การวิจัยในงานอนามัยสิ่งแวดล้อม การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี นางสาวกุลธิดา ประทุมวงศ์ รหัสนักศึกษา 62190240057 นายประภากร เกิดเกรียงไกร รหัสนักศึกษา 62190240280 รายวิชา 1902 408-59 การวิจัยในงานอนามัยสิ่งแวดล้อม ประจำภาคต้น ปีการศึกษา 2565 หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ใบรับรองการวิจัยในงานอนามัยสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม ชื่อเรื่อง การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ชื่อผู้ทำการวิจัย นางสาวกุลธิดา ประทุมวงศ์ รหัสนักศึกษา 62190240057 นายประภากร เกิดเกรียงไกร รหัสนักศึกษา 62190240280 อาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัยในงานอนามัยสิ่งแวดล้อม ..........................................................................อาจารย์ที่ปรึกษา (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปวีณา ลิมปิทีปราการ) ............................................................................กรรมการสอบ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สง่า ทับทิมหิน) ............................................................................กรรมการสอบ (อาจารย์ ดร.ทัศนีย์ เจียรพสุอนันต์) ลิขสิทธิ์ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ก กุลธิดา ประทุมวงศ์ และคณะ [2565]. การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี การวิจัยในงานอนามัยสิ่งแวดล้อม หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม วิทยาลัย แพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัย: ผศ.ดร.ปวีณา ลิมปิทีปราการ คำสำคัญ: คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ก๊าซเรือนกระจก โรงพยาบาล บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) เพื่อประเมิน คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ใช้ข้อมูลปีงบประมาณ 2564 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ข้อมูลกิจกรรมต่างๆ (Activity Data) คูณแฟกเตอร์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factors) แสดงผลในรูปของตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (TonCO2e) และนำเสนอข้อมูลด้วยค่าจำนวนร้อยละ ผลการศึกษา พบว่า การดำเนินงานขององค์กรก่อให้เกิดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด เท่ากับ 1,108.12 TonCO2eq เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานขององค์กรมากที่สุด คือ การใช้ไฟฟ้าของโรงพยาบาลมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 1,093.66 TonCO2eq ต่อปี คิดเป็นร้อย ละ 98.69 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด กิจกรรมที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรองลงมา คือ กิจกรรมประเภทที่ 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 10.29 TonCO2eq ต่อปีคิดเป็นร้อยละ 0.93 สำหรับกิจกรรมประเภทที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม อื่นๆ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด เท่ากับ 4.17 TonCO2eq ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 0.38 ดังนั้นทาง โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีควรกำหนดแนวทางการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่ เกิดขึ้นในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้แก่ การลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าหันไปใช้พลังงานจากธรรมชาติ เช่น พลังงานจากแผงโซล่าเซลล์ ลดการเดินทางด้วยรถส่วนตัวเปลี่ยนมาเดินทางด้วยรถรางของมหาวิทยาลัยใน การเดินทางมายังโรงพยาบาล เป็นต้น
ข Koolthida Prathoomwong et al. [2019]. Assessment of Carbon footprint for the organization of Ubon Ratchathani University Hospital Research in Environmental Health, Bachelor of Science in Environmental Health, College of Medicine and Public Health, Ubon Ratchathani University Advisor: Asst. Prof. Pawena Limpiteeprakan, Ph.D. Keywords: Carbon footprint, Greenhouse gas, Hospital Abstract This study was a cross-sectional descriptive study aimed at assessing the carbon footprint of the organization of Ubon Ratchathani University Hospital. Data Using activity data from records between the fiscal year 2021 and calculated by multiplying with emission factors, showing results in tons of carbon dioxide equivalent (TonCO2eq), and presenting the data by percentage. The results show that the organization's operations generate atotal amount of greenhouse gas (GHG) emissions equal to 1,108.12TonCO2eq. The most indirect GHG emissions from corporate energy use were hospital electricity. The amount of GHG emissions is 1,093.66 TonCO2eq per year, accounting for 98.69% of total GHG emissions. The activities that cause the next GHG emission are Type 1 activities. The organization's direct GHG emissions are equal to 10.29 TonCO2eq per year, representing 0.93% . For Type 3 activities, other indirect GHG emissions released the least GHG emissions equal to 4.17 TonCO2eq per year, equal to 0.38%. Therefore, Ubon Ratchathani University Hospital should set guidelines to reduce the amount of GHG emissions from activities that occur in Ubon Ratchathani University Hospital, namely reducing electricity consumption. Reduce travel by private car to the hospital by changing to travel by university tram, etc.
ค กิตติกรรมประกาศ การทำวิจัยครั้งนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีผู้วิขัยขอขอบคุณวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ทำวิจัยได้ศึกษาค้นคว้า ทั้งด้านวิชาการ และด้านการดำเนินงานวิจัย ผู้ทำวิจัยขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ขอขอบพระคุณ พระคุณอาจารย์กลุ่มวิชาสาธารณสุขศาตร์ อาจารย์ประจำหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม ทุกท่านที่ให้คำอบรมสั่งสอน ให้คำปรึกษา ทั้งในเรื่องการเรียนและการทำวิจัย ขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปวีณา ลิมปิทีปราการ อาจารย์ที่ปรึกษา ที่ให้คำปรึกษาแนะนำ แนวทางที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัย รวมทั้งช่วยตรวจทานและแก้ไขรายงานวิจัยฉบับนี้ให้มีความสมบูรณ์พร้อม ทางด้านวิชาการ ขอขอบพระคุณคณะกรรมการสอบ ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร. สง่า ทับทิมหิน และ อาจารย์ ดร. ทัศนีย์ เจียรพสุอนันต์ที่ให้คำแนะนำต่องานวิจัยฉบับนี้ ขอขอบพระคุณ แพทย์หญิงนวินดา วณิชกุลธาดา ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ที่ให้ความอนุเคราะห์ให้นักศึกษาได้เข้ากเก็บข้อมูลทำวิจัย ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ขอขอบพระคุณ คุณกุลนันทน์ สายบุตร หัวหน้ากลุ่มงานสนับสนุนและการบริการปฐมภูมิคุณชุดาภา มากดี หัวหน้าแผนกเวชกรรมสังคม คุณปิยนุช นันทบุตร ผู้ปฏิบัติงานพยาบาล คุณไอญารินธร อุ้มบุญ เจ้าพนักงาน สุขาภิบาล คุณวงศกร อารยะพงศ์ นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ คุณธัญญาลักษณ์ ถาวร หัวหน้ากลุ่มงานคลัง และพัสดุ และคุณศริยา ภาละกาล นักวิชาการพัสดุปฏิบัติการ ที่ให้การต้อนรับและให้ข้อมูล รวมทั้งคำแนะนำ ต่างๆในการทำวิจัยด้วยดี จนกระทั่งการทำวิจัยครั้งนี้ สำเร็จลุล่วง ผู้ทำวิจัยจึงกราบขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้ กุลธิดา ประทุมวงศ์ และคณะ 27 ธันวาคม ๒๕๖๕
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญตาราง ฉ สารบัญรูปภาพ ช บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ 1 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 2 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 3 1.4 คำจำกัดความที่ใช้ในการวิจัย 3 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ความหมายของก๊าซเรือนกระจก 2 2.2 สถานการณ์และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกและภูมิภาค 6 2.3 การดำเนินการด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย 7 2.4 การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร 9 2.5 ข้อมูลพื้นฐานของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 12 2.6 วิจัยที่เกี่ยวข้อง 16 2.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย 20 บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 3.1 รูปแบบการวิจัย 6 3.2 พื้นที่วิจัย 6 3.3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 6 3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 6 3.5 การตรวจสอบเครื่องมือ 22 3.6 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 23
จ สารบัญ (ต่อ) หน้า 3.7 การวิเคราะห์ข้อมูล 24 บทที่ 4 ผลการศึกษา 4.1 แผนกขององค์กรที่มีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 27 4.2 ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปีงบประมาณ 2564 28 บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย 28 5.2 อภิปรายผล 28 5.3 ข้อเสนอแนะและการนำไปใช้ประโยชน์ 36 5.4 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 37 บรรณานุกรม ภาคผนวก ก แบบบันทึกข้อมูล ข การคำนวณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากระบบบำบัดน้ำเสีย
ฉ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 3.1 ระดับคะแนนอ้างอิงของคุณภาพข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา 22 ตารางที่ 3.2 การวิเคราะห์เชิงคุณภาพของคุณภาพข้อมูล 23 ตารางที่ 4.1 ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 28 ตารางที่ 4.2 ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรแยกตามประเภทกิจกรรมของโรงพยาบาล 31 ตารางที่ 4.3 ผลการประเมินความไม่แน่นอนของข้อมูล 32
ช สารบัญรูปภาพ หน้า รูปที่ 2.1 โครงสร้างองค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 14 รูปที่ 2.2 แผนผังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 15 รูปที่ 2.3แผนผังกระบวนการให้บริการของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 15 รูปที่ 4.1 แผนผังแผนกที่มีการเก็บข้อมูล 22 รูปที่ 5.1 สถิติขยะติดเชื้อของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 35
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ ปัจจุบันปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) นั้นเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ ปัญหาดังกล่าวเกิดจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยสู่ชั้น บรรยากาศมีมากเกินขีดความสามารถในการดูดซับของธรรมชาติ และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นในอนาคต ส่งผลทำ ให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming) มีการคาดการณ์จากนักวิทยาศาสตร์ว่า อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้น ประมาณ 1.4 ถึง 5.6 องศาเซลเซียส ในอีก 100 ปีข้างหน้า สาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะโลกร้อนนั้นเกิดจากการ เพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) จากกิจกรรมการใช้พลังงานของมนุษย์โดยเฉพาะการใช้เชื้อเพลิง ฟอสซิล ได้แก่ การเผาไหม้เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการเผาในภาคการเกษตร ผนวกกับการเพิ่มขึ้นของ ประชากรที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อรองรับการขยายของตัวเมือง โดยก๊าซเรือนกระจกที่ ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศที่สำคัญ ได้แก่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2 ) ก๊าซมีเทน (CH4 ) และก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ซึ่งส่งผลต่อสมดุลพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่แผ่ลงมาสู่พื้นผิวโลก เนื่องจากก๊าซเหล่านี้มีคุณสมบัติในการดัก จับความร้อนจากพื้นผิวโลกไม่ให้สะท้อนกลับสู่อวกาศ และมีการแผ่พลังงานส่วนหนึ่งกลับลงบนพื้นผิวโลกส่งผลให้ พื้นผิวโลกและบรรยากาศชั้นล่างอบอุ่นและร้อนกว่าปกติซึ่งรู้จักในนาม ปรากฏการณ์เรือนกระจก (UNITAR, 2015) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ทำให้ความเข้มข้นของ CO2 ในชั้น บรรยากาศโลกเพิ่มขึ้นจากระดับที่ไม่เคยเกิน 300 ppm มาอยู่ที่ระดับ 409.8 ppm ในปี พ.ศ. 2562 เนื่องจาก ธรรมชาติสามารถดูดซับ CO2 ที่ถูกปล่อยออกมาได้เพียง 60% ประเทศไทยมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกพร้อมกับนานาประเทศ โดยได้กำหนด เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี ค.ศ. 2030 ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP-26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ รัฐบาลไทยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะยกระดับการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ. 2065 โดยภาคอุตสาหกรรมมีการ ปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน,2564)แม้ว่า จะมีปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อ ภาคเศรษฐกิจต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่ในภาคอุตสาหกรรมกลับมีการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ถึงร้อยละ 9.9 เนื่องจากความต้องการซื้อในประเทศและต่างประเทศที่เริ่มขยายตัวในหลายสินค้าหลังจากภาครัฐ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ นอกเหนือจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ก๊าซมีเทน เป็นก๊าซเรือนกระจกอันดับที่ สอง โดย 1 โมเลกุลของมีเทนมีประสิทธิภาพในการดักจับความร้อนได้มากกว่า 1 โมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์ แต่มีเทนที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยายกาศจะคงอยู่ได้เป็นเวลาสั้นกว่าที่ 12 ปีก่อนที่จะค่อยๆ เสื่อมลง เมื่อเทียบกับ
