The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by asiajek, 2021-09-21 01:03:16

5.หน้าปก-ผสาน

5.หน้าปก-ผสาน

รายงาน
รวบรวมงาน

ว 33285 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี 3

นำ เ ส น อ โ ด ย
นาย ฐานพัฒน์ ศิริทรัพย์ภิญโญ

ม.6/3 เลขที่ 5

ผลของการใชแ้ ชทบอทที่มกี ารช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ่ีมตี ่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.
การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ท่ีมีบุคลิกภาพท่ีแตกต่างกนั

ผลของการใช้แชทบอททีม่ ีการช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ทีม่ ีต่อการคดิ

เชิงคานวณของนักเรียนระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ท่ีมบี ุคลกิ ภาพที่แตกต่างกนั

Effects of Online Scaffolding Chatbot on Computational Thinking of

Tenth Grade Students with Different Personalities

*ศิรัฐ อ่ิมแช่ม1 และใจทิพย์ ณ สงขลา2

*Sirat Imcham1 and Jaitip Na-Songkhla2

1นิสิตปริญญาโท คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั
1Master’s student, Faculty of Education, Chulalongkorn University
2รองศาสตราจารย์ ดร. ประจาคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั

2Assoc. Prof. Dr., Faculty of Education, Chulalongkorn University

*Corresponding author. E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ Received : December 25, 2019
Revised : May 29, 2020
Accepted : June 7, 2020

การวิจยั น้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์

ท่ีมีต่อการคิดเชิงคานวณของนกั เรียนที่มีบุคลิกภาพท่ีแตกต่างกนั กล่มุ ตวั อยา่ งที่ใชใ้ นการวจิ ยั คือ นกั เรียนระดบั ช้นั

มัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ที่มีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผยและบุคลิกภาพแบบเก็บตัว และกาลังเรียนในรายวิชาพ้ืนฐาน

วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิชาวิทยาการคานวณ จานวน 60 คน ไดม้ าดว้ ยวิธีการสุ่มแบบแบ่งช้นั เคร่ืองมือที่ใชใ้ น

การวิจยั ไดแ้ ก่ 1) แบบวดั บุคลิกภาพ 2) บทเรียนผ่านแชทบอท 3) แบบวดั การคิดเชิงคานวณก่อนและหลงั เรียน

สถิตท่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจยั

พบว่า 1) นกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผยและบุคลิกภาพแบบเก็บตวั ท้งั สองกลุ่มมีคะแนนเฉล่ียการคิดเชิง

คานวณหลงั การทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 2) การใชแ้ ชทบอทที่มีการ

ช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีมีต่อการคิดเชิงคานวณหลงั การทดลองของนกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบ

เปิ ดเผยสูงกว่านักเรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเก็บตัว อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ 3) นักเรียนท่ีมี

บุคลิกภาพแบบเก็บตวั มีค่าเฉล่ียการใชง้ านแชทบอทส่วนการใช้งานเวบ็ ไซต์สูงกว่านกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบ

เปิ ดเผย อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05

คาสาคญั : การเสริมศกั ยภาพ การคิดเชิงคานวณ บุคลิกภาพ แชทบอท

ปี ท่ี 13 ฉบบั ที่ 1 (ม.ค. – ม.ิ ย.) 2563 | 45

ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมกี ารช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ี่มตี ่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ที่มบี ุคลิกภาพท่ีแตกต่างกนั

Abstract

The objective of this research was to study effects of online scaffolding chatbot on computational thinking

of students with different personalities. The sample comprised 60 tenth grade students with introvert and extrovert

personalities, who registered in the Foundation of Science and Technology Course of the Computational Science

Subject, obtained by stratified random sampling. The research instruments were 1) a personality test, 2) an online

scaffolding chatbot, and 3) a computational thinking test for pre-testing and post-testing. The data were analyzed

using the percentage, mean, standard deviation, and t-test. The findings were concluded as follows: 1) the post-

experiment mean scores of students in both of the extrovert and introvert personality groups were higher than their

counterpart pre-experiment mean scores at the .05 level of statistical significance; 2) the post-experiment

computational thinking mean score of the students in the extrovert personality group was significantly higher than

the post-experiment counterpart mean score of the students in the introvert personality group at the .05 level of

statistical significance; and 3) the students in the introvert personality group using chatbot on website had higher

mean score than the counterpart mean score of students in the extrovert personality group at the .05 level of

statistical significance.

Keywords: Scaffolding, Computational thinking, Personality, Chatbot

ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา

กระทรวงศึกษาธิการไดบ้ รรจุวิชาวิทยาการคานวณไวใ้ นหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พ.ศ.
2560 โดยมีคาอธิบายสาระที่ 4 หมวดเทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เก่ียวกบั ความเขา้ ใจและใชแ้ นวคิดเชิงคานวณใน
การแกป้ ัญหาที่พบในชีวติ จริงอยา่ งเป็นข้นั ตอนและเป็นระบบ สามารถใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารใน
การเรียนรู้ การทางานและการแกป้ ัญหาไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทนั และมีจริยธรรม โดยตวั ช้ีวดั ช้นั ปี ของ
ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 เป็นการประยุกตใ์ ชแ้ นวคิดเชิงคานวณในการพฒั นาโครงงานที่มีการบูรณาการกบั วิชา
อ่ืนอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละเชื่อมโยงกบั ชีวติ จริง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560)

การสมั ภาษณ์ครูผสู้ อนเก่ียวกบั สภาพปัญหาของนกั เรียนในการเรียนการสอน พบวา่ นกั เรียนไม่สามารถ
แกโ้ จทยป์ ัญหาที่กาหนดให้ บางคนไม่สามารถเขียนโปรแกรมเพ่ือแสดงผลลพั ธ์ไดต้ ามท่ีตนเองตอ้ งการ การไดม้ า
ซ่ึงคาตอบหรือผลลพั ธ์ท่ีตนเองไม่สามารถอธิบายได้ เน่ืองมาจากรู้สึกเบ่ือหน่าย ขาดแรงจูงใจ ขาดกระบวนการคิด
อย่างเป็ นระบบ ทาให้ไม่สามารถออกแบบวิธีการแกไ้ ขเพ่ือนามาใชใ้ นการเขียนโปรแกรมตารางคานวณเพ่ือหา
คาตอบของปัญหา การมีส่วนร่วมในช้นั เรียนของนกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพเก็บตวั หรือลกั ษณะพฤติกรรมไม่กลา้
สอบถามผสู้ อนในหอ้ งเรียนเกี่ยวกบั สิ่งที่ตนเองไม่เขา้ ใจในเน้ือหาท่ีเรียน การไดม้ าซ่ึงคาตอบที่เกิดจากการทาตาม
คนอื่นโดยท่ีตนเองไม่สามารถอธิบายไดแ้ ละเวลาการถามและตอบปัญหาในห้องเรียนบางคร้ังไม่เพียงพอ จึงเกิด
สภาพปัญหาที่พบโดยทว่ั ไปในการเรียนของนกั เรียน นกั เรียนบางคนแยกประเด็นของปัญหาหรือเน้ือหาท่ีเรียน

46 | ปี ท่ี 13 ฉบบั ที่ 1 (ม.ค. – มิ.ย.) 2563

ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมกี ารช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ี่มีต่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ที่มบี ุคลิกภาพที่แตกต่างกนั

ไม่ออก บางคนไม่สามารถเขียนโปรแกรมหรือจดั ทาวิธีการแกป้ ัญหาเพ่ือแสดงผลลพั ธ์ไดต้ ามท่ีตนเองตอ้ งการ

เน่ืองจากไม่มีรูปแบบการจัดการที่ชัดเจนและไม่สามารถเขียนอธิบายกระบวนการได้อย่างเป็ นข้ันตอน

ทาใหไ้ มส่ ามารถแกป้ ัญหาท่ีกาหนดใหไ้ ด้ (ทองจนั ทร์ เติมจิตร, ผใู้ หส้ มั ภาษณ์, 20 พฤษภาคม 2561)

ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาบุคลิกภาพ (Personality) ของนกั เรียน ซ่ึงถือเป็ นส่ิงท่ีสาคญั ในการสะทอ้ นจากวิธีคิดและ

ลกั ษณะพฤติกรรมของแต่ละบุคคลหรือท่ีเรียกว่า พฤติกรรมทางสังคมของนกั เรียน ซ่ึงตอ้ งเขา้ ใจความแตกต่าง

