เรื่อง ผู้ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ ( Swensen’s ) จัดทำโดย นางสาววราภรณ์ พิมสิม รหัสนักนักศึกษา 66302160019 ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงปีที่ 1 สาขาวิชาการจัดการสำนักงาน เสนอ นางสาววาสนา คูสกุล วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คำนำ รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาจัดการสำนักงานสมัยใหม่ ชั้น ปวส.1 เพื่อให้ได้ศึกษหา ความรู้ในเรื่องผู้ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน ผู้จักทำหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้ และขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วย ผู้จัดทำ (นางสาว วราภรณ์ พิมสิม)
สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข จุดเริ่มต้น 1 ใครเป็นผู้ก่อตั้ง/ประวัติ 3 ใครเป็นเจ้าของ Swensen 4 บุกเบิกธุรกิจด้วยสองมือ 6 จากนำเข้าสู่ฐานะผู้ส่งออก 7
จุดเริ่มต้นอยู่ที่ คุณ Earle Swensen ได้เรียนรู้วิธีการทำไอศกรีมตอนเป็นทหารเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาหลังสงคราม ในปี 1948 คุณ Swensen จึงเปิดร้านไอศกรีมร้านแรกที่เมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งมีชื่อร้านที่ตั้ง ตามชื่อของเขาว่า Swensen’s ถ้าแปลตรงตัวก็คือร้านของคุณ Swensen นั่นเอง คุณ Swensen บอกว่าชอบรสว นิลาที่สุด อย่างไรก็ตามคุณ Swensen ยังคิดค้นรสชาติใหม่ขึ้นมาถึง 150 รสชาติ และทำการตลาดด้วยคำโฆษณา ว่า “Good as Father Used to Make” หรือแปลว่า อร่อยเหมือนคุณพ่อทำเอง ตอนแรกร้าน Swensen’s ขาย แต่ไอศกรีม เช่น ซันเดย์ บานาน่าสปลิท โดยเป็นร้านที่ลูกค้าต้องซื้อไปทานนอกร้าน แต่ต่อมา Swensen’s เริ่ม มีแฟรนไชส์ และเป็นร้านที่ลูกค้าเข้าไปนั่งกินในร้านได้ และยังมีเมนูอาหารอื่น เช่น แซนวิช และ แฮมเบอร์เกอร์ อีกด้วย ในปี 1970 คุณ Swensen ขายโรงงานไอศกรีม และ ร้านอาหารทั้งหมด ให้นักลงทุนอื่น คงเหลือไว้แต่ร้าน ดั้งเดิมของเขาที่ซานฟรานซิสโก (ซึ่งตอนนี้ร้านนี้ก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม ใครไปเที่ยวเมืองนี้ลองแวะไปเยี่ยมชมได้) ปี 1995 คุณ Swensen ก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 83 ปีถ้าใครคิดว่าเรื่องนี้จบแล้ว คงต้องลองอ่านต่ออีกสักนิด เพราะว่k ในช่วงที่คุณ Swensen เสียชีวิต เป็นช่วงเวลาเดียวกับ การเริ่มต้นเดินทางครั้งใหม่ของแบรนด์ Swensen’s ที่ดูเหมือนว่าจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียอีกแต่คราวนี้ไม่ใช่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศนั้นคือประเทศ ไทย ใครจะคิดว่าร้านSwensen’s ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตอนนี้จะเหลือเพียงแค่ 3 ร้าน แต่ร้าน Swensen’s ใน ประเทศไทยมีทั้งหมดประมาณ 300 สาขาในตอนนี้ เรื่องมีอยู่ว่า ในปี ค.ศ. 1986 คุณวิลเลียม อี.