีเกดิ คล่นื
ต่อเนือ่ งแตกต่างกนั อยา่ งไร

ก. ไมแ่ ตกต่างกันโดยสว่ นอดั และส่วนขยายจะไม่เคลอื่ นท่ีไปตามคล่ืน
ข. ไม่แตกต่างกนั โดยส่วนอัดและสว่ นขยายจะเคล่ือนที่ไปตามคล่ืน
ค. การเกดิ คลน่ื นิง่ ของส่วนอัดและสว่ นขยายจะเคลื่อนทไ่ี ปตามคลน่ื สว่ นการเกิดคลื่น
ตอ่ เนือ่ ง ส่วนอัดสว่ นขยายจะไมเ่ คล่ือนที่ไปตามคล่ืน
ง. การเกิดคลน่ื นงิ่ ของเสยี งส่วนอดั และส่วนขยายจะไมเ่ คล่ือนทีไ่ ปตามคลนื่ ส่วนการเกดิ
คลื่นต่อเน่ืองส่วนอัดและส่วนขยายจะเคล่ือนท่ีไปตามคล่ืน

12

ชดุ การสอ1น3ท่ี 7
เรอื่ ง การบตี และคลน่ื น่งิ ของเสียง

เร่ือง การบตี และคลื่นนง่ิ ของเสยี ง

คาช้ีแจง ให้นกั เรียนศึกษากิจกรรมท่กี าหนดใหแ้ ละปฏิบัติตามกจิ กรรมพร้อมบนั ทึกผลการทา
กจิ กรรมในบัตรกิจกรรม

ตอนท่ี 1 กิจกรรม เร่ือง การเกิดบตี ของเสียง

จดุ ประสงค์กิจกรรม เพอื่ ให้นกั เรยี นสามารถ

1. ศกึ ษาผลของการซ้อนทับระหวา่ งคลน่ื เสียงจากแหล่งกาเนิดเสียง 2 แหล่งท่ีมีความถ่ีตา่ งกัน

เลก็ น้อย

วัสดอุ ุปกรณ์

รายการ จานวนตอ่ กลมุ่

1. เคร่อื งกาเนิดสญั ญาณเสยี ง 2 เคร่ือง

2. ลาโพง 2 ตวั

3. สายไฟสายไฟ 4 เสน้

คาแนะนากอ่ นการทากจิ กรรม
1. ลาโพงเสยี งไม่ควรวางห่างกันเกิน 30 เซนตเิ มตร
2. ครใู หน้ ักเรยี นทดลองฟังเสยี งจากลาโพงแต่ละตวั ก่อนวา่ เม่อื หมุนปมุ่ ปรับความถี่ของ

เครอื่ งกาเนิดสัญญาณเสียงจาก 0.9 – 1.0 กโิ ลเฮริ ตซแ์ ล้ว เสยี งท่ีได้ยนิ จะดังสม่าเสมอไม่ขาดเป็น
หว้ งๆ

3. แตล่ ะกลมุ่ ท่ีทาการทดลองควรอยหู่ ่างกนั เพอ่ื ไม่ใหเ้ กดิ เสียงรบกวน
4. ปรบั ความดงั ของเสยี งให้เหมาะสมพอได้ยินในกลมุ่ เท่าน้ัน

13

ชุดการสอ1น4ท่ี 7
เร่อื ง การบีตและคลน่ื นง่ิ ของเสยี ง

ขั้นตอนการทากจิ กรรม
1. ต่อสายไฟจากเคร่ืองกาเนดิ สัญญาณเสยี งเขา้ กับลาโพง โดยตอ่ ลกั ษณะเดยี วกนั เป็น

2 ชดุ ดงั ภาพท่ี 1
2. หมนุ ปมุ่ เลอื กความถี่ของเคร่อื งกาเนิดสัญญาณเสยี งทั้งสองไปที่ 1 กโิ ลเฮิรตซท์ ้ังสอง

เครือ่ งปรบั ความดงั ของเครอ่ื งกาเนิดสัญญาณเสยี งท้งั สองให้พอเหมาะและเทา่ กนั
3. ค่อย ๆ หมนุ ป่มุ ปรบั ความถอ่ี ย่างละเอียดของเครื่องกาเนิดสญั ญาณเสียงตัวใดตวั หนึ่ง

ดงั ภาพท่ี 1 ใหม้ ีความถ่ตี ่างกันเลก็ นอ้ ย แล้วรับฟงั เสยี งที่ด้านหน้าของลาโพงทง้ั 2 ตวั
4. ปดิ เครอื่ งกาเนดิ สัญญาณเสยี งตัวใดตวั หน่ึง แล้วรบั ฟงั เสียงจากลาโพงทเ่ี หลือ

เปรียบเทยี บกับเสยี งทีไ่ ดย้ ินจากลาโพงทั้งสองตัว

ภาพท่ี 1 การติดต้งั อปุ กรณ์ ผลการทดลอง
ทม่ี า : สุนรี ตั น์ ชูชว่ ย (2555)

ตารางบนั ทึกผลกิจกรรม ( 2 คะแนน )
กจิ กรรม

เสยี งท่ีได้ยินจากแหล่งกาเนิดเสียงแหลง่ เดยี ว

เสียงทไี่ ดย้ นิ จากแหล่งกาเนิดเสียง 2 แหลง่

14

ชดุ การสอ1น5ที่ 7
เร่ือง การบตี และคลนื่ น่ิงของเสยี ง
คาถามท้ายกจิ กรรม ( 1 คะแนน )
เสียงทไ่ี ดย้ นิ จากแหล่งกาเนิดเสียงแหล่งเดียวกบั เสยี งท่ีได้ยินจากแหลง่ กาเนิดเสยี งสองแหล่งทมี่ ี
ความถ่ีตา่ งกันเลก็ น้อย แตกตา่ งกันอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
สรปุ ผลการทากิจกรรม ( 2 คะแนน )
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………

15

ชุดการสอ1น6ที่ 7
เรื่อง การบตี และคลนื่ นงิ่ ของเสียง

ตอนที่ 2 กิจกรรม เรื่อง คล่ืนนงิ่ ของเสียง

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ เพือ่ ใหน้ กั เรียนสามารถ
1. ศึกษาคลื่นนิง่ ของเสียง

วัสดุอุปกรณ์ จานวนตอ่ กลุ่ม
รายการ 1 เครื่อง
1 ตวั
1. เครอื่ งกาเนดิ สัญญาณเสยี ง 4 เสน้
2. ลาโพง 1 ชดุ
3. สายไฟสายไฟ
4. ชดุ ขาตงั้

