The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปผลการเสวนา “นโยบายทางการเมืองต่อภาคป่าไม้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG”<br><br>โดย สมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br><br>วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2566<br><br>ณ ห้องประชุมจงรักปรีชานนท์ ตึกวนศาสตร์ 72 ปี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2023-03-13 21:00:04

สรุปผลการเสวนา “นโยบายทางการเมืองต่อภาคป่าไม้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG”

สรุปผลการเสวนา “นโยบายทางการเมืองต่อภาคป่าไม้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG”<br><br>โดย สมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br><br>วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2566<br><br>ณ ห้องประชุมจงรักปรีชานนท์ ตึกวนศาสตร์ 72 ปี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

Keywords: นโยบายทางการเมือง,ภาคป่าไม้,ารพัฒนาเศรษฐกิจ BCG

นโยบายทางการเมืองต่อภาคป่าไม้ สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG สรุปผลการเสวนา โดย สมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยป่าป่ ไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยากรร่วมเสวนา ศ. ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน พรรคชาติไทยพัฒนา ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี พรรคเพื่อไทย ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม พรรคประชาธิปัตย์ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง พรรคประชาชาติ ดร.เดชรัต สุขกำ เนิด พรรคก้าวไกล นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ พรรคไทยสร้างไทย ผู้ดำ เนินรายการ ผศ. ดร.ขวัญชัย ดวงสถาพร ประธานอนุกรรมการจัดทำ ร่างนโยบายป่าไม้แห่งชาติ และร่างแผนแม่บทการพัฒนาป่าไม้แห่งชาติ/ อาจารย์ประจำ ภาควิชาการจัดการป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มก. วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2566 เวลา 09.00-12.30 น. ณ ห้องประชุมจงรักปรีชานนท์ อาคารวนศาสตร์ 72 ปี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เข้าร่วมเสวนา ห้องประชุม ห้องประชุมจงรักปรีชานนท์ จำ นวน 242 คน Facebook Live ของศูนย์วิจัยป่าป่ ไม้ จำ นวน 1,630 views และออกอากาศทั้งภาพและเสียงผ่านสถานีวิทยุ มก.


เมื่อวันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2566 สมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้จัดเสวนาเรื่อง “นโยบายทางการเมืองต่อภาคป่าไม้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG” ณ ห้องประชุมจงรักปรีชานนท์ ตึกวนศาสตร์ 72 ปี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี วิทยากรร่วมเสวนาจำนวน 6 ท่าน ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ผู้แทนพรรคชาติไทย พัฒนา ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้แทนพรรคเพื่อไทย ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผู้แทนพรรคประชาชาติ คุณฉลอง เทพวิทักษ์กิจ ผู้แทนพรรคไทยสร้างไทย และ ดร. เดชรัต สุข กำเนิด ผู้แทนพรรคก้าวไกล โดยมีผศ.