ระหว่างบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล การเขา้ ถึงนกั เรียนทาใหผ้ สู้ อนสามารถช่วยเหลือใหน้ กั เรียนเขา้ ถึงเน้ือหาของ

บทเรียน จนสามารถคิดและอธิบายกระบวนการอย่างเป็ นข้นั ตอนไดม้ ากข้ึน โดยบุคลิกภาพของบุคคลแบ่งเป็ น

บุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย (Extroverts) และบุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั (Introverts) (Cattel, Eber, & Tatsuoka, 1970)

การศึกษาทฤษฎีการคิดเชิงคานวณ (Computational thinking) เพื่อใหน้ กั เรียนมีความสามารถเขา้ ใจในการ

มองปัญหาและการแกป้ ัญหาไดต้ ามกระบวนการ เป็นกระบวนการแกป้ ัญหาท่ีพบในชีวติ จริงอยา่ งเป็นข้นั ตอนและ

เป็นระบบ โดยคานิยามของการคิดเชิงคานวณ คือ กระบวนการคิดอยา่ งมีประสิทธิภาพ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั แนวคิดและ

เทคนิคที่สามารถพฒั นาไดต้ ลอดเวลา ประกอบดว้ ย วิธีการแกป้ ัญหา การออกแบบระบบ และการทาความเขา้ ใจ

พฤติกรรมมนุษย์ โดยการคิดเชิงคานวณ หมายถึง ความสามารถในการแกป้ ัญหาประกอบดว้ ย 4 ส่วน คือ การแยก

ส่วนประกอบและการย่อยปัญหา (Decomposition) การหารูปแบบ (Pattern recognition) การคิดเชิงนามธรรม

(Abstraction) การออกแบบข้นั ตอน (Algorithms) รวมถึงการเสริมศกั ยภาพดา้ นกระบวนการคิด (Metacognitive

scaffolding) เป็นการใชเ้ คร่ืองมือทางปัญญา (Cognitive tools) เพ่ือใหน้ กั เรียนสามารถบนั ทึกความคิดในการแกไ้ ข

ปัญหา สนบั สนุนกระบวนการพ้ืนฐานท่ีเก่ียวกบั การจดั การเรียนรู้และการสะทอ้ นความคิด (ศศิวรรณ ชานิยนต์,

2552; สุธีระ ประเสริฐสรรพ,์ 2559; ยืน ภ่วู รวรรณ, 2561; Davis, 1996; McLoughlin, 2002; Wing, 2006)

จากการศึกษาเอกสาร ทฤษฎี หลกั การ แนวคิดและวรรณกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ ง พบว่า กระบวนการสนบั สนุน

ดา้ นการคิดเชิงคานวณและเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการเรียนเป็นสิ่งท่ีสาคญั ซ่ึงการพฒั นาของเทคโนโลยีทาใหร้ ูปแบบการ

สอนมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม โดยปัจจุบนั มีการพฒั นาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารท่ีเจริญกา้ วหนา้ มากข้ึน

การเรียนและการสอนไดเ้ ปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนสามารถเขา้ ถึงเน้ือหา การเรียนรู้ไดท้ ุกท่ีทุกเวลา จึงไดน้ าเครื่องมือที่

เรียกว่า แชทบอท (Chatbot) ซ่ึงเป็ นการจาลองการสนทนาเป็ นการออกแบบให้มีการคาดเดาประโยคถดั ไป แชทบอท

สามารถแบ่งรูปแบบการสนทนาได้ 2 รูปแบบดงั น้ี 1) การสนทนาแบบหาความตอ้ งการ (Intent-based) คือรูปแบบ

การสนทนาท่ีมีเจตนาในการทาอย่างใดอย่างหน่ึง โดยวิเคราะห์จากคาภายในประโยคที่ไดร้ ับมา จากน้ันหาว่า

ขอ้ ความท่ีผใู้ ชพ้ ิมพม์ า ตอ้ งการจะทาอะไรหรือส่ือถึงอะไร 2) การสนทนาแบบตามลาดบั (Flow-based) คือรูปแบบ

การสนทนาที่ไดว้ างเน้ือหาใหต้ ้งั แต่เร่ิมตน้ จนถึงปลายทาง สามารถนาผใู้ ชง้ านท่ีเขา้ มาสนทนากบั แชทบอทไปยงั

จุดหมายตามท่ีกาหนดได้ (พสั ธร สุวรรณศรี, 2560)

ดงั น้นั งานวิจยั น้ีจึงไดอ้ อกแบบโดยใชแ้ ชทบอทดึงเน้ือหาท่ีนกั เรียนตอ้ งการจากการจบั คู่ประโยคการ

สนทนาออกมานาเสนอในรูปแบบภาพ เสียง หรือวิดีโอตามที่ไดเ้ ตรียมเน้ือหาไว้ สามารถช่วยคานวณเปรียบเทียบ

ตวั เลือก หนทางที่ดีที่สุด โดยเน้ือหาที่ไดต้ อบกลบั นกั เรียนน้นั จะกระตุน้ การคิดในรูปแบบที่แตกต่างกนั ออกไป

ตามความสนใจของนกั เรียนและใช้แชทบอทบนสื่อสังคมออนไลน์ มีการเขา้ ถึงท่ีง่ายและเขา้ ถึงไดห้ ลากหลาย

ปี ท่ี 13 ฉบบั ท่ี 1 (ม.ค. – ม.ิ ย.) 2563 | 47

ผลของการใชแ้ ชทบอทที่มีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีต่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ที่มบี ุคลิกภาพท่ีแตกต่างกนั

ช่องทางไม่ว่าจะเป็ นเว็บไซต์บนคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันทางมือถือตามความสะดวกในการใช้งานได้

ทุกสถานท่ี ทุกเวลา โดยการศึกษาผลของการใชเ้ คร่ืองมือแชทบอทของนกั เรียนในแต่ละบุคลิกภาพในการใชก้ าร

คิดเชิงคานวณเขียนโปรแกรมในวชิ าตารางคานวณ การเขียนโปรแกรมของนกั เรียนไม่มีคาวา่ ผิด แต่คาวา่ ไม่ผิดน้นั

ตอ้ งอยู่บนพ้ืนฐานการเขียนและผลลพั ธ์ท่ีออกมาตอ้ งถูกตอ้ ง และยงั ให้ความสาคญั กบั ความแตกต่างระหว่าง

บุคลิกภาพของแต่ละบุคคล ใหค้ วามช่วยเหลือนกั เรียนอยา่ งเป็นระบบจนสามารถใหน้ กั เรียนเกิดการคิดเชิงคานวณ

เพื่อให้นักเรียนแก้ปัญหาอย่างมีข้ันตอนและคิดอย่างเป็ นระบบ ส่งเสริมนักเรียนให้คิดและสามารถนาไป

ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้

วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั

เพื่อศึกษาผลของการใชแ้ ชทบอทที่มีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีมีต่อการคิดเชิงคานวณของ
นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ที่มีบุคลิกภาพท่ีแตกต่างกนั

นิยามศัพท์เฉพาะ

1. บุคลกิ ภาพ เป็นการศึกษาแบบแผนของพฤติกรรมนกั เรียน ประกอบดว้ ย
1.1 บุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย หมายถึง นกั เรียนที่มีบุคลิกกลา้ แสดงออกในระหว่างเรียนและการมี

ปฏิสมั พนั ธก์ บั ผอู้ ื่น
1.2 บุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั หมายถึง นกั เรียนที่ไม่ค่อยมีปฏิสมั พนั ธ์กบั ผอู้ ื่น

2. การช่วยเสริมศักยภาพ (Scaffolding) เป็นการเสริมศกั ยภาพจากการช้ีแนะวิธีคิด ระหวา่ งการสนทนา
นาเสนอตวั เลือกจากการถามและตอบในบทสนทนา กระตุน้ การคิดและหาคาตอบดว้ ยตนเองของนกั เรียน มีการ
แบ่งระดับการสนทนาตามระดับศักยภาพการเรี ยนของนักเรี ยนในฐานความช่วยเหลือเกี่ยวกับการคิด
(Metacognitive Scaffolding) เพ่ือใหน้ กั เรียนเกิดการคิดเชิงคานวณ

2.1 การสนับสนุนผ่านการใช้ข้อความ มีแนวทางการสนับสนุนเกี่ยวกับวิธีการคิดในการ
แกป้ ัญหาดว้ ยขอ้ ความเท่าน้นั เป็นการแสดงข้นั ตอนหรือเน้ือหาทีละข้นั ตอน เม่ือนกั เรียนไม่เขา้ ใจในข้นั ความรู้ที่
ตนเองมี จะสนบั สนุนโดยการแสดงเน้ือหามากข้ึนผา่ นทางขอ้ ความจนนกั เรียนสามารถช่วยเหลือตนเองได้