คาแนะนากอ่ นการทากิจกรรม
1. ให้ลาโพงเสียงอยู่ห่างจากพ้ืนโต๊ะประมาณ 50-70 เซนติเมตร และต้องจัดลาโพง

ใหอ้ ยู่นิ่ง
2. พน้ื โตะ๊ ควรแข็งและเรยี บ
3. ถา้ รบั ฟังเสยี งระหวา่ งลาโพงกับพนื้ โต๊ะไม่ชดั เจนควรปรบั ตาแหนง่ ลาโพง

ข้นั ตอนทากิจกรรม
1. ต่อสายไฟจากเคร่ืองกาเนิดสัญญาณเสียงกับลาโพง ทาให้เกิดเสียงความถี่

3 กโิ ลเฮิรตซ์ ปรับความดังของเสยี งใหด้ งั พอให้ไดย้ นิ เสียงชดั เจน
2. ยดึ ลาโพงกับขาต้ังโดยปรับให้ลาโพงอยู่เหนือพ้ืนโต๊ะประมาณ 60 เซนติเมตรดังภาพ

ท่ี 2 ใชท้ อ่ รับฟังเสียง ณ ตาแหน่งต่าง ๆ บนแนวระหว่างลาโพงกบั พืน้ โต๊ะ

ภาพที่ 2 การตดิ ต้ังอปุ กรณค์ ล่นื นิง่
ท่มี า : นางสุนรี ตั น์ ชูช่วย (2555)

16

ตารางบันทกึ ผลกจิ กรรม ( 1 คะแนน ) ชุดการสอ1น7ท่ี 7
เรอ่ื ง การบตี และคลื่นนิ่งของเสยี ง
กิจกรรม
ผลการทดลอง
เสียงทีน่ กั เรยี นไดย้ ินจากการรับฟงั เสยี ง ณ
ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ระหว่างลาโพงกบั พน้ื โต๊ะ

คาถามทา้ ยกิจกรรม ( 2 คะแนน )
เสยี งท่ีนักเรียนไดย้ นิ จากการรับฟงั เสยี ง ณ ตาแหน่งตา่ ง ๆ ระหวา่ งลาโพงกับพ้นื โตะ๊ มคี วามดงั เทา่ กนั
หรือไม่ อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………

สรปุ ผลการทากิจกรรม ( 2 คะแนน )
………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………

17

ชดุ การสอ1น8ท่ี 7
เร่ือง การบีตและคลื่นน่ิงของเสียง

เรื่อง การบีตและคลื่นนงิ่ ของเสยี ง

เราทราบแล้วว่า คล่ืนเสียงจากแหล่งกาเนิดสองแหล่งที่มีความถี่เท่ากัน เม่ือเคล่ือนที่มา
พบกันจะซ้อนทับกันและแสดงปรากฏการณ์แทรกสอด ถ้าคล่ืนเสียงจากแหล่งกาเนิดสองแหล่งที่มี
ความถ่ตี า่ งกันเคล่ือนท่ีมาพบกนั เสียงท่จี ะได้ยนิ จะเปน็ อย่างไร นกั เรียนจะได้ศกึ ษาจากบทเรยี นดังน้ี

การบตี ของเสยี ง (beating of two sounds)

เสยี งทไ่ี ดย้ ินจากแหล่งกาเนดิ เสยี งแหล่งเดียว จะเป็นเสียงดังสม่าเสมอต่อเนื่องกัน ส่วนเสียงที่
ไดย้ ินจากแหล่งกาเนิดเสียงสองแหล่งท่ีมีความถี่ต่างกันเล็กน้อยจะเป็นเสียงที่ดังและค่อยสลับกันเป็น
จังหวะคงตัว ซง่ึ เรยี กว่า การบีตของเสยี ง (beating of two sounds)

บีตเกิดจากการซ้อนทับระหว่างคล่ืนเสียงจากแหล่งกาเนิด 2 แหล่งที่มีความถี่ไม่เท่ากัน
ถ้าความถ่ีของเสียงจากแหล่งกาเนิดเสียงท้ังสองต่างกันเล็กน้อย เสียงบีตท่ีได้ยินจะเป็นจังหวะช้าๆ
แต่ถ้าความถี่ของเสียงจากแหล่งกาเนิดเสียงท้ังสองต่างกันมากข้ึน เสียงบีตที่ได้ยินจะเป็นจังหวะเร็ว
ขนึ้ โดยปกติหูเราจะสามารถจาแนกเสยี งบีตที่ไดย้ ินเป็นจังหวะซ่งึ มีความถ่ีไมเ่ กนิ 7 เฮริ ตซ์

ภาพท่ี 3 การซ้อนทบั ระหวา่ งคลน่ื จากแหลง่ กาเนิด 2 แหล่งเป็นผลใหเ้ กิดบีตของเสียง
ทม่ี า: จอฮ์น ดบั เบลิ ยู. จเี วท (2547: 565)

18

ชุดการสอ1น9ท่ี 7
เรอื่ ง การบตี และคล่นื นง่ิ ของเสียง

คล่ืนเสียงจากแหล่งกาเนิด 2 แหล่งที่มีความถ่ี f1 และ f2 ซึ่งต่างกันไม่เกิน 7 เฮิรตซ์
เม่อื มาซอ้ นทับกนั จะทาให้เกิดบีตที่มีเสียงดงั และคอ่ ยสลับกนั เป็นจังหวะคงตัว จานวนครั้งของเสียงที่
ไดย้ นิ ในหน่ึงวนิ าที เรียกว่า ความถบี่ ีต (beat frequency) ซง่ึ จะหาได้จากผลตา่ งของความถี่ของ
คล่ืนทั้งสอง

ความถบี่ ีต = ∆f = f1 – f2

ตัวอยา่ งที่ 1 เมือ่ เคาะสอ้ มเสียงสองอันมีความถี่ 450 และ 456 เฮิรตซ์ จะทาให้เกิดจังหวะเสียง
ดงั หรือเสียงค่อยใน 1 วินาที เทา่ กบั เท่าไร
วิธีทา ความถบี่ ีต = f1 – f2

= 450 – 456
= -6
= 6 เฮิรตซ์

ตอบ จะได้ยินจังหวะเสียงดัง 6 คร้ัง ใน 1 วินาที หรือ ได้ยินจังหวะเสียงค่อย 6 คร้ังใน
1 วนิ าที

