สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 1
แบบทดสอบชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ปกี ารศึกษา 2560
(ฉบบั เฉลย)
สานกั ทดสอบทางการศึกษา
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน
แบบทดสอบนเี้ ป็นเอกสารลับของทางราชการ
หา้ มคดั ลอกเปิดเผยหรอื นาไปเผยแพร่
สงวนลขิ สทิ ธ์ิ
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 2
คาชแ้ี จงแบบทดสอบกลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
1. แบบทดสอบวิทยาศาสตร์มีทง้ั หมด 40 ขอ้ คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลา 90 นาที
2. แบบทดสอบมี 5 แบบ ดังน้ี
แบบที่ 1 แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก แตล่ ะข้อมีคาตอบท่ีถูกต้องทีส่ ดุ เพยี งคาตอบเดียว จานวน 23 ข้อ
(ข้อละ 2 คะแนน รวม 46 คะแนน)
ตัวอยา่ ง 0. การกระทาของใครท่สี ่งผลทาใหเ้ กิดภาวะเรอื นกระจกมากและเร็วท่สี ุด
1) นา้ ฟ้าเขา้ บ้านแล้วเปิดแอร์ทนั ที
2) นา้ ออ้ ยเปิดพัดลมไล่ยุงขณะน่ังดูโทรทัศน์
3) นา้ ผ้งึ รวบรวมพลาสตกิ และโฟมเผาหลังใชแ้ ลว้
4) น้าฝนกลับเข้าบ้านเปิดต้เู ย็นท้ิงไว้ขณะดมื่ นา้ เยน็
วิธกี ารตอบ ใหน้ กั เรยี นเลอื กคาตอบทถ่ี ูกต้องทส่ี ดุ เพยี งคาตอบเดียวโดยระบายทับหมายเลขทต่ี รงกบั ตัวเลือกที่
ต้องการลงในกระดาษคาตอบ เช่น ถา้ นักเรียนคดิ ว่าตัวเลือกที่ 3) เป็นคาตอบทีถ่ ูกต้อง ให้ระบายทบั หมายเลข
ดงั นี้
ขอ้ 0.
แบบที่ 2 แบบเลอื กตอบหลายตวั เลือก : เลอื กคาตอบท่ถี ูกต้อง 2 คาตอบ จานวน 4 ขอ้
(ขอ้ ละ 4 คะแนน รวม 16 คะแนน) ดังน้ี
จะต้องตอบให้ครบท้ัง 2 คาตอบจึงจะได้คะแนน ดงั นี้
ตอบถูก 1 คาตอบ ได้ 2 คะแนน
ตอบถูก 2 คาตอบ ได้ 4 คะแนน
ตัวอยา่ ง 00. ถ้าต้องการศึกษาวา่ วตั ถุทีม่ ีมวลมากเมื่อสน่ั จะให้เสยี งสงู หรอื เสียงต่า
ควรออกแบบการทดลองในข้อใด
1) เคาะแทง่ ไมข้ นาดตา่ งกนั ด้วยแรงเทา่ กัน
2) ใช้น้วิ ดดี เส้นเอน็ ขนาดตา่ งกันด้วยแรงต่างกนั
3) ใช้ไม้ตีกลองที่มีขนาดเท่ากนั ด้วยแรงทเ่ี ท่ากัน
4) ใช้ไม้เคาะแผน่ เหลก็ ขนาดเท่ากันดว้ ยแรงต่างกัน
5) ใช้ไม้เคาะขวดทบ่ี รรจนุ า้ ไม่เท่ากนั ด้วยแรงเทา่ กัน
วิธกี ารตอบ ให้นักเรียนเลือกคาตอบท่ีถูกตอ้ งท่ีสดุ เพยี ง 2 คาตอบ โดยระบายทับตัวเลขที่ตรงกบั ตวั เลอื กทตี่ อ้ งการ
ลงในกระดาษคาตอบ ถา้ นักเรียนคดิ วา่ ตวั เลือก 1 และ 5 เปน็ คาตอบท่ถี ูกตอ้ ง ใหร้ ะบาย ในกระดาษคาตอบทบั ตัวเลข
ดงั นี้
ข้อ 00
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 3
แบบท่ี 3 แบบเชงิ ซอ้ น จานวน 5 ข้อ (ข้อละ 2 คะแนน รวม 10 คะแนน)
ตอบถูก 1 ข้อ ใหค้ ะแนนข้อละ 0.5 คะแนน
ตัวอยา่ ง พจิ ารณาข้อความตอ่ ไปนี้ แล้วตอบคาถาม ข้อ 000.
เรอ่ื ง พืชดดั แปลงพนั ธกุ รรม
พชื ดัดแปลงพันธกุ รรม คือ พชื ทีผ่ ่านกระบวนการทางพันธวุ ศิ วกรรมเพ่ือให้มีสมบัตหิ รือคณุ ลักษณะตา่ งๆ
ทีจ่ าเพาะเจาะจงตามความต้องการ ป้องกันแมลงศัตรูพชื ทนตอ่ สภาพแวดล้อม ท่ีไมเ่ หมาะสม ตัวอยา่ งพืชทม่ี ีการ
ดัดแปลงพันธุกรรม ได้แก่ มะเขอื เทศสุก ชา้ ลง ถวั่ เหลืองมีไขมนั ชนิดไม่อ่ิมตวั สูงข้ึน สตรอเบอร่เี นา่ ช้าลง เป็นต้น
000. พจิ ารณาขอ้ ความใดเป็นการดัดแปลงพนั ธุกรรมของพืช ถ้าเป็น ใหร้ ะบายในวงกลมคาวา่ “ใช่”
ถ้าไมเ่ ปน็ ให้ระบายในวงกลมคาวา่ “ไม่ใช่”
1) มะละกอท่ีมีเมล็ดน้อยลงตา้ นทานโรคได้ ใช่ ไมใ่ ช่
2) แอปเปิ้ลผา่ นการฉายรงั สีเพ่อื ให้สุกชา้ ใช่ ไม่ใช่
3) ฝา้ ยสามารถฆ่าหนอนทีเ่ ป็นศตั รู ใช่ ไมใ่ ช่
4) พชื หลายชนดิ ท่ีใชก้ ารดดั แปลงพันธกุ รรม ใช่ ไม่ใช่
วธิ ตี อบ ให้นักเรยี นพจิ ารณาข้อความย่อยแต่ละข้อในตาราง โดยระบายทับคาว่า “ใช่” หรอื “ไม่ใช่”
ใหค้ รบทุกข้อยอ่ ย ในกระดาษคาตอบตามท่ีโจทยส์ ั่ง ดงั น้ี
1) ใช่
2) ไมใ่ ช่
3) ใช่
4) ไมใ่ ช่
แบบที่ 4 แบบเขยี นตอบสน้ั จานวน 6 ข้อ (ข้อละ 3 คะแนน รวม 18 คะแนน)
ตัวอยา่ ง ศกึ ษาข้อมูล แลว้ ตอบคาถาม ข้อ 0000.
เรื่อง หมบู่ ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง
หมู่บ้านร่มสุขเป็นหมู่บ้านท่ีประชากรยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ครอบครัวของโก้ปลูกผัก
ปลอดสารพษิ ซง่ึ แบง่ พชื ที่ปลูกในแปลง ไดแ้ ก่ ผกั บงุ้ หอม ขงิ ข่า เขาปลกู บวบ มะระ เป็นซุ้มลอย
ฟ้าและปลูกตาลึง ถั่วพู เป็นผักสวนครัวร้ัวกินได้ เขายังมีพ้ืนที่ว่างจึงขุดบ่อเลี้ยงปลาดุกพันธุ์บิ๊กอุย
ซ่ึงเป็นลูกผสม ระหว่างปลาดุกยักษ์กับปลาดุกอุย เป็นพันธุ์ท่ีเลี้ยงง่าย โตเร็ว น้าหนักดี ทาให้
ครอบครัวของโก้มีรายได้เพม่ิ ขน้ึ
0000. ถ้าจัดประเภทของพืชทค่ี รอบครวั โก้ปลกู โดยใช้ลกั ษณะภายนอกเปน็ เกณฑจ์ ะจดั ไดก้ ่ีประเภท
ตอบ ............................................................................................................................
วิธีการตอบ ให้นักเรียนเขียนตอบในกระดาษคาตอบตามท่ีโจทยส์ ่งั ดังนี้
ตอบ 2 ประเภท
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
คะแนนเต็ม (3 คะแนน) คะแนนบางส่วน (2 คะแนน) ไม่ไดค้ ะแนน (0 คะแนน)
เมื่อบอกประเภทของพืชที่ครอบครัวโก้ เมื่อตอบถูกประเด็นใดประเด็นหนง่ึ ตอบไม่ตรงประเด็น
ปลูกถูกตอ้ ง คือ 2 ประเภท หรอื ตอบถกู แต่ใชภ้ าษาไม่ถูกหลักวิชา หรือไมต่ อบ
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 4
แบบที่ 5 แบบเขียนตอบอิสระ จานวน 2 ขอ้ (ข้อละ 5 คะแนน รวม 10 คะแนน)
ตัวอย่าง
00000. จากขอ้ มูลในตัวอยา่ งที่ 0000 ถ้าต้องการความร่มรื่น สวยงาม และเพิ่มมูลคา่
จะต้องปลูกพืชชนดิ ใดบ้าง(3 ชนดิ ) พร้อมอธิบายเหตผุ ลประกอบ
ตอบ............................................................................................................................. ............
วิธกี ารตอบ ใหน้ ักเรียนเขยี นตอบในกระดาษคาตอบตามท่ีโจทยส์ ่งั ดงั นี้
ตอบ…………………………………………………………………………..............……………………………........
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
คะแนนเต็ม (5 คะแนน) คะแนนบางส่วน (3 คะแนน) ไม่ได้คะแนน (0 คะแนน)
เมื่อบอกชนิดของพืชที่ให้ความร่มร่ืนได้ เมอื่ บอกชนิดของพืชที่ใหค้ วาม ตอบไมต่ รงประเด็น
ถกู ต้องครบถ้วนพรอ้ มอธิบายเพ่ิมเติม รม่ ร่นื ได้ไม่ครบถ้วน หรอื ไม่ หรอื ไมต่ อบ
- ปลูกไม้ยืนต้น เช่น ขนุน มะม่วง อธิบายเพม่ิ เติม
ทุเรียน ฯลฯ เพราะ ให้ความร่มร่ืน มีผล - ต้นทเุ รยี น
รับประทาน และจาหนา่ ยได้
หา้ มเปิดขอ้ สอบจนกวา่ กรรมการกากับการสอบจะอนุญาต
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 1
1. ครไู ด้นารปู ส่วนประกอบของเซลลส์ ิ่งมชี วี ติ ให้นกั เรยี นศึกษาดังรูป ก ข และ ค
A ACB A
CDB D B
E C
รูป ก รูป ข
รูป ค
นกั เรยี น 4 คน สรปุ ขอ้ มูลทไ่ี ด้จากรูปดังนี้
นกั เรียนคนท่ี 1 สรุปว่า รูป ก และ ข คอื โครงสรา้ งของเซลล์สตั ว์
นักเรยี นคนท่ี 2 สรุปวา่ รปู ก ข และ ค คือ โครงสร้างของเซลลพ์ ืช
นกั เรยี นคนที่ 3 สรุปว่า รปู ก และ ค คือ โครงสรา้ งของเซลล์สตั ว์
นกั เรียนคนที่ 4 สรุปวา่ รปู ก และ ค คือ โครงสร้างของเซลล์สตั ว์
รปู ข คือ โครงสร้างของเซลลพ์ ชื
จากข้อมลู ข้างต้น นักเรยี นคนใดสรุปได้ถกู ต้อง
1) คนท่ี 1 และ 2
2) คนที่ 1 และ 3
3) คนที่ 2 และ 4
4) คนที่ 3 และ 4
ตัวชวี้ ดั ว1.1 ม 1/2 สงั เกตและเปรียบเทยี บส่วนประกอบสาคัญของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์
รูปแบบ เลือกตอบ
เฉลย
4) ถูก เพราะ นักเรียนคนที่ 3 และคนท่ี 4 สรุปไดถ้ กู ตอ้ งเน่ืองจากรปู ก และ รปู ค เป็นรปู ที่แสดงถึง
โครงสรา้ งของเซลลส์ ตั ว์เพราะไม่มีผนังเซลล์ สว่ นรูป ข เป็นรปู ที่แสดงถึงโครงสร้างของ
เซลลพ์ ชื เพราะมีผนังเซลล์(ตาแหนง่ A)
ตวั ลวง
1) 2) และ 3) ผดิ เพราะ นักเรยี นคนที่ 1 และคนท่ี 2 สรุปไมถ่ ูกตอ้ งตรงตามส่วนประกอบของเซลล์
ทง้ั หมด รูป ก คอื เซลลส์ ัตว์ เน่อื งจากไม่มผี นงั เซลล์
รูป ข คือ เซลล์พืช เนือ่ งจากมผี นงั เซลล์
รูป ค คือ เซลลส์ ัตว์ เน่อื งจากไมม่ ีผนงั เซลล์
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 2
2. กระบวนการทากิมจิและกระบวนการแพร่ของสาร ดงั ข้อมลู
กระบวนการทากิมจิ
กมิ จิ เปน็ อาหารอย่างหน่งึ ของประเทศ
เกาหลที ี่มกี ระบวนการทาตามขนั้ ตอน ดงั น้ี
1. นาผักสด เช่น หวั ผกั กาด กะหล่าปลี
หวั หอม มาล้างให้สะอาด
2. ห่นั เป็นชน้ิ ตามต้องการใส่ภาชนะ
3. ใส่เกลือคลุกเคลา้ ให้เข้ากนั ท้งิ ไวจ้ นมนี า้
พอประมาณ
4. นาผกั ที่ไดม้ าบีบนา้ ออกแล้วคลุกด้วยพริก
5. ใสภ่ าชนะปดิ ฝา แล้ววางไวท้ ่อี ุณหภมู ิหอ้ ง
ประมาณ 1 วนั จะเพ่ิมรสเปร้ียวในกิมจิ ภาพแสดงกระบวนการแพรข่ องสาร
จากกระบวนการทากมิ จขิ ั้นตอนใดเกิดกระบวนการแพรท่ ีส่ อดคล้องกับภาพแสดงกระบวนการแพร่
ของสารมากท่สี ุด
1) ขนั้ ตอนที่ 1
2) ข้นั ตอนท่ี 3
3) ขัน้ ตอนท่ี 4
4) ขั้นตอนที่ 5
ตวั ช้ีวดั ว1.1 ม 1/4 ทดลองและอธบิ ายกระบวนการสารผา่ นเซลล์ โดยการแพร่และออสโมซสิ
รปู แบบ เลอื กตอบ
เฉลย
2) ถกู เพราะ ขน้ั ตอนท่ี 3 การใส่เกลือคลุกในผกั ทาให้สารละลายในภาชนะที่ใส่ผกั อยู่มีความ
เขม้ ข้นมากกว่าสารละลายในเซลลข์ องผกั จึงทาใหน้ า้ ที่อย่ใู นเซลล์ผกั เกิดการ
ออสโมซสิ ออกมาดา้ นนอกทาให้มีปริมาณนา้ ในภาชนะมากขน้ึ ขณะเดยี วกนั เกลอื
มีการแพร่เข้าในผักทาให้ผักมีรสเค็ม
ตวั ลวง
1) ผดิ เพราะ ขั้นตอนที่ 1 เป็นเพยี งการล้างผกั ยังไมเ่ กิดกระบวนการใด
3) ผิด เพราะ ขนั้ ตอนที่ 4 เป็นการบีบน้าออกจากผกั ไมใ่ ชก่ ระบวนการแพร่
4) ผิด เพราะ ข้นั ตอนที่ 5 กิมจิมรี สเปรยี้ วเกิดจากกกระบวนการหมกั ดอง
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 3
3.