2 คาร์บอนไดออกไซด์ที่จะคงอยู่ในชั้นบรรยากาศได้ยาวนานมากกว่า 100 ปี แหล่งของก๊าซมีเทนมีจากทั้งใน ธรรมชาติอย่างพื้นที่ชุ่มน้ำที่ปล่อยก๊าซมีเทนคิดเป็นร้อยละ 30 ของการปล่อยก๊าซมีเทนในโลก และกิจกรรมของ มนุษย์ที่คิดเป็นร้อยละ 60 ของแหล่งปล่อยก๊าซมีเทน โดยมาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล การย่อยสลายในกอง ภูเขาขยะ การเกษตรกรรมและการปศุสัตว์ ลำดับที่ 3 คือ ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) เกิดจากการย่อยสลายซาก สิ่งมีชีวิตโดยแบคทีเรียตามธรรมชาติแต่ที่มีเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันมาจากอุตสาหกรรมที่ใช้กรดไนตริกในกระบวนการ ผลิต เช่น อุตสาหกรรมผลิตเส้นใยไนลอน อุตสาหกรรมเคมีและพลาสติกบางชนิด เป็นต้น ก๊าซไนตรัสออกไซด์ที่ เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเพิ่มพลังงานความร้อน สะสมบนพื้นผิวโลกประมาณ 0.14 วัตต์/ตารางเมตร นอกจากนั้นเมื่อก๊าซไนตรัสออกไซด์ลอยขึ้นสู่บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ก๊าซจะทำปฏิกิริยากับก๊าซโอโซน ทำให้ เกราะป้องกันรังสีอัตราไวโอเล็ตของโลกลดน้อยลง นอกจากนั้นยังมี ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6 ) ก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) และก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3 ) ที่ จัดเป็นก๊าซเรือนกระจก โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเป็นโรงพยาบาลสังกัดวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีขนาด 120 เตียง จัดตั้งเพื่อรองรับการเตรียมความพร้อมเป็นโรงพยาบาลหลักในการ ฝึกสอนทางคลินิก และเพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขตามความต้องการของภาคอีสานและของ ภูมิภาค มีการให้บริการอาคารผู้ป่วยนอก อาทิตรวจโรคทั่วไป คลินิกเฉพาะทาง บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ บริการตรวจพิเศษต่างๆ ทางรังสีปัจจุบันมีนักศึกษา บุคลากร และบุคคลภายนอกเข้ามารับบริการเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณการใช้ไฟฟ้า น้ำประปา น้ำเสีย และขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิด ก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนได้โดยกรมอนามัยได้กล่าวไว้ว่า สถานบริการสาธารณสุขซึ่ง ให้บริการสาธารณสุขนั้นจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นร้อยละ 3-8 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก (กรมอนามัย, 2563) ดังนั้น ในการทำวิจัยครั้งนี้จึงได้นำแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรมาใช้ใน การประเมินการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกิจกรรมของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งปัจจุบันทาง โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานียังไม่มีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรมาก่อน ข้อมูลที่ได้ สามารถใช้เป็นข้อมูลปีฐานสำหรับใช้เปรียบเทียบกับข้อมูลการประเมินในปีถัดไป และนำไปใช้เป็นแนวทางในการ บริหารจัดการกิจกรรมต่างๆ ของโรงพยาบาลเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมุ่งไปสู่ GREEN & CLEAN HOSPITAL และสามารถใช้เป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานองค์กรอื่น นำไปประยุกต์ใช้ในการประเมินการปล่อย คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรได้ต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.2.1 เพื่อประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นองค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 1.2.2 เพื่อเสนอแนะแนวทางในการลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี
3 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา : ผู้วิจัยได้ระบุกิจกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่สัมพันธ์กับการ ดำเนินงานของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีโดยใช้ข้อมูลกิจกรรมของปีงบประมาณ 2564 ในการ ประเมิน ตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยในการศึกษาครั้งนี้จะประเมินเฉพาะการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กร ไม่รวมการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก 3 ประเภท ประกอบด้วย ประเภทที่ 1 การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางตรง (Direct emissions) ประเภทที่ 2 การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมจากการใช้พลังงานขององค์กร (Energy indirect emissions) ประเภทที่ 3 การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมอื่นๆ (Other indirect emissions) 1.3.2 ขอบเขตด้านเวลา : เดือน เมษายน ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2565 1.4 คำจำกัดความที่ใช้ในการวิจัย 1.4.1 ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases : GHGs) หมายถึง ก๊าซที่เป็นองค์ประกอบของบรรยากาศ โลกห่อหุ้มโลกไว้เสมือนเรือนกระจก ก๊าซเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการรักษาอุณหภูมิของโลกให้คงที่ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) มีเทน (CH4 ) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6 ) ก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) และก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3 ) 1.4.2 คาร์บอนฟุตพริ้นท์(Carbon Footprint) หมายถึง ปริมาณรวมของก๊าซเรือนกระจก ที่ปล่อยออก มากจากผลิตภัณฑ์หรือบริการตลอดวัฏจักรชีวิต จากกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การใช้ไฟฟ้า การใช้เชื้อเพลิงของรถรับส่งผู้ป่วย (Emergency Medical Services: EMS) การเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องจักรของอาคารสถานที่ การ ใช้อุปกรณ์ดับเพลิงประเภทคาร์บอนไดออกไซด์ ปริมาณการใช้กระดาษ ปริมาณการใช้น้ำประปา ปริมาณสารเคมี ที่ใช้ในการซักล้าง การใช้สารทำความเย็นในห้องทำความเย็นเพื่อเก็บรักษาเลือด ขยะของเสียที่เกิดจากกิจกรรม ต่างๆ ภายในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นต้น 1.4.3 ปีฐาน (Base Year) หมายถึง ระยะเวลาที่กำหนดเพื่อจุดประสงค์ในการเปรียบเทียบสถานภาพการ ปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจก ปีงบประมาณ 2564 รวมระยะเวลา 1 ปีตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 - วันที่ 30 กันยายน 2564 1.4.4 การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร หมายถึง การแสดงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น จากกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กรทั้งการผลิตและการบริการขององค์กร ทำให้สามารถจำแนกสาเหตุของการ ปล่อยแก๊สเรือนกระจกที่มีนัยสำคัญขององค์กร และนำไปสู่การกำหนดแนวทางการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อย แก๊สเรือนกระจกขององค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ประเภทกิจกรรม ได้แก่ ประเภทที่ 1 การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางตรงขององค์กร (direct emissions) เป็นการปล่อยคาร์บอนฟุต
4 พริ้นท์ที่เกิดขึ้นโดยตรงจากกิจกรรมต่างๆภายในโรงพยาบาล ประเภทที่ 2 การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อม จากการใช้พลังงานขององค์กร (Energy indirect emissions) เป็นการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เกิดจากการใช้ ไฟฟ้าที่ถูกนำเข้าจากภายนอกเพื่อใช้งานภายในโรงพยาบาล และประเภทที่ 3 การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ทางอ้อมอื่นๆ (Other indirect emissions) เป็นการใช้น้ำประปา การใช้วัสดุขององค์แลวัสดุสิ้นเปลื้อง เช่น กระดาษ และการขนส่งกำจัดขยะขององค์กร ในงานวิจัยนี้จะไม่รวมการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกขององค์กร เนื่องจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งมีกิจกรรมการดูดกลับ ก๊าซที่อยู่นอกขอบเขตบริบทของโรงพยาบาล
บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเพื่อประเมินการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีโดยผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 2.1 ความหมายของก๊าซเรือนกระจก 2.2 สถานการณ์และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกและภูมิภาค 2.3 การดำเนินการด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย 2.4 การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร 2.5 ข้อมูลพื้นฐานของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ความหมายของก๊าซเรือนกระจก ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) หมายถึง ก๊าซที่มีคุณสมบัติในการดูดซับคลื่นรังสีความร้อน หรือ รังสีอินฟาเรดได้ดี ก๊าซเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการรักษาอุณหภูมิในบรรยากาศของโลกให้คงที่ ซึ่งหากบรรยากาศ โลกไม่มีก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศเช่นดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ในระบบสุริยะ จะทำให้อุณหภูมิในตอนกลางวัน นั้นร้อนจัดและในตอนกลางคืนนั้นหนาวจัด เนื่องจากก๊าซเหล่านี้ดูดคลื่นรังสีความร้อนไว้ในเวลากลางวันแล้วค่อยๆ แผ่รังสีความร้อนออกมาในเวลากลางคืนมีก๊าซจำนวนมากที่มีคุณสมบัติในการดูดซับคลื่นรังสีความร้อน และถูกจัด อยู่ในกลุ่มก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีทั้งก๊าซที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ก๊าซเรือนกระจก ที่สำคัญ คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซโอโซน ก๊าซมีเทนและก๊าซไนตรัสออกไซด์ เป็นต้น แต่ก๊าซเรือนกระจกที่ ถูกควบคุมด้วยพิธีสารเกียวโต มีเพียง 7 ชนิด โดยจะต้องเป็นก๊าซที่เกิดจากกิจกรรมมนุษย์เท่านั้น ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) ก๊าซมีเทน (CH4 ) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFC) ก๊าซเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFC) ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6 ) และก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3 ) ทั้งนี้ ยังมีก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง คือสารซีเอฟซี (CFC หรือ Chlorofluorocarbon) ซึ่งใช้เป็นสารทำความเย็นและใช้ในการผลิตโฟม แต่ไม่ถูกกำหนดในพิธีสารเกียวโต เนื่องจากเป็นสารที่ถูกจำกัดการใช้ในพิธีสารมอนทรีออลแล้ว (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก, 2562)