การเกิดบีตไม่จาเป็นต้องเกิดจากแหล่งกาเนิดเสียงประเภทเดียวกันเท่าน้ัน แต่อาจเกิด
จากแหลง่ กาเนิดเสียงคนละประเภทกันก็ได้ ในชีวิตประจาวันที่อาจพบเห็นได้แก่ การปรับเสียงของ
เคร่ืองดนตรีชนิดต่าง ๆ เช่น กีตาร์ โดยเทียบกับเสียงจากหลอดเทียบเสียงท่ีมีความถี่มาตรฐาน
ขณะทค่ี วามถข่ี องสายกีตาร์ยังไม่เท่ากับความถี่ของเสียงจากหลอดเทียบเสียงมาตรฐาน เราจะได้ยิน
เสียงการบีต จนกระทั่งเมื่อปรับความตึงของสายกีตาร์ได้พอเหมาะ คือการให้ส่ันของสายกีตาร์มี
ความถ่ีเท่ากบั ความถี่ของหลอดเทียบเสียงมาตรฐาน เสียงการบีตทไ่ี ด้ยินก็จะหายไป

ภาพท่ี 4 เทียบสายกีตาร์
ทม่ี า: จอฮน์ ดับเบลิ ยู. จีเวท (2547: 556)

19

ชดุ การสอ2น0ท่ี 7
เรอ่ื ง การบตี และคลื่นนง่ิ ของเสยี ง
คล่ืนนิ่ง
จากการศึกษาคล่ืนนิ่งของคลื่นน้าและคล่ืนน่ิงในเส้นเชือก เราทราบแล้วว่าคลื่นนิ่งเป็น
ปรากฏการณ์การแทรกสอดเกิดจากการซ้อนทับระหว่างคล่ืนสองคล่ืนท่ีเคล่ือนท่ีสวนทางกัน โดยที่
คลื่นท้ังสองมีความถ่ี ความยาวคล่ืนและแอมพลิจูดเท่ากัน สาหรับกรณีคลื่นเสียงจะแสดง
ปรากฏการณค์ ลื่นน่ิงไดห้ รอื ไม่ศกึ ษาจากบัตรกิจกรรม ตอนท่ี 2

ภาพที่ 5 การจดั อปุ กรณเ์ พือ่ ศึกษาคลนื่ น่งิ ของเสียง
ทมี่ า: สนุ รี ัตน์ ชชู ่วย (2555)
เม่ือเสียงจากลาโพงเคล่ือนท่ีไปกระทบพ้ืนโต๊ะจะสะท้อน และเสียงท่ีสะท้อนจากพื้นโต๊ะ
น้ีจะมีความถ่ีเท่ากับเสียงที่ตกกระทบพ้ืน โดยเสียงสะท้อนน้ีจะซ้อนทับกับเสียงท่ีออกจากลาโพง
โดยตรง ทาให้เกิดปรากฎการณ์การแทรกสอดท่ีมีลักษณะเป็นคลื่นนิ่งได้โดยเราจะได้ยินเสียงดังและ
ค่อยสลับกัน เมื่อใช้ท่อเล็ก ๆ รับฟังเสียง ณ ตาแหน่งต่าง ๆ ระหว่างลาโพงกับพื้นโต๊ะตาแหน่งท่ีได้
ยินเสียงดงั แสดงวา่ มกี ารแทรกสอดแบบเสริม ตาแหน่งที่ได้ยินเสียงค่อย แสดงว่ามีการแทรกสอด
แบบหักล้าง ดงั ภาพที่ 6

20

ชดุ การสอ2น1ท่ี 7
เร่ือง การบีตและคลนื่ นิง่ ของเสยี ง

ภาพที่ 6 แสดงคล่นื นง่ิ ของเสียง
ที่มา: สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2554:97)
คลนื่ นิ่ง เป็นปรากกฏการณ์ทเ่ี กิดจากการซ้อนทับระหว่างคล่นื 2 คล่นื ซึง่ เคลอื่ นท่สี วนทางกันโดย
คล่ืนทั้งสองมคี วามถ่ี ความยาวคลน่ื และแอมพลิจดู
หลกั การในการเกดิ คล่ืนน่งิ
1. มีแหลง่ กาเนดิ คล่นื เสียงสองแหล่งทีใ่ หเ้ สยี งออกมาในลักษณะท่ีเหมือนกัน
2. คลนื่ ทัง้ สองต้องเคล่ือนท่สี วนกัน
3. บริเวณทีม่ ีการเปล่ยี นแปลงความดันตลอดเวลา คอื บริเวณท่ีเกิดเสียงดัง
4. บรเิ วณท่ีมีการเปลย่ี นแปลงความดันไมต่ ลอดเวลา คอื บริเวณทเ่ี กิดเสยี งเบา
ความรเู้ พมิ่ เติม ลักษณะอนุภาคตัวกลางเมื่อเกิดคลืน่ นง่ิ
1. เมอื่ เกดิ คลนื่ น่ิงของเสยี งในอากาศโมเลกุลของอากาศ ณ ตาแหนง่ เสยี งดงั และค่อย
สลับกันไป
2. บริเวณส่วนอัดและส่วนขยายจะเป็นตาแหน่งทีได้ยินเสียงดัง เพราะมีการแทรกสอด
แบบเสริมกัน เรียกว่า ปฏิบัพของความดัน แต่โมเลกุลของอากาศท่ีตาแหน่งน้ีไม่ขยับตัว เรียกว่า
บพั ของการกระจัด

21

ชดุ การสอ2น2ท่ี 7
เรือ่ ง การบีตและคลน่ื น่ิงของเสยี ง

3. ตาแหนง่ กึ่งกลางระหวา่ งส่วนอดั กับสว่ นขยายจะเปน็ ตาแหน่งทไี่ ดย้ ินเสียงค่อยเพราะมี

การแทรกสอดแบบหักล้าง เรยี กวา่ บพั ของความดัน แตโ่ มเลกลุ ของอากาศมีการส่ันมากท่ีสุด

ปฏบิ ัพของการกระจัด

ระยะหา่ งระหว่างปฏิบพั ที่อยู่ชดิ กนั = 
2

ระยะหา่ งระหวา่ งบัพท่ีอยชู่ ดิ กัน = 
2

ระยะหา่ งระหวา่ งบัพกบั ปฏบิ ัพที่อยู่ชิดกัน = 
4

ภาพท่ี 7 การเกิดคลน่ื น่งิ
ท่ีมา: จอฮน์ ดับเบิลยู. จีเวท (2547: 554)