2.2 การสนบั สนุนผา่ นการใชเ้ วบ็ ไซต์ มีแนวทางการแสดงการไดม้ าซ่ึงคาตอบที่นกั เรียนตอ้ งการ
จากการยกตวั อยา่ งเป็นสถานการณ์ เป็นขอ้ ความและแสดงรูปภาพประกอบ เพ่ือกระตุน้ ใหน้ กั เรียนเกิดความเขา้ ใจ
มากข้ึน โดยเช่ือมโยงไปสู่บทเรียนบนเวบ็ ไซต์ (URL) เพ่ืออธิบายรายละเอียดมากข้ึน หากการสนทนาดว้ ยขอ้ ความ
เพียงอยา่ งเดียวไม่เพียงพอต่อนกั เรียนและสนบั สนุนจนนกั เรียนสามารถช่วยเหลือตนเองได้

2.3 การสนบั สนุนผ่านการใชว้ ิดีโอ เป็นแสดงการไดม้ าซ่ึงคาตอบผ่านการสนทนาดว้ ยขอ้ ความ
รูปภาพและสื่อวิดีโอ เน้ือหาไม่แสดงคาตอบท้งั หมดเพียงแต่เป็ นการแสดงข้นั ตอนบางส่วน และแสดงวิดีโอที่มี
ข้นั ตอนเพิ่มมากข้ึนเม่ือนกั เรียนไม่เขา้ ใจสิ่งที่ศึกษา โดยเชื่อมโยงไปสู่บทเรียนบนเวบ็ ไซตเ์ พ่ือศึกษาเน้ือหาเพิ่มเติม

48 | ปี ท่ี 13 ฉบบั ที่ 1 (ม.ค. – ม.ิ ย.) 2563

ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ี่มีต่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ที่มบี ุคลิกภาพที่แตกต่างกนั

ที่ผสู้ อนไดเ้ ตรียมไว้ ใหน้ กั เรียนนาขอ้ มลู มาประกอบการแกป้ ัญหาและเพื่อหาคาตอบไดด้ ว้ ยตนเองและสนบั สนุน

จนนกั เรียนสามารถช่วยเหลือตนเองได้

3. แชทบอท (Chatbot) หมายถึง โปรแกรมแบบจาลองการสนทนาของระบบคอมพิวเตอร์ที่นักเรียน

สามารถเรียนรู้ต้งั แต่เร่ิมจนถึงสิ้นสุด ตามที่แชทบอทไดถ้ ูกต้งั คาถามไว้ แบ่งรูปแบบการสนทนาของแชทบอทไว้

ดงั น้ี

3.1 การสนทนาแบบหาความตอ้ งการ คือ รูปแบบการสนทนาตามประสงค์ของนักเรียนท่ีมี

เจตนาในการทาอย่างใดอย่างหน่ึง โดยครูผสู้ อนจดั กลุ่มคาถามและคาตอบเพ่ือให้แชทบอทสนทนาโตต้ อบกบั

นกั เรียนไดต้ ามท่ีตอ้ งการ

3.2 การสนทนาแบบตามลาดบั คือ รูปแบบการสนทนาตามเสน้ ทางที่ครูผสู้ อนไดว้ างเน้ือหาให้

นกั เรียน ต้งั แต่เริ่มตน้ จนถึงปลายทาง สามารถนานกั เรียนที่เขา้ มาสนทนากบั แชทบอทไปยงั จุดหมายตามท่ีผสู้ อน

กาหนดได้ ใหค้ วามช่วยเหลือนกั เรียนไปตามกระบวนการวเิ คราะห์ที่ออกแบบไว้

งานวิจยั น้ีใชร้ ูปแบบการสนทนาแบบตามลาดบั เป็นรูปแบบการสนทนาหลกั ในการสอนเพ่ือใหน้ กั เรียน

ดาเนินตามกระบวนการและพาไปถึงปลายทางท่ีครูผสู้ อนกาหนดไวแ้ ละใชแ้ ชทบอทรูปแบบการสนทนาแบบหา

ความตอ้ งการ ในการถามตอบขอ้ คาถามทวั่ ไปของนกั เรียน

4. แชทบอทแบบช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ (Online Scaffolding Chatbot) เป็ นรูปแบบ

บทสนทนาที่ครูผูส้ อนได้ต้ังค่าไว้ ช่วยให้ผูส้ นทนาท่ีเป็ นนักเรียนได้มาซ่ึงคาตอบของส่ิงที่ต้องการ โดยมี

คุณลกั ษณะการสนทนาภายในงานวจิ ยั ดงั ต่อไปน้ี

4.1 การสนทนาของแชทบอทท่ีโตต้ อบโดยอตั โนมตั ิไดแ้ ยกตามระดบั ศกั ยภาพการเรียนรู้ของ

นกั เรียนโดยแบ่งเป็นการใชง้ าน 3 แบบดงั ต่อไปน้ี

1) ขอ้ ความ เป็นการสนทนาดว้ ยขอ้ ความแบบส้นั กระชบั ใจความ

2) เวบ็ ไซต์ เป็นการโตต้ อบดว้ ยเน้ือหาเวบ็ ไซต์ โดยใชค้ ุณสมบตั ิของเวบ็ ดว้ ยขอ้ ความ และ

รูปภาพ โดยมีรูปภาพประกอบกบั ขอ้ ความบรรยาย

3) วิดีโอ เป็นการนาเสนอเน้ือหาเป็นสื่อ ภาพเคล่ือนไหว มีคาอธิบายอยา่ งเป็นข้นั ตอน

5. โปรแกรมตารางการคานวณ หมายถึง โปรแกรมที่มีความสามารถในดา้ นการสร้างตารางการคานวณ

และการแสดงผลขอ้ มูลในรูปแบบแผนภูมิอย่บู นแผน่ งานท่ีมีลกั ษณะเป็นช่องตารางส่ีเหลี่ยมท่ีเรียกว่า สเปรดชีต

(Spreadsheet) โดยสร้างและแกไ้ ขสเปรดชีตใชง้ านผ่าน Microsoft Excel เพื่อการสร้างการทางานแบบอตั โนมตั ิ

ดว้ ยตวั บนั ทึกแมโคร

6. การคดิ เชิงคานวณ (Computational Thinking) หมายถึง กระบวนการคิดสาหรับแกไ้ ขปัญหาท่ีเกิดจาก

การวเิ คราะห์ขอ้ มูลอยา่ งเป็นระบบ หาความสมั พนั ธข์ องขอ้ มลู และออกแบบโดยมีลาดบั ของคาสัง่ หรือวธิ ีการอย่าง

ชดั เจนที่สามารถนาไปใชห้ รือปฏิบตั ิตามได้

ปี ที่ 13 ฉบบั ที่ 1 (ม.ค. – มิ.ย.) 2563 | 49

ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีต่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.
การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ที่มบี ุคลิกภาพที่แตกต่างกนั

ขอบเขตการวจิ ัย

1. ด้านเนอื้ หา

เน้ือหาท่ีใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ีเป็นเน้ือหาที่เก่ียวขอ้ งในรายวชิ าเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ซ่ึงประกอบไปดว้ ยเน้ือหาดา้ นโปรแกรมตารางคานวณ
ท้งั หมด 4 บทเรียน ดงั น้ี

1.1 บทท่ี 1 การใช้ฟังก์ชันโปรแกรม Excel และแมโครเบอื้ งต้น

เนน้ การแยกส่วนประกอบและการย่อยปัญหา การแบ่งปัญหาใหญ่ใหเ้ ป็นปัญหาย่อยหรือระบบท่ีซบั ซอ้ น

ออกเป็ นส่วนๆ เพ่ือให้ง่ายต่อการจดั การและแกป้ ัญหา มีเน้ือหาเก่ียวกบั การสร้างแผนภูมิจากขอ้ มูลท่ีกาหนดให้
เช่น สามารถแยกขอ้ มลู องคป์ ระกอบจากรูปแผนภูมิท่ีกาหนดใหไ้ ด้