ชานนท์ซ้ือกหุ ลาบ และกล้วยไม้ ซงึ่ มสี ีน้าเงินเข้มมาจากตลาด เขาไม่แน่ใจว่าสีน้าเงินนี้เป็น
สีด้ังเดิมของดอกไม้จริงหรือไม่ เขาจึงทาการตัดตามขวางบริเวณก้านของดอกไม้ทั้งสองชนิด แล้ว
นามาส่องดดู ว้ ยกล้องจลุ ทรรศน์ (บริเวณสีดาคอื เสน้ ทางการลาเลยี งสที ย่ี ้อม)
ถ้าดอกไม้ทีซ่ อื้ มามีสีท่ีไม่ไดเ้ กิดข้นึ เองตามธรรมชาติ ภาพตัดตามขวางของก้านดอกกหุ ลาบและ
ก้านดอกกลว้ ยไม้ ควรจะมีลกั ษณะตามภาพใด
1) A และ C
2) A และ D
3) B และ C
4) B และ D
ตวั ชว้ี ดั ว1.1 ม. 1/9 สงั เกตและอธิบายโครงสรา้ งท่ีเกี่ยวกบั ระบบลาเลยี งนา้ และอาหารของพืช
รปู แบบ เลือกตอบ
เฉลย
3) ถูก เพราะ กุหลาบเปน็ พืชใบเลยี้ งคู่ และกลว้ ยไมเ้ ปน็ พืชใบเลี้ยงเดี่ยว บริเวณสีดา
เป็นท่อลาเลียงน้าซ่ึงภาพ B คือภาพตดั ตามขวางของลาต้นพชื ใบเล้ียงคู่
และภาพ C คือภาพตัดตามขวางของก้านดอกพชื ใบเลีย้ งเดีย่ วทีแ่ สดงถึง
ท่อลาเลยี งน้าตามข้อมูลที่กาหนด
ตัวลวง
1) ผดิ เพราะ บริเวณสดี าของภาพ A คือท่อลาเลยี งอาหาร
2) ผิด เพราะ บริเวณสดี าของภาพ A คือทอ่ ลาเลยี งอาหาร และภาพ D เปน็ ภาพตดั ขวาง
ของรากพชื ใบเลี้ยงคู่
4) ผิด เพราะ ภาพ D เป็นภาพตัดตามขวางของรากพืชใบเลย้ี งคู่
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 4
4.
เกษราทดลองปลูกข้าวโพดพันธุ์ใหม่ลงบนแปลงปลูกท่ีมีขนาดเท่ากัน 2 แปลง โดยไม่มี
การใช้ยาฆ่าแมลง และให้น้าเหมือนกัน แปลงท่ี 1 ปลูกจานวน 50 ต้น แปลงที่ 2 ปลูกจานวน
200 ตน้ เมื่อข้าวโพดเจริญเติบโตเป็นต้นท่ีสมบูรณ์ท้ัง 2 แปลงปรากฏว่า เมื่อเก็บผลผลิตพบว่า
แปลงที่ 2 ข้าวโพดมีเมลด็ ขา้ วโพดเต็มฝักมากกว่าแปลงที่ 1
ข้อใด คอื เหตุผลทใี่ ชอ้ ธบิ ายว่า ขา้ วโพดในแปลงที่ 2 มเี มล็ดข้าวโพดเต็มฝกั มากกวา่ แปลงที่ 1
ได้สมเหตุสมผลมากที่สุด
1) แปลงที่ 1 ระยะหา่ งระหวา่ งต้นมากทาให้ความชื้นในดนิ ลดลง
2) แปลงท่ี 1 ไม่มแี มลง ไดร้ บั นา้ มากเกินไป มผี ลตอ่ การออกดอกของข้าวโพด
3) แปลงที่ 2 ตน้ ขา้ วโพดหนาแน่น ขา้ วโพดจงึ ปรบั ตวั ออกดอกมากขน้ึ เพอื่ ความอยรู่ อด
4) แปลงท่ี 2 มจี านวนต้นขา้ วโพดมากกวา่ จงึ มโี อกาสถา่ ยละอองเรณูขา้ มต้นไดม้ ากกวา่
ตัวชว้ี ัด ว 1.1 ม.1/11 อธิบายกระบวนการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอกและการสืบพันธุ์
แบบไมอ่ าศัยเพศของพชื โดยใช้สว่ นต่างๆ ของพชื เพ่ือชว่ ยในการ
ขยายพันธุ์
รปู แบบ เลอื กตอบ
เฉลย
4) ถูก เพราะ ข้าวโพดเป็นพืชมดี อกไม่สมบรู ณ์เพศ ดงั นน้ั จานวนต้นท่มี ากมโี อกาสถ่ายละออง
เรณขู า้ มตน้ ได้มาก จงึ มีโอกาสได้เมลด็ เตม็ ฝักมากกว่า
ตวั ลวง
1) และ 2) ผิด เพราะ การทขี่ า้ วโพดเต็มฝักขึน้ อยกู่ ับการถ่ายละอองเรณมู ากกว่าความช้ืนและ
ปรมิ าณน้าในดิน
3) ผดิ เพราะ การท่ีเมลด็ ข้าวโพดเตม็ ฝักขึ้นอยู่กบั การถ่ายละอองเรณู
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 5
5. การขยายพนั ธ์ุดว้ ยใบของต้นดาดตะกั่ว (บโี กเนีย) มขี ้ันตอน ดงั นี้
1. ตดั ใบออกจากต้น
2. ตัดออกตามแนวเสน้ ใบ
3. ทาฮอรโ์ มนเร่งรากตามแนวเสน้ ใบ วางบนขยุ มะพรา้ วชน้ื ต้งั ไวใ้ นที่ร่ม
4. ตน้ ออ่ นงอกขนึ้ ใหม่ แยกตน้ อ่อนนาไปเพาะเล้ยี ง
กระบวนการงอกตน้ ใหมข่ องตน้ ดาดตะก่ัว(บีโกเนยี ) คล้ายกับวิธกี ารทาให้งอกตน้ ใหม่ในข้อใด
1) การนาก่งิ ตน้ กะเพรา โหระพา มาปกั ชา
2) การนาไหลของตน้ สตรอเบอรีไปปลูก
3) การนาตน้ ออ่ นท่ขี ้ึนตามโคนตน้ เตยไปปลูก
4) การตัดใบลิ้นมงั กร เปน็ ท่อน ๆ ไปปักชา
ตัวชี้วดั ว 1.1 ม.1/11 อธบิ ายกระบวนการสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอกและการสบื พนั ธ์ุ
แบบไมอ่ าศัยเพศของพชื โดยใชส้ ่วนตา่ ง ๆ ของพืชเพื่อช่วยในการ
ขยายพนั ธุ์
รูปแบบ เลือกตอบ
เฉลย
4) ถูก เพราะ เปน็ การขยายพนั ธโ์ุ ดยใช้ใบเชน่ เดียวกบั ต้นดาดตะกวั่ (บีโกเนีย)
ตวั ลวง
1) ผดิ เพราะ เปน็ การขยายพนั ธด์ุ ้วยการใชก้ ่งิ ในการปกั ชา
2) ผดิ เพราะ เป็นการขยายพนั ธุ์ดว้ ยการใช้ตน้ ออ่ นจากไหลของสตรอเบอรี
3) ผดิ เพราะ เปน็ การเอาตน้ อ่อนทแี่ ตกออกจากโคนต้นเตยไปปลกู
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 6
6.
ฟนั หนาม
ธนั วาไดช้ มสารคดพี ืชกนิ แมลงทางโทรทศั น์ ธันวาใหค้ วามสนใจต้นกาบหอยแครง
ท่มี หี ลากยลสาางยกพาบันธุ์ เขาสงสยั วา่ กลไกการจบั แมลงเกิดจากอะไร จึงได้นาตน้ กาบหอยแครง
3 ชนสิดายมพาทนั ธา์ุการทดลองโดยไดอ้ อกแบบตกโาาครรนตาองกบบาสบนั นทอึกงผขลองดกงั านบี้หอยแครง
ของ ลักษณะการสัมผสั เบา ลกั ษณะการสัมผสั หนกั
กาบหอยแครง โคนกาบ กลางกาบ ฟันหนาม โคนกาบ กลางกาบ ฟันหนาม
A
B
C
จากขอ้ มูลตารางบนั ทึกผลการทดลองธนั วาต้องการศกึ ษาเรือ่ งใด
1) บริเวณและลักษณะการสัมผสั มีผลต่อการจับแมลงของกาบหอยแครงหรอื ไม่
2) ชนิดของแมลงและลักษณะการสมั ผสั มีผลต่อการจับแมลงของกาบหอยแครงหรือไม่
3) สายพันธข์ุ องกาบหอยแครงและชนิดของแมลงมผี ลตอ่ การจับแมลงของกาบหอยแครงหรอื ไม่
4) บริเวณท่สี มั ผัส ลักษณะของการสัมผสั และสายพนั ธ์ุของกาบหอยแครง มผี ลต่อการจบั แมลง
ของกาบหอยแครงหรือไม่
ตวั ชี้วัด ว 1.1 ม.1/12 ทดลองและอธิบายการตอบสนองของพชื ตอ่ แสง น้า และการสัมผสั
รปู แบบ เลือกตอบ
เฉลย
4) ถูก เพราะ จากตารางบนั ทึกผลการสงั เกตมตี ัวแปรทตี่ อ้ งการศกึ ษา 3 ตวั แปรคอื สายพันธุข์ อง
กาบหอยแครง ลกั ษณะการสัมผัสและบริเวณทีถ่ กู สัมผสั
ตวั ลวง
1) ผดิ เพราะ ศกึ ษาเฉพาะบริเวณและลักษณะการสัมผัสซ่ึงไม่ครอบคลมุ ตัวแปรท่ศี กึ ษา
ในตารางทั้งหมด
2) และ 3) ผิด เพราะ ในตารางบนั ทกึ ผลไมไ่ ดศ้ ึกษาชนิดของแมลงทมี่ ีผลต่อการจับของกาบ
หอยแครง
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 7
7. ฟารม์ กลว้ ยไมม้ กี ล้วยไมส้ กุลหวาย 4 สายพันธ์ุท่มี ลี ักษณะ ดงั นี้
สายพนั ธ์ุ A ดอกมขี นาดเลก็ สแี ดง ดอกบานได้ 3 สัปดาห์ มีน้าหวานในเกสรมาลอ่ แมลงไดด้ ี
ออกดอกในฤดหู นาว
สายพันธุ์ B ดอกมขี นาดใหญ่ตดิ กันเป็นกระจกุ กลีบหนา ออกดอกในฤดหู นาว
สายพันธุ์ C ดอกมีสเี หลอื งส้มกลีบหนา ลาต้นตัง้ ตรง อายุปลูก 3-5 ปี
ออกดอกชว่ งฤดรู อ้ น จนถงึ ฤดฝู น
สายพันธุ์ D ลาตน้ ใหญแ่ ขง็ แรง ดอกสีขาวขนาดใหญ่ ช่อดอกห้อยลง
ดอกบานกลางคืนถึงเช้า
ถ้าเจา้ ของฟารม์ กลว้ ยไมต้ อ้ งการปรับปรุง และขยายพันธุก์ ล้วยไมส้ กุลหวาย เพ่ือให้ได้สายพนั ธ์ุ
ที่ทนต่อโรค ออกดอกตลอดทัง้ ปี ใหช้ ่อดอกยาว มีสีสันสดใส กลีบหนา ดอกบานอยู่ได้นาน ไมร่ ว่ งงา่ ย
และลาต้นแข็งแรง ควรเลือกสายพนั ธตุ์ ามข้อใดมาผสมกนั จึงมโี อกาสไดล้ ักษณะกล้วยไมต้ ามท่ีต้องการ
มากทส่ี ุด
1) สายพนั ธุ์ A ผสมสายพันธ์ุ B 2) สายพันธุ์ A ผสมสายพันธุ์ C
3) สายพนั ธุ์ B ผสมสายพันธุ์ C 4) สายพันธ์ุ B ผสมสายพันธ์ุ D
ตวั ช้ีวัด ว1.1 ม.1/13 อธิบายหลกั การและผลของการใช้เทคโนโลยีชวี ภาพในการขยายพนั ธ์ุ
ปรบั ปรงุ พันธุเ์ พ่ิมผลผลติ ของพชื และนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
รูปแบบ เลือกตอบ
เฉลย
2) ถูก เพราะ สายพันธ์ุ A มจี ดุ เด่นคอื ดอกสแี ดง ดอกบานได้ 3 สปั ดาห์ ออกดอกฤดหู นาว
สายพันธุ์ C มจี ดุ เด่นคอื ดอกสีสม้ กลีบหนาลาต้นตง้ั ตรงอายกุ ารปลกู 3-5 ปี
ออกดอกในฤดรู อ้ นจนถงึ ฤดฝู น
เมือ่ นาสายพันธุ์ A มาผสมกบั สายพนั ธ์ุ C จงึ มีโอกาสไดล้ กั ษณะกล้วยไม้ตามท่ี
ต้องการคือ ได้ดอกกลว้ ยไมท้ ม่ี ีสีสด กลบี หนา ดอกบานทนนานถงึ 3 สัปดาห์
ออกดอกตลอดปี ลาต้นตั้งตรงแข็งแรง ทนต่อโรคทาให้มอี ายุการปลูกนาน 3-5 ปี
ตวั ลวง
1) ผดิ เพราะ สายพันธุ์ B มจี ดุ ด้อยท่ดี อกติดกนั เป็นกระจุก และออกดอกเฉพาะฤดูหนาว เมื่อผสม
กับสายพนั ธุ์ A จะทาใหใ้ ด้ช่อดอกส้นั ไม่ตรงกับความต้องการ
3) ผิด เพราะ สายพนั ธ์ุ B มจี ุดด้อยที่ดอกตดิ กนั เป็นกระจกุ และออกดอกเฉพาะฤดหู นาว เม่อื ผสม
กบั สายพนั ธ์ุ C อาจทาใหช้ ่อดอกส้นั ไม่ตรงกับความตอ้ งการ
4) ผดิ เพราะ สายพันธ์ุ B มีจุดด้อยคือ ทีด่ อกตดิ กันเป็นกระจุก และออกดอกเฉพาะฤดหู นาว
สายพันธ์ุ D มจี ดุ ด้อยคือ ดอกบานเพยี งชว่ งกลางคนื ถงึ เชา้
สายพนั ธุ์ B ผสมกับสายพนั ธ์ุ D จะทาให้ดอกกล้วยไมท้ ่ีไดบ้ านไมน่ านและช่อดอกสัน้
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 8
8. เด็กหญิงเอออกไปซือ้ น้าแดงเพอ่ื มาดื่มคลายร้อน จากรา้ นค้าจานวน 4 ขวด เม่อื สังเกตในแตล่ ะขวด
พบวา่ มลี กั ษณะแตกตา่ งกัน จึงเกิดขอ้ สงสยั ว่าน้าแดงทั้ง 4 ขวด เปน็ ชนิดเดียวกันหรอื ไม่
เด็กหญงิ เอจงึ นาน้าแดงทัง้ 4 ขวด มาทาการทดสอบ ได้ผลดังตาราง
ขวดท่ี ลักษณะของสาร เมือ่ เทผา่ นกระดาษกรอง เมอ่ื นาไประเหยแหง้
1 สารละลายสแี ดงใส ไม่มสี ารติดบนกระดาษกรอง ไม่พบสาร
2 สารละลายสแี ดง ไม่มสี ารติดบนกระดาษกรอง พบตะกอนสีขาว
3 สารละลายสแี ดงเข้ม มีผงสดี าติดอยู่ พบตะกอนสขี าวและสดี า
4 สารละลายสีแดง มีผงสีขาวติดอยู่ พบตะกอนสีขาว
จากขอ้ มลู น้าแดงขวดใดเป็นสารเนือ้ ผสม
1) ขวดที่ 1 และ ขวดที่ 2
2) ขวดที่ 2 และ ขวดที่ 3
3) ขวดที่ 3 และ ขวดที่ 4
4) ขวดที่ 1 และ ขวดท่ี 4
ตัวชีว้ ดั ว3.1 ม.1/1 ทดลองและจาแนกสารเปน็ กลุ่มโดยใช้เน้ือสารหรือขนาด อนุภาคเป็นเกณฑ์
และอธิบายสมบตั ขิ องสารในแตล่ ะกลุ่ม
รูปแบบ เลอื กตอบ
เฉลย
3) ถูก เพราะ ขวดท่ี 3 และ ขวดที่ 4 เมื่อนาน้าแดงมากรองด้วยกระดาษกรอง
พบว่า ขวดท่ี 3 มีผงสีดาติดอยแู่ ละขวดท่ี 4 มีผงสขี าวตดิ ค้างอย่บู นกระดาษกรอง
แสดงวา่ เปน็ สารเนอื้ ผสม
ตวั ลวง
1) ผดิ เพราะ นา้ แดงจากขวดท่ี 1 และ ขวดที่ 2 เปน็ เนอ้ื เดยี ว เนื่องจากไม่มีสารตกค้าง
ทกี่ ระดาษกรอง เป็นประเภทสารละลาย
2) ผิด เพราะ น้าแดงจากขวดที่ 2 เป็นสารเนื้อเดียว เนื่องจากไม่มีสารตกค้างที่กระดาษ
กรองเปน็ ประเภทสารละลาย
4) ผิด เพราะ น้าแดงจากขวดที่ 1 เป็นสารเน้ือเดียว เน่ืองจากไม่มีสารตกค้างท่ีกระดาษ
กรองเป็นประเภทสารละลาย
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 9
9. พจิ ารณาภาพตอ่ ไปน้ี แล้วตอบคาถาม
A
CB
ขอ้ ใดแสดงแบบจาลองอนภุ าคของสาร A B และ C ไดถ้ กู ต้อง
1)
AA BB C
2) BB C
A
3)
AA BC
4)
ตัวช้ีวดั AA B C
รูปแบบ
ว3.1 ม.1/2 อธบิ ายสมบัติและการเปลย่ี นสถานะของสารโดยใช้แบบจาลองการจัดเรยี ง
อนุภาคของสาร
เลือกตอบ
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 10
เฉลย
1) ถูก เพราะ A คอื ไอนา้ มีสถานะเป็นแก๊สซ่ึงจดั เรยี งอนุภาคดงั รูป
B คอื ฝาหมอ้ มีสถานะเป็นของแขง็ ซึ่งจัดเรียงอนภุ าคดงั รูป
C คอื น้าในหมอ้ มสี ถานะเปน็ ของเหลวซึ่งจัดเรียงอนภุ าคดงั รปู
ตวั ลวง
2) ผดิ เพราะ B และ C แบบจาลองอนุภาคของสารสลบั ท่ีกนั ถูกเฉพาะ A
3) ผิด เพราะ A B และ C แบบจาลองอนุภาคของสารสลบั ทกี่ ัน
4) ผดิ เพราะ A B และ C แบบจาลองอนุภาคของสารสลับทีก่ นั
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 11
10. สุดาต้องการทาน้าปลาหวานไว้รบั ประทานกับมะม่วง โดยการเค่ียวน้าตาล น้าเปล่า
น้าปลา พริก หอมแดงซอยและกุ้งแห้ง ขณะต้ังบนเตาน้าปลาหวานมีลักษณะข้นหนืดพอดี
เม่อื ต้ังท้ิงไว้ ณ อณุ หภูมิหอ้ ง พบว่าส่วนผสมน้นั มีน้าตาลจบั ตวั กันเป็นกอ้ นทก่ี น้ ภาชนะ
สุดาจะมีวิธีแก้ปญั หาไมใ่ ห้น้าตาลจับตวั กันเป็นกอ้ นทกี่ น้ ภาชนะอย่างไรจงึ จะเหมาะสมทสี่ ุด
1) ใหป้ ริมาณความรอ้ นให้นานข้นึ
2) เพ่ิมปรมิ าณน้าตาลหรอื น้าเปล่าให้มากขึ้น
3) เพมิ่ ปรมิ าณน้าเปลา่ และให้ความร้อนอกี คร้ัง
4) ตักกอ้ นน้าตาลบางสว่ นออกแลว้ เพ่มิ ปริมาณนา้ เปลา่
ตัวช้ีวดั ว3.2 ม.1/3 ทดลองและอธิบายปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ การเปล่ียนสถานะและการละลายของสาร
รปู แบบ เลือกตอบ
เฉลย
3) ถูก เพราะ การจับตวั กันเป็นก้อนของน้าตาล แสดงว่าสารละลายเกดิ การอ่มิ ตัวหรือ
มีความสามารถในการละลายได้น้อยลง ดังนั้นการเติมน้าหรอื เพม่ิ ปริมาณ
ตัวทาละลายและการให้ความรอ้ นด้วยจะทาใหส้ ารละลายไดม้ ากขึ้น
ตวั ลวง
1) ผดิ เพราะ ไมเ่ หมาะสมเนอื่ งจากการเพ่มิ ปรมิ าณความร้อนนานขึ้น กจ็ ะทาให้นา้ หรือตัว
ทาละลายลดลง ส่งผลให้สารละลายเกิดการละลายได้นอ้ ยลง
2) ผดิ เพราะ ไมเ่ หมาะสมเนือ่ งจากการเตมิ นา้ ตาลเป็นการเพิม่ ปริมาณตวั ละลายยงิ่ ทาให้
ละลายได้นอ้ ยลง หรือการเพมิ่ ปริมาณน้าเป็นการลดความเขม้ ข้นของ
สารละลาย และน้ามอี ุณหภูมหิ ้องทาให้การละลายได้ชา้ ลง
4) ผดิ เพราะ ไมเ่ หมาะสมเน่อื งจากการตักนา้ ตาลบางส่วนออกแล้วเพมิ่ ปรมิ าณน้าเป็น
การลดความเข้มข้นของสารละลาย และนา้ มอี ณุ หภมู ิห้องทาให้การละลาย
ไดช้ ้าลง
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 12
11.
ข้าวหอม กอไผ่ ยอดหญ้า และดินดา ศึกษาเวกเตอร์ A B C และ D จากรูปแล้วร่วมกันแสดง
ความคดิ เหน็
. . . . .A C
. . . . .B D
ข้าวหอม : นถเAห้าา่ ็นอจแะยดลใา่้วะชงย่นนแDนั้ ะตเ่ทเปBพ่ีแน็ นรแเา่วลๆะกะเAตBCอแแรกลล์ทม็ ะะ่เี ีขทนDDา่กาดมนัมเขีที ทนศิ ่าาทกดาันเงดทต้วา่ รยกงนักันขา้ ม
กอไผ่ :
ยอดหญา้ :
ดินดา :
จากการแสดงความคิดเหน็ ของบคุ คลทง้ั 4 บุคคลใดกล่าวได้ถูกต้อง
1) ขา้ วหอม และกอไผ่
2) ยอดหญ้า และดนิ ดา
3) ขา้ วหอม และดนิ ดา
4) กอไผ่ และยอดหญา้
ตัวชี้วัด ว 4.1 ม.1/1 สืบขอ้ มูลและอธิบายปริมาณสเกลาร์ ปรมิ าณเวกเตอร์
รูปแบบ เลอื กตอบ
คกขา้อาวอไผหธ่อิบมายผผคดิดิ วาเเพพมรรคาาดิ ะะเหเแAหน็ลน็ ะแดทล้วิศะยทกDาับงขเเปด้ายี็นววหเวกอกันมเตซแอ่งึตแร่ ท์สAดี่ไมงแเ่คลทวะา่ ากมDนั คดิ มกเาขีหรนน็ ทาไ่ีเดมวเ่ถกทกูเา่ตตกอ้อันรงแจ์ วตะา่ เ่มทAีท่าิศกแทันลาตะง้อตDงรมงีขมกนีขันานขดาา้ เดมท่ากนั
ยอดหญา้ ถกู เพราะ เท่ากัน อBBีกทแแล้ังลใะะห้เDCหตมมผุ ทีีขลนศิ ไมทาด่คางร3ตบรหถงว้นกน่วันรยขะเา้ทบม่าเุ ฉกพันาะขนาดเท่ากันไมร่ ะบุทิศทาง
ดินดา ถูก เพราะ จากรูป
จากรูป
เฉลย
2) ถกู เพราะ การแสดงความคดิ เห็นของยอดหญา้ และดินดาถูกตอ้ งตามคานยิ ามของปรมิ าณเวกเตอร์
ตวั ลวง
1) 3) และ 4) ผิด เพราะ การแสดงความคิดเหน็ ไม่ถูกต้องตามคานยิ ามของปรมิ าณเวกเตอร์
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 13
12.
หน่ึงน่ังรถโดยสารจากบ้านไปเทีย่ วพัทยา โดยคนขับรถขบั ไปในแนวตรง ดว้ ยความเรว็ คงท่ี
ไปทางทศิ ตะวันออก สังเกตเหน็ ทม่ี าตรวัดอัตราเร็วช้ีท่ี 80 กโิ ลเมตรตอ่ ชั่วโมง เปน็ เวลา 1 ช่ัวโมง
30 นาที รถโดยสารได้แวะเติมนา้ มันท่สี ถานีเติมนา้ มันแห่งหน่ึงและขับต่อดว้ ยความเร็ว
90 กโิ ลเมตรต่อช่ัวโมง ไปทางทศิ เหนือ เปน็ เวลา 30 นาที และรถไดเ้ ลย้ี วไปทางทิศตะวนั ตก
ดว้ ยความเรว็ 60 กโิ ลเมตรตอ่ ช่ัวโมง เปน็ เวลา 30 นาที จนถึงพัทยา
หน่ึงเดินทางจากบ้านถึงพทั ยาเป็นระยะทางเท่าใด
1) 75 กโิ ลเมตร
2) 120 กโิ ลเมตร
3) 165 กิโลเมตร
4) 195 กิโลเมตร
ตวั ช้ีวัด ว4.1 ม.1/2 ทดลองและอธิบายระยะทาง การกระจัด อตั ราเร็ว และความเรว็ ในการ
เคลอื่ นที่ของวตั ถุ
รูปแบบ เลอื กตอบ
เฉลย
4) ถูก เพราะ
ช่วงท่ี 1 จากสตู ร ระยะทาง = อัตราเร็ว X เวลา
= 80 X 1.5
= 120 กิโลเมตร
ช่วงท่ี 2 จากสตู ร ระยะทาง = อัตราเร็ว X เวลา
= 90 X 0.5
= 45 กิโลเมตร
ชว่ งที่ 3 จากสูตร ระยะทาง = อัตราเร็ว X เวลา
= 60 X 0.5
= 30 กโิ ลเมตร
ดังนน้ั จะได้ระยะทางทัง้ หมด = 120 + 45 + 30
= 195 กิโลเมตร
ตวั ลวง
1) ผิด เพราะ 75 กโิ ลเมตร คิดจากชว่ งท่ี 2 + ชว่ งท่ี 3
2) ผิด เพราะ 120 กิโลเมตร คิดจากชว่ งที่ 1
3) ผดิ เพราะ 165 กิโลเมตร คิดจากช่วงที่ 1 + ช่วงที่ 2
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 14
13.
