The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เพื่อเป็นคู่มือการจัดการเชื้อเพลิงในป่าเบื้องต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2021-08-03 06:38:58

คู่มือการจัดการเชื้อเพลิง

เพื่อเป็นคู่มือการจัดการเชื้อเพลิงในป่าเบื้องต้น

Keywords: ไฟป่า,เชื้อเพลิง

คู่มือ

การจัดการเชือเพลิง

Fire Fuel Management

ทมี าของภาพ ผศ.ดร.กอบศกั ดิ วนั ธงไชย และการอบรมการจัดการไฟปาของ AFoCo-RECT พมา่ 16 มกราคม 2563

พฤษภาคม 2563

คมู่ ือการจดั การเชือ้ เพลงิ
Fire Fuel Management

ที่มาของภาพ การอบรมการจดั การไฟปา่ ของ AFoCO-RECT พม่า 16 มกราคม 2563

พฤษภาคม 2563

คูม่ อื การจดั การเชอื้ เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

คู่มือการจดั การเช้ือเพลิง (Fire Fuel Management)
ปรบั ปรงุ จาก ศิริ อคั คะอัคร. 2543. การควบคมุ ไฟป่าสำหรับประเทศไทย. สำนักควบคมุ ไฟป่า,
กรมป่าไม,้ กรงุ เทพฯ. ปรับปรงุ เพอ่ื เปน็ คู่มือการจดั การเชอื้ เพลงิ ในป่าเบื้องตน้

ปรับปรุงเม่อื พฤษภาคม 2563
โดย วรี ชยั ตนั พพิ ัฒน*์ ประยรู ยงค์ หนไู ชยยา* กอบศักดิ์ วันธงไชย* เดโช ไชยทัพ**
*หน่วยวิจยั เชีย่ วชาญเฉพาะทางด้านไฟปา่ ภูมภิ าคอาเซยี นตอนบน (Upper ASEAN Wildland Fire
Special Research Unit) ศนู ยว์ ิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ทตี่ ั้ง ชัน้ 5 ตึกวนศาสตร์ 72 ปี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เวปไซค์ https://frc.forest.ku.ac.th/sru/index.php อเี มล์ [email protected]
**มูลนิธเิ พือ่ การพัฒนาทยี่ ่ังยนื (ภาคเหนอื )
ที่ตง้ั สำนักงานภาคเหนอื
77/1 หมู่ 5 ตำบลสเุ ทพ อำเภอเมอื ง จังหวัดเชียงใหม่ 50200
เวปไซค์ http://www.sdfthai.org/about.html อีเมล์ [email protected]

คมู่ ือการจัดการเชอ้ื เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

สารบญั

การจดั การเชื้อเพลิง (Fire Fuel Management) หนา้
เทคนคิ การจัดการเชอ้ื เพลิง (Fire Fuel Management Techniques) 1
การลดปริมาณเชือ้ เพลิง (Fuel Reduction) 2
การลดปริมาณเชื้อเพลงิ (Fuel Reduction) 2
การเปลย่ี นแปลงประเภทของเชอื้ เพลิง (Fuel Conversion) 2
การแยกเช้ือเพลิง (Fuel Isolation) 2
ลักษณะของไฟโดยทว่ั ไป (Fire Characteristics in General) 2
แนวกันไฟ (Firebreaks or Fuelbreaks) 3
วัตถปุ ระสงคข์ องการทำแนวกันไฟ (The Purposes of Fire Break) 3
การสร้างแนวกนั ไฟ (Fire Break Construction) 4
ข้อควรคำนึงในการทำแนวกนั ไฟ (Cautions of Fire Break Construction) 4
การซ่อมบำรงุ แนวกนั ไฟ (Fire Break Maintenance) 6
ประสิทธิภาพของแนวกนั ไฟ (Fire Break Performance) 7
การเผาโดยกำหนด (Prescribed Burning) 8
การเผาเย็น Cool Burn or Cultural Burn VS. การเผาร้อน Hazardous Reduction Burn) 8
การชิงเผา (Early Burning) 9
การทำไรห่ มนุ เวียน (Rotation Agriculture) 9
พ้ืนท่เี ปา้ หมายในการชิงเผา (Target Areas) 10
การวางแผนชงิ เผา (Planning and Organizing) 11
ขอ้ ควรคำนึงในการชงิ เผา (Cautions of Prescribed Burning) 12
วิธกี ารจดุ (Ignition Types) 12
เทคนิคการจุดไฟ (Ignite Techniques) 11
Headfire การเผาตามทิศทางลม 14
Backfire (Backburning) การเผาทวนหรือสวนกบั ทศิ ทางของลม 14
Strip-heading fire การเผาเปน็ แนวต่อเนอ่ื งกนั 14
Point source fire หรอื Stop Head Fire การเผาเป็นหย่อมๆ 15
Flankfire การเผาทวนลมเข้าจากดา้ นข้าง 16
Center firing การจดุ ไฟตรงกลาง 16
Ring Fire เปน็ การจุดไฟเป็นวงรอบ 17
Fingers of Fire จดุ แบบนวิ้ มือ 17
อปุ กรณก์ ารจดุ (Ignition Sources) 17
อปุ กรณ์ในการควบคุมไฟ (Fire Suppression Hand Tools) 18
18

คู่มือการจัดการเชอ้ื เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

สารบญั (ต่อ)

ระบบการวิเคราะห์ การตัดสินใจ การอนุญาตให้เผาในระดบั ตา่ ง ๆ อย่างมีส่วนรว่ ม หนา้
(Prescribed Burning and Smoke Management System) 19
ข้นั ตอนการขออนญุ าตเผา (Burn Permit)
20
การเตรยี มพืน้ ท่ีเกษตรของไรห่ มนุ เวียน โดยวิธกี ารเผา 21
22
คำถามทนี่ ่าสนใจ 23
24
ขอ้ พจิ ารณาท่ีต้องหาคำตอบกัน

เอกสารอ้างอิง

คู่มอื การจัดการเชือ้ เพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

การจดั การเช้ือเพลงิ (Fire Fuel Management)

ไฟคอื เคร่อื งมอื ชนิดหนึ่งของการจดั การทดี่ ินโดยผู้จดั การที่ดนิ ท่รี ูจ้ ักกันเป็นการท่ัวไปวา่ “Land
Manager” แต่จะใช้ไฟอย่างไรในการจัดการท่ีดินให้มีประสิทธิภาพสูงสุดน้ันจำเป็นท่ีจะต้องผสมผสาน
กันระหว่างความรู้ด่ังเดิมที่ตกทอดกันมา (Indigenous Knowledge) กับความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ไฟ
(Fire Science) ในโลกปัจจุบัน

ศิริ 2543 ได้รวบรวมและอธิบายเพิ่มเติมในคู่มือการจัดการไฟป่าของประเทศไทย ว่าเช้ือเพลิง
คือ เป็น 1 ใน 3 พ้ืนฐานองค์ประกอบของสามเหล่ียมไฟ ซึ่งมี ความร้อน อ๊อกซิเจน และเช้ือเพลิง รวม
ไปถึงพฤติกรรมไฟ ซึ่งประกอบด้วย ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และลักษณะเช้ือเพลิง (ภาพที่ 1) ที่สามารถ
บริหารจัดการได้ เช้ือเพลิงที่ทำให้เกิดไฟปา่ คือ อนิ ทรียสารทุกชนิดในป่าที่ตดิ ไฟได้ ได้แก่ ต้นไม้ ตอไม้
ไม้พุ่ม กิ่งก้านไม้ ใบไม้ หญ้า และไม้พื้นล่างต่างๆ รวมไปถึงเศษซากพืช (Duff) และดินอินทรีย์ (Peat)
โดยทฤษฎีแล้วหากไม่มีเชื้อเพลิงเหล่านี้ ไฟป่าก็จะเกิดข้ึนไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงทฤษฎีน้ีเป็นส่ิงที่
เป็นไปไม่ได้ เพราะเช้ือเพลิงในป่าเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของระบบนิเวศป่าไม้นั้น น่ันเอง อย่างไรก็
ตามในทางปฏิบัติถึงแม้จะไม่สามารถกำจัดเช้ือเพลิงทั้งหมดออกไปจากป่าได้ แต่ก็สามารถลด
ปริมาณเชอื้ เพลิงลงได้บางส่วน หรอื เปล่ียนแปลงสภาพของเชือ้ เพลิง หรือตัดตอนความต่อเนื่องของ
เช้ือเพลิงออกจากกัน เพื่อการควบคุมไฟป่าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังน้ันการจัดการเช้ือเพลิงจึง
พิจารณาดำเนินการเฉพาะในพื้นที่ท่ีมีความเส่ียงต่อการเกิดไฟป่าสูง มีการสะสมของเชื้อเพลิงมาก
หากเกิดไฟปา่ จะยากตอ่ การควบคุม มชี นดิ ของเช้ือเพลงิ ทีต่ ิดไฟและเกิดไฟป่าไดง้ ่าย หรือในพน้ื ทท่ี ี่มี
คุณค่าสูง เช่น สวนป่า เป็นต้น ซ่ึงกิจกรรมในการจัดการเช้ือเพลิงเหล่าน้ีจะมีผลโดยตรงทำให้
พฤติกรรมของไฟป่าเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่งา่ ยต่อการควบคุมมากข้ึน เช่น อัตราการลุกลามช้าลง
และไมต่ ่อเนอื่ ง ความรนุ แรงของไฟลดลง ความสูงเปลวไฟลดลง การติดไฟของเชอ้ื เพลิงยากขึน้ เปน็ ตน้

ภาพท่ี 1 องคป์ ระกอบและลักษณะความสมั พนั ธข์ องพฤตกิ รรมไฟ
ที่มา ซ้าย Ryan and Koerner 2012 ขวา https://learn.weatherstem.com/modules/learn/lessons/121/12.html

1

คู่มอื การจดั การเชือ้ เพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

ดังน้ัน แนวความคิดรวบยอดของการจัดการเช้ือเพลิง (Fire Fuel Management) คือ
การปรับเปลี่ยนเช้ือเพลิง อันจะมีผลทำให้พฤติกรรมของไฟป่าที่เกิดขึ้นมีการเปล่ียนแปลงตามไป
ดว้ ย แล้วแตก่ รณีและบริบททเ่ี หมาะสมซ่งึ จะแตกตา่ งกนั ไป

เทคนิคการจดั การเช้อื เพลงิ (Fire Fuel Management Techniques)
เทคนิคการจัดการเช้ือเพลิงมีหลายวธิ ี และในทางปฏิบัติจะต้องผสมผสานหลายๆวธิ ีเข้าด้วยกัน

จงึ จะเกิดประสทิ ธิภาพ เทคนิคหลกั ในการจัดการเช้อื เพลงิ แบง่ ได้เป็น 3 ประเภท คอื
1. การลดปรมิ าณเช้ือเพลิง (Fuel Reduction)
เป็นเทคนิคการลดความรุนแรงของไฟป่าโดยการลดทอนปริมาณของเช้ือเพลิงที่สะสมอยู่ในป่า

ให้น้อยลง ซึ่งการวางแผนลดปริมาณเชื้อเพลิงจะต้องพิจารณากลไกการสะสมเชื้อเพลิงในป่าเป็นหลัก
โดยในกรณีของป่าธรรมชาติ จะต้องทำการลดปริมาณเช้ือเพลิงตามช่วงเวลาที่เหมาะสมตามการเพิ่ม
ปริมาณของเช้ือเพลิงตามธรรมชาติ ทั้งนี้เพ่ือรักษาระดับเช้ือเพลิงให้อยู่ในปริมาณที่ยอมรับได้อยู่
ตลอดเวลา การลดปริมาณเช้ือเพลิงทำได้หลายวิธี เช่น การเผาตามกำหนด (Prescribed Burning) ใน
รูปแบบ Early Burning การชิงเผา การตัดแต่งไม้พื้นล่างง (Thinning) หรือการนำเชื้อเพลิงไปใช้
ประโยชน์ เชน่ นำไปทำปุ๋ย ทำเช้อื เพลิงอัดแท่ง การกำจัดเช้ือเพลิงโดยการเผาในเตาเผาเคล่ือนท่ี การใช้
เป็นเช้ือเพลงิ ในการผลิตกระแสไฟฟา้ การใช้เครอื่ งจักรกลไถเพือ่ ฝงั กลบเชอ้ื เพลิง เปน็ ต้น

2. การเปลย่ี นแปลงประเภทของเช้ือเพลิง (Fuel Conversion)
การที่เชื้อเพลิงชนิดเดิมถูกแทนที่ด้วยเช้ือเพลิงชนิดใหม่ ที่มีคุณสมบัติในการติดไฟแตกต่างไป
จากเดิม เช่น ติดไฟยากข้ึน หรือติดไฟแล้วลุกลามช้ากว่าเดิม ให้ความร้อนต่ำกว่าเดิม เป็นต้น
แนวความคิดในการเปลี่ยนแปลงประเภทของเช้ือเพลิง ได้มาจากประสบการณ์ในการต้ังถ่ินฐานของ
ชาวตะวันตก ซ่ึงมีการเปล่ียนพรรณไม้ปา่ ให้กลายเป็นพรรณไม้บ้าน เปล่ียนทุ่งหญ้าธรรมชาติเดิมเป็นทุ่ง
หญ้าเล้ียงสัตว์ เปลี่ยนป่าและทุ่งแฟร่ีเป็นพ้ืนที่การเกษตร ซ่ึงการเปล่ียนแปลงดังกล่าวมีผลทำให้
พฤติกรรมของไฟป่าที่เกิดขึ้นในพ้ืนที่น้ันๆ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดยทั่วไปการเปล่ียนแปลงจะเป็นไป
ในลักษณะที่ ความถ่ีและความรุนแรงของไฟลดลง อย่างไรก็ตามในบางกรณีกลับปรากฎว่าการ
เปลย่ี นแปลงประเภทของเชือ้ เพลงิ มผี ลทำใหค้ วามถ่ีและความรุนแรงของไฟเพ่มิ ข้ึน เช่นกรณีที่เกดิ ขึ้นใน
ประเทศอเมริกา และประเทศออสเตรเลีย ซ่ึงก่อให้เกิดไฟประเภทใหม่ที่เรียกว่า Wildland-Urban
Interface (WUI) อีกทั้งมีภาวะการเปล่ียนแปลงของสภาวะภูมิอากาศท่ีส่งผลให้อณุ หภูมิในช่วงหน้าแล้ง
เพ่มิ ขนึ้ สง่ ผลให้เชื้อเพลิงมคี วามแหง้ มากและรวดเร็วยง่ิ ขนึ้
ในทางปฏิบัติ การเปลี่ยนแปลงประเภทของเชื้อเพลิงทั้งพ้ืนที่เป็นไปได้ยาก จึงอาจทำได้แค่
บางสว่ น เช่นทำเป็นแนว หรือทำเป็นหยอ่ มๆ เช่นการปลูกปา่ เป็นแนวในท่งุ หญา้ เพอ่ื เปล่ยี นประเภทของ
เช้อื เพลิงในแนวน้ันๆ จากหญา้ เปน็ ใบไมก้ ง่ิ ไม้แหง้ ที่ติดไฟยากกว่าและลุกลามช้ากวา่ หญา้ หรือปลกู แนว
ตน้ กลว้ ยป่าท่เี ป็นแหลง่ กักเกบ็ น้ำทำใหต้ ดิ ไฟยากขนึ้
3. การแยกเช้อื เพลงิ (Fuel Isolation)
การท่ีเช้ือเพลิงท่ีมีอันตรายสูงและมีการจัดเรียงตัวอย่างต่อเน่ือง ถูกแยกออกหรือถูกตัดตอน
ออกจากกันด้วยแนวกันไฟ โดยมีวตั ถุประสงค์เพือ่ ปอ้ งกันไม่ให้ไฟลุกลามเข้าไปในพื้นที่หรือป้องกันไม่ให้
ไฟลุกลามออกจากพ้ืนท่ีที่กำหนด ประโยชน์ของการแยกเช้ือเพลิงด้วยแนวกันไฟจึงไม่ได้มีเพื่อลดโอกาส