1.2 บทที่ 2 การสร้างกราฟและแผนภูมิด้วยแมโคร

เนน้ การจดจา การหารูปแบบ การทาความเขา้ ใจ จดจารูปแบบ หาความสัมพนั ธ์ของขอ้ มูล โดยมีเน้ือหา
เกี่ยวกบั การจดั รูปแบบขอ้ มลู เพ่ือสร้างสูตรการคานวณใชต้ วั แปรแทนตวั เลขและเขียนฟังกช์ นั ไดจ้ ากการวิเคราะห์
ขอ้ มูลท่ีกาหนดให้ เช่น การจดั รูปแบบขอ้ มลู การแทนสูตรดว้ ยตวั แปรแทนตวั เลขเพ่ือสร้างออกมาเป็นแมโครที่มี

การใชง้ านอตั โนมตั ิ

1.3 บทท่ี 3 บทเรียนการทางานกบั โครงสร้างข้อมลู และแบบฟอร์ม

เนน้ การคิดเชิงนามธรรม การคดั กรองขอ้ มลู สาคญั และนาส่วนท่ีไม่เกี่ยวขอ้ งออก เพ่ือใหจ้ ดจ่อเฉพาะสิ่งท่ี
ตอ้ งการ โดยมีเน้ือหาเกี่ยวกบั การอธิบายกระบวนการในการสร้างสูตรและชุดคาสั่งใชง้ าน เนน้ การอธิบายภายรวม
ของกระบวนการหลกั ท่ีไดม้ าซ่ึงผลลพั ธ์ที่กาหนดให้

1.4 บทท่ี 4 บทเรียนการสร้างแมโครแบบกาหนดเงอื่ นไข

เนน้ การออกแบบข้นั ตอน การพฒั นาแนวทางแกป้ ัญหาและอธิบายอย่างเป็นข้นั เป็นตอนในการสร้างการ
ทางานแบบอตั โนมตั ิดว้ ยตวั บนั ทึกแมโคร ซ่ึงมีเน้ือหาเก่ียวกบั การหาหนทางแกป้ ัญหาจากขอ้ มูลและคาถามที่ได้
กาหนดไวไ้ ด้ โดยสร้างชุดคาสง่ั แบบอตั โนมตั ิดว้ ยตวั บนั ทึกแมโครเพ่ือใชง้ านใหต้ รงกบั ประเดน็ ปัญหาที่ตอ้ งการ

2. ตวั แปรทศี่ ึกษา

ต้นแปรต้น ไดแ้ ก่ 1) แชทบอทแบบช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ และ 2) บุคลิกภาพ ประกอบดว้ ย

บุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย และบุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั

ต้นแปรตาม คือ การคิดเชิงคานวณ (Computational thinking)

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั

การศึกษาวิจยั คร้ังน้ีผูว้ ิจยั ไดแ้ นวคิดจากการศึกษาเอกสาร ตาราและงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั บุคลิกภาพ
แชทบอท การช่วยเสริมศกั ยภาพ การคิดเชิงคานวณ โดยการวดั การคิดเชิงคานวณที่ใชใ้ นงานวิจยั ครอบคลุมตาม

50 | ปี ท่ี 13 ฉบบั ท่ี 1 (ม.ค. – ม.ิ ย.) 2563

ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมกี ารช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีมีต่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ที่มีบุคลิกภาพท่ีแตกต่างกนั

องคป์ ระกอบของการคิดเชิงคานวณ ประกอบดว้ ย การแยกส่วนประกอบและการยอ่ ยปัญหา การหารูปแบบ การคิด

เชิงนามธรรมและการออกแบบข้นั ตอน โดยสรุปเขียนเป็นแผนภาพแสดงกรอบแนวคิดการวจิ ยั ดงั น้ี

บุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย (Extrovert) บุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั (Introvert)

แชทบอทแบบช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ (Online Scaffolding Chatbot)

แชทบอท (Chatbot) การช่วยเสริมศกั ยภาพ (Scaffolding)

การคิดเชิงคานวณ (Computational Thinking)
- การแยกส่วนประกอบและการยอ่ ยปัญหา (Decomposition)
- การหารูปแบบ (Pattern Recognition)
- การคิดเชิงนามธรรม (Abstraction)
- การออกแบบข้นั ตอน (Algorithms)

วธิ ีดาเนินการวจิ ัย

แบบแผนการวิจยั ที่ใช้เป็ นแบบแผนการทดลองข้นั ตน้ (Pre-Experimental Design) แบบ Two Group Pretest -
Posttest Design โดยมีรูปแบบการทดลองดงั น้ี

รูปแบบ

กลมุ่ E1 T1 X T2
กลมุ่ E2 T1 X T2

ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากร คือ นักเรียนระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ปี การศึกษา 2561 สังกัดสานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน
กลุ่มตัวอย่าง คือ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ปี การศึกษา 2561 จานวน 60 คน ท่ีกาลงั ศึกษาใน
รายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิชาวิทยาการคานวณ สงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน
ท่ีสามารถใชง้ านอินเทอร์เน็ตไดแ้ ละมีพ้ืนฐานการใชง้ านโปรแกรมตารางคานวณและเรียนหลกั สูตรตามมาตรฐาน
การเรียนรู้และตวั ช้ีวดั กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 วิธีการสุ่มตวั อย่างใชว้ ิธีการสุ่มแบบแบ่งช้นั (stratified random sampling)

ปี ท่ี 13 ฉบบั ท่ี 1 (ม.ค. – ม.ิ ย.) 2563 | 51

ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ่ีมตี ่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ที่มีบุคลิกภาพท่ีแตกต่างกนั

โดยนกั เรียนท้งั หมด 60 คน แบ่งเป็นนกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย จานวน 34 คน และนกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพ

แบบเกบ็ ตวั จานวน 26 คน

เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย

1. แบบวดั บุคลกิ ภาพ

การวดั บุคลิกภาพของนกั เรียนท้งั บุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย และบุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั มาจากศึกษาหลกั การ

ทฤษฎี เอกสารและผลงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั บุคลิกภาพ โดยผวู้ ิจยั เลือกแบบทดสอบบุคลิกภาพและเชาวน์อารมณ์

(กวี ศรีเวศร, 2544) เป็ นเครื่องมือที่ใชใ้ นการวดั บุคลิกภาพของนักเรียน จากน้นั นาแบบวดั บุคลิกภาพไปทาการ

ทดสอบ (pilot test) จานวน 30 ชุดกบั กลุ่มตวั อย่าง โดยดาเนินการคดั เลือกกลุ่มตวั อยา่ งที่มีคุณลกั ษณะใกลเ้ คียงกบั

กลุ่มตวั อย่างที่ผูว้ ิจยั เลือกมาศึกษา เพื่อวดั บุคลิกภาพนกั เรียนก่อนนาไปใชง้ านจริง สาหรับการแปลผลแบบวดั

ผตู้ อบสามารถตรวจและใหค้ ะแนนแบบวดั ไดด้ ว้ ยตนเอง

2. แชทบอทแบบช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ออนไลน์

การสร้างแชทบอทแบบช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ มาจากการศึกษาหลกั การ ทฤษฎี เอกสาร

และงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ งกบั แชทบอท การเสริมศกั ยภาพของนกั เรียนและการคิดเชิงคานวณ วิเคราะหเ์ น้ือหาบทเรียน

เร่ื องโปรแกรมตารางคานวณในด้านความรู้พ้ืนฐานการสร้ างการทางานด้วยตัวบันทึ กแมโคร และกาหนด

วตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ และนาเน้ือหาท่ีไดว้ เิ คราะห์และแยกออกเป็นหน่วยการเรียน โดยเลือกระบบจดั การเน้ือหา

(Content Management System) เข้ามาใชใ้ นการสร้างบทเรียน ทาการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวขอ้ งกบั

องคป์ ระกอบรูปแบบการสนทนา รวมถึงคุณสมบตั ิการทางานของแชทบอท การวิจยั คร้ังน้ี ผวู้ ิจยั ไดใ้ ชเ้ ครื่องมือ

สาหรับผลิตแชทบอทภายใตแ้ พลตฟอร์มสาเร็จรูป โดยใชแ้ ชทบอทรูปแบบการสนทนาแบบหาความตอ้ งการใน

การถามตอบทว่ั ไปของนกั เรียนและใชร้ ูปแบบการสนทนาแบบตามลาดบั ในการสอนเพื่อให้นกั เรียนดาเนินการ

ตามกระบวนการและพาไปจนถึงปลายทางท่ีครูผสู้ อนไดก้ าหนดไว้

การออกแบบแชทบอทสาหรับการคิดเชิงคานวณเป็ นการออกแบบการเรียนการสอนในแต่ละเน้ือหา

ภายในบทเรียนที่มีการอธิบายถึงคาส่ังหรือฟังกช์ นั ของการเขียนโปรแกรม จะมีการแทรกเน้ือหาการเรียนผา่ นบท