เดก็ ชายเอ ศึกษาอณุ หภมู ิของนา้ ในบ่อนา้ ร้อนจานวน 4 บอ่ ได้ผลดงั นี้
70 oC 120 oF 320 K 65 oR
บ่อท่ี 1 บอ่ ท่ี 2 บอ่ ที่ 3 บอ่ ท่ี 4
ถา้ นกั เรยี นนาไขไ่ ก่ที่มีขนาดเทา่ กนั ไปต้มในแตล่ ะบอ่ เป็นเวลา 5 นาที บอ่ ใดจะทาให้ไข่สุกเรว็ ท่ีสุด
1) บ่อที่ 1
2) บอ่ ท่ี 2
3) บ่อท่ี 3
4) บอ่ ท่ี 4
ตัวชี้วัด ว5.1 ม. 1/1 ทดลองและอธบิ ายอณุ หภูมิ และการวัดอณุ หภูมิ
รูปแบบ เลือกตอบ
วิธคี ดิ
สามารถคานวณได้จากสูตรการเปล่ยี นหน่วยอณุ หภูมิ
บ่อที่ 1 มีอุณหภูมิ 70 oC
บอ่ ที่ 2 มอี ุณหภูมิ 120 oF เปล่ียนเปน็ 0C
C 120 32 9.77
59
C = 9.77 x 5 = 48.89
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 15
บ่อท่ี 3 มีอุณหภูมิ 320 K เปลย่ี นเป็น oC
C = 320 - 273
C = 47
บ่อที่ 4 มีอุณหภูมิ 65 oR เปลีย่ นเป็น oC
C 65
54
C = 16.25 x 5 = 81.25
ดังน้ัน แสดงวา่ บ่อที่ 4 อณุ หภมู สิ ูงสุด จงึ ต้มไข่สุกไดเ้ ร็วทสี่ ุด
เฉลย
4) ถูก เพราะ อณุ หภูมิของนา้ ในบอ่ สงู สุด คือ 81.25 oC
ตัวลวง
1) 2) และ 3) ผดิ เพราะ นา้ ในบ่อมอี ุณหภูมิตา่ กว่าบ่อท่ี 4
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 16
14. น้องทรายเข้าชมภาพยนตร์ ในโรงภาพยนตรแ์ หง่ หนง่ึ เมือ่ ใชม้ ือสัมผสั กาไลทีส่ วมอยู่ 3 อนั
ในแขนข้างซ้าย รู้สึกว่ากาไลเย็นแตกต่างกัน กาไลอันแรกรู้สึกเย็น อันท่ีสองเย็นแต่น้อยกว่า
อันแรก ส่วนอันทสี่ ามไม่รสู้ กึ เย็น
จากสถานการณข์ ้างต้น ขอ้ ใดถูกต้อง
1) กาไลอันแรก นาความร้อนจากมือสูก่ าไลไดด้ ีที่สุด
2) กาไลอันทสี่ อง นาความร้อนจากกาไลสู่มือไดม้ ากกว่าอันแรก
3) กาไลอันทสี่ าม พาความรอ้ นจากมือสู่อากาศไดด้ ีที่สุด
4) กาไลอันแรก พาความรอ้ นไปสู่กาไลอนั ทส่ี องและสามไดด้ ี
ตัวช้วี ดั ว5.1 ม.1/2 สังเกตและอธิบายการถ่ายโอนความรอ้ นและนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์
รปู แบบ เลอื กตอบ
เฉลย
1) ถูก เพราะ กาไลอนั แรกนาความร้อนจากมอื ได้ดจี ึงทาให้มอื ทีส่ มั ผัสกาไลรู้สกึ เยน็
กวา่ กาไลอนั ที่ 2 และ 3
ตวั ลวง
2) ผดิ เพราะ ความร้อนจะถูกนาจากมอื ที่สมั ผสั สู่กาไลไม่ใช่จากกาไลสู่มือ
3) และ 4) ผดิ เพราะ การท่มี ือรสู้ กึ เย็นเม่อื สัมผัสกาไลเป็นการนาความร้อน
ไม่ใชก่ ารพาความรอ้ น เนอ่ื งจากกาไลมีสถานะเป็นของแขง็
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 17
15. บอสเผลอน่ังทับลูกบอลพลาสตกิ ของนอ้ งจนบุบ แม่จงึ แนะนาให้บอสนาลูกบอลพลาสติก
ทีบ่ ุบไปแช่ในน้าร้อน ปรากฏว่าลูกบอลพลาสติกกลับคืนสสู่ ภาพเดมิ
จากขอ้ มลู ข้อใดอธิบายการกลบั คืนสูส่ ภาพเดิมของลูกบอลพลาสติกไดถ้ กู ตอ้ งและสมเหตุสมผลท่สี ดุ
1) อุณหภมู ใิ นนา้ รอ้ นทาใหพ้ ลาสติกยืดตัวกลับคนื สู่สภาพเดมิ
2) ลกู บอลพลาสติกนาความร้อนได้ดีกระจายความรอ้ นไปทัว่ จงึ ขยายตวั คนื สู่สภาพเดิม
3) ความรอ้ นของน้าร้อนทาให้อากาศภายในลกู บอลพลาสติกขยายตัวดนั ลูกบอลคนื สสู่ ภาพเดิม
4) ความรอ้ นทาให้พลาสตกิ หดตวั จึงดงึ ตวั เองให้กลับคนื สู่สภาพเดมิ
ตัวช้ีวดั ว5.1 ม. 1/4 อธิบายสมดลุ ความรอ้ นและผลของความร้อนตอ่ การขยายตัวของสาร
และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวนั
รปู แบบ เลอื กตอบ
เฉลย
3) ถกู เพราะ ความรอ้ นในนา้ รอ้ นสง่ ผ่านให้อากาศภายในลูกบอลพลาสตกิ อุณหภูมสิ ูงข้นึ
และขยายตัวดนั ลูกบอลพลาสตกิ ท่บี ุบคนื สสู่ ภาพเดิม
ตวั ลวง
1) 2) และ 4) ผิด เพราะ ปจั จยั ท่ีทาให้ลกู บอลพลาสตกิ คนื สภาพเดิมคอื ความดันของ
อากาศภายในลูกบอลพลาสตกิ
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 18
16.
จากภาพ ชมุ ชนแหง่ หนึง่ มีป่าชมุ ชน ประชากรมอี าชีพทานา มีฟาร์มเล้ียงแกะขนาดใหญ่
มโี รงไฟฟ้าถ่านหิน อีกทั้งเป็นเส้นทางผ่านของการคมนาคมขนส่ง โดยมรี ถยนต์วงิ่ ผา่ นตลอดทัง้ วนั
ตอ่ มาในพน้ื ทชี่ ุมชนแหง่ น้ีมีอากาศร้อนข้นึ และมสี ภาพแห้งแลง้
จากสภาพและวถิ ชี วี ติ ของคนในชุมชน การดาเนินชีวิตที่บรเิ วณใดส่งผลตอ่ สภาพแวดลอ้ มและ
สภาพอากาศในชมุ ชนน้ีมากทส่ี ดุ
1) บริเวณ A และบริเวณ E
2) บริเวณ B และบริเวณ C
3) บริเวณ C และบริเวณ E
4) บริเวณ B และบริเวณ D
ตวั ช้ีวัด ว 6.1 ม.1/6 สืบค้นวิเคราะหแ์ ละอธิบายปัจจัยทางธรรมชาตแิ ละการกระทาของมนษุ ย์
ทมี่ ผี ลตอ่ การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิของโลก รูโหว่โอโซนและฝนกรด
รูปแบบ เลือกตอบ
เฉลย
1) ถกู เพราะ บริเวณ A เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหนิ จะปล่อยแกส๊ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2)และ
บริเวณ E ฟาร์มแกะจะปลอ่ ยแกส๊ มีเทน (CH4) ออกมา แกส๊ ท้งั สองจะส่งผลต่อ
สภาพแวดลอ้ มและสภาพอากาศในชุมชนนี้มากที่สุด
ตวั ลวง
2) ผดิ เพราะ บริเวณ B การคมนาคม ปลอ่ ยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
และบริเวณ C แปลงนาทไ่ี ถกลบมนี ้าขงั จะเกิดแก๊สมเี ทน (CH4)
ซึง่ ส่งผลกระทบนอ้ ยกว่าข้อ 1
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 19
3) ผิด เพราะ บริเวณ C แปลงนาทไ่ี ถกลบมีน้าขังจะเกดิ แกส๊ มเี ทน (CH4)
และบริเวณ E ฟาร์มแกะจะปล่อยมเี ทน (CH4) ออกมา
ซึ่งส่งผลกระทบนอ้ ยกว่าข้อ 1
4) ผดิ เพราะ บริเวณ B การคมนาคมปล่อยแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
และบริเวณ D ป่าชุมชน ซ่ึงจะชว่ ยลดแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2)
และเพม่ิ แกส๊ ออกซิเจน (O2) โดยกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 20
17. ในแต่ละสัปดาห์ครอบครวั A B C และ D มกี จิ กรรมท่ีทาตา่ งกัน ดังนี้
ครอบครวั กจิ กรรมทีท่ า
ปลกู ตน้ ไม้รอบบา้ น เดนิ ทางไปทางานโดยรถยนต์คนละคนั ( 3 คนั )
A เปดิ แอร์ 2 ห้องในบ้าน ใชต้ เู้ ย็น 8 คิว จานวน 1 เคร่อื ง
ใชเ้ ตารดี รดี ผา้ สัปดาหล์ ะ 2 ชั่วโมง เผาขยะ 1 ครงั้ /สปั ดาห์
ปลูกต้นไมน้ ้อย เดินทางไปทางานโดยรถยนต์คนั เดยี วกัน (3 คน)
B เปิดแอร์ 2 ห้องในบ้าน ใช้ตเู้ ยน็ 8 คิว จานวน 1 เครื่อง
ใช้เตารดี รดี ผ้าสัปดาหล์ ะ 2 ชัว่ โมง เผาขยะ 3 ครั้ง/สปั ดาห์
ปลูกตน้ ไมน้ อ้ ย เดินทางไปทางานโดยรถยนต์คนละคัน ( 4 คน)
C เปดิ แอร์ 2 หอ้ งในบ้าน ใช้ตูเ้ ย็น 8 คิว จานวน 1 เครื่อง
ใชเ้ ตารดี รดี ผา้ สัปดาหล์ ะ 2 ช่วั โมง เผาขยะ 4 ครงั้ /สปั ดาห์
ปลูกต้นไม้มาก เดินทางไปทางานโดยรถยนตค์ นั เดียวกัน ( 5 คน)
D เปดิ แอร์ 2 หอ้ งในบา้ น ใช้ต้เู ย็น 9 คิวจานวน 1เคร่อื ง
ใชเ้ ตารดี รดี ผา้ สัปดาหล์ ะ 2 ชว่ั โมง เผาขยะ 2 ครง้ั /สัปดาห์
ครอบครัวใดมีกจิ กรรมที่ส่งผลกระทบใหเ้ กดิ สภาวะโลกร้อนมากท่ีสดุ
1) ครอบครัว A 2) ครอบครวั B
3) ครอบครัว C 4) ครอบครัว D
ตวั ชี้วดั ว 6.1 ม.1/7 สืบคน้ วิเคราะห์และอธบิ ายผลของภาวะโลกร้อน รโู หวโ่ อโซนและฝนกรด
ทม่ี ีตอ่ สง่ิ มชี วี ติ
รูปแบบ เลือกตอบ
เฉลย
3) ถูก เพราะ ครอบครวั C ใชร้ ถยนตค์ นละคนั 4 คน เผาขยะ 4 ครัง้ /สัปดาห์ เพิม่ CO2
ในอากาศมาก ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ สง่ ผลใหเ้ กิด CO2 น้อย
ตวั ลวง
1) ผิด เพราะ ครอบครวั A ใช้รถยนต์คนละคนั 3 คน เผาขยะ 1ครั้ง/สัปดาห์ เพมิ่ CO2
ในอากาศน้อยกว่าครอบครัว C
2) ผดิ เพราะ ครอบครวั B ใชร้ ถยนตค์ ันเดยี ว เผาขยะ 3 ครั้ง/สปั ดาห์ เพ่ิม CO2
ในอากาศน้อยกว่าครอบครัว C
4) ผิด เพราะ ครอบครวั D ใช้รถยนตค์ นั เดียวกัน เผาขยะ 2 ครั้ง/สัปดาห์ เพิ่ม CO2
ในอากาศน้อยกว่าครอบครวั C
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 21
พจิ ารณาขอ้ มลู ต่อไปนี้ แลว้ ตอบคาถามขอ้ 18 – 20
ทะเลเดดซี หรือทะเลมรณะ
ทะเลเดดซี เป็นทะเลสาบน้าเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมาก เน่ืองจากมีการ
ละลายของเกลือหลายชนิดโดยเฉพาะ โซเดียมคลอไรด์ท่ีมีสูตรทางเคมีว่า NaCl โดยปกติความ
เค็มของน้าทะเล โดยเฉลี่ยแล้วในน้าทะเลจะมีเกลือร้อยละ 3.5 หรือน้าทะเล 1 ลิตรจะมีเกลือ
ละลายอยู่ประมาณ 35 กรมั
เด็กชายคิดดี จึงทาการศึกษาความเค็มของน้าทะเลจากแหล่งต่าง ๆ 5 แหล่ง ด้วยการ
นามาระเหยแหง้ ได้เกลอื ดังนี้
น้าทะเลจาก ปรมิ าตรนา้ ทะเล ปริมาณเกลอื ท่ไี ดจ้ ากการระเหยแหง้
แหล่งที่ (ลกู บาศก์เซนติเมตร) (กรมั )
1 600 7.2
2 300 6.9
3 300 1.35
4 1,000 15
5 200 1.2
18. จากขอ้ มลู ทก่ี าหนดให้ นา้ ทะเลแหลง่ ใดเขม้ ข้นมากทีส่ ดุ และนอ้ ยทส่ี ุดตามลาดับ
1) น้าทะเลแหล่งที่ 5 และน้าทะเลแหลง่ ท่ี 1
2) นา้ ทะเลแหล่งท่ี 4 และน้าทะเลแหลง่ ท่ี 5
3) น้าทะเลแหลง่ ที่ 4 และน้าทะเลแหล่งท่ี 2
4) น้าทะเลแหล่งที่ 2 และน้าทะเลแหลง่ ท่ี 3
ตัวชวี้ ัด ว3.2 ม.1/1 ทดลองและอธิบายวิธีเตรียมสารละลายที่มีความเข้มข้นเป็นร้อยละ และ
อภปิ รายการนาความร้เู ก่ียวกบั สารละลายไปใช้ประโยชน์
รูปแบบ เลอื กตอบ
เฉลย
4) ถูก เพราะ น้าทะเลจากแหล่งที่ 2 มีเขม้ ขน้ = 2.3 %โดยมวลต่อปริมาตร และ
นา้ ทะเลจากแหล่งที่ 3 มเี ข้มข้น = 0.45 %โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร
วิธคี านวณหาความเข้มขน้ ของนา้ ทะเลจากแหลง่ ที่ 2
รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปริมาตร = มวลของตวั ละลายx100
ปรมิ าตรของสารละลาย
6.9x100
= 300
= 2.3 %โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 22
วิธคี านวณหาความเข้มข้นของนา้ ทะเลจากแหล่งท่ี 3
ร้อยละโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร = มวลของตวั ละลายx100
ปรมิ าตรของสารละลาย
= 1.35x100
300
= 0.45 %โดยมวลต่อปรมิ าตร
ตัวลวง
1) ผดิ เพราะ นา้ ทะเลจากแหลง่ ที่ 5 มีเข้มข้น = 0.6 %โดยมวลต่อปริมาตร
น้าทะเลจากแหลง่ ที่ 1 มเี ข้มข้น = 1.2 %โดยมวลต่อปรมิ าตร
วธิ คี านวณหาความเข้มขน้ ของน้าทะเลจากแหลง่ ที่ 5
รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปริมาตร = มวลของตวั ละลายx100
ปรมิ าตรของสารละลาย
1.2x100
= 200
= 0.6 %โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร
วธิ ีคานวณหาความเขม้ ข้นของนา้ ทะเลจากแหล่งท่ี 1
ร้อยละโดยมวลตอ่ ปริมาตร = มวลของตวั ละลายx100
ปรมิ าตรของสารละลาย
7.2x100
= 600
= 1.2 %โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร
2) ผิด เพราะ นา้ ทะเลจากแหลง่ ที่ 4 มีเขม้ ขน้ = 1.5 %โดยมวลต่อปริมาตร
น้าทะเลจากแหล่งท่ี 5 มเี ข้มขน้ = 0.6 %โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร
วธิ คี านวณหาความเข้มข้นของนา้ ทะเลจากแหลง่ ที่ 4
ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร = มวลของตวั ละลายx100
ปรมิ าตรของสารละลาย
15x100
= 1000
= 1.5 %โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร
3) ผิด เพราะ น้าทะเลจากแหลง่ ท่ี 4 มีเขม้ ข้น = 1.5 %โดยมวลต่อปรมิ าตร
น้าทะเลจากแหล่งท่ี 2 มีเขม้ ข้น = 2.3 %โดยมวลต่อปริมาตร
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 23
19. จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ ข้อสรุปใดไมถ่ กู ตอ้ ง (เลือกตอบ 2 ข้อ)
1) นา้ ทะเลจากแหลง่ ท่ี 2 มคี วามเข้มข้นมากกวา่ นา้ ทะเลจากแหล่งที่ 1
2) นา้ ทะเลจากแหลง่ ท่ี 3 มคี วามเขม้ ข้นมากกว่านา้ ทะเลจากแหลง่ ท่ี 1
3) เมื่อนาน้าทะเลจากแหลง่ ที่ 4 และ 5 ปริมาตรเทา่ กนั น้าทะเลจากแหล่งที่ 5
มีเกลือ มากกว่าน้าทะเลจากแหล่งที่ 4
4) เมอ่ื เตมิ นา้ ลงในน้าทะเลจากแหลง่ ที่ 1 จนมีปริมาตร 1,000 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร
จะมคี วามเข้มข้นลดลง
5) ถา้ เตมิ เกลือลงในน้าทะเลจากแหลง่ ที่ 3 จานวน 15 กรัม เม่ือละลายพบวา่
ปรมิ าตรเท่าเดมิ จะทาให้มคี วามเข้มข้นรอ้ ยละ 5.45 โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร
ตัวช้ีวัด ว3.2 ม.1/1 ทดลองและอธบิ ายวิธเี ตรยี มสารละลายท่ีมคี วามเขม้ ข้นเป็นรอ้ ยละ และ
อภปิ รายการนาความรู้เกี่ยวกบั สารละลายไปใชป้ ระโยชน์
รปู แบบ เลือกตอบหลายคาตอบ
เฉลย
2) ถูก เพราะ เป็นคาตอบที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากน้าทะเลจากแหล่งท่ี 3 มีความเข้มข้น
0.45 % โดยมวลต่อปรมิ าตรน้อยกว่าน้าทะเลจากแหล่งท่ี 1 มีความเข้มข้น
1.2 % โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร
3) ถูก เพราะ เป็นคาตอบที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเปรียบเทียบปริมาตรท่ีเท่ากัน ถ้าความเข้มข้น
มาก ปริมาณตัวละลายก็จะต้องมากด้วย ดังน้ันน้าทะเลจากแหล่งท่ี 4
มีความเข้มข้นมากกว่าน้าทะเลจากแหล่งท่ี 5 เพราะฉะน้ันน้าทะเลจาก
แหลง่ ที่ 4 มีเกลือมากกว่าน้าทะเลจากแหล่งที่ 5
ตวั ลวง
1) ผิด เพราะ น้าทะเลจากแหล่งท่ี 2 มีความเข้มข้น 2.3 % โดยมวลต่อปริมาตร มีความ
เขม้ ข้นมากกวา่ นา้ ทะเลจากแหล่งท่ี 1 ทม่ี ีความเข้มข้น 1.2 แสดงว่าถูกต้อง
ดงั นั้น ข้อที่ 1 ถกู ตอ้ ง แต่โจทย์ถามขอ้ ไม่ถูก ขอ้ ที่ 1 จงึ ผดิ
4) ผดิ เพราะ การเติมน้าลงในสารละลายจะทาให้สารละลายมีความเข้มข้นลดลงเสมอ
เพราะตัวละลายเท่าเดิม แต่มีตัวทาละลายมากข้ึน ดังนั้นข้อ 4 ถูกต้อง
แต่โจทยถ์ ามขอ้ ไมถ่ กู ขอ้ 4 จงึ ผิด
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 24
5) ผิด เพราะ เมื่อเตมิ เกลอื ลงในน้าทะเลจากแหล่งท่ี 3 จานวน 15 กรัม ปริมาตรเท่าเดิม
จะได้ความเข้มข้นร้อยละ 5.45 โดยมวลต่อปริมาตร ดังน้ัน ข้อ 5 ถูกต้อง
แตโ่ จทยถ์ ามข้อไม่ถูก ขอ้ ท่ี 5 จึงผดิ
รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร = มวลของตวั ละลายx100
ปรมิ าตรของสารละลาย
= (1.35 15)x100
300
= 5.45 %โดยมวลต่อปรมิ าตร
20. ถา้ นาน้าทะเลจากแหลง่ ที่ 2 จานวน 300 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร หลงั จากน้นั เติมน้าลงไปอีก
390 ลกู บาศก์เซนติเมตร จะได้นา้ ทะเลมคี วามเข้มขน้ เทา่ ใด (พรอ้ มระบหุ น่วย)
ตอบ……………………………….....................…................................................................................