ไฮเนคกี้ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เริ่มซื้อแฟรนไชส์ ไอศกรีมSwensen’s เข้ามาในประเทศไทย โดยสาขาแรก อยู่ที่ เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว มีพื้นที่เพียง 30 ตารางเมตร และมีพนักงานเพียง 14 คน คุณไฮเนคกี้ มีประวัติที่ น่าสนใจเพราะเขาเป็นชาวอเมริกันที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยตามครอบครัว ตั้งแต่อายุ 14 ปี เขาเริ่มจากเป็นนักเขียน และเริ่มเปิดธุรกิจให้บริการทำความสะอาด ต่อมาเขาได้เล็งเห็นโอกาสในการทำธุรกิจร้านอาหาร และ การ ท่องเที่ยว จึงได้ก่อตั้งบริษัท ไมเนอร์ ขึ้นมา ในปี 1970 คุณไฮเนคกี้ เริ่มเปิดโรงแรม Royal Garden Resort ที่ พัทยาเป็นแห่งแรก และหลังจากนั้นก็ได้นำแฟรนไชส์ร้านอาหารจากต่างประเทศเข้ามาในไทย และ Swensen’s ก็ เป็นหนึ่งในนั้น แต่เรื่องที่น่าสนใจคือ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ แบรนด์ Swensen’s Swensen’s ในประเทศไทยยิ่งใหญ่ขนาดไหน? 1
Swensen’s ในประเทศไทยประกอบด้วย สาขาที่ไมเนอร์ลงทุนเองประมาณ 130 สาขา และ สาขาที่เป็นแฟรน ไชส์ประมาณ 170 สาขา รวมแล้วกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ รายได้ของ Swensen’s ในประเทศไทยในปี 2559 มีมากถึง 3,896 ล้านบาท สถิติที่น่าสนใจคือ ถ้าคิดว่าไอศกรีม Swensen’s มีราคาลูกละ 50 บาท สรุปแล้วคนในประเทศไทยจะรับประทานไอศกรีม Swensen’s มากถึง 70 ล้านลูกต่อปีหรือพูดง่ายๆ คือเฉลี่ยแล้ว คนไทย 1 คน อย่างน้อยต้องกินไอศกรีม Swensen’s ปีละ 1 ลูก ถ้าจะถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนไทยนิยมกิน Swensen’s หนึ่งในคำตอบนั้นก็น่าจะ เป็นเพราะความสามารถของบริษัทไมเนอร์ที่เป็นผู้ขอแฟรนไชส์เข้ามาในประเทศ ในตลอด 30 ปีที่ผ่านมา Swensen’s ในประเทศไทยรู้จักปรับเปลี่ยนธุรกิจให้เข้ากับรสนิยมของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการออกเมนูใหม่ที่ถูก ปากคนไทย หรือ การออกรสชาติไอศกรีมให้เข้ากับช่วงฤดูนั้น :ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าถามถึงตอนนี้เรากำลังเข้าฤดูอะไร? หลายคนคงมีคำตอบในใจว่าถ้าเข้าฤดูร้อน และ เราก็จะนึกถึงไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วงของ Swensen’s ขึ้นมา ทันที ที่น่าสนใจยิ่งกว่าเดิม คือในปีนี้นอกจากไอศกรีมแล้ว Swensen’s ยังเปิดตัว บิงซูข้าวเหนียวมะม่วง ที่แค่พูดชื่อ แล้วหลายคนก็คงอยากไปลองชิมดูสักครั้ง :เรื่องนี้เราได้ข้อคิดอะไร ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ คุณ Earle Swensen ได้สอนให้เรารู้ว่าในชีวิตคนเรา ถ้าเราได้สร้างแบรนด์อะไรขึ้นมาสักครั้ง หนึ่ง เราก็คงจะภูมิใจไม่น้อย เมื่อวันที่เราได้จากโลกนี้ไปแล้ว ถึงตัวเราจากไป ถ้าแบรนด์นี้ดีพอ มันก็จะยังคงทำ หน้าที่ต่อไปในโลกใบนี้ เหมือนกับแบรนด์ชื่อSwensen’s ต่อมาคือคุณไฮเนคกี้ ได้สอนให้เรารู้ว่าการเล็งเห็น อนาคตก่อนคนอื่น จะเป็นโอกาสทางธุรกิจให้เราประสบความสำเร็จ ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ใครจะไปคิดว่า จะมีเชนร้านไอศกรีมต่างประเทศในประเทศไทยได้มากถึง 300 สาขา แซงหน้าประเทศต้นตำรับเดิมเสียอีก 2