ดร.ขวัญชัย ดวงสถาพร อาจารย์ประจำภาควิชาการจัดการป่าไม้ คณะ วนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ มีผู้เข้าร่วมฟังเสวนา จำนวน 242 คน รับชมผ่าน เฟสบุ๊คของศูนย์วิจัยป่าไม้ จำนวน 1,630 ครั้ง และรับฟังผ่านสถานีวิจัย มก. ผลการเสวนามีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้ ความสำคัญของป่าไม้ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมา ศ. ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน กล่าวว่า ป่าไม้เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ อย่างยิ่งต่อประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ป่าเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นพื้นที่ของการ ท่องเที่ยว ป่าที่อยู่ใกล้กับคนหรือป่าชุมชนมีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนที่อยู่รอบป่า ขณะเดียวกัน ป่าถือเป็นหัวใจของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของประเทศ เป็นปัจจุบันและเป็นอนาคตของคุณภาพชีวิต เป็น แหล่งรายได้และลมหายใจของประชาชน ที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ป่ามากพอสมควร แต่ยังมีปัญหาเรื่องความ ยั่งยืนและมีการใช้ประโยชน์ได้ไม่มากเท่าที่ควร เกิดปัญหาการบุกรุกป่า ป่าเสื่อมโทรม การลักลอบตัดไม้ การ สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความขัดแย้งของการใช้ที่ดินในพื้นที่ป่าที่ซับซ้อนมาก ปัญหาเหล่านี้ยัง แก้ไขได้ไม่ดีเท่าที่ควร ตลอดจนสภาวะโลกร้อนทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงมากขึ้น การใช้ประโยชน์ความ หลากหลายทางชีวภาพในป่าเพื่อเศรษฐกิจและรายได้ยังทำอยู่น้อย ปัญหาอุปสรรคที่สำคัญ คือ ข้อกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ จำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุงให้ดีและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น และงานวิจัยด้านทรัพยากร ป่าไม้เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจยังทำอยู่ค่อนข้างน้อย หากทำได้มากขึ้นนอกจากจะนำไปใช้ประโยชน์ได้แล้ว ยังสามารถรักษาความสมดุลและยั่งยืน โดยเฉพาะเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพในป่า ตัวอย่างเช่น ป่า ชุมชนที่มีหลายหมื่นแห่งกระจายทั่วประเทศ จะทำอย่างไรให้เกิดรายได้และคนอยู่รอบป่ามีคุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ละแห่งช่วยตรึงคาร์บอนได้เท่าไร รักษาและตรึงน้ำให้อยู่ในป่าได้ด้วยวิธีการใด การอนุรักษ์ดินให้มีความ อุดมสมบูรณ์ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการท่องเที่ยวในป่า จนไปถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ใน ป่าที่ไม่ใช่ไม้วิสาหกิจชุมชนที่จะเข้าไปมีบทบาทในเรื่องเหล่านี้ก็ยังทำไม่ได้เท่าที่ควร ผลผลิตจากป่าที่ไม่ใช่ไม้ ซุง หรือ non timber forest products (NTFPs) ที่มีคุณค่ามากมาย เช่น ผลไม้ป่าหลายชนิดมีสารออกฤทธิ์ หลายชนิดที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เป็นต้น จะนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจ งานวิจัยถึง ระบบบริหารจัดการได้ มีกฎหมายที่กระจายอำนาจบนความไว้วางใจกับประชาชนที่จะทำงาน ร่วมกัน ก็จะทำให้ป่าไม้มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ และสามารถรักษาสิ่งแวดล้อมและรักษาคุณภาพชีวิตของคน ได้อีกมากมาย ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดีกล่าวว่า ได้มองเรื่องป่าไม้ออกเป็น 7 แบบ ได้แก่ 1) ป่ามีคุณค่าอนันต์ เพราะป่าเป็นแผ่นดิน เป็นทรัพย์สิน ป่าเป็นรากฐานการถือครองที่ดินของหน่วยราชการ 2) ป่าเป็นระบบนิเวศ หากเป็นผืนใหญ่ก็จะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมได้ชัดเจน 3) ป่าช่วยบรรเทาปัญหาสภาวะโลกร้อน ช่วยความเป็น


กลางทางคาร์บอน 4) ป่าเป็นแหล่งรายได้จากคาร์บอนเครดิต 5) ป่ามีความสำคัญต่อความหลากหลายทาง ชีวภาพ 6) งานด้านทรัพยากรธรรมชาติเช่น ป่าไม้ ประมง ที่ผ่านมาจะมุ่งเน้นการจัดการพื้นที่เชิงนิเวศวิทยา (ecological approach) แต่ปัจจุบันต้องหันมาบริหารจัดการพื้นที่เชิงภูมิทัศน์ (landscape approach) มาก ยิ่งขึ้น 7) เราไม่ค่อยมองเรื่องการบริหารจัดการป่าเป็นแบบพลวัต (dynamic) แต่มองแบบคงที่ไม่ค่อย เปลี่ยนแปลง (static) มากเกินไป โดยหลักการแล้ว การอนุรักษ์คือ การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน แต่บางครั้ง เรากลับมุ่งสงวนหรือเก็บรักษาป่าไว้จนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เราพยายามจัดการป่าให้เกิดดุลยภาพ (equilibrium) ไปจนถึงขั้นสุดท้าย (climax stage) ซึ่งทราบกันดีว่า ป่าที่อยู่ขั้นนี้จะให้ผลิตภาพต่ำสุด ทั้งที่ป่า ใช้แล้วปลูกทดแทนได้ หากยิ่งใช้(แต่ต้องใช้ให้เป็น) ก็ยิ่งได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อป่าเป็นทรัพยากร ที่ใช้แล้วปลูกทดแทนได้ และต้องจัดการป่าให้ได้ผลผลิตสูงสุด จึงควรกลับมามองการใช้ประโยชน์ป่าให้มากขึ้น ไม่ว่าเรื่องวนเกษตร สวนป่า ป่าเศรษฐกิจ เศรษฐกิจป่าไม้ คาร์บอนเครดิต การทำไม้เป็นต้น นอกจากนี้ใน ด้านการศึกษา เนื่องจากมีคณะวนศาสตร์เพียงแห่งเดียวของประเทศไทย จึงอาจทำให้ไม่สามารถตอบสนอง ความต้องการด้านวิชาการป่าไม้ของสังคมได้ทันท่วงทีรวมถึงยังขาดหลักสูตรสหวิชาการด้านคาร์บอนเครดิต ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับเรื่องป่าไม้มาก เพราะป่าไม้มีส่วน สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG และช่วยบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพคนไทย พื้นที่ป่าไม้ ของไทยในกลุ่มประเทศอาเชียนอาจดูดีขึ้น หลายประเทศมีพื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้น แต่เวียตนามเป็นประเทศที่ทำ ได้ดีทั้งนี้ ปัญหาของภาคป่าไม้ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น 1) พื้นที่ป่าถูกบุกรุกเป็น จำนวนมากโดยเฉพาะจากผู้มีอำนาจและนายทุน 2) ความเสื่อมโทรมของป่าที่มาจากการลักลอบตัดไม้ไฟป่า แรงจูงใจทางเศรษฐกิจทั้งเรื่องไม้และของป่า ไม่ตระหนักเรื่องการอนุรักษ์ป่า และความยากจน 3) วิธีการเพิ่ม พื้นที่ป่าเศรษฐกิจที่ใช้กันอยู่ไม่ได้ผลเท่าที่ควร 4) ปัญหาสิทธิทำกินในที่ดินของรัฐ ข้อพิพาทที่ดินป่าไม้กับการ ตั้งถิ่นฐานดั้งเดิม และ 5) นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิตและคาร์บอนฟรุตพริ้นยังไม่ ก้าวหน้าเท่าที่ควร เกษตรกรรายย่อยยังได้รับประโยชน์น้อยจากโครงการคาร์บอนเครดิต พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ชาติกำหนดเป้าหมายให้มีป่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 103 ล้านไร่ หรือร้อยละ 32 จึงจำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่ป่า แต่ในช่วงที่ผ่าน ข้อเท็จจริง เรื่องการเพิ่มพื้นที่ป่าไม่สอดคล้องกัน เช่น ในช่วง 3 ปี (พ.ศ. 2563-2565) มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อ สภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอรับงบประมาณปลูกป่าว่ามีพื้นป่าเพิ่มขึ้นรวมแล้วประมาณ 1 ล้านไร่ แต่จากข้อมูล ของกรมป่าไม้ที่ได้ให้คณะวนศาสตร์ทำการสำรวจพื้นที่ป่า กลับพบว่า ในช่วงเวลาเดียวกัน พื้นที่ป่าลดลง รวมกันประมาณ 2.7 แสนไร่ ก็ไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุใด นอกจากนี้ นิยามคำว่าป่าตามกฎหมายป่าไม้ที่ กำหนดว่า “ป่าคือที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน” แต่ประเภทที่ดินตามกฎหมายที่ดิน เช่น โฉนด นส.3 ฯลฯ ไม่มีการกำหนดเพดานการถือครองที่ดิน ประชาชนประมาณ 14 ล้านคน มีการถือครองที่ดิน ประมาณ 5 ตารางวา (รวมพื้นที่คอนโดด้วย) จากข้อมูลกรมที่ดิน มีประชาชนถือครองที่ดินเกิน 50 ไร่ อยู่ ประมาณ 44,000 คน มีการถือครองที่ดินเกิน 100 ไร่ ประมาณ 5,000 คน หรือมีบางรายถือครองที่ดินเกิน เป็นแสนไร่ แสดงถึงความเหลื่อมล้ำของการถือครองที่ดิน ในขณะที่จากนิยามป่าตามกฎหมายป่าไม้ทำให้มี พื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติรวมกันประมาณ 135 ล้านไร่ ทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ที่ถูก นิยามว่าเป็นป่ากลายเป็นผู้บุกรุกป่า นอกจากนี้ ประเทศไทยมองที่ดินเป็นสินทรัพย์ไม่ใช่ปัจจัยการผลิต ทำให้


เกิดการกักตุนที่ดินเพื่อเก็งกำไร ส่งผลให้การพัฒนาที่ผ่านมาจึงเป็นการแก่งแย่งหรือทำลายทรัพยากรที่ดินและ ป่าไม้ดังนั้น ปัญหาเรื่องที่ดินจึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาคป่าไม้ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ คุณฉลอง เทพวิทักษ์กิจ กล่าวว่า ป่าไม้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งผลิต ปัจจัยสี่ ช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งต้นกำเนิดของแหล่งน้ำลำธาร จึง จำเป็นต้องมีพื้นที่ป่าไม้ให้เพียงพอเพื่อรักษาความสมดุลของสิ่งแวดล้อม ในอดีตประเทศไทยมีพื้นที่ป่า ประมาณร้อยละ 50 ของประเทศ อย่างไรก็ดี ในช่วงปี พ.