สนทนาแชทบอท โดยมีการแบ่งระดบั การสนทนาตามระดบั ศกั ยภาพการเรียนของนกั เรียนในฐานความช่วยเหลือ

เก่ียวกบั การคิด เพื่อใหน้ กั เรียนเกิดกระบวนการคิดที่จะนาไปสู่การคิดเชิงคานวณ ทาการตรวจสอบคุณภาพส่ือโดย

ผเู้ ชี่ยวชาญก่อนนาไปใชจ้ ริง ดว้ ยแบบประเมินที่มีลกั ษณะเป็นแบบประมาณค่า 5 ระดบั ผลการตรวจสอบคุณภาพ

เครื่องมือวิจยั พบว่า ภาพรวมมีความเหมาะสมอย่ใู นระดบั ดีมาก (M = 4.67, SD = 0.12) หลงั จากการตรวจสอบ

คุณภาพเครื่องมือ มีการนามาปรับปรุงแกไ้ ขตามคาแนะนาของผูเ้ ชี่ยวชาญ ทาให้ไดเ้ ครื่องมือแชทบอทแบบช่วย

เสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ ประกอบดว้ ย รูปแบบการสนทนาแบบหาความตอ้ งการ และการสนทนาแบบ

ตามลาดบั ซ่ึงท้งั สองลกั ษณะมีการใชร้ ูปแบบการแชทที่ช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ เพ่ือกระตุน้ การคิดเชิงคานวณ

ของนกั เรียนจากการสนทนาในรูปแบบการช่วยเหลือ การใบ้ หรือการตอบประโยคท่ีช่วยกระตุน้ ความคิดของ

นกั เรียนใหไ้ ดม้ าซ่ึงคาตอบของส่ิงที่ตอ้ งการ เป็นฟังกช์ นั โตต้ อบแบบอตั โนมตั ิที่ผสู้ อนไดเ้ ตรียมคาถามและคาตอบ

52 | ปี ที่ 13 ฉบบั ท่ี 1 (ม.ค. – ม.ิ ย.) 2563

ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ี่มีต่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ที่มีบุคลิกภาพที่แตกต่างกนั

ไวอ้ ยู่แลว้ โดยให้นกั เรียนศึกษา เรียนรู้ และหาคาตอบดว้ ยตนเองจากการใชฟ้ ังกช์ นั การทางานท่ีมีให้อย่างจากดั

และยกระดบั การสนทนาเพื่อเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ของนกั เรียนใหส้ อดคลอ้ งกบั การใชก้ ารคิดเชิงคานวณ

3. แบบวดั การคดิ เชิงคานวณของนักเรียน

แบบวดั การคิดเชิงคานวณ ประกอบดว้ ยการประเมิน 3 ดา้ น คือ 1) ดา้ นแนวคิด (Concepts) ประกอบดว้ ย

ดา้ นการเขียนโปรแกรม การคิดคานวณ และการแกไ้ ขปัญหา 2) ดา้ นวิธีการ (Practices) ประกอบดว้ ย การสร้าง

โซลูช่ันแกไ้ ขปัญหาและการส่ือสาร การระดมความคิด 3) ด้านมุมมอง (Perspectives) ประกอบด้วย การทา

แอปพลิเคชันข้ึนมาอย่างเป็ นระบบและความเขา้ ใจการตดั สินใจในการออกแบบจากการประเมินทางเลือก

ท่ีแตกต่างกนั การตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือวิจยั ใช้ผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นการคิดเชิงคานวณ โดยตรวจสอบความ

เที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) โดยภาพรวมแบบวดั ที่สร้างข้ึนมีความเหมาะสมอยใู่ นระดบั ดีมาก แสดงว่า

เครื่องมือท่ีพฒั นาข้ึนมีความเหมาะสมสามารถนาไปใชไ้ ดจ้ ริง และจดั ทาแบบวดั การคิดเชิงคานวณฉบบั จริง เพ่ือ

นาไปใช้กบั กลุ่มเป้ าหมาย โดยมีแนวทางในการวดั การคิดเชิงคานวณ เป็ นขอ้ คาถามเก่ียวกบั โปรแกรมตาราง

คานวณ ท่ีเป็นขอ้ สอบอตั นยั แบ่งเป็นการวดั วิธีการคิดเชิงคานวณท้งั 4 บทเรียน และไดก้ าหนดแนวทางในการวดั

การคิดเชิงคานวณโดยใชเ้ กณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบรูบริค

สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล

1. การวิเคราะห์ค่าสถิติพ้ืนฐาน ประกอบดว้ ย ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

2. การเปรียบเทียบผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีต่อการคิดเชิง

คานวณของนกั เรียนในระยะก่อนและหลงั การทดลอง โดยใชส้ ถิติทดสอบค่าที (t-test แบบ Dependent)

3. การเปรียบเทียบผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ี่มีต่อการคิดเชิง

คานวณของนกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเก็บตวั และนกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผยหลงั การทดลอง โดยใชส้ ถิติ

ทดสอบค่าที (t-test แบบ Independent)

ผลการวจิ ยั

1) ผลของการใช้แชทบอทที่มีการช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีมีต่อการคิดเชิงคานวณของ

นกั เรียนท้งั หมด
ผลการวิเคราะห์การใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีมีต่อการคิดเชิงคานวณ

ของนักเรียนท้ังหมด พบว่า คะแนนเฉล่ียการคิดเชิงคานวณหลงั การใช้แชทบอทที่มีการช่วยเสริมศักยภาพ
การเรียนรู้ออนไลนท์ ่ีมีต่อการคิดเชิงคานวณสูงกวา่ ก่อนการทดลอง อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 โดยก่อน
การทดลองมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 19.53 คะแนน (SD = 3.07) และหลงั การทดลองมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 32.93 คะแนน
(SD = 4.77) เม่ือเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉล่ียการคิดเชิงคานวณระหว่างก่อนและหลงั การทดลอง
พบวา่ นกั เรียนไดค้ ะแนนเฉล่ียหลงั การทดลองสูงกวา่ ก่อนการทดลอง เท่ากบั 13.40 ดงั ตารางท่ี 1

ปี ท่ี 13 ฉบบั ที่ 1 (ม.ค. – มิ.ย.) 2563 | 53

ผลของการใชแ้ ชทบอทที่มกี ารช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีต่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.
การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ท่ีมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกนั

ตารางท่ี 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียการคิดเชิงคานวณก่อนและหลังการใช้แชทบอทที่มีการช่วยเสริม

ศักยภาพการเรียนรู้ออนไลน์

เวลาการทดลอง n M SD ผลต่างของค่าเฉลยี่ t df Sig.

ก่อนการทดลอง 60 19.53 3.07 -13.40 -18.301* 101 0.000
หลงั การทดลอง 60 32.93 4.77

*p < .05

2) ผลของการใช้แชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีมตี ่อการคดิ เชิงคานวณระหว่าง

นกั เรียนทม่ี บี ุคลกิ ภาพแบบเปิ ดเผยและนกั เรียนทีม่ บี ุคลกิ ภาพแบบเกบ็ ตวั หลงั การทดลอง
ผลการวิเคราะห์การใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีมีต่อการคิดเชิงคานวณ

หลงั การทดลอง พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลงั การทดลองของนักเรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผยสูงกว่านักเรียนท่ีมี
บุคลิกภาพแบบเก็บตวั อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยกลุ่มของนักเรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเก็บตัว
มีคะแนนเฉลี่ยหลงั การทดลองเท่ากบั 31.60 คะแนน (SD = 4.01) และนกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผยมีค่าเฉลี่ย
ของคะแนนหลงั การทดลองเท่ากบั 33.96 คะแนน (SD = 5.10) เม่ือเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉล่ียหลงั
การทดลอง พบว่า นกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผยมีคะแนนสูงกว่านกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเก็บตวั เท่ากบั
2.36 ดงั ตารางที่ 2

ตารางท่ี 2 ผลของการใช้แชทบอทที่มีการช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีต่อการคิดเชิงคานวณของ

นักเรียนท่ีมบี ุคลกิ ภาพแบบเกบ็ ตวั และนกั เรียนที่มบี ุคลกิ ภาพแบบเปิ ดเผยหลงั เรียน

กลุ่มตวั อย่าง n M SD ผลต่างของค่าเฉลยี่ t df Sig.

นกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั 26 31.60 4.01 -2.36 -1.943* 58 0.028
นกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย 34 33.96 5.10

*p < .05

3) ผลของการใช้งานแชทบอทที่มกี ารช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีต่อการคิดเชิงคานวณส่วน

การใช้งานเวบ็ ไซต์ของนักเรียนที่มบี ุคลกิ ภาพแบบเปิ ดเผยและนกั เรียนที่มบี ุคลกิ ภาพแบบเกบ็ ตวั หลังการทดลอง
ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ่ีมีต่อการคิดเชิงคานวณ มีค่าเฉลี่ย

การใชง้ านแชทบอทส่วนการใชง้ านเวบ็ ไซตห์ ลงั การทดลองของนกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเก็บตวั สูงกวา่ นกั เรียน
ท่ีมีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 โดยนกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเก็บตวั มีค่าเฉล่ีย
การใชง้ านแชทบอทส่วนการใช้งานเว็บไซต์เท่ากบั 10.27 (SD=3.69) และนักเรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย
มีค่าเฉลี่ยการใชง้ านแชทบอทส่วนการใชง้ านเวบ็ ไซต์เท่ากบั 7.24 (SD=2.45) เม่ือเปรียบเทียบความแตกต่างของ

54 | ปี ที่ 13 ฉบบั ที่ 1 (ม.ค. – มิ.ย.) 2563

ผลของการใชแ้ ชทบอทที่มกี ารช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ่ีมตี ่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ที่มบี ุคลิกภาพที่แตกต่างกนั

ค่าเฉล่ีย พบว่า นกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเก็บตวั มีค่าเฉลี่ยการใชง้ านแชทบอทส่วนการใชง้ านเวบ็ ไซต์หลงั การ

ทดลองสูงกวา่ นกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย เท่ากบั 3.03 ดงั ตารางท่ี 3

ตารางที่ 3 ผลของการใช้แชทบอทที่มกี ารช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ทม่ี ตี ่อการคิดเชิงคานวณของ

นักเรียนทีม่ บี ุคลกิ ภาพแบบเกบ็ ตวั และนักเรียนท่มี บี ุคลกิ ภาพแบบเปิ ดเผย

กลุ่มตวั อย่าง n M SD ผลต่างของค่าเฉลย่ี t df Sig.

นกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั 26 10.27 3.69 3.03 3.623* 41 0.000
นกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย 34 7.24 2.45

*p < .05

อภิปรายผลการวจิ ยั

1) การศึกษาผลของการใชแ้ ชทบอทที่มีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ่ีมีต่อการคิดเชิงคานวณ
ของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ท่ีมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกนั ผลการวิจยั พบวา่ นกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบ
เปิ ดเผยและแบบเก็บตวั ท้งั สองกลุ่มสูงข้ึนมีคะแนนเฉล่ียการคิดคานวณกว่าก่อนการทดลอง ท้งั น้ีอาจเป็นเพราะผล
ของการเสริมศกั ยภาพดา้ นกระบวนการคิด (Metacognitive Scaffolding) สนบั สนุนกระบวนการพ้ืนฐานท่ีเก่ียวกบั
การจดั การเรียนรู้และการสะทอ้ นความคิด เป็นฐานการช่วยเหลือที่สนบั สนุนเก่ียวกบั กระบวนการที่เก่ียวขอ้ งกบั
การจดั การเรียนรู้ของนกั เรียนแต่ละคน (ศศิวรรณ ชานิยนต์, 2552; Davis, 1996) ซ่ึงจะช้ีแนะวิธีคิดระหว่างการ
เรียนรู้ผา่ นทางแชทบอทในการสนทนาแบบหาความตอ้ งการ และการสนทนาแบบตามลาดบั ท้งั สองลกั ษณะมีการ
ใชร้ ูปแบบการแชทท่ีช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้เพื่อกระตุน้ การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนจากการสนทนาใน
รูปแบบการช่วยเหลือ การใบห้ รือการตอบประโยคที่ช่วยกระตุน้ ความคิดของนกั เรียนใหไ้ ดม้ าซ่ึงคาตอบของส่ิงท่ี
ตอ้ งการ

2) ผลการศึกษาบุคลิกภาพที่แตกต่างกนั ของนกั เรียนกบั การใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการ
เรียนรู้ออนไลนท์ ี่มีต่อการคิดเชิงคานวณ พบว่า นกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผยไดค้ ะแนนเฉล่ียสูงกวา่ นกั เรียน
ท่ีมีบุคลิกภาพแบบเก็บตวั เนื่องจากผลการใชง้ านแชทบอทส่วนโตต้ อบดว้ ยขอ้ ความในดา้ นการแยกส่วนประกอบ
และการย่อยปัญหาใชง้ านสูงกวา่ โดยนกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั เลือกใชง้ านส่วนของเวบ็ ไซตเ์ พ่ือดูขอ้ มูล
เพิ่มเติมมากกว่าการโตต้ อบขอ้ ความกบั แชทบอท ขอ้ สังเกตของผวู้ ิจยั พบวา่ นกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั ใช้
การหาขอ้ มลู ผา่ นเวบ็ ไซตเ์ องมากกวา่ การช้ีนาผา่ นทางแชทบอท ส่งผลใหไ้ ดข้ อ้ มลู ไม่ตรงตามความตอ้ งการและใช้
เวลามากกว่านักเรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผยท่ีโตต้ อบผ่านขอ้ ความในแชทบอททนั ทีเมื่อเกิดขอ้ สงสัยหรือ
ตอ้ งการขอ้ มูลเพิ่มเติม ซ่ึงเป็ นฟังก์ชนั โตต้ อบแบบอตั โนมตั ิท่ีผสู้ อนไดเ้ ตรียมคาถามและคาตอบไวอ้ ย่แู ลว้ โดย
นกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผย ศึกษา เรียนรู้ และหาคาตอบดว้ ยตนเองจากการใชฟ้ ังกช์ นั การทางานแชทบอท
และค่อย ๆ ยกระดบั การสนทนาเพ่ือเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ให้สอดคลอ้ งกบั การใชก้ ารคิดเชิงคานวณ ทาใหเ้ ม่ือ
วิเคราะห์จากผลคะแนนการคิดเชิงคานวณหลงั เรียน พบว่า กลุ่มของนกั เรียนท่ีมีบุคลิกภาพแบบเปิ ดเผยมีค่าเฉลี่ย

ปี ที่ 13 ฉบบั ท่ี 1 (ม.ค. – มิ.ย.) 2563 | 55

ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมกี ารช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลนท์ ี่มตี ่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ที่มีบุคลิกภาพท่ีแตกต่างกนั

คะแนนการคิดเชิงคานวณสูงกว่านกั เรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเก็บตวั เพราะการสนทนารูปแบบหาความตอ้ งการ

เป็ นการสนทนาแบบทางเลือกให้นักเรี ยนได้หาช่องทางในการแก้ปัญหาหรื อข้อมูลตามท่ีต้องการได้

(พสั ธร สุวรรณศรี, 2560)

ข้อเสนอแนะ

1. ข้อเสนอแนะในการนาผลวจิ ยั ไปใช้
1.1 แชทบอทควรเป็ นเครื่องมือเสริม (Plug in) และเป็ นส่วนหน่ึงของระบบในการเรียนการสอน

สามารถใชเ้ พื่อทาการสนบั สนุนและตอบสนองต่อความตอ้ งการของผใู้ ชง้ าน เช่น เวบ็ ไซต์ และแชทบอทควรมีการ
นาเสนอเวบ็ ไซตแ์ ละสื่อมลั ติมีเดียเป็นส่วนประกอบเพ่ือใหผ้ ใู้ ชง้ านสามารถเลือกใชไ้ ด้

1.2 เมื่อนกั เรียนใชง้ านแชทบอทในการสนทนาแบบหาความตอ้ งการ ควรมีการนาทางใหผ้ ใู้ ชง้ าน
กลบั ไปยงั ส่วนหลกั ของการสนทนาหรือการสนทนาแบบตามลาดบั เสมอ เพ่ือไม่ใหอ้ อกจากเสน้ ทางและอาจจะทา
ใหไ้ ม่ถึงจุดมุง่ หมายที่ผสู้ อนเตรียมไว้ เช่น ป่ ุมยอ้ นกลบั หรือเมนูหลกั ท่ีใชก้ ลบั ไปยงั เน้ือหาหลกั ของการเรียน

