มงคลสูต สู รคำ ฉันท์
ประวัติผู้แต่ง ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการถวาย พระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า "สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า" ซึ่งหมายถึงนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ และใน พ.ศ. 2515 พระองค์ได้รับ การยกย่องจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ให้ทรงเป็น 1ใน5 นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของไทย ผลงาน พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์งานประพันธ์หลายประเภท เช่น บทละคร บทความ สารคดี นิทาน นิยาย เป็นต้น บทพระราชนิพนธ์หลายเรื่องยังได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของ วรรณคดีหรือเป็นหนังสือที่แต่งดี อาทิ หัวใจนักรบ เป็นยอดบทละครพูดร้อยแก้ว มัทนะพาธาเป็นยอด ของบทละครพูดคำ ฉันท์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 =
O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O O ตัวอย่าง ฉบังก็พองานศรี ตามแผนผังมี งามแบบยุบลกลไก ปรุงแปลงแต่งงามอำ ไพ จำ นวนคำ ได้ เว้นเบาหนักแน่ดูดี จังหวะ วรรคที่ 1-3 :- 2 + 2 + 2 2 + 2 วรรคที่ 3 :- 2 + 2 + 2 อนึ่ง เฉพาะวรรคที่ 1 และ 3 อาจจะ 3 + 3 บ้าง 1 บท มี 3 วรรค วรรคหน้า 2 วรรคหลัง 1 (สดับ รับ ส่ง) วรรคหน้ามี 6 คำ วรรคหลัง 4 คำ รวม 1 บท มี 16 คำ ( 6 + 4 + 6) การส่งสัมผัส คำ ที่ 6 วรรคที่ 1 ส่งสัมผัสไปยังวรรคที่ 2 คำ ที่ 4 คำ ที่ 6 วรรคที่ 3 ส่งสัมผัสไปยัง วรรคที่ 1 คำ สุดท้ายของบทถัดไป (สัมผัสระหว่างบท) ลักษณะคำ ประพันธ์ มงคลสูตรคำ ฉันท์แต่งด้วยคำ ประพันธ์กาพย์ฉบัง 16 และอินทรวิเชียรฉันท์ 11 แทรกด้วยคาถาภาษาบาลี กาพย์ฉบัง 16 แผนผัง
1 บท มี 2 บาท 1 บาท มี 2 วรรค คือ วรรคหน้า 5 คำ วรรคหลัง 6 คำ (คำ ในบทประพันธ์ หมายถึง การเปล่ง เสียงครั้งหนึ่งๆ หรือ พยางค์) รวม 1 บท มี 4 วรรค ลักษณะบังคับ สัมผัสนอก สัมผัสใน : ไม่บังคับ แต่ถ้ามีสัมผัสในจะทำ ให้มีความไพเราะเพิ่มขึ้น การส่งสัมผัส + คำ สุดท้ายวรรคที่ 1 ส่งสัมผัสไปยัง คำ ที่ 3 วรรคที่ 2 + คำ สุดท้ายวรรคที่ 2 ส่งสัมผัสไปยังคำ สุดท้าย วรรคที่ 3 + คำ สุดท้ายวรรคที่ 4 ส่งสัมผัสไปยังคำ สุดท้าย วรรคที่ 2 บทถัดไป (สัมผัสระหว่างบท) การออกเสียง - คำ ครุ ครุ (หนัก) คำ ในตำ แหน่งครุ ต้องลงเสียงหนัก - คำ ลหุ ลหุ (เบา) คำ ในตำ แหน่งลหุ ไม่ต้องลงน้ำ หนัก (ถึงแม้ว่าคำ นั้นจำ เป็นคำ ครุ เมื่ออยู่ในตำ แหน่งลหุ ก็ต้องออกเสียงเบา) อินทรวิเชียรฉันท์11 อ่านว่า อิน – ทฺระ – วิ –เชียน – ฉัน – สิบ – เอ็ด * เดิม ทฺระ เคยอ่าน ทะ – ระ หมายถึง ฉันท์ที่มีลีลางดงามประดุจสายฟ้า ซึ่งเป็นอาวุธของพระอินทร์ ใช้แต่งบรรยายเนื้อความเรียบ ๆ พรรณนาความเศร้าโศก และใช้ชม ความงามต่างๆ