ตัวชวี้ ัด ว3.2 ม.1/1 ทดลองและอธิบายวิธเี ตรยี มสารละลายท่มี ีความเข้มขน้ เปน็ รอ้ ยละ และ
อภปิ รายการนาความร้เู ก่ียวกับสารละลายไปใช้ประโยชน์
รูปแบบ เขียนตอบสนั้
เฉลย
1.0 % โดยมวลปรมิ าตร
รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร = มวลของตวั ละลายx100
ปรมิ าตรของสารละลาย
= 6.9x100
690
= 1.0 %โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
คะแนนเต็ม (3 คะแนน) คะแนนบางส่วน (2 คะแนน) ไมไ่ ด้คะแนน (0 คะแนน)
เมือ่ ระบคุ วามเขม้ ข้นของน้า เมอ่ื ระบคุ วามเขม้ ขน้ ของน้าทะเล เม่ือตอบไมถ่ ูกต้อง ไม่ตอบหรือ
ทะเลและหน่วยไดถ้ ูกตอ้ ง ไดถ้ กู ต้อง แต่ ไมร่ ะบุหน่วย ตอบอย่างอืน่ ทีไ่ มเ่ กี่ยวข้อง
แนวคาตอบ แนวคาตอบ
- 1.0 % โดยมวลตอ่ ปริมาตร - 1.0 %
- 1.0
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 25
พจิ ารณาข้อมลู ต่อไปนี้ แลว้ ตอบคาถามขอ้ 21 - 22
คณุ ตาเร่มิ ตน้ เลี้ยงปลาหางนกยูง 10 คู่ ในอา่ งดนิ เผาท่มี สี าหรา่ ยหางกระรอก
เมื่อเวลาผา่ นไประยะหนงึ่ ปลาหางนกยูงในอ่างดังกล่าวได้เพม่ิ จานวนขึ้นประมาณ 300 ตัว
เย็นวนั หน่ึงคุณตาได้นาสาหร่ายหางกระรอกมาใส่ในอา่ งเพม่ิ ข้ึน พบวา่ ในตอนรุ่งเชา้ มี
ปลาหางนกยูงตายจานวนหนึ่งโดยไมม่ ีบาดแผลใด ๆ
21. จากข้อมูลขา้ งตน้ ข้อใดเปน็ คาอธบิ ายถึงสาเหตุท่ที าให้ปลาหางนกยูงจานวนหนึง่ ตายไดด้ ีทส่ี ุด
1) สาหร่ายมีจานวนมากทาให้น้าเน่าเสยี
2) สาหร่ายที่เพ่มิ มากขนึ้ ทาให้ปลามีพืน้ ท่วี า่ ยน้านอ้ ยลง
3) ปลามีอัตราการหายใจมากขึ้นในตอนกลางคนื
4) ปรมิ าณแก๊สคาร์บอนไดออกไซดใ์ นอา่ งเพ่ิมมากขน้ึ
ตัวชี้วดั ว 1.1 ม. 1/7 อธิบายความสาคัญของกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืชต่อ
สงิ่ มีชวี ติ และส่ิงแวดลอ้ ม
รูปแบบ เลอื กตอบ
เฉลย
4) ถูก เพราะ ตอนกลางคืนสาหรา่ ยจะมีกระบวนการหายใจโดยใช้แกส๊ ออกซเิ จน
และปลอ่ ยแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ สง่ ผลให้ปรมิ าณแกส๊ ออกซเิ จนในนา้ ลดลด
ปรมิ าณแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์เพมิ่ ขึ้น จงึ เปน็ สาเหตุที่ทาให้ปลาหางนกยงู
จานวนหน่ึงตายได้
ตวั ลวง
1) ผดิ เพราะ ในระยะเวลาเพยี ง 1 คืน ปริมาณสาหรา่ ยไม่สามารถทาใหน้ ้าเน่าเสียได้
2) ผิด เพราะ พนื้ ที่ว่ายน้าทน่ี อ้ ยลงไมใ่ ช่สาเหตุหลักทีท่ าให้ปลาหางนกยูงตาย
3) ผดิ เพราะ อตั ราการหายใจของปลาไมใ่ ชส่ าเหตุทีท่ าให้ปลาหางนกยงู ตาย และปลาหาง
นกยูงมอี ัตราการหายใจเท่ากันไม่วา่ จะกลางวนั หรือกลางคืน
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 26
22. ถ้าลูกชายของคุณตา ปรับวิธีการเล้ียงปลาหางนกยูงใหมโ่ ดยทาการทดลองเลยี้ งในตปู้ ลา 3 แบบ
ดังภาพ
ตะแกรง ตะแกรง หลอดไฟ ตะแกรง หลอดไฟ
พชื นา้ พชื นา้
แบบท่ี 1 พชื นา้ แบบท่ี 3
แบบท่ี 2
จากข้อมลู ตามทล่ี กู ชายคุณตาได้ออกแบบตู้ปลา วธิ ีการเล้ยี งปลาของลูกชายคุณตาแบบใดจะทาให้ปลา
มโี อกาสตายน้อยทส่ี ุด เพราะเหตใุ ด
ตอบ .........................................................................................................................................
ตวั ช้วี ดั ว 1.1 ม. 1/7 อธิบายความสาคญั ของกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืชตอ่
สงิ่ มีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม
รปู แบบ แบบเขยี นตอบสั้น
เกณฑก์ ารให้คะแนน
คะแนนเต็ม (3 คะแนน) คะแนนบางส่วน (2 คะแนน) ไม่ไดค้ ะแนน (0 คะแนน)
เมือ่ ระบตุ ปู้ ลาที่ทาใหป้ ลามโี อกาสตาย เมื่อระบุตู้ปลาท่ีทาให้ปลามี เม่อื ตอบไม่ถูกต้อง ไมต่ อบ
นอ้ ยที่สดุ พร้อมให้เหตผุ ลประกอบอย่าง โอกาสตายนอ้ ยทีส่ ดุ แตไ่ ม่ให้ หรือตอบอยา่ งอนื่ ที่ไม่
สมเหตุสมผล เหตผุ ลประกอบอยา่ ง เกยี่ วข้อง
แนวคาตอบ สมเหตสุ มผล หรอื ไม่ใหเ้ หตุผล
- ตู้ปลาแบบท่ี 3 เพราะมีหลอดไฟช่วย ประกอบ หรือ
ใหส้ าหร่ายเกดิ การสงั เคราะหด์ ว้ ย ไม่ระบตุ ปู้ ลาทที่ าใหป้ ลามีโอกาส
แสงในตอนกลางคืนได้ เป็นการเพิม่ ตายน้อยทีส่ ดุ แต่ ให้เหตผุ ล
ปริมาณแก๊สออกซเิ จนให้ปลา อีกท้ัง ประกอบไดถ้ กู ตอ้ ง
มจี านวนสาหร่ายมากกว่าตู้ปลาแบบ แนวคาตอบ
ท่ี 2 จงึ ทาให้ปลาตายน้อยท่สี ุด - ตูป้ ลาแบบท่ี 3
- ต้ปู ลาแบบที่ 3 เพราะ มหี ลอดไฟให้ - เพราะมหี ลอดไฟ
แสงสว่างในเวลากลางคืนทาให้ - เพราะมสี าหร่ายจานวนมาก
สาหรา่ ยสังเคราะห์ด้วยแสงได้
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 27
พจิ ารณาขอ้ มูลต่อไปน้ี แลว้ ตอบคาถาม ขอ้ 23 – 24
เด็กชายทอมสันเคลอ่ื นยา้ ยสารเคมี 20 ชนดิ ๆ ละ 1 ขวด ในขณะที่เคลอ่ื นย้ายปรากฏว่า
ฉลากหลุดหายไป 5 ขวด เดก็ ชายทอมสันจงึ ทดสอบเบ้ืองตน้ กบั สารเคมีทุกขวดท่ีฉลากหลุด
หายไป ไดผ้ ลดงั นี้
สารขวดที่ กระดาษลิตมัส ผลการทดสอบ ไทมอลบลู
A เมทิลออเรนจ์ เขยี ว
1 B เหลือง
2 C เหลอื ง เหลือง
3 สม้ เหลอื ง
4 น้าเงนิ แดง เหลอื ง
5 แดง น้าเงิน
แดง นา้ เงนิ
เหลอื ง
กาหนดให้ : อินดิเคเตอรเ์ มทิลออเรนจ์ เปล่ยี นสี ชว่ ง pH 3.2-4.4 จากสแี ดง-เหลอื ง
อินดิเคเตอร์ ไทมอลบลู เปลย่ี นสี ช่วง pH 8.0-9.6 จากสีเหลอื ง-น้าเงิน
23. จากขอ้ มลู ข้างต้น ขอ้ ใดสรุปไม่ถูกตอ้ ง
1) สารชนดิ ท่ี 1 เปน็ ส่วนผสมการทาสบู่
2) สารชนิดท่ี 2 ผสมกับเปลือกไข่จะเกิดฟองแกส๊
3) ถา้ นาสารชนิดท่ี 4 ใส่ในภาชนะสังกะสีจะเกดิ ฟองแก๊ส
4) สารชนดิ ที่ 5 มสี มบัตขิ องกรด-เบสเหมอื นสารชนดิ ท่ี 2
ตัวชว้ี ดั ว 3.1 ม.1/3 ทดลองและอธิบายสมบตั ิความเป็นกรด เบสของสารละลาย
รูปแบบ เลือกตอบ
เฉลย
4) ถูก เพราะ สารชนิดท่ี 2 เปน็ กรด เนื่องจากเมือ่ ทดสอบกับเมทิลออเรนจ์ได้สีส้ม แสดง
ว่าสารมีค่า pH ในช่วง 3.2 – 4.4 แต่เม่ือทดสอบกับไทมอลบลูได้สีเหลือง
แสดงว่าสารมีค่า pH น้อยกว่า 8.0 ดังนั้นสารขวดท่ี 2 จะมีค่า pH ในช่วง
3.2 – 4.4 แสดงวา่ เปน็ สารประเภทกรด
สารชนิดที่ 5 เป็นเบส เน่ืองจากเมื่อทดสอบกับกระดาษลิตมัสเปล่ียนสี
กระดาษลิตมัสสีแดงเป็นสีน้าเงิน แสดงว่าสารขวดท่ี 5 เป็นสารประเภท
เบส ดังน้ันสารชนิดที่ 2 และสารชนดิ ที่ 5 มีคณุ สมบัติตา่ งกนั
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 28
ตัวลวง
1) ผดิ เพราะ สารชนดิ ท่ี 1 มคี ณุ สมบัติเปน็ เบส เน่ืองจากเมอื่ ทดสอบกับเมทิลออเรนจ์
ได้สเี หลือง แสดงว่าสารมีค่า pH มากกว่า 4.4 แต่เม่ือทดสอบกบั ไทมอลบลู
ได้สเี ขยี ว แสดงว่าสารมคี ่า pH ในช่วง 8.0 – 9.6 ดังนน้ั สารขวดท่ี 1
จะมคี า่ pH ในช่วง 8.0 – 9.6 แสดงว่าเป็นสารประเภทเบส ในการผลติ สบู่
เกดิ จากการทาปฏิกิริยาระหวา่ งสารละลายเบสกบั ไขมนั
2) ผิด เพราะ สารชนิดท่ี 2 มีคณุ สมบัตเิ ป็นกรด เนอื่ งจากเมือ่ ทดสอบกบั เมทิลออเรนจ์
ได้สีสม้ แสดงว่าสารมคี ่า pH ในชว่ ง 3.2 – 4.4 แต่เม่ือทดสอบกบั ไทมอลบลู
ไดส้ เี หลอื งแสดงว่าสารมีค่า pH นอ้ ยกวา่ 8.0 ดังน้นั สารขวดท่ี 2 จะมคี า่ pH
ในช่วง 3.2 – 4.4 แสดงว่าเปน็ สารประเภทกรด เมอ่ื ทาปฏกิ ิริยากบั เปลอื กไข่
จะเกิดฟองแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
3) ผดิ เพราะ สารชนิดที่ 4 มีคุณสมบัติเป็นกรด เน่ืองจากเมื่อทดสอบกับกระดาษลิตมัส
เปล่ียนสีกระดาษลิตมัสสีน้าเงินเป็นสีแดง แสดงว่าสารขวดที่ 4 เป็นสาร
ประเภทกรด เม่ือทาปฏกิ ริ ิยากับภาชนะสงั กะสีจะเกิดฟองแก๊สไฮโดรเจน
24. จากข้อมูลในตาราง A และ B จะมีการเปลี่ยนแปลงสขี องกระดาษลติ มัสเปน็ อย่างไร
ตอบ…………………………............................................................................................................