6 2.2 สถานการณ์และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกและภูมิภาค ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการพัฒนาเศรฐกิจตั้งแต่ยุคปฏิวัติ อุตสาหกรรม ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก เช่น อุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น ปริมาณฝนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในฤดูน้ำหลากและน้อยลงในฤดูแล้ง และมีจำนวนวันที่อากาศร้อน เพิ่มขึ้น รวมถึงการเกิดเหตุการณ์รุนแรงต่าง ๆ เช่น คลื่นความร้อน ความแห้งแล้ง น้ำท่วม พายุหมุน และไฟป่า เป็นต้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ สังคม ระบบนิเวศวิทยา และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จาก รายงานประเมินสถานการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับที่ 5 (The Fifth Assessment Report: AR5) ของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) มีข้อค้นพบที่ชัดเจนว่าบทบาทและกิจกรรมของมนุษย์ ได้แก่ จำนวนประชากร กิจกรรมด้านเศรษฐกิจ วิถีการดำเนินชีวิต การใช้พลังงาน การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน เทคโนโลยีที่ทันสมัย และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในระบบภูมิอากาศของ IPCC พบว่าอีก 100 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2556- 2643) อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1.1-6.4 องศาเซลเซียส ในกรณีที่ไม่มีการดำเนินการใดๆ และ คลื่นความร้อนจะเกิดถี่มากขึ้นและระยะเวลายาวนานขึ้น ความรุนแรงของการเย็นลงของอุณหภูมิในฤดูหนาวเป็น ครั้งคราวและต่อเนื่อง รวมทั้งปริมาณฝนที่ตกลงมามีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายภูมิภาคแต่ไม่ มีรูปแบบที่ชัดเจน และค่าเฉลี่ยระดับน้ำทะเลโลกเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีระดับความเสี่ยงและ ความรุนแรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่มีความเปราะบางสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ การมีอุณหภูมิเฉลี่ยใน ภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น 4.8 องศาเซลเซียส ในอีก 100 ปีข้างหน้า จะส่งผลให้มีความถี่ และความรุนแรงของสภาพอากาศสุดโต่ง เช่น คลื่นความร้อน ภัยแล้ง อุทกภัย และพายุโซโคลน เนื่องจากมีพื้นที่ แนวชายฝั่งยาว มีการกระจุกตัวของประชากรและกิจกรรมทงเศรษฐกิจตามพื้นที่ชายฝั่ง และมีสภาพเศรษฐกิจที่ พึ่งพิงเกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และป่าไม้ 2.2.1 สถานการณ์และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย ประเทศไทยมีแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงขึ้นจากกิจกรรมการพัฒนาประเทศจากข้อมูลการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2554 มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 305.52 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์ และ จากการคาดการณ์ปริมาณการปล่อยมีสูงถึง 555 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2573 โดยภาค เศรษฐกิจที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดคือ ภาคพลังงาน รองลงมาคือ ภาคเกษตร กระบวนการ ทางอุตสาหกรรม และของเสีย
7 ประกอบกับการจัดลำดับขององค์กร Germanwatch ระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศ 1 ใน 10 ที่มีความ เสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว และการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศของ ศูนย์ภูมิอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา สรุปว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2559- 2578) ประเทศไทยจะมีอุณหภูมิเฉลี่ย เพิ่มสูงขึ้น และมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยมากกว่า 35 องศาเซลเซียสในช่วงฤดูร้อน ปริมาณน้ำฝนรายปีเฉลี่ยเพิ่มมาก ขึ้น และจำนวนวันฝนตกในช่วงฤดูฝนและการกระจายตัวของฝนเพิ่มขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในแหล่ง น้ำและมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้งและอุทกภัยในบางพื้นที่ ซึ่งกระทบต่อการจัดการน้ำของประเทศในภาคส่วน ต่าง ๆ เช่น ภาคเกษตร และ ภาคเมือง (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก, 2562) 2.3 การดำเนินการด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ในอดีตมีการลงนามในพิธีสารเกียวโต เพื่อเป็นข้อผูกพันทางกฎหมายที่ดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึง เป้าหมายในการรับมือกับสภาวะโลกร้อน แต่พิธีสารเกียวโตมีข้อจำกัดบางประการที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเต็มที่ จึงได้มีการเจรจาข้อตกลงภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่า ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate ChangeUNFCCC) ต่อมาได้มีการจัดประชุมอีกหลายครั้งเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในระดับโลก จนมาถึงการประชุม COP สมัยที่ 21 ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ได้มีข้อตัดสินใจรับรอง "ความตกลงปารีส" (Paris Agreement) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เป็นกรอบความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศระยะยาวที่ทุก ภาคีมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในความตกลงปารีสมี บทบัญญัติรวม 29 มาตรา ครอบคลุมการดำเนินงาน เกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อผลกระทบทางลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การ สนับสนุนทางการเงิน การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี การเสริมสร้างศักยภาพของประเทศกำลังพัฒนา กรอบ การรายงานข้อมูลการดำเนินงานและการให้การสนับสนุนอย่าง โปร่งใส และการทบทวนสถานการณ์และการ ดำเนินงานระดับโลก (Global Stock take) สำหรับประเทศไทยได้ให้สัตยาบันความตกลงปารีสเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559 โดยมีรายละเอียดที่ต้องดำเนินการดังนี้ (1) ประเทศภาคีจะต้องจัดทำเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเป็นเป้าหมายที่แต่ละประเทศกำหนดเองตามความเหมาะสม หรือ ที่เรียกว่า NDCs (Nationally Determined Contributions) มีการทบทวนและเสนอใหม่ทุก 5 ปี และมีการนำเสนอรายงานติดตามประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวอย่างโปร่งใส (2) ประเทศภาคีจะต้องจัดทำและดำเนินการมาตรการภายในประเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานให้ บรรลุเป้าหมาย NDCs ที่ประเทศตนเองได้กำหนดไว้
8 (3) ประเทศภาคีควรจะพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาไปสู่การพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่ำ สร้างความต้านทานและความสามารถในการฟื้นตัวจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่ง สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (4) ประเทศภาคีจะต้องจัดทำแผนการปรับตัวระดับชาติ (National Adaptation Plan : NAP) และ ดำเนินการตามแผนที่จัดทำ (5) ประเทศภาคีจะต้องจัดทำและนำเสนอรายงานแห่งชาติ (National Communications) รายงาน รายสองปี (Biennial Reports) และรายงานความก้าวหน้ารายสองปี (Biennial Update Reports) (6) ประเทศพัฒนาแล้วจะต้องให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการสนับสนุนทางการเงินการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้าง ศักยภาพของประเทศกำลังพัฒนาในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง และมีการติดตามประเมินผลการสนับสนุนดังกล่าว อย่างโปร่งใส (7) ให้มีการประเมินสถานการณ์ดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake) ทุก 5 ปี เพื่อติดตามผลการ ดำเนินงาน และประเมินความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาพรวมทุกมิติ ทั้งการดำเนินงานและการให้การสนับสนุน โดยเฉพาะการประเมินระดับความสำเร็จในการควบคุมการเพิ่มของ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ณ ปลายศตวรรษ ไม่ให้เกิน 2 หรือ 1.5 องศาเซลเซียส (บุญญิศา บัวเผื่อน, 2563) อย่างไรก็ตามประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเปราะบางและมีความเสี่ยงจากผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นในปี 2564 ประเทศไทยจึงได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกภายในปี ค.ศ. 2030 ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP-26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ โดยรัฐบาลไทยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะยกระดับ การดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ. 2065 (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2564) ในปัจจุบันการดำเนินการตามข้อตกลงจากการประชุมในเวทีสหประชาชาติภายใต้อนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามความ เหมาะสมของประเทศกำลังพัฒนา (Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMA) โดยประเทศไทยได้ กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ร้อยละ 7-20 จากระดับการปล่อยกรณีปกติ(Business As Usual: BAU) ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้วยความสมัครใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและ ภาคคมนาคมขนส่ง ใน ปี 2563 ที่เป็นการขับเคลื่อนการดำเนินการโดย ภาครัฐตามศักยภาพของมาตรการจาก
9 นโยบายและเเผน รวมทั้งการพัฒนาระบบ การตรวจวัด การรายงาน และการทวนสอบ (Measurable, Reportable, Verifiable : MRV) ในแต่ละภาคการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงในการมีส่วนร่วม ซึ่งดำเนินการตามข้อตกลงปารีสในการจัดการ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจัดทำข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจก และการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายหลัง พ.ศ. 2563 (NDC) ที่มีความสอดคล้องตาม หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาที่ยั่งยืนและต่อยอดการดำเนินงานในกรอบ NAMA และกำหนด เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ในปี 2573 โดย กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ร้อยละ 20-25 จากกรณีปกติ(ไม่น้อยกว่า 111 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยภาครัฐอาศัยการดำเนินการที่มีการส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยสำนักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภายหลังปี 2563 ในสาขาที่มีความพร้อม ได้แก่ ภาคพลังงานและภาคการขนส่ง มี 9 มาตรการ ได้แก่ 1) การเพิ่มประสิทธิภาพการ ผลิตไฟฟ้า 2) มาตรการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 3) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานใน อุตสาหกรรม 4) มาตรการใช้พลังงานทดแทนในอุตสาหกรรม 5) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานใน ครัวเรือน 6) มาตรการใช้พลังงานทดแทนในครัวเรือน 7) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร 8) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการคมนาคมขนส่ง 9) มาตรการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับ ยานพาหนะ ภาคของเสีย มี 4 มาตรการ ครอบคลุมการจัดการขยะ น้ำเสียอุตสาหกรรมและชุมชน กระบวนการ ทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มี 2 มาตรการ โดยการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีสารทำความเย็นซึ่งจะสามารถลดก๊าซเรือน กระจกได้ 115.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือร้อยละ 20.8 จากกรณีปกติ(องค์การบริหารจัดการ ก๊าซเรือนกระจก, 2562) 2.4 การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization; CFO) คาร์บอนฟุตพริ้นท์หมายถึง ปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการ ดำเนินงานขององค์กร วัดรวมอยู่ในรูปของตันหรือกิโลกรัมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งสามารถ คำนวณได้จากมวลของก๊าซเรือนกระจกและค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การจัดทำคาร์บอนฟุตพ ริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization; CFO) เป็นวิธีการหนึ่งในการแสดงข้อมูลปริมาณ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ปล่อยจากการดำเนินงานขององค์กร เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางบริหารจัดการในการลด การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างมีประสิทธิภาพ
