รายงานวิช วิ า ภาษาเพื่อการสื่อสารสำ หรับครู เรื่อ รื่ ง ทักษะการเขียน เสนอ อาจารย์อับดุลกอนี เต๊ะมะหมัด จัดทำ โดย นางสาวอัสมะ ดาโอ๊ะ 642445050 นางสาวอามีเนาะ มะและ 642445054 นางสาวอูบัยดะห์ แวหะมะ 642445060 นางสาวฮัสลีซา โต๊ะมะ 642445063 นางสาวซากีเราะห์ แยนา 642445073 รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิช วิ า ED2401-108 ภาษาเพื่อการสื่อสารสำ หรับครู ภาคเรีย รี นที่ 2 ปีการศึกษา 2567 มหาวิท วิ ยาลัยฟาฏอนี
คำ นำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชวิา ภาษาเพื่อการสื่อสารสำ หรับครู โดยมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่อรื่งทักษะการเขียน ทั้งนี้ ใน รายงานฉบับนี้มีเนื้อหาซึ่งประกอบด้วยเกี่ยวกับ ความหมายของการเขียน ความสำ คัญของการเขียน วัตวัถุประสงค์ของการเขียน ลักษณะการเขียนที่ดี การเขียนประเภทต่างๆ หลักในการเขียน และสรุปเนื้อหาของทักษะการเขียน ผู้จัดหวังวัเป็นอย่างยิ่งรายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยว กับทักษะการเขียนไม่มากก็น้อย หากรายงานเล่มนี้มีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ผู้จัดทำ นางสาวอัสมะ ดาโอ๊ะ และคณะ ก
สารบัญ เรื่อรื่ง หน้า คำ นำ ก ความหมายของการเขียน ความสำ คัญของการเขียน วัตวัถุประสงค์ของการเขียน ลักษณะการเขียนที่ดี การเขียนประเภทต่างๆ หลักในการเขียน สรุปทักษะการเขียน 1 2 3-6 7 7-8 9 10 อ้างอิง 11
ความหมายของการเขียน การสื่อสารของมนุษย์มีพัฒนาการมาโดยลำ ดับ จากการส่งสารด้วยการพูดและรับสารด้วย การฟังมาสู่การส่งสารด้วยการเขียนและรับสารด้วยการอ่าน ซึ่งเกิดเมื่อมนุษย์ได้รังสรรค์ ตัวอักษรขึ้นมาใช้แทนเสียงในภาษา ในยุคของการสื่อสารไร้พรมแดนการเขียนยิ่งมีบทบาท และความสำ คัญมาแทนที่การพูดมากขึ้น ขณะที่การอ่านก็มีบทบาทและความสำ คัญแทน การฟังมากขึ้นเช่นกัน หากแต่การพัฒนาความสามารถทางการใช้ภาษาโดยการเขียนเป็น เรื่อรื่งยาก แม้ในระดับอุดมศึกษา นักศึกษาก็ยังคงต้องได้รับการพัฒนาการเขียนอย่างต่อ เนื่องไปอีก ท่านผู้รู้ได้กล่าวว่าว่การเขียนเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ความเป็นศาสตร์ของการ เขียนอยู่ที่การมีกฎเกณฑ์หรือรืไวยากรณ์ที่ปราชญ์ได้กำ หนดขึ้นซึ่งสามารถเรียรีนรู้และฝึกฝน ได้ ส่วนด้านความเป็นศิลป์ของการเขียนก็คือความประณีตในการเลือกสรรถ้อยคำ มาใช้ เพื่อสื่อความหมาย การรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำ สำ นวน โวหาร และลีลาต่าง ๆ ล้วนก่อให้เกิด ความงามขึ้นในภาษาเขียนและทำ ให้ภาษาเขียนแตกต่างจากภาษาพูด ทั้งนี้บุคคลย่อม สามารถเรียรีนรู้และฝึกฝนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามการฝึกฝนการเขียนควรเริ่มริ่ต้นจากความ เป็นศาสตร์คือรู้กฎเกณฑ์หรือรืไวยากรณ์เป็นพื้นฐานเบื้องต้นก่อน ต่อเมื่อมีพื้นฐานหรือรืหลัก การดีแล้วจึงค่อยแต่งเติมเพื่อความเป็นศิลป์เข้าไปในการเขียนซึ่งจะสามารถทาได้โดยไม่ ยาก และหากสามารถฝึกฝนไปได้พร้อม