ตัวชีว้ ดั ว 3.1 ม.1/3 ทดลองและอธิบายสมบตั คิ วามเป็นกรด เบสของสารละลาย
รปู แบบ เขียนตอบสั้น
เกณฑ์การให้คะแนน
คะแนนเต็ม (3 คะแนน) คะแนนบางสว่ น (2 คะแนน) ไมไ่ ดค้ ะแนน (0 คะแนน)
เมื่อระบกุ ารเปล่ียนแปลงสีของ เมอื่ ระบกุ ารเปลยี่ นแปลงสีของ เม่อื ตอบไม่ถูกตอ้ ง ไม่ตอบ
กระดาษลติ มัสถกู ต้องทั้ง 2 คาตอบ กระดาษลิตมัสถูกตอ้ ง หรือตอบอย่างอ่ืนทีไ่ ม่
แนวคาตอบ เพยี ง 1 คาตอบ คือ A หรือ B เกีย่ วขอ้ ง
- A จะเปล่ยี นกระดาษลิตมัสสีแดง แนวคาตอบ
เป็นสีนา้ เงิน - A จะเปลยี่ นกระดาษลิตมสั สีแดง
ส่วน B จะเปลีย่ นกระดาษลติ มัสสี เปน็ สีน้าเงนิ
นา้ เงนิ เปน็ สีแดง - B จะเปล่ยี นกระดาษลติ มัสสนี ้า
เงนิ เป็นสีแดง
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 29
พจิ ารณาข้อมูลตอ่ ไปน้ี แล้วตอบคาถาม ขอ้ 25 - 26
เดก็ หญิงสดใสทาการทดลองละลายสาร A B C D E และ F และวัดอุณหภูมิของสารละลาย
A B C D E และ F ไดผ้ ลดงั ตาราง
สาร อุณหภมู ิของน้า(oC) อุณหภูมขิ องสารละลาย(ºC)
A 28 20
B 30 39
C 20 -10
D 40 20
E 25 50
F 52 60
25. การตม้ ไขจ่ นสกุ มีการเปลี่ยนแปลงพลงั งานสอดคลอ้ งกับผลการทดลองของเด็กหญิงสดใสตามขอ้ ใด
1) A B C
2) A C D
3) B E F
4) C D E
ตวั ชีว้ ัด ว3.2 ม.1/2 ทดลองและอธิบายการเปลย่ี นแปลงสมบตั ิ มวล และพลงั งานของสาร
เม่อื สารเปลยี่ นสถานะและเกดิ การละลาย
รูปแบบ เลือกตอบ
เฉลย
2) ถูก เพราะ สาร A C และ D เป็นการละลายประเภทดูดพลังงาน เน่ืองจากอุณหภูมิ
ของสารละลายลดลง การทีไ่ ขส่ ุกเปน็ การดูดพลงั งานความร้อนจากการตม้
ตัวลวง
1) ผดิ เพราะ สาร A และ C เป็นการละลายประเภทดูดพลังงาน ส่วนสาร B เป็น
การละลายประเภทคายพลังงาน
3) ผดิ เพราะ สาร B E และ F เป็นการละลายประเภทคายพลงั งาน
4) ผิด เพราะ สาร C และ D เป็นการละลายประเภทดูดพลังงาน ส่วนสาร E เป็นการ
ละลาย ประเภทคายพลงั งาน
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 30
26. จากขอ้ มลู ขา้ งต้น พิจารณาสถานการณ์ต่อไปนวี้ ่าสอดคลอ้ งกับข้อมูลขา้ งตน้ หรอื ไม่ ถ้าสอดคลอ้ ง
ใหร้ ะบายในวงกลมคาว่า “ใช”่ ถา้ ไม่สอดคล้องให้ระบายในวงกลมคาวา่ “ไม่ใช่”
ขอ้ สถานการณ์ ใช่ หรือ ไม่ใช่
1) การบูรทีใ่ ส่ในต้เู ส้ือผา้ มีขนาดเลก็ ลง มกี ารเปลีย่ นแปลงพลังงานแบบ ใช่ ไมใ่ ช่
เดยี วกบั สาร A
2) การสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืชมีการเปล่ยี นพลงั งานแบบเดยี วกบั สาร B ใช่ ไมใ่ ช่
3) การทานา้ แข็งหลอดมกี ารเปล่ียนแปลงพลงั งานแบบเดียวกบั สาร C ใช่ ไม่ใช่
4) การเกดิ น้าคา้ งมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานแบบเดียวกบั สาร D ใช่ ไม่ใช่
ตัวชว้ี ัด ว 3.2 ม.1/2 ทดลองและอธบิ ายการเปลยี่ นแปลงสมบตั ิมวลและพลังงานของสาร
เมือ่ สารเปลีย่ นสถานะและเกิดการละลาย
รูปแบบ เชงิ ซ้อน
เฉลย
1) ใช่ เพราะ การบูรระเหิด เป็นการเปล่ียนแปลงของสารประเภทดูดพลั งงาน
เชน่ เดียวกับสาร A
2) ไมใ่ ช่ เพราะ การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเป็นประเภทดูดพลังงาน แต่สาร B เป็น
ประเภทคายพลงั งาน
3) ไมใ่ ช่ เพราะ การทาน้าแข็งหลอดเป็นการเปล่ียนแปลงของสารประเภทคายพลังงาน แต่
สาร C เป็นประเภทดูดพลังงาน
4) ไม่ใช่ เพราะ การเกิดน้าค้างเป็นการเปล่ียนแปลงของสารประเภทคายพลังงาน แต่สาร
D เป็นประเภทดูดพลังงาน
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 31
พิจารณาขอ้ มูลต่อไปน้ี แลว้ ตอบคาถาม ขอ้ 27 – 28
จากแผนทอี่ ากาศ แสดงหย่อมความกดอากาศที่เกดิ จากการเคลอ่ื นท่ขี องมวลอากาศท่ี
อุณหภูมแิ ตกต่างกัน
H
L
L A
B C
H L
L LD L L
E
27. จากขอ้ มลู และภาพแผนท่อี ากาศ บริเวณในขอ้ ใดท่มี ีโอกาสเกดิ พายุฝนฟ้าคะนองได้มากท่ีสุด
1) A และ B
2) B และ C
3) C และ D
4) D และ E
ตัวชี้วัด ว 6.1 ม.1/2 ทดลองและอธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอุณหภมู ิความชื้นและความ
กดอากาศทมี่ ผี ลตอ่ ปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศ
รปู แบบ เลือกตอบ
อธิบาย
L เปน็ สญั ลกั ษณ์แสดงศนู ยก์ ลางความกดอากาศต่า อุณหภมู ิสงู อากาศรอ้ น
อากาศยกตัวทาให้เกิดเมฆฝน
H เปน็ สัญลกั ษณ์แสดงศนู ยก์ ลางความกดอากาศสงู อุณหภูมิต่า อากาศเยน็ ฟ้าใส
ไมม่ เี มฆปกคลุม
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 32
เฉลย
4) ถกู เพราะ บรเิ วณ D และ E เป็นบริเวณทมี่ ีความกดอากาศตา่ L เปน็ บริเวณที่อากาศ
ร้อนยกตัวทาให้เกิดเมฆฝน จากสองเสน้ ไอโซบาร์เคลอื่ นมาเข้าหากัน ทาให้เกิด
กระแสลมพัดในแนวตงั้ อย่างรุนแรงเกดิ เมฆคิวมโู ลนิมบสั พายุฝนฟา้ คะนอง
ตัวลวง
1) ผิด เพราะ บริเวณ A เป็นบริเวณความกดอากาศสงู เท่ากนั แตบ่ รเิ วณ B มคี วามกดอากาศ
ต่า ถา้ เคลอื่ นเข้าหากนั จะเกดิ เมฆฝนปกติ
2) ผดิ เพราะ บริเวณ B และบรเิ วณ C มเี ส้นไอโซบาร์ความกดอากาศสงู และความกดอากาศ
ต่าผา่ น จงึ เปน็ บริเวณท่มี ีความกดอากาศตา่ งกัน มวลอากาศมีโอกาสเคลือ่ นที่
เขา้ หากันเกิดฝนตกปกติ
3) ผดิ เพราะ บริเวณ C เป็นบริเวณที่มคี วามกดอากาศต่างกนั เคล่ือนเข้าหากันมีโอกาสทาให้
เกิดฝนตก แตบ่ ริเวณ D มคี วามกดอากาศต่า ถ้าเคล่ือนเขา้ หากนั มโี อกาสเกิด
พายุฝนฟ้าคะนองได้
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 33
28. พจิ ารณาข้อความตอ่ ไปน้ี ว่าอธบิ ายหย่อมความกดอากาศท่ีสมั พันธก์ ับอณุ หภมู ิตามข้อมลู ข้างตน้
ไดถ้ กู ตอ้ งหรอื ไม่ ถ้าถูกต้องใหร้ ะบายในวงกลมคาวา่ “ใช”่ ถา้ ไม่ถกู ตอ้ งให้ระบายในวงกลมคาว่า
“ไมใ่ ช่”
ขอ้ ข้อความ ใช่ หรอื ไมใ่ ช่
1) บรเิ วณ A อุณหภูมิต่ามวลอากาศเย็น อากาศจึงไม่มีการเคลือ่ นที่ ใช่ ไม่ใช่
2) บรเิ วณ B ความกดอากาศตา่ งกัน อากาศจะเคลือ่ นทป่ี ะทะกนั มโี อกาสทาให้ ใช่ ไม่ใช่
เกดิ ฝนตก ใช่ ไมใ่ ช่
ใช่ ไมใ่ ช่
3) บริเวณ C มีอณุ หภมู ใิ กล้เคียงกนั มวลอากาศท่ีเคล่อื นท่เี ข้าหากนั มีโอกาส
ทาให้เกดิ การกอ่ ตัวของเมฆในแนวตัง้ แลว้ ทาให้เกดิ พายฝุ นฟ้าคะนอง
4) บรเิ วณ D มอี ุณหภูมิสงู จะเกิดการเคลอ่ื นท่ขี องมวลอากาศขึ้นไปสู่ประเทศไทย
มีโอกาสทาให้เกดิ ฝนตก
ตัวชวี้ ัด ว 6.1 ม.1/2 ทดลองและอธบิ ายความสัมพันธร์ ะหว่างอุณหภูมคิ วามช้ืนและความ
กดอากาศทมี่ ีผลต่อปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศ
รปู แบบ เชงิ ซ้อน
เฉลย
1) ไมใ่ ช่ เพราะ บรเิ วณ A เปน็ บรเิ วณท่มี ีความกดอากาศสูง H อุณหภมู ติ ่า มโี อกาสท่ี
อากาศจะเคล่ือนทไี่ ปทบี่ ริเวณท่ีมีความกดอากาศตา่ L อุณหภูมสิ งู
2) ใช่ เพราะ บริเวณ B เปน็ บริเวณท่ีมีทั้งความกดอากาศต่า L และความกดอากาศสงู H
เมอื่ มกี ารเคลอ่ื นท่ีเขา้ หากันจะเกิดฝนตก
3) ไมใ่ ช่ เพราะ บรเิ วณ C มีทง้ั เส้นไอโซบาร์ของความกดอากาศตา่ L ข้างล่าง
และความกดอากาศสูง H ข้างบน ถา้ มกี ารเคลือ่ นที่เข้าหากนั จะเกิดเมฆ
และฝนตกปกติ
4) ใช่ เพราะ บริเวณ D เป็นบริเวณหย่อมความกดอากาศตา่ L อุณหภูมิสงู นาความช้นื ไปหา
หย่อมความกดอากาศสูง H ที่เคล่ือนทเ่ี ข้าสู่ประเทศไทยจะทาให้เกิดฝนตก
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 34
พจิ ารณาขอ้ มูลต่อไปนี้ แลว้ ตอบคาถาม ขอ้ 29 - 30
พยากรณ์อากาศประจาวนั จันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560
ออกประกาศเวลา 23.00 น.
ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื
อากาศร้อนในตอนกลางวัน และมี อากาศร้อนในตอนกลางวนั
อากาศรอ้ นจัดบางพ้นื ที่ โดยมฝี นฟา้ โดยมฝี นฟ้าคะนอง รอ้ ยละ
คะนอง ร้อยละ 10 ของพนื้ ท่ี 40 ของพืน้ ที่
35 - 40 0C 33 - 390C
ภาคกลาง ภาคตะวนั ออก
อากาศรอ้ นในตอนกลางวนั และ อากาศรอ้ นในตอนกลางวนั โดยมี
มีอากาศรอ้ นจดั ในบางพนื้ ที่ ฝนฟา้ คะนองรอ้ ยละ 20 ของ
พ้นื ที่ ทะเลมคี ลืน่ สูง ~1 เมตร
38 - 400C
34 - 390C
ภาคใต้ ภาคใต้
ฝงั่ ตะวนั ออก
ฝัง่ ตะวนั ตก
กรุงเทพมหานครและปรมิ ณฑล
มีเมฆส่วนมาก กับมฝี นฟา้ มเี มฆเปน็ ส่วนมาก กบั มฝี นฟา้
คะนองร้อยละ 30 ของพืน้ ท่ี อากาศรอ้ นในตอนกลางวนั โดยมี คะนอง รอ้ ยละ 30 ของพ้ืนที่
ทะเลมีคลืน่ สูง ~1 เมตร ฝนฟ้าคะนอง รอ้ ยละ 10 ของพ้นื ท่ี ทะเลมีคลน่ื สูง ~ 1 เมตร
32 - 36 o C 34 - 390C 34 - 370C
0C
29. วนั ท่ี 24 เมษายน 2560 การตากขา้ วเปลือกของชาวนาในภาคใดไดร้ ับผลกระทบน้อยที่สุด
1) ภาคเหนอื 2) ภาคตะวันออก
3) ภาคใต้ฝั่งตะวันตก 4) ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื
ตวั ชี้วดั ว 6.1 ม.1/4 สืบค้นวเิ คราะห์และแปลความหมายข้อมลู จากการพยากรณอ์ ากาศ
รูปแบบ เลอื กตอบ
เฉลย
1) ถกู เพราะ สภาพอากาศมีโอกาสเกิดฝนตกเพยี งร้อยละ 10 ของพืน้ ที่ ซึ่งนอ้ ยทสี่ ดุ
ตวั ลวง
2) ผิด เพราะ สภาพอากาศมโี อกาสเกิดฝนตกร้อยละ 20 ของพื้นที่
3) ผิด เพราะ สภาพอากาศมโี อกาสเกดิ ฝนตกรอ้ ยละ 30 ของพ้นื ที่
4) ผิด เพราะ สภาพอากาศมโี อกาสเกิดฝนตกร้อยละ 40 ของพื้นที่
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 35
30. จากขอ้ มลู การพยากรณอ์ ากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาข้างตน้ ในวันตอ่ มาประเทศไทยไดร้ ับอทิ ธพิ ล
อากาศเยน็ จากประเทศจีนพดั เขา้ สูต่ อนบนของประเทศ ลักษณะอากาศโดยท่ัวไปของประเทศไทย
เปน็ ไปตามข้อใด (เลอื กตอบ 2 ข้อ)
1) การเคลอ่ื นทขี่ องอากาศลดลง (ลมสงบ)
2) เกิดพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงในภาคเหนอื
3) สภาพอากาศในประเทศแห้งแล้งมากขึ้น
4) ปริมาณน้าฝนโดยเฉล่ียของประเทศเพมิ่ ข้ึน
5) อุณหภมู ิของอากาศในแต่ละพน้ื ทขี่ องประเทศมีคา่ เฉลยี่ ลดลง
ตัวชวี้ ดั ว 6.1 ม.1/4 สืบคน้ วิเคราะห์และแปลความหมายขอ้ มูลจากการพยากรณอ์ ากาศ
รปู แบบ เลือกตอบหลายคาตอบ
เฉลย
2) ถูก เพราะ ขณะทีป่ ระเทศไทยอยใู่ นช่วงฤดูรอ้ น ความกดอากาศสูงจากประเทศจีน
มวลอากาศเย็น ทาให้อากาศเคล่ือนท่ีลงมาอย่างรวดเร็ว กระทบกับอากาศร้อน
มีโอกาสเกดิ พายฝุ นฟา้ คะนองรนุ แรงในภาคเหนือ
5) ถูก เพราะ เมอ่ื อากาศเย็นเคล่อื นตัวมาแทนท่อี ากาศร้อนจะทาใหอ้ ณุ หภูมิลดลง
ตัวลวง
1) ผดิ เพราะ อากาศจะมีการเคลอื่ นตัวเร็วขน้ึ ทาให้เกิดลมรนุ แรง
3) ผิด เพราะ สภาพอากาศจะช่มุ ชื้นมากเพราะฝนตกหนัก
4) ผดิ เพราะ ปริมาณน้าฝนจะมากข้นึ
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 36
31. เด็กหญงิ เอหั่นใบผักคะนา้ ใหม้ ขี นาดเท่ากันใสใ่ นแก้ว 4 ใบ ซงึ่ มสี ารละลายปริมาณเท่ากนั ชนิดหน่ึง
วางทงิ้ ไว้ 1 ชั่วโมง แล้วสงั เกตเห็นลักษณะใบผัก ดังนี้
แกว้ ทใี่ ช้ ลักษณะของใบ
แกว้ ใบที่ 1 ใบเห่ียว
แก้วใบที่ 2 ใบเริ่มเหยี่ วเล็กนอ้ ย
แก้วใบที่ 3 ใบมีลกั ษณะเหมอื นเดมิ
แก้วใบที่ 4 ใบมีลกั ษณะสดและเต่งมากกว่าเดิม
จากขอ้ มูลขา้ งต้น ขอ้ สรปุ ใดกล่าวได้ถกู ต้อง (เลอื กตอบ 2 ขอ้ )
1) ผกั ในแก้วใบท่ี 1 เห่ียว เพราะน้าออสโมซิสออกจากผกั
2) การทใ่ี บผกั ในแกว้ ใบท่ี 1 เห่ียวมากกว่าใบผกั ในแกว้ ใบที่ 2 เพราะสารละลายในแก้วใบที่ 2
เข้มขน้ มากกว่าสารละลายในแกว้ ใบท่ี 1
3) การทีใ่ บผกั ในแก้วใบที่ 1 เห่ียว และใบผกั ในแกว้ ใบท่ี 4 สดและเต่งมากกว่าเดิมเกิดจาก
สารละลายในแก้วมีการออสโมซิสเขา้ ไปในผัก
4) การท่ีใบผกั ในแกว้ ใบที่ 3 มลี กั ษณะเหมอื นเดิม เปน็ เพราะสารละลายในแกว้
มีความเข้มขน้ เท่ากับสารละลายท่ีอยู่ในผัก
5) การที่ใบผักในแก้วใบท่ี 4 สดและเตง่ มากกว่าเดิม เพราะสารละลายในใบผักเกิดการแพรอ่ อกมา
ตัวช้วี ดั ว 1.1 ม.1/4 ทดลองและอธิบายกระบวนการสารผ่านเซลลโ์ ดยการแพร่และออสโมซิส
รปู แบบ เลือกตอบหลายคาตอบ
เฉลย
1) ถูก เพราะ การทีใ่ บผักในแกว้ ใบที่ 1 เหี่ยวน้ัน แสดงวา่ น้าเกดิ การออสโมซิสออกจากผกั
4) ถูก เพราะ การทใี่ บผักในแกว้ ใบที่ 3 มีลักษณะเหมือนเดิม แสดงวา่ สารละลายในแก้วใบที่ 3
จะตอ้ งมีความเข้มข้นเท่ากับสารละลายทีอ่ ยู่ในผกั
ตวั ลวง
2) ผดิ เพราะ จากข้อมลู ในตาราง การท่ีใบผกั ในแก้วใบท่ี 1 เหีย่ วมากกว่าใบผักในแกว้ ใบที่ 2
แสดงว่า สารละลายในแก้วใบที่ 1 จะเข้มข้นมากกว่าสารละลายในแก้วใบท่ี 2
3) ผดิ เพราะ จากข้อมูลในตาราง การท่ีใบผักในแก้วใบที่ 1 เหี่ยว สารละลายในแก้วมกี ารออสโมซิส
ออกจากใบผัก ไมใ่ ช่เข้าไปในใบผัก
5) ผิด เพราะ แกว้ ใบท่ี 4 สดและเต่งมากกว่าเดมิ เน่ืองจากสารละลายในใบผักเกิดการแพรส่ ู่สารละลายในแก้ว
ไมถ่ ูกต้อง เพราะในความเป็นจริง สารละลายในใบผกั ไมไ่ ด้แพร่ออกมา
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 37
32.
ปกรณ์ เดนิ ทางไกลในการเขา้ ค่ายลูกเสือของโรงเรียน โดยเรม่ิ เดินทางไกลจากจดุ เริ่มตน้ ของค่าย
ลูกเสือ และไดบ้ ันทึกเวลาทีใ่ ช้เดินทางกบั ระยะทางระหว่างฐานไดด้ ังตาราง
ฐาน เวลา ( วินาที ) ระยะทาง ( เมตร)
จุดเร่มิ ต้น A 15 30
AB 20 36
BC 20 40
CD 25 50
DE 30 60
EF 20 34
จดุ เรมิ่ ตน้
AB C D
FE
( ผงั เดินทางไกลจากจุดเริ่มตน้ ไปยงั ฐานตา่ งๆ)
จากข้อมลู การจดบันทึกของปกรณ์ ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ ง (เลือกตอบ 2 ข้อ)
1) ช่วงจากฐาน A B มอี ตั ราเร็วมากกว่าฐาน B C
2) ชว่ งฐานจุดเร่ิมตน้ A มีอตั ราเรว็ มากกว่าช่วงจากฐาน A B อยู่ 0.2 เมตร/วนิ าที
3) ปกรณ์ มรี ะยะทางจากการเดนิ ทางไกลครงั้ นี้ 156 เมตร
4) ชว่ งฐาน E F ปกรณ์มกี ารเคล่ือนท่ีช้าทส่ี ุด
5) ช่วงฐาน C D มีอตั ราเร็วเท่ากับ 2.5 เมตรตอ่ วินาที และมกี ารกระจดั 50 เมตร
ตัวชว้ี ัด ว 4.1 ม.1/2 ทดลองและอธบิ ายระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว และความเร็วในการ
เคลอ่ื นท่ีของวัตถุ
รูปแบบ เลอื กตอบ 2 คาตอบ
วธิ หี าอัตราเร็วของแต่ละชว่ ง
อัตราเรว็ จากจดุ เร่มิ ต้น A 30
15
จากสตู ร
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หน้า 38
AB
จากสูตร
BC
จากสตู ร
CD
จากสูตร
DE
จากสตู ร
EF
จากสตู ร
เฉลย
2) ถกู เพราะ อตั ราเร็วจากจุดเรม่ิ ตน้ A = 2.0 เมตรตอ่ วินาที
ส่วน A B = 1.8 เมตรตอ่ วินาที
4) ถกู เพราะ อตั ราเร็วจาก E F = 1.7 เมตรต่อวินาที จึงเป็นช่วงที่ปกรณเ์ คลื่อนทไี่ ปไดช้ ้าที่สดุ
ตวั ลวง
1) ผดิ เพราะ อัตราเรว็ จาก A B = 1.8 เมตรตอ่ วินาที
B C = 2.0 เมตรตอ่ วนิ าที
ดังน้ัน ช่วงฐาน A B อัตราเร็วน้อยกว่า B C
3) ผดิ เพราะ ปกรณ์ มีระยะทางจากการเดินทางไกลคร้ังนี้ 30 + 36 + 40 + 50 + 60 + 34
= 250 เมตร
5) ผิด เพราะ ช่วงฐาน C D มีอตั ราเร็วเท่ากบั 2 เมตรต่อวนิ าที
และมีการกระจดั 50 เมตร
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 39
33. เดก็ ชายสมศกั ด์ิสังเกตเหน็ ดอกไมช้ นดิ หน่ึงเปลี่ยนสีได้ จึงไดน้ าดอกไมช้ นดิ น้นั มาทดลองสงั เกต
การเปลี่ยนสีของดอก บนั ทกึ ผลการสังเกตได้ ดังตาราง
สังเกตการเปล่ยี นสีของดอก
นาไปไวใ้ นห้องปรบั อากาศท่ีไม่มแี สง (20 °C)
วนั นาไปไวก้ ลางแจ้ง
7.00 น. 12.00 น. 16.00 น. 7.00 น. 12.00 น. 16.00 น.
1 ขาว ชมพู ชมพเู ขม้ ขาว ขาว ขาว
2 ขาว ชมพอู ่อน ชมพูเข้ม ขาว ขาว ขาว
3 ขาว ชมพู ชมพแู ดง ขาว ขาว ขาว
พจิ ารณาขอ้ สรปุ ตอ่ ไปน้ี ว่าสอดคลอ้ งกับขอ้ มูลการทดลองของสมศักดิ์หรอื ไม่ ถา้ สอดคล้องใหร้ ะบาย
ในวงกลมคาว่า “ใช”่ ถ้าไม่สอดคล้องใหร้ ะบายในวงกลมคาวา่ “ไม่ใช่”
ข้อ ข้อสรุป ใช่ หรือ ไม่ใช่
1) สีของดอกไม้เปล่ียนแปลงเมอื่ มีอายดุ อกมากขึน้ ใช่ ไมใ่ ช่
2) สีของดอกไมจ้ ะเปลย่ี นไปตามอุณหภูมทิ ่เี พมิ่ ขึ้น ใช่ ไมใ่ ช่
3) ความเขม้ ของแสงแดดมผี ลต่อการเปลี่ยนสีของดอกไม้ ใช่ ไม่ใช่
4) การเปลี่ยนสีของดอกไมส้ ัมพันธ์กับเวลาท่ีเปลยี่ นไป ใช่ ไมใ่ ช่
ตวั ช้วี ัด ว 1.1 ม.1/12 ทดลองและอธิบายการตอบสนองของพืชต่อแสง น้า และการสัมผสั
รูปแบบ เชงิ ซอ้ น
เฉลย
1) ไมใ่ ช่ เพราะ สีของดอกไม้ไม่ไดเ้ ปล่ยี นแปลงตามอายุของดอก
เน่อื งจากดอกไม้ทน่ี าไปไว้ในหอ้ งปรบั อากาศเมอ่ื เวลาผา่ นไปยงั คงเปน็ สขี าวอยู่
2) ใช่ เพราะ สขี องดอกไม้จะเปลีย่ นแปลงไปตามอุณหภมู ทิ เ่ี พ่มิ ขึ้น สังเกตจากเม่ือวางไว้
กลางแจง้ ดอกไมจ้ ะเปลย่ี นสี
3) ใช่ เพราะ ความเขม้ ของแสงแดดมีผลทาใหอ้ ุณหภูมสิ ูงข้นึ ทาใหด้ อกไมเ้ ปล่ียนสี
4) ไม่ใช่ เพราะ เวลาทีเ่ ปล่ียนไปไม่มีผลทาใหด้ อกไมเ้ ปลีย่ นสี
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 40
34. “ฉลามเบส (กศิภัทร ช่อกระถนิ ) นกั วา่ ยน้าทีมชาตไิ ทย ควา้ แชมปก์ รรเชยี ง 100 เมตร
กลุ่มทั่วไปในการแข่งขนั วา่ ยนา้ ชงิ ชนะเลิศแห่งประเทศไทยปี 2560 แบบม้วนเดียวจบ แตะขอบสระ
คนแรกด้วยเวลา 57.49 วินาที ส่วนสถิตปิ ระเทศไทยซึง่ ตัวเองทาไว้ 57.44 วนิ าที” การแขง่ ขัน
ในครั้งนใี้ ชส้ ระว่ายน้าที่มคี วามยาว 50 เมตร
จากข้อความขา้ งต้นให้นกั เรียนพิจารณาขอ้ มลู ทกี่ าหนดตอ่ ไปน้ี วา่ เปน็ จรงิ ตามขอ้ ความข้างตน้ หรือไม่
ถา้ เปน็ จรงิ ใหร้ ะบายในวงกลมคาวา่ “ใช่” ถ้าไม่เป็นจริงให้ระบายในวงกลมคาวา่ “ไม่ใช่”
ข้อ ขอ้ มลู ที่กาหนด ใช่ หรอื ไม่ใช่
1) ฉลามเบส มีอตั ราเร็วในการว่ายน้าในปี 2560 น้อยกวา่ ใช่ ไมใ่ ช่
อตั ราเร็วของสถิตปิ ระเทศไทย ท่ตี วั เองทาไว้ ใช่ ไมใ่ ช่
ใช่ ไม่ใช่
2) อตั ราเร็วในการแข่งขนั ว่ายน้าในปี 2560 มขี นาด ใช่ ไมใ่ ช่
เทา่ กับ 1.750 เมตร ต่อวินาที
3) การแขง่ ขนั ครั้งนฉี้ ลามเบสมีการกระจัดและระยะทาง
เท่ากบั 100 เมตร
4) อัตราเร็วของสถิตปิ ระเทศไทยทฉี่ ลามเบสทาไว้มขี นาด
เท่ากบั 1.740 เมตร ต่อวินาที