1.3 การสนทนาแบบตามลาดบั หากยิ่งใชเ้ ง่ือนไขตวั เลือกของแชทบอทในการโตต้ อบกบั นกั เรียน
มากเกินความจาเป็ นอาจส่งผลกระทบทาให้นกั เรียนเขา้ ถึงเน้ือหาตามท่ีผูส้ อนกาหนดไวช้ า้ ลงกวา่ ที่คาดการณ์ไว้
ควรระบุคาและขอ้ ความที่ง่ายต่อการเขา้ ใจและเขา้ ถึงเน้ือหาตรงประเด็น และมีตวั เลือกหรือเมนูสาหรับช่วยเหลือ
นกั เรียนเมื่อพบปัญหาการใชง้ าน

1.4 ควรพิจารณาการต้งั เง่ือนไขและการโตต้ อบของแชทบอท และอา้ งอิงจากคาถามที่เคยเกิดข้ึน
ภายในห้องเรียนจริงเป็ นหลกั พ้ืนฐาน เพ่ือตอบสนองต่อความแตกต่างบุคลิกภาพนกั เรียนในการเรียนได้ตรง
ประเดน็ แมน่ ยา และตรงตามความตอ้ งการของนกั เรียนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้ังต่อไป
2.1 ควรทาเครื่องมือ Live Chatbot หรือแชทบอทแบบสนทนาพบครูผสู้ อนโดยตรงควบคู่กบั การใช้

แชทบอทในรูปแบบปกติร่วมกนั เพ่ือเป็นการสนบั สนุนนกั เรียนอีกทางหน่ึง
2.2 ควรนาเคร่ืองมือในเทคโนโลยีปัจจุบนั เช่น Machine Learning เป็ นศาสตร์แขนงหน่ึงท่ีทาให้

คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการเรียนรู้ดว้ ยตนเองและเป็ นส่วนหน่ึงของ AI (Artificial Intelligence) โดยนา
ความสามารถมาเป็ นองคป์ ระกอบของการปรับใชง้ านการสร้างความฉลาดของแชทบอทเพื่อให้เรียนรู้กลุ่มคา
จดั ทาการสนทนาแบบหาความตอ้ งการ และการสนทนาแบบตามลาดบั ไดอ้ ตั โนมตั ิเพ่ือใหเ้ กิดการโตต้ อบไดอ้ ยา่ ง
แม่นยาของการเรียนรู้ขอ้ มลู จากผใู้ ชง้ าน

56 | ปี ที่ 13 ฉบบั ที่ 1 (ม.ค. – ม.ิ ย.) 2563

ผลของการใชแ้ ชทบอทท่ีมีการช่วยเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีต่อ วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ.

การคิดเชิงคานวณของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ท่ีมบี ุคลิกภาพที่แตกต่างกนั

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั กลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และ

สาระภมู ิศาสตร์ ใน กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)

ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพช์ ุมนุม

สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั .

กวี ศรีเวศร. (2544). วิธีวดั ค่าบุคลิกภาพและเชาวน์อารมณ์ EQ. กรุงเทพมหานคร : เอก็ ซเปอร์เนท็ .

ทองจนั ทร์ เติมจิตร. (2561, 20 พฤษภาคม) สมั ภาษณ์โดยศิรัฐ อ่ิมแช่ม [บนั ทึกเสียง] สถานที่สมั ภาษณ์โรงเรียนใน

เขตกรุงเทพมหานคร สงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน.

พสั ธร สุวรรณศรี. (2560). Intent-Based vs. Flow-Based Conversation. สืบคน้ จาก

https://medium.com/hbot/intent-based-vs-flow-based-conversation-e0f7551e674b

ยนื ภู่วรวรรณ. (2561). วิทยาการคานวณ คืออะไร? วิชาบงั คับพืน้ ฐานใหม่ล่าสุดสาหรับเดก็ พร้อมบทสัมภาษณ์

จากผ้กู ่อตั้ง. สือคน้ จาก https://school.dek-d.com/blog/?p=656

ศศิวรรณ ชานิยนต.์ (2552). ผลของการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นหลักบนเวบ็ ช่วยเสริมศักยภาพท่ีแตกต่างกันที่มีต่อ

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนมธั ยมศึกษาปี ท่ี 3. (วทิ ยานิพนธ์ครุศาสตรมหา

บณั ฑิต ไมไ่ ดต้ ีพิมพ)์ . จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , กรุงเทพมหานคร.

สุธีระ ประเสริฐสรรพ.์ (2559). ถอดรหัสการสอนสะเตม็ (พิมพค์ ร้ังท่ี 1). กรุงเทพมหานคร: นาศิลป์ โฆษณา จากดั .

Cattel, R., Eber, H., & Tatsuoka, M. (1970). Handbook for the sixteen personality questionaire (16PF). IL:

Institute for Personality and Ability Testing.

Davis, E. A. (1996). Metacognitive scaffolding to foster scientific explanations. Paper presented at the Annual

Meeting of The American Educational Research Association, New York.

McLoughlin, C. (2002). Learner support in distance and networked learning environments: Ten dimensions for

successful design. Distance Education, 23(2), 149-162. doi:10.1080/0158791022000009178.

Wing, J. M. (2006). Computational thinking. Communications of the ACM, 49(3), 33-35.

ปี ที่ 13 ฉบบั ท่ี 1 (ม.ค. – มิ.ย.) 2563 | 57

CHATBOT

องค์ปCรHAะTก

TกBอOTบของ

CHATBOT การอ

1. คณุ ค่าหรอื
2. บุคลิกของผ
3. บุคลิกของแ
4. เจตนาหรอื
Conversati

5. งานของระบ
6. วธิ กี ารสอื สา
7. แพลตฟอรม์
8. เเพลตฟอรม
9. บรกิ ารหรอื ข
10. แผนการห
11. แผนการว

ออกแบบองค์ประกอบของแชทบอท

อคณุ ประโยชนข์ องแชทบอท (Value Proposition
ผใู้ ช้ (Persona)
แชทบอท (Botsona)
อเปาหมายในการสนทนาของผใู้ ช้ (Intent
ional Tasks)

บบทีจะประมวลผลอยูเ่ บอื งหลัง (BackgroundToss)
าร (Modalities)
มทีใชส้ าํ หรบั พฒั นาแชทบอท (Cantonment Poin กา)
ม์ หรอื ชอ่ งทางในการใหบ้ รกิ าร (Deployment Platform)
ขอ้ มูลทีเปนองค์ความรขู้ องแชทบอท Servinas)
หรอื กลยุทธใ์ นการทําใหแ้ ชทบอทเปนทีรจู้ กั
วเิ คราะหข์ อ้ มูลทีไดจ้ ากการใชง้ านเเชทบอท

1.คุณค่าหรือคุณประโยชน์ของแชทบอท
(VALUE PROPOSITION)

คือ สรา้ งขนึ มาเพอื วต
ชว่ ยสว่ นตัวของเราเป
เพอื จดจาํ ขอ้ มูล เพอื
ทํางาน การเรยี นของ
โปรโมรชนั อินเตอรเ์ น
นอะไร ซงึ สามารถลด

ตั ถปุ ระสงค์อะไรสรา้ งขนึ เพอื เปนผู้

ปนผชู้ ว่ ยในการสบื ค้นหาขอ้ มูลของเรา
อเปนเพอื นคยุ หรอื เปนทีปรกึ ษาในการ
งเรา เชน่ การสรา้ งCHATBOTเเจง้
นต็ ทําเพอื ให้ผใู้ ชไ้ ด้รูว้ า่ ชว่ งนีมโี ปรโมชั
ดค่าใชจ้ า่ ยได้จากโปรโมชนั

คือคนทีจะมาใช้ แชทบอททีเรา กําลัง
บุคลิกลักษณะอยา่ งไรบา้ ง การทีเราจะกําห
ใชข้ นึ มาก่อน จะทําให้เรา กําหนดขอบเขตไ
กําลังจะสรา้ งขนึ มา ควรจะใชภ้ าษาอยา่ งไร
องค์ความรูอ้ ะไรบา้ งเพอื ตอบความต้องกา
เชน่ CHATBOT ทีใชใ้ นการเเจง้ โปรโมรชนั อินเ
ทกุ ชว่ งวยั ทีต้องการใชอ้ ินเตอรเ์ นต็

งจะสรา้ งขนึ มามี
หนดบุคลิกลักษณะของผู้
ได้ วา่ แชทบอททีเรา
ร สาํ นวนอยา่ งไร ควรมี
ารของผ้ใู ชใ้ นกล่มุ นนั
เตอรเ์ น็ตเหมาะสาํ หรบั