10 2.4.1 คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจาก กิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง การใช้ไฟฟ้า การจัดการของเสีย และการ ขนส่ง หน่วยแสดงปริมาณก๊าซเรือน กระจกที่ถูกปล่อยและดูดกลับขององค์กร การแสดง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยและดูดกลับขององค์กร หรือค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะอยู่ในหน่วย ตันหรือกิโลกรัมของก๊ซเรือนกระจกแต่ละชนิดและรวมอยู่ในหน่วยตัน หรือกิโลกรัมของก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกพิจารณาจาก 3 ส่วนหลัก สามารถแบ่งเป็น SCOPE ดังนี้ SCOPE I: การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางตรง (Direct Emissions) จากกิจกรรม ต่างๆ ขององค์กร โดยตรง เช่น การเผาไหม้ของเครื่องจักร การใช้พาหนะขคงองค์กร (ที่องค์กรเป็นเจ้าของเอง) การใช้สารเคมีในการ บำบัดน้ำเสีย การรั่วซึมหรือรั่วไหลจากกระบวนการหรือกิจกรรม กิจกรรมการเผาไหม้ที่อยู่กับที่ (Stationary combustion ) เช่น การใช้ น้ำมันเบนซินในเครื่องตัดหญ้า การใช้น้ำมันดีเซลผลิตไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สำรอง การใช้การหุงต้มในการประกอบอาหารของโรงครัว (LPG) กิจกรรมการเผาไหม้ที่มีการเคลื่อนที่ (Mobile combustion) เช่น การใช้น้ำมันดีเซลในยานพาหนะของโรงพยาบาล (Diesel) กิจกรรมรักษาพยาบาล เช่น การ ใช้ก๊าซไนตรัสออกไซด์วางยาสลบ (N2O) กิจกรรมซ้อมดับเพลิง เช่น การใช้เชื้อเพลิงซ้อมดับเพลิง (CO2 , Gasoline, LPG) กิจกรรมการใช้ห้องน้ำ เช่น การเกิดการมีเทนจากการใช้ห้องน้ำระบบ Septic Tank (CH4 ) กิจกรรมบำบัด น้ำเสีย เช่น การเกิดการมีเทนจากการบำบัดน้ำเสีย (CH4 ) กิจกรรมที่เกิดขึ้นจากการรั่วไหลอื่นๆ เช่น การใช้ปุ๋ยเคมี ในงานสวน การรั่วไหลของสารทำความเย็นในระบบปรับอากาศและการรั่วไหลของสารทำความเย็นในระบบตู้เย็น ตู้น้ำดื่ม เป็นต้น SCOPE II: การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emissions) ได้แก่ การซื้อพลังงานมาใช้ในองค์กร เช่น พลังงาน ไฟฟ้า พลังงานความร้อน เป็นต้น SCOPE III: การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมด้านอื่นๆ การเดินทางของพนักงานด้วยพาหนะที่ไม่ใช่ ขององค์กรการเดินทางไปสัมมนานอกสถานที่การใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ การใช้น้ำประปา การใช้กระดาษ การกำจัด มูลฝอย เป็นต้น 2.4.2 มาตรฐานการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร การประเมินและรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจกหรือการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรที่ผ่านมามี องค์กรสำคัญที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่ สถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Initiative; WRI) และองค์กรสภานักธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (World Business Council for Sustainable Development; WBCSD) ที่ได้ทำการพัฒนาคู่มือมาตรฐานการเก็บรวบรวมและรายงานผลปริมาณก๊าซเรือน
11 กระจกที่เกิดขึ้นจากองค์กร ซึ่งถือเป็นแนวทางที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรที่เรียกว่า The Greenhouse Gas Protocol โดยอีกหนึ่งองค์กรที่สำคัญที่มีการพัฒนามาตรฐานการประเมินและการ รายงานผลปริมาณก๊าซเรือนกระจกขององค์กร คือ องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (The International Standard Organization; ISO) ซึ่งได้กำหนดมาตรฐาน ISO 14064 ว่าด้วยรายละเอียดของ หลักการและข้อปฏิบัติสำหรับการวิเคราะห์ การติดตาม การรายงานผล และการตรวจสอบเอกสารหรือยืนยันผล ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากองค์กรรวมถึงมาตรฐาน ISO/TR 14069 เป็นมาตรฐานที่อธิบายแนวทาง ปฏิบัติสำหรับการนำมาตรฐาน ISO 14064-1 ไปใช้ไนองค์กรที่อธิบายถึงหลักการแนวคิดและวิธีการที่เกี่ยวข้องกับ การวัดปริมาณและการรายงานผลปริมาณก๊าซเรือนกระจกจาก กิจกรรมทั้งทางตรงและทางอ้อมขององค์กร (กิติกร จามรดุสิต, 2554) 2.4.3 หลักการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Principle of Carbon Footprint Organization) การประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยและดูดกลับจากกิจกรรมขององค์กรหรือค่าคาร์บอนฟุต พริ้นท์ขององค์กรจะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการที่สำคัญ 5 ประการได้แก่ 1. ความตรงประเด็น (Relevance) การใช้ข้อมูลและวิธีการเลือกแหล่งกำเนิด ดูดกลับ กักเก็บ ก๊าซเรือนกระจกที่ตรงกับความจำเป็นในการใช้ งาน โดยต้องเลือกแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก แหล่งดูดกลับก๊าซเรือนกระจก แหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ข้อมูล รวมถึงวิธีการวัดและคำนวณที่เหมาะกับความต้องการกลุ่มเป้าหมาย ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เก็บรวบรวม หรือประเมินได้นั้น ควรที่จะสะท้อนถึงปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นภายในองค์กรหรือ เกี่ยวข้องกับองค์กร และเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่สามารถสนับสนุนการตัดสินใจในการวางนโยบายขององค์กร 2. ความสมบูรณ์ (Completeness) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับก๊าซเรือนกระจกต้องครอบคลุมการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่ทำการเก็บรวบรวมหรือประเมินได้ ควรเป็นปริมาณการปล่อยและ ดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นได้ภายในองค์กร หรือเกี่ยวข้องกับองค์กร 3. ความไม่ขัดแย้งกัน (Consistency) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวมหรือคำนวณปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่ได้ เมื่อ นำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ต้องไม่ขัดแย้งกันต้องมีความสอดคล้องเชื่อมโยงและเทียบเคียงกันได้ 4. ความถูกต้อง (Accuracy) การลดความมีอคติ และความไม่แน่นอนในการรวบรวมหรือคำนวณปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซ เรือนกระจกให้ได้มากที่สุดด้วยวิธีการที่สามารถปฏิบัติได้
12 5. ความโปร่งใส (Transparency) การเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมหรือคำนวณปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่ เพียงพอ และเหมาะสม สามารถตรวจสอบได้เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการตัดสินใจด้วย ความเชื่อมั่นอย่างสมเหตุสมผล ชนิดและหน่วยแสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจก 1. ชนิดของก๊าซเรือนกระจก ก๊าซเรือนกระจกในที่นี้รวมถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2eq) มีเทน (CH4 ) ไนตรัสออกไซด์ (N2O) กลุ่ม ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) กลุ่มเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) ซัลเฟอร์เฮ็กซาฟลูโอไรด์ (SF6 ) และ ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3 ) 2. ค่าศักยภาพทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ค่าศักยภาพทำให้เกิดภาวะโลกร้อนคำนวณได้จากปริมาณก๊าซเรือนกระจกแต่ชนิดที่ปล่อยออกมาและ แปลงค่าให้อยู่ในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยใช้ค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในรอบ 100 ปี ของ Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC (GWP 100) 3. หน่วยแสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยและดูดกลับขององค์กร การแสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยและดูดกลับขององค์กรหรือค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต้องอยู่ใน หน่วยตัน (หรือกิโลกรัม) ของก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิด และรวมอยู่ในหน่วยตัน (หรือกิโลกรัม) ของ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 2.5 ข้อมูลพื้นฐานของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2.5.1 ประวัติความเป็นมาของโรงพยาบาล ในปี พ.ศ. 2534 ในช่วง 1 ปีภายหลังการก่อตั้งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีอธิการบดีผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย อุบลราชธานีได้เห็นถึงความสำคัญว่านักศึกษานอกจากจะต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แล้วยังจำเป็นต้องมีสุขภาพ ร่างกายและจิตใจที่ดีด้วย และเนื่องด้วยมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอวารินชำราบเป็น ระยะทาง 11 กิโลเมตร เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น นักศึกษา บุคลากรและอาจารย์ควรได้รับการปฐมพยาบาลดูแล เบื้องต้นก่อนส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลอื่น ๆ ต่อไป มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจึงได้มีการจัดตั้ง สถานพยาบาลกลางขึ้น สังกัดหน่วยบริการสุขภาพ งานกิจการนักศึกษา กองบริการการศึกษา สำนักงานอธิการบดี โดยแรกเริ่มสถานพยาบาลกลางจัดตั้งอยู่ที่บริเวณชั้นล่างของตึกอเนกประสงค์ มีภาระงานหลักในขณะนั้นในการ ทำหน้าที่เป็นห้องปฐมพยาบาลที่รับผิดชอบในการดูแลสุขภาพนักศึกษา บุคลากรและประชากรพื้นที่โดยรอบ มหาวิทยาลัย ต่อมาในปี พ.ศ.2537 เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่นักศึกษาและบุคลากรที่พักอาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัย
13 จึงได้มีการย้ายสถานพยาบาลกลางดังกล่าวมาอยู่ที่อาคารสถานพยาบาล ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้กับหอพักนักศึกษา และบุคลากรของมหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2547 สถานพยาบาลกลางได้มีการเปลี่ยนสังกัดและย้ายมาอยู่ภายใต้การบริหารงานของ วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข และเปลี่ยนชื่อเป็น "ศูนย์สุขภาพวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการ สาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี" และได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ เป็นหน่วยบริการประจำระดับปฐมภูมิ (PCU) ที่ทำหน้าที่ในการให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไปและอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน เบื้องต้น ในปี พ.ศ. 2554 ผู้บริหารวิทยาลัยแพทย์ฯ ในสมัยนั้นมีความตั้งใจที่จะพัฒนา "ศูนย์สุขภาพวิทยาลัย แพทยศาสตร์และการสาธารณสุข" ให้มีความก้าวหน้าและมีศักยภาพเทียบเท่าโรงพยาบาลของโรงเรียนแพทย์ชั้น นำอื่น ๆในประเทศ จึงร่วมกันจัดทำแผนและดำเนินการพัฒนาโครงการโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีให้ เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนในพื้นที่และเพื่อวางรากฐานสำหรับการเป็นโรงพยาบาล โรงเรียนแพทย์ชั้นนำในพื้นที่ภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนล่างต่อไป ในปี พ.ศ. 2555 จากการดำเนินการของผู้บริหารวิทยาลัยแพทย์ฯ ศูนย์สุขภาพวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้มีการพัฒนาและขยายงานในด้านการบริการทางการแพทย์ที่ หลากหลายมากขึ้น และได้มีการย้ายสถานที่ในการให้บริการเดิมมาที่อาคารกิจกรรมด้านสุขภาพ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ใกล้กับอาคารหอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา โดยเปิดให้บริการทางด้านการตรวจรักษาโรค ทั่วไป อุบัติเหตุ–ฉุกเฉิน ห้องปฏิบัติการเทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด และทันตกรรม รวมทั้งการให้บริการรังสี ภาพทางการแพทย์ที่ศูนย์รังสีวิทยา ในปีต่อมาวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข ได้มีการก่อสร้างอาคาร ศูนย์การศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ เพื่อเตรียมเปิดให้บริการทางการแพทย์ที่มีศักยภาพเทียบเท่าโรงพยาบาล ทั่วไประดับสูงขนาดประมาณ 100 เตียง ซึ่งต่อมาได้ก่อสร้างสำเร็จในช่วงปลายปี พ.ศ. 2560 ในปี พ.ศ. 2561 ได้มีมติจากที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ให้เปลี่ยนชื่อ "ศูนย์สุขภาพวิทยาลัย แพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี" เป็น "โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี" ตาม ประกาศมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เรื่อง การแบ่งส่วนงานภายในที่มีสถานะเทียบเท่าคณะ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ซึ่งได้มีการประกาศ ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561 โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีได้มีการย้ายแผนกตรวจรักษา โรคทั่วไป แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน คลินิกพิเศษต่าง ๆ งานเภสัชกรรมและห้องปฏิบัติการเทคนิคการแพทย์ มาให้บริการที่อาคารผู้ป่วยใน โดยยังคงแผนกกายภาพบำบัด แผนกทันตกรรม และสำนักงานบริหารงานทั่วไป ให้บริการที่อาคารผู้ป่วยนอกจนถึงปัจจุบัน
14 2.5.2 โครงสร้างองค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โครงสร้างองค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีนั้นขึ้นตรงต่อคณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และการสาธารณสุข โดยมีผู้อำนวยการโรงพยาบาล และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการโรงพยาบาลในการช่วยดูแล แบ่งเป็น 4 กลุ่มงาน และ 1 สำนักงาน ประกอบด้วย กลุ่มงานเทคนิคบริการ กลุ่มงานการแพทย์ กลุ่มงานพยาบาล กลุ่มงานสนับสนุนบริการและปฐมภูมิ และสำนักงานโรงพยาบาล ดังแสดงในรูปที่ 2.1 แผนผังโรงพยาบาลดังรูปที่ 2.2 และแผนผังกระบวนการให้บริการ ดังแสดงในรูปที่ 2.3 รูปที่ 2.1 โครงสร้างองค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