ุ ุ ุ ุ ุ ั ั ั ั ั ั ุ ุ ุ ุ ั ั ั ั ั ั ั ุ ุ ุ ุ ั ั ั ั ั ั ั ุ ุ ุ ุ ุ ั ั ั ั ั ั ตัวอย่าง วิมลมนัสผ่อง บ มิหมองหทัยใส ปัญญาลุชาญชัย สุรสิทธิปรีชา สามารถฉลาดนัก วรลักษณ์สุเมธา ประกอบสุกิจจา อติการสมานใจ จังหวะ ทุกบาท :- 2 + 3 3 + 3 อินทรวิเชียรฉันท์11 = แผนผัง
มงคลสูตรคำ ฉันท์ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว มีเนื้อหาว่าด้วยมงคล ๓๕ อันเป็นพระสูตร หนึ่งในพระไตรปิฎก พระสุตตันปิฎก ขุมทกนิกาย หมวดขุททกปาฐะ คำ ว่ามงคล หมายถึง เหตุแห่งความเจริญก้าวหน้า และสูตร หมายถึง คำ สอน ในพระพุทธศาสนา มงคลสูตรจึงหมายความว่า พระธรรมหรือคำ สอนใน พระพุทธศาสนาที่จะนำ มาซึ่งความสุขและความ เจริญก้าวหน้า ความเป็นมา จุด จุ มุ่งหมาย เพื่อให้ตระหนักว่าสิริมงคลจะเกิดแก่ผู้ใดก็เพียงผลมาจากการปฏิบัติของตนทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใด จะทำ ให้เกิดสิริมงคลแก่เราได้ นอกจากตัวเราเอง =
1. การไม่คบคนพาล บาลี : อเสวนา จ พาลานํ (อะเสวะนา จะ พาลานัง) ความหมาย : ไม่คบผู้ที่ชักจูง ไปในทางที่ผิด และโง่เขลาเบาปัญญา เพราะมีแต่จะทำ ให้ชีวิตเสื่อม 2. การคบบัญฑิต บาลี : ปณฑิตานญฺจ เสวนา (ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา) ความหมาย : คบผู้มีความรู้ ความคิดที่ดี การปฏิบัติตนที่ดี เพื่อจะได้รับการชี้แนะแต่เรื่องอันเป็นมงคล 3. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา บาลี : ปูชา จ ปูชนียานํ (ปูชา จะ ปูชะนียานัง) ความหมาย : การเชิดชูผู้ ประพฤติดี และผู้มีพระคุณ เป็นการลดทิฐิของตนเอง ไม่สักการบูชาในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล 4. การอยู่ในถิ่นอันสมควร บาลี : ปฏิรูปเทสวาโส จ (ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ) ความหมาย : พาตัวเองไป อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี แวดล้อมไปด้วยบัณฑิตทั้งทางโลก และทางธรรม 5. การเคยทำ บุญมาก่อน บาลี : ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา (ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา) ความหมาย : ฝึก ชำ ระล้างจิตใจ สั่งสมอานิสงส์ ความดี ความสุข ทุกการกระทำ ส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคต 6. การตั้งตนชอบ บาลี : อตฺตสมฺมาปณิธิ จ (อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ) ความหมาย : วางตนอย่างเหมาะ สมในการดำ รงชีพ และประกอบสัมมาอาชีพ 7. ความเป็นพหูสูต บาลี : พาหุสจฺจญฺจ (พาหุสัจจัญจะ) ความหมาย : เป็นผู้ที่สดับรับฟังมาก จึงมี ความรู้ มีปัญญา ในการคิดแก้ปัญหาต่างๆ อย่างถูกวิธี มงคล 38 ประการ (1-7)