2

คูม่ อื การจัดการเชอ้ื เพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

การเกิดไฟหรือลดความรุนแรงของไฟเหมือนการลดปริมาณหรือเปลี่ยนแปลงประเภทของเชื้อเพลิง
หากแต่จะช่วยจำกัดขอบเขตของไฟ เพ่ือให้หน่วยดับไฟป่าสามารถเข้าไปควบคุมไฟได้ง่ายข้ึน
ตามปรัชญาหลักสองประสานในการป้องกันตัวเอง คือการใช้ป้อมปราการท่ีมั่นคงแข็งแกร่ง (โดยแนว
กนั ไฟ) ประสานกับการตอบโตท้ ร่ี วดเร็วรนุ แรง

ถึงแม้ว่าเทคนิคการจัดการเช้ือเพลิงจะมีหลากหลาย แต่มีเพียงการทำแนวกันไฟ และการ
เผาตามกำหนด (Prescribed Burning หรือ ชิงเผา) ที่ใช้กันอยู่ในทางปฏิบัติอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้
เน่ืองจากเทคนิคอ่ืนๆ ส่วนใหญ่มีข้อจำกัดและมักจะใช้ได้เฉพาะบางกรณีหรือเหมาะสมเฉพาะกับ
บางพนื้ ท่ีเทา่ น้ัน

ลักษณะของไฟโดยทว่ั ไป (Fire Characteristics in General)
มีช่ือเรียกดังต่อไปนี้ จุดกำเนิด Origin, หัวไฟ Head Fire, หางไฟ Heel, ปีกไฟ Flank, น้ิวไฟ

Finger, ไหล่ไฟ Shoulder, ลูกไฟ Spot Fire, แนวดำ Black, บริเวณท่ียังไม่ไหม้ในแนวดำ Island
(ภาพท่ี 2)

ภาพท่ี 2 แสดงลักษณะของไฟ
ทมี่ า ซา้ ย https://www.redzone.co/2015/12/19/wildfire-101-fire-anatomy/

ขวา https://scancal.org/airattack/parts.html

แนวกนั ไฟ (Firebreaks or Fuelbreaks)
แนวกนั ไฟ หมายถึง แนวกีดขวางตามธรรมชาติหรือทีม่ นุษย์สร้างข้ึนเพื่อหยุดย้ังไฟป่า หรือ

เพ่ือเป็นแนวตรวจการณ์ไฟ หรือเป็นแนวต้ังรับในการดับไฟป่า แนวกันไฟโดยท่ัวไปคือแนวท่ีมีการ
กำจัดเช้ือเพลิงท่ีจะทำให้เกิดไฟป่าออกไป โดยอาจจะกำจัดเช้ือเพลิงออกไปท้ังหมดจนถึงชั้นดินแท้
(Mineral soil) หรืออาจจะกำจัดเฉพาะเช้ือเพลิงท่ีติดไฟง่าย เช่น ใบไม้ หญ้า ออกไป เท่าน้ันก็ได้
แนวคิดในการทำแนวกันไฟก็เพ่ือตัดช่วงความต่อเน่ืองของเช้ือเพลิง เป็นการป้องกันไม่ให้ไฟลุกลาม
เข้าไปในพ้ืนท่ีที่จะคุ้มครอง หรือป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามออกมาจากพ้ืนท่ีท่ีกำหนด แนวกันไฟ
(Firebreaks) มีความแตกต่างกับแนวดับไฟ (Fire line) ตรงท่ีแนวกันไฟจะทำเอาไว้ล่วงหน้าก่อน

3

ค่มู ือการจดั การเชื้อเพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

การเกิดไฟป่า ส่วนแนวดับไฟจะทำในขณะท่ีกำลังเกิดไฟไหม้ และทำข้ึนเพื่อการดับไฟทางอ้อม
(Indirect attack) หรือเพอ่ื การดับไฟดว้ ยไฟ (Back firing)
วัตถุประสงค์ของการทำแนวกนั ไฟ (The Purposes of Fire Break)

1. เพอื่ ปอ้ งกันไมใ่ ห้ไฟปา่ ลกุ ลามเขา้ ไปในพ้นื ท่ที ่จี ะคมุ้ ครอง ซง่ึ อาจจะเป็นพืน้ ท่ีปา่
สมบูรณ์ สวนป่า แหล่งชุมชน เรือกสวน หรือพื้นท่ีท่ีมีความสำคัญอื่นๆ ในกรณีน้ีจะต้องสามารถ
คาดการณ์ทิศทางที่ไฟจะลุกลามเข้ามาได้อย่างแม่นยำ จากนั้นจึงทำแนวกันไฟสะกัดในทิศทางน้ัน ทั้งนี้
แนวกันไฟจะมีประสิทธิภาพมากหากสามารถทำแนวกันไฟไว้ในทิศทางท่ใี ห้แนวหัวไฟมาชนแนวกัน
ไฟเป็นมุมเฉียง ทั้งนี้เนื่องจากตามแนวมมุ เฉียงแนวกนั ไฟจะมีความกว้างมากขึ้น ไฟข้ามยากขึ้น แต่
ถา้ แนวหวั ไฟต้ังฉากกับแนวกันไฟ ไฟจะมโี อกาสข้ามแนวได้ง่ายท่ีสุด เพราะในทิศทางน้นั แนวกันไฟจะมี
ความกว้างนอ้ ยทีส่ ดุ

2. เพ่ือแบ่งพื้นทีค่ มุ้ ครองออกเป็นส่วนๆ สะดวกในการควบคุมไฟ กรณนี ้ี เชน่ การทำ
แนวกันไฟแบ่งพื้นท่ีในสวนป่าออกเป็นบล๊อค (Block) เพ่ือความสะดวกในการดับไฟป่า โดยหากเกิด
ไฟไหม้ในบล๊อคใดก็จะพยายามป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามออกจากบล๊อคนั้นเพราะไฟจะลุกลามไปสู่บล๊อค
อื่นๆ แนวกันไฟในลักษณะน้ีจะเรียกว่า Fuelbreaks ซ่ึงมักจะทำในพ้ืนที่ที่มีเช้ือเพลิงมาก เช่นสวนป่า
หรือทุ่งหญ้า ท่ีเมื่อเกิดไฟป่าข้ึนแล้วไฟจะมีความรุนแรงและรวดเร็วมากจนไม่สามารถดับไฟทางตรงได้
เป็นการยอมเสยี พนื้ ทีบ่ างสว่ น เพอ่ื รกั ษาพื้นที่ส่วนใหญเ่ อาไว้

3. เพื่อใชเ้ ป็นเส้นทางตรวจการณ์ระวงั ไฟป่า แนวกันไฟจะทำหน้าที่เหมือนเส้นทาง
ลำลองท่ีใช้ในการตรวจหาไฟทางพ้ืนดิน โดยพลเดินเท้า จักรยานยนต์ หรืออาจจะใช้รถยนต์ได้ ท้ังนี้
ข้ึนอย่กู ับลกั ษณะของแนวกนั ไฟน้นั

4. เป็นแนวตง้ั รบั ในการดับไฟปา่ โดยใชเ้ ป็นเส้นทางลำเลยี งเจ้าหนา้ ทแ่ี ละเครื่องมือ
เขา้ ไปดบั ไฟปา่ และในกรณีฉกุ เฉนิ สามารถล่าถอยมาใชแ้ นวกันไฟเป็นแนวตง้ั รบั ท่ปี ลอดภยั ได้

5. เป็นแนวบังคับทศิ ทางการเคลือ่ นทีข่ องไฟ เพอื่ ให้ง่ายต่อการควบคุมมากขน้ึ

การสร้างแนวกนั ไฟ (Fire Break Construction)
การสร้างแนวกันไฟโดยทั่วไปจะประกอบด้วยแนว 2 ชั้น คือชน้ั นอกเป็นแนวกว้างที่กำจัดไม้

พุ่มและไม้พ้ืนล่างออกจนหมด และช้ันในซึ่งเป็นแนวท่ีแคบลงอยู่ภายในแนวแรกอีกทีหน่ึง ซ่ึงจะกำจัด
เช้ือเพลงิ ออกทัง้ หมดจนถงึ ช้นั ผวิ หนา้ ดนิ แนวกนั ไฟสามารถสร้างได้ 6 วิธี คือ

1. ใช้วิธีกล (Machinery) การใช้แรงงานคนหรือเคร่ืองจักรกล ส่วนใหญ่แล้วแนวกันไฟจะสร้าง
ด้วยวธิ ีน้ี ในเขต อบอ่นุ ซงึ่ เกดิ ไฟเรือนยอดทีม่ ีความรนุ แรงสงู การสรา้ งแนวกนั ไฟจะตอั งกวา้ งและกำจัด
ต้นไม้ทั้งน้อยใหญ่ออกจากแนว ดังน้ันจึงจำเป็นตอ้ งใช้เคร่ืองจักรกลหนัก เช่น รถแทรคเตอร์ และรถบูล
โดเซอร์ มาใช้ในการไถทำแนวกันไฟ แตส่ ำหรับประเทศไทย ซ่ึงไฟส่วนใหญ่เป็นไฟผิวดิน ดังนั้นการทำ
แนวกันไฟ ส่วนใหญ่จึงเพียงแต่กำจัดเชื้อเพลิงบนพืน้ ป่าจำพวกใบไม้ก่ิงไม้แห้ง หญ้าและไม้พ้ืนล่างเล็กๆ
ออกก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องตัดไม้ยืนต้นทิ้ง ดังน้ัน จึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรกลหนัก หากแต่ใช้
แรงงานคนและเคร่ืองมือเกษตร เช่น จอบ คราด มีด ขวาน หรือคราด (Rakehoe) ซ่ึงเป็นอุปกรณ์ท่ี
ประดิษฐ์ขึ้นเพ่อื ใชใ้ นการทำแนวกนั ไฟโดยเฉพาะ

4

คมู่ ือการจดั การเชือ้ เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

2. ใช้สารเคมี (Chemical) ในเขตอบอุ่นมีการใช้ยากำจัดวัชพืชเพ่ือทำแนวกันไฟกันอย่าง
กว้างขวาง เช่น โซเดียม อเซไนท์ (Sodium Arsenite) แตย่ ากำจัดวัชพชื ส่วนใหญ่มีผลตกค้างในดนิ และ
มีอันตรายต่อสัตว์ป่า นอกจากน้ียังมีการใช้สารหน่วงการไหม้ไฟ (Fire retardant chemicals) เช่น ได
แอมโมเนียมฟอสเฟต และโมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต โดยการฉีดพ่นสารดังกล่าวลงบนเช้ือเพลิงพวก
หญ้าหรือเชื้อเพลิงเบาอ่ืนๆ สารดังกล่าวจะจับตัวเป็นชั้นบางๆ ปกคลุมเช้ือเพลิงทำให้เชื้อเพลิงไม่ติดไฟ
หรือติดไฟยากข้ึน สารหน่วงการไหม้ไฟน้ีจะคงคุณสมบัติอยู่ตราบเท่าที่เช้ือเพลิงยังแห้ง แต่เมื่อถึงฤดู
ฝนน้ำฝนจะชะล้าง สารดังกล่าวออกไป ซึ่งอาจจะไปตกค้างในดิน หรือชะล้างลงแหล่งน้ำ ก่อให้เกิด
ปัญหาดินและน้ำมีพิษตกค้างได้ ดังน้ันในช่วงทศวรรษท่ีผ่านมา จึงมีผู้พยายามคิดค้นสารหน่วงการไหม้
ไฟท่ไี ม่มพี ิษตกค้าง ตอ่ สิ่งแวดล้อม ไดแ้ กโ่ ฟมทีส่ กดั จากโปรตีน เช่น Class A Foam ซ่งึ เริ่มใช้กันอยา่ ง
แพร่หลายในหลายประเทศอยู่ในขณะนี้ เช่น อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อย่างไรก็
ตามโฟมดงั กล่าวยงั มีราคาคอ่ นข้างแพง