15 รูปที่ 2.2 แผนผังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รูปที่ 2.3 แผนผังกระบวนการการให้บริการของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
16 2.6 วิจัยที่เกี่ยวข้อง ไพรัช อุศุภรัตน์ (2557) ได้ทำการศึกษาเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยใช้ข้อมูลของปี พ.ศ.2553 ผลการศึกษาพบว่าปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ทั้งหมด 34,355 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดยแบ่งออกเป็นขอบเขตที่ 1 ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง สารทำ ความเย็น การบำบัดน้ำเสีย การใช้ปุ๋ย (N2O) และขยะเศษอาหาร คิดเป็น 1,693 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ขอบเขตที่ 2 ได้แก่ ไฟฟ้า คิดเป็น 31,271 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยที่กิจกรรมการใช้ไฟฟ้าเป็น กิจกรรมที่ส่งผลต่อการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 91 และขอบเขตที่ 3 ได้แก่ ขวดพลาสติก ใส(น้ำเมโดม) กระดาษ ก๊าซหุงต้ม น้ำประปา น้ำมันเชื้อเพลิง สารเคมีเพื่อการซักล้าง การใช้ปุ๋ย( GHG จาก กระบวนการผลิต) สารทำความเย็น ขยะติดเชื้อ คิดเป็น 1,391 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หากพิจารณา คาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่อจำนวนนักศึกษาจะเท่ากับ 1.62 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อนักศึกษาหนึ่งคน รุ่งทิวา พงษ์อัคคศิรา (2557) ได้ทำการศึกษาเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในศูนย์โรคหัวใจสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของศูนย์โรคหัวใจสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โรงพยาบาลศิริราช ในปีงบประมาณ 2557 วิธีการดำเนินการวิจัยอ้างอิงและปรับปรุงจากแนวทางการประเมิน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกองค์การมหาชน และ The Greenhouse Gas Protocol: A Corporate Accounting and Reporting Standard, Revised edition โ ด ย ข อ บ เ ข ต ดำเนินงาน 3 ขอบเขต คือ การใช้สารเคมีทางการแพทย์ การใช้ไฟฟ้า การเดินทางของบุคลากรการใช้น้ำประปา การใช้กระดาษ A4 และ การเกิดขยะ ผลการวิจัยพบว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทั้งหมด 537 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า ( tCO2e) โดย ขอบเขตที่ 1 คิดเป็น 33 tCO2e ขอบเขตที่ 2 คิดเป็น 395 tCO2e และขอบเขตที่ 3 คิด เป็น 109 tCO2e การใช้ไฟฟ้า ในขอบเขตที่ 2 มีปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากที่สุดถึงร้อยละ 74 รองลงมาเป็น ขอบเขตที่ 3 และขอบเขตที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 20 และร้อยละ 6 ตามลำดับ พรทิวา บริบูรณ์(2558) ได้ทำการศึกษาเรื่องการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแนวทางการลด การปล่อยของโรงพยาบาลโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา พบว่า ในปีงบประมาณ 2557 ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือน กระจกทั้งหมดของโรงพยาบาลโชคชัยเท่ากับ 898.05 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดยปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกจากประเภทที่ 1 เท่ากับ 312.47 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดยกิจกรรมที่มีปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด ได้แก่ การใช้ก๊าซไนตรัสออกไซด์ 119.2 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากประเภทที่ 2 มาจากกิจกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 511.62 คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากประเภทที่ 3 เท่ากับ 73.96 ตัน
17 คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งประเภทที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้ามี ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 56.97 นิตยา ชาคำรุณ (2559) ได้ทำการศึกษาเรื่องการประเมินการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของหอพัก นักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ผลการศึกษาพบว่า กิจกรรมที่มีปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด คือ กิจกรรมการใช้ไฟฟ้าเท่ากับ 305,149.79 kgCO2e คิดเป็นร้อยละ 96.60 ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จากกิจกรรมทั้ง 4 กิจกรรมของหอพัก ซึ่งมีปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของหอพักมหาวิทยาลัย อุบลราชธานีทั้งหมดเท่ากับ 315,886.92 kgCO2e และคิดเป็นปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อนักศึกษา หนึ่งคนเท่ากับ 176.97 kgCO2e ทั้งนี้เมื่อแยกตามหอพัก พบว่า หอพักที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด คือ หอพักลีลาวดี 1 เท่ากับ 89,298.79 kgCO2e และคิดเป็นปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อนักศึกษา หนึ่งคนตามกิจกรรม พบว่า นักศึกษาหนึ่งคนจากกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าของหอพักลีลาวดี 1 จะปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดเท่ากับ 305.10 kgCO2e ต่อบุคคล รองลงมากิจกรรมการกำจัดขยะของหอพักราช พฤกษ์ 1 มีค่าเท่ากับ 5.17 kgCO2e ต่อบุคคล ส่วนกิจกรรมการใช้น้ำ เป็นของหอพักราชพฤกษ์ 1 มีค่าเท่ากับ 3.42 kgCO2e ต่อบุคคล และในกิจกรรมคาร์บอนไดออกไซด์ของหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอุบลราชานีไป ใช้ในการดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าโดยเน้นที่หอพักลีลาวดี 1 เป็นอันดับแรก และโครงการคัดแยกขยะ หรือโครงการธนาคารขยะ รวมทั้งโครงการเกี่ยวกับการประหยัดน้ำโดยเน้นในส่วนของหอพักราชพฤกษ์ 1 วิชญาณี พุทธิพิริยางกูร (2561) ได้ทำการศึกษาเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการลดการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ผลการศึกษาพบว่าในปีการศึกษา 2559 มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีสุรนารีมีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 13,319 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกสูงสุดมาจากกิจกรรมประเภทที่ 2 ซึ่งเป็นการใช้ไฟฟ้าขององค์กรมีค่าเท่ากับ 8,809 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 66 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด รองลงมาคือการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมประเภทที่ 1 และ 3 มีค่าเท่ากับ 3,592 และ 918 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 27 และ 6 ตามลำดับ และการดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์พื้นที่สีเขียว 1,793 ไร่ ของ มหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2559 (ปีฐาน) มีปริมาณเท่ากับ 3,909 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากการเสนอ แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปีการศึกษา 2560,2561,2562 และ 2563 พบว่าการปรับเปลี่ยน เครื่องปรับอากาศสามารถลดได้ 264, 307, 523 และ 622 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่วนการดูดกลับก๊าซ เรือนกระจกของต้นไม้ในพื้นที่สีเขียวมีค่าเท่ากับ 4,923 , 6,151 , 7,581 และ 11,115 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า
18 บุญญิศา บันเผื่อน (2563) ได้ทำการศึกษาเรื่องการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของ บริษัท บีเอ็มที เอเชีย จำกัด ตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) โดยจำแนกเป็น 3 ขอบเขต ได้แก่ ขอบเขตที่ 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง ขอบเขตที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้ พลังงานไฟฟ้า ขอบเขตที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ และประเภทรายงานแยกเพิ่มเติม โดยมี จุดประสงค์เพื่อให้องค์กรใช้เป็นฐานข้อมูลในการวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรและการปล่อยมลพิษสู่สภาวะแวดล้อม และสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นการวางแผนจัดการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต โดยขอบเขตใน การศึกษานี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่เดือน มกราคม ถึงเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2562 ผลการศึกษาพบว่าปริมาณคาร์บอนฟุต พริ้นท์ทั้งหมดเท่ากับ 1,782.54 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดยแบ่งเป็นขอบเขตที่ 1, 2, 3 และประเภท รายงานแยกเพิ่มเติมมีค่าเท่ากับ 49.41, 1,552.19, 166.17 และ 14.77 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เมื่อ วิเคราะห์ในแต่ละขอบเขตพบว่า ขอบเขตที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานขององค์กรมี ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 87.03 รองลงมาเป็นขอบเขตที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือน กระจกทางอ้อมขององค์กร คิดเป็นร้อยละ 9.38 โดยกิจกรรมของขอบเขตที่ 3 ที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกมากที่สุด ได้แก่ การกำจัดขยะอันตราย (เผาในเตาเผา) ขอบเขตที่ 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงของ องค์กร คิดเป็นร้อยละ 2.77 โดยกิจกรรมของขอบเขตที่ 1 ที่มีการปล่อยให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ได้แก่ การใช้น้ำมันดีเซลในยานพาหนะขององค์กร (Diesel) และประเภทที่รายงานแยกเพิ่มเติม ซึ่งมีปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุดจากการรั่วไหลของสารทำความเย็นในระบบปรับอากาศ (R-22) คิดเป็นร้อยละ 0.83 โดยบริษัท บีเอ็มที เอเชีย จำกัด มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการบำบัดของเสีย 1 กิโลกรัม เท่ากับ 0.956 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ภัทราภรณ์ ศรีอภัย (2564) ได้ทำการศึกษาเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร และแนวทางการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ในปีงบประมาณ 2562 เท่ากับ 2,027.82 ตัน CO2eq ต่อปี แบ่งออกเป็นประเภทที่ 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร เท่ากับ 592.97 ตัน CO2eq ต่อปีประเภทที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานขององค์กร เท่ากับ 982 ตัน CO2eq ต่อ ปีประเภทที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ เท่ากับ 271.67 ตัน CO2eq ต่อปีและประเภทที่รายงาน แยกเพิ่มเติม เท่ากับ 181.18 ตัน CO2eq ต่อปีซึ่งประเภทที่ 2 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด คิดเป็นร้อย ละ 48.43 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดรองลงมาเป็นประเภทที่ 1 ร้อยละ 29.24 ประเภทที่ 3 ร้อยละ 13.40 และประเภทที่รายงานแยกเพิ่มเติม ร้อยละ 8.93 ตามลำดับ แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ได้แก่ 1) ขับเคลื่อนการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกิจกรรมอย่าง
19 ต่อเนื่อง 2) บริหารจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบครบวงจร 3) พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และทักษะ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร 4) สื่อสารข้อมูลให้บุคลากรและประชาชนที่มารับบริการทราบ และ 5) ส่งเสริมให้บุคลากรคิดค้นเทคโนโลยีการจัดการและอนุรักษ์พลังงาน สรุปทบทวนวรรณกรรม จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่าผลการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศ อย่างต่อเนื่อง ทำให้จำเป็นต้องมีการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทั้งในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อใช้เป็น ฐานข้อมูลในการวิเคราะห์การใช้ทรัพยากร การปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม และนำไปใช้เพื่อการวางแผนจัดการลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร จะประเมินจากกิจกรรมที่เกิดขึ้น โดยจำแนกออกเป็น 3 ประเภทกิจกรรม ได้แก่ ประเภทที่ 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง ประเภทที่ 2 การ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม และ ประเภทที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ จากงานวิจัยส่วนใหญ่ พบว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมในประเภทที่ 2 จากการใช้พลังงานไฟฟ้าส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือน กระจกมากที่สุด รองลงมาเป็นประเภทที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ ได้แก่ การใช้น้ำประปา การ ใช้กระดาษ การกำจัดขยะทั่วไป (แบบฝังกลบ) การกำจัดขยะอันตราย (เผาในเตาเผา) และประเภทที่ 1 การปล่อย ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ ได้แก่ การใช้น้ำมันในยานพาหนะขององค์กร การใช้น้ำมันในการซ้อมดับเพลิง ห้องน้ำที่มีการใช้ระบบบ่อเกรอะ ตามลำดับ