:ใครเป็นผู้ก่อตั้ง วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค :ประวัติของวิลเลียม วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค (อังกฤษ: William Ellwood Heinecke) หรือเป็นที่รู้จักอย่างทั่วไปว่า บิล ไฮเน็ค นักธุรกิจสัญชาติไทยเชื้อสายอเมริกัน ผู้ก่อตั้ง เครือบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หนึ่งในกลุ่มบริษัท ด้านการบริการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ไฮเน็คเกิดที่ สหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 1949 ต่อมาเขาและครอบครัวย้ายมายังกรุงเทพในปี 1963 ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาอาศัยอยู่ทั้ง ในญี่ปุ่น, ฮ่องกง และมาเลเซีย บิดาของเขาเป็นนายทหารในกองทัพสหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมาได้ย้ายไปทำงานด้าน การต่างประเทศ มารดาของเขาทำงานเป็นนักข่าวของนิตยสารไทม์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เขาได้โอนสัญชาติ มาเป็นพลเมืองไทยเมื่อปี ค.ศ. 1991โดยเป็นการถอนสัญญาติอเมริกาอย่างสมบูรณ์ 3
:ใครเป็นเจ้าของ Swensen's ในไทย / โดย ลงทุนแมน เมื่อก่อน วิลเลียม อี.ไฮเนคกี้ เป็นเพียงแค่ฝรั่งคนหนึ่งที่อยู่ในไทย ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยตอนเด็กๆ ได้เข้ามาเมืองไทย เพียงเพราะว่าครอบครัวต้องมาทำงานที่นี่ แต่รู้ไหมว่าฝรั่งธรรมดาคนนี้ ได้กลายเป็นเจ้าของอาณาจักรแสนล้าน ที่มี ทั้ง Swensen's และ The Pizza Company รวมทั้ง โรงแรมอีกมากมาย เรื่องนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับ หลายคนได้วิลเลียม อี.ไฮเนคกี้ นั้นเป็นชาวอเมริกันที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยตามครอบครัว ตั้งแต่ อายุ 14 ปี และได้ เข้าเรียนใน International School Bangkok หรือ ISB ซึ่งในตอนนั้น เขาก็ได้หารายได้จากการเขียนคอลัมน์ เกี่ยวกับรถโกคาร์ต กิจกรรมที่เขาชื่นชอบให้กับ นิตยสาร Bangkok World ปัจจุบันคือ Bangkok Post โดยรับ ค่าตอบแทนเป็นพื้นที่โฆษณาในนิตยสารที่เขานั้นหาลูกค้าเอง ซึ่งรายได้ค่าคอมมิชชั่นมากกว่าเงินเดือนของนักข่า ซะอีก หลังจากนั้นเขาก็ได้เป็นผู้จัดการฝ่ายโฆษณาของนิตยสารเล่มนี้ด้วย วัย 17 ปีหลังจากเรียนจบ เขาก็ ตัดสินใจไม่เรียนต่อในมหาวิทยาลัยและไม่กลับอเมริกากับครอบครัว เพราะเขามองเห็นโอกาสมหาศาลในการทำธุรกิจในประเทศไทย ถ้าเขากลับไปก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาประเทศไทยอีก เมื่อไหร่ ทำให้ปีต่อมา เขาได้ขอยืมเงินจากเพื่อนของเขา 1,200 ดอลลาร์ เพื่อมาเปิดธุรกิจให้บริการทำความ สะอาดสำนักงาน โดยตั้งบริษัทชื่อ Inter-Asian Enterprise และ บริษัท Inter-Asia Publicity เพื่อทำธุรกิจขา โฆษณาทางวิทยุต่อมาเขาได้ขายกิจการ Inter-Asian Enterprise ให้กับบริษัทโฆษณาชื่อดัง Ogilvy & Mather หลังจากนั้น เขาได้เล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาทำธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจบริการการท่องเที่ยว โดยก่อตั้งบริษัท Minor Holdings ขึ้นมาในปีค.