ๆ กันทั้งศาสตร์และศิลป์ก็นับว่าว่เป็นเรื่อรื่งที่ดีที่สุด ความหมายของการเขียน การให้คำ จำ กัดความแสดงความหมายของการเขียนนั้นอาจมีความแตกต่างไปได้หลายทาง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทัศนะและเจตนาตามแง่มุมของวัตวัถุประสงค์และความสำ คัญในการเขียนที่ แตกต่างกันออกไปของแต่ละบุคคล ดังตัวอย่างที่ยกมาต่อไปนี้ “การเขียน คือ วิธีวิธีการสื่อความหมายที่เป็นผลผลิตทางความคิด จากความรู้ ของผู้ส่งสาร แสดงออกมาทางลายลักษณ์อักษรภาษาไทย” (ประภาศรี สีหอาไพ, 2527) “การเขียน เป็นผลผลิตของกระบวนการคิด การอ่าน การฟัง เช่นเดียวกับการ พูด ฉะนั้น ผู้ที่จะเขียนได้ดีย่อมต้องรู้จักคิด มีวิจวิารณญาณในการอ่านและการฟัง” (อวยพร พานิช, 2543) “การเขียน เป็นกระบวนการใช้ภาษาในภาคแสดงออก ซึ่งต้องสั่งสมความรู้ และความคิดนามาเรียรีบเรียรีงเป็นเรื่อรื่งราวให้ผู้อื่นเข้าใจได้ เป็นทักษะขั้นสุดท้ายที่ยากและ ซับซ้อนที่สุดในกระบวนการสื่อสารทางภาษา” (รังสรรค์ จันต๊ะ, 2441) จากนิยามของผู้เขียน 3 ท่าน ข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นถึง ความเกี่ยวข้องของ ทักษะการเขียนในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสื่อสารทางภาษา เป็นผลผลิตที่เป็นลายลักษณ์อักษร จากกระบวนการคิด การอ่านและการฟัง ซึ่งมีความ ยากและซับซ้อน สำ หรับนิยามความหมายของ การเขียน ที่ให้ความหมายครอบคลุมค่อนข้าง ชัดเจนนั้น กองเทพ เคลือบพณิชกุล ได้ประมวลจากนิยามซึ่งผู้รู้หลายท่านได้เขียนไว้ก่ว้ ก่อน แล้ว ความว่าว่ 1
“การเขียน คือทักษะการใช้ภาษาชนิดหนึ่ง เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด จินตนาการ ประสบการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งอารมณ์และความรู้สึกกับข่าวสาร เป็นการสื่อสารหรือรืสื่อความ หมายโดยมีตัวหนังสือตลอดจนเครื่อรื่งหมายต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์แทนถ้อยคาในภาษาพูด เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตามความมุ่งหมายของผู้เขียน การเขียนจึงเป็นทักษะที่มีหลักฐานถาวร ปรากฏอยู่นาน และการเขียนจะเกิดผลดีหรือรืผลเสียนั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อหาและ กลวิธีวิธีการเขียนของผู้เขียน” (กองเทพ เคลือบพณิชกุล, 2542) 1. ช่วยถ่ายทอดและบันทึกข้อมูล : การเขียนช่วยให้เราสามารถถ่ายทอดข้อมูลและความคิด ของเราได้ในรูปแบบของตัวหนังสือหรือรืข้อความ ทำ ให้ข้อมูลสามารถถูกจดจำ และนำ ไป ใช้ได้ในอนาคต 2. ช่วยพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์ : การเขียนช่วยให้เราฝึกฝนทักษะการวิเวิคราะห์และคิด เชิงตรรกะ เพื่อสร้างความเข้าใจและการวิเวิคราะห์ที่เป็นระบบ นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้าง อารมณ์ การแสดงออกความรู้สึก และการแสดงออกเรื่อรื่งราว 3. ช่วยสร้างความเข้าใจ : การเขียนช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาและปัญหาได้ลึกซึ้งขึ้น โดยการ เขียนเราจะต้องศึกษาและวิเวิคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อนำ เสนอให้เข้าใจได้ตรงกับ เนื้อหา 4. ช่วยอธิบาย : การเขียนช่วยให้เราสามารถอธิบายเรื่อรื่งราวหรือรืความคิดได้อย่างชัดเจน และเป็นระบบ โดยมีขั้นตอนการอธิบายที่เป็นระเบียบ 5. ช่วยเล่าเรื่อรื่ง : การเขียนช่วยให้เราสามารถเล่าเรื่อรื่งให้ผู้อ่านได้ยินถึงความรู้สึก ความตื่น เต้น หรือรืความสำ เร็จของเรื่อรื่งราว ทำ ให้เรื่อรื่งราวมีความสมจริงริและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การเขียนมีสำ คัญมากทั้งในการถ่ายทอดข้อมูล พัฒนาความคิดและสร้างความเข้าใจ อธิบายเนื้อหา และเล่าเรื่อรื่งให้ผู้อื่นได้เข้าใจและเกิดความสนใจ ความสำ คัญของการเขียน 2
วัตวัถุประสงค์ของการเขียน การเขียนเพื่อแจ้งให้ทราบ เป็นการใช้การเขียนเพื่อสื่อสารข้อมูลหรือรืเหตุการณ์ให้คน อื่นทราบ โดยมักจะมีวัตวัถุประสงค์เพื่อแจ้งข่าวสารหรือรืข้อมูลที่สำ คัญ อันที่จริงริการ เขียนแบบนี้สามารถใช้ในหลากหลายสถานการณ์ เช่น: 1. **ประกาศข่าวสาร**: เช่น ประกาศเหตุการณ์สำ คัญ เชิญชวนการเข้าร่วมกิจกรรม หรือรืแจ้งข่าวสารใหม่ เช่น ประกาศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในองค์กร หรือรืการประชุม ทางอินเทอร์เน็ต. 2. **การแจ้งเตือน**: เช่น การแจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น แจ้งเตือนภัย พิบัติธรรมชาติ หรือรืการแจ้งเตือนเกี่ยวกับประเด็นที่สำ คัญ เช่น การแจ้งเตือนเกี่ยวกับ เครื่อรื่งบินที่ล่าช้า. 3. **การรายงานผล**: เช่น การรายงานผลการทดลอง การวิจัวิจัย หรือรืผลการดำ เนินงาน ของโครงการ เพื่อให้คนอื่นทราบถึงผลลัพธ์ที่ได้. 4. **การแจ้งข่าวสารส่วนตัว**: เช่น การแจ้งเพื่อแจ้งความสำ คัญหรือรืข้อมูลส่วนตัว เช่น การแจ้งเปลี่ยนแปลงที่อยู่ที่ติดต่อ หรือรืการแจ้งการเดินทาง. การเขียนเพื่อแจ้งให้ทราบมีความสำ คัญมากในการสื่อสารอย่างชัดเจนและเป็นระเบียบ เพื่อให้คนที่ได้รับข้อมูลเข้าใจได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ โดยส่วนใหญ่จะใช้ภาษาที่กระชับ และชัดเจนเพื่อลดความสับสนในการตีความและเพิ่มความเข้าใจให้กับผู้อ่าน การเขียนเพื่อขอร้อง เป็นการใช้การเขียนเพื่อขอความกรุณาหรือรืการสนับสนุนจาก บุคคลหรือรืองค์กรอื่น ๆ โดยมักจะแสดงความต้องการอย่างชัดเจนและเน้นให้เห็นถึง เหตุผลหรือรืสาเหตุที่ต้องการให้ความกรุณา นี่คือบางตัวอย่างของการเขียนเพื่อขอร้อง: 1. **การขอบริจริาค**: เช่น การเขียนจดหมายหรือรือีเมลขอร้องบริจริาคเงินหรือรืสิ่งของเพื่อ สนับสนุนโครงการหรือรืกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีเจตจำ นงทางสังคม เช่น การระดมทุนสำ หรับ การช่วยเหลือผู้ป่วยหนักหรือรืสถานสงเคราะห์. 2. **การขอรับบริกริาร**: เช่น การเขียนจดหมายหรือรือีเมลขอร้องขอบริกริารจากหน่วยงาน หรือรืบุคคลอื่น ๆ เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือ เช่น การขอรับทุนการศึกษา, การขอรับการ บริกริารทางการแพทย์, หรือรืการขอรับความช่วยเหลือในการดำ เนินการธุรกิจ. 3