20 2.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางตรงขององค์กร ได้แก่ การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมจากการใช้พลังงานขององค์กร ได้แก่ การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมอื่นๆ ได้แก่ Input Diesel น้ำเสีย สารเคมี Process การเดินทางภายในและภายนอก ขององค์กรด้วยยานพาหนะ การบำบัดน้ำเสีย ผงซักฟอก, คลอรีนชนิดน้ำ, คลอรีน ชนิดผง Output (Ton CO2e) CO2 , CH4 ,N2O CH4 HFCs Process การใช้ไฟฟ้าของโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีในอุปกรณ์ ต่างๆ Output (Ton CO2e) CO2 Input Diesel, Benzene น้ำประปา กระดาษ การใช้ลิฟท์ ขยะอันตราย ขยะติดเชื้อ Process การเดินทางไปกลับระหว่างองค์กร และที่พัก การใช้น้ำประปา การใช้กระดาษ การใช้งานลิฟท์ของพนักงาน การขนส่งขยะอันตราย, ขยะติดเชื้อ Output (Ton CO2e) CO2 , CH4 ,N2O CO2 CO2 CO2 CO2 , CH4 , N2O Input ไฟฟ้า
บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษาเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มี รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการศึกษา ดังนี้ 3.1 รูปแบบการวิจัย 3.2 พื้นที่วิจัย 3.3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.5 การตรวจสอบเครื่องมือ 3.6 วิธีการเก็บรวมข้อมูล 3.7 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 รูปแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive research) เพื่อ ประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ตามแนวทางการประเมินคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย 3.2 พื้นที่วิจัย โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทั้งนี้ขอบเขตของกิจกรรมที่จะประเมินในอาคารของโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ดังแสดงในรูปที่ 2.2 ในบทที่ 2 3.3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ กิจกรรมภายในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีที่มีการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์โดย ประเมินจากกิจกรรมภายในปีงบประมาณ 2564 (เดือนตุลาคม 2563 ถึง กันยายน 2564) รวมระยะเวลา 1 ปี 3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือแบบสำรวจข้อมูลทุติยภูมิ จากกิจกรรมที่ปฏิบัติในโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีประกอบด้วยการระบุแหล่งกำเนิดและกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งทางตรงและทางการอ้อมจากการดำเนินงานขององค์กร และเก็บข้อมูลทุติยภูมิจาก ใบเสร็จรับเงินของค่าใช้จ่าย ต่างๆ บันทึกเบิกจ่าย หลักฐานการจัดซื้อ หนังสือแจ้งค่าไฟฟ้า 1. ข้อมูลกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ประกอบด้ว
22 1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร (Direct Emission) จากกิจกรรมต่างๆ โดยตรง ได้แก่ การเดินทางภายในและภายนอกขององค์ด้วยยานพาหนะขององค์กร (Diesel) การบำบัดน้ำเสียเติมอากาศ แบบปรับเสถียรสัมผัส (Contact Stabilization Activated Sludge process) การใช้ผงซักฟอก (Sodium hydride) การใช้คลอรีนชนิดผง 2) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emissions) ได้แก่ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้า ความร้อน หรือไอน้ำที่ถูกนำเข้าจากภายนอกเพื่อใช้ใน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จำนวน 1 กิจกรรม 3) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ ได้แก่ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรม ต่างๆ ที่นอกเหนือจากข้อ 1 และข้อ 2 จำนวน 4 กิจกรรม ประกอบด้วย การใช้น้ำประปา การใช้วัสดุขององค์กร และวัสดุสิ้นเปลือง เช่น กระดาษ การขนส่งกำจัดขยะติดเชื้อ การขนส่งกำจัดขยะอันตราย รายละเอียดของหัวข้อการประเมิน ดังแสดงในแบบสำรวจในภาคผนวก 3.5 การตรวจสอบเครื่องมือ 3.5.1 การประเมินความไม่แน่นอน (Uncertainty) การประเมินความไม่แน่นอนจะถูกประเมินถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการนำข้อมูลทั้งหมด เพื่อจัดทำ รายการบัญชีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงระดับคุณภาพของข้อมูลที่เก็บ รวบรวมได้และความไม่แน่นอนที่เกิดจากการคำนวณ โดยสามารถพิจารณาจากผลคูณคะแนนระดับคุณภาพของ ลักษณะการเก็บข้อมูลกับคะแนนระดับคุณภาพของค่าแฟกเตอร์การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก ดังแสดง ในตารางที่ 3.1 ตารางที่ 3.1 ระดับคะแนนอ้างอิงของคุณภาพข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา รายการ คุณภาพ ข้อมูลกิจกรรม X = 6 Point Y = 3 Point Z = 1 Point เก็บข้อมูลอย่าง ต่อเนื่อง เก็บข้อมูลจากมิเตอร์และใบเสร็จ เก็บข้อมูลจากการประมาณ ค่า Emission Factors C = 4 Point D = 3 Point E = 2 Point F = 1 Point EF จากการวัดที่มี คุณภาพ EF จากผู้ผลิต EF ระดับประเทศ EF ระดับสากล
23 ตารางที่ 3.2 การวิเคราะห์เชิงคุณภาพของคุณภาพข้อมูล ระดับ ระดับคะแนนโดยรวมของข้อมูล คำอธิบาย 1 1-6 ความไม่แน่นอนสูง คุณภาพของข้อมูลไม่ดี 2 7-12 ความไม่แน่นอนเล็กน้อย คุณภาพข้อมูลปานกลาง 3 13-18 ความไม่แน่นอนต่ำ คุณภาพของข้อมูลดี 4 19-24 ความไม่แน่นอนต่ำ คุณภาพข้อมูลดีเยี่ยม (ที่มา; องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก, 2559) 3.6 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. กำหนดขอบเขตองค์กร ที่จะทำการประเมินโดยไม่นับรวมหน่วยงานหรือองค์กร ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การ ควบคุมการดำเนินงานของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2. กำหนดข้อมูลของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่เป็นข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่ - แผนผังโครงสร้างขององค์กร ที่มีโครงสร้างบริหารขององค์กร - สถานที่ตั้ง แผนผังบริเวณขององค์กร โดยเฉพาะสถานที่ในส่วนของ การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก - จำนวนพนักงานในองค์กร - ลักษณะการให้บริการขององค์กร - แผนผังกระบวนการการให้บริการของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 3. กำหนดขอบเขตการดำเนินงาน โดยระบุกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สัมพันธ์กับการ ดำเนินงานของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การปล่อยก๊าซเรือน กระจกทางตรงขององค์กร การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทางอ้อมอื่นๆ 4. จัดทำหนังสือเพื่อขอข้อมูลกับทางโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 5. เก็บรวบรวมข้อมูลตามแบบสำรวจกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและ ทางอ้อมจากการดำเนินงานขององค์กร โดยดูจากข้อมูลทุติยภูมิเช่น ใบเสร็จรับเงิน บันทึกการเบิกจ่าย หลักฐาน การจัดซื้อ ใบเสร็จหนังสือแจ้งค่าไฟฟ้า เป็นต้น 6. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ 7. นำข้อมูลที่ได้มาคำนวณ เริ่มจากระบุแหล่งปล่อย /กิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคำนวณโดยใช้ ข้อมูลจากกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นคูณกับค่าแฟกเตอร์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก แสดงผลในรูปของตัน (กิโลกรัม) คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 equivalent)
24 8. คำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบ่งตามลักษณะของกิจกรรม ดังนี้ 1) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานไฟฟ้า 2) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการเดินทาง และขนส่งด้วยรถประเภทต่างๆ 3) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการใช้สารเคมี 4) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกกำจัดน้ำเสีย 5) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการบำบัดน้ำเสีย 6) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการใช้น้ำประปา 7) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการใช้กระดาษ 8) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งกากของเสียไปกำจัด 9. ทวนสอบข้อมูล ประเมินความไม่แน่นอนและระดับคุณภาพของข้อมูล 10. สรุปและอภิปรายผล 3.7 การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีภายในปีงบประมาณ 2564 รวมระยะเวลา 1 ปี โดยทำการคำนวณเป็นค่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ที่เกิดจาก กิจกรรมต่างๆ โดยใช้ข้อมูลกิจกรรมต่างๆ (Activity Data) คูณแฟกเตอร์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factors) แสดงผลในรูปของกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) ดังนี้ CO2 emission = Activity data x Emissions factor (1) โดยที่ CO2 emission = ปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ Activity Data = ข้อมูลกิจกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ Emissions factor = ค่าแฟกเตอร์การปล่อยหรือดูดซับก๊าซเรือนกระจก ค่าแฟกเตอร์การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากฐานข้อมูลประเทศไทยขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือน กระจก (องค์กรมหาชน) กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ประกอบด้วยรายละเอียด ดังนี้ 1) ค่าแฟกเตอร์ของการใช้น้ำ เท่ากับ 0.2843 kgCO2 e/m3 2) ค่าแฟกเตอร์ของการใช้ไฟฟ้า เท่ากับ 0.5986 kgCO2 e/kWh 3) ค่าแฟกเตอร์ของการขนส่งขยะ เท่ากับ 0.0653 kgCO2 e/kg-km ซึ่งมีสมการคำนวณเพื่อหาปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ดังต่อไปนี้ 1) คำนวณหาปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกิจกรรมการใช้น้ำ
25 CO2 emission = ปริมาณการใช้น้ำ (m3 ) * 0.2843 (kgCO2e/m3 ) 2) คำนวณหาปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกิจกรรมการใช้ไฟฟ้า 2 { ปริมาณการใช้ไฟฟ้า (ℎ) × 0.5986 (2 /ℎ 3) คำนวณหาปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการขนส่งขยะ 2 { ปริมาณการผลิตขยะ () × ระยะทางไปกลับเฉลี่ย () 0.0653 (2 / − 4) คำนวณหาปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการใช้สารเคมี 2 { ปริมาณการใช้ผงซักฟอก () × 1.1148 (2 2 { ปริมาณการใช้ผงคลอรีน () × 1.0548 (2 5) คำนวณหาปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการใช้วัสดุขององค์กรและวัสดุสิ้นเปลือง 2 { ปริมาณการใช้กระดาษ (รีม) × 0.6677 (2 6) คำนวณหาปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการเดินทางภายในและภายนอกขององค์กร 2 { จำนวนยานพาหนะ (คัน) × ปริมาณการเผาไหม้เชื้อเพลิง () × 2.1896 (2 7) คำนวณหาปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกิจกรรมการบำบัดน้ำเสีย ได้จาก Ponsite = ∑[( ECO2 + (ECH4 × GWPCH4) + (EN2O × GWPN2O)] (2) โดยที่ ECO2 = EFCO2 × MBOD ; ECH4 = EFCH4 × MBOD ; EN2O × MTN MBOD = (∆BOD × Q ) × 10-3 ; MTN = (∆TN × Q ) × 10-3 และ GWP คือ ค่าศักยภาพในการเกิดภาวะโลกร้อน (kgCO2e/kg) ECO2 คือ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(kg/d) ECH4 คือ ปริมาณก๊าซมีเทน (kg/d) EN2O คือ ปริมาณก๊าซไนตรัสออกไซด์ (kg/d) Q คือ อัตราการไหล (m3 /d) ∆BOD คือ ค่าบีโอดีที่ลดลง (mg/L) ∆TN คือ ค่าไนโตรเจนทั้งหมดที่ลดลง (mg/L) MBOD คือ ปริมาตร ของบีโอดี (kgBOD)
26 MTN คือปริมาตรของไนโตรเจนทั้งหมด (kgTN) ทั้งนี้ค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission factor, EF) สำหรับการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก โดยตรงที่ใช้ในการคํานวณ แนะนําโดย Kyung et al. (2015) ดังนี้ EFCO2 = 23.61 kgCO2e/kg BOD EFCH4 = 0.146 kgCO2e/kg BOD EFN2O = 0.653 kgCO2e/kg TN (Bao et al., 2016; Kyung et al., 2015) ผลการคำนวณดังแสดงในภาคผนวก ข