22

ชุดการสอ2น3ที่ 7
เร่ือง การบีตและคลน่ื นงิ่ ของเสียง

เร่ือง การบตี และคลน่ื นง่ิ ของเสียง

คาชี้แจง ให้นกั เรียนเตมิ คา หรอื ข้อความลงในช่องว่างใหถ้ ูกตอ้ งและสัมพันธก์ นั
ข้อละ 1 คะแนน
1.จงอธิบายหลกั การเกดิ บีตของคลน่ื เสียง
ตอบ........................................................................................................................ ...............................
................................................................................................................................................................
2. ปฏิบพั ของความดนั คือ อะไร
ตอบ ........................................................................................................................ ...............................
............................................................................................................................. ...................................
3. บัพของความดนั คือ อะไร
ตอบ .......................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
4. ปฏิบัพของการกระจดั คือ อะไร
ตอบ ........................................................................................................................ ...............................
................................................................................................................................................................
5. บัพของการกระจัด คือ อะไร
ตอบ ........................................................................................................................ ...............................
.................................................................................................... ............................................................
6. ระยะห่างระหว่างบพั ท่ีอยู่ชิดกันมคี า่ ระยะหา่ งระหว่างปฏบิ พั ท่ีอยชู่ ิดกันมีคา่ เท่าใด
ตอบ .......................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................

23

ชุดการสอ2น4ที่ 7
เร่อื ง การบตี และคลน่ื นิง่ ของเสยี ง

7. ระยะหา่ งระหว่างปฏบิ ัพกับบัพที่อย่ชู ดิ กนั มีค่าเท่าใด
ตอบ ........................................................................................................................ ...............................
......................................................................................... .......................................................................
8. ไวโอลนี สองตัวความถ่ี 438 และ 440 เฮิรตซ์ ถ้าสไี วโอลีนทัง้ สองพร้อมกันจะเกิดปรากฏการณ์
ใดของเสียง
ตอบ .......................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
9. เรือลาหน่ึงกาลังแล่นเข้าหาหน้าผา กัปตันเรือเปิดหวูดส่งสัญญาณเสียงด้วยความถี่คงตัว
โดยสญั ญาณอย่างตอ่ เน่ือง เพราะเหตใุ ดผูฟ้ งั บนเรอื จึงไดย้ ินเสยี งบีต
ตอบ .......................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
10. ถ้าต้องการได้ยินเสียงดังเป็นจังหวะ ดังและค่อย ทุกๆ 1/3 วินาที จงหาว่าจะต้องเปิด
แหลง่ กาเนิดเสยี ง 500 เฮิรตซ์ พร้อมกับแหล่งกาเนิดเสียงความถเ่ี ท่าใด
ตอบ............................................................................................................................. ...........................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

24

ชดุ การสอ2น5ที่ 7
เร่อื ง การบีตและคล่นื นิง่ ของเสียง

เรื่อง การบตี และคลนื่ นง่ิ ของเสยี ง

ตอนที่ 1 ใหน้ ักเรียนนาอักษร A, B, C, … ทางดา้ นขวามอื เติมหน้าขอ้ ความด้านซา้ ยมือท่ีมี
ความสัมพันธ์กนั ข้อละ 0.5 คะแนน

………1 ตาแหนง่ ที่ได้ยินเสยี งดงั แสดงวา่ มีการแทรกสอดแบบ A. การบีตของเสยี ง
เสริมกัน
B. 7 เฮิรตซ์
………2. ตาแหน่งที่ได้ยินเสียงค่อย แสดงว่ามกี ารแทรกสอดแบบ
หักล้างกนั C. ปฏบิ พั ของการกระจดั

………3. ตาแหน่งทโี่ มเลกุลของอากาศไมเ่ คล่ือนที่การกระจดั เป็น D. ปฏิบัพของความดนั
ศนู ย์
E. บพั ของการกระจัด
………4. ตาแหน่งทีโ่ มเลกลุ ของอากาศเคลอื่ นที่การกระจัดมาก
ทีส่ ดุ F. บัพของความดัน

………5. ปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ จากการซ้อนทบั ระหวา่ งคลืน่ เสียง G. จะเป็นจังหวะเรว็ ขน้ึ
จากแหลง่ กาเนิดสองแหล่งทีม่ ีความถี่ไม่เท่ากัน H. อตั ราเร็วเท่ากัน
I. คลื่นนิ่งของเสยี ง
………6. ปรากฏการณ์ที่เกดิ จากการซ้อนทบั ของคล่ืนสองคลน่ื ซึ่ง J. จะเป็นจงั หวะช้าๆ
เคล่อื นที่สวนทางกันท่ีมีความถ่ี ความยาวคลื่นและ
แอมพลิจูดเท่ากนั

………7. ถ้าความถ่ีของเสยี งทั้งสองต่างกนั ไม่มาก เสยี งบีตทีไ่ ด้ยนิ
………8. ถ้าความถ่ีของเสยี งทัง้ สองตา่ งกนั มาก เสียงบีตที่ไดย้ ิน
………9. หูคนเราสามารถได้ยินเสยี งบีตเมอ่ื ความถ่ีบีตมีค่าไมเ่ กิน
………10. การเกิดบีตคลื่นทัง้ สองมีความถี่ตา่ งกนั แต่

25

ชดุ การสอ2น6ท่ี 7
เร่อื ง การบตี และคลื่นนงิ่ ของเสียง
ตอนที่ 2 จงแสดงวิธที า ขอ้ ละ 2.5 คะแนน
1. ลาโพงเสียง 2 ตัวส่งเสียงความถ่ี 500 เฮิรตซ์และ 504 เฮิรตซ์ ออกมาพร้อมกัน
เราจะได้ยนิ เสยี งบีตความถเี่ ทา่ ใด
ตอบ.......................................................................................................................... ..............................
.............................................................................................................................................................. ..
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
2. นักดนตรีคนหน่ึงเล่นไวโอลีน ความถ่ี 507 เฮิรตซ์ และนักดนตรีอีกคนหน่ึงเล่นกีตาร์ความถี่
512 เฮิรตซ์ ถา้ ท้งั สองคนเล่นพรอ้ มกนั จะเกิดปรากฏการณบ์ ีตทคี่ วามถี่เทา่ ใด
ตอบ............................................................................................................................. ...........................
.......................................................................................... ......................................................................
............................................................................................................................. ...................................
....................................................................................................................................................... .........
.......................................................................................................................... ......................................