3. **การขอความกรุณา**: เช่น การขอร้องความกรุณาให้ผู้อื่นทำ บางสิ่งเพื่อประโยชน์ส่วน ตนหรือรืส่วนรวม เช่น การขอความกรุณาให้ช่วยเรื่อรื่งการเข้าถึงข้อมูล, การขอความกรุณา ให้ช่วยในการดำ เนินการทางกฎหมาย, หรือรืการขอความกรุณาให้ช่วยในการแก้ไขปัญหา. การเขียนเพื่อขอร้องมักจะต้องเน้นการใช้ภาษาที่สุภาพและเห็นถึงความต้องการหรือรืความ จำ เป็นของเรื่อรื่งที่ขอร้องอย่างชัดเจน เพื่อให้คนที่ได้รับข้อความเข้าใจและสามารถตอบ สนองตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม การเขียนเพื่อยืนยัน เป็นการใช้การเขียนเพื่อยืนยันหรือรืยืนยันข้อมูลหรือรืข้อความที่ถูก ต้องและเชื่อถือได้ เช่น เมื่อต้องการยืนยันการจองหรือรืการทำ ธุรกรรมต่าง ๆ นี่คือบาง ตัวอย่างของการเขียนเพื่อยืนยัน: 1. **การยืนยันการจอง**: เช่น การส่งอีเมลหรือรืข้อความยืนยันการจองโรงแรมหรือรืตั๋ว เครื่อรื่งบิน เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าว่การจองของพวกเขาได้รับการยืนยันแล้ว และให้ข้อมูลเพิ่ม เติมเกี่ยวกับรายละเอียดการจอง. 2. **การยืนยันการชำ ระเงิน**: เช่น การส่งอีเมลหรือรืข้อความยืนยันการชำ ระเงินสำ หรับ การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์หรือรืการชำ ระค่าบริกริาร โดยระบุจำ นวนเงินที่ชำ ระและวิธีวิธีการชำ ระ เงิน. 3. **การยืนยันการลงทะเบียน**: เช่น การส่งอีเมลหรือรืข้อความยืนยันการลงทะเบียน สำ หรับการสมัครสมาชิกในเว็บว็ ไซต์หรือรืบริกริารออนไลน์ โดยระบุข้อมูลที่ลงทะเบียนและขั้น ตอนการเข้าใช้บัญชีผู้ใช้. 4. **การยืนยันการส่งเอกสาร**: เช่น การส่งอีเมลหรือรืข้อความยืนยันการส่งเอกสารหรือรื ข้อมูลทางด้านบัญชี โดยระบุว่าว่เอกสารหรือรืข้อมูลได้ถูกส่งไปยังที่ที่เป้าหมายอย่างถูกต้อง. การเขียนเพื่อยืนยันจะต้องเน้นความชัดเจนและเห็นถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ตามความ ต้องการของผู้รับข้อความ และอาจต้องระบุรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อความหรือรืข้อมูล ที่ได้รับการยืนยันให้แม่นยำ และชัดเจนมากที่สุด 4
การเขียนเพื่อโน้มน้าว เป็นการใช้การเขียนเพื่อชักจูงหรือรืโน้มน้าวให้คนอื่นทำ ตามที่ เราต้องการ โดยใช้เหตุผลหรือรืวิธีวิธีการที่เชื่อถือได้ เพื่อเรียรีกร้องความสนใจหรือรื สนับสนุนในเรื่อรื่งที่เราต้องการ นี่คือบางตัวอย่างของการเขียนเพื่อโน้มน้าว: 1. **การโฆษณา**: เป็นการใช้ภาษาเชื่อมั่นและมั่นใจในสินค้าหรือรืบริกริาร เพื่อโน้มน้าวผู้ อื่นให้ซื้อหรือรืใช้สินค้าหรือรืบริกริารนั้น ๆ เช่น การโฆษณาสินค้าด้วยข้อความที่ชัดเจนและ เชื่อถือได้ เพื่อสร้างความสนใจและกระตุ้นการซื้อ. 2. **การเชิญชวน**: เป็นการใช้ภาษาเชิญชวนเพื่อโน้มน้าวให้คนอื่นเข้าร่วมกิจกรรมหรือรื งานต่าง ๆ เช่น การเชิญชวนเพื่อร่วมงานเลี้ยง, การเชิญชวนเพื่อร่วมกิจกรรมการกุศล, หรือรืการเชิญชวนเพื่อร่วมงานสังสรรค์. 