บทที่ 4 ผลการศึกษา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี โดยการสำรวจข้อมูลตามแบบฟอร์ม แบบบันทึกข้อมูล ซึ่งผู้วิจัยได้นำผลที่ได้มาประมวลและ วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 4.1 แผนกขององค์กรที่มีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 4.1.1 แผนผังของแผนกขององค์กรที่มีการเก็บข้อมูลการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โครงสร้างองค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีนั้นขึ้นตรงต่อคณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และการสาธารณสุข โดยมีผู้อำนวยการโรงพยาบาล และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการโรงพยาบาลในการช่วยดูแล แบ่งเป็น 4 กลุ่มงาน และ 1 สำนักงาน ประกอบด้วย กลุ่มงานเทคนิคบริการ กลุ่มงานการแพทย์ กลุ่มงานพยาบาล กลุ่มงานสนับสนุนบริการและปฐมภูมิ และสำนักงานโรงพยาบาล โดยมีจำนวนบุคลากรในองค์กร 154 คน ซึ่ง แผนกที่มีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ซึ่งได้เก็บข้อมูลจากแผนกที่แสดงในรูปที่ 4.1 รูปที่ 4.1 แผนผังแผนกที่มีการเก็บข้อมูล
28 4.2 ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปีงบประมาณ 2564 ตารางที่ 4.1 ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปีงบประมาณ 2564 ประเภทของ กิจกรรม ข้อมูลกิจกรรม (Activity Data) ค่าการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก Emission factor (kgCO2e/หน่วย) แหล่งข้อมูลอ้างอิง ปริมาณคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ของ องค์กร (Ton CO2e) ปริมาณ (ต่อปี) ที่มาของข้อมูล ประเภทที่ 1 1. การเดินทาง ภายในและ ภายนอกของ องค์กร (Diesel) 3,600 ลิตร/ปี ใบเสร็จค่าน้ำมัน รายเดือน 2.7446 IPCC 9.88 2. การบำบัดน้ำ เสียเติมอากาศ แบบปรับเสถียร สัมผัส ที่องค์กร เป็นผู้ดำเนินการ BOD 2.23 mg/L TN 19.15 mg/L ฐานข้อมูล โรงพยาบาล 0 - 0.186 3. การใช้ ผงซักฟอก Sodium hydride จาก กระบกวนการซัก ผ้า 192 กิโลกรัม/ปี ฐานข้อมูล โรงพยาบาล 1.1148 Ecoinvent 2.2, IPCC 2007 GWP 100a 0.21 4. การใช้คลอรีน ชนิดผงจาก กระบวนการ บำบัดน้ำเสีย 14.4 กิโลกรัม/ปี ฐานข้อมูล โรงพยาบาล 1.0548 Ecoinvent 2.2, IPCC 2007 GWP 100a 0.01 รวมประเภทที่ 1 10.29
29 ตารางที่ 4.1 ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปีงบประมาณ 2564 (ต่อ) ประเภทของ กิจกรรม ข้อมูลกิจกรรม (Activity Data) ค่าการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก Emission factor (kgCO2e/หน่วย) ปริมาณคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ของ องค์กร (Ton CO2e) ปริมาณ (ต่อปี) ที่มาของข้อมูล ประเภทที่ 2 5. การใช้พลังงาน ไฟฟ้าที่ซื้อจาก ภายนอก 1,827,024 kWh ใบเสร็จค่าไฟฟ้า รายเดือน 0.5986 Thai National LCI Database 1,093.66 รวมประเภทที่ 2 1,093.66 ประเภทที่ 3 6. การใช้ น้ำประปา 3,000 ลบ.ม./ปี ฐานข้อมูล โรงพยาบาล 0.2843 Thai National LCI Database 0.85 7. การใช้วัสดุของ องค์กรและวัสดุ สิ้นเปลือง เช่น กระดาษ 504 รีม/ปี ใบเสร็จรายปี 0.6677 0.34 8. การขนส่ง กำจัดขยะติดเชื้อ 5,967 กิโลกรัม/ปี โปรแกรมติดตาม มูลฝอยติดเชื้อ Manifest 0.0653 Thai National LCI Database 2.82 9. การขนส่ง กำจัดขยะ อันตราย 353 กิโลกรัม/ปี ฐานข้อมูลระบบ การจัดการ สิ่งแวดล้อม กอง บริหารการ สาธารณสุข 0.0653 Thai National LCI Database 0.16 รวมประเภทที่ 3 4.17 รวมทั้งหมด 1,108.12
30 จากตารางที่ 4.1 โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรรวม ทั้งหมดเท่ากับ 1,108.12 TonCO2eq มาจากกิจกรรมประเภทที่ 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร เท่ากับ 10.29 TonCO2eq คิดเป็นร้อยละ 0.93 ประเภทที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้ พลังงานขององค์กร เท่ากับ 1,093.66 TonCO2eq คิดเป็นร้อยละ 98.69 และประเภทที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือน กระจกทางอ้อมอื่นๆ เท่ากับ 4.17 TonCO2eq คิดเป็นร้อยละ 0.38 เมื่อวิเคราะห์กิจกรรมในประเภทที่ 1 พบว่า การเดินทางภายในและภายนอกขององค์กร โดยมีการใช้ น้ำมัน Diesel มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 96.02 รองลงมาเป็นการใช้สารเคมี หรือผงซักฟอก (Sodium Hydroxide) คิดเป็นร้อยละ 2.04 การการบำบัดน้ำเสียเติมอากาศแบบปรับเสถียรสัมผัส Contact Stabilization Activated Sludge process ที่องค์กรเป็นผู้ดำเนินการคิดเป็นร้อยละ 1.81 และการใช้ คลอรีนชนิดผง คิดเป็นร้อยละ 0.1 ตามลำดับ ส่วนประเภทที่ 2 พบว่า การใช้ไฟฟ้าของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีปริมาณการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก เท่ากับ 1,093.66 TonCO2eq และในประเภทที่ 3 พบว่า เป็นการขนส่งกำจัดขยะติดเชื้อ มีปริมาณ การปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 67.63 รองลงมาเป็นการใช้น้ำประปา คิดเป็นร้อยละ 20.38 การใช้วัสดุขององค์กรและวัสดุสิ้นเปลือง เช่น กระดาษ คิดเป็นร้อยละ 8.15 และการขนส่งกำจัดขยะอันตราย คิดเป็นร้อยละ 0.48 ดังแสดงในตารางที่ 4.2
31 ตารางที่ 4.2 ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรแยกตามประเภทกิจกรรมของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ประเภท ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ขององค์กร (ton CO2e) ร้อยละ ประเภทที่ 1 10.29 0.93 1. การเดินทางภายในและภายนอกขององค์กร 9.88 96.02 2. การบำบัดน้ำเสียเติมอากาศแบบปรับเสถียรสัมผัส ที่องค์กรเป็น ผู้ดำเนินการ 0.186 1.81 3. การใช้ผงซักฟอก Sodium hydride 0.21 2.04 4. การใช้คลอรีนชนิดผง 0.01 0.1 ประเภทที่ 2 1,093.66 98.69 5. การใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อจากภายนอก 1,093.66 - ประเภทที่ 3 4.17 0.38 6. การใช้น้ำประปา 0.85 20.38 7. การใช้วัสดุขององค์กรและวัสดุสิ้นเปลือง เช่น กระดาษ 0.34 8.15 8. การขนส่งกำจัดขยะติดเชื้อ 2.82 67.63 9. การขนส่งกำจัดขยะอันตราย 0.16 3.84 รวม 1,108.12 100
32 ตารางที่ 4.3 ผลการประเมินความไม่แน่นอนของข้อมูล ขอบเขต รายการ คะแนนการเก็บ ข้อมูล คะแนน Emission factor ผลการประเมิน ระดับคุณภาพ ประเภทที่ 1 1. การเดินทางภายใน และภายนอกขององค์กร 3 2 6 1 2. การบำบัดน้ำเสียเติม อากาศแบบปรับเสถียร สัมผัส ที่องค์กรเป็น ผู้ดำเนินการ 3 2 6 1 3. การใช้ผงซักฟอก Sodium hydride 3 2 6 1 4. การใช้คลอรีนชนิดผง 3 2 6 1 ประเภทที่ 2 การใช้พลังงานไฟฟ้าที่ ซื้อจากภายนอก 3 2 6 1 ประเภทที่ 3 6. การเดินทางไปกลับ ของบุคลากรระหว่าง องค์และที่พักของ บุคลากร 1 2 2 1 7. การใช้น้ำประปา 3 2 6 1 8. การใช้วัสดุของ องค์กรและวัสดุ สิ้นเปลือง เช่น กระดาษ 3 2 6 1 9. การขนส่งกำจัดขยะ ติดเชื้อ 3 2 6 1 10. การขนส่งกำจัดขยะ อันตราย 3 2 6 1
33 จากผลการประเมินการจัดการความไม่แน่นอนในตารางที่ 4.3 พบว่า ระดับคุณภาพของข้อมูลในแต่ ละกิจกรรม มีความไม่แน่นอนสูง คุณภาพของข้อมูลไม่ดี เพราะส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่นำมาจากใบเสร็จและการ ประมาณค่า ไม่ได้มาจากกการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในปีงบประมาณ 2564 สามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้ 5.1 สรุปผลการวิจัย ผลการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พบว่า การดำเนินงาน ขององค์กรก่อให้เกิดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด เท่ากับ 1,108.12 TonCO2eq เมื่อวิเคราะห์ราย ประเภท พบว่า การดำเนินงานประเภทที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานขององค์กร คือ การใช้ไฟฟ้าของโรงพยาบาลมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 1,093.66 TonCO2eq ต่อปี คิดเป็นร้อย ละ 98.69 TonCO2eq ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด กิจกรรมที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รองลงมา คือ กิจกรรมประเภทที่ 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือน กระจก เท่ากับ 10.29 TonCO2eq ต่อปีคิดเป็นร้อยละ 0.93 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด สำหรับ กิจกรรมประเภทที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ มีการปล่อยการเรือนกระจกน้อยที่สุด เท่ากับ 4.17 TonCO2eq ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 0.38 โดยระดับคุณภาพของข้อมูลที่นำมาใช้มีความไม่แน่นอนสูง คุณภาพของ ข้อมูลไม่ดี 5.2 อภิปรายผล จากผลการศึกษา พบว่า กิจกรรมการใช้ไฟฟ้าของโรงพยาบาลเป็นกิจกรรมที่ส่งผลต่อการปล่อยคาร์บอน ฟุตพริ้นท์มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 98.69 ทั้งนี้ เนื่องจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูง เช่น เครื่องเอกซเรย์ เครื่อง CT Scan เครื่องอัลตราซาวด์ เครื่องอบฆ่าเชื้อ เครื่องนึ่งอุปกรณ์ เป็นต้น และมีการใช้ไฟฟ้าประเภทตู้แช่ยา ตู้แช่เลือด เครื่องปรับอากาศ ซึ่ง จำเป็นต้องมีการควบคุมอุณหภูมิให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ รุ่งทิวา พงษ์อัคคศิรา (2557) เรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในศูนย์โรคหัวใจสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โรงพยาบาลศิริราช การศึกษา พบว่า การใช้ไฟฟ้า ในขอบเขตที่ 2 คิดเป็น 395 tCO2e มีปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากที่สุดถึงร้อยละ 74 และสอดคล้องกับการศึกษาของ ภัทราภรณ์ ศรีอภัย (2564) ที่ทำการศึกษาเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพ ริ้นท์องค์กร และแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า ประเภทที่ 2 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 48.43 กิจกรรมที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรองลงมา คือ การเดินทางภายในและภายนอกขององค์กร มีปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 9.88 TonCO2eq ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 96.02 เนื่องจากโรงพยาบาลมีการใช้
35 ยานพาหนะที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) และก๊าซคาร์บอนมอนนอ ไซด์ (CO) ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ได้แก่ การใช้รถฉุกเฉิน เพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพ ริ้นท์ทางโรงพยาบาลอาจจะหันไปใช้น้ำมันดีเซล (B10) หรือ น้ำมันดีเซล (B7) ซึ่งเห็นได้จากงานวิจัยของ รติมา ศรีวรพันธุ์ ที่ได้ทำการศึกษาการเปรียบเทียบมลพิษและอัตราสิ้นเปลืองของน้ำมันดีเซล B7 และ น้ำมันดีเซล (B10) สำหรับรถบรรทุกขนาดเล็กที่ผลิตภายใต้มาตรฐานมลพิษ EURO I-III พบว่าการใช้น้ำมันดีเซล (B7) และน้ำมันดีเซล (B10) ในรถบรรทุกดีเซลขนาดเล็กที่ผ่านมาตรฐานไอเสีย ในภาพรวมพบว่า CO, THC และ PM ไม่มีความแตกต่าง กันอย่างชัดเจน ปริมาณมลพิษมีค่าที่ใกล้เคียงกัน สำหรับในส่วนของ NOx ของรถบรรทุกดีเซลขนาดเล็กที่ผ่าน มาตรฐานไอเสียยูโร 3 มีปริมาณเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ในส่วนของภาพรวมของค่าอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจากการ ใช้น้ำมันดีเซล (B10) ค่อนข้างใกล้เคียง กันเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำมันดีเซล (B7) สำหรับกิจกรรมประเภทที่ 3 ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ได้แก่ การขนส่งกำจัดขยะติดเชื้อมี ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 2.82 ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 67.63 เนื่องจากการดำเนินกิจกรรมต่างๆ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ล้วนเป็นแหล่งที่ก่อขยะติดเชื้อ อีกทั้ง ในช่วงระยะเวลา ปีงบประมาณ 2563 เป็นช่วงที่ทางโรงพยาบาลเป็นสนามรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ปริมาณขยะติดเชื้อสูงมากกว่าปกติ จะเห็นได้จากปริมาณที่เพิ่มขึ้นของขยะติดเชื้อ ดังแสดงในรูปที่ 5.1 ที่มา : กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รูปที่ 5.1 ข้อมูลขยะติดเชื้อของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในส่วนของระดับคุณภาพของข้อมูลที่นำมาใช้มีความไม่แน่นอนสูง คุณภาพของข้อมูลไม่ดีนั้น พบว่า มา จากค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นหลัก เนื่องจากคะแนนในส่วนนี้ ส่วนมากเป็นค่าที่ได้จากข้อมูล ระดับประเทศ และมีการเก็บข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ข้อมูลมีความไม่แน่นอนสูง คุณภาพของข้อมูลไม่ดี จึงควร 2556 9397 0 2000 4000 6000 8000 10000 พ.ศ.2563 พ.ศ.2564 สถิติขยะติดเชื้อของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