ศ. 2449-2563 (124 ปี ของการตั้งกรมป่าไม้) พื้นที่ ป่าไม้เหลือเพียงร้อยละ 31 ลดลงประมาณ 58 ล้านไร่ หรือเฉลี่ย 4-5 แสนไร่ต่อปีและพื้นที่ป่าที่เหลือส่วน ใหญ่อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันตก ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหลือพื้นที่ป่าน้อยที่สุด ผลกระทบจากการ ลดลงของพื้นที่ป่าทำให้เกิดภัยธรรมชาติส่งผลเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐและประชาชน ต้องใช้งบประมาณ หลายหมื่นล้านบาทในการบรรเทาปัญหาภัยพิบัติและฟื้นฟูทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน ธาตุ อาหารสูญเสียเป็นจำนวนมาก และยังทำให้แหล่งน้ำลำคลองตื้นเขินจากทับถมของตะกอนดิน ระบบนิเวศป่า ไม้เกิดความเสื่อมโทรม สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องเร่งเพิ่มพื้นที่ป่า โดย เป้าหมายสำคัญคือป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชน อย่างไรก็ดี การดำเนินงานที่ผ่านมายังไม่บรรลุผลเท่าที่ควร เพราะทุกภาคส่วนขาดการเข้ามาช่วยงานป่าไม้อย่างจริงจัง ดร.เดชรัต สุขกำเนิด กล่าวถึงบทบาทสำคัญของภาคป่าไม้ด้านเศรษฐกิจ คือ เป็นแหล่งวัตถุดิบ สำคัญโดยเฉพาะด้าน bio-refinery และ bio-material เป็นแหล่งสะสมและเพิ่มพูนความรู้จากความ หลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศวัฒนธรรม แหล่งสะสมคาร์บอนและให้บริการด้านนิเวศ แหล่งสะสมทุน หรือความมั่งคั่งไม่ว่าในรูปตัวเงิน ทักษะฝีมือ วัฒนธรรมและภูมิปัญญา แต่อุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุบทบาท ภาคป่าไม้ต่อภาคเศรษฐกิจ ได้แก่ 1) การวิจัยและพัฒนาหลายเรื่องสะดุดในขั้น pilot plant (การพัฒนาไม่ทัน กับรูปแบบ/เทคนิคการก่อสร้าง และวัสดุการก่อสร้างใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากป่าไม้) 2) ทักษะฝีมือ และ ความรู้ความเข้าใจเรื่องไม้ลดหายไปทั้งการปลูก การตัด การแปรรูป ช่างไม้หายากมาก ความเข้าใจใน สุนทรียภาพของลวดลายไม้และสถาปัตยกรรมไม้ยุคใหม่ 3) การปลูกไม้เศรษฐกิจยังทำได้จำกัด โดยเฉพาะ เกษตรกรรายย่อย เนื่องจากยังขาดกลไกทางการเงินและรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม และ 4) งบประมาณ และการลงทุนในภาคป่าไม้ยังมีค่อนข้างน้อย นโยบายทางการเมืองต่อภาคป่าไม้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน พรรคชาติพัฒนามุ่งเน้นนโยบายเรื่องคาร์บอนเครดิต จะมีการจัดตั้งศูนย์ คาร์บอนเครดิตประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยจะจัดทำระบบการวัดประเมินคาร์บอนเครดิตให้ได้ มาตรฐานของโลก ซึ่งคาดว่าจะต้องลงทุน 7,000-10,000 ล้านบาท จะสร้างตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตให้ เกิดในประเทศไทย โดยใช้Carbon credit token และใช้ Blockchain technology ในการเก็บข้อมูลอย่าง แม่นยำและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และใช้เป็นสินทรัพย์ในการซื้อขาย เพื่อทำให้คนไทยทุกคนมีแรงจูงใน การตรึงคาร์บอนอยู่ในพื้นดินซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับป่าไม้ ผลที่ตามมาในการดำเนินงานเรื่องนี้จะทำให้ ประเทศไทยเป็นผู้นำของโลกหรืออย่างน้อยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะทำให้เกิดการวิจัย การลงทุน และ การอบรมตามมาอีกมากมาย การขับเคลื่อนทางนโยบายเรื่องนี้ยังมีผลโดยตรงต่อการบริหารจัดการไฟป่า ทำ ให้ประชาชนและชุมชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาไฟป่าและได้รับประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต โดยคาดว่า