26

ชุดการสอ2น7ท่ี 7
เรื่อง การบตี และคลน่ื นิง่ ของเสยี ง

เรื่อง การบีตและคลืน่ น่งิ ของเสียง

คาช้ีแจง 1. แบบทดสอบชุดนีเ้ ปน็ แบบทดสอบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จานวน 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน
2. ให้นักเรยี นเลอื กคาตอบที่ถกู ต้องแลว้ ทาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ทบั หน้าข้อ ก, ข, ค

และ ง ลงในแบบบันทึกแบบทดสอบก่อน – หลังเรยี น
1. ขอ้ ใดหมายถึงบีต

ก. ชว่ งเวลาทีไ่ ด้ยนิ เสยี งดัง 1 ครง้ั
ข. ชว่ งเวลาทไ่ี ดย้ นิ เสียงคอ่ ย 1 ครง้ั
ค. จานวนครงั้ ทไี่ ด้ยนิ เสียงดังเพิม่ ขน้ึ
ง. จานวนคร้ังท่ีไดย้ ินเสยี งดังในเวลา 1 วนิ าที
2. ในการทดลองบีตจากแหล่งกาเนิดเสียง 2 แหล่งพบว่า “ ได้ยินเสียงดังเป็นจังหวะทุก ๆ
ครึ่งวนิ าที” แสดงวา่ บีตมีคา่ กีเ่ ฮริ ตซ์
ก.0.5 เฮิรตซ์
ข.1.0 เฮริ ตซ์
ค.2.0 เฮิรตซ์
ง.4.0 เฮริ ตซ์
3. ขอ้ ใดผดิ
ก. เสยี งบีตทีไ่ ดย้ ินจะเป็นเสียงทม่ี ีความถ่เี ดียวกนั กับแหลง่ กาเนิดแหล่งเดียว
ข. เสยี งทไ่ี ดย้ ินจากแหล่งกาเนดิ เสียงแหลง่ เดียวจะเปน็ เสยี งดังสมา่ เสมอตอ่ เนื่องกัน
ค. ปกตมิ นษุ ย์จะสามารถจาแนกเสยี งบีตที่ไดย้ นิ เป็นจงั หวะซ่งึ มคี วามถ่ไี มเ่ กนิ 7 เฮิรตซ์
ง. เสียงท่ีไดย้ นิ จากแหลง่ กาเนิดเสยี ง 2 แหลง่ ที่มคี วามถตี่ ่างกนั เล็กน้อยจะเป็นเสียงท่ีดงั
และค่อยสลับกนั เปน็ จังหวะคงตัว

27

ชุดการสอ2น8ที่ 7
เร่อื ง การบตี และคลน่ื นง่ิ ของเสยี ง

4. ขอ้ ใดถูกต้อง
ก. เสียงดังค่อยของบีตและเสียงดงั ค่อยของการแทรกสอดจะเปลย่ี นตามตาแหน่งทีร่ ับฟัง
ข. เสยี งดังคอ่ ยของบีตและเสียงดังค่อยของการแทรกสอดจะเปล่ียนตามเวลา
ค. เสียงดังค่อยของบีตจะเป็นจังหวะเปลย่ี นตามตาแหน่งทีร่ ับฟงั สว่ นเสยี งดงั ค่อยของ

การแทรกสอดเสียงจะเปน็ จงั หวะเปล่ียนตามเวลา
ง. เสยี งดังค่อยของบีตจะเป็นจงั หวะเปลีย่ นตามเวลา สว่ นเสียงดงั คอ่ ยของการแทรกสอด

เสยี งจะเปล่ียนตามตาแหนง่ ที่รบั ฟงั

5. ถา้ เคาะส้อมเสยี งความถี่ 402 เฮริ ตซ์ และ 407 เฮริ ตซ์ พรอ้ มกันจะไดย้ ินเสยี งบีตก่เี ฮริ ตซ์
ก. 3 เฮิรตซ์
ข. 4 เฮิรตซ์
ค. 5 เฮิรตซ์
ง. 6 เฮิรตซ์

6. ขณะเกดิ คลื่นนงิ่ ข้อใดผิด
ก. ระยะห่างบัพท่ีอยูถ่ ดั กนั เท่ากับคร่งึ ความยาวคล่ืน
ข. ระยะห่างระหว่างปฏิบพั ท่ีอย่ถู ัดกนั เทา่ กบั คร่งึ ความยาวคลน่ื
ค. ระยะหา่ งระหว่างบพั กบั ปฏิบัพทอี่ ยู่ถดั กนั เท่ากบั หนึ่งความยาวคล่ืน
ง. ระยะหา่ งบัพกับปฏิบัพที่อย่ถู ัดกันเท่ากบั เศษหน่ึงหน่งึ ส่วนสี่ของความยาวคลื่น

7. ขณะเกิดคล่ืนนง่ิ ของเสียง
1. ตาแหนง่ ปฏบิ ัพของความดันจะได้ยินเสยี งดังมาก
2. ตาแหน่งบัพของความดันจะได้ยินเสยี งค่อย
3. ตาแหนง่ ปฏิบัพของความดันการกระจัดของโมเลกุลของอากาศมีค่าเป็นศูนย์
4. ตาแหน่งบพั ของความดันกากรระจดั ของโมเลกุลของอากาศมีคา่ ไมเ่ ป็นศนู ย์

ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. ข้อ 1 , 2
ข. ข้อ 3 , 4
ค. ขอ้ 1 , 3
ง. ถูกทกุ ข้อ

28

ชดุ การสอ2น9ที่ 7
เร่อื ง การบีตและคลนื่ นิ่งของเสยี ง

8. ลักษณะการอัดตัวและการขยายตวั ของโมเลกลุ ของอากาศเกิดคล่นื นิ่งของเสยี งกับกรณเี กิดคล่ืน
ตอ่ เน่อื งแตกตา่ งกนั อยา่ งไร