ศ. 1970 วิลเลียม อี.ไฮเนคกี้ เริ่มทำธุรกิจบริการ ด้วยการมองเห็นโอกาสที่ว่า ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะเกิดวิกฤต แต่นักท่องเที่ยวก็ยังกลับมาเที่ยว จึงทำให้เขาได้เปิดโรงแรม Royal Garden Resort ที่พัทยาเป็นที่แรก และในภายหลังก็เปิดเพิ่มอีก 2-3 แห่ง ภายใต้แบรนด์ Royal Garden ก่อนที่ภายหลังจะเปลี่ยนมาเป็นชื่อ อนันตรา และได้ทำการขยายโรงแรมเพิ่มทั้งไป ลงทุนเอง และไปบริหารให้ในประเทศและต่างประเทศ ในส่วนของธุรกิจร้านอาหารก็ทำควบคู่ไปด้วย จากการได้ เห็นโอกาสว่า ถึงเวลาแล้วที่จะนำแฟรนไชส์ร้านอาหารจากต่างประเทศเข้ามาในไทยได้แล้ว ในช่วงปีค.ศ 1970- 1980 เขานำ Mister Donut เข้ามาเป็นแบรนด์แรก ที่ภายหลังได้ขายให้กับเครือเซ็นทรัล ส่วนแบรนด์ต่อๆมาคือ Swensens, Sizzler, Dairy Queen, Burger King แต่ที่สำเร็จที่สุด ก็น่าจะเป็น Pizza Hut โดยเข้ามาเปิดสาขา แรกที่พัทยา ปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างมากถูกปากคนไทย ทำให้มีการขยายสาขาถึง 200 แห่ง ภายใน เวลา 18 ปีแต่ว่าคดีความกับบริษัทไทรคอน ในปี ค.ศ. 2000 ทำให้มีการเปิดแบรนด์ใหม่คือ The Pizza Company และได้ขยายสาขาไปทั่วประเทศ รวมถึงต่างประเทศด้วย จนในปัจจุบัน บริษัทได้มีการระดมทุมจาก ตลาดหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อว่าบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รู้หรือไม่ว่า บริษัทนี้เป็นบริษัทที่บริหาร โรงแรมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีโรงแรมทั้งหมด 155 แห่ง โดยที่ลงทุนเอง และ รับจ้างบริหารภายใต้แบรนด์ Four Seasons, Marriott, St. Regis, Radisson Blu และแบรนด์ของบริษัท ได้แก่ Anantara, AVANI และ Tivoli ในส่วนของร้านอาหารในปัจจุบัน มีจำนวนมากกว่า 2,037 แห่งทั้งในเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 4
และนอกจากนี้บริษัทยังนำเข้าแบรนด์สินค้าแฟชั่น และเครื่องสำอาง อาทิ Esprit, Bossini, GAP, Banana Republic, Charles & Keith, Anello และ Pedro รวมกว่า 314 แห่งอีกด้วย รายได้ของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ปี 2557 รายได้ 39,450 ล้านบาท กำไร 4,402 ล้านบาท ปี 2558 รายได้ 47,694 ล้านบาท กำไร 7,040 ล้านบาท ปี 2559 รายได้ 56,485 ล้านบาท กำไร 6,590 ล้านบาท โดยรายได้หลักในปัจจุบันของบริษัท จะเป็นรายได้มาจากโรงแรม สัดส่วนประมาณ 40% ของรายได้ทั้งหมด ตอนนี้บริษัทไมเนอร์มีมูลค่า ประมาณ 190,000 ล้านบาท นับว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่อันดับที่ 