3. **การประชาสัมพันธ์**: เป็นการใช้การเขียนเพื่อโน้มน้าวสื่อมวลชนหรือรืสาธารณะทั้ง โดยตรงและอ้อม ๆ เพื่อเรียรีกร้องความสนใจหรือรืสนับสนุนเกี่ยวกับเรื่อรื่งหรือรืปัญหาที่ ต้องการ โดยใช้ข้อมูลหรือรืเหตุผลที่มีนัยสำ คัญ. การเขียนเพื่อโน้มน้าวมักจะใช้ภาษาที่มั่นใจ มีเหตุผลและเป็นกลาง เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อมั่นและ รับฟังเรื่อรื่งที่เราต้องการโน้มน้าวได้อย่างเหมาะสม การเขียนเพื่อสอบถาม เป็นการใช้การเขียนเพื่อขอข้อมูลหรือรืคำ ถามเกี่ยวกับเรื่อรื่งหรือรื สถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือหรือรืความเข้าใจเพิ่มเติม นี่คือบางตัวอย่างของ การเขียนเพื่อสอบถาม: 1. **การสอบถามข้อมูล**: เป็นการใช้การเขียนเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อรื่งหรือรืสถานการณ์ที่ ต้องการความช่วยเหลือ เช่น การสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดสินค้า, การสอบถามเกี่ยวกับ การทำ งานของบริกริาร, หรือรืการสอบถามเกี่ยวกับขั้นตอนการดำ เนินงาน. 2. **การขอคำ แนะนำ **: เป็นการใช้การเขียนเพื่อขอคำ แนะนำ หรือรืคำ แนะนำ เกี่ยวกับเรื่อรื่ง หรือรืปัญหาที่ต้องการแก้ไข เช่น การขอคำ แนะนำ เกี่ยวกับการเลือกซื้อสินค้า, การขอคำ แนะนำ เกี่ยวกับการเรียรีน, หรือรืการขอคำ แนะนำ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทางชีวิตวิ. 3. **การสอบถามความเข้าใจ**: เป็นการใช้การเขียนเพื่อสอบถามความเข้าใจหรือรืคำ อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อรื่งหรือรืสถานการณ์ที่ไม่เข้าใจอย่างชัดเจน เช่น การสอบถามความ หมายของคำ ในข้อความ, การสอบถามคำ อธิบายเกี่ยวกับกระบวนการทางวิชวิาการ, หรือรื การสอบถามคำ อธิบายเกี่ยวกับนโยบายหรือรืกฎระเบียบ. การเขียนเพื่อสอบถามควรเน้นความชัดเจนและกระชับ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับข้อความเข้าใจและ สามารถตอบสนองตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม 5
การเขียนเพื่อร้องเรียรีน เป็นการใช้การเขียนเพื่อแสดงความไม่พอใจหรือรืการร้อง เรียรีนเกี่ยวกับปัญหาหรือรืสถานการณ์ที่ไม่พอใจ เป็นการสื่อสารทางการเขียนเพื่อ ให้ผู้รับข้อความเข้าใจถึงปัญหาและต้องการให้มีการแก้ไขหรือรืการแก้ตัว นี่คือบาง ตัวอย่างของการเขียนเพื่อร้องเรียรีน: 1. **การร้องเรียรีนบริกริาร**: เป็นการใช้การเขียนเพื่อแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับ บริกริารที่ได้รับ เช่น การร้องเรียรีนเกี่ยวกับการบริกริารลูกค้าที่ไม่เพียงพอ, การร้องเรียรีน เกี่ยวกับความไม่สะอาดในสถานที่บริกริาร, หรือรืการร้องเรียรีนเกี่ยวกับความไม่พอใจใน การจัดส่งสินค้า. 2. **การร้องเรียรีนสินค้าหรือรืบริกริาร**: เป็นการใช้การเขียนเพื่อแสดงความไม่พอใจ เกี่ยวกับคุณภาพของสินค้าหรือรืบริกริาร เช่น การร้องเรียรีนเกี่ยวกับสินค้าที่มีตำ หนิ, การร้องเรียรีนเกี่ยวกับบริกริารที่ไม่ตรงกับความสัมพันธ์, หรือรืการร้องเรียรีนเกี่ยวกับการ โฆษณาที่เที่ยงตรง. 