ก. ไม่แตกต่างกนั โดยส่วนอัดและสว่ นขยายจะไม่เคลื่อนที่ไปตามคลน่ื
ข. ไม่แตกตา่ งกนั โดยส่วนอดั และส่วนขยายจะเคล่ือนท่ีไปตามคลน่ื
ค. การเกิดคลน่ื นง่ิ ของส่วนอัดและส่วนขยายจะเคลื่อนท่ีไปตามคลืน่ สว่ นการเกิดคลื่น
ตอ่ เนื่องส่วนอัดสว่ นขยายจะไมเ่ คล่อื นที่ไปตามคลนื่
ง. การเกดิ คลน่ื นง่ิ ของเสียงสว่ นอัดและส่วนขยายจะไมเ่ คลื่อนที่ไปตามคลนื่ สว่ นการเกดิ
คลื่นต่อเน่ืองสว่ นอดั และส่วนขยายจะเคลื่อนที่ไปตามคล่นื
9. จากรปู แสดงคลื่นนง่ิ ระยะ AB คอื ข้อใด

ก. 0.5
ข. 1.0
ค. 2.0
ง. 3.0
10. จากข้อ 9. ถา้ ความยาวคลืน่ มีคา่ 8 เซนตเิ มตร ระยะ AB มีคา่ เท่าไร
ก. 2 เซนตเิ มตร
ข. 4 เซนตเิ มตร
ค. 6 เซนตเิ มตร
ง. 8 เซนติเมตร

29

ชดุ การสอ3น0ท่ี 7
เรอ่ื ง การบีตและคล่ืนน่ิงของเสยี ง

บรรณนานุกรม

กฤตนัย จนั ทรจตรุ งค์. (ม.ป.ป.). ฟิสิกส์ :เร่อื งท่ี 11 เสียงและการไดย้ ิน ฉบับช่วยสอบเข้า
มหาวิทยาลัยที่รบั ตรง & โควตา & PAT 2 สาหรับชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4-6.
นนทบุรี : ธรรมบณั ฑติ .

จารึก สวุ รรณรัตน์. (2555). คู่มอื ฟิสิกส์ ม.4-6 เล่ม 3 รายวิชาเพ่ิมเตมิ . กรุงเทพมหานคร :
เดอะบุคส์.

เฉลมิ ชยั มอญสุขา. (2554). ฟิสกิ ส์เสรมิ การเรยี นฟสิ กิ ส์เพ่ิมเติม ชั้น ม.4-6 เลม่ 3.
กรุงเทพมหานคร : เดอะบุคส์.

ชว่ ง ทมทติ ชงค์ และคณะ. (ม.ป.ป.). ตะลยุ โจทยข์ ้อสอบฟสิ ิกส์ ม.5 เล่มรวมเทอม 1-2.
กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทไฮเอ็ดพบั ลชิ ชิ่ง.

ธรี ศานต์ ปรงุ จิตวิทยาภรณ์. (ม.ป.ป.). ฟสิ กิ ส์ ม.5 เล่ม 2 ฉบับศึกษาดว้ ยตนเอง. นนทบุรี :
ธรรมบัณฑิต.

ศกึ ษาธิการ, กระทรวง. (2553). แนวปฏบิ ัตกิ ารวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ตามหลกั สตู ร
แกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานพุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พช์ ุมนุม
สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด.
. (2553). หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพส์ หกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด.

ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. (2550). หนงั สือเรยี นสาระการเรยี นรู้
พื้นฐานและเพ่มิ เตมิ ฟิสกิ ส์ เลม่ 2. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์คุรสุ ภา.
. (2554). หนงั สอื เรยี น รายวิชาเพ่ิมเติม ฟิสกิ ส์ เล่ม 3. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์
ครุ ุสภาลาดพรา้ ว
. (2554). คูม่ อื ครู รายวชิ าเพิ่มเตมิ ฟิสกิ ส์ เล่ม 3. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ครุ ุ
สภาลาดพร้าว

Jewett, Jr. J. W. and Serway, R. A. ( 2004). Physics for Scientists and Engineers
with PhysicsNOW and InfoTrac. Six edition. Thomson Brooks/Cole.

30

ชดุ การสอ3น1ท่ี 7
เร่ือง การบีตและคลืน่ นง่ิ ของเสยี ง

ภาคผนวก

31

ชดุ การสอ3น2ท่ี 7
เรื่อง การบตี และคลน่ื นิ่งของเสียง

เร่อื ง การบตี และคลน่ื นิง่ ของเสียง

ข้อ เฉลยก่อนเรยี น เฉลยหลังเรียน

1. ค. ง.

2. ง. ค.

3. ค. ข.

4. ข. ง.

5. ง. ค.

6. ก. ค.

7. ข. ง.

8. ค. ง.

9. ค. ก.

10. ง. ข.

เพือ่ น ๆ เกง่ มากครับ

32

ชดุ การสอ3น3ท่ี 7
เร่ือง การบตี และคลนื่ น่ิงของเสยี ง

เรอื่ ง การบตี และคลื่นน่งิ ของเสยี ง

คาชแ้ี จง ให้นักเรยี นศกึ ษากิจกรรมที่กาหนดใหแ้ ละปฏิบัติตามกิจกรรมพร้อมบันทกึ ผลการทา
กจิ กรรมในบัตรกิจกรรม

ตอนท่ี 1 กิจกรรม เรื่อง การเกดิ บีตของเสียง

จดุ ประสงคก์ ิจกรรม เพื่อให้นักเรียนสามารถ
1. ศกึ ษาผลของการซอ้ นทับระหว่างคลื่นเสยี งจากแหลง่ กาเนดิ เสยี ง 2 แหล่งท่มี ีความถต่ี ่างกัน
เล็กน้อย

ตารางบนั ทกึ ผลกจิ กรรม ( 2 คะแนน ) ผลการทดลอง
กิจกรรม เสยี งดังสม่าเสมอ
จะไดย้ ินเสยี งทีด่ ังและค่อยสลับกัน
เสียงท่ไี ด้ยนิ จากแหล่งกาเนิดเสยี งแหล่งเดยี ว
เสยี งที่ไดย้ ินจากแหลง่ กาเนดิ เสียง 2 แหลง่

แนวการตอบคาถามท้ายกิจกรรม ( 1 คะแนน )
เสียงที่ได้ยินจากแหล่งกาเนิดเสียงแหล่งเดียวกับเสียงท่ีได้ยินจากแหล่งกาเนิดเสียงสองแหล่ง
ทีม่ ีความถี่ตา่ งกันเลก็ น้อย แตกต่างกันอยา่ งไร
เสียงท่ีไดย้ นิ จากแหลง่ กาเนดิ เสียงแหล่งเดียว จะเป็นเสียงดังสม่าเสมอต่อเนื่องกัน ส่วนเสียงที่ได้ยิน
จากแหล่งกาเนดิ เสียงสองแหลง่ ท่ีมีความถ่ตี ่างกันเลก็ นอ้ ยจะเป็นเสยี งทด่ี งั และค่อยสลับกันเป็นจังหวะ
คงตัว