21 ของตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากเรื่องนี้ทำให้เราคิดได้ว่า คุณ วีลเลียม อี ไฮเนคกี้ เขาไม่ได้มีเงินมาทำธุรกิจตั้งแต่แรก ต้องทำงานหาเงินทุนหรือไปกู้ยืมมา จะติดต่อสื่อสารก็ลำบากเพราะภาษาไทยก็พูดไม่ได้ และก็น่าจะไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมไทยเท่าไรนัก แต่เขาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ในโลกนี้ เราทุกคน มีต้นทุนในชีวิตไม่เท่ากันอยู่แล้ว ถ้าทุกอย่างเท่ากันหมด ก็คงไม่ใช่เสน่ห์ของโลกนี้ แทนที่เราจะโทษดวงชะตาว่าทำไมเกิดมามีไม่เท่าคนอื่น เราลองหันมาค้นคว้ามองหาโอกาสรอบตัวเรา และลองทำไปเรื่อยๆ ถ้าทำได้ ก็น่าจะสำเร็จได้เหมือนคุณ วิลเลียม อี ไฮเนคกี้.. 5
:บุกเบิกธุรกิจด้วยสองมือ วิลเลียม อี.ไฮเนคกี้ หรือที่คนใกล้ชิดรู้จักกันในนาม “บิล” แม้ว่าจะมีบิดาเป็นทหาร และมารดาทำงานอยู่ในแวดวง สื่อสารมวลชน แต่เขากลับเป็นคนที่มีความเป็นเถ้าแก่อยู่ในตัวและโชว์ทักษะทางด้านนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เขาเริ่มต้น ทำงานตั้งแต่อยู่ในวัยเรียนด้วยอายุเพียง 17 ปี ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายโฆษณา และปีถัดมาเมื่อเรียนจบเขาก็ ตัดสินใจไม่ศึกษาต่อ แต่เริ่มลงมือก่อตั้งธุรกิจด้วยเงินเพียง 1,200 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ที่หยิบยืมมา เขานำไปจด ทะเบียนบริษัท คือ Inter-Asian Enterprise ที่บริการทำความสะอาดออฟฟิศต่างๆ และบริษัท Inter-Asian Publicity ที่ดูแลเรื่องสื่อโฆษณาวิทยุ การเริ่มต้นบนเส้นทางธุรกิจตั้งแต่วัยเยาว์ของบิลถูกสะท้อนออกมาในชื่อ บริษัทไมเนอร์ที่หมายถึงผู้เยาว์ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นเขาก็เดินหน้าสานต่อทางธุรกิจอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งการริเริ่มเปิดบริการอาหารฟาสต์ฟูดเป็นครั้งแรกใน เมืองไทย ตั้งแต่นำเข้าแบรนด์มิสเตอร์โดนัท ซึ่งภายหลังได้ขายให้กับเครือเซ็นทรัล, พิซซ่า ฮัท ที่ได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก เปิดหน้าการตลาดแบบดิลิเวอรีในเมืองไทย ประสบความสำเร็จจนมีปัญหาเรื่องสัญญา จึงเป็นที่มา ของการสร้างแบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในภายหลัง ไปจนถึงความสำเร็จของแบรนด์ที่ยังดำรงอยู่จนทุกวันนี้ ทั้ง ซิซซ์เล่อร์, สเวนเซ่นส์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง ฯลฯ 6
:จากนำเข้าสู่ฐานะผู้ส่งออก หลังจากเป็นผู้ที่นำเข้าแบรนด์ดังๆ ต่างประเทศมาให้คนไทยรู้จักมานานนับทศวรรษ ทุกวันนี้ทางไมเนอร์มุ่งหมาย ในการปั้นแบรนด์ของตัวเองออกไปเติบโตยังต่างประเทศ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับไฮเนคกี้ได้ทุก ครั้งที่มองดูความสำเร็จที่สั่งสมมา “ทุกวันนี้ธุรกิจของผมยังมีสินค้าและบริการต่างๆ เข้ามาอยู่บ้าง แต่เราหันมา เน้นในการสร้างแบรนด์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง และขยายธุรกิจออกไปสู่ต่างแดนมากกว่า ซึ่งทุกวันนี้ธุรกิจด้าน อาหารและการบริการอย่างพวกโรงแรม ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ของเราเอง จะมีแต่พวกสินค้าแฟชั่นและ เครื่องสำอางที่เราไม่ได้ก้าวเข้าไปทำเอง” วิลเลียมกล่าวถึงธุรกิจของบริษัทไมเนอร์ที่เขาดูแลมาตลอดเกือบ 50 ปี ด้วยความภูมิใจ ความสำเร็จที่ภูมิใจมากที่สุดคงไม่มีอะไรเกินหน้าแบรนด์อนันตรา ที่พัฒนาธุรกิจจนกลายมาเป็น แบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจในระดับสากล“อนันตราถือเป็นความภาคภูมิใจ และนับเป็นความฝันที่เป็น จริงของผม เพราะแบรนด์โรงแรมอนันตราไม่ได้เป็นเพียงแค่หนึ่งในเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ยัง เป็นหนึ่งในโรงแรมแบรนด์ไทยที่ออกไปเติบโตในต่างประเทศอย่างโดดเด่น”ทุกวันนี้บริษัทไมเนอร์เป็นเจ้าของ โรงแรมอนันตรากว่า 10 แห่งในประเทศไทยทั้งที่เป็นเจ้าของเองและรับจ้างเข้าไปดูแลเรื่องการบริหารจัดการ กระจายอยู่ในเมืองท่องเที่ยวทั่วประเทศ ทั้งที่หัวหิน, พัทยา, กรุงเทพฯ, สมุย, ภูเก็ต, เชียงราย ฯลฯ รวมถึงการไป เปิดยังต่างประเทศในหลากหลายชื่อ ทั้งในนามอนันตรา (Anantara), อาเลวาน่า (Elewana), เอวานี (Avani), โอคส์ (Oaks) ฯลฯ อยู่ในหลายทวีป ทั้งที่มัลดีฟส์, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, จีน, มาเลเซีย, ศรีลังกา, แทนซาเนีย, เคนยา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ ไปจนถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์“ถ้าถามว่าชอบสาขาไหนมากที่สุด ผมตอบไม่ได้ จริงๆ เพราะผมรักอนันตราเหมือนลูกเลย มันจึงไม่สามารถเลือกได้ว่ารักคนไหนมากกว่ากัน ให้ความรักเท่ากันหมด เพราะแต่ละที่ก็มีเสน่ห์ส่วนตัวที่ต่างกันออกไป อย่างที่เชียงรายก็เป็นโรงแรมเดียวที่มีช้าง ส่วนหัวหินเป็นโรงแรม แห่งแรกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในธุรกิจนี้ ผมจึงมีความทรงจำดีๆ กับที่นี่เสมอ ส่วนภูเก็ตหรือสมุย ผมก็ชอบมากเพราะ ผมรักการดำน้ำและแล่นเรือ เวลาแวะไปก็จะได้สนุกกับกิจกรรมโปรดทุกครั้ง” :Work Hard, Play Hard เต็มที่กับทุกแง่มุมของชีวิต ทุกวันนี้ด้วยวัย 64 ย่าง 65 ปี ที่บางคนอาจจะถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนหลังเกษียณ แต่ไม่ใช่สำหรับนักธุรกิจเช่นเขา ที่ทำงานมาตลอดชีวิตคนนี้ ที่บอกว่า “ผมไม่เคยคิดถึงการเกษียณ เพราะผมจะทำงานจนกว่าผมจะทำไม่ไหว ผม ทำงานมาตลอดชีวิต แล้วจะให้หยุด หรือเลิกทำ มันไม่ได้หรอก ผมจะหยุดต่อเมื่อผมทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่สามารถ เรียนรู้หรือช่วยอะไรได้อีกแล้ว” ถึงแม้ว่างานส่วนใหญ่ของทุกวันนี้จะมีทีมงานเข้ามาช่วยดูแล รวมไปถึงการได้ลูกชายทั้งสองของไฮเนคกี้และภรรยา แคธลีน คือ “เดวิด” และ “จอห์น” มารับหน้าที่ดำเนินการสานความสำเร็จต่อ ไฮเนคกี้จึงมีเวลาที่จะปลีกตัวไปทำ สิ่งที่รัก กิจกรรมโปรดทั้งหลายได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแข่งรถ, สะสมรถคลาสสิก, การแล่นเรือ และการขับ เครื่องบิน “ด้วยอุปนิสัยที่ชอบแข่งขัน ผมจึงสนุกกับกิจกรรมที่มีการแข่งขันมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเล่น เทนนิส แข่งรถ ซึ่งแม้จะชอบแข่งแต่ผมไม่ชอบพวกกีฬาที่ต้องเล่นหรือแข่งเป็นทีมนะ เพราะผมชอบเล่นอะไรที่ตัว 7 77