8. การรอบรู้ในศิลปะบาลี : สิปฺปญฺจ (สิปปัญจะ)ความหมาย : มีความรู้ในการใช้มือปฏิบัติการงานต่างๆ สามารถประกอบวิชาชีพได้ ชีวิตไม่อับจน 9. การมีวินัยที่ดีบาลี : วินโย จ สุสิกฺขิโต (วินะโย จะ สุสิกขิโต)ความหมาย : ปฏิบัติตนตามระเบียบ และกฎ เกณฑ์ของสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น 10. การกล่าววาจาอันเป็นสุภาษิตบาลี : สุภาสิตา จ ยา วาจา (สุภาสิตา จะ ยา วาจา)ความหมาย : พูดดี ไม่ เหลวไหล เปล่งวาจาอันเป็นมงคล ทั้งทางโลกและทางธรรม 11. การบำ รุงบิดามารดาบาลี : มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ (มาตาปิตุอุปัฏฐานัง)ความหมาย : เลี้ยงดูบิดา มารดา กล่าวยกย่องสรรเสริญผู้มีพระคุณ เป็นมงคลชีวิตที่ทำ ให้เจริญก้าวหน้า 12. การสงเคราะห์บุตรบาลี : ปุตฺตสงฺคโห (ปุตตะสังคะโห) แยกมาจาก ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห (ปุตตะทารัสสะ สังคะโห)ความหมาย : เลี้ยงดูบุตรให้ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี ได้รับการศึกษา บำ เพ็ญตนเป็นประโยชน์ ต่อสังคม 13. การสงเคราะห์ภรรยาบาลี : ทารสงฺคโห (ทาระสังคะโห)ความหมาย : เลี้ยงดูภรรยาให้ดี กล่าวยกย่อง ไม่ดูหมิ่น สร้างความมั่นคงให้ครอบครัว 14. การทำ งานไม่ให้คั่งค้างบาลี : อนากุลา จ กมฺมนฺตา (อะนากุลา จะ กัมมันตา)ความหมาย : ทำ งานทั้งทาง โลก และทางธรรมให้สำ เร็จสมบูรณ์ ไม่เห็นแก่ตัว และประโยชน์ส่วนตน มงคล 38 ประการ (8-14)
15. การให้ทานบาลี : ทานญฺจ (ทานัญจะ)ความหมาย : ฝึกจิตให้เป็นผู้มีความเสียสละ ลดความเห็นแก่ตัว ไม่ทุจริตในสิ่งของที่ไม่ชอบธรรม 16. การประพฤติธรรมบาลี : ธมฺมจริยา จ (ธัมมะจะริยา จะ)ความหมาย : ปฏิบัติตามหลักธรรมคำ สอน ของพระพุทธเจ้า ยกระดับจิตใจให้สูงด้วยศีล และธรรมะ 17. การสงเคราะห์ญาติบาลี : ญาตกานญฺจ สงฺคโห (ญาตะกา นัญจะ สังคะโห)ความหมาย : ให้ความช่วย เหลือญาติพี่น้องตามกำ ลัง สงเคราะห์ญาติเมื่อเดือดร้อน 18. การทำ งานที่ไม่มีโทษบาลี : อนวชฺชานิ กมฺมานิ (อะนะวัชชานิ กัมมานิ)ความหมาย : ทำ งานหาเลี้ยงตน โดยต้องเป็นงานที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดประเพณี และศีลธรรมอันดี 19. การละเว้นจากบาปบาลี : อารตี วิรตี ปาปา (อาระตี วิระตี ปาปา)ความหมาย : บาปคือสิ่งที่ไม่ดี ไม่เป็น มงคล ทำ แล้วรู้สึกไม่สบายใจ สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น 20. สำ รวมจากการดื่มน้ำ เมาบาลี : มชฺชปานา จ สญฺญโม (มัชชะปานา จะ สัญญะโม)ความหมาย : ดื่มของ มึนเมาแล้วไม่สามารถควบคุมตนได้ ย่อมนำ มาซึ่งการเสียทรัพย์ เสียสติสัมปชัญญะ 21. การไม่ประมาทในธรรมทั้งหลายบาลี : อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ (อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ)ความหมาย : เป็น ผู้มีสติพร้อม ไม่ประมาท ไม่หุนหันพลันแล่น ปฏิบัติตนในทางที่ดี มงคล 38 ประการ (15-21)