แนวการสรปุ ผลการทากจิ กรรม ( 2 คะแนน )
1. เสียงท่ีได้ยินจากแหล่งกาเนิดเสียงสองแหล่งท่ีมีความถี่ต่างกันเล็กน้อยจะเป็นเสียงท่ีดังและค่อย
สลบั กันเปน็ จงั หวะคงตวั
2. การท่ีได้ยินเสียงจากแหล่งกาเนิดสองแหล่งที่มีความถ่ีต่างกันเล็กน้อยเป็นเสียงดังค่อยสลับกัน
เรยี กวา่ การบีตของเสียง

33

ชดุ การสอ3น4ท่ี 7
เรื่อง การบตี และคล่ืนนง่ิ ของเสียง

ตอนท่ี 2 กจิ กรรม เรอื่ ง คลน่ื น่งิ ของเสียง ผลการทดลอง
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เพอ่ื ให้นักเรียนสามารถ จะได้ยนิ เสยี งท่ีดังและค่อยสลบั กัน
1. ศึกษาคลื่นนง่ิ ของเสยี ง

ตารางบันทึกผลกิจกรรม ( 1 คะแนน )

กจิ กรรม
เสยี งท่นี กั เรียนไดย้ ินจากการรับฟังเสยี ง ณ
ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ระหวา่ งลาโพงกบั พ้ืนโต๊ะ

แนวการตอบคาถามท้ายกิจกรรม ( 2 คะแนน )
เสียงท่ีนกั เรียนไดย้ นิ จากการรับฟังเสยี ง ณ ตาแหน่งต่าง ๆ ระหว่างลาโพงกบั พน้ื โตะ๊ มีความดัง
เทา่ กนั หรอื ไม่ อย่างไร
แนวการตอบ ไมเ่ ท่ากนั จะได้ยนิ เสียงดงั และค่อยสลับกนั

แนวการสรปุ ผลการทากิจกรรม ( 2 คะแนน )
1. เสียงดังและเสียงคอ่ ยท่ตี าแหน่งต่าง ๆ ระหว่างพ้นื โต๊ะกับลาโพงน้ันเกิดจากการซ้อนทับของเสียงที่
ออกจากลาโพงกับเสียงที่สะท้อนจากพื้นโต๊ะ ทาให้เกิดปรากฎการณ์การแทรกสอดมีลักษณะ
เป็นคล่ืนน่ิง
2. ตาแหน่งท่ไี ดย้ นิ เสียงดังมีการแทรกสอดแบบเสริมและตาแหน่งน้ันจะเป็นปฏิบัพของความดัน ส่วน
ตาแหนง่ ท่เี สียงคอ่ ยจะมีการแทรกสอดแบบหักลา้ งและตาแหนง่ น้นั จะเป็นบัพของความดัน
3. ขณะที่เกิดคลื่นนิ่งของเสียง ระยะระหว่างบัพของความดันคู่หน่ึงที่อยู่ถัดกันมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่ง
ของความยาวคล่นื เสียง

34

ชุดการสอ3น5ท่ี 7
เรอื่ ง การบีตและคลนื่ นิ่งของเสยี ง

เรอื่ ง การบตี และคลืน่ นิง่ ของเสียง

คาชแ้ี จง ข้อละ 1 คะแนน

1. จงอธบิ ายหลกั การเกิดบีตของคลืน่ เสยี ง
แนวการตอบ บีตเกดิ จากการซ้อนทบั ระหวา่ งคลื่นเสียงจากแหล่งกาเนิด 2 แหล่งที่มีความถ่ีไม่เท่ากัน
เสียงท่ีได้ยินจากแหล่งกาเนิดเสียงสองแหล่งท่ีมีความถี่ต่างกันเล็กน้อยจะเป็นเสียงท่ีดังและค่ อย
สลบั กันเป็นจงั หวะคงตัว

2. ปฏบิ พั ของความดนั คืออะไร
แนวการตอบ ตาแหน่งท่ีไดย้ ินเสียงดงั เพราะมีการแทรกสอดแบบเสริมกัน

3. บัพของความดนั คอื อะไร
แนวการตอบ ตาแหน่งที่ไดย้ ินเสยี งค่อย เพราะมีการแทรกสอดแบบหักล้างกัน

4. ปฏบิ ัพของการกระจัดคืออะไร
แนวการตอบ เป็นตาแหนง่ ท่ีโมเลกุลของอากาศมีการส่ันมากทสี่ ดุ

5. บพั ของการกระจัดคอื อะไร
แนวการตอบ เป็นตาแหนง่ ท่ีโมเลกุลของอากาศมีการสน่ั น้อยท่สี ดุ

6. ระยะห่างระหว่างบพั ทอี่ ยู่ชดิ กนั มีคา่ ระยะห่างระหวา่ งปฏบิ พั ท่ีอยชู่ ดิ กันมีคา่ เท่าใด