ผมเองสามารถควบคุมและตัดสินใจได้ด้วยตัวของผมเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร อีกสิ่งที่ชอบคือธรรมชาติ ชอบท่องเที่ยว ดังนั้นกิจกรรมที่ผมชอบทั้งเรื่องการบิน การดำน้ำ การแล่นเรือ และการขับรถ มันทำให้ผมสัมผัสกับธรรมชาติ ได้มากขึ้น ผมชอบอารมณ์ที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบิน หรือการดำน้ำ ซึ่งแต่ละ กิจกรรมก็มีเสน่ห์มากๆ และสร้างความประทับใจได้ต่างกันออกไป อย่างเวลาขับรถก็ทำให้เรารู้สึกได้ถึงอำนาจการ ควบคุม ด้านการดำน้ำก็เหมือนทำให้เราหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง อย่างผมเคยไปดำน้ำตอนกลางคืนอันนั้นก็สวยไปอีก แบบ การสะสมรถเก่า รถคลาสสิก ก็ให้ความสนุกที่แตกต่างออกไป ซึ่งผมก็จะไปเข้าร่วมแรลลี่แข่งรถคลาสสิกที่ ยุโรปและอเมริกาอยู่บ่อยครั้ง ผมสนุกกับการได้ทำอะไรที่หลากหลาย และพยายามจะแบ่งเวลาให้กับทุกกิจกรรม ที่ว่า” แม้จะมีหลายกิจกรรมให้เลือกทำ แต่ถ้าจะให้จิ้มสิ่งที่ชอบและมีโอกาสได้ทำบ่อยๆ นั่นคือเรื่องของการบิน “ผมฝึกบินมานานกว่า 35 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ได้ขับเครื่องบินอยู่บ่อยๆ เพราะผมพยายามตระเวนไปเยี่ยมดูโรงแรม ต่างๆ ของผมที่อยู่ทั่วโลก ทุกๆ 3 เดือน การเดินทางไปแต่ละที่ผมก็จะบินไปเอง ผมพยายามแวะไปเยี่ยมไปดูแลให้ ครบทุกที่ แต่ด้วยความที่หลายแห่งก็อยู่ห่างไกลไปถึงแอฟริกา หรือออสเตรเลีย ก็ทำให้บางทีอาจจะตระเวนไปไม่ ครบ ผมพยายามจัดทริปไกลๆ เพื่อแวะไปดูแบบไม่มีทอดทิ้ง แต่อาจจะไม่บ่อยเท่าโรงแรมที่อยู่ในภูมิภาคนี้ซึ่งจะ แวะเวียนไปสม่ำเสมอกว่า” เห็นอัปเดตก้าวหน้าไปทุกเวลาและไม่ยอมหยุดยั้งความก้าวหน้าของทั้งไลฟ์สไตล์ ส่วนตัวและธุรกิจแบบนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ไฮเนคกี้ไม่ขอวิ่งตามเทรนด์ทันสมัยที่หมุนไปอย่างว่องไวของโลก นั่นคือ กระแส ของโซเชียลเน็ตเวิร์ก “ผมเป็นคนที่ไม่ใช่พวกโซเชียลเน็ตเวิร์กเลย เฟซบุ๊กผมก็ไม่มี ไม่ทวีต ไม่เล่นอินสตาแกรม เคยแต่เห็นพวกเพื่อน CEO ของผมเขาเล่นกันอยู่บ้าง บางคนเขาก็ดูสนุกกับมันนะ แต่นั่นไม่ใช่สไตล์ผม ซึ่งเรื่องโซ เชียลเน็ตเวิร์กอะไรพวกนี้ ถ้าในแง่มุมของธุรกิจและบริษัทนี่ก็ถือว่าสำคัญมาก แต่ส่วนตัวผมเอง ผมมีทีมงานที่ผม ไว้ใจ คอยดูแลอัปเดตกระแสหรือเทรนด์อะไรต่างๆ รายงานให้อยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าจะติดต่อผมก็ต้องใช้การโทรศัพท์ ส่งอีเมล ส่งข้อความ SMS อะไรพวกนี้ก็พอ” 8
แนะนำไอติม SWENSEN’S