22. การมีความเคารพบาลี : คารโว จ (คาระโว จะ)ความหมาย : ให้ความเคารพในบุคคลที่ควรแก่การ เคารพ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ผู้คนจะสรรเสริญ 23. การมีความถ่อมตนบาลี : นิวาโต จ (นิวาโต จะ)ความหมาย : มีมารยาท สงบเสงี่ยม ไม่หยิ่งผยองตน จะทำ ให้ไม่เสียคน และไม่เสียมิตร 24. การมีความสันโดษบาลี : สนฺตุฏฺฐี จ (สันตุฏฺะฐี จะ)ความหมาย : พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ไม่น้อยเนื้อ ต่ำ ใจ ยินดีตามกำ ลังทรัพย์ของตน 25. การมีความกตัญญูบาลี : กตญฺญุตา (กะตัญญุตา)ความหมาย : เป็นผู้รู้คุณ รู้จักตอบแทนบุญคุณผู้ที่ มีพระคุณ และมีผู้ที่เมตตาในยามเดือดร้อน 26. การฟังธรรมตามกาลบาลี : กาเลน ธมฺมสฺสวนํ (กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง)ความหมาย : เมื่อมีโอกาสให้ ฟังธรรมะ คิดทบทวนถึงประโยชน์แห่งหลักธรรม แล้วนำ มาใช้ในชีวิตประจำ วัน 27. การมีความอดทนบาลี : ขนฺตี จ (ขันตี จะ)ความหมาย : เป็นผู้มีความอดทนต่อความยากลำ บาก และ อดทนต่อกิเลส และความโลภ 28. การเป็นผู้ว่าง่ายบาลี : โสวจสฺสตา (โสวะจัสสะตา)ความหมาย : เป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ทำ ตัว กลบเกลื่อนความผิดของตน พร้อมปรับปรุงตัว มงคล 38 ประการ (22-28)
29. การได้เห็นสมณะบาลี : สมณานญฺจ ทสฺสนํ (สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง)ความหมาย : สำ หรับผู้ที่อยู่ใน สมณเพศ ต้องเป็นผู้ที่สงบกาย วาจา และใจ 30. การสนทนาธรรมตามกาลบาลี : กาเลน ธมฺมสากจฺฉา (กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา)ความหมาย : แลก เปลี่ยนสาระความรู้กับผู้อื่น พูดด้วยวาจาที่ไม่โอ้อวด และมีความรู้จริงในสิ่งที่พูด 31. การบำ เพ็ญตบะบาลี : ตโป จ (ตะโป จะ) ตบะความหมาย : ฝึกปฏิบัติตนให้กิเลสหมดไป สำ รวมกายใจ ไม่ยึดติดในสัมผัสภายในนอกเกินไป 32. การประพฤติพรหมจรรย์บาลี : พฺรหฺมจริยญฺจ (พรัหมะจะริยัญจะ)ความหมาย : ผู้บวชให้ละเว้นจาก การเสพเมถุน ส่วนฆราวาสให้ยึดปฏิบัติโดยการให้ทาน ช่วยเหลือผู้อื่นตามสมควร และรักษาศีล 33. การเห็นอริยสัจบาลี : อริยสจฺจานทสฺสน (อะริยะสัจจานะทัสสะนะ)ความหมาย : เห็นความจริงอัน ประเสริฐ 4 ประการ คือ อริยสัจ 4 อันเป็นมูลเหตุแห่งการเกิดทุกข์ และวิธีทำ ให้ทุกข์หมดไป 34. การทำ ให้แจ้งซึ่งพระนิพพานบาลี : นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ (นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ)ความหมาย : ปฏิบัติตน ใช้หลักธรรมดับทุกข์ และความไม่สบายใจ ระลึกถึงคุณแห่งพระนิพพาน 35. การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรมบาลี : ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปต (ผุฏฺฐัสสะ โลกะธัม เมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะตะ)ความหมาย : ฝึกจิตใจตนให้ไม่หลงในลาภ ยศ และการสรรเสริญเยินยอ มงคล 38 ประการ (29-35)