แนวการตอบ λ
2

7. ระยะห่างระหว่างปฏบิ พั กับบัพที่อยู่ชิดกันมีคา่ เทา่ ใด
แนวการตอบ λ

2

35

ชดุ การสอ3น6ท่ี 7
เรื่อง การบีตและคลื่นนิ่งของเสียง

8. ไวโอลนี สองตวั ความถ่ี 438 และ 440 เฮิรตซ์ ถ้าสีไวโอลนี ทั้งสองพร้อมกัน จะเกิดปรากฏการณ์
ใดของเสียง
แนวการตอบ เกิดปรากฏการณ์การบีตของเสยี ง โดยคล่นื เสยี งจากไวโอลีนท้ังสองตวั มคี วามถ่ีต่างกนั
ไมเ่ กิน 7 เฮิรตซ์ เมอื่ ซอ้ นทับกนั จะทาใหไ้ ดย้ นิ เสยี งดงั และค่อยสลับกนั เป็นจังหวะคงตัว
9. เรือลาหนึ่งกาลังแล่นเข้าหาหน้าผา กัปตันเรือเปิดหวูดส่งสัญญาณเสียงด้วยความถี่คงตัว
โดยสัญญาณอย่างต่อเน่ือง เพราะเหตใุ ดผฟู้ ังบนเรือจึงได้ยนิ เสียงบตี
แนวการตอบ ขณะที่เรือเคลื่อนท่ีเข้าหาหน้าผาพร้อมกับเปิดหวูดท่ีให้คล่ืนเสียงต่อเนื่องเสียงจึง
เคลอ่ื นท่ีไปสะทอ้ นท่หี นา้ ผากลับมาสู่เรืออีก ขณะเดียวกันน้ันผู้ฟังท่ีอยู่บนเรือจะได้ยินเสียงสะท้อนที่
เคล่ือนที่เข้ามาทาให้เสียงสะท้อนมีความถ่ีปรากฏมากกว่าเดิม และเสียงหวูดท่ีสะท้อนกลับกับเสียง
หวูดเดิมเกิดการซ้อนทบั กัน ทาใหเ้ กิดคลนื่ เสยี งรวมเปน็ เสยี งบตี ดงั น้ันผู้ฟังท่ีอยู่บนเรือจึงได้ยินเสียง
บีต
10. ถ้าตอ้ งการไดย้ นิ เสียงดงั เป็นจงั หวะ ดังและค่อย ทุก ๆ 1/3 วนิ าที จงหาวา่ จะตอ้ งเปิด
แหล่งกาเนดิ เสยี ง 500 เฮิรตซ์ พร้อมกบั แหล่งกาเนดิ เสียงความถี่เทา่ ใด
แนวการตอบ จากสูตร ความถี่บตี = f1 – f2

= 500 – f2
= 500±3
= 497 เฮิรตซ์ และ 503 เฮิรตซ์
ดังนน้ั จะต้องเปิดแหล่งกาเนิดเสยี ง 500 เฮริ ตซ์ พร้อมกับแหล่งกาเนดิ เสยี งความถี่ 497 เฮิรตซ์
และ 503 เฮิรตซ์

36

ชดุ การสอ3น7ที่ 7
เรื่อง การบีตและคลื่นนง่ิ ของเสียง

เรอ่ื ง การบตี และคล่นื นง่ิ ของเสียง

ตอนท่ี 1 ข้อละ 1 คะแนน
ขอ้ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10.

คาตอบ D F E C A I J G B H

ตอนท่ี 2 ขอ้ ละ 2.5 คะแนน

1. ลาโพงเสียง 2 ตัวสง่ เสียงความถี่ 500 เฮิรตซ์และ 504 เฮิรตซ์ ออกมาพร้อมกนั เราจะได้ยนิ

เสยี งบีตความถเี่ ท่าใด

แนวการตอบ จากสูตร fb = f1 – f2

= 500 – 504

= 500 – 504

= -4

= 4 เฮิรตซ์

ดังน้ัน เราจะได้ยนิ เสยี งบีตความถ่ี 4 เฮริ ตซ์

2. นักดนตรีคนหน่ึงเลน่ ไวโอลีน ความถี่ 507 เฮริ ตซ์ และนักดนตรีอีกคนหนงึ่ เลน่ กตี ารค์ วามถ่ี

512 เฮริ ตซ์ ถ้าทั้งสองคนเล่นพรอ้ มกนั จะเกดิ ปรากฏการณ์บตี ท่คี วามถเี่ ทา่ ใด

แนวการตอบ จากสูตร fb = f1 – f2

fb = 507 – 512

fb = -5
= 5 เฮิรตซ์

ดังนั้น ถา้ ทัง้ สองคนเลน่ พรอ้ มกันจะเกิดปรากฏการณบ์ ีตที่ความถี่ 5 เฮิรตซ์

37

ชุดการสอ3น8ท่ี 7
เรือ่ ง การบีตและคลื่นนงิ่ ของเสียง

แบบบันทึกแบบทดสอบกอ่ น - หลังเรยี น

ชอื่ ...........................สกลุ .........................ชนั้ ............เลขท่.ี ......

กระดาษทดสอบกอ่ นเรยี น กระดาษทดสอบหลังเรยี น ง.
ขอ้ ก. ข. ค. ง. ข้อ ก. ข. ค.
1. 1.
2. 2.
3. 3.
4. 4.
5. 5.
6. 6.
7. 7.
8. 8.
9. 9.
10. 10.

8 - 10 คะแนน เกณฑ์การประเมิน ดี
5 - 7 คะแนน ระดบั คุณภาพ 3 หมายถึง พอใช้
นอ้ ยกวา่ 5 คะแนน ระดับคุณภาพ 2 หมายถงึ ควรปรับปรุง
ระดบั คุณภาพ 1 หมายถึง
ประเมนิ ผล หลงั เรยี น
คะแนนเต็ม สรุปผลการประเมนิ 10
คะแนนทไ่ี ด้ กอ่ นเรียน
ระดบั คุณภาพ 10

38

ชดุ การสอ3น9ท่ี 7
เรอื่ ง การบีตและคลื่นนง่ิ ของเสียง

แบบบันทึกผลการประเมนิ ดา้ นความรู้

ผบู้ นั ทกึ ( ) ครู ( ) นกั เรียน ( ) อน่ื ๆ.......................................

คาชี้แจง ให้สมาชกิ ในกลุ่มแจ้งคะแนนของแบบทดสอบหลงั เรยี น บตั รกิจกรรม บตั รคาถาม บตั รฝึก
ทักษะของตนเอง ให้ผ้รู ายงานบันทึกผลลงในแบบบนั ทึกน้ี

ช่ือ – สกลุ บัตร การประเมนิ ดา้ นความรู้ แบบทดสอบ รวม
กิจกรรม บัตร บตั ร หลงั เรียน ( 40
(10คะแนน) คาถาม ฝกึ ทกั ษะ (10 คะแนน) คะแนน)
(10คะแนน) (10 คะแนน)

ลงชื่อ............................................ผู้บนั ทกึ
.................../................./...................

เกณฑก์ ารตดั สินการผา่ นดา้ นความรู้

บตั รคาถาม / บตั รกจิ กรรม บัตรคาถาม บัตรฝึกทักษะ แบบทดสอบ
แบบทดสอบ หลงั เรียน
ร้อยละ 70 ร้อยละ 70 ร้อยละ 70
ผา่ น รอ้ ยละ 70 ขน้ึ ไป ขนึ้ ไป ขึน้ ไป
ข้นึ ไป

39

ชุดการสอ4น0ท่ี 7
เรอ่ื ง การบตี และคล่นื นิ่งของเสยี ง

40


Click to View FlipBook Version