จากผลการดำเนินงานเรื่องคาร์บอนเครดิตจะได้เงินคืนในปีแรกประมาณ 100,000 ล้านบาทหรือประมาณ 10 เท่าของงบที่จะลงทุน นโยบายต่อมาคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพในป่าพื่อทำให้คนกับป่า อยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากผลผลิตที่ไม่ใช่ไม้จากป่า อาหารจากป่า และการท่องเที่ยวในป่า ถ้าคิดคำนวณง่าย ๆ คนที่อยู่รอบป่าประมาณ 5 ล้านคน ตั้งเป้าให้แต่ละคนมีรายได้เพิ่มขึ้น 120,000 บาทต่อ ปี จะทำให้มีรายได้รวมประมาณ 600,000 บาทต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 4-5 ของ GDP ประเทศ เป็นการ ช่วยลดช่องว่างของรายได้ ตรงกับแนวทางเศรษฐกิจ BCG ซึ่งนโยบายที่กล่าวมาได้ทดลองทำแล้ว พิสูจน์ แล้วว่าสามารถทำได้จริง สุดท้ายขอกล่าวว่า สิ่งแวดล้อมคือหัวใจของพรรคชาติไทยพัฒนา ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี พรรคเพื่อไทยมีนโยบายต่อภาคป่าไม้อยู่ 5 ข้อครึ่ง ได้แก่ 1) เรื่อง green เอาป่ามาอยู่กับคนด้วยการปลูกป่า และให้คนอยู่กับป่าโดยหาที่ป่าให้คนอยู่ 2) การสงวนและการใช้ประโยชน์ จากป่าต้องทำควบคู่ไปด้วยกัน 3) ให้มีพื้นที่ป่าปกคลุม (Forest cover) ร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศ เพื่อ สร้างระบบนิเวศป่าไม้ให้สมบูรณ์มากพอที่จะสร้างความมั่นคงทางภูมิอากาศ และความมั่นคงทางอาหาร 4) สร้างเศรษฐกิจป่าไม้ เพื่อเป็นแรงจูงใจในการเพิ่มต้นไม้ให้ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เกิดความเป็น กลางทางคาร์บอน และ 5) แบบแผนของป่าไม้ต้องมองทั้งแนวทางเชิงนิเวศวิทยา (ecological approach) และแนวทางเชิงภูมิทัศน์ (landscape approach) ควบคู่กันไปไม่ควรมองแบบแยกส่วน สำหรับนโยบายอีก ครึ่งข้อ จะเป็นในส่วนของเรื่อง BCG ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่นำจุดแข็งของประเทศเรื่องระบบนิเวศและความ หลากหลายทางชีวภาพมาใช้ประโยชน์ แต่ไม่ควรให้น้ำหนักกับการสร้างรายได้กับภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก ควรนำเรื่อง BCG มาใช้ขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ทำ BCG ให้ครบวงจรไปถึง ผลิตภัณฑ์ปลายทาง (end product) และใช้ประโยชน์จากให้บริการทางนิเวศมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากพรรคเพื่อไทย จะทำเรื่องนี้ก็จะดัดแปลง BCG มาจัดการร่วมในพื้นที่เชิงภูมิทัศน์เช่น คนกับป่า ป่ากับเกษตร ป่ากับเมือง เป็นต้น ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายเพิ่มพื้นที่ป่าที่เป็นวาระแห่งชาติให้ได้ร้อยละ 50 หรือ 160 ล้านไร่ โดยเฉพาะป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชน ด้วยกลไกและเครื่องมือต่าง ๆ ได้แก่ ให้สิทธิทำกินที่ ประชาชนที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่เดิมในที่ดินของรัฐเพื่อการปลูกป่า สร้างกลไกคาร์บอนเครดิตเพื่อเป็นแหล่ง รายได้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกรรายย่อย สนับสนุนการปลูกไม้มีค่าเพื่อการขายเนื้อไม้ เช่น ไม้สัก ไม้พะยูง และ ไม้อื่น เพื่อพลังงานชีวมวลหรือเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมกระดาษ สนับสนุนให้เอกชนใช้ต้นไม้เป็น หลักประกันทางธุรกิจ มีค่าตอบแทนให้แก่ผู้ครอบครองไม้ใหญ่ในที่ดินเอกสารสิทธิ์ เผยแพร่ความคิดใช้ต้นไม้ เป็นบำเน็จบำนาญยามสูงวัย การจัดเก็บภาษีเพื่อสนับสนุนการปลูกต้นไม้มากขึ้น เช่น เก็บภาษีที่ดินตาม จำนวนของคาร์บอนที่ต้นไม้ที่ปลูกสามารถดูดกลับมาได้ หากพื้นที่มีต้นไม้ช่วยดูดซับคาร์บอนได้มากก็จะเสีย ภาษีที่ดินน้อยหรือไม่เสียเลย จัดเก็บภาษีคาร์บอน (carbon tax) เพื่อนำเงินมาสนับสนุนการปลูกต้นไม้ เป็น ต้น การจัดสรรงบประมาณปลูกป่าให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคือ ส่งเสริมให้ภาคเอกชน เข้ามีบทบาทสำคัญในการปลูกป่ามากยิ่งขึ้น พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง พรรคประชาชาติมีนโยบายสำคัญเพื่อสนับสนุนการเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจของ ประเทศ คือ ปฏิรูปกฎหมายป่าไม้และกฎหมายที่ดินที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีสิทธิในที่ทำกิน เพื่อการปลูกป่า ให้เอกชนเช่าพื้นที่ป่าสงวนฯ เพื่อปลูกสร้างสวนป่า จัดสรรที่ดินทำกินให้กับเกษตรกรอย่างเป็น ธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ อย่างน้อยครัวเรือนละ 20 ไร่ ตลอดจนจัดโซนนิ่งของที่ดินให้เหมาะสม


คุณฉลอง เทพวิทักษ์กิจ พรรคไทยสร้างไทยให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายพัฒนาการเกษตร ที่สนับสนุนการสร้างป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1) นโยบายปรับโครงสร้างการผลิต โดยจะ ปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวที่มีอุปทานมากกว่าอุปสงค์ โดยเฉพาะนาข้าวที่ไม่เหมาะสมหรือเหมาะสมน้อย (S3+N) เพื่อนำมาปลูกไม้เศรษฐกิจแทน ประมาณ 15 ล้านไร่ ทั้งปลูกเป็นป่าเศรษฐกิจหรือวนเกษตร 2) นำ ที่ดินป่าเสื่อมโทรมที่มีการส่งมอบให้ สปก. มาใช้ประโยชน์ให้เต็มศักยภาพควบคู่กับการปลูกป่าเศรษฐกิจและ ป่าชุมชน โดยการจัดและพัฒนาที่ดินในรูปแบบ “นิคมเกษตรกรรม” มีการวางผังแบ่งแปลงและลงทุนพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ระบบน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภค บริโภค ถนน ไฟฟ้า ฯลฯ และจัดแบ่งเป็นโซน ที่ดินทำกินให้เกษตรกร ขนาดแปลงละ 5-10 ไร่ โซนพื้นที่แปลงใหญ่หรือแปลงรวมเพื่อใช้ผลิตพืชอุตสาหกรรม โซนส่วนกลางจะเป็นสถานที่รวบรวมผลผลิตแปรรูป รับซื้อผลผลิต และเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ โซนปลูกป่า เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ เป็นป่าเศรษฐกิจ และโซนบริการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคเกษตร เช่น ที่พักรับรองการท่องเที่ยว เชิงธรรมชาติ เชิงสุขภาพ สถานที่ฟื้นฟูสุขภาพระยะยาวหรือบ้านพักผู้สูงอายุ เป็นต้น โดยการดำเนินงานจะ ปรับการดำเนินงานจากรัฐ เป็น “บรรษัทวิสาหกิจเพื่อสังคมเกษตรแห่งชาติ” ซึ่งจะเป็นแนวทางพัฒนาที่ดินให้ มีความอุดสมสมบูณ์ เกษตรกรเข้าไปอยู่ได้ หายจน หมดหนี้ มีรายได้ตลอดปี สุดท้าย นโยบายของไทยสร้าง ไทย คือ การปลูกป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชน ซึ่งเป็นการพัฒนาป่าไม้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG เพราะป่าที่ สมบูรณ์ คือ BCG อยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว ดร.