3. ใช้พืชท่ีเขียวอยู่ตลอดปี (Green Belt หรือ Green Firebreak) โดยการปลูกพชื ที่เขียวชอมุ่
อยู่ตลอดท้ังปีเป็นแนว แนวกันไฟจากพืชน้ีจะคงประสิทธิภาพอยู่ตราบเท่าท่ีพืชที่ปลูกยังคงความชุ่มช้ืน
และเขียวขจีอยู่ พันธ์ุไม้ที่เลือกมาปลูกในแนวกันไฟนี้ จะต้องไม่ผลัดใบในฤดูแล้ง มีความอวบน้ำสูง
มีเรือนยอดแน่นทึบปกคลุมดิน เพื่อให้แสงส่องถึงพ้ืนดินได้น้อย ทำให้มีวัชพืชข้ึนน้อยตามไปด้วย
การทำแนวกันไฟชนิดน้ีจะได้ผลดีถ้ามี การชลประทานช่วยให้น้ำแก่พืชที่ปลูกอยู่ตลอดเวลา เพ่ือให้
แนวกันไฟคงความเขียวชอมุ่ ช่มุ ชนื้ อยู่เสมอ สำหรับประเทศไทยได้เคยทดลองประยุกต์ใช้วิธีนี้มาบ้างใน
บางพื้นที่ โดยต้นไม้ที่นำมาปลูกแล้วได้ผลดี ได้แก่ สะเดาช้าง และต้นแสยก สำหรับกล้วยป่าทดลอง
แลว้ ไมค่ ่อยประสบผลสำเร็จเพราะเป็นพันธไ์ุ ม้ ที่ต้องการน้ำมาก อีกท้ังยังทำการทดลองปลูกตน้ ไทร
บรเิ วณทอี่ ับฝนหรือฝนน้อยโดยปลูกในหน้าฝนใช้วิธีรดนำ้ ในหนา้ แล้ง แต่ก็ไมป่ ระสพผลสำเร็จอยูด่ ี

4. ใช้การให้น้ำ (Wet Belt หรือ Wet Firebreak) วิธีน้ีคล้ายๆ กับวิธีใช้พืช เพียงแต่ไม่
จำเป็นต้องปลูกพชื ข้นึ ใหม่ หากแตเ่ ป็นการใหน้ ้ำแกพ่ ืชท่ีมีอย่แู ลว้ ตามธรรมชาติ เพอื่ ใหพ้ ืชทีป่ กคลุมแนว
ดังกล่าวคงความเขียวชอุ่มชุม่ ช้ืนอยู่ตลอดเวลา ท้ังนี้อาจทำโดยการจดั ระบบชลประทานให้มีน้ำไหลผ่าน
แนวกันไฟนี้ตลอดเวลา หรือใช้ระบบวางท่อน้ำตามแนวกันไฟแล้วติดตั้งสปริงเกอร์สำหรับให้น้ำเป็น
ช่วงๆ หรือเจาะรูที่ท่อน้ำเป็นช่วงๆ เพื่อให้น้ำไหลซึมออกมาหล่อเลี้ยงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ แนวกันไฟที่
สร้างโดยวิธีนี้ เรียกว่า แนวกันไฟเปียก ซ่ึงมีประสิทธิภาพในการยับย้ังไฟป่าได้ผลดีมาก แต่ราคาในการ
ลงทุนสร้างก็สูงมากด้วยเช่นกัน ในประเทศไทยได้มีการทดลองทำแนวกันไฟเปียกดังกล่าวท่ีศูนย์ศึกษา
การพัฒนาห้วยฮ่องไครต้ ามพระราชดำริ จงั หวดั เชยี งใหม่ ซ่งึ ปรากฏวา่ ไดผ้ ลเปน็ ท่นี า่ พอใจอยา่ งยง่ิ

5. ใช้การเผา (Burning or so called Prescribed Burning) โดยการเผาพ้ืนที่เป็นแนวเพื่อ
กำจัดวัชพืช และเป็นการกระตุ้นการงอกของพืชใหม่และหญ้าสดซ่ึงไม่ติดไฟ การทำแนวกันไฟด้วยวิธนี ้ี
ใช้กันมานานและแพร่หลายมาก ในแทบทุกภูมิภาค ของโลกเน่ืองจากเสียค่าใช้จ่ายและแรงงานน้อย
ที่สุด แต่ได้แนวกันไฟท่ีมีประสิทธิภาพสูง ในประเทศไทยเกษตรกรส่วนใหญ่ใช้การเผาเพื่อทำแนวกันไฟ
ป้องกันบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา หากแต่การใช้วิธีน้ีจะต้องมีมาตรการควบคุมเป็นอย่างดี มิเช่นนั้น
แล้วไฟอาจลกุ ลามออกไปนอกพ้นื ที่ได้

5

คู่มอื การจัดการเชือ้ เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

6. ใช้แนวธรรมชาติ (Natural Break) ในหลาย ๆ โอกาส สามารถจะใช้ประโยชน์จากสิ่งท่ีมีอยู่
แล้วตามธรรมชาติ เช่น ลำห้วย แนวผาหิน หรือท่ีมนุษย์สร้างขึ้น เช่น ถนน ทางรถไฟ แนวสาย
ไฟฟา้ แรงสูงมาปรับปรงุ และดัดแปลง ให้เปน็ แนวกันไฟได้ โดยไม่ต้องสร้างแนวกันไฟขึน้ ใหมแ่ ต่อยา่ งใด

ขอ้ ควรคำนึงในการทำแนวกนั ไฟ (Cautions of Fire Break Construction)
ในทางปฏิบัติไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนตายตัวว่าแนวกันไฟจะต้องมีความกว้างเท่าไร

ท้ังน้ีเน่ืองจากมีปัจจัยที่มีผลต่อความกว้างของแนวกันไฟท่ีต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น ลักษณะของ
เช้ือเพลิง สภาพภูมิประเทศ ตลอดจนลักษณะอากาศโดยเฉพาะอย่างย่ิงทิศทางและความรุนแรงของลม
ในพ้ืนท่ี ในป่าเต็งรังท่ีมีไฟไหม้ทุกปี แนวกันไฟกว้างเพียง 2-3 เมตร ก็อาจเพียงพอ แต่ในป่าไผ่หรือ
ทุ่งหญ้า แนวกันไฟขนาดกว้าง 100-200 เมตร ก็อาจไม่สามารถยับยั้งไฟได้ อย่างไรก็ตามโดยทฤษฎี
กว้างๆ แล้ว อย่างน้อยที่สุดแนวกันไฟจะต้องกว้างกว่าความยาวของเปลวไฟในแนวรา บ
(Horizontal Flame Length)

หลักเกณฑ์ทั่วไปในการพิจารณากำหนดขนาดความกว้างของแนวกันไฟ และข้อควรคำนึง
อ่ืนๆในการทำแนวกนั ไฟ มดี งั น้ี

1. แนวกนั ไฟในพื้นท่ีลาดชัน ต้องกว้างกว่าแนวกันไฟในพื้นที่ราบ
2. ถ้าปริมาณและความหนาของชัน้ เชอื้ เพลิงย่งิ มาก แนวกันไฟกต็ ้องย่งิ กวา้ งมาก
3. พน้ื ท่ีที่เชื้อเพลิงเปน็ หญ้าหรือมีเชื้อเพลิงอ่ืนท่ีจะก่อให้เกิดลูกไฟปลิวไปไดไ้ กล แนวกันไฟยิ่งตอ้ ง
ทำกว้าง ทัง้ น้ีขึ้นอยกู่ บั ความเร็วของลมและขนาดของไฟ
4. ในพนื้ ที่โล่ง มีลมแรง แนวกันไฟจะต้องทำกว้างมาก เพื่อป้องกันการปลิวของลูกไฟ และการพา
ความรอ้ น (Convection) โดยลมข้ามแนวกันไฟ
5. การทำแนวกันไฟในที่ลาดชัน จะต้องขุดร่องตลอดขอบแนวกันไฟด้านล่าง เพื่อใช้ดักไม่ให้
เชื้อเพลิงจำพวกขอนไมต้ ดิ ไฟ ทกี่ ล้งิ ลงมาตามความลาดชนั สามารถกลงิ้ ผ่านแนวกนั ไฟไปได้
(ภาพที่ 3 และ 4)

ภาพท่ี 3 การขุดร่องดกั เชื้อเพลงิ ในกรณีทท่ี ำแนวกันไฟในทลี่ าดชัน
ทมี่ า Jayadevan 2019, https://english.manoramaonline.com/lifestyle/news/2019/02/27/the-fascinating-science-

of-forest-fires-survival-tips-and-preventive-measures.html

6

ค่มู อื การจัดการเช้อื เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

ภาพท่ี 4 การขดุ รอ่ งดักเชอื้ เพลงิ ในกรณที ีท่ ำแนวกนั ไฟในที่ลาดชนั
ทมี่ า ซ้าย National Wildfire Coordinating Group 1996 ขวา ศิริ 2543

6. หากสภาพภูมิประเทศอำนวย ให้ทำแนวกันไฟให้ตรงท่ีสุดเท่าที่จะทำได้ เพ่ือให้ความยาวของ
แนวกันไฟส้ันที่สดุ ทงั้ น้ีเพอื่ ประหยัดเวลาและงบประมาณ ทง้ั การทำและดแู ลรักษา

7. จุดเร่ิมต้นและจุดสิ้นสุดของแนวกันไฟจะต้องชนกับแนวใดๆ ท่ีทำหน้าท่ีเป็นแนวกันไฟด้วย
เช่นกัน เช่น เริ่มต้นทำแนวกันไฟจากขอบถนน โดยให้แนวกันไฟตั้งฉากกับแนวถนน และไปสิ้นสุดแนว
กันไฟท่ีริมห้วย ในลักษณะเช่นน้ี ไฟท่ีไหม้เข้ามาหาแนวกันไฟจะไม่สามารถไหม้อ้อมแนวออกทางซ้าย
หรอื ขวาได้ เนอ่ื งจากติดแนวถนนและแนวห้วยทำใหไ้ ฟไมส่ ามารถผา่ นไปได้

8. หากต้องการใช้แนวกันไฟเป็นทางตรวจการณ์และส่งกำลังทางรถยนต์หรือจักรยานยนต์ จะต้อง
ทำรอ่ งระบายนำ้ เพือ่ ปอ้ งกันการกดั ชะหนา้ ดนิ จนเป็นรอ่ งลึก

9. เชื้อเพลิงท่ีกำจัดออกจากแนวกันไฟ อาจจะนำมารวมกองเป็นแนวตรงกลาง แนวกันไฟ
แล้วเผาท้ิง หรือนำออกไปท้ิงท่ีอ่ืน กรณีที่ตอ้ งทิ้งเชอื้ เพลิงเอาไวใ้ นพื้นที่ จะต้องไม่ทิ้งเช้ือเพลิงไว้ที่ขอบ
แนวกันไฟทางด้านท่ีคาดว่าไฟจะลามเข้ามา มิเช่นน้ันเม่ือไฟลามเข้ามาใกล้ขอบแนวดังกล่าว ซ่ึงมี
เชอ้ื เพลิงอย่เู ป็นจำนวนมาก จะทำใหไ้ ฟเพมิ่ ความรนุ แรงข้ึนกว่าเดิมจนสามารถลกุ ลามข้าม แนวกัน
ไฟไปได้

การซ่อมบำรงุ แนวกนั ไฟ (Fire Break Maintenance)
แนวกันไฟที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะสามารถอำนวยประโยชน์และทำหน้าท่ีได้อย่างมี

ประสิทธิภาพ ก็ต้องมีการตรวจตราและบำรุงรักษาซ่อมแซม ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานได้
อยู่เสมอ ดงั น้ี

1. หมน่ั ตรวจตรา กวาดเกบ็ และกำจดั เช้อื เพลิงจำพวกใบไม้ก่ิงไมแ้ ห้งและหญ้าที่ ตกลงมาทบั ถมอ
ยูบนพ้ืนแนวกันไฟชั้นใน ขณะเดียวกันต้องคอยกำจัดไม้พุ่มและไม้พ้ืนล่างท่ีงอกขึ้นใหม่บนแนวกันไฟ
ชนั้ นอกอยูเ่ สมอ

2. ระวังไม่ใหม้ ีไม้ล้มพาดขวางแนวกันไฟ เพราะเม่ือเกิดไฟไหม้ ไฟจะลามผ่านไม้ลม้ นี้แล้วข้ามแนว
กนั ไฟไปได้

3. ตรวจตราซ่อมแซมร่องระบายน้ำของแนวกันไฟที่อยู่บนที่ลาดชัน และแนวกันไฟที่ใช้เป็นทาง
ตรวจการณ์ เพอื่ ปอ้ งกันการกัดชะพังทลายของดนิ จนเกิดเปน็ รอ่ งลกึ บนแนวกันไฟ

7

คมู่ อื การจดั การเชอื้ เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

ประสิทธิภาพของแนวกนั ไฟ (Fire Break Performance)
แนวกันไฟที่ทำข้ึนล่วงหน้าเพ่ือป้องกันไฟป่าน้ัน ถึงแม้จะทำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ

และมีการซ่อมบำรุงดูแลรักษาเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม แต่ประสิทธิภาพของแนวกันไฟจะมีมากหรือน้อย
ยงั ข้นึ อยู่กับเงอ่ื นไขของสถานการณใ์ นขณะนนั้ ๆ ดว้ ย คอื

1. ถ้าไฟเกิดใกล้แนวกันไฟแล้วลุกลามเขา้ หาแนวกนั ไฟ แนวกันไฟจะมีประสทิ ธภิ าพในการหยดุ ยั้ง
ไฟป่ามาก ท้งั นีเ้ นอื่ งจากไฟเพิ่งเกดิ มีขนาดเล็กและอัตราการลุกลามยงั ชา้ อยู่

2. หากไฟเกิดห่างแนวกันไฟมาก และพัฒนาเปน็ ไฟขนาดใหญ่ ลุกลามรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างย่ิง
หากมลี กู ไฟปลิว แนวกันไฟนน้ั ก็จะมีประสทิ ธภิ าพนอ้ ยลงในการหยดุ ยัง้ ไฟ

3. หากทิศทางของแนวหัวไฟที่พุ่งเข้าหาแนวกันไฟ ทำมุมฉากกับแนวกันไฟ แนวกันไฟจะมี
ประสิทธิภาพน้อย เนื่องจากหัวไฟจะชนและข้ามแนวกันไฟตรงจุดท่ีมีระยะทางแคบที่สุด โอกาสท่ีไฟจะ
ข้ามแนวจึงมีสูง แต่ถ้าทิศทางของแนวหัวไฟทำมุมเอียงไปจากมุมฉากมากเท่าไร แนวกันไฟจะย่ิงมี
ประสิทธิภาพมากข้ึนเท่าน้ัน เน่ืองจากหัวไฟจะต้องข้ามแนวกันไฟในมุมเฉียง ซ่ึงระยะทางในการข้าม
แนวกนั ไฟจะยาวขน้ึ