2.บุคลิกของผู้ใช้
(PERSONA)

3.บุคลิกของแชทบอท
(BOTSONA)

คือเราต้องออกแบบ
สอดคล้องกับผ้ใู ช้ เช
เตอรเ์ น็ตจะต้องใชบ้
สงู อายุหรอื เด็กๆเขา้
เพอื ไมใ่ ห้ผู้ใชง้ านคิด
คดโกง

บแชทบอทให้มบี ุคลิก ลักษณะที
ชน่ CHATBOTเเจง้ โปรโมรชนั อิน
บทสนทนาให้อ่านง่ายเพอื ให้คน
าใจได้ง่ายเเละจะต้องดนู า่ เชอื ถือ
ดวา่ ขอ้ ความทีสง่ เปนขอ้ ความ

ถ้าจะทําแชทบอทเกียวกับการ
ให้คําปรกึ ษาเชน่ การสรา้ งCHATBOTเเจง้
จะต้องเเนะนําวา่ มโี ปรโมชนั อะไรบา้ งสาํ
เนต็ เท่าไหร่ มคี วามเรว็ กี MBPS ใชไ้ ด้กีว
ต้องใชค้ ่าใชจ้ า่ ยเท่าไหร่ เผอื ให้ผใู้ ชน้ นั เ

4. เจตนาหรือเปาหมายในการสนทนา
ของผู้ใช้

(INTENT/CONVERSATIONAL TASKS)

งโปรโมรชนั อินเตอรเ์ นต็
าหรบั ชว่ งนีเเละความเรว็
วนั ราคาลดมากีบาท
เขา้ ใจเเละรูส้ กึ สนใจ

หลักการในการสนทนาแบบ
COOPERATIVE PRINCIPLE

1. Quality คือการสนทนาด้วยขอ้ คว
และขอ้ มูลทีมคี ณุ ภาพ มปี ระโยชน์ ไมโ่ กห
2. Quantity คือให้ขอ้ มูลในปรมิ าณท
ไมม่ าก ไมน่ ้อยเกินไป
3. Relevance คือ สนทนาให้ตรงปร
เปนเรอื งเดียวกัน
4. Manner คือ ให้ขอ้ มูลอยา่ งเหมาะส
ไมก่ ํากวม เขา้ ใจง่าย

วาม
หก
ทีพอดี

ระเด็น

สม

DATA MINING

Data Mining คืออะไร?

Data Mining คือ การวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูล
จำนวนมาก (big data) เพื่อหาความสัมพันธ์ของข้อมูล
ที่ซ่อนอยู่ โดยทำการจำแนกประเภท รูปแบบ เชื่อมโยง
ข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน และหาความน่าจะเป็นที่จะเกิด
ขึ้น เพื่อให้ได้องค์ความรู้ใหม่ ที่สามารถนำไปใช้ประกอบ
การตัดสินใจในด้านต่างๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์,ทาง
ธุรกิจ, ทางด้านการแพทย์, ยุทธศาสตร์ทหาร เป็นต้น

Why do we have to use Data
Mining ?

ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลหากเก็บไว้เฉย ๆ ก็จะไม่เกิด
ประโยชน์ดังนั้นจึงต้องมีการสกัดสารสนเทศหรือการคัดเลือกข้อมูลออก
มาใช้งานส่วนที่เราต้องการ
ในอดีตเราได้ใช้คนเป็นผู้สืบค้นข้อมูลต่างๆ ในฐานข้อมูลซึ่งผู้สืบค้นจะ
ทำการสร้างเงื่ อนไขขึ้นมาตามภูมิปัญญาของผู้สืบค้น
ในปัจจุบันการวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวอาจไม่ให้ความรู้เพียง
พอและลึกซึ้งสำหรับการดำเนินงานภายใต้ภาวะที่มีการแข่งขันสูงและมี
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจึงจำเป็นที่จะต้องรวบรวมฐานข้อมูลหลาย ๆ
ฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน เรียกว่า “ คลังข้อมูล” ( Data Warehouse)
ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องใช้ Data Mining ในการดึงข้อมูลจากฐาน
ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ เพื่อที่จะนำข้อมูลนั่นมาใช้งานให้เกิดประโยชน์สูง
ที่สุด

ตัวอย่างธุรกิจทีใช้Data Mining

- มีการใช้การประเมินการตังค่าการค้นหาและ
ข้อมูลเชิงลึกด้านการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้เพื่อช่วย
กําหนดเปาหมายการโฆษณาตามสิงทีผู้ใช้ชอบ
และสือโพสต์ต่างๆ ทีเกียวข้องกับสิงทีผู้ใช้ชอบ
จากคนทีพวกเขากดไลค์หรือติดตาม และสิงที
พวกเขาบันทึก

!

การวเิคราะห์ลูกค้า E-Commerce

- ช่วยแบ่งกลุ่มและวิเคราะห์ลูกค้าเพือทีจะ - ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า เช่น ลูกค้ามัก
ผลิตและเสนอสินค้าได้ตรงตามกลุ่มเปาหมาย เข้าไปที่ web ใดตามลำดับก่อนหลัง
แต่ละกลุ่ม
- ทํานายว่าลูกค้าคนใดจะเลิกใช้บริการจาบริษัท - ช่วยในการปรับปรุง web site เช่น
ภายใน 6 เดือนหน้า พิจารณาว่าส่วนใดของ web ที่ควรปรับปรุง

หรือควรเรียงลำดับการเชื่อมโยงในแต่ละ
หน้าอย่างไรเพื่อให้สะดวกกับผู้เข้าเยี่ยมชม

นาย ฐานพัฒน์ ศิริทรัพย์ภิญโญ ม.6/3 เลขที่ 05

BIG DATA

นาย ฐานพัฒน์ ศิริทรัพย์ภิญโญ ชั้น ม.6/3 เลขที่ 5

Big Data คืออะไร

หากแปลตรงตัวก็คงหมายถึง ข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้ว
คำนิยามของมันก็คือ จำนวนข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ที่มีมากมาย
มหาศาล ชนิดที่เรียกว่าชอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ธรรมดานั้นไม่
สามารถรองรับข้อมูลเหล่านี้ได้ โดยส่วนใหญ่แล้วข้อมูลเหล่านี้มัก
จะถูกใช้ในเชิงธุรกิจเป็นข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในองค์กร หรือบริษัท
เช่น ข้อมูลบริษัท ข้อมูลสำคัญของลูกค้า วิดีโอ ไฟล์รูปภาพ
หรือไฟล์เอกสารต่างๆ ฯลฯ เป็นต้น

ลักษณะสําคัญของ Big Data

Big Data จะต้องมีลักษณะสํา คัญ 4V ดังต่อไปนี้ จึงจะ
เรียกได้ว่าเป็น Big Data
1. ปริมาณ (Volume)
2. ความหลากหลาย (Variety)
3. ความเร็ว (Velocity)
4. คุณภาพของข้อมูล (Veracity)

Big Data มีประโยชน์ต่อธุรกิจ
อย่างไรบ้าง?

1. สร้างธุรกิจใหม่จาก insight ผู้บริโภคอย่างแท้จริง
2. เข้าข้ใจพฤติกรรมของลูกลู ค้ามากขึ้นขึ้
3. พัฒนาศักยภาพธุกิธุรกิจ และก้าวนําหน้าคู่เเข่ง

Big Data มีกมีกระบวนการ
ในทํางานอย่างไร?

หลายคนอาจจะสงสัยสั ว่า Big Data ที่มีข้มีอข้อมูลมากมาย
มหาศาลเช่นนี้จะมีวิมีธีวิการหรือรืกระบวนการในการทํางาอย่างไร
โดย Big Data ประกอบไปด้วด้;ย 3 ขั้นตอนสําคัญดังต่อไปนี้
1.การรวบรวมข้อข้อมูล
2.การจัดการข้อข้อมูล
3.การวิเวิคราะห์

DATA MINING BIG DATA
ต่างกันอย่างไร?

Data Mining คือกระบวนการการวิเคราะห์ข้ห์ ข้อมูลจากข้อมูล
จํานวนมาก(BIG DATA)เพื่อหาความสัมพันธ์ขธ์ องข้อมูลที่ซ่อซ่
นอยู่ส่วนBig Data คือ การเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ทั้งทั้ สองอย่าง
ต่างกันตรงที่data mining คือ กระบวนการส่วนBig Data คือ
การจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่


Click to View FlipBook Version