เดชรัต สุขกำเนิด พรรคก้าวไกลมีนโยบายทั้งการสนับสนุนงบวิจัยและพัฒนาในระดับ pilot plant เช่น งานวิจัยด้าน bio-refinery ของ สวทช. และร่วมมือกับภาคเอกชนในงานวิจัยด้าน bio-material พัฒนาองค์ความรู้และทักษะฝีมือ เช่น การให้คูปองฝีมือแรงงาน 5000 บาท/คน/ปีสนับสนุนสหกรณ์กลุ่ม เกษตรกร ผู้ประกอบการ SME ไม้แปรรูป ซึ่งอาจรวมถึงผลผลิตที่ไม่ใช่ไม้จากป่า สร้างกลไกสนับสนุนเกษตรกร รายย่อย/ชุมชนในการปลูกต้นไม้และสวนป่าให้ได้ 5 ล้านไร่ ภายใต้นโยบายที่เรียกว่า “ป่าแลกเงินเพิ่มพื้นที่สี เขียว” ได้แก่ 1) ต้นไม้ปลดหนี้ โดยรัฐจ่ายหนี้ค้างให้เกษตรกรในฐานะค่าเช่าแลกกับใช้ที่ดินของเกษตรกรปลูก ไม้ยืนต้น 2) ต้นไม้บำนาญ คนปลูกได้รับรายได้เป็นรายเดือน 1,200 บาท/ไร่/เดือน เป็นเวลา 20 ปี3) ต้นไม้ ทุนรัฐบาล อุดหนุนงบเกษตรกรปลูกป่า 4,000 บาท/ไร่ ในช่วงเวลา 3 ปีและ 4) ต้นไม้ชุมชน อุดหนุนปลูกป่า ชุมชน 4,000 บาท/ไร่/ปี จำนวน 1,000 ชุมชน ตลอดจนพัฒนากลไกการตลาดป่าไม้/ผลิตภัณฑ์ เช่น ราคา กลาง ราคาอ้างอิงของผลิตภัณฑ์สำคัญ การประกันภัยสำหรับผู้ปลูกไม้ยืนต้น และกลไกคาร์บอนเครดิต บทสรุป จากข้อมูลเวทีเสวนา เห็นได้ว่า ภาพรวมของนโยบายทางเมืองต่อภาคป่าไม้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ที่ผู้แทน 6 จากพรรคการเมืองได้นำเสนอ มีทั้งประเด็นที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันแต่อาจต่างกันบ้าง ในรายละเอียด และมีที่แตกต่างกันไปเลย ซึ่งเมื่อนำมาวิเคราะห์ว่านโยบายอะไรที่ถือว่าโดดเด่นของแต่ละ พรรคการเมือง ก็อาจสรุปได้ดังนี้ พรรคเพื่อไทย: พัฒนาเศรษฐกิจภาคป่าไม้บนฐานการบริหารจัดการพื้นที่เชิงภูมิทัศน์เพื่อให้ป่าอยู่กับ คนและคนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน พรรคชาติไทยพัฒนา: ขับเคลื่อนคาร์บอนเครดิตเพื่อสร้างรายได้จากภาคป่าไม้และสร้างมูลค่าเพิ่ม จากทรัพยากรชีวภาพในป่า


พรรคประชาธิปัตย์: ใช้กลไกทางภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนปลูกต้นไม้และให้ภาคเอกชนมีบทบาท นำในการปลูกป่าเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย: ปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร และสร้างนิคมเกษตรกรรมเพื่อปลูกป่า เศรษฐกิจและป่าชุมชน พรรคก้าวไกล: ป่าแลกเงินเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรและชุมชนปลูกต้นไม้และสวนป่า พรรคประชาชาติ: ปฏิรูปกฎหมายให้ประชาชนมีที่ดินทำกินเพื่อปลูกป่าเศรษฐกิจ สุดท้ายแล้ว นโยบายต่อภาคป่าไม้ของทุกพรรคการเมืองที่มาร่วมเวทีเสวนา ถือได้ว่าเป็นนโยบายที่ น่าสนใจ หากพรรคการเมืองใดได้มีโอกาสบริหารประเทศก็น่าจะหยิบยกนโยบายเหล่านี้ไปปรับใช้และ ขับเคลื่อนต่อไป แต่อย่างไรเสีย ก็อาจจะมีคำถามจากหลายคนในหลายภาคส่วนว่า นโยบายเหล่านี้จะสามารถ ทำได้จริงมากน้อยแค่ไหน จะเอาเงินจากแหล่งไหนมาทำที่ไม่สร้างปัญหาด้านงบประมาณให้กับประเทศ คง ต้องฝากเป็นการบ้านให้กับทุกพรรคการเมืองได้ขบคิดและวางแผนต่อไป


Click to View FlipBook Version