การเผาโดยกำหนด (Prescribed Burning)
คือการใช้ไฟท่ีมีความรุนแรงน้อย ในการบริหารจัดการเชื้อเพลิง ในสถานท่ี ห้วงเวลาและ

ภูมิอากาศท่ีเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ตามวัตถุประสงค์ซึ่ง Wade 1989
(https://www.fs.fed.us/rm/pubs/rmrs_gtr292/1989_wade.pdf) ได้จำแนกไว้ ดงั ต่อไปนี้

1. ลดความอนั ตรายที่จะเกิดจากปริมาณเช้ือเพลิงท่ีสะสมมากเกินไป Reduce hazardous fuels
เม่ือเวลาเกิดไฟขึ้นจะได้ไม่รุนแรงและควบคุมไดง้ ่ายข้ึน แต่ความถี่ของการเผาจำเป็นท่ีจะต้องศึกษาและ
กำหนดใหเ้ หมาะสมของแตล่ ะพ้ืนท่ี

2. เตรียมพ้ืนท่ีสำหรับการขยายพันธพุ์ ืช Prepare sites for seeding and planting โดยการเปิด
พน้ื ที่ใหโ้ ลง่ ข้นึ ทำใหโ้ อกาศทล่ี กู ไม้จะเจรญิ เตบิ โตมมี ากข้นึ

3. จัดการเช้ือเพลิงพ้ืนล่าง กำจัดเศษก่ิงไม้และไม้ที่ไม่ต้องการหลังการตัดไม้ในสวนป่า Dispose
of logging debris เพราะถ้าปล่อยให้กิ่งไม้และเศษไม้เหล่านั้นแห้งอยู่ในบริเวณที่ได้ทำการตัดแล้ว จะ
สร้างปัญหาในภายภาคหน้าได้ โดยต้องนำเศษเหล่าน้ันมากองรวมกันก่อนเผา แต่ปัญหาหลักคือการเผา
ไหม้ท่ีนานส่งผลให้มคี วันนานไปดว้ ย

4. พัฒนาทอ่ี ยู่อาศยั ใหก้ ับสัตวป์ ่า Improve wildlife habitat
5. บรหิ ารจัดการพชื ทีไ่ มต่ อ้ งการ Manage competing vegetation
6. ควบคุมโรคและแมลง Control disease and insect
7. หญ้าระบดั Improve forage for grazing เพ่อื ให้สัตวม์ ีอาหารเพม่ิ มากขึน้ รวมไปถึงพฒั นาการ
ท่องเทยี ว ใหน้ กั ทอ่ งเทยี่ วมีโอกาสเป็นสตั วม์ ากและงา่ ยยง่ิ ขน้ึ
8. ปรบั ปรุงสภาพปา่ ไมใ่ หร้ กทึบ Enhance appearance
9. ปรับปรุงหนทางเข้าป่าให้โล่งง่ายข้ึน Improve access การเก็บหาของป่าก็จะเห็นชัดขึ้น การ
เดินหากจ็ ะสะดวกมากข้นึ

8

คู่มอื การจัดการเช้อื เพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

10. ช่วยให้พืชป่าที่ต้องการไฟในการดำรงอยู่เจริญเติบโต Perpetuate fire-dependent
species

11. หมุนเวียนธาตุอาหาร Cycle nutrients ด้วยไฟท่ีไม่รุนแรงจนเกินไป เป็นวิธีด่ังเดิมที่จะเพิ่ม
สารอาหารให้กับดิน

12. บริหารจัดการพืชพันธ์ุท้องถ่ินและท่ีหายากให้กลับคืนมาเช่นการบริหารทุ่งหญ้าของ
อินเดียนแดงในประเทศอเมริกา หรือชนเผาอบอริจิ้นในประเทศออสเตรเลีย รวมไปถึงการทำการฟื้นฟู
Manage native and endangered species including Land Restoration

Kobsak et al. 2008 และ 2011 สันต์และคณะ 2534 ไดท้ ำการศึกษาและสรุปได้ว่า
ป่าเต็งรังของไทย ควรท่ีจะมกี ารชิงเผาทกุ ๆ 2-3 ปี มจิ ำเป็นทีจ่ ะต้องดำเนินการชงิ เผาทุกปี

การเผาเย็น Cool Burn or Cultural Burn VS. การเผารอ้ น Hazardous Reduction Burn
การเผาไฟเย็น (Cool Burn or Cultural Burn) จะเผาตอนที่หญ้ายังมีควมชื้นสีเขียวปนอยู่

และก่อนเข้าหน้าไฟ คือ ช่วงเดือนธันวาคม แต่ต้องดำเนินการเผาบ่อยกว่าการเผาไฟร้อนที่ดำเนินการ
เพ่ือลดภัยพิบัติ (Hazardous Reduction Burn, Fuel Reduction Burns, Prescribed, Planned or
Controlled Burns) การเผาเย็นจะเผาในเวลากลางคืนหรือช่วงใกล้รุ่ง เพื่อให้ความชื้นช่วยลดความ
รุนแรงของไฟ เปลวไฟจะไม่สูง ไม่กระทบเรือนยอด หรือจะดำเนินการเผาช่วงกลางวันก็ได้แต่ต้องมี
ความชนื้ สัมพัทธ์สูง อากาศต้องไม่แห้ง ร้อน และลมต้องสงบ จุดประสงค์คือ เพื่อลดความหนาแน่นของ
เชอ้ื เพลงิ ตัดความตอ่ เนื่องของเชื้อเพลงิ โดยทำให้เกิดเชอื้ เพลิงขาดตอนเป็นหยอ่ ม ๆ ไมต่ อ่ เนื่องและเปน็
การฟื้นฟูธรรมชาติ (Restoration) ด้วย ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเผาร้อนท่ีจะเผาในช่วงกลางวันแต่ไม่ใช่
ช่วงที่อากาศร้อนท่ีสุด เช่น ช่วงเท่ียง ถึง บ่าย 3 โมง การเผาเพ่ือลดภัยพิบัติ มีจุดประสงค์ลดปริมาณ
เชื้อเพลิง จะเผาเช้ือเพลิงจนเกล้ียง เปลวไฟจะรุนแรง ส่วนการเผาเย็นเป็นความรู้ดั่งเดิมของชนเผ่า
พื้นเมือง (Indiginous People) ที่ใช้ไฟในการบริหารจัดการป่ามานาน เช่น ชนเผ่าอบอริจิ้นประเทศ
ออสเตรเลีย (https://www.creativespirits.info/aboriginalculture/land/aboriginal-fire-management)
ซ่ึงเป็นวิถชี ีวิตตกสบื ทอดกันมาดั่งเดมิ แต่โบราณกาล เปน็ กรรมวธิ ีการหมนุ เวยี นคนื สารอาหารส่พู ้ืนดินวิธี
หน่ึง เป็นการฟื้นฟคู วามอดุ มสมบูรณ์ ชนเผ่าอบอริจิน้ กลา่ วว่า “Being the boss of fire was always
the way. เราเป็นเจ้านายของไฟมาช้านาน Not fire being the boss of us. ไฟไม่ได้เป็นเจ้านาย
เรา” เราจึงเปน็ คนบงการสัง่ ไฟใหแ้ สดงความสามารถของไฟตามท่ีเราต้องการ บริเวณท่ีเราต้องการ และ
เมื่อเราต้องการ

การชิงเผา (Early Burning)
การชิงเผาเป็นวิธีการหนึ่งของการเผาตามกำหนด (Prescribed Burning) อันเป็นการใช้

ประโยชนจ์ ากไฟเพอื่ การจดั การป่าไม้ การชิงเผามีวัตถุประสงค์หลัก เพ่ือลดปริมาณเชื้อเพลิงในป่าลง
ท้ังนี้เพือ่ เปน็ การลดโอกาสในการเกดิ ไฟปา่ หรือถา้ เกดิ ไฟป่าข้ึน ความรนุ แรงและอันตรายของไฟน้ัน
(Fire Hazard) จะมีนอ้ ยลง สามารถควบคุมไฟไดง้ า่ ยและปลอดภัย

9

คูม่ อื การจดั การเช้ือเพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

การใช้ไฟในการชิงเผาพ้ืนท่ีป่าเป็นส่วนหน่ึงของการจัดการป่าไม้ ไม่ใช่การใช้ไฟในการ
เตรียมพื้นที่เกษตรกรรม ทั้งนี้การเผาเพื่อเตรียมพ้ืนท่ีเกษตรกรรม คือการกำจัดเศษพืชและวัสดุท่ีไม่
ต้องการนอกบริเวณป่า จำเป็นท่ีจะต้องมีการแยกประเภทออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความ
สบั สน นอกจากน้ันการเตรยี มพ้ืนที่เกษตรกรรม สามารถจำแนกออกไปได้อีก 3 ประเภท คือ การเผา
ในท่ีโล่ง (Open Burning) การการเผาเพ่ือทำไร่หมุนเวียน (Rotation Agriculture) และการเผา
เพอื่ ทำไร่เลอ่ื นลอยทผี่ ิดกฎหมาย (Slash and Burn/Shifted Cultivation)

ในทวปี ออสเตรเลีย ใช้การชงิ เผาเป็นกิจกรรมหลักของงานควบคุมไฟป่า โดยชงิ เผาเพ่อื ควบคุม
ปริมาณเชื้อเพลิงในปา่ ให้อยู่ในระดับท่ียอมรับได้อยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ที่จะ
สร้างความเสียหายมากและยากต่อการควบคุม ความรู้และเทคนิคในการชิงเผาในออสเตรเลียจึงมี
ความก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง โดยได้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการวางแผนและควบคุม
การชงิ เผา และมีการจัดการเพื่อลดปัญหาอันเกิดจากควนั ไฟ (Smoke Management) สำหรับประเทศ
อเมริกาถึงแม้วา่ การชงิ เผาพึง่ จะกลับมาเป็นที่ยอมรบั อีกครั้งเป็นการทั่วไปเมอ่ื ย่ีสิบกวา่ ปีท่ีผ่านมาและได้
พัฒนาระบบการชิงเผาและบริหารจัดการควันควบคู่กันไป (Prescribed Burning and Smoke
Management System) ทั้งน้ีพฤติกรรมไฟและควันของการชิงเผายังจำเป็นที่ต้องทำการศึกษาเพ่ิมเติม
เนือ่ งจากมพี ฤตกิ รรมทีแ่ ตกตา่ งจากพฤติกรรมของไฟปา่ เพือ่ ให้มปี ระสทิ ธิภาพของการชงิ เผามากยงิ่ ข้ึน

สำหรับประเทศไทย มีการชิงเผาเพื่อป้องกันไฟในสวนป่ามาเป็นเวลานานแล้วไม่ต่ำกว่า
30 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะท่ีต้นไม้ยังมีขนาดเล็ก ซึ่งจะมีเชื้อเพลิงจำพวกวัชพืชต่างๆ ขึ้นอยู่ใน
ปริมาณมาก สำหรับในป่าธรรมชาติ หลังจากที่หน่วยงานควบคุมไฟป่าได้ดำเนินการควบคุมไฟป่าใน
พื้นที่ป่าท่ัวประเทศทำให้ในหลายพื้นที่มีการสะสมของเชื้อเพลิงในปริมาณมาก และในปีใดที่เกิดไฟไหม้
ข้ึนในพ้ืนที่น้ัน ไฟจะมีความรุนแรงมาก เช่น พ้ืนท่ีอช.ดอยสุเทพปุย และท่ีอช.เขาใหญ่ท่ีเกิดไฟไหม้
รุนแรง จนยากต่อการควบคุมและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อพนักงานดับไฟป่า และปลดปล่อย PM2.5
PM10 คาร์บอน และก๊าซอื่น ๆ สู่ชั้นบรรยากาศมากกว่าการชิงเผาเพราะไฟรุนแรงกว่าและปราศจาก
การควบคุม เชน่ ในช่วงหนา้ ไฟปี 2563 ทผ่ี า่ นมา ดงั น้นั การชงิ เผาจึงมีบทบาทสำคัญในการควบคมุ ไฟ
ในป่าธรรมชาติมากขนึ้ เรอื่ ย ๆ ตอ้ งให้ความสนใจทจ่ี ะใช้ในการช่วยจัดการเชอ้ื เพลงิ ให้มากยิ่งขน้ึ

อย่างไรก็ตามให้ถือว่าประสบการณ์การชิงเผาในป่าธรรมชาติของประเทศไทยยังมีน้อย และไม่
วา่ การชิงเผาจะดำเนินการอย่างถูกต้องและรัดกุมเพียงใด ก็ต้องเกิดผลกระทบต่อป่าไม้และส่ิงแวดล้อม
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ดังน้ันจึงกล่าวได้ว่า เส้นแบ่งระหว่าง
การชิงเผาและการเผาป่านั้นบางมากและมองเห็นไม่ชัดเจน คือหากดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง
ขาดความรู้ประสบการณ์และทักษะที่เพียงพอ การชิงเผาก็อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไม่
แตกต่าง ไปจากการเผาปา่ กไ็ ด้

การทำไร่หมนุ เวยี น (Rotation Agriculture)
สถาบันวัฒนธรรมศึกษา 2559 (http://www.culture.go.th/culture_th/article_attach/th22.pdf) กล่าวว่า

“คำว่า “ไร่หมุนเวียน” เป็นคำที่ปรากฏในการศึกษาวิวัฒนาการการเกษตรกรรมของ มนุษยชาติเมื่อ
ประมาณ ๒๐ กว่าปีมาน้ีเอง หมายถึง ระบบการหมุนเวียนพ้ืนที่ในการเพาะปลูก ก่อนหน้าน้ี ไม่มี
นักวิชาการคนใดเอ่ยถึง “ไร่หมุนเวียน” ด้วยมโนทัศน์ “rotation agriculture” อย่างเช่น งานของ