มงคล 38 ประการ (36-38) 36. การมีจิตไม่เศร้าโศกบาลี : อโสกํ (อะโสกัง)ความหมาย : การพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ใช้ปัญญาพิจารณาความเศร้า และความอาลัยอาวรณ์ 37. การมีจิตปราศจากกิเลสบาลี : วิรชํ (วิระชัง)ความหมาย : ฝึกปฏิบัติตนให้ห่างไกลจากกิเลส และสิ่งที่ ทำ ให้จิตใจเศร้าหมอง 38. การมีจิตเกษมบาลี : เขมํ (เขมัง)ความหมาย : รักษาไว้ซึ่งสภาพที่มีจิตใจเป็นสุข ละแล้วซึ่งกิเลส ไม่ ยินดีในวัตถุ ในภพ ในอวิชชาทั้งหลาย =
คุณค่า คุณค่าด้านเนื้อหา มงคลสูตรคำ ฉันท์ เป็นวรรณคดีที่มีเนื้อหาเป็นคำ สอนทางพระพุทธศาสนา ว่าด้วยเรื่องของ มงคล ๓๘ ประการ ซึ่งเป็นคำ สอนที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ โดยเน้นที่ “การปฏิบัติด้วยตนเอง” ลำ ดับจากง่ายไป ยาก ถ้าปฏิบัติได้แล้ว จะทำ ให้ชีวิตมีแต่ความก้าวหน้าและผาสุก โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยใดๆ เนื่องจากการ ปฏิบัติด้วยตนเองย่อมมอบความเป็นมงคลที่แท้จริงให้แก่ชีวิต คุณค่าด้านวรรณศิลป์ เนื้อความในมงคลสูตรคำ ฉันท์ แม้จะมีที่มาจากคาถาภาษาบาลีและมีคำ ศัพท์ในทางพระพุทธศาสนา แต่ก็เป็น คำ ที่เข้าใจความหายได้ไม่ยาก เช่น โสตถิ ภควันต์ เป็นต้น นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงสามารถถ่ายทอดและเรียบเรียงเนื้อความเป็น ภาษาไทยได้อย่างเรียบง่าย แต่มีความไพเราะ และสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน คุณค่าด้านวรรณศิลป์ เนื้อความในมงคลสูตรคำ ฉันท์ แม้จะมีที่มาจากคาถาภาษาบาลีและมีคำ ศัพท์ในทางพระพุทธศาสนา แต่ก็เป็น คำ ที่เข้าใจความหายได้ไม่ยาก เช่น โสตถิ ภควันต์ เป็นต้น นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงสามารถถ่ายทอดและเรียบเรียงเนื้อความเป็น ภาษาไทยได้อย่างเรียบง่าย แต่มีความไพเราะ และสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน
ข้อคิด เหตุแห่งความเจริญก้าวหน้าอยู่ที่ความประพฤติของตนและการฝึกอบรมจิตใจตนให้ถูกต้องตามหลักพุทธ ธรรม มิใช่อยู่ที่ผู้อื่น สิ่งอื่น หรือวัตถุโชคลางใดๆที่มาจากภายนอก =
คำ ศัพท์จากเรื่องมงคลสูตรคำ ฉันท์
คำ ศัพท์จากเรื่องมงคลสูตรคำ ฉันท์
คำ ศัพท์จากเรื่องมงคลสูตรคำ ฉันท์ =
น.ส.ปาณิสรา แป้นประโคน ม.413 เลขที่ 22 น.ส.พัณณ์ชิตา กล้าณรงค์ ม.413 เลขที่ 24 น.ส.พิชญ์สิณีกลิ่นจงกล ม.413 เลขที่ 25 น.ส.แพรวา ปริศวงศ์ ม.413 เลขที่ 27 น.ส.ศิริ์กาญจน์ปุณยนิพัทธ์ ม.413 เลขที่ 30 น.ส.ศุภัชญา กวีวัจน์ ม.413 เลขที่ 31 น.ส.สิริยาพร ตระกูลยิ่ง ม.413 เลขที่ 33