3. **การร้องเรียรีนเกี่ยวกับการกระทำ ไม่เหมาะสม**: เป็นการใช้การเขียนเพื่อแสดง ความไม่พอใจเกี่ยวกับการกระทำ ที่ไม่เหมาะสมหรือรืไม่เพียงสมควร เช่น การร้องเรียรีน เกี่ยวกับพฤติกรรมของพนักงาน, การร้องเรียรีนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ์ของผู้บริโริภค, หรือรืการร้องเรียรีนเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมในการให้บริกริาร. การเขียนเพื่อร้องเรียรีนควรมีการใช้ภาษาที่สุภาพและเชื่อถือได้ โดยการระบุปัญหา อย่างชัดเจนและเสนอวิธีวิธีการแก้ไขที่เป็นสิ่งที่คาดหวังวัได้ 6
ลักษณะการเขียนที่ดี มีลักษณะดังนี้ 1. การเขียนให้สะอาด เรียรีบร้อย ลายมือชัดเจน อ่านง่าย เข้าใจง่าย 2. เขียนสะกด การันต์ วรรณยุกต์ให้ถูกต้อง 3. ควรเขียนให้ได้ใจความดี ชัดเจน ไม่กำ กวม เข้าใจยาก 4. ใช้ภาษาง่าย ๆ สั้นกะทัดรัด ได้ความดี ไม่เขียนเยิ่นเย้อ ฟุ่มฟุ่เฟือยเกินจำ เป็น 5. ใช้ภาษาให้ถูกแบบแผนการใช้ภาษา หลีกเลี่ยงใช้คำ หรือรืสำ นวนมาปะปนกับ ภาษา ต่างประเทศหรือรืภาษาที่ใช้ในสื่อมวลชน 6. ใช้ถ้อยคำ ที่สุภาพ ไพเราะ เหมาะสม มีความหมายดี ไม่ใช้คำ ที่ต่ำ กว่าว่ มาตรฐาน หรือรืใช้ภาษาเขียนปนภาษาพูด 7. การเขียนที่ดีต้องมีมารยาท มารยาทการเขียนมีดังนี้ - รักษาความสะอาดเป็นระเบียบเรียรีบร้อยในการเขียนทุกครั้ง - เขียนให้อ่านง่าย ชัดเจน อย่าเขียนหวัดวัจนเกินไป - เขียนให้ถูกหลักการเขียน มีย่อหน้า เว้นว้วรรค ช่องไฟให้เหมาะสม - ใช้ถ้อยคำ สำ นวนสุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้สำ นวนหยาบโลน หรือรืภาษาสื่อมวลชน - เขียนสะกด การันต์ วรรณยุกต์ให้ถูกต้อง - ผู้เขียนมีความรับผิดชอบ เขียนด่าว่าว่ ใคร หรือรืเขียนใส่ร้ายคนอื่น - ไม่ควรเขียนเลอะเทอะตามผนัง กำ แพง เสาไฟฟ้า ที่สาธารณะต่าง ๆ ลักษณะการเขียนที่ดี การเขียนประเภทต่างๆ แบ่งการเขียนเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะของงานเขียน ดังนี้ 1. การเขียนเชิงวิชวิาการ 2. การเขียนเพื่อการสื่อสาร 3. การเขียนเชิงสร้างสรรค์ 1. การเขียนเชิงวิชวิาการ เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิดเห็น ทัศนคติ ฯลฯ ของผู้เขียนในเรื่อรื่งใดเรื่อรื่งหนึ่ง อย่างมีระบบ แล้วนำ มาเรียรีบเรียรีงเป็นข้อความที่มีการอ้างอิงอย่างน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น : การเขียนบทความ การเขียนหนังสือราชการ 7
2. การเขียนเพื่อการสื่อสาร การเขียนเพื่อการสื่อสาร คือ การที่ผู้ส่งสารมี เจตนาถ่ายทอดความคิดไปยังผู้รับ สาร แล้ว ต้องการให้ผู้รับสารเกิดปฏิกิริยริาตอบสนอง หรือรืเกิดความเข้าใจใกล้ เคียง สอดคล้องกับ เจตนาของตน ทักษะการเขียนเป็นส่วนส าคัญที่ท าให้การ สื่อสารของมนุษย์มีหลักฐาน การสร้างสรรค์งานเขียน ตัวอย่างเช่น: การเขียนประวัติวั ติย่อในการสมัครงาน, การเขียนจดหมายกิจธุระ, การเขียนโครงงาน, การเขียนรายงานวิชวิาการ, การเขียนรายงานการประชุม 3. การเขียนเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การเขียนที่แสดงความรู้ ความคิด และจินตนาการ โดยถ่ายทอด อารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดอันเกิดจากประสบการณ์เดิม รวมกับประสบการณ์ ใหม่ ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรที่มีถ้อยคําสละสลวย ถูกต้อง เหมาะสมกับรูป แบบและเรื่อรื่งราว ซึ่ง ผู้เขียนสามารถเขียนอย่างมีอิสระทางความคิด เป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้เขียน งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ประเภทร้อยแก้ว เช่น นิทาน เรื่อรื่งสั้น นวนิยาย เป็นต้น 2. ประเภทร้อยกรอง เช่น บทกวีต่วีต่างๆ เป็นต้น การเขียนเรื่อรื่งเชิงสร้างสรรค์ให้น่าอ่าน ผู้เขียนต้องหมั่นสังเกตสนใจในสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว และมีความคิดสร้างสรรค์ 8
หลักในการเขียน การเขียนที่ดี คือ ต้องเขียนสื่อสารได้ตรงตามหลักจุดประสงค์ สามารถถ่ายทอด ความรู้ ความคิด และอารมณ์ใส่ลงไปในงานเขียนได้อย่างครบถ้วน หลักการเขียนทั่วไปมีดังนี้ 1. เขียนรูปคำ ให้ถูกต้อง ไม่ให้มีคำ ที่เขียนผิด เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความ หมายได้ตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ 2. ใช้คำ ให้ตรงความหมาย คำ ในภาษาไทยบางคำ มีหลายความหมาย ทั้งความหมายตรงและ ความหมายแอบแฝง ผู้เขียนจะต้องศึกษาเรื่อรื่งการใช้คำ ให้ดีก่อนจะลงมือเขียน 3. การใช้คำ ตามระดับบุคคล คำ ในภาษาไทยมีหลายระดับการใช้ จึงควร ใช้คำ ให้ถูกต้องตามระดับ ของบุคคล ได้แก่ บุคคลที่ต่ำ กว่าว่บุคคลที่เสมอกัน และบุคคลที่อาวุโวุสกว่าว่ 4. เรียรีบเรียรีงคำ เข้าประโยคถูกต้อง สละสลวย โดยผู้เขียนต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในโครงสร้างประโยค ซึ่งมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ - เขียนให้ถูกต้องตามรูปประโยค - ไม่ใช้รูปประโยคภาษาต่างประเทศ - ไม่ใช้คำ ฟุ่มฟุ่เฟือย 5.ศึกษาการเขียนประเภทต่างๆ แล้วเขียนให้ถูกต้องตามรูปแบบ รวมทั้ง จะต้องศึกษาข้อมูลการเขียน ให้ถูกต้อง ชัดเจน 6.การตรวจทาน เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ผู้เขียนควรอ่านทบทวน ตรวจสอบ ความสละสลวยของคำ เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้เกิดงานเขียนที่ดี 9
สรุปทักษะการเขียน 10 การเขียนเป็นเครื่อรื่งมือถ่ายทอดความคิดของมนุษย์อย่างหนึ่ง ซึ่งการจะเขียนงานให้ ออกมาดีจะต้องเรียรีนรู้ สั่งสมประสบการณ์ ฝึกฝนจนเกิดความชำ นาญ จนกระทั่ง สามารถถ่ายทอดความคิดออกมาได้เหมาะสมกับผู้อ่านและบรรลุจุดประสงค์ของการ เขียน การเขียนเป็นทักษะที่ใช้น้อยและยากกว่าว่ทักษะอื่นๆ ( ฟัง พูด อ่าน เขียน) การเขียนที่ดี คือการสามารถเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจกระจ่าง ผู้เขียนต้องมีความรู้และศิลปะในการ ถ่ายทอด
อ้างอิง https://thaiforcommunication.weebly.com www.trueplookpanya.com http://www.thaischool.in.th https://elfhs.ssru.ac.th http://www.pasasiam.com 11