ตัวชว้ี ัด ว 4.1 ม.1/2 ทดลองและอธิบายระยะทาง การกระจดั อตั ราเร็ว และความเรว็ ในการ
เคล่อื นท่ีของวัตถุ
รปู แบบ เชิงซ้อน
เฉลย
1) ใช่ เพราะ อัตราเรว็ = ระยะทาง
เวลา
อตั ราเรว็ ของสถิตปิ ระเทศไทยที่ทาไว้ = 100
57.44
= 1.740 m/s
100
อตั ราเร็วของการว่ายน้าปี 2560 = 57.49 = 1.739 m/s
2) ไม่ใช่ เพราะ อัตราเรว็ ของการว่ายน้า ปี 2560 = 1.739 m/s
3) ไมใ่ ช่ เพราะ การจดั การแข่งขนั ระยะทางเทา่ กับ 100 m แตก่ ารกระจัดเทา่ กบั 0
4) ใช่ เพราะ อตั ราเร็วของสถติ ิประเทศไทย = 100 = 1.740 m/s
57.44
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 41
35. ในการทานมเยน็ 1 แก้ว ตอ้ งใชน้ ้าร้อน 200 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร อุณหภูมิ 94 องศา
เซลเซียส ชงกบั นมขน้ ให้ละลาย จากนนั้ เติมนา้ แดงคนให้เข้ากนั แล้วเทใส่แก้วซง่ึ มีน้าแขง็
จะไดน้ มเยน็ อณุ หภมู ิ 8 องศาเซลเซยี ส ปริมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร
จากข้อมูลขา้ งต้น พิจารณาข้อความต่อไปนี้ วา่ กล่าวถูกต้องหรือไม่ ถ้าถกู ต้องใหร้ ะบายในวงกลม
คาวา่ “ใช่” ถา้ ไมถ่ กู ต้องให้ระบายในวงกลมคาว่า “ไม่ใช่”
ขอ้ ข้อความ ใช่ หรือ ไม่ใช่
1) นมข้นดดู ความร้อนไปใชใ้ นการละลาย ใช่ ไมใ่ ช่
2) น้าแข็งคายความร้อนทาใหม้ อี ณุ หภูมสิ ูงขน้ึ จนถึงจดุ หนง่ึ แลว้ จงึ ใช่ ไมใ่ ช่
เริม่ ละลาย
3) นา้ แดงจะมีอณุ หภมู ติ ่าลงหลังจากละลายในน้ารอ้ น ใช่ ไม่ใช่
4) น้าแข็งดดู ความรอ้ นจากสารละลายของนมข้นทชี่ ง ทาใหป้ ริมาณ ใช่ ไม่ใช่
ของนา้ แข็งลดลง
ตวั ช้วี ดั ว 5.1 ม.1/4 อธิบายสมดลุ ความร้อนและผลของความร้อนต่อการขยายตวั ของสาร
และนาความรไู้ ปใชใ้ นชีวิตประจาวนั
รูปแบบ เชงิ ซอ้ น
เฉลย
1) ใช่ เพราะ นมข้นอุณหภูมติ ่ากวา่ น้ารอ้ นจงึ ดูดความร้อนมาเพื่อใช้ในการละลาย
2) ไม่ใช่ เพราะ น้าแขง็ ดดู ความร้อนจงึ ทาใหอ้ ุณหภูมสิ ูงขึ้น
3) ไมใ่ ช่ เพราะ น้าแดงหลังจากละลายในน้าร้อนต้องมอี ุณหภูมสิ ูงขึน้ กว่าเดิม
4) ใช่ เพราะ น้าแข็งมีอุณหภมู ิต่ากวา่ สารละลายนมขน้ จึงดูดความร้อนทาให้นา้ แขง็ บางส่วน
เปล่ียนสถานะเป็นนา้ ปริมาณของน้าแขง็ จึงลดลง
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 42
36. สตรอเบอรเี่ พื่อการส่งออก
สตรอเบอรี่เป็นพชื เศรษฐกิจทีป่ ลูกกันอย่างแพรห่ ลาย ในหลายชุมชน ดังนี้
ชุมชน ก ปลูกสตรอเบอรี่สายพันธุ์ A ซึ่งเป็นพันธ์ุที่ต้องการความช้ืนในดินสูง
ให้ผลผลิตต่อไร่ประมาณ 300 กิโลกรัม น้าหนักต่อผลเฉลี่ย 100 – 120 กรัม เมื่อนาไป
ผ่านกระบวนการแช่แข็งเพื่อการส่งออก สามารถรักษาสภาพความสดของสตรอเบอรี่ได้นาน
2 สัปดาห์
ชุมชน ข ปลูกสตรอเบอร่ีลูกผสมระหว่างสายพันธ์ุ A กับสายพันธ์ุ B ซ่ึงเป็นสายพันธ์ุ
ท่ีต้องการน้าน้อย ให้ผลผลิตต่อไร่ประมาณ 400 กิโลกรัม น้าหนักต่อผลเฉลี่ย 40 – 50 กรัม
เมื่อนาไปผา่ นกระบวนการแชแ่ ข็งเพื่อการสง่ ออก สามารถรักษาสภาพความสดของสตรอเบอรี่
ไดน้ าน 3 สัปดาห์
ชุมชน ค ปลูกสตรอเบอรี่ลูกผสมระหว่างสายพันธ์ุ A กับ สายพันธุ์สตรอเบอรี่ของ
ชุมชน ข ให้ผลผลิตต่อไร่ประมาณ 350 กิโลกรัม น้าหนักต่อผลเฉล่ีย 80 – 90 กรัม เม่ือนาไป
ผ่านกระบวนการแช่แขง็ เพื่อการส่งออก สามารถรกั ษาสภาพความสดของสตรอเบอร่ีได้นาน 2
สปั ดาห์
บา้ นของปอ้ มอยูใ่ นพน้ื ท่ีที่มีความแหง้ แลง้ แต่สภาพอากาศสามารถปลกู สตรอเบอรไี่ ด้
และต้องการปลกู สตรอเบอรีเ่ พ่อื การสง่ ออกโดยใชต้ น้ ทนุ น้อยทส่ี ุด ควรเลอื กปลกู สตรอเบอร่ี
เหมอื นชมุ ชนใด เพราะเหตุใด
ตอบ...............................................................................................................................................
ตัวช้ีวัด ว 1.1 ม.1/13 อธบิ ายหลักการและผลของการใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพในการขยายพนั ธุ์
ปรับปรงุ พันธุ์ เพ่ิมผลผลติ ของพชื และนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
รูปแบบ เขยี นตอบส้ัน
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
คะแนนเตม็ (3 คะแนน) คะแนนบางส่วน (2 คะแนน) ไมไ่ ดค้ ะแนน (0 คะแนน)
เมื่อระบชุ ุมชนทมี่ ีสภาพของ เม่ือระบุชมุ ชนท่ีมีสภาพของ เม่ือตอบไมถ่ กู ต้อง ไม่ตอบหรือ
พ้ืนทท่ี ่ีเหมอื นบา้ นของปอ้ ม พ้นื ท่ีท่ีเหมอื นบ้านของป้อม แต่ ตอบอย่างอ่ืนท่ไี มเ่ กี่ยวขอ้ ง
พรอ้ มบอกเหตผุ ลในการเลือกได้ ไมส่ ามารถระบุเหตุผลในการ
สมเหตุสมผลตามเจตนารมณ์ เลือกได้ หรือ บอกเหตุผลท่ี
คอื เพอ่ื การสง่ ออกโดยใชต้ ้นทนุ แสดงถึงชุมชนที่ปลูกสตรอเบอร่ี
นอ้ ยทสี่ ดุ ทีต่ อ้ งใชน้ า้ นอ้ ย แต่ไม่ระบุ
แนวคาตอบ ชุมชน
- ชมุ ชน ข เพราะ สตรอเบอร่ี แนวคาตอบ
ลูกผสมระหว่างสายพันธ์ุ A กับ - ชุมชน ข หรือ ชมุ ชน ค
สทศ. สพฐ. วทิ ยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 43
คะแนนเตม็ (3 คะแนน) คะแนนบางส่วน (2 คะแนน) ไม่ไดค้ ะแนน (0 คะแนน)
สายพนั ธุ์ B ซึง่ เป็นสายพนั ธุ์ที่ - ปลูกสตรอเบอรี่ทใ่ี ช้นา้ น้อย
ต้องการน้าน้อย ได้ผลผลิตตอ่ ไร่ - ปลกู สตรอเบอรี่ที่เก็บได้นาน
มากกว่า และสามารถเก็บรักษา - ปลูกสตรอเบอรี่ทใ่ี ห้ผลผลติ
ความสดได้นาน มาก
- ชุมชน ค เพราะ สตรอเบอรี่ - ฯลฯ
ชมุ ชน ค เปน็ สายพันธุ์ที่ต้องการ
น้านอ้ ย ได้ผลผลิตท่ีมนี ้าหนกั ต่อ
ผลมากกว่าหรือใหญ่กว่า
- ชมุ ชน ข หรือ ค เพราะ พนั ธ์ุ
สตรอเบอร่ีทงั้ สองชมุ ชนเป็น
สายพนั ธ์ุท่ีต้องการน้านอ้ ย
- ฯลฯ
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หน้า 44
37. ในการทดลอง ทาเครอ่ื งกล่ันไอนา้ ดว้ ยพลังงานจากแสงอาทิตย์ ของนกั เรียนจานวน 6 ถัง
ท่ที าจากวัสดตุ า่ งกัน 2 ชนิด โดยแบ่งออกเปน็ 2 กลมุ่ ทหี่ ลงั คาทาจากสงั กะสีทมี่ ีสตี า่ งกัน 3 สี
ถังทั้งหมดเปน็ ระบบปดิ บรรจนุ า้ 100 ลิตร เท่ากัน ผลการทดลองสังเกตปรมิ าณน้าที่เหลอื ในถงั
ได้ผลดงั ตาราง
ชนดิ ถัง สีหลงั คา วันที่ 1 ปรมิ าณน้าทเ่ี หลือในถงั (ลิตร) วันท่ี 5
วนั ที่ 2 วันที่ 3 วนั ที่ 4
สที ่ี 1 100 98 95 93 91
A สีท่ี 2 100 95 80 60 35
สีท่ี 3 100 100 99 99 98
สที ี่ 1 100 95 80 65 50
B สีที่ 2 100 90 70 50 10
สที ่ี 3 100 95 95 90 90
ถา้ ตอ้ งการเครื่องกลนั่ ไอน้าด้วยพลงั งานจากแสงอาทิตย์ทีม่ ีประสทิ ธิภาพมากที่สุด ควรเลอื กถงั ชนิดใด
และใช้หลงั คาสใี ด เพราะเหตุใด
ตอบ............................................................................................................................................
เพราะ........................................................................................................................................
ตัวชวี้ ัด ว 5.1 ม.1/3 อธิบายการดดู กลืนการคายความร้อน โดยการแผ่รังสีและนาความรไู้ ปใช้
ประโยชน์
รูปแบบ ตอบสนั้
แนวการตอบ
คะแนนเตม็ (3 คะแนน) คะแนนบางสว่ น (2 คะแนน) ไมไ่ ดค้ ะแนน (0 คะแนน)
เมอ่ื ระบกุ ารเลอื กถังและ เมือ่ ระบุการเลือกถงั และสีของ เม่ือตอบไม่ถกู ตอ้ ง ไมต่ อบ
สีของหลังคาได้ถกู ตอ้ ง และให้ หลงั คาได้ถูกตอ้ ง แตใ่ หเ้ หตผุ ลท่ีไม่ หรอื ตอบอยา่ งอ่ืนทไี่ ม่
เหตผุ ลท่สี มเหตสุ มผล สมเหตุสมผล หรือให้เหตุผลได้ เก่ียวขอ้ ง
แนวคาตอบ ถูกต้อง แตไ่ มไ่ ดร้ ะบถุ งั และสขี อง
- เลอื กถัง B และหลังคาสที ี่ 2 หลงั คา
เพราะปริมาณน้าทีเ่ หลือในถัง B แนวคาตอบ
น้อยกวา่ เมอ่ื เทียบกับถัง A ที่มี - เลอื กถัง B และหลงั คาสที ่ี 2
หลงั คาสีเดียวกนั และหลังคาสที ่ี 2 - เพราะปริมาณน้าท่เี หลอื ในถงั B
มีปริมาณน้าที่เหลือในถังน้อยทสี่ ดุ น้อยกว่าเม่ือเทียบกบั ถงั A ทีม่ ี
เมือ่ เทียบกับหลังคาสีอนื่ หลังคาสีเดียวกัน และหลงั คาสที ่ี 2
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 45
คะแนนเต็ม (3 คะแนน) คะแนนบางส่วน (2 คะแนน) ไม่ได้คะแนน (0 คะแนน)
- ถัง B สที ่ี 2 เพราะ เหลอื น้าในถงั มีปรมิ าณน้าท่ีเหลอื ในถงั น้อยท่ีสดุ
นอ้ ยทสี่ ุด เม่ือเทียบกับหลังคาสีอื่น
- ถงั B สที ่ี 2 เพราะ สามารถดูดกลืน - ถงั ท่ีเหลอื น้าในถงั น้อยท่ีสุด
ความรอ้ นได้ดที ี่สดุ - ถงั ท่สี ามารถดูดกลืนความรอ้ นได้ดี
ที่สดุ
สทศ. สพฐ. วิทยาศาสตร์ ม.1 หนา้ 46
38. พจิ ารณาภาพตอ่ ไปนี้ แลว้ ตอบคาถาม
จากภาพ หลังฝนตกพบว่าใบของพืชบางชนิดเหย่ี วเฉา หรือมีขอบใบไหม้ พบปลาตายในแหล่งนา้
สภาพปญั หาที่เกดิ ขึน้ นั้นไดร้ ับอิทธพิ ลจากสาเหตใุ ด เพราะเหตใุ ด
ตอบ……………………………………...........………………………………………………….........
ตัวชีว้ ัด ว 6.1 ม.1/6 สืบคน้ วิเคราะห์และอธบิ ายปัจจัยทางธรรมชาตแิ ละการกระทาของมนษุ ย์
ทม่ี ีผลต่อการเปลย่ี นแปลงอณุ หภูมิของโลก รโู หว่โอโซนและฝนกรด
รปู แบบ ตอบสัน้
เกณฑก์ ารให้คะแนน
คะแนนเต็ม (3 คะแนน) คะแนนบางส่วน (2 คะแนน) ไมไ่ ดค้ ะแนน (0 คะแนน)
เมอ่ื ระบสุ าเหตุให้เกดิ สภาพปัญหาที่ เมอ่ื ระบสุ าเหตใุ หเ้ กิดสภาพปญั หา เม่ือตอบไม่ถูกตอ้ ง ไมต่ อบ
เกดิ ขน้ึ โดยใหเ้ หตุผลประกอบอยา่ ง ทเ่ี กดิ ข้นึ โดยไม่ให้เหตุผลประกอบ หรือตอบอย่างอน่ื ท่ีไม่
สมเหตุสมผล อย่างสมเหตุสมผล หรอื ไมบ่ อก เกี่ยวข้อง
แนวคาตอบ เหตผุ ล
- เกิดฝนกรด เพราะ แก๊สพษิ จากแหล่ง แนวคาตอบ
อุตสาหกรรมทาให้เกิดเปน็ ฝนกรด - เกดิ ฝนกรด
- เกิดฝนกรด เพราะ แหล่งอุตสาหกรรม - เพราะแกส๊ พษิ จากแหล่ง
ปลอ่ ยแกส๊ ซลั เฟอรไ์ ดออกไซดแ์ ล้วทา อตุ สาหกรรม
ใหเ้ กดิ ฝนกรด - โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยแกส๊
- โรงงานอุตสาหกรรมปล่อย ทาปฏิกิรยิ ากบั น้า
แก๊สซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ออกไซด์ (SO2) - เพราะ แกส๊ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์
/แกส๊ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) / (SO2) /
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) แก๊สไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2)
ทาปฏิกริ ิยากบั นา้ ในอากาศกลายเปน็ /แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2)
ฝนกรด