10

คมู่ ือการจัดการเชอ้ื เพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

Geertz (Agricultural Involution 1963) ได้กล่าวถึงพัฒนาการของเศรษฐกิจและการเกษตรใน
อินโดนีเซีย ไว้ว่ามีระบบนิเวศการเกษตรอยู่ ๒ ลักษณะ คือ swidden agriculture or shifting
cultivation (ซึ่งในช่วง เวลาน้ันในภาษาไทย แปลกันว่า “การทำไร่เล่ือนลอย”) ในเกาะวงนอก (สุ
มาตรา) และระบบนิเวศการทำนา แบบข้ันบันได (terrace farming) ของเกาะวงใน ภาพสะท้อนจาก
งานนี้ที่เก่ียวกับ “ไร่เล่ือนลอย” เป็นไปท้ัง ในทางบวก และในทางลบ เพราะเขาชี้ให้เห็นว่า การทำไร่
เลื่อนลอยเปน็ ระบบการเพาะปลกู ทีค่ ลา้ ยกับระบบนิเวศของป่าเมอื งร้อน คือ พชื พนั ธุ์มีความหลากหลาย
การถ่ายเทพลังงานเกิดข้ึนระหว่างพืชท่ีตายไปกับพืชท่ียัง มีชีวิตอยู่ ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ลดลงไปค่อนข้างจะรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นพื้นท่ีสูง การโค่น และเผาต้นไม้ เพ่ือเป็นอาหาร
พชื ทำใหส้ ูญเสียไนโตรเจน หากเพาะปลูกในพน้ื ท่ีซ้ำ ๆ การทิ้งช่วงเวน้ ว่าง (fallow) ยาว ในการใช้ท่ีดิน
โดยเวียนไปใช้พ้ืนท่ีอ่ืน จะเป็นการป้องกันความเสียหายในระบบนิเวศ ความหนาแน่นของประชากรจะ
เปน็ เงือ่ นไขสำคัญทเี่ ปน็ อปุ สรรคต่อความยงั่ ยืนของ “การทำไรเ่ ล่อื นลอย” เพราะหากต้องทิ้งช่วงเวน้ ว่าง
ระยะสัน้ จะเกิดผลเสียต่อผลผลิต และระบบนิเวศ”

ส่วนเว็บไซต์ระบบเกษตรอย่างยั่งยืน โดย Kanokkarn et al. 2020 มหาวิทยาลัยแม่โจ้
(https://sites.google.com/site/adecmju4601/home) กล่าวว่า “ระบบไร่หมุนเวียนเป็นระบบเกษตรกรรม
พื้นบา้ นที่ทำกันในหลายวัฒนธรรมในอดีต แตป่ ัจจุบันพอจะหลงเหลือให้เห็นไดใ้ นหมู่ชาวปะเกอญอ บน
พ้ืนท่ีสูงทางภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทย เป็นวิธีการเพาะปลูกพืชในพ้ืนท่ีหน่ึงใน
ช่วงเวลาหนึ่ง โดยจะปลูกพืชแบบผสมผสาน ท้ังข้าว ผัก และพืชใช้สอยต่างๆ รวมกันในบริเวณพื้นที่
เดียวกัน เมื่อทำการเพาะปลูกไประยะหน่ึงจนดินลดความอุดมสมบูรณ์ลง ก็จะย้ายไปทำการเพาะปลูก
ในพื้นที่ใหม่ และปล่อยให้ดินในพ้ืนที่เดิมได้ฟ้ืนความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ แล้วจึงหมุนเวียน
กลับมาใช้ประโยชน์ในพื้นท่ีเดิมน้ันอีกคร้ัง จึงเป็นรูปแบบเกษตรกรรมยั่งยืนท่ีสามารถรักษาความ
หลากหลายทางชีวภาพและความอดุ มสมบูรณ์ของดนิ ไว้ได้มากที่สุดระบบหนึ่ง แต่ในปัจจุบนั มีการทำไร่
หมุนเวียนกันอย่างผิดวิธีจนทำให้ระบบเกษตรกรรมวิธีนี้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการทำเกษตรกรรมแบบไร่
เล่อื นลอย ทไ่ี ปตัดไมท้ ำลายป่าตน้ นำ้ บนท่สี งู

ถึงแม้ระบบไร่หมุนเวียนจะต้องมีพื้นท่ีเพ่ือทำการเกษตรหลายแห่งให้หมุนเวียนไปใช้ก็ตาม แต่
ถ้าเกษตรกรที่ทำการเกษตรด้วยระบบน้ีมีเกณฑ์คุณค่าและวถิ ีวัฒนธรรมการดำรงชีวิตที่เคารพและนอบ
น้อมต่อธรรมชาติแล้ว ระบบไร่หมุนเวยี นจะเป็นระบบการฟ้นื ฟดู ินเพ่อื ให้สามารถตอบสนองตอ่ การผลิต
อาหาร พร้อมไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในเวลาเดียวกัน ระบบไร่หมุนเวียนที่ถูกหลักการจึง
จัดเป็นวธิ ีทำการเกษตรทอี่ นุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ และเคารพธรรมชาติ
อย่างมากวิธหี น่ึง และไร่หมุนเวยี นที่ทำกันอยู่โดยชุมชนชาวไทยบนภูเขาทางภาคเหนือ ก็ไดพ้ ิสูจน์ตัวเอง
ได้ระดับหนึ่ง ว่าสามารถเป็นระบบการเกษตรแบบย่ังยืนได้ ถ้าดำเนินไปตามภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ี
ถ่ายทอดกนั มา”

พน้ื ที่เปา้ หมายในการชิงเผา (Target Areas)
การชิงเผาย่อมต้องเกิดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ ดังนั้นการตัดสินใจท่ีจะ

ชิงเผาในพ้ืนท่ีใด ต้องมั่นใจว่าประโยชน์ท่ีได้ต้องมากกว่าผลเสียที่เกิด เกณฑ์ท่ีควรคำนึงเพื่อเลือก
พื้นที่ทีจ่ ำเปน็ ตอ้ งชงิ เผา มีดงั นี้

11

คู่มือการจัดการเชอ้ื เพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

1. พน้ื ท่นี ั้นมีการสะสมของเช้อื เพลิงเป็นจำนวนมากและติดต่อกันนานหลายปี หากเกิดไฟป่าขน้ึ
ไฟจะมคี วามรุนแรงมาก ยากและอนั ตรายตอ่ การควบคมุ

2. พื้นที่นั้นมีโอกาสเส่ียงต่อการเกิดไฟป่าสูง และมีเชื้อเพลิงเบา เช่น แนวหญ้าและวัชพืชสองข้าง
ทาง หรือทุ่งหญ้าติดชายป่า ซึ่งเมื่อเกิดไฟป่าขึ้นไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วและลุกลาม เข้าสู่พ้ืนท่ีป่า
ข้างเคียงได้ในเวลาอนั สน้ั หรือบริเวณที่มีการเกิดการเผาเป็นประจำทุกปี

3. พ้ืนที่นั้นเป็นท่ีลาดชันสูง มีร่องเขาที่มีโอกาสเกิด Chimney Effect หากเกิดไฟป่าข้ึน การเข้า
ไปดบั ไฟทำได้ยากลำบากและอันตรายมาก

4. พืน้ ที่นั้นอย่ใู กล้พืน้ ที่ที่มีความสำคัญเปน็ พเิ ศษ เชน่ สวนป่า ปา่ ที่เป็นแหลง่ อาศัยของสตั ว์ป่าหรือ
พันธ์ุไม้หายากใกล้สญู พันธุ์ ป่าท่ีมีหลักฐานทางโบราณคดีหรือทางศลิ ปวฒั นธรรม หรือพ้ืนท่นี ้ันอยู่ใกล้
ชุมชน เป็นต้น ซ่งึ หากเกิดไฟปา่ ข้นึ ไฟสามารถลุกลามเขา้ ส่พู น้ื ทสี่ ำคัญดังกลา่ ว ไดอ้ ย่างรวดเร็ว

5. พื้นทีท่ ่ีตอ้ งการบรหิ ารเพื่อเป็นแหล่งท่องเทีย่ ว เผาให้หญ้าระบัด
6. พ้ืนที่ทุ่งหญ้าท่ีต้องการฟ้ืนฟูกลับสู่สภาพเดิม หรือบริเวณท่ีมีโรคระบาด หรือบริเวณที่มีพืชพนั ธุ์
ต่างถ่นิ บกุ รุก
7. เตรยี มพนื้ ทข่ี ยายพันธุ์ไม้ (http://www.fao.org/3/t9500e/t9500e07.htm)

การวางแผนชิงเผา (Planning and Organizing)
การชงิ เผาจะต้องมกี ารวางแผนที่รอบคอบรัดกุม เพือ่ ให้เกิดประสิทธภิ าพสูงสุด มผี ลกระทบ

ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มน้อยท่สี ุด และผปู้ ฏบิ ตั งิ านมีความปลอดภยั มากทสี่ ุด โดยมขี ้นั ตอนในการวางแผน ดงั นี้
1. กำหนดขอบเขตพนื้ ทท่ี ี่ชิงเผา และวตั ถปุ ระสงค์ของการชงิ เผา
2. กำหนดช่วงเวลาทจ่ี ะชงิ เผา ซงึ่ โดยทั่วไปกค็ อื ช่วงกอ่ นหน้าทีจ่ ะถงึ ฤดูไฟป่า
3. กำหนดอัตรากำลัง เคร่อื งมือ ท่ีจะใช้ในการชิงเผา
4. กำหนดวิธีการและเทคนิคในการเผา ตลอดจนวิธีการควบคุมไม่ให้ไฟลุกลามออกนอกพนื้ ที่ท่ีจะ

ชงิ เผา
5. กำหนดมาตรการความปลอดภัยและแผนสำรอง ในกรณที ่ีเกดิ ความผดิ พลาดในการเผา เชน่ ไฟ

ลามออกนอกแนว ไฟแรงกวา่ ทีค่ าดการณ์ไว้ หรอื เกดิ ลมหวน เปน็ ตน้
6. กำหนดวางแผนการสื่อสารและแจ้งเตือนบริเวณท่ีอาจจะมีผลกระทบของควนั ที่เกิดจากการชิง

เผา ท้งั ก่อนและระหวา่ งการชงิ เผา เพอ่ื ปรบั ความเขา้ ใจซงึ่ กนั และกนั

ขอ้ ควรคำนงึ ในการชงิ เผา (Cautions of Prescribed Burning)
รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการเผา เช่น วิธีการและเทคนิคการเผา ปัจจัยท่ีต้องพิจารณา

ก่อนการเผา เคร่ืองมือและอุปกรณ์ท่ีใช้ในการเผา ตลอดจนถึงผลกระทบท่ีเกิดจากการเผา ข้อควรคำนึง
ทวั่ ๆ ไป ซ่ึงมดี ังนี้

1. ต้องมคี นอย่ดู ไู ฟทล่ี ุกไหมต้ ลอดเวลาจนกวา่ จะดับสนทิ หมด Mop Up
2. การชิงเผาเพื่อลดปริมาณเช้ือเพลิงต้องทำก่อนถึงช่วงฤดูแล้ง ซึ่งความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ
ยังค่อนข้างสูง อุณหภูมิต่ำ และเชื้อเพลิงยังมีความช้ืนสูง ทำให้ไฟชิงเผามีความรุนแรงต่ำ ลุกลาม
ไปอย่างช้าๆ สามารถควบคุมไดง้ ่าย และเกิดผลกระทบต่อส่งิ แวดลอ้ มนอ้ ยที่สุด

12

คมู่ อื การจดั การเชอ้ื เพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

3. ต้องทำแนวกันไฟรอบพ้นื ที่ทจี่ ะชงิ เผาเสียก่อน เพอื่ ป้องกนั ไมใ่ ห้ไฟลกุ ลามออกไปนอกพื้นทชี่ ิง
เผา โดยอาจอาศัยแนวที่มีอยู่แล้ว เช่น ลำห้วย หรือถนน และต้องมีเจ้าหน้าที่ พร้อมเครื่องมือดับไฟป่า
คอยควบคมุ ไมใ่ ห้ไฟลามออกนอกพ้นื ท่ี (ภาพท่ี 5)

4. ทำการชิงเผาในช่วงเวลาท่ีลมค่อนข้างสงบ อากาศไม่ร้อนจัด และความช้ืนสัมพัทธ์ของ
อากาศค่อนข้างสูง โดยช่วงเวลาท่ีเหมาะสมสำหรับการชิงเผาอยู่ระหว่าง 2.00 น.ถึง 5.00 น. ทั้งน้ี
ในทางปฎิบัติช่วงเวลาดังกล่าวดำเนินการได้ยากจึงสามารถหาช่วงเวลาอ่ืนที่เหมาะสมเช่นช่วง
เช้าตรู่หรือบ่ายแก่ ๆ ใกล้เย็นทดแทน ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 4 อย่างกล่าวคือ ความแห้งและ
ลกั ษณะของเชื้อเพลงิ ความชืน้ สัมพัทธส์ ูงพอ อากาศไม่ร้อนจนเกินไป และลมสงบ

5. ในพื้นท่ีราบ จะต้องจุดไฟจากแนวกันไฟด้านใต้ลม เพ่ือให้ไฟลุกลามสวนทางลม อันจะทำให้
อัตราการลุกลามของไฟไม่รวดเร็วนัก หลังจากท่ีไฟลุกลามมาไดร้ ะยะหน่ึงซ่ึงเห็นว่าปลอดภยั ดีแล้ว และ
ในขณะน้ันลมไม่แรงจนเกินไป ก็อาจจุดไฟจากแนวกันไฟด้านเหนือลมเพ่ือให้แนวไฟที่จุดขึ้นใหม่นี้
ลุกลามตามลมไปบรรจบกับแนวไฟแรกตรงกลางพ้ืนท่ี ทัง้ น้ีเพื่อช่วยยน่ ระยะเวลาในการทำงานใหส้ น้ั ลง

6. ในพื้นที่ลาดชัน จะต้องทำแนวกันไฟด้านบนเขาให้กว้างเป็นพิเศษ และจุดไฟจากแนวกันไฟ
ด้านบนเขา (Backing fire technique การเผาทวนกับทิศทางของลม) เพ่ือให้ไฟลุกลามลงเขาอย่าง
ช้าๆ ซ่ึงอัตราการลุกลามของไฟจะช้ากว่าไฟลามข้ึนเขามาก ทำให้ควบคุมไฟได้ง่ายข้ึน ท้ังน้ีต้องวาง
กำลังคนและเคร่ืองมือส่วนใหญ่อยู่ท่ีแนวกันไฟด้านบนเขา เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟท่ีจุดลุกลามข้ามแนวกัน
ไฟขน้ึ ไปบนเขา โดยเฉพาะอย่างยง่ิ หากการชิงเผาทำในเวลากลางวัน ซ่ึงลมจะพัดข้ึนเขา ไฟท่ีเร่ิมจุด
จะหันเปลวไฟไปตามทิศทางลมคือทิศขึ้นเขาและมีโอกาสข้ามแนวกันไฟไปได้ หลังจากนั้นเมื่อไฟ
ลามลงเขามาได้ระยะหนึง่ ซง่ึ เหน็ วา่ ปลอดภยั แล้ว ก็อาจจดุ ไฟจากแนวกนั ไฟดา้ นลา่ งเพื่อใหไ้ ฟลามขึ้นเขา
ไปพบแนวไฟแรกท่ีลามลงเขา เพอื่ ให้การปฏิบตั ิงานเสรจ็ สนิ้ โดยรวดเรว็ ขน้ึ

7. เน่ืองจากการชิงเผาจะต้องทำในช่วงเวลาท่ียังไม่เหมาะสมที่จะเกิดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงใน
ป่า ดังน้ันในบางครั้งจะมีความยากลำบากในการจุดไฟให้ติด หรือไฟติดแล้วไม่ลุกลาม หรือลุกลามช้า
มาก การชิงเผาจึงเป็นงานท่ีน่าเบื่อหน่ายเพราะต้องใช้เวลามาก และต้องใช้ความพยายามและความ
อดทนสูง ซ่ึงผู้ปฏิบัติงานจะต้องเข้าใจและยอมรับธรรมชาติของงานน้ีให้ได้ การปฏิบตั ิงาน จึงจะประสบ
ผลสำเร็จ

วธิ ีการจดุ (Ignition Types) ท่ีมา http://learnline.cdu.edu.au/units/env207/fundamentals/behaviour.html
1. แบบจุดเปน็ แนว (Line ignite) เป็นแบบที่มแี นวไฟต่อเนื่องอย่างน้อยสองแนว ไฟท้ังคู่จุดห่างกันไม่

มาก โดยไฟจะมลี ักษณะดงึ ดูดกนั
2. แบบจุดเป็นจุดๆ (Point ignite) เป็นการจุดเป็นหย่อม ๆ กระจายตัวไปในพื้นที่ที่จะดำเนินการชิง

เผา อาจจะเปน็ แนวเดียวกันหรือไม่เปน็ เดียวกันก็ได้ ลกั ษณะไฟจะขยายตัวเปน็ วงรี

13

คู่มือการจัดการเชื้อเพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

ภาพที่ 5 ลักษณะการชิงเผาทปี่ ลอดภัย
ท่ีมา Lomakatsi Restoration Project. 2020. P.O. Box 3084, Ashland, Oregon 97520

https://lomakatsi.org/test-page/fldeptofforestry-2/

เทคนคิ การจุดไฟ (Ignite Techniques) มีหลายวิธี แลว้ แตค่ วามเหมาะสม ได้แก่
1. Headfire เปน็ การเผาตามทิศทางลม หวั ไฟเคลอื่ นทเ่ี ร็ว การควบคุมจะยากและอนั ตราย ถ้า

ปัจจัยต่างๆไม่เหมาะสมควรหลกี เล่ียง แต่การดำเนินการจะใชเ้ วลาน้อยทสี่ ุด ผจู้ ดุ จะอยูเ่ หนือควัน
เช้อื เพลงิ บนพนื้ ไหมไ้ ม่เกลยี้ งหมดจด (ภาพท่ี 6)

ภาพท่ี 6 Headfire เผาตามทศิ ลม
ทม่ี า EFire. Fire Techniques. 2020. North Carolina State University, College of Natural
Resources. https://efire.cnr.ncsu.edu/efire/fire-techniques/

2. Backfire (Backburning) เป็นการเผาทวนหรอื สวนกับทศิ ทางของลม เพอื่ ให้เกดิ แนวดำตรง
บริเวณทตี่ อ้ งการใหก้ ารเผาไหมส้ ้ินสุดลงโดยเปน็ บรเิ วณทีต่ ิดกับแนวกันไปที่ไดท้ ำไว้ กอ่ นท่ีจะใช้

14

คมู่ อื การจดั การเช้อื เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

ผสมผสานกับวธิ อี ่ืน ลักษณะไฟเคลอ่ื นที่ช้า เปลวไฟต่ำและปลอดภยั แตใ่ ชเ้ วลานาน ส่วนใหญจ่ ึงใช้
ผสมผสานกับวธิ ีอื่นเม่อื คดิ ว่าหรอื พจิ ารณาแล้วว่าแนวดำที่เกิดมีความกวา้ งพอตามลักษณะของเช้อื เพลงิ
ลมสงบและปลอดภัยดีแลว้ เพ่ือประหยัดเวลา ผู้จุดจะอยใู่ ตค้ วนั การเผาไหม้จะหมดจดมากกวา่ การเผา
ตามทิศทางลม สำหรบั บริเวณทีล่ าดชนั โดยเร่ิมเผาจากด้านบนลงมาเพ่ือทำใหเ้ กดิ แนวดำเพ่ือเป็นการ
ขยายแนวกนั ไฟใหก้ ว้างและปลอดภยั มากยิ่งข้นึ (ภาพที่ 7)

ภาพที่ 7 Backfire (Backburning) เปน็ การเผาทวนหรือสวนกบั ทศิ ทางของลม
ท่มี า Northern Territory Bushfire Volunteer Firefighter,

https://sites.google.com/site/bfntvolunteers/community-info/backburning-vs-prescribed-burning

3. Strip-heading fire การเผาเปน็ แนวตอ่ เน่ืองกนั มผี จู้ ดุ คนเดยี ว เผาไดอ้ ย่างรวดเร็ว โดย
บริเวณท่ีแนวไฟมาบรรจบกัน ไฟจะมคี วามรนุ แรงข้นึ ส่งผลต่อต้นไม้ในบรเิ วณนน้ั ๆ วธิ นี เี้ หมาะกับพื้นทมี่ ี
เชอื้ เพลิงคอ่ นขา้ งราบและไมค่ วรใชใ้ นพนื้ ทที่ ี่มีปริมาณเช้ือเพลิงมากและลมแรง (ภาพที่ 8)

ภาพท่ี 8 Strip-heading fire การเผาเปน็ แนวตอ่ เนือ่ งกัน
ทมี่ า EFire. Fire Techniques. 2020. North Carolina State University, College of Natural

Resources. https://efire.cnr.ncsu.edu/efire/fire-techniques/

15

ค่มู ือการจดั การเชื้อเพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

4 Point source fire หรือ Stop Head Fire พฒั นามาจาก Strip-Heading Fire แต่ไม่เผาเปน็ แนว
ติดกนั แต่ จะเผาเปน็ หย่อมๆ ไปดา้ นหนา้ และด้านขา้ ง ระยะห่างระหวา่ งหยอ่ มไฟในแนวเดียวกันตอ้ งกว้าง
กวา่ ระยะห่างระหว่างแนว โดยหลกี เลี่ยงการจุดหยอ่ มไฟบรเิ วณท่มี เี ชอ้ื เพลิงมากผดิ ปกติ (ภาพท่ี 9)

ภาพท่ี 9 Point source fire การเผาเป็นจดุ ๆ เหมอื น Strip-Heading Fire เว้นระยะหา่ งตอ่ เน่ืองกัน
ทม่ี า EFire. Fire Techniques. 2020. North Carolina State University, College of Natural

Resources. https://efire.cnr.ncsu.edu/efire/fire-techniques/
5. Flankfire เป็นการเผาทวนลมเข้าจากด้านข้างหลังจากได้ดำเนินการ Backfire มาได้สักพัก
เพ่ือประหยัดเวลา หรือการจุดไฟเป็นแนวหลายแนวเข้าหาทิศทางลม ซ่ึงการจุดไฟแต่ละแนวต้องพร้อม
กนั จึงตอ้ งใช้คนจุดหลายคน โดยท่ีทิศทางลมต้องสม่ำเสมอระดับความเรว็ ต้องน้อยถึงสงบ ซึ่งวิธกี ารนี้ไม่
เหมาะกับพน้ื ทีท่ มี่ ีปรมิ าณเชือ้ เพลงิ มาก (ภาพที่ 10)

ภาพท่ี 10 Flankfire การเผาทวนลมเขา้ จากดา้ นขา้ ง
ทีม่ า EFire. Fire Techniques. 2020. North Carolina State University, College of Natural

Resources. https://efire.cnr.ncsu.edu/efire/fire-techniques/

16

คมู่ ือการจดั การเช้อื เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

6. Center firing เป็นการจุดไฟตรงกลางของพื้นที่ท่ีจะเผา ใช้เมือ่ ตอ้ งการไฟท่ีมคี วามรุนแรงมาก
เช่นการใช้เพ่ือการเตรียมพื้นท่ีปลูกป่า วิธีการจุดน้ีไม่เหมาะกับป่าธรรมชาติ เหมาะกับการกำจัด
เชื้อเพลิงหนัก เช่นเศษท่อนไม้ ตอไม้ฯ การจุดไฟด้วยวิธีการนี้จะก่อให้เกิดเกิดการเหน่ียวนำลมเข้าหา
กองไฟ (indraft) ทำใหไ้ ฟลามเข้าหาจดุ ศูนยก์ ลางจากการเหนยี่ วนำท่เี กิดขึ้น (ภาพที่ 11)

ภาพที่ 11 Center firing การจุดไฟตรงกลางของพืน้ ท่ที ่จี ะเผา ใช้เมอื่ ต้องการไฟท่ีมีความรุนแรงมาก
ทีม่ า The Scottish Government, Edinburgh 2013

7. Ring Fire เป็นการจุดไฟเป็นวงรอบ ตอ้ งผูจ้ ุดมากกว่าหน่ึงคน เพื่อให้ไฟไหม้เข้าสู่ตรงกลางของ
พื้นที่ท่ีดำเนินการเผา เพื่อให้ควันถูกดันสูงข้ึนอย่างรวดเร็ว ใช้ในกรณีท่ีดำเนินการเผาในพ้ืนท่ีที่มีความ
ละเอียดออ่ นเรอ่ื งคุณภาพอากาศมาก (ภาพท่ี 12)

ภาพท่ี 12 Ring Fire เปน็ การจดุ ไฟเป็นวงรอบ
ท่ีมา EFire. Fire Techniques. 2020. North Carolina State University, College of Natural

Resources. https://efire.cnr.ncsu.edu/efire/fire-techniques/
8. Fingers of Fire จุดแบบนิ้วมือ การเผาไหม้มีความรุนแรงต่ำ เผาเป็นแนวเหมือนลักษณะของ
นว้ิ มือทวนลม ตอ้ งมีแนวรับและจดุ เร่ิมต้นที่ปลอดภัยมาก (ภาพท่ี 13)

17

คมู่ ือการจัดการเชอ้ื เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

ภาพท่ี 13 Fingers of Fire จดุ แบบนิ้วมือ
ทม่ี า The Scottish Government, Edinburgh 2013
ภาพที่ 14 แสดงเทคนคิ การจดุ ไฟท่ใี ช้เปน็ ประจำ ทัง้ นข้ี ึ้นอยกู่ ับลกั ษณะและปัจจัยแวดลอ้ มของพน้ื ท่ที ี่
จะดำเนินการเผา

ภาพท่ี 14 แสดงเทคนคิ การจุดไฟประเภทตา่ ง ๆ ท่ใี ช้อยเู่ ป็นประจำ
ที่มา M. A. Finney and S. S. McAllister 2011.
อุปกรณก์ ารจุด (Ignition Sources)

1. Drip Torch อปุ กรณจ์ ดุ ไฟด้วยน้ำมนั ดีเซล
2. Local Fire Torch คบไฟ กิง่ ไมท้ ่มี ีใบแห้งเยอะๆ
3. Light ไฟเชค็
อุปกรณ์ในการควบคมุ ไฟ (Fire Suppression Hand Tools)
1. ถงั นำ้ พร้อมอุปกรณ์ฉดี (Backpack pump)
2. ลาโค้ หรอื จอบ (McLeod or Garden Hoe)

18

คู่มือการจัดการเชื้อเพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

3. ไม้ตบไฟ (Fire Swatter or Fire Beater)
4. พร่ัว (Firefighting Shovel)
5. คราด (Fire or Garden Rake)
6. ขวาน (Axe)
7. เลื่อย (Saws or Chain Saws)
8. อุปกรณ์สอ่ื สาร (Communication Tools)
9. เครอื่ งเป่าลม (Wind Blower)
10. อปุ กรณป์ ้องกันส่วนบคุ ลครบชดุ (Protection and Safety Gears)
11. อปุ กรณต์ รวจวดั ภูมิอากาศไฟแบบพกพา (Fire Weather Meter)
12. GPS แผนท่ี (Topographic Map) และ เขม็ ทศิ (Compass)
13. ป๊ัมฉีดน้ำขนาดเล็กพร้อมอุปกรณ์และถังเก็บน้ำเคล่ือนที่ (Portable Water Pump with
portable water container)
14. ไฟฉาย (Torch or Flashlight)
15. กล้องถ่ายถาพ (Camera)
16. เครื่องเขียน (Stationary)

ระบบการวิเคราะห์ การตัดสินใจ การอนุญาตให้เผาในระดับต่าง ๆ อย่างมีส่วนร่วม (Prescribed
Burning and Smoke Management System)

1. ข้อมลู พ้นื ฐานต่างๆ ในระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์ GIS เช่น
a) แนวกนั ไฟจากสบอ.และจาก Smart patrol
b) ข้อมลู เชือ้ เพลงิ จดั เก็บโดยศูนย์ปฏบิ ตั ิการไฟป่าและศูนย์วจิ ัยไฟปา่
c) ขอ้ มลู เชื้อเพลงิ และขอบเขตไร่หมนุ เวียนตา่ ง ๆ และพ้ืนทเ่ี กษตรกรรมทุกประเภท
d) ขอบเขตปกครอง เขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าอนุรักษ์ สปก. รวมไปถึงที่ตง้ั ของหน่วยงาน

ทเี่ กย่ี วข้องทงั้ หมด และตำแหน่งชุมชนตา่ ง ๆ
e) ขอ้ มลู พืน้ ฐานท่ีจำเปน็ อืน่ ๆ

2. การพยากรณ์ภูมิอากาศละเอียดระดับตำบลที่มีความแม่นยำสูงอย่างน้อย 3 วัน โดยเฉพาะ
ความช้นื อุณหภูมิ ความเร็วและทิศทางของลม

3. ระบบบริหารจดั การเช้อื เพลิงและควัน
a) Fire Danger Rating System เพื่อดูความแห้งของเชื้อเพลิงและความรุนแรงของไฟถ้ามี

การเผาเกิดขึ้น รวมไปถึงระบบตรวจติดตามและพยากรณ์ความแห้งแล้ง Drought Monitoring and
Forecast System

b) ระบบพยากรณ์การเคลื่อนตัวของควันว่าจะลอยไปกระทบบริเวณชุมชนไหนบ้างเป็นเวลา
ประมาณการนานเท่าไหร่ โดยมีสว่ นท่ีบอกวา่ ค่าการระบาย (ลอยตัว) ของควัน Ventilation Index ระดบั
ความสูงของ Mixing Height เสถียรภาพของอากาศ (Atmospheric Stability) ควมกดดันอากาศ (Air
Pressure) อุณหภูมิของชั้นการเกิดอากาศปิด (Temperature Inversions) อุณหภูมิอากาศที่วัดได้จริงที่
ความสูงระดับต่าง ๆ (Lapse Rate) ลักษณะและความเร็วลม (Wind Speed) ว่าพร้อมท่ีจะเผาได้มาก

19

คู่มือการจัดการเช้ือเพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

น้อยขนาดไหน ทิศทางของลม (Wind Direction) ว่าจะกระทบชุมชนด้านล่างของลมหรือไหมอย่างไร
ท้งั น้ขี ้นึ อยู่กับความถูกต้องของระบบท่ีตอ้ งสามารถบอกได้ดว้ ยว่ามคี วามถกู ต้องมากน้อยขนาดไหน

c) ต้องมีความเข้าใจพ้ืนฐานด้วยว่า ภูมิอากาศสามารถเปล่ียนแปลงได้ โดยเฉพาะวันต่อวัน
จงึ จำเปน็ ทจ่ี ะตอ้ งตรวจสอบรายงานอากาศท่สี ามารถเข้าถึงได้อยูต่ ลอดเวลา

d) ตรวจสอบด้วยว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลภูมิอากาศท่ีเรดาห์สถานีตรวจสอบภูมิอากาศของ
สนามบิน ได้หรือไหม เพราะจะเปน็ ข้อมลู ทม่ี ีความถูกตอ้ งสูง

4. คู่มือดูลักษณะของเช้ือเพลิงว่าพร้อมต่อการเผามากน้อยขนาดไหนแบบรูปถ่ายเพ่ือตรวจเช็ค
บริเวณทีจ่ ะดำเนินการอีกรอบ

5. ระบบและขั้นตอนการแจ้งเตือนผลกระทบของควันที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชนที่อาจจะมีผลกระทบ
เพือ่ สร้างความเขา้ ใจร่วมกัน

6. ระเบยี บและระบบการสื่อสารทั้งกอ่ นเผา ห้วงเวลาเผา และหลังการเผา
7. อุปกรณ์วัดภูมิอากาศแบบเคล่ือนที่ (Remote Automated Weather Stations, on-site or
nearby weather monitoring sites) เพื่อตรวจสอบลักษณะภูมิอากาศก่อนการเผา ว่าพร้อมไหมถ้าดู
อาจจะมอี นั ตรายสามารถยกเลกิ การเผาได้
8. ระบบตรวจสอบเคล่ือนท่ีหรือแบบพกพา (Portable Fire Weather Meter) เพื่อบอกถึง
คุณภาพอากาศกอ่ นทีจ่ ะมีการเผาเพ่อื ประกอบการตัดสนิ ใจอนุญาตการเผาหรอื ไม่
9. ระบบแสดงพืน้ ที่ท่ีไดไ้ หม้ไปแล้วอาจจะเสริมบอกถึงความรุนแรงของการไหม้ดว้ ยข้อมลู ดาวเทียม
ทงั้ ระบบ optical และ microwave พร้อมรายละเอยี ดทีไ่ ดร้ บั การรายงานกลับมาจากพ้นื ทจี่ ริง

ขั้นตอนการขออนญุ าตเผา (Burn Permit)
1. ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหลักระดับจังหวัด แต่การตัดสินใจข้ันสุดท้ายว่าจะอนุญาตให้มีการเผา

หรือไม่ตอ้ งอยูท่ ค่ี ณะกรรมการระดบั ตำบล
2. การวางแผนการเผาตอ้ งมกี ารวางแผนร่วมระหวา่ งหนว่ ยงานรัฐและประชาชน
3. ตำแหน่ง ขนาดและลักษณะของพ้ืนที่ท่ีจะขออนุญาตเผา พร้อมแผนที่แสดง อย่างน้อยบนแผน

ท่ีซึง่ แสดงลักษณะภมู ิประเทศ 1:50,000 ของกรมแผนท่ที หาร
4. จำนวนคนท่เี ขา้ รว่ มการเผากบั ขนาดการเผาต้องสอดคล้องกัน
5. ผู้เผาต้องผ่านการอบรมการเผาเสยี ก่อน โดยผู้นำการเผาตอ้ งมคี นเดยี วเทา่ นน้ั
6. ผู้เผาต้องมใี บอนุมตั ิการเผาจงึ จะเผาได้ และต้องเผาตามวนั เวลาทีไ่ ด้ระบุไว้ในใบอนุญาตนั้น
7. ต้องมีแผนและข้นั ตอนการเผาพรอ้ มแผนสำรองในกรณกี ารเผาไม่เป็นไปตามทวี่ างแผนไว้
8. เช็คลิสต์ของการเตรียมการการเผา เพ่ือทบทวนความพร้อมของการเผา เช่น อุปกรณ์ต่างๆ

ลักษณะภมู อิ ากาศ เป็นตน้
9. ก่อนเผาต้องทำการทบทวนขั้นตอนการเผาท่ามกลางผู้ร่วมเผาให้เป็นที่เข้าใจตรงกัน

เสยี ก่อน (Briefing)
10. เม่ือเผาเสร็จต้องทำการรายงานบันทึกรายละเอียดการเผา พร้อมพิกัดก่งึ กลางของพื้นที่ท่ี

ถูกเผา และพิกัดขอบท้ัง 4 ด้าน ถ้าเป็นไปได้ใช้ GPS เดินบันทึกวงรอบเพ่ือวัดขนาดของพื้นท่ีที่
ดำเนนิ การเผาอกี ครัง้ จัดทำ Shapefile พร้อมภาพถ่ายก่อนและหลงั การเผา (Debriefing)

20

ค่มู ือการจัดการเชื้อเพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

11. คมู่ อื และข้นั ตอนการอบรมการจัดการเช้ือเพลงิ โดยการบรู ณาการจากความรู้จากทุกภาคส่วน

การทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน หลายฝ่ายหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง สำคัญมาก เช่น
มวลชน (Public) ด้านควบคุมไฟป่า (Fire Control Units) ด้านอปท. (Local Administration
and Authority) ด้ าน คุณ ภ าพ อากาศ (Air Quality Regulators) ด้าน สุข ภ าพ (Health
Department Managers) ด้านภัยพิบัติ (Emergency Operations Units) ด้านพยากรณ์อากาศ
(Weather Forecasters) ด้านส่ือสารมวลชน (to communicate smoke impacts to the
public) เปน็ ตน้

การเตรียมพ้นื ท่เี กษตรของไรห่ มนุ เวยี น โดยวธิ กี ารเผา
เดโช 2563 กล่าวว่า การเตรียมพ้ืนที่เกษตรของไร่หมุนเวียน โดยวิธีการเผา ตัวอย่าง วิธีของป

กากะญอทอี่ มก๋อย มขี ้นั ตอนคราวๆดังตอ่ ไปน้ี

1. ตดั ไม้ในไร่ ตากแดดใหแ้ หง้ ประมาณ 1 เดอื น แห้งเกินไปกไ็ มด่ ี ชืน้ เกนิ ไปกไ็ มไ่ ด้

แหง้ พอดี คอื ใบไม้ท่อี ยบู่ นก่งิ ยงั ไม่รว่ งลงดนิ อันนเ้ี ขาว่าแหง้ พอดี การจดุ ไฟจะไหม้ดี

2. ทำแนวกันไฟรอบแปลงทจ่ี ะเผา ขนาดไม่แน่นอนแลว้ แตล่ กั ษณะเขอื้ เพลงิ และภมู ิประเทศ

3. บริเวณทล่ี าดชนั จะทำการเผาจากสว่ นบนแปลงลงมากอ่ น ลงมาเกือบถึง 1 ใน 3 หรอื 1 ใน 4
แล้วจงึ จดุ ไฟจากข้างลา่ งข้ึนไป

4. ปรกตพิ นื้ ท่ไี ม่มากไฟไหมร้ าว 30 นาที

5. หลังจากนน้ั อกี 2 วันจะมาตามเกบ็ ส่วนทีไ่ มไ่ หม้ดมี ารวมกนั จดุ เปน็ กองอีกครัง้

การจดุ ไฟในไร่หมุนเวยี นแบบนจี้ ำเปน็ ที่จะตอ้ งใชแ้ รงงานคนจำนวนมากในการเฝา้ ระวังจดั กา

แตช่ ว่ งหนา้ แล้งปี 2563 มีความแห้งแล้ง แตก่ ็ไมแ่ หง้ แล้งเทา่ ปี 2558 จึงเกดิ ไฟไหม้ลุกลามขา้ ม
ออกขอบเขตแปลงไปมากพอควร เกิดไฟกระโดด จำนวนคนเข้าร่วมนอ้ ย กวา่ จะควบคุมไฟไดก้ ็มีการ
ไหมเ้ กดิ กวา่ แปลงทเี่ ตรยี มไปบา้ ง โดยการเผาลกั ษณะนี้ไมส่ ามารถทำกอ่ นวันที่ 10 มกราคมได้ เพราะ
เชื้อเพลงิ ยังแห้งไมพ่ อ

ไมพ่ รอ้ มเผาในทนี่ ้หี มายถงึ ถ้าไมท้ ี่ตัดและตากไว้มันแหง้ เกนิ ไปหรอื เกินความพอดี ไฟในไรก่ ็
จะไหมไ้ มด่ ี จะเหลอื ตอไม้เศษไม้มากเกนิ ไป ถา้ ปล่อยใหแ้ ห้งมากไปใบไม้ทต่ี ดิ อยู่กบั กง่ิ ไม้รว่ งหล่นลงออก
จากกิ่งก้านลงไปพืน้ ดินมันจะไหมไ้ ม่ดี เพราะเช้อื เพลิงขาดตอนขาดความตอ่ เน่ืองระหวา่ งกันทำใหก้ าร
ลุกติดไฟไม่ดไี ม่ทวั่ ถึง การเผาไหม้กจ็ ะไม่สมบรู ณ์ ขา้ วและพืชพรรณตา่ งๆก็จะงอกไม่สวยงามสมบูรณ์
และไดผ้ ลผลติ น้อย

สว่ นเรอื่ งทำไหมกลวั ฝนลงกอ่ นการเผาไรก่ ันจัง เหตเุ พราะถ้าฝนลงก่อนการเผามนั จะทำให้
วชั พืชพวกหญา้ หลายชนิดงอกงามเตบิ โต แลว้ มาทำการเผาภายหลังฝนตกและตากใหแ้ ห้งรอบใหม่ หญา้
วัชพชื ต่างๆก็ตายไมห่ มด ขา้ วจะไม่สวยงาม จำเปน็ ตอ้ งใช้ยาฆ่าหญา้ และปุย๋ เคมจี ำนวนมากซึ่งมนั คอื การ

21

ค่มู อื การจดั การเชอื้ เพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

ลงทนุ ท่ีเพ่มิ มากข้นึ โดยใชเ่ หตุ แถมอันตรายต่อสุขภาพ อีกทง้ั เปน็ พษิ ตอ่ คนใชน้ ้ำดา้ นล่าง เมื่อสารพิษ
ตา่ งๆ ถกู ฉะล้างไหลลงไป

คำถามท่นี ่าสนใจ

i. ปญั หาคุณภาพอากาศเป็นปญั หาร่วมของสังคมโดยส่วนรวมของทุกภาคสว่ นทกุ พื้นที่ แล้ว
ปญั หาไฟป่าละอยใู่ นสถานะเดยี วกันหรือไม่

ii. เราควรจะมกี ฎหมายการจัดการไฟป่า เพ่อื สรา้ งความชัดเจนในทางปฎบิ ตั ิหรอื ไม่

iii. การเผาป่าคอื ความผิด แลว้ เราไดแ้ ยกการใช้ประโยชนข์ องผนื ปา่ กันให้ชัดเจนแลว้ หรือยงั ป่า
ชุมชนเปน็ คำตอบอยา่ งหนงึ่ แต่ต้องชดั เจนไมม่ กี ารบกุ รุกเพ่ิมเติม

iv. ทำอยา่ งไรการเผาพื้นทเี่ กษตร (Open Burning) เพ่อื เตรยี มพน้ื ทีเ่ พาะปลกู ไรห่ มนุ เวียน ไมใ่ ช่ไร่
เลื่อนลอย จงึ เป็นทย่ี อมรบั ของสงั คมเมอื งและผ้บู รหิ าร

v. ถา้ ยอมรบั ว่าต้องมกี ารเผาเพ่ือเตรยี มพนื้ ทีก่ ารเกษตร ทำอย่างไรจึงจะมีการจดั ให้มหี ว้ งเวลาการ
เผาที่เหมาะสมกบั ความแหง้ พอดีของเชื่อเพลงิ ในพนื้ ที่เกษตรและหลีกเลยี่ งการเร่งเผากอ่ นฝนจะมา

vi. การจัดระเบยี บการเผาพ้ืนทีเ่ กษตรจึงจำเป็นท่ีจะต้องคำนึงถึงสภาพความเป็นจรงิ และ
ข้อเทจ็ จริงของการใชไ้ ฟในการเตรียมพืน้ ทก่ี ารเกษตรประกอบดว้ ย

vii. ปัญหาที่เรากำลงั คดิ จะแก้ไข คอื ปัญหาไฟหรอื ปญั หาควนั หรอื ทง้ั สองอย่าง กนั แน่ ถา้ มไี ฟบ้าง
แลว้ ควนั สง่ ผลกระทบน้อย จะสามารถยอมรบั ไดไ้ หม เพราะการทีจ่ ะไมใ่ หม้ ีไฟเลยคงเป็นไปไม่ได้

viii. ปัญหาไฟป่าและการเผาในทโี่ ลง่ เปน็ ปัญหาปากท้อง ตราบใดทผี่ ้จู ุดยังคงได้ประโยชน์ ตราบ
นน้ั กจ็ ะยงั มคี นจดุ ไฟอยนู่ น้ั เอง

ix. ไฟทพ่ี ดู ถึงคือไฟ 2 ประเภท 1. ไฟป่า (Wildfire-Forest Fire) และ 2. ไฟจากการเผาในท่ี
โล่ง (Open Burning) โดยอย่างหลังแบง่ ออกเป็น 3 แบบ พ้นื ที่เกษตรทัว่ ไปในพนื้ ทที่ ี่ถกู ตอ้ ง ไร่
หมนุ เวียนในพ้นื ทท่ี ีถ่ กู ตอ้ ง (หรอื ยงั ) ไรเ่ ล่อื นลอยในพ้ืนท่ีบกุ รกุ ผิดกฎหมาย ท่จี ะตอ้ งแยกปัญหาออก
จากกันให้ชดั เจน เพราะสภาพและการแก้ไขปัญหาแตกต่างกนั ต้นเหตุการเผาก็แตกตา่ งกนั

a) สาเหตุหลกั ของการเกิดไฟปา่ คอื หาของปา่ ลา่ สัตว์ ความขัดแยง้ ไม้ ขยายพนื้ ท่ี
การเกษตรท่ีตดิ กบั ปา่ และเตรียมพืน้ ทเี่ กษตรบริเวณพนื้ ท่ีทีบ่ ุกรกุ ป่า (อันสุดท้ายตอ้ งจดั การให้ไม่มี
อีกแล้ว)

b) สาเหตหุ ลกั ของการเผาในท่โี ลง่ และการทำไรห่ มุนเวยี น คือ การเตรียมพน้ื ทีเ่ กษตร

x. การเตรยี มการพ้ืนทกี่ ารเกษตรยงั คงมีการเผาอยู่ ถา้ ไมเ่ ผา และทำการไถก่ ลบแทนไมไ่ ด้ จะมี
การใชย้ าฆ่าหญ้าและยากำจดั ศตั รูพืช มากข้ึนเป็นอยา่ งมาก ซ่งึ แนน่ อนว่าเมือ่ เข้าหน้าฝน สารพิษต่าง ๆ
ทีใ่ ชน้ น้ั จะถกู ชะลา้ งจากพื้นท่ีสงู ต้นนำ้ สพู่ ืน้ ทกี่ ลางน้ำและปลายน้ำ อยา่ งท่ีเกิดข้นึ กบั เชยี งรายโมเดล ที่
มีการใช้ยาฆ่าหญา้ ชว่ งปี 2560-2561 เพิม่ ขน้ึ มากมาย แต่ไม่มกี ารพดู ถึง ซึ่งจะกระทบกบั สุขภาพใน
ลักษณะทแี่ ตกต่างไปอกี แบบ เราไดค้ ำนงึ เร่อื งนกี้ ันบา้ งหรือยงั

22

ค่มู ือการจัดการเช้ือเพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

xi. เรามีระบบการจัดการการเผาโดยกำหนดและควนั ท่จี ะเกดิ ข้ึนหรือยัง โดยเรอื่ งผลกระทบจาก
ควันต่อประชาชนเปน็ ปญั หามากกว่าลกั ษณะของพื้นทีท่ ีจ่ ะเผา เพราะการพยากรณก์ ารเคลื่อนตวั ของ
ควันที่จะเกดิ ข้นึ นั้นประเทศไทยยงั ไมม่ ีระบบดงั กลา่ วใช้งาน (มีแต่ท่เี กดิ ไฟแลว้ แลว้ ก็ขนึ้ อยกู่ ับเวลาที่
ดาวเทียมท่ีไมต่ อ้ งเสียคา่ ใช้จา่ ยต่าง ๆ ผา่ นดว้ ย ซงึ่ จะไมใ่ ชช่ ่วงเวลาท่ีจะเกิดการเผาทั้งหมด เพราะ
ดาวเทยี มจะเหน็ พน้ื ทเ่ี พียงไมก่ ีน่ าทีเท่านัน้ ) ตอ้ งมรี ะบบท่ีสามารถพยากรณผ์ ลกระทบจากควนั ทง้ั
บรเิ วณที่ใกลเ้ คียงและที่ห่างไกลควบคู่ไปด้วยกนั

xii. ชว่ งเวลาการเผาของแตล่ ะจังหวดั ไมเ่ หมือนกนั จะทำอย่างไรให้สอดคลอ้ งกับบริบทของแตล่ ะ
จังหวดั

xiii. ทำอย่างไรให้การแก้ไขรว่ มกนั มีความจรงิ ใจและเพื่อประโยชนข์ องทุกๆฝา่ ย มใิ ชเ่ พือ่ ฝ่ายใด
ฝ่ายหน่งึ ที่จะไดร้ ับผลประโยชนเ์ ทา่ น้นั

xiv. ถา้ มีการเผานอ้ ยลง ซึง่ จะส่งผลให้มีการสะสมเชื้อเพลงิ ในป่ามากขน้ึ เมื่อเกดิ ไฟไหม้ (ซง่ึ คง
ควบคุมไม่ให้เกดิ ได้ตลอดไป) ข้ึนภายหนา้ ตอนทีม่ ีเชื้อเพลงิ สะสมมาก ไฟทเี่ กดิ จะรนุ แรงและสรา้ งความ
เสียหายตอ่ พชื เป็นอย่างมาก เป็นเงาตามตัว สมควรจะมมี าตรการอยา่ งไรเพอ่ื ปอ้ งกัน หรือให้เกดิ แลว้
ค่อยว่ากนั

ข้อพิจารณาทต่ี อ้ งหาคำตอบกนั

1. ทำอย่างไรจึงจะสามารถแก้ไขปญั หาแบบมสี ว่ นร่วมขอทกุ ภาคส่วน ลดความขัดแย้งระหวา่ ง
สงั คมเมอื งและชนบท ทกุ ภาคสว่ นมีทัศนคตแิ ละขอ้ ตกลงรว่ มในทิศทางเดยี วกนั รวมถึงการสือ่ สารสอง
ทาง นำข้อเท็จจริงและอปุ สรรคข้ึนมาไว้บนโตะ๊ แลว้ หาทางออกร่วมกนั

2. ทำอยา่ งไรให้อปท.มสี ว่ นรว่ มในการแกไ้ ขบรหิ ารปญั หารว่ มแบบเตม็ รูปแบบ มีหน้าที่รับผดิ ชอบ
ชดั เจน ไมใ่ ชแ่ บบเฉพาะกิจ

3. ทำอยา่ งไรทีจ่ ะให้มีระบบการจดั การเชื้อเพลิงเศษวัสดโุ ดยการเผาโดยกำหนดตามหลักวิชาการ
ที่เท่าเทยี มเปน็ ธรรม สอดคลอ้ งกับบรบิ ทและวิถชี ีวติ ของแตล่ ะพื้นที่ เหมาะสมกบั หว้ งเวลาและลักษณะ
ภมู อิ ากาศ ควันที่เกิดส่งผลกระทบต่อชมุ ชนนอ้ ยท่ีสดุ โดยกำหนดระเบยี บ ขอ้ กำหนดให้ชัดเจน และต้อง
ได้รบั อนญุ าตถงึ เผาได้

4. ทบทวนความรทู้ มี่ ีอยใู่ นเรื่อง พฤติกรรมไฟ ทม่ี มี า 30 กว่าปี เพอื่ ใชเ้ ป็นฐานความรพู้ ร้อม
ถ่ายทอดประกอบการบรหิ ารจัดการและการควบคุมไฟ ใหม้ ีประสิทธิภาพและปลอดภัยทสี่ ุดเทา่ ท่ีจะ
ดำเนินการไดส้ ำหรับทกุ ภาคส่วน

5. ความถ่ีของการชงิ เผาเพอื่ กำจดั ลด หรอื ตดั ตอนเชอื้ เพลิง ในป่า ป่าเต็งรัง 2-3 ปี แตข่ องชนิด
ป่าอื่น ๆ ยงั ไมม่ กี ารศึกษา

6. จัดใหม้ รี ะบบการอบรมการควบคุมไฟ ทเ่ี ป็นขน้ั เป็นตอน แยกประเภท แยกหนา้ ท่ี ท่สี ามารถ
รว่ มดำเนินการควบคุมไฟอยา่ งปลอดภัย ใหช้ ดั เจน ตามหลักสากล พร้อมมีการรบั รองการอบรม

23

ค่มู อื การจดั การเชือ้ เพลงิ (Fire Fuel Management Handbook)

7. ทำความเขา้ ใจพฤติกรรมควนั ให้ชดั เจน เพอ่ื การจัดการควันท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ สง่ ผลกระทบนอ้ ย
ท่ีสุด เพราะแต่ละบริเวณหรือพื้นทีท่ ่ีควันไปถึงชุมชนอาจจะมพี ฤติกรรมตอ่ ควันไมเ่ หมือนกัน การ
ตดั สนิ ใจการเผาทจ่ี ะใหส้ ง่ ผลกระทบยอ่ มไมเ่ หมอื นกนั

8. พฤตกิ รรมคน บรบิ ทของแตล่ ะพน้ื ท่ีไมเ่ หมอื นกนั สิ่งทไ่ี ดด้ ำเนินการไดผ้ ลดจี ากท่หี นึ่งอาจจะใช้
ไม่ได้ผลอีกท่ีหนง่ึ เปน็ เรอ่ื งทสี่ ลับซบั ซอ้ นและละเอียดอ่อน ตอ้ งปรับใหเ้ หมาะสมตามบริบทของแตล่ ะ
พนื้ ที่

9. พฤติกรรมการจุดและหว้ งเวลาการจดุ ของแตล่ ะจังหวัดไมเ่ หมือนกนั ตอ้ งทำความเขา้ ใจ แล้ว
ปรับให้ตรงตามบริบทข้อเท็จจรงิ ของแตล่ ะพนื้ ท่ี

เอกสารอา้ งอิง

ศิริ อคั คะอัคร. 2543. การควบคุมไฟป่าสำหรับประเทศไทย. สำนักควบคมุ ไฟปา่ , กรมปา่ ไม,้
กรงุ เทพฯ.

เดโช ไชยทัพ. 2563. การเตรยี มพนื้ ท่ีเกษตรของไร่หมนุ เวยี น. สื่อสารสว่ นตวั .
สนั ต์ เกตุปราณตี , นพิ นธ์ ตง้ั ธรรม, สวุ ิทย์ แสงทองพราว, ปรชี า ธรรมนนท์, นรศิ ภมู ภิ าคพนั ธุ์ และ ศิริ

อัคคะอัคร. 2534. ไฟป่าและผลกระทบตอ่ ระบบนิเวศปา่ ไม้ในประเทศไทย. คณะวนศาสตร,์
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร,์ กรุงเทพฯ.
สถาบนั วฒั นธรรมศกึ ษา. 2559. คมู่ ือการจดั ทำขอ้ เสนอโครงการในการรวบรวมและจดั เกบ็ ข้อมลู
มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมประจำปพี ทุ ธศักราช 2559. กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวัฒนธรรม.

http://www.culture.go.th/culture_th/article_attach/th22.pdf

Kanokkarn Wongsa, Yasumin Tijun, Panaya phonjaroensuk, Prapakorn Kalaket ,Pattano
jantasila and Sudarat Panmaneerat. 2020. เวปไซคร์ ะบบเกษตรอยา่ งยง่ั ยืน.
Agricultural Development Extension and Communications, Maejo University ,
Chiang mai Thailand 50290 https://sites.google.com/site/adecmju4601/home

Kobsak Wanthongchai, Jürgen Bauhus and Johann G. Goldammer. 2008. Nutrient losses
through prescribed burning of aboveground litter and understorey in dry
dipterocarp forests of different fire history. Catena 74 (2008) 321–332.
doi:10.1016/j.catena.2008.01.003.

Kobsak Wanthongchai, Johann G. Goldammer, and Ju¨rgen Bauhus. 2011. Effects of fire
frequency on prescribed fire behaviour and soil temperatures in dry dipterocarp
forests. International Journal of Wildland Fire 2011, 20, 35–45.

Lomakatsi Restoration Project. 2020. P.O. Box 3084, Ashland, Oregon 97520

https://lomakatsi.org/test-page/fldeptofforestry-2/

Mark A. Finney and Sara S.McAllister. 2011. A Review of Fire Interactions and Mass
Fires. USDA Forest Service, Missoula Fire Sciences Laboratory. Hindawi
Publishing Corporation Journal of Combustion Volume 2011, Article ID 548328,

24

คู่มือการจัดการเช้อื เพลิง (Fire Fuel Management Handbook)

14 pages doi:10.1155/2011/548328.

https://www.researchgate.net/publication/258379948_A_Review_of_Fire_Interactions_and_Mass_Fires

National Wildfire Coordinating Group. 1996. Wildland Fire Suppression Tactics
References Guide. PMS 465 - NSEF#1256. https://www.coloradofirecamp.com/suppression-

tactics/suppression-tactics-guide.pdf

Northern Territory Bushfire Volunteer Firefighter. 2020.

https://sites.google.com/site/bfntvolunteers/community-info/backburning-vs-prescribed-burning

EFire. Fire Techniques. 2020. North Carolina State University, College of Natural
Resources. https://efire.cnr.ncsu.edu/efire/fire-techniques/

The Scottish Government, Edinburgh. 2013. Fire and Rescue Service Wildfire
Operational Guidance. ISBN: 978-1-78256-498-0. https://www.gov.scot/publications/fire-

rescue-service-wildfire-operational-guidance/pages/22/

Wade, Dale D. 1989. A Guide For Prescribed Fire In Southern Forests. Forest Services
Southern Region, United States Department of Agriculture. Technical Publication
R8-TP 11. https://www.fs.fed.us/rm/pubs/rmrs_gtr292/1989_wade.pdf

25


Click to View FlipBook Version