36 ใช้ค่าแฟกเตอร์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับจากผู้ผลิตหากมีค่าดังกล่าวในอนาคต รวมถึงการเก็บและบันทึก ข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อลดความไม่แน่นอนของข้อมูลและเพิ่มระดับความน่าเชื่อถือของผลการประเมิน ดังนั้น การปรับปรุงระบบการเก็บข้อมูลให้มีความต่อเนื่องด้วยการติดตั้งระบบอัตโนมัติและการได้มาซึ่งค่าสัมประสิทธิ์ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีคุณภาพและเป็นตัวแทนที่ถูกต้องมากขึ้นมีความสำคัญ แต่ก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ สูงด้วยเช่นกัน แต่หากมีการวางแผนในการเก็บข้อมูลที่ดีอย่างต่อเนื่อง ก็จะได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ และประเมินการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มีความถูกต้องแม่นยำและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นจึงจะนำไปสู่การลดการปล่อยคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ของกิจกรรมในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ยกตัวอย่าง กิจกรรมประเภทที่ 1 ที่มีปริมาณ คาร์บอนฟุตพริ้นมากที่สุด คือ กิจกรรมการเดินทางภายในและภายนอกขององค์กร สามารถลดการใช้กิจกรรม ประเภทนี้โดยการเปลี่ยนไปใช้น้ำมันที่ช่วยมลพิษและการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง เช่น การใช้น้ำมันดีเซล (B7) และ น้ำมันดีเซล(B10) ส่วนภายนอกเมื่อมีการจัดประชุมนอกสถานที่หรือเข้าร่วมงานนอกสถานที่ควรปรับเปลี่ยนโดย การประชุมแบบออนไลน์แทน เพื่อลดการใช้ยานพาหนะขององค์กร กิจกรรมประเภทที่ 2 มีการใช้พลังงานไฟฟ้า มากที่สุดถึง 1,093.66 TonCO2eq สามารถลดการใช้กิจกรรมประเภทนี้โดยทำกิจกรรมรณรงค์ ขอความร่วมมือ การประหยัดพลังงาน การปิดไฟทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ ถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้งาน รวมถึงเวลาพักรับประทานอาหาร ช่วงกลางวันช่วงเที่ยง และกิจกรรมประเภทที่ 3 มีปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นมากที่สุด คือ การขนส่งขยะติดเชื้อ สามารถลดการกำจัดขยะโดยการนำผ้ากันเปื้อน, อุปกรณ์ทางผ่าตัดที่เปื้อนสารคัดหลั่งแล้วนำไปทำควาสะอาดและ อบด้วยความร้อนเพื่อทำการลายเชื้อโรคจึงจะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง ข้อจำกัดของงานวิจัย 1.ไม่ทราบจำนวนบุคลากรที่ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่แน่ชัดทำให้ไม่สามารถนำมาคำนวณหาการ เดินทางไปกลับระหว่างองค์กรและที่พักของบุคลากรได้ ควรมีการทำแบบสอบถามเกี่ยวกับการใช้งานยานพาหนะ และระยะทางไปกลับที่พักของบุคลากรในองค์กร 2. ไม่ทราบการจำนวนการใช้ลิฟท์ของพนักงานในโรงพยาบาลในแต่ละวันจึงควรมีการติดตั้งเครื่องนับคน เข้า-ออก ซึ่งจะนับจำนวนเข้าและจำนวนออกโดยใช้ระบบอินฟราเรดจะแสดงผลจำนวนบนหน้าจอดิจิตอล รุ่น P102D แบบติดตั้งพื้น สามารถดูข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ผ่านโปรแกรม People Counter บันทึกข้อมูลเป็นแบบ รายวัน เดือน และปี สรุปเป็นรายงานและกราฟได้ 3. แหล่งข้อมูลที่ได้มาอาจไม่ชัดเจน ควรมีการสแกนเอกสารข้อมูลบันทึกลงในคอมพิวเตอร์แยกเป็น หมวดหมู่ให้ชัดเจน 4. ไม่ทราบการใช้สารทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในองค์กร ควรมีการตรวจสอบการใช้งาน หรือรายละเอียดจากการตรวจสอบเครื่องปรับอากาศที่ชัดเจน
37 5. ไม่ทราบปริมาณการสารดับเพลิง 3 ชนิด ได้แก่ 1) ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2) ถัง ดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง และ 3) ถังดับเพลิงชนิดน้ำยาฮาโลตรอน ควรมีการตรวจสอบถังดับเพลิงไม่น้อยกว่า 6 เดือนต่อครั้งซึ่งจะทราบจำนวนการใช้งานแต่ละชนิดภายในองค์กร 6. โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีไม่ได้ใช้กิจกรรมปุ๋ยเคมีในพื้นที่ขององค์กรจึงไม่ได้ทำการ ประเมิน 7. โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีไม่ได้ใช้กิจกรรมการใช้สารเคมีคลอรีนชนิดน้ำจึงไม่ได้ทำการ ประเมิน 5.3 ข้อเสนอแนะและการนำไปใช้ประโยชน์ 5.3.1 ผลการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์สามารถใช้เป็นข้อมูลปีฐานเพื่อเปรียบเทียบปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกในปีงบประมาณต่อไปได้ 5.2.2 ใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่เกิดขึ้น ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีต่อไป ได้แก่ การลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าหันไปใช้พลังงานจากธรรมชาติ อย่างพลังงานจากแผงโซล่าเซลล์การเดินทางภายในองค์กรจากการเดินทางด้วยรถส่วนตัวเปลี่ยนมาเดินทางด้วย รถรางของมหาวิทยาลัยในการเดินทางมายังโรงพยาบาล 5.4 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 5.4.1 ศึกษาพฤติกรรมการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของบุคลากรในองค์กรที่จะเข้าทำการจัดการประเมิน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ทั้งก่อนและหลังการเข้าร่วมการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 5.4.2 ควรมีการติดตามการศึกษา ค่า Emission Factor ของประเทศไทยในปัจจุบันเพื่อลดความ คลาดเคลื่อนในงานวิจัยการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 5.4.3 ควรมีการเพิ่มขอบเขตในการศึกษา โดยการเพิ่มกิจกรรมให้มีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทุกๆเดือน ในแต่ละกิจกรรมให้ได้ข้อมูลกิจกรรมที่มีคุณภาพ ได้แก่ 1) กิจกรรมจำนวนบุคลากรที่ใช้รถยนต์และ รถจักรยานยนต์ 2) กิจกรรมการใช้ลิฟท์ของคนในองค์กร 3) กิจกรรมการใช้สารทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ภายในองค์กร 4) กิจกรรมการใช้สารดับเพลิง 3 ชนิด CO2, Dry chemical, Non CFC ควรการตรวจสอบถัง ดับเพลิงไม่น้อยกว่า 6 เดือนต่อครั้งพร้อมกับเก็บข้อมูลจำนวนการใช้งานถังดับเพลิงแต่ละชนิดภายในค์กร 5) กิจกรรมการใช้น้ำมันในเครื่องตัดหญ้าและการใช้ปุ๋ยในงานสวน ตรวจสอบการใช้งานชนิดน้ำมันและการใช้ปริมาณ น้ำมันในกิจกรรมกี่ลิตรต่อเดือน การใช้ชนิดปุ๋ยในงานสวน และปริมาณการใช้ปุ๋ย 6) กิจกรรมที่ใช้ในการประกอบ อาหารจากโรงแรมยูเพลสที่มีการจัดส่งอาหารให้กับทางโรงพยาบาล เช่นปริมาณก๊าซหุงต้ม (LPG) ใช้ในการ ประกอบอาหารใช้กี่ถังต่อเดือน
38 บรรณานุกรม กรมอนามัย. สถานบริการสาธารณสุข กับการประเมิน Carbon Footprint. [อินเตอร์เน็ต]. (2563). [เข้าถึงเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://hpc2service.anamai.moph.go.th/envdata/files/2565/g8.pdf ญาณิศา ส่องประทีป. การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากระบบบำบัดน้ำเสียของกรุงเทพมหานคร. [อินเตอร์เน็ต]. (2561). [เข้าถึงเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://kukrdb.lib.ku.ac.th/proceedings/KUCON/search_detail/result/383056 นิตยา ชาคำรุณ.การประเมินการปล่อยคาร์บอนไดซ์ของหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. [อินเตอร์เน็ต]. (2559). [เข้าถึงเมื่อ 21 มิถุนายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : 10985191.pdf (thaiscience.info) บุญญิศา บัวเผื่อน. การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร กรณีศึกษา บริษัท บีเอ็มที เอเชีย จำกัด. [อินเตอร์เน็ต].(2563). [เข้าถึงเมื่อ 18 เมษายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : 20200923173312.pdf (nida.ac.th) พิชัย ศรีมันตะ.การประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงจากการปรับปรุงการจัดการขยะมูล ฝอยใน มหาวิทยาลัยขอนแก่น.[อินเตอร์เน็ต]. (2555). [เข้าถึงเมื่อ 4 มิถุนายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://www.thaiscience.info/Journals/Article/KKEJ/10970266.pdf ไพรัช อุศุภรัตน์.การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต. [อินเตอร์เน็ต]. (2557). [เข้าถึงเมื่อ 18 เมษายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : การประเมินคาร์บอนฟุตพรินท์องค์กรของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต | Thai Science and Technology Journal (tci-thaijo.org) พรทิวา บริบูรณ์. การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแนวทางการลดการปล่อย ของโรงพยาบาลโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา. [อินเตอร์เน็ต]. (2558). [เข้าถึงเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : http://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2015/TU_2015_5417030276_2986_2569.pdf ภาณุวัฒน์ ประเสริฐพงษ์.คู่มือการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโรงพยาบาล โครงการส่งเสริมกิจกรรมการลด ปริมาณก๊าซเรือนกระจกของหน่วยงาน.[อินเตอร์เน็ต]. (2562). [เข้าถึงเมื่อ 30 มิถุนายน 2565]. เข้าถึงได้ จาก : https://op.mahidol.ac.th/pe/wp-content/uploads/2021/06/คู่มือคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โรงพยาบาล.pdf ภัทราภรณ์ ศรีอภัย.การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร และแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร.[อินเตอร์เน็ต]. (2564). [เข้าถึงเมื่อ 18 เมษายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://he02.tcithaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/247983
39 บรรณานุกรม (ต่อ) รติมา ศรีวรพันธุ์.การเปรียบเทียบมลพิษและอัตราสิ้นเปลืองของน้ำมันดีเซล B7 และ น้ำมันดีเซล (B10) สำหรับ รถบรรทุกขนาดเล็กที่ผลิตภายใต้มาตรฐานมลพิษ EURO I-III. [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://ethesis.lib.ku.ac.th/dspace/handle/123456789/561 รุ่งทิวา พงษ์อัคคศิรา. การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในศูนย์โรคหัวใจสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โรงพยาบาลศิริ ราช.[อินเตอร์เน็ต]. (2557). [เข้าถึงเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://www.stou.ac.th/thai/grad_stdy/Masters/%E0%B8%9D%E0%B8%AA%E0%B8%AA/r esearch/5nd/FullPaper/ST/Oral/O-ST%20008%20นางสาวรุ่งทิวา%20%20พงษ์อัคคศิรา.pdf วิชญาณี พุทธิพิริยางกูร.การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี.[อินเตอร์เน็ต]. (2561). [เข้าถึงเมื่อ 18 เมษายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : Suranaree University of Technology: การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (sut.ac.th) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ. [อินเตอร์เน็ต]. (2559). [เข้าถึงเมื่อ 18 เมษายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://www.onep.go.th/การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิ/ สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.สถานบริการสาธารณสุขกับการประเมิน Carbon Footprint.[อินเตอร์เน็ต]. (2556). [เข้าถึงเมื่อ 30 มิถุนายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : 04bfd80f68d84646138bfc42a6085a99.pdf (moph.go.th) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน).(มปก). ความรู้ด้านก๊าซเรือนกระจก. [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 18 เมษายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : ความรู้ด้านก๊าซเรือนกระจก (tgo.or.th) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน).(มปก). ค่า Emission Factor. [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึง เมื่อ 18 เมษายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : http://thaicarbonlabel.tgo.or.th/index.php?lang=TH&mod=Y0hKdlpIVmpkSE5mWlcxcGMz TnBiMjQ9 องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน).(มปก). คู่มือการจัดทำข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจก ระดับเมือง. [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 18 เมษายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : http://www.tgo.or.th/2020/index.php/en/page/-89 ไอเดียออนเพย์เพอร์. กระดาษ “Idea Work” รักษาสิ่งแวดล้อม. [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2565]. เข้าถึงได้จาก : Idea On Paper
40 Kyung, D., M. Kim, J. Chang and W. Lee. 2015. Estimation of greenhouse gas emissions from a hybrid wastewater treatment plant. Journal of Cleaner Production 95: 117-123. UNITAR. (2015). The Scientific fundamentals of climate change. United Nations Institute